กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: 1 ... 3 4 5 6 [7] 8 9 10
61
Boy's love story / Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 25 : Fuck Butterfly
« กระทู้ล่าสุด โดย Milky_Milky_Way เมื่อ 02-10-2025 13:42:13  »
“มึงอยู่ในนี้หรือเปล่าวะ ...” เป็นจังหวะ dead air ที่น่าอับอายที่สุดในชีวิต คนตรงหน้าในชุดเสื้อโปโลสีฟ้ากางเกงยีนส์ขายาวกำลังจ้องมาที่ผมด้วยสีหน้าตกตะลึง ตาชั้นเดียวคู่นั้นเบิกกว้างที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นผม

“... เปลี่ยนชุดอยู่เหรอ” จีเป็นฝ่ายที่ตั้งสติได้ก่อน แต่แทนที่จะเดินกลับออกไป เจ้าตัวกลับก้าวเข้ามาในห้อง แล้วทำเหมือนเป็นเรื่องปกติที่เห็นผมจะเดินไปเดินมาโดยสวม boxer อยู่ตัวเดียว  :m25:

 “อะ เออ นั่งก่อนดิ” ผมไม่รู้ว่าควรจะไล่มันออกจากห้อง หรือชวนมันเข้ามาแต่ในเมื่อเจ้าตัวหย่อนก้นลงบนเตียงแล้ว ผมก็เลยๆ ตามเลย


----------


#เปลี่ยนชุด #Fuck Butterfly
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
62
Boy's love story / Re: The Power of Lyrics; Self - Gravitation แรงโน้มถ่วงส่วนตน (๙) 1-10-2568
« กระทู้ล่าสุด โดย KADUMPA เมื่อ 01-10-2025 18:52:23  »

“พัชล่ะ” แม่ของตั้นเอ่ยถาม เมื่อวางจานอาหารที่ซื้อมาจากตลาดลงบนโต๊ะ “เข้านอนแล้วครับแม่” ตั้นตอบแม่กลับไป สายตามองอยู่ที่เอกสารด้านหน้าจอแล็บท็อป ที่กำลังทำให้กับลูกค้า “ทำไมวันนี้นอนเร็วจัง ไม่สบายหรือเปล่า” ตั้นเงยหน้าขึ้นสบตากับแม่ ส่ายหน้าช้า ๆ ยิ้ม แล้วพูดกลับไปว่า “เปล่าหรอกครับ แค่พัชเขารู้สึกคลื่นไส้นิดหน่อย ดูเพลีย ๆ ผมเลยให้กินข้าวเย็นและก็กินยาบำรุงที่หมอให้มา แล้วพาเข้าไปพักในห้อง” ตั้นที่คิดว่าพัชคงจะเครียดจากการตั้งครรภ์อย่างทุกครั้ง ถึงได้ร้องไห้ฟูมฟายออกมาก่อนหน้านี้ แต่ตั้นก็เลี่ยงเรื่องนั้นไป ไม่ได้บอกให้แม่รู้



“อ้าว ไม่ได้เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว นี่ของโปรดของพัชเลยนะ เดี๋ยวตั้นเอาเก็บเข้าตู้เย็นนะ พรุ่งนี้จะได้เอาออกมาอุ่นกินได้” ตั้นพยักหน้ารับคำ มองดูกับข้าวที่เป็นของที่พัชชอบกิน ที่แม่เป็นคนซื้อมา และมันทำให้ตั้นรู้สึกดีใจ ที่แม่ของเขาจำของชอบของพัชได้ แถมยังมีทั้งขนมและผลไม้ ที่ตรงตามที่หมอบอกเอาไว้ ว่าจะช่วยบำรุงทั้งทางร่างกายของพัช รวมทั้งความรู้สึกทางจิตใจอีกด้วย



“แม่ครับ” ตั้นมองไปที่แม่ของเขา ที่หญิงวัยกลางคนเดินเอาจานไปล้างที่อ่างล้าง “ตอนที่แม่ท้องผม แม่รู้สึก คือ ผมจะถามยังไงดี” ตั้นหัวเราะออกมาเขิน ๆ กับคำถามที่เขาไม่เคยสักครั้งที่จะถามผู้เป็นแม่ของตัวเองแบบนี้ ท่าทางของตั้น ทำให้แม่ที่หันมามอง ต้องหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะกลับไปล้างจานที่อยู่ในมือจนเสร็จ หันเอาไปวางตรงที่คว่ำจาน แล้วจึงหันมาทางลูกชายของเธอ



“ตั้นจะถามแม่ว่า ตอนแม่ท้องตั้น แม่รู้สึกยังไงน่ะหรือ” คำพูดของแม่ ทำให้ตั้นพยักหน้าเร็ว ๆ แทนคำตอบ มันเป็นกิริยาท่าทางที่ติดตัวตั้นมาตั้งแต่เด็ก ที่แม่จะรู้ได้เลยทันทีว่า ลูกชายของเธอกำลังให้ความสนใจกับสิ่งสิ่งนั้น หรือเรื่องราวนั้น ๆ อย่างเต็มที่ “แม่แพ้ท้องอยู่เกือบ ๆ เดือนได้ แต่ไม่หนักหนาอะไรมาก ไม่มากเท่ากับที่พัชเขาเป็นหรอก” น้ำเสียงของแม่ที่ตั้นได้ยิน อ่อนโยน และดูจะเห็นใจพัชเอามาก ๆ



“จะมีที่แม่รู้สึกกลัวมาก ๆ ก็คงจะเป็นตอนที่ใกล้จะคลอดแล้ว” แววตาของแม่ที่ตั้นมองเห็น ทำให้เขารู้ได้ในทันทีว่า แม่ยังคงจำความรู้สึกที่บอกออกมานั้น ได้เป็นอย่างดี “ช่วงสัปดาห์ก่อนหน้าที่ตั้นจะคลอด แม่มีอาการเลือดออก และนั่นทำให้แม่รู้สึกกลัวมากที่สุดในชีวิต แม่กลัวว่า แม่จะไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าตั้น แม่คิดอยู่อย่างเดียว หรือว่า แม่จะต้องเเสียตั้นไป” เสียงของแม่เครือน้อย ๆ แต่ก็ยิ้มออกไปให้กับลูกชายของเธอ



“เลี้ยงตั้นยากกว่า” แม่เปลี่ยนน้ำเสียงในการพูด ให้ฟังดูเป็นการหยอกล้อลูกชายแทน น้ำเสียงจริงจังที่พูดถึงเรื่องความหวาดหวั่นในอดีต “ตอนตั้นเด็ก ๆ ตั้นก็มีมุมดื้อกับเขาอยู่เหมือนกัน” ตั้นนั้นก็จำได้ ว่าตั้นเคยโดนแม่ตีอยู่สองสามครั้ง และทุกครั้งที่ตั้นนึกย้อนไป ก็รู้ตัวดีว่า เขาเองเป็นคนที่ทำให้แม่ต้องโกรธ และเป็นเหตุที่ทำให้เขาต้องถูกลงโทษ รวมถึงครั้งล่าสุด ที่เกิดขึ้นตอนที่เขาโตเป็นหนุ่มแบบนี้แล้วด้วย

 

“โตแล้ว ผมก็ยังดื้ออยู่ ใช่มั้ยครับแม่” ได้ยินลูกชายของเธอถามมาแบบนั้น แม่ของตั้นไม่ได้ตอบในทันที ตั้นมองเห็นสีหน้าของแม่นิ่ง ๆ ไปนิดหนึ่ง ก่อนจะได้ยินแม่พูดขึ้นว่า “แม่อยากให้ตั้นดูแลพัชให้ดี ยิ่งตอนนี้ก็ท้องใหญ่มากแล้ว และอีกไม่นานก็จะคลอด แม่เป็นห่วงนะ ไม่อยากให้เกิดอะไรไม่ดี ตั้นต้องหมั่นคอยเอาใจใส่พัชเขาให้มาก ๆ” ตั้นรู้ดีว่า นี่คือเรื่องที่เขาเพิ่งพูดไป ที่ว่าได้ทำตัวดื้อกับแม่เมื่อตอนโตแล้ว และนั่นก็ไม่พ้น เรื่องที่เขาดื้อดึงที่จะอยู่กับพัช จนถึงมีลูกด้วยกัน ทั้ง ๆ ที่แม่ของเขานั้นคัดค้านตั้งแต่เริ่ม

 

“หลานย่าคนแรก ต้องคลอดง่าย น่ารัก ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง และต้องเลี้ยงง่ายกว่าพ่อของเขา” สุดท้ายแล้ว ต่อให้ตั้นจะดื้อ หรือหัวรั้นกับแม่ของเขาแค่ไหน แม่ของตั้นก็ยอมให้เขาเลือกคู่ชีวิตของเขาด้วยตัวเอง แม้ว่าใจจริงแล้ว แม่เองก็อยากจะบังคับให้ตั้น เลือกคนตามที่แม่เห็นสมควร และคนที่อยู่ในลิสต์ที่แม่เคยพูดบอกกับตั้น ว่าเขาควรที่จะเลือกคนในลิสต์นั้น ไม่มีพัชอยู่ในรายชื่อ

 

“พัชเองเขาก็ทำดีกับแม่” พัชที่แง้มประตูห้องนอน ยืนแอบฟังตั้นและแม่คุยกัน ถึงกับต้องสะดุดไปกับสิ่งที่ได้ยินออกจากปากของแม่ “แล้วพัชก็ยังน่ารักสำหรับตั้น เมื่อลูกของแม่เลือกแล้ว แม่จะไปพูดอะไรได้” ภาพสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ไหลทะลักเข้ามาในสมองของพัชที่ได้แต่ยืนตัวชาอยู่ตรงนั้น “เมื่อตั้นรักใคร แม่ก็ต้องรักคนคนนั้นไปด้วย เป็นปริยาย” พัชเห็นแม่ของตั้นพูดด้วยอาการที่ยิ้มออกมาทั้งสายตาและใบหน้า


 
แม่ของตั้นกำลังชั่งใจ ว่าควรจะเดินเข้าไปในบ้านตอนนี้ดีหรือไม่ เมื่อเสียงด่าทอกำลังดังลั่นออกมาจากในบ้าน สภาพแบบนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องมา ตั้งแต่พัชตะโกนใส่หน้าเธอ ว่าเธอคือตัวกาลกิณี เป็นตัวบัดซบ ที่เป็นตัวการทำให้ชีวิตคู่ของคนอื่นต้องร้าวฉาน และยิ่งไปกว่านั้น คนเป็นแม่อย่างเธอ ยังใจดำมากพอ ที่จะไม่แม้แต่จะละเว้นเรื่องความรักของลูกชายตัวเอง ยังเจ้ากี้เจ้าการ ยุ่งวุ่นวาย ทำให้ความสัมพันธ์ของตั้นและพัชเละเทะ มีแต่ความขัดแย้ง จนถึงคราวที่จะต้องเลิกรากันไป



“แล้วพัชไม่คิดบ้างหรือไง ว่าตัวเองก็มีส่วนผิดเช่นกันในเรื่องนี้” ตั้นพูดด้วยอาการอดกลั้นความรู้สึกเอาไว้ ไม่ให้ระเบิดออกไป แม้ว่าใจอยากที่จะทำอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องแคร์ใครหรืออะไรแล้วทั้งนั้น “ในความสัมพันธ์ ในเรื่องของความรัก มันไม่มีใครถูกทุกอย่าง หรือผิดไปเสียทั้งหมดหรอกนะ” ตั้นนั้นรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน ที่จะต้องมาพูดอะไรแบบนี้ซ้ำ ๆ เพราะอยากให้พัชเก็บเอาไปคิด เผื่อว่าการทะเลาะโวยวายอย่างที่เป็นอยู่กันนี้ จะเปลี่ยนมาเป็นการพูดคุยกันด้วยเหตุผล ไม่ใช่ใช้แต่อารมณ์


 
“ตั้น เมื่อไหร่ตั้นจะหยุดทำตัวโลกนี้มีแต่ทุ่งลาเวนเดอร์เสียที แล้วยืดอกยอมรับอย่างที่ตั้นควรจะทำ และควรจะทำมันมาตั้งนานแล้ว ว่าตัวปัญหามันไม่ใช่พัช เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะพัชไม่เคยเริ่มมีปัญหากับใคร พัชไม่เคยไปแตะต้องใครก่อน จนกว่าจะมีคนมาปากร้ายใจมาร ทั้งแซะ ทั้งดูถูกพัช ว่าเป็นอีกะเทยอย่างนั้นอย่างนี้ อีกะเทยที่เป็นคนที่ลูกชายของเขาเลือกเอง พัชไม่คิดว่าพัชทำอะไรผิดนะตั้น กับการที่พัชพยายามปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นคนของตัวเอง” พัชเชิดหน้าขึ้นด้วยความหยิ่งในตัวเอง



“ก็ถ้าเราเอามาใส่ใจไปเสียทุกเรื่อง เก็บเอาคำพูดทุกคำมาคิด ไม่ว่าคำไหนก็ทำให้เรารู้สึกเจ็บ ทำให้เราเสียใจได้ทั้งนั้นแหละ ตั้นเคยบอกกับพัชไม่รู้จะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ว่าให้ทำหูทวนลมไปบ้าง บางทีแม่ตั้นก็พูดอะไรออกไป ด้วยความที่แม่เขาคาดหวังจากตั้นเอาไว้สูง แต่ตั้นไม่ได้อย่างใจเขา เขาก็ต้องมีผิดหวังบ้าง นี่ตั้นเลือกพัชนะ ตั้นยอมดื้อรั้นกับแม่ ดื้อดึงที่จะไม่ยอมทำตามใจแม่ ก็เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกัน ทั้ง ๆ ที่ถ้าตั้นแต่งงานมีลูก มีหลานให้แม่อุ้ม มันง่ายมากสำหรับชีวิตตั้นมากกว่าตอนนี้ด้วยซ้ำ” สิ่งที่พัชได้ยินตั้นพูด ทำให้พัชหันขวับมามองด้วยสายตา ที่แทบจะกรีดเลือดกรีดเนื้อตั้นได้เลยทีเดียว

 

“โถ นี่ตั้นคิดว่ามันคือบุญคุณอันใหญ่หลวง ท่วมท้นรดหัวพัชขนาดนั้นเลยสินะ” น้ำเสียงที่กระแทกกระทั้น ประชดประชันของพัช ทำให้ตั้นรู้ดีว่า การทะเลาะกันในครั้งนี้จะเดินไปในทิศทางไหน “แล้วไม่ได้รู้สึกเลยถูกมั้ย ว่าพัชต่างหากที่เสียสละมากกว่านั้นตั้งเยอะ ที่ต้องมาใช้ชีวิตร่วมกันกับคนที่มีพฤติกรรมเหยียดคนอื่น รู้ทั้งรู้นะ แต่พัชก็ยังเลือกที่จะยอมทน ยอมทำเพื่อตั้น ที่ขอให้พัชลองดูก่อน ยอมย้ายเข้ามาในบ้านนี้ แล้วไหนล่ะ ที่ตั้นเคยบอกกับพัช ว่าทำดีแล้วมันจะต้องมีคนเห็นเข้าสักวัน วันนั้นของตั้นน่ะเมื่อไหร่ มันจะมาถึงตอนไหน มันจะมาก่อนที่แม่ของตั้น หาผู้หญิงมาแต่งงาน เพื่อเอากัน แล้วมีหลานให้มั้ย ทั้ง ๆ ที่ตั้นยังมีพัชยืนอยู่ตรงนี้ อยู่ทนโท่” พัชไม่เคยคิดว่า ตัวเองจะต้องมาทนอยู่ในสภาพแบบนี้

 

“ตั้นแค่อยากจะรักษาความรักของเราเอาไว้” ตั้นพูดด้วยความสัตย์จริง กับความรู้สึกที่เขามีมาโดยตลอด แม้จะรู้สึกแย่มาก ที่แม่ของเขาอยู่ ๆ ก็มาบอกกับเขาว่า การอยู่กับพัชจะทำให้ชีวิตของเขาไม่ก้าวหน้าไปไหน พร้อมทั้งหาผู้หญิงมาให้ตั้นแต่งงานด้วย โดยให้เหตุผลว่า ตั้นจะได้มีชีวิตที่สมบูรณ์อย่างคนอื่น ๆ เขา ด้วยความที่แม่ของตั้น ไม่ต้องการทนเห็นลูกชายคนเดียวของเธอนั้น ต้องอยู่ในความสัมพันธ์ที่เธอไม่เห็นด้วย เพราะเท่าที่ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว ข้อสรุปของแม่ก็คือ พัชไม่สามารถเปลี่ยนใจเธอได้



“ถ้าทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องรักษามันหรอก ไอ้ความรัก ความสัมพันธ์อะไรเนี่ย” พัชตวาดออกมาแทบจะในทันที ด้วยความโกรธ “ถ้าจะไม่คิดปกป้องอะไรกันเลย ก็ไม่ต้องทำอะไรแล้วทั้งนั้น ไปเป็นลูกแหง่ให้แม่หาเมียให้ แบบคนไม่รู้จักโตเถอะ อย่ามาคิดจะมีความรักดี ๆ ที่เป็นตัวของตัวเองเลย มันสร้างความลำบากให้คนอื่นเปล่า ๆ” แจกันใบนั้น ลอยปลิวออกจากมือของพัช ลอยละลิ่วไปกระทบที่ผนังห้อง ไม่ไกลกับที่แม่ของตั้นยืนอยู่ มือของแม่ตั้นที่ถือถุงกับข้าว ขนม และผลไม้นั้น สั่นระริก ก่อนที่แม่จะเดินไปที่ถังขยะ หย่อนถุงทั้งหมดนั้นลงไป แล้วเดินออกจากบ้านทั้งอย่างนั้น

 

พัชรีบหลับตาลง เมื่อได้ยินเสียงตั้นเปิดประตูเข้ามา ตั้นเรียกชื่อของพัชเบา ๆ เหมือนจะหยั่งว่าพัชนั้นนอนหลับไปหรือยัง แต่พอเห็นพัชไม่ขานตอบ หรือขยับตัว ตั้นก็เดินเข้ามาหยุดยืนที่ข้างเตียง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น พัชรู้สึกถึงมือที่แตะมาที่ท้องของเขาอย่างอ่อนโยน สัมผัสนั้นมันสร้างความอบอุ่นใจให้กับพัชเป็นอย่างมาก ตั้นลูบท้องของพัชเบา ๆ รู้สึกได้ถึงการตอบสนองของลูกในท้อง ที่ใช้เท้าเตะโดนมือของตั้นเบา ๆ ความรู้สึกที่มีใครอีกคน ขยับเขยื้อนร่างกายในท้องของตัวเอง ทำให้พัชน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


 
“อย่ากวนมากนักนะเจ้าตัวเล็ก” พัชหรี่ตาขึ้นมอง เห็นตั้นนั่งขัดสมาธิ ยื่นหน้ามาเกือบชิดท้องของพัช แล้วคุยกับเด็กทารกในท้อง “แต่เตะเก่ง เตะแรงขนาดนี้ โตขึ้นจะเป็นนักฟุตบอล หรือนักกีฬาเทควันโดดีเนี่ย” ตั้นพูดด้วยรอยยิ้มที่เปื้อนอยู่ที่ริมฝีปาก พัชเห็นแบบนั้นแล้วก็ต้องกลั้นก้อนสะอื้นที่แล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่คอหอยของตัวเอง ที่พอพยายามกลืนเจ้าก้อนนั้นมันลงไปคอไป มันก็ทำได้อย่างยากลำบาก สิ่งที่พัชเห็นตั้นทำ ทำให้น้ำตาของพัชเริ่มปริ่มอยู่ที่ขอบตาทั้งสองข้าง


 
“อีกไม่นานเราก็จะได้เจอกันแล้วนะ จะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าสามคน แล้วยังมีคุณย่าอีกคนด้วย ทุก ๆ คนเฝ้ารอการเกิดของหนูนะ” พัชนั้นได้แต่ปล่อยให้น้ำตาของตัวเองรินไหลล้นพ้นขอบตาลงมา ทำได้เพียงแค่การกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ ก่อนที่จะเห็นตั้นรีบลุกขึ้น กดปิดไฟที่โคมไฟหัวเตียงให้ แล้วเดินออกจากห้องไป เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น เมื่อลูกค้าโทรมาตามทวงงานที่ตั้นสัญญาเอาไว้ว่าจะทำให้เสร็จ และเขาเองก็ทำได้ทันเวลา

 

เพื่อนร่วมงานที่สนิทที่สุดกับพัช ไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับใคร กับการที่เธอขบคิดเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไม่แตก ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับแน่ กับความประหลาดที่เธอได้พบเจอ วันหยุดยาวที่ผ่านมา ที่อยุ่ ๆ พัชก็หายไปแทบจะเรียกได้ว่า ต่อหน้าต่อตาเธอ แม้ว่าเธอจะเดินออกจากห้องคอนโดของพัชไปจริงก็ตาม แต่นั่น ก็เป็นแค่เพียงชั่วขณะเท่านั้น แล้วพอเดินกลับมา เธอก็หวังว่าจะยังคงเจอเพื่อนของเธอ ยังอยู่ในห้องนั้น ไม่ใช่พบแค่เพียงขวดเหล้าเบียร์มากมาย วางกองระเกะระกะอยู่ที่พื้นแบบนี้

 

และยิ่งไปกว่านั้น การที่เธอเลือกที่จะรอพัชอยู่ในห้องนี้ เพื่อที่จะรอว่าพัชจะกลับมาที่ห้องนี้เมื่อไหร่ เพราะไม่เข้าใจเช่นกัน ว่าถ้าพัชจะออกไปข้างนอก แต่ทำไมทิ้งโทรศัพท์มือถือเอาไว้ แล้วหายไปเสียเฉย ๆ แบบนี้หรือเปล่า เพื่อนสนิทของพัชคิด ว่าคือสาเหตุ ถึงว่าใคร ๆ ก็ไม่สามารถติดต่อพัชได้เลย เพราะเจ้าตัวเล่นหายตัวไปแบบไร้ร่องรอย ซึ่งมันไม่มีคำอธิบายดี ๆ ใด ๆ ให้กับเรื่องนี้ได้เลย



แต่แล้วจู่ ๆ เมื่อเธอกำลังจะถอดใจ ด้วยทั้งอาหารและน้ำดื่มในห้องของพัชกำลังจะหมดลง เพื่อนสนิทของพัชเลยคิดว่า จะกลับห้องของตัวเองไปก่อน แล้วค่อยกลับมาที่คอนโดนี้ใหม่อีกครั้ง เพราะตัวเธอเองก็รู้สึกว่า กำลังจะเสียสติไปกับความไม่เป็นเหตุเป็นผลที่ต้องมารับรู้ เสียงกุกกักกระทบกันของขวดเหล้าและเบียร์ ทำให้เพื่อนสนิทของพัช วิ่งมาจากระเบียง แล้วเห็นพัชกำลังควานหาขวดเหล้าเหล่านั้น เพื่อคว้ามันมากระดกดื่มลงคอ แต่ขวดเหล่านั้น มันว่างเปล่า ไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลงเหลืออยู่



“พัช นี่แกไปไหนมาเนี่ย แล้วแกกลับมาได้ยังไง แกไปไหนมา ทำไมติดต่อไม่ได้ จะไปไหนมาไหน ทำไมไม่เอามือถือไปด้วย แต่เดี๋ยวก่อน อยู่ ๆ แกก็กลับมาแบบนี้ นี่แกล่องหนหายตัวได้ หรืออะไรกันแน่ พัช แกพูดกับฉันก่อน” เพื่อนสนิทของพัช พยายามจะคว้าแขนของพัชให้หยุดอยู่นิ่ง ๆ เมื่อเจ้าของห้องเดินพล่านไปทั่วห้อง เพื่อหาขวดที่ยังคงมีน้ำสีเหลืองอำพันนั้นเหลืออยู่



“ฉันต้องกลับไป ฉันจะต้องกลับไปที่นั่นเดี๋ยวนี้” พัชพูดขึ้น แต่เหมือนกับมันคือการพึมพำบอกกับตัวเขาเองเสียมากกว่า “แกจะกลับไปไหน นี่แกเพิ่งเข้าห้องมา ว่าแต่ แกไปไหนมา ไหนแกตอบฉันมาก่อน” เพื่อนสนิทของพัชเริ่มรู้สึกหงุดหงิด ที่พัชนั้นดูเหมือนจะไม่เป็นตัวของตัวเอง และอาการสะเปะสะปะจิตใจเลื่อนลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ยอมพูดจาดี ๆ ให้เข้าใจกันก่อน มันทำให้เพื่อนสนิทเอง ก็เริ่มจะทนไม่ไหวเช่นกัน


 
“พัช พัช หยุด พัช หยุดเดี๋ยวนี้” เพื่อนสนิทของพัชตะโกนใส่หน้าพัช ก่อนจะคว้าขวดเหล้ามาจากมือของพัช “นี่แกรู้ตัวมั้ย ว่าแกกำลังทำอะไรกับตัวแกเองอยู่” ใบหน้าของพัชเหมือนคนกำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ “แกรู้ตัวมั้ย ว่าที่แกทำอยู่เนี่ย มันกำลังทำร้ายตัวแกเองมากมายขนาดไหน แกมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวแกเองมั้ย ว่าแกกำลังทำลายชีวิตตัวเอง การงานก็กำลังจะพังยับลง ความสัมพันธ์กับลูกค้าที่แกเขียนมันขึ้นมาด้วยสองมือ ด้วยการอาบเหงื่อต่างน้ำ แต่แกลบมันด้วยส้นตีนอย่างไม่ไยดี โดยเฉพาะความเป็นเพื่อนของเรา แกเห็นบ้างมั้ยพัช แกแคร์บ้างมั้ย” เพื่อนสนิทของพัช อยากให้พัชทำยังไงก็ได้ ให้มีสติมากขึ้นกว่านี้



“แกไม่เข้าใจ” พัชพูดขึ้น “ฉันต้องกลับไป ฉันต้องไปในที่ที่ฉันยังสามารถมีความหวัง ที่ที่ฉันยังมีโอกาส และมันอาจจะเป็นครั้งสุดท้าย โอกาสสุดท้ายที่เหลืออยู่ของฉัน” พัชเริ่มร้องไห้ออกมา “เหล้าพวกนี้มันช่วยได้” พับชี้ไปที่ขวดเหล้าในมือของเพื่อน ที่เพื่อนสนิทของเขาโยนขวดนั้นทิ้งลงถังขยะไป “เหล้าพวกนี้ มันช่วยอะไรแกไม่ได้ มันกำลังกลืนกินแกพัช มันทำให้แกดูไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่ในตอนนี้” มาถึงตอนนี้ เพื่อนสนิทของพัชกำลังคิดว่า เพื่อนของเธอเผชิญกับอาการติดเหล้าอย่างแน่นอน



“ฉันต้องการมัน เพราะมันพาฉันกลับไปที่ที่ฉันควรอยู่” เพื่อนสนิทของพัชส่ายหน้า ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากดหาหมอที่รู้จักกัน ที่คิดว่าอาจจะพอช่วยเพื่อนของเธอได้ “แกต้องการหมอ แกต้องให้หมอมารักษาแก พัช” ได้ยินแบบนั้น พัชก็กระโดดคว้าโทรศัพท์ออกมาจากมือของเพื่อน “ฉันปกติดี แกแค่ไม่เข้าใจฉัน เหล้าพวกนี้มันช่วยฉัน ให้กลับไปหาช่วงเวลาที่ฉันควรจะอยู่ได้ ให้ฉันมีโอกาสแก้ตัวอีกครั้ง” พัชพูดด้วยน้ำตานองหน้า เพื่อหวังว่า เพื่อนสนิทของเขาจะเข้าใจ

 

“โอกาสอะไรของแก โอกาสแก้ตัวอะไร” เพื่อนสนิทของพัชร้องถาม พัชที่กำลังสะอื้นไห้ พูดตอบกลับไป “ตั้น” และนั่นทำให้เพื่อนสนิทของพัชถึงกับต้องระเบิดอารมณ์ออกมา “พัช หยุดเดี๋ยวนี้ แกต้องหยุดเดี๋ยวนี้ มันไม่มีโอกาสอะไรอีกแล้วทั้งนั้น ตั้นมันมีชีวิตใหม่ของมันไปแล้ว มันมีครอบครัว มันมีเมียมีลูกของมันไปแล้ว แกต้องหยุด” เพื่อนสนิทของพัชพยายามหยุดเพื่อนของเธอ ด้วยการเขย่าตัวของพัช

 

“แกเป็นคนบอกว่าไม่ต้องการมัน แกบอกว่า ไม่มีตั้น แกก็อยู่ได้ แกเป็นคนไล่มันไปเอง ถึงเวลาแล้วเหมือนกัน ที่แกจะต้องทำให้ได้อย่างปากว่า แกต้องมูฟออนได้สักที แกลืมมัน ไอ้ตั้นมันลืมแกไปแล้ว” พัชสะบัดตัวออกจากการจับของเพื่อน ร้องไห้ฟูมฟาย กรีดร้องอย่างโหยหวน ราวกับว่ากำลังจะขาดใจลงไปเสียตรงนั้น น้ำตาที่มันทะลักทลายออกมาจากขอบตา ราวกับทำนบเขื่อนได้แตกพังลง เป็นที่น่าเวทนาเมื่อเพื่อนสนิทของพัช ต้องมาเห็นพัชในสภาพนี้อย่างยิ่ง

*****************************************************



คำแปลเนื้องร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

สวิตช์ที่ใจ - เบิร์ด ธงไชย

https://www.youtube.com/watch?v=oqte6zw2qAg


หลายคืน ที่ไฟภายในห้องนอน

Many nights, lights in my bedroom

ก็ปิดจนมืดไป

They were turned off, in the dark

แต่ใจยังมองเห็นเธอ

But my heart still saw you there

ยังเห็นเธอ ที่ดูยังคงร่าเริง

Seeing you that can still be joyful

เมื่อเดินจากฉันไป

Though you walked right out of my life

กับใครบางคนของเธอ

With someone you called yours

เมื่อวันนั้น

On that day


ไม่ได้อยากนึกถึงอีกเลย

I didn't think I'd miss anything

ขอแค่ลืมเรื่องเก่า จบสิ้นกัน

Just forget the old days, get it all done


ก็อยากแค่นอน

I just want to lie down

แค่ปิดแสงไฟ

Turn off the lights

แต่ปิดหัวใจฉันเองไม่ลง

But my heart is still lit

ไม่เคยสักวัน

Cannot do it not one day

ทุกเรื่องที่น่าจะลืม

Everything I'm supposed to put behind me

ช่างลืมยากเย็นอย่างนั้น

Turn out it is too damn difficult

ฉันอยากจะมีสวิตช์ไฟที่ใจ

I wish I could own that switch

อย่างเธอ

Like you did


เห็นเธอ เมื่อคราวที่เรารักกัน

Remember you, when we were still in love

ช่างดูว่ารักกัน

And it looked we were such deeply in love

ไม่มีวันแปรผันไป

Nothing could ever change us


และถึงคราว

But when the time came

ที่เธอจะลืมฉันลง

That you just simply forgot about me

ก็เปลี่ยนได้ข้ามวัน

You just did it over the night

และเธอก็ลืมง่ายดาย

And that's all it take for you to do it

ตั้งแต่นั้น

Since the day you're gone


ไม่ได้อยากนึกถึงอีกเลย

I didn't think I'd miss anything

ขอแค่ลืมเรื่องเก่า จบสิ้นกัน

Just forget the old days, get it all done


ก็อยากแค่นอน

I just want to lie down

แค่ปิดแสงไฟ

Turn off the lights

แต่ปิดหัวใจฉันเองไม่ลง

But my heart is still lit

ไม่เคยสักวัน

Cannot do it not one day

ทุกเรื่องที่น่าจะลืม

Everything I'm supposed to put behind me

ช่างลืมยากเย็นอย่างนั้น

Turn out it is too damn difficult

ฉันอยากจะมีสวิตช์ไฟที่ใจ

I wish I could own that switch

อย่างเธอ

Like you did


ก็อยากแค่นอน

I just want to lie down

แค่ปิดแสงไฟ

Turn off the lights

แต่ปิดหัวใจฉันเองไม่ลง

But my heart is still lit

ไม่เคยสักวัน

Cannot do it not one day

ทุกเรื่องที่น่าจะลืม

Everything I'm supposed to put behind me

ช่างลืมยากเย็นอย่างนั้น

Turn out it is too damn difficult

ฉันอยากจะมีสวิตช์ไฟที่ใจ

I wish I could own that switch

ได้ไหม

Couldn't I?


ฉันคงไม่ลืม

But I can't really do it

ฉันลืมหน้าเธอไม่ลง

I cannot forget your face
63
Boy's love story / Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 25 : Fuck Butterfly
« กระทู้ล่าสุด โดย Milky_Milky_Way เมื่อ 30-09-2025 12:05:31  »
“กูไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลยนะ ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน มีแค่ไปทำงานที่คณะเท่านั้นเอง” ผมกลับมาก่อนจีประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากพักร่างได้ 2 วันก็นัดทำงานกับพวกไอ้แก้วที่คณะ แม้จะฝึกงานเสร็จแล้วแต่พวกเรายังต้องทำ assignment ให้เสร็จก่อนเปิดเทอม

“เหรอ แน่ใจ? ว่าระหว่างฝึกงานไม่มีใครมาจีบ ...” ริมฝีปากบางของผมเม้มเข้าหากัน

“... ถ้าโกหกจะถูกทำโทษนะ” คนด้านหลังพูดเหมือนรู้ทันว่าผมคิดอะไรในใจ สงสัยมาซักพักแล้วว่าต้องมีใครซักคนในกลุ่มเป็นสายให้จี หรือความเป็นจริงแล้วอาจจะเป็นสายให้คนข้างๆ ทั้ง 3 คนเลยก็ได้

“ก็ ... ก็มีบ้าง ... มีคนมาขอเบอร์ ขอ Facebook”

“แล้วไงต่อ” น้ำเสียงเรียบสนิทในขณะที่แขนที่พาดอยู่บนเอวกลับออกแรงดึงรั้งผมเข้าหาตัว

“ก็ไม่ได้ให้ บอกเขาว่าไม่สะดวกให้”

“ดีมากครับ ... มิลค์”


----------


#นั่งตัก #Fuck Butterfly
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
64
ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในทุกพื้นที่ของบ้าน สุขภัณฑ์อัตโนมัติ (Smart Toilet) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ฝารองนั่งอัตโนมัติ" มาตรฐานใหม่ ที่ช่วยยกระดับสุขอนามัย ความสะดวกสบาย และประสบการณ์ในการใช้ห้องน้ำให้เหนือกว่าสุขภัณฑ์แบบเดิม สุขภัณฑ์อัจฉริยะเหล่านี้จึงได้รับความนิยมและเป็นสิ่งที่ควรมีในห้องน้ำยุคใหม่

5 คุณสมบัติเด่นของสุขภัณฑ์อัตโนมัติ
สุขภัณฑ์อัตโนมัติมาพร้อมฟังก์ชันที่หลากหลาย ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ด้านความสะอาดและความสบายสูงสุด

1. ระบบชำระล้างอัตโนมัติ (Bidet Function)
นี่คือหัวใจสำคัญของสุขภัณฑ์อัตโนมัติ หัวฉีดสามารถปรับตำแหน่ง แรงดันน้ำ และอุณหภูมิได้อย่างแม่นยำเพื่อการชำระล้างที่ถูกสุขอนามัยที่สุด แทนการใช้กระดาษชำระ ซึ่งช่วยลดการสัมผัสและทำความสะอาดได้อย่างหมดจดกว่ามาก

2. ที่นั่งอุ่นสบาย (Heated Seat)
ฟังก์ชันนี้มอบความสะดวกสบายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในห้องน้ำที่มีอากาศเย็น ที่นั่งสามารถปรับอุณหภูมิให้อุ่นพอดีกับร่างกาย ทำให้ประสบการณ์การเข้าห้องน้ำในตอนเช้าหรือช่วงฤดูหนาวไม่เป็นเรื่องทรมานอีกต่อไป

3. ระบบเป่าลมอุ่น (Warm Air Dryer)
หลังจากชำระล้างแล้ว ระบบเป่าลมอุ่นจะทำงานแทนการใช้กระดาษชำระ เป็นการช่วยให้ผิวแห้งอย่างอ่อนโยนและรวดเร็ว ลดการใช้กระดาษ ทำให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดภาระในการกำจัดของเสีย



4. ระบบเปิด-ปิดฝาอัตโนมัติ (Auto Open/Close Lid)
เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวช่วยให้ฝาชักโครกเปิดขึ้นเองเมื่อเดินเข้าไปใกล้ และปิดลงอัตโนมัติเมื่อใช้งานเสร็จสิ้น ลดการสัมผัสโดยตรง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการรักษาสุขอนามัยในห้องน้ำสาธารณะหรือในบ้านที่มีผู้สูงอายุ ฝารองนั่งชักโครก ผู้สูงอายุ

5. ระบบกำจัดกลิ่นและฆ่าเชื้อ (Deodorizer & Sterilization)
สุขภัณฑ์บางรุ่นมาพร้อมระบบกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์อัตโนมัติ และมีการใช้เทคโนโลยีแสง UV หรือน้ำอิเล็กโทรไลซ์เพื่อฆ่าเชื้อที่หัวฉีดและภายในโถสุขภัณฑ์ ช่วยให้ห้องน้ำสะอาดและสดชื่นอยู่เสมอ

สุขภัณฑ์อัตโนมัติ: มากกว่าความสบายคือสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
การลงทุนในสุขภัณฑ์อัตโนมัติไม่เพียงแต่ให้ความสะดวกสบาย แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพและโลกของเรา

ดีต่อสุขอนามัย: การชำระล้างด้วยน้ำอุ่นช่วยทำความสะอาดได้ล้ำลึกกว่าการเช็ดด้วยกระดาษ ลดการระคายเคือง และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น ริดสีดวงทวาร
ดีต่อสิ่งแวดล้อม: การลดการใช้กระดาษชำระลงอย่างมาก หมายถึงการลดปริมาณขยะและลดการตัดต้นไม้ ซึ่งเป็นการช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในระยะยาว
เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย: ทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว สามารถใช้งานสุขภัณฑ์อัตโนมัติได้อย่างง่ายดายและปลอดภัย

สุขภัณฑ์อัตโนมัติ คือนวัตกรรมที่เปลี่ยนประสบการณ์ในห้องน้ำสวยๆอย่างแท้จริง ด้วยฟังก์ชันที่ผสานความสะดวกสบาย สุขอนามัย และการรักษาสิ่งแวดล้อมเข้าไว้ด้วยกัน หากกำลังมองหาวิธีอัปเกรดห้องน้ำให้ทันสมัย สะอาด และน่าใช้งาน การติดตั้งสุขภัณฑ์อัจฉริยะนี้คือการลงทุนที่คุ้มค่าและสมเหตุสมผลที่สุดในปัจจุบัน

65
Boy's love story / Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 25 : Fuck Butterfly
« กระทู้ล่าสุด โดย Milky_Milky_Way เมื่อ 28-09-2025 09:52:37  »
ตอนที่ 25 : Fuck Butterfly (Part2/2)


ส่องกระจกแล้วส่องกระจกอีก เสื้อตัวนั้นใส่แล้วดูดีไหมนะ ถ้าใส่กับกางเองตัวนี้จะเข้ากันหรือเปล่า ชุดนี้ก็หลวม ชุดนั้นก็ไม่ถูกใจ กำไร แหวน ใส่ทั้งหมดนี่จะเยอะไปไหม ผมหยิบเสื้อผ้ากางเกงเครื่องประดับเข้าๆ ออกๆ มาตั้งแต่ช่วงบ่าย จนถึงตอนนี้ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ อีกไม่ถึงชั่วโมงจะถึงเวลานัดแล้ว ... ไม่เอาชุดนี้ ไม่เข้ากัน เลือกใหม่ๆ

ขณะที่กำลังเลือดชุดสำหรับเย็นนี้ อยู่ๆ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อประตูห้องนอนถูกเปิดออก

“มึงอยู่ในนี้หรือเปล่าวะ ...” เป็นจังหวะ dead air ที่น่าอับอายที่สุดในชีวิต คนตรงหน้าในชุดเสื้อโปโลสีฟ้ากางเกงยีนส์ขายาวกำลังจ้องมาที่ผมด้วยสีหน้าตกตะลึง ตาชั้นเดียวคู่นั้นเบิกกว้างที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นผม

“... เปลี่ยนชุดอยู่เหรอ” จีเป็นฝ่ายที่ตั้งสติได้ก่อน แต่แทนที่จะเดินกลับออกไป เจ้าตัวกลับก้าวเข้ามาในห้อง แล้วทำเหมือนเป็นเรื่องปกติที่เห็นผมจะเดินไปเดินมาโดยสวม boxer อยู่ตัวเดียว  :m25:

 “อะ เออ นั่งก่อนดิ” ผมไม่รู้ว่าควรจะไล่มันออกจากห้อง หรือชวนมันเข้ามาแต่ในเมื่อเจ้าตัวหย่อนก้นลงบนเตียงแล้ว ผมก็เลยๆ ตามเลย

“มึงรื้อชุดออกมาเยอะขนาดนี้เลยเหรอ” เสื้อกางเกงหลายชุดของผมวางอยู่บนเตียง แขวนอยู่บนตู้ พาดอยู่บนพนักเก้าอี้ จีมองไปรอบๆ ก่อนที่สายตาจะกลับมาหยุดอยู่ที่ผมอีกครั้ง

“อ่ออ เออ อืม” เชี่ย!!! ไปไม่เป็นเลยอะ จีนิ่งมาก มันทำเหมือนนี่คือเหตุการณ์ปกติ ส่วนผมก็เขินมาก เขินจนทำตัวไม่ถูก เลยคว้าเสื้อที่อยู่ใกล้ที่สุด ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วใส่ๆ มันไปละกัน

“ตัวนี้ดีกว่า ...” มือที่กำลังสวมเสื้อหยุดชะงัก จีหยิบเสื้อตัวที่วางอยู่บนเตียงแล้วเดินเข้ามาหา

“... น่าจะเข้ากับมึง” ผมรับเสื้อยืดคอกลมสีขาวจากมือเพื่อนสนิท มันเป็นเสื้อยืดคอกลมง่ายๆ มีแค่ logo ของ brand ปักอยู่บนหน้าอกซ้าย

“เหรอ” รับมาแล้วก็รีบสวมอย่างไว

“เอากางเกงตัวนี้” กางเกงยีนส์สีเทาซีดๆ ถูกส่งมาให้ พอใส่เสื้อกางเกงครบ ในใจเลยรู้สึกว้าวุ้นน้อยลง

“ผมไม่ต้อง set แล้วมั้ง แค่นี้ก็ดูดีแล้ว” เชี่ยยยยยยยยยยยยย!!! นี่มันกำลังชมว่าผมดูดีงั้นเหรอ

“อืม ไม่ set แล้วก็ได้”

“ยังขาดอะไรอีกซักหน่อย ...” พูดจบมันก็เดินไปโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วเปิดกล่องใส่ accessory ที่วางอยู่หน้ากระจก

“... เหมือนจะเยอะขึ้นจากครั้งสุดท้ายที่กูเห็นนะ ... นี่ไง ...” เจ้าตัวพูดงึมงำๆ ก่อนจะเดินกลับมา สร้อยข้อมือและกำไลถูกบรรจงสวมใส่บนข้องมือทั้ง 2 ข้าง ตามด้วยแหวนที่ถูกสวมลงบนนิ้วชี้ขวา นิ้วกลางซ้าย และจบลงด้วยนิ้วนางข้างซ้าย

“... perfect” มากกกกกก เกินไปมากสำหรับวันแรกที่เจ้าตัวกลับมาจาก offshore ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหัวใจของผมทำงานหนักเหมือนไปวิ่งมาราธอนมา 10 รอบ ผมไม่ได้รู้สึกไปเองใช่ไหมว่าบรรยากาศระหว่างเรามันดูแปลกไป เหมือนว่าเรากำลังก้าวขึ้นไปอีก step หนึ่ง

“งั้นเราไปกันเลยไหม” ผมถามขึ้นในขณะที่คนตรงหน้ายังกุมมือข้างซ้ายของผมไว้

“มานั่งกับกูก่อน ...” จีเดินจูงผมไปที่เตียงแล้วดึงตัวผมมานั่งบนตัก

“... นั่งดีๆ อย่ายุกยิกดิ”

“ก็มันนั่งไม่ถนัด” ผมเถียงเพราะนั่งไปถนัดจริงๆ ... ไม่ถนัดทั้งกาย ไม่ถนัดทั้งใจ

“มิลค์ นั่งดีๆ ถ้าของกูมันขึ้นๆ มาจริงๆ กูจะให้มึงช่วยเอามันลงนะ...” เป็นคำขู่ที่ทำผมตัวแข็งทื่อเป็นหินทันที  :oo1:

“... กูไม่อยู่ 3 สัปดาห์ เป็นเด็กไม่ดีหรือเปล่า” เสียงกระซิบที่ดังอยู่ไม่ไกล และลมร้อนที่เป่าลดหลังใบหูทำให้อุณภูมิร่างกายของผมร้อนฉ่า มือหนาที่เคยกุมมือของผมเอาไว้เปลี่ยมมาโอบเอวหลวมๆ

“กูไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลยนะ ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน มีแค่ไปทำงานที่คณะเท่านั้นเอง” ผมกลับมาก่อนจีประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากพักร่างได้ 2 วันก็นัดทำงานกับพวกไอ้แก้วที่คณะ แม้จะฝึกงานเสร็จแล้วแต่พวกเรายังต้องทำ assignment ให้เสร็จก่อนเปิดเทอม

“เหรอ แน่ใจ? ว่าระหว่างฝึกงานไม่มีใครมาจีบ ...” ริมฝีปากบางของผมเม้มเข้าหากัน

“... ถ้าโกหกจะถูกทำโทษนะ” คนด้านหลังพูดเหมือนรู้ทันว่าผมคิดอะไรในใจ สงสัยมาซักพักแล้วว่าต้องมีใครซักคนในกลุ่มเป็นสายให้จี หรือความเป็นจริงแล้วอาจจะเป็นสายให้คนข้างๆ ทั้ง 3 คนเลยก็ได้

“ก็ ... ก็มีบ้าง ... มีคนมาขอเบอร์ ขอ Facebook”

“แล้วไงต่อ” น้ำเสียงเรียบสนิทในขณะที่แขนที่พาดอยู่บนเอวกลับออกแรงดึงรั้งผมเข้าหาตัว

“ก็ไม่ได้ให้ บอกเขาว่าไม่สะดวกให้”

“ดีมากครับ ... มิลค์”

“อืม”

“เราไม่พูดกูมึงกันได้ไหม”

“ฮะ??? อารมณ์ไหนของมึงเนี่ย”

“เพิ่งบอกอยู่หยกๆ ว่าไม่พูดกูมึง”

“แล้วจะให้ใช้คำไหน”

“เรียกชื่อแทนไง”

“ไม่เอาอะ ไม่ชิน”

“เรียกบ่อยๆ เดียวก็ชิน ... มิลค์ครับ ...” เชี่ยยยยยยยยยยยย ขนลุกไปทั้งตัว

“... มิลค์หิวข้าวหรือยัง ... ไม่ต้องเขิน ไหนเรียกชื่อจีซิ ...”

...

...

...

“... เรียกเร็วครับ”

“จี ... มิลค์หิวข้าวแล้ว”

“ดีมากครับ งั้นไปกินข้าวกันนะ คนเก่งของจี”

จมูกโด่งของจีกดลงบนลาดไหล่ของมิลค์ ก่อนที่หน้าผากกว้างจะซบลงแผ่นหลังของเพื่อนสนิท แล้วออกแรงรั้งตัวที่นั่งอยู่บนตักของเขาให้อิงแอบแนบชิดมากขึ้นกว่าเดิม

จีกลับมาถึง base กลางดึกของเมื่อคืน สายแรกที่โทรเข้ามาคือสายของมิลค์ แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขารีบกลับกรุงเทพแต่เช้าได้ยังไง เป็นครั้งแรกที่เรา 2 คนห่างกันนานขนาดนี้ รวมๆ แล้วเกือบจะเดือนครึ่งที่ไม่ได้เห็นหน้ากัน การได้ยินแค่เสียงกลับยิ่งทำให้คิดถึงมากขึ้นกว่าเดิม ไม่รู้ทำไมตั้งแต่เริ่มทำงาน เวลาอยู่ใกล้ชิดกับมิลค์แล้วมีแต่ความคิดอกุศลเกิดขึ้นมากมาย อยากกอด อยากจูบ อยากดูแลปกป้อง อยากเป็นเจ้าของ อยากมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ... เป็นแฟนกันเลยได้ไหม คบกันเลยได้ไหม ไม่อยากรอให้เสียเวลาอีกแล้ว



ผมในชุดไปรเวทยืนถือของพะรุงพะรังอยู่ใต้ร่มไม้ของลานเกียร์ บัณฑิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ในชุดครุยนับร้อยๆ คนเดินสวนกันไปมาให้ขวักไขว่ เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และการรวมตัวกันของพ่อแม่ญาติพี่น้องทำให้วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่น่าจดจำของบัณฑิตใหม่

“มิลค์ ไหวไหมของเยอะมากเลย” จีเดินกลับมาพร้อมกับช่อดอกไม้สีส้มในอ้อมแขน ในมือของมันยังถือตุ๊กตาหมีสีขาวใส่ชุดครุยแบบเดียวกันถึง 3 ตัว

“ไหวๆ เอามาๆ เดียวมิลค์เก็บไว้ให้” ผมคว้าเอาช่อดอกไม้ในอ้อมแขนของจี ก่อนจะวางมันไว้บนโต๊ะม้าหินด้านหลัง ทีมีช่อดอกไม้วางอยู่ก่อนแล้วเกือบ 10 ช่อและตุ๊กตาใส่ชุดครุยเกือบ 15 ตัว

“ร้อนฉิบหาย” คนตรงหน้าบ่นพร้อมกับใช้มือทั้ง 2 ข้างกระพือเสื้อพิธีการสีขาวตัวหนาเพื่อระบายความร้อน

“กินน้ำก่อน” มือหนึ่งหยิบขวดน้ำดื่มส่งให้ ส่วนอีกมือหยิบเอาพัดลมไฟฟ้าแบบพกพาขึ้นมาเป่าเพื่อช่วยดับร้อน มือหนารับเอาขวดน้ำจากมือผมไปก่อนจะกระดกน้ำไปค่อนขวด

แม้จะเป็นช่วงเดือนกรกฎาคมที่อากาศไม่ได้จัดว่าร้อนเท่าไหร่นักแต่เพราะชุดที่หนา ไหนจะเสื้อข้างในและเสื้อครุยแค่คิดผมก็รู้สึกเห็นในบัฌฑิตใหม่ที่ต้องสวมชุดรับปริญญาเดินไปเดินมาทั้งวัน

 “อ่า!!! ขอบใจ ... แล้วนี่ร้อนไหม หิวข้าวหรือเปล่า”

“ไม่ร้อนๆ มิลค์กินมาแล้วตอนที่จีอยู่ในหอประชุม ... ป๊าม๊ามากี่โมง” ผมพูดพลางเอาพัดลงไฟฟ้าแบบพกพาเป่าคนตรงหน้าพร้อมกันถึง 2 ตัว

“น่าจะอีกซักพัก นัดไว้บ่าย 3 ...”

“... แล้วนี่โดดเรียนได้ใช่ไหม เกรงใจ”

“โดดเรียนได้ เดียวไปตาม lecture กับไอ้แก้วเอา” วันนี้ผมตั้งใจจะอยู่กับจีทั้งวัน ที่จริงคืออยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เมื่อวาน จีมานอนค้างที่คอนโดของผม เราตื่นพร้อมกันตั้งแต่ตี 3 เพราะคณะวิศวะเข้ารับปริญญาช่วงเช้า เจ้าตัวเลยต้องตื่นเช้ามาแต่งหน้า ทำผม และถึงคณะให้ทันนัดตอน 6 โมงเช้า ในขณะที่เพื่อนสนิทแต่งหล่อ ผมก็จัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ นานา รวมถึงขับรถมาส่งเพื่อให้คนตรงหน้าได้มีเวลากินข้าวเช้า

“พี่จีคะ ... ถ่ายรูปกันคะ” บทสนทนาของเราถูกขัดจังหวะด้วยกลุ่มรุ่นน้องชายหญิงกลุ่มใหญ่

“ได้ซิครับ” คนตรงหน้าตอบด้วยน้ำเสียงสุภาพ แม้ว่าจะร้อนจนเม็ดเหงื่อขึ้นเต็มหน้าก็ตามแต่จีก็ยิ้มแย้มถ่ายรูปกับทุกคน

“จี ... เหงื่อออกเยอะมาก เดียวมิลค์จัดการให้ ...”

“... แป๊บนึงนะครับ ... หลับตา ...” ผมหันไปบอกกลุ่มรุ่นน้องที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะหยิบเอาสเปรย์น้ำแร่ออกมาฉีดพรมเบาๆ ให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ซักพักแล้วค่อยๆ ใช้ทิชชูซับออก

“รู้สึกดีขึ้นเลยวะ”

“อืม ไปได้แล้ว ...” พูดจบก็พลักไหล่เพื่อนสนิทให้เดินไปหากลุ่มรุ่นน้องที่ตั้งท่ารอถ่ายรูปอยู่ไม่ไกล เสียงหัวเราะ เสียงแซว ดังขึ้นเมื่อพี่บัณฑิตเดินเข้าไปยืนอยู่ตรงกลาง ตั้งแต่วันนั้น เราก็เปลี่ยนสรรพนามเรียกชื่อของกันและกันแทน ไม่มีแล้ว “กู-มึง” มีแต่ “มิลค์-จี” แม้ว่าช่วงแรกจะขัดเขินแต่ซักพักก็ชิน พวกเพื่อนๆ แซวกันสนุกปากแต่ลับหลังพวกมันก็แอบยินดี ผมสัมผัสได้ว่าความรู้สึกของเราทั้ง 2 คนกำลังสุกงอม แม้จะยังไม่ได้คบกันอย่างเป็นทางการแต่ตอนนี้ผมกับจีก็ไม่ต่างอะไรกับคู่รัก

ช่วงที่จีไป off shore ผมนั่งนับวันรอจีกลับมาราวกับเด็กน้อยนับถอยหลังรอวันหยุด ช่วงที่กลับมากรุงเทพจีมานอนกับผมเกือบทุกวัน แม้จะต้องเข้า office แต่ก็เหมือนไปพอเป็นพิธี เจ้าตัวเลยมีเวลาว่างไปรับไปส่งผมรวมถึงพาไปกินข้าวดูหนัง เรากอด จับมือ และสัมผัสตัวกันง่ายขึ้นกว่าเก่า ... แค่มองตาผมก็รับรู้ได้ว่าเรา 2 คนใจตรงกัน ผมไม่สนใจแล้วกับแผลในอดีต ตอนนี้ผมมั่นใจว่าตัวเองพร้อมจะก้าวไปข้างหน้า เพียงแค่จีเอ่ยปาก ผมก็พร้อมจะขยับสถานนะจากเพื่อนเป็นคนรัก

“... มาครับ เดียวพี่ช่วยพี่จีถือ” ถ่ายรูปเสร็จน้องๆ ก็ให้ช่อดอกไม้และของขวัญอีกหลายชิ้นจนผมต้องเดินเข้าไปช่วยถือ

“จะขนกลับหมดไหมวะ” เจ้าตัวพูดพร้อมกับยืนเท้าเอวมองของขวัญมากมายที่กองอยู่บนโต๊ะ

“หมดแหละ ... ทำไงได้เนอะ คนมัน popular” อดใจไม่แซวไม่ได้ ของขวัญจาก FC เยอะจริงๆ กองเต็มโต๊ะจนลุงป้าน้าอาโต๊ะข้างๆ เหล่มองทุกครั้งที่เจ้าตัวกลับมาพร้อมช่อดอกไม้และของขวัญชิ้นใหม่

“แซวๆ ... แป๊บนะป๊าโทรมา ...”

“... ไปกัน ป๊าม๊ารออยู่หน้าคณะ ไปถ่ายรูปกับป๊าม๊ากัน”

“แล้วของละ”

“ทิ้งไว้นี่แหละ ไม่มีใครเอาไปหรอก ...”

“... จีเอาแค่ช่อนี้ไปก็พอ อย่างอื่นหายได้ยกเว้นช่อนี้” ผมหลุดยิ้มออกมาทันทีที่เจ้าตัวหยิบเอาช่อดอกกุหลาบสีแดงสดช่อโตขึ้นมากอดไว้ ช่อดอกไม้ของผมที่ให้เจ้าตัวเป็นช่อแรกหลังจากออกมาจากหอประชุม

“G”

“ครับ, dear”

“Congratulations again, no word can explain how I feel today”

“You don’ t have to said anything. Your smile tells me everything and I cannot wait to take the next step with you.”

“สวัสดีครับป๊า-ม๊า ... สวัสดีครับเฮีย-เจ้” ผมยกมือไหว้พ่อแม่และพี่ๆ ของจี ป๊าผูกเนคไทด์สวมสูทมาเต็มยส ในขณะที่ม๊ามาในชุดเดรสสีชมพูสดใส

“ขอบใจนะอามิลค์ เหนื่อยแย่เลยตื่นตั้งแต่เช้าแล้วยังต้องมาอยู่เป็นเพื่อนอาจีทั้งวัน” ม๊าหันมาพูดกับผม

“ไม่เป็นไรครับม๊า”

“ไม่ได้เจอนานเลย เป็นยังไงบ้างลูก สบายดีนะ”

“สบายดีครับ ม๊าเป็นยังไงบ้างครับ” มือเล็กๆ ของม๊ากุมมือผมไว้ตอนช่วงเวลาที่ไถถามสาระทุกข์สุขดิบ

“ม๊าสบายดี แล้วนี่ใกล้จะเรียนจบหรือยัง”

“ถ้านับปีนี้ด้วยก็อีก 3 ปีครับ”

“ใกล้แล้วๆ พยายามอีกนิด”

“ขอบคุณครับ”

“คุณพ่อคุณแม่สบายดีนะ”

“สบายดีครับ”

“เจ้าจีมาเล่าให้ฟังว่าพ่อของมิลค์ชวนเขาไปทำงานด้วยกัน ม๊าก็เชียร์ให้ไปทำนะ ทำงานกับอามิลค์มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน แต่อีก็ดื้อเหลือเกิน”

“555 มิลค์พยายามพูดเท่าไหร่จีก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจครับ ... ไปครับม๊า ไปถ่ายรูปกัน” ผมจูงมือม๊ามายังป้ายชื่อหน้าคณะ

ผมเขยิบออกมายืนอยู่ด้านข้างเพื่อให้ครอบครัวของจีได้ถ่ายรวมกัน เลยได้เห็นว่าป๊าและม๊ายิ้มกว้างแค่ไหน ลูกชายคนสุดท้องเรียนจบมหาวิทยาลัยด้วยวุฒิเกียรตินิยมอันดับ 1 ความสุขของคนเป็นพ่อเป็นแม่เอ่อล้นออกมาทางสายตาและรอยยิ้ม

“มิลค์ มาถ่ายรูปกันลูก ...” ป๊าเรียกผมหลังจากถ่ายรูปครอบครัวไปได้หลาย act

“... มาๆ มายืนข้างจีเลย” ผมยิ้มรับแล้วค่อยๆ เขยิบเข้ามายืนข้างเพื่อนสนิท

“พร้อมนะครับ ขอ 5 act รั่วๆ เลยนะครับ” พี่ตากล้องตะโกนบอก

หลังมือของผมกับจีสัมผัสกันเบาๆ จากนั้นนิ้วก้อยของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เริ่มสะกิดนิ้วก้อยของผม เราสะกิดกันไปมาในขณะที่ act ท่าถ่ายรูป ก่อนที่นิ้วก้อยของจีจะตวัดเกี่ยวนิ้วก้อยของผม

“เย็นนี้ไปกินข้าวด้วยกันนะมิลค์” ป๊าเอ่ยปากชวน หลังจากที่ตระเวนถ่ายรูปกับลูกชายคนเล็กจนทั่วคณะ ตอนนี้ทุกคนย้ายมานั่งรวมกันที่โต๊ะมาหิน ยังมีรุ่นพี่รุ่นน้องมาขอถ่ายรูปกับบัณฑิตใหม่ต่อเนื่องจนของขวัญเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว เฮียกับเจ้ต้องอาสาเอาของบางส่วนไปเก็บที่รถก่อน

“จะดีเหรอครับ มิลค์เกรงใจ”

“เกรงใจอะไร คนกันเองทั้งนั้น ป๊าม๊าไปรอที่โรงแรม ลือ 2 คนเสร็จแล้วค่อยตามมานะ”

“ได้ครับ ... งั้นมิลค์ฝากของไว้กับป๊าก่อนนะครับ ขอตัวไปเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่งครับ”



“มึงว่าคนนั้นใช่แฟนพี่จีหรือเปล่าวะ” มือที่กำลังจะเปิดประตูห้องน้ำออกชะงักอยู่กับที่ เสียงของใครซักคนดังขึ้นโดยมีเสียงน้ำไหลจากก๊อกเป็นเสียง background

“พี่จี บัณฑิต อะเหรอ ...”

“... จะเหลือเหรอมึง ตามมาเฝ้าตั้งแต่เช้า กูแอบเห็น shot เขาซับหน้าให้กันด้วย ยิ้มหวานราวกับทั้งโลกมีแค่เรา 2 คน”

“พี่เขาน่ารักดีเนอะ เขาเรียนมหาลัยเราเปล่าวะ”

“นี่มึงไม่รู้จักพี่เขาเหรอ”

“ฮึ ใครวะ”

“มิลค์ ติฒสิงห์ ไงมึง rare item คณะสัตว ลูกเจ้าของ The Nemean Group อะ”

“คนนี้นะเหรอ เชี่ยยยยยย มิน่าละราศีโคตรจับ คนอะไรเหมือนเปล่ง aura ตลอดเวลา”

“ตอนพี่เขาเข้าเรียนปี 1 เป็น talk of the town เลยนะ”

“ใครจะเชื่อเนอะว่าสุดท้ายจะมาเป็นแฟนกับพี่คณะเรา”

“มีข่าวเม้าท์ว่า 2 คนนี้คบกันมาซักพักแล้ว เขาว่ากันว่าเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม”

“ดีเนอะ ได้เป็นแฟนกับเพื่อนสนิท”

“เหมาะสมกันดี พี่จีก็เป็นหนึ่งในสมบัติคณะ หล่อ นิสัยดี เรียงเก่ง มีแต่คนปลื้ม บริษัทที่พี่จีทำงานโคตรใหญ่ เงินเดือนก็ดี”

“จริงมึง 2 คนนี้โคตรเหมาะสมกัน”

“มีคนในใจแล้วนี่เอง มิน่าละพี่จีถึงไม่เคยมีข่าวกับใคร”

“อืม เปิดตัวขนาดนี้ ชัดแล้วมั้งว่าคบกันจริง”



“มันหล่อจริงๆ เว้ยวันนี้” ไอซ์พูดพลางยกแขนขึ้นพาดไหล่ผมไว้หลวมๆ ผมมองเพื่อนสนิทที่แม้จะเดินออกมาไกลจากคณะแต่ก็ยังมีคนมาขอถ่ายรูป สมแล้วที่จะถูกเรียกว่า ‘สมบัติคณะ’

หลังจากส่งป๊าม๊ากลับ ผมกับจีก็เดินมาสมทบกับคนอื่นๆ พวกเรานัดกันถ่ายรวมกลุ่มแถวหน้าหอประชุม

“อืม หล่อ”

“ชมผู้ชายหล่อได้ไม่อายปากเลยนะมึง...” ไอซ์เอ่ยบางแซว มันเบ้ปากมองบนใส่ผมอย่างที่เจ้าตัวชอบทำ จริงๆ ก็อาย แต่ต้องยอมรับว่าวันนี้คุณเขาหล่อจริง หล่อจนอยากเก็บเอาไว้ที่ห้อง ไม่อยากให้ใครเห็น แต่วันนี้เป็นวันของเขาเลยต้องยอมให้วันหนึ่ง

“... วาสนามึงเนอะ ได้แฟนหล่อ”

“บ้า!!! ยังไม่ได้เป็นแฟนกัน” ผมใช้ข้อศอกกระทุ้งเอวไอซ์เบาๆ

“กูก็พูดเผื่อไว้ก่อนไง”

“พูดแบบนี้ มึงไปรู้อะไรมา จีมันไปปรึกษามึงเหรอ”

“หางกระดิกเลยนะอีแรด ... เปล่า มันไม่ได้พูดอะไร จีมันเคยปรึกษาเรื่องแบบนี้กับใครที่ไหน ...”

“... กูแค่สัมผัสได้ว่าความสัมพันธ์ของมึง 2 คนก้าวไปอีก step หนึ่งแล้ว”

“อืม” ไอซ์ไม่ใช้คนแรกที่พูดประโยคนี้ ตอนนี้ความรู้สึกที่เรา 2 คนมีให้กันมันล้นจนซ้อนเอาไว้ไม่อยู่แล้วจริงๆ

“มึงไม่กลัวแล้วเนอะ” ผมส่ายหัวให้กับคำถามของไอซ์

“ไม่กลัวแล้ว” มีจีอยู่ด้วยต่อให้ฟ้าถล่มลงมาผมก็ไม่กลัว

“ยินดีกับมึงด้วย”

“ขอบใจ ... ไปถ่ายรูปกันมึง พวกมันกวักมือเรียกแล้ว”



‘Fuck butterfly, I feel the whole zoo when I’ m with you’



Gossip 3rd Year

ข่าวล่ามาแรงคร่า!!! วันรับปริญญาที่ผ่านมามีแมงเม๊าท์ตาดีแอบไปเห็นไฮโซ ม. ที่ลานเกียร์ ปักหลักอยู่ตั้งแต่เช้าถึงเย็น ทั้งช่วยถือของ ช่วยถ่ายรูป ป้อนน้ำ เช็ดหน้า หนุ่ม ม. ของเราทำหน้าที่ได้ไม่มีขาดตกบกพร่อง จังหวะถ่ายรูปครอบครัวดิฉันน้ำตาลื้อเมื่อพ่อสามีกวักมือเรียกลูกสะใภ้เข้าเฟลม ให้ความรู้สึกเหมือนถ่ายรูปครอบครัวบ่าวสาวมากกว่างานรับปริญญา เหนือสิ่งอื่นใดคือช่อดอกไม้ใหญ่เท่าบ้านราวกับเหมาดอกกุหลาบทั้งปากคลองตลาดมาไว้ในช่อเดียวกัน สมศักดิ์ศรีลูกเขยมหาเศรษฐีแสนล้าน สุดท้ายดิฉันขอแสดงความยินดีกับ หนุ่ม จ. ‘ลูกเขยคณะ’ ที่คว้าเกียรตินิยมอันดับ 1 มาครองได้สำเร็จ และขอให้บ่าวสาวมีชีวิตคู่ที่ยืนยาว ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร


----------

#Next step #พี่จีจะกินน้องแล้วววววววว #Fuck Butterfly
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
66
Boy's love story / Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 25 : Fuck Butterfly
« กระทู้ล่าสุด โดย Milky_Milky_Way เมื่อ 28-09-2025 09:48:06  »
ตอนที่ 25 : Fuck Butterfly (Part1/2)


“สุขสันต์วันเกิดนะวายุ ... นี่ของขวัญ ของกูกับจี” ผมยื่นถุงกระดาษสีสันสดใสให้คนตรงหน้า ตั้งแต่เดินเข้ามามาในงานก็เพิ่งได้เจอเจ้าของวันเกิด เพราะเจ้าตัวติดภารกิจ ‘คนของประชาชน’ เดินทักทายโต๊ะนั้นทีโต๊ะนี้ที

“ขอบใจพวกมึงมาก เดียวกูเอาไปเก็บไว้ในรถก่อน ไม่งั้นเดียวเมาแล้วไม่รู้เอาไปวางไว้ไหน ... ตามสบายนะเดียวกลับมาดื่มด้วย” หันหลังเดินกลับไปได้ไม่นาน เจ้าตัวก็ถูกเพื่อนอีกกลุ่มทักทาย ดูจากท่าทางที่พูดคุยกันอย่างออกรสแล้ว เดาว่าวายุน่าจะลืมไปแล้วมั้งว่ากำลังจะเดินเอาของไปเก็บที่รถ

“แบบนี้แหละคนของประชาชน ...” จีที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยปากแซว

“... ร้านประจำมันก็แบบนี้ รู้จักไปหมด ตั้งแต่ยามที่ลานจอดรถจนถึงเจ้าของ” วายุฉลองงานวันเกิดอายุ 24 ด้วยการนัดเพื่อนๆ มาสรรสังที่ร้านเหล้าร้านประจำของเจ้าตัว แต่จริงๆ แล้วผมคิดว่าน่าจะเป็นร้านประจำของคณะจีมากกว่า เพราะนอกจากเจ้าของวันเกิดทักทายทุกคนแล้ว คนข้างตัวก็มีรุ่นพี่รุ่นน้องมาทักทายไม่หยุด บรรยากาศตอนนี้คึกครืนมาก ตามประสาคืนวันเสาร์

“มันดูดื่มเก่งนะ กูไม่เห็นมือมันว่างเลย” ผมแซวเพราะเห็นเจ้าของวันเกิดดื่มเรื่อยๆ ตั้งแต่หัวค่ำจนถึงตอนนี้

“มันคอแข็ง ...” ผมพยักหน้ารับ จากประสบการณ์ที่ไป party ด้วยกันมาสมัย summer trip คอแข็งว่าจีก็วายุเนี่ยแหละ ... มีแต่ผมที่คออ่อนอยู่คนเดียว

“... เรื่องฝึกงานมึงพร้อมไหม”

“พร้อมไหม ก็พร้อม”

“ฟาร์มวัวที่นครราชสีมาใช่เปล่า” จีถามย้ำ

“อืม” ผมตอบรับแบบขอไปที จะพร้อมไม่พร้อม ผมก็ต้องไป แม้ฟาร์มที่จะไปจะเป็นของรุ่นพี่ที่คณะ และรุ่นพี่หลายๆ คนต่างการันตีเป็นเสียงเดียวกันว่าสบายที่สุดแล้วในบรรดาฟาร์มทั้งหมดที่เปิดรับนิสิตฝึกงาน แต่ผมก็ยังกังวล ผมไม่ชอบความลำบาก คำว่า “ดี” ในที่นี้คือดีกว่ามาตรฐานฟาร์มทั่วไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องทำอาหารกินเอง อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง นอนห้องพัดลม และที่สำคัญคือห้องน้ำ แค่นึกถึงห้องน้ำในฟาร์ม ผมก็ขนลุกไปทั้งตัว

“ทำหน้าแบบนี้ รู้เลยว่าไม่อยากไป”

“เอาจริงก็ไม่อยากไป แต่มันเป็นวิชาๆ หนึ่งเลย ไม่ไปก็ไม่ได้ ...”

“... กูไม่เข้าใจว่าทำไมต้องให้ไปอยู่นานขนาดนั้น สัปดาห์เดียวก็พอแล้วหรือเปล่าวะ” ยิ่งพูดผมก็ยิ่งใส่อารมณ์ ผมไม่กล้าบ่นกับเพื่อนๆ ที่คณะเพราะกลัวจะถูกมองว่าติดหรู รักสบาย

“ยิ่งพูดยิ่งหน้างอ 555 ...” ผมหันกลับไปมองแรงเพื่อนสนิทที่ดูจะมีความสุขบนความทุกข์ของผมเสียเหลือเกิน

“... กูไม่รู้หรอกว่าอาจารย์คณะมึงเขาคิดยังไง และกูก็ไม่เข้าใจ life style ของสัตวแพทย์ด้วย ...”

“... แต่การที่มึงต้องทนทำในสิ่งที่มึงไม่ชอบ และผ่านมันไปได้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์หรือเปล่าวะ...”

“... คนเรานะ ไม่มีทางได้ทุกอย่างที่เราต้องการหรอกนะ แม้ว่าคนๆ นั้นจะคือ มิลค์ ติณสิงห์ ก็ตาม ... บางครั้งเราก็ต้องฝืนทำในสิ่งที่ไม่ต้องการ”

“อืม ...” ผมถอนหายใจ พยายามมองโลกในแง่ดีตามที่เพื่อนสนิทบอก

“... กูผ่าน รด. มาได้ กูก็ต้องผ่านฝึกงานไปได้ซิวะ” คิดเข้าข้างตัวเองว่า รด. ลำบากกว่านี้ยังผ่านมาได้ แค่ฝึกงานฟาร์มเองทำไมผมจะผ่านไปไม่ได้

“เก่งมาก ต้องแบบนี้ซิวะ”



อ้วกกก อ้วกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!

“ไหวไหมมึง” มือหนาของจีลูปขึ้นลงบนแผ่นหลังของเพื่อนสนิทที่นั่งยองๆ อยู่ด้านหลังลานจอดรถในขณะที่แขนอีกข้างก็รั้งเอวบางเอาไว้ไม่ให้ล้มหน้าคะมำ

“อืมๆ” เจ้าตัวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ้อแอ ตามประสาคนเมา

“มาๆ เดียวกูช่วยหิ้วมันขึ้นรถ” เสียงของตัวต้นเหตที่ทำให้ไอ้มิลค์เมาไม่ได้สติดังขึ้นจากด้านหลัง

“มึงไม่ต้องเลย!!!” จีหันไปพูดกับวายุเสียงเข้ม พร้อมกับพลักมือของเพื่อนที่จะเข้ามาช่วยพยุงให้ออกห่าง

“เออๆ หวงจริงเว้ย” เจ้าตัวพูดขำๆ ปลดล็อครถตัวเองแล้วเปิดประตูหลังรอ วันนี้จีกับมิลค์ไม่ได้เอารถมาเพราะทั้งคู่ตั้งใจจะมาดื่มในงานเลี้ยง

“กูบอกมึงกี่ครั้งแล้วว่าอย่ามอมเหล้ามิลค์ พอมันเมาแล้วลำบากกูทุกที” วายุเบ้ปากให้เพื่อนของตัวเองที่แม้ปากจะบ่นแต่ก็ประคบประหงมตั้งแต่หัวค่ำ เรียกได้ว่าประกบติดเป็นเงาตามตัวไอ้มิลค์ไม่ห่าง แยกเขี้ยวใส่ทุกคนที่ทำท่าจะเดินเข้าหาเพื่อนสนิทของตัวเอง

“ก็เพื่อนมึงน่ารักน่าแกล้งขนาดนี้ กูอดใจไม่ไหว 555” แม้ปากจะแซวแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่ามิลค์ดูดีขึ้นจริงๆ นับจากครั้งสุดท้ายที่เขาบังเอิญเดินสวนกันในมหาลัยเมื่อ 2 ปีก่อน เจอกันครั้งแรกสมัย summer trip ก็คิดอยู่ในใจว่ามิลค์หน้าตาน่ารักดี แต่พอมาวันนี้ดูเหมือนจะมีอะไรมากกว่าคำว่า “น่ารัก” ... โครงหน้าสวย บุคลิกดี ยิ่งเจ้าตัวแต่งองค์ทรงเครื่องแบบวันนี้ บอกเลยว่าหนุ่มๆ ในร้านมองตามกันคอแทบเคล็ด

“เดียวกูจะคิดบัญชีกับมึง” จีพูดพลางพยุงมิลค์เข้าไปในห้องโดยสารด้านหลัง

“คอนโดไอ้มิลค์อยู่ไหนนะ” วายุถามเมื่อเข้ามานั่งประจำที่พลขับ

“สาทร เดียวใกล้ๆ กูบอกทาง ... มึงไปส่งได้ใช่ไหม ไม่ได้นัดใครไว้ต่อเหรอ” วายุมองผ่านกระจกมองหลังถึงได้เห็นว่าจีก้มๆ เงยๆ บรรจงวางหัวของไอ้มิลค์ไว้บนตัก ... ทนุถนอมขนาดนี้ บอกไปก็ไม่มีใครเชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน

“ไปส่งได้ ไม่ได้นัดใครไว้”

BMW series 5 วิ่งผ่านถนนยามค่ำคืน ผ่านย่านทองหล่อ สุขุมวิท พระราม 4 ก่อนจะเลี้ยวเข้าถนนสาทร ด้วยเพราะการจราจรกลางดึกของคืนวันเสาร์ค่อนข้างโล่ง ใช้เวลาประมาณ 20 นาที BMW สีขาวก็จอดสนิทในช่องจอดรถของคอนโดหรู จีหิ้วปีกมิลค์ที่บ่นงึมงำๆ มาตลอดทาง ในขณะที่วายุทำตัวเหมือน bodyguard คอยเปิดปิดประตูอำนวยความสะดวกจนกระทั้งประตูลิฟต์เปิดออก ณ ชั้นบนสุด

คิ้วคมของวายุขมวดเข้าหากันทันทีที่กระเป๋าตังค์ของจีทาบลงบนแท่น key card แล้วบานประตูตรงหน้าปลดล๊อค ... ต้องสนิทกันขนาดไหนถึงได้มี key card ห้องเพื่อน ... แต่ความสงสัยก็ถูกลืมเลื่อน เมื่อเจ้าตัวก้าวเข้ามาในห้อง

“ไอ้เชี่ยยยยยยย ห้องแม่งโคตรสวย” penthouse ขนาดใหญ่ที่พอเดินเข้ามาแล้วจะเจอกับห้องนั่งเล่นเพดานสูง กระจกบานใหญ่สูงตั้งแต่พื้นถึงเพดานทำให้ห้องนี้เห็นวิวเมืองได้แบบ 180 องศา แสงไฟจากตึกสูงส่องแสงระยิบระยับท่ามกลางความมืด พอเงยหน้ามองบนเพดาน ... แม่เจ้า ... โคมระย้าอลังการขนาดนี้น่าจะซื้อรถของเขาได้ทั้งคัน

“มึงตามสบายนะ ครัวกับห้องกินข้าวอยู่อีกทาง ถ้าหิวน้ำหรือจะกินอะไรก็เปิดตู้เย็นได้เลย เดียวกูพามิลค์ไปห้องนอนก่อน” วายุพยักหน้าแบบขอไปทีเพราะกำลังสนอกสนใจกับความอลังการตรงหน้า

จีประคองเพื่อนสนิทให้ทิ้งตัวนอนลงบนเตียง เจ้าตัวถอยออกมาพร้อมกับบิดตัวไล่ความเมื่อยล้า ไอ้มิลค์หลับไปแล้ว เขาเลยต้องรับบทเป็นพระเอก ... 2 ขายาวก้าวไปยังห้องน้ำ ไม่นานก็ออกมาพร้อมกับกะละมังน้ำอุ่นและผ้าขนหนูผืนเล็ก 2 ผืน ... มือหนาจัดการลอกคราบเพื่อนสนิท จนไอ้ตัวดีเหลือแต่ boxer ตอนลอกคราบก็ก้มหน้าก้มตาถอด แต่พอเสร็จแล้วเจ้าตัวถึงกับสติหลุดกับภาพตรงหน้า ... ขนตางอน โครงหน้าสวย ผิวเนียนละเอียดราวกับอาบน้ำแร่แช่น้ำนมมาตั้งแต่เด็ก มันไม่ใช้คนออกกำลังกายเลยไม่ได้มีกล้ามเนื้อแบบคนอื่นเขา แต่เพียงเท่านี้ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็แทบจะทำให้เขาลืมหายใจไปชั่วขณะ ... จีกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ตาชั้นเดียวจดจ้องไปยังแผ่นอกที่เคลื่อนที่ขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ สติสัมปชัญญะตีกันวุ่นวายไปหมด ความคิดและจินตนาการกำลังเตลิดไปไกล รู้ตัวอีกทีใบหน้าของเขากับเพื่อนสนิทก็อยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือ

“ไอ้จี มึงหายไปไหนเนี่ย ... มึงอยู่ห้องไหนวะ” เสียงตะโกนของวายุดังขึ้นจากทางเดินนอกห้อง จีรีบพลักตัวออกแล้วรีบก้าวยาวๆ ไปยังประตู ก่อนที่วายุจะเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น

“กูอยู่นี้” จีโผล่หน้ามาจากห้องนอนใหญ่ ทันทีที่เห็นเพื่อนวายุก็ก้าวเท้าเดินเข้ามา

“ทำไมนานจังวะ มีอะไรหรือเปล่า ไอ้มิลค์อ้วกแตกเหรอ ให้กูช่วยเช็ดไหม ...” มันทำท่าจะยื่นหน้าเข้ามา จีเลยก้าวออกจากห้องพร้อมกับปิดประตู

“... มึงดุมีพิรุธนะ ... ไม่ใช้จะทำอะไรไอ้มิลค์ใช่ไหม ...” วายุมองหน้าเพื่อนด้วยสีหน้าแววตาหยอกล้อ ไม่บ่อยนักที่จะเห็นจีทำท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เลยอดไม่ได้ที่จะพูดแซว

“... ทำๆ ไปเถอะ รวบหัวรวบหางแม่งเลยจะได้ happy ending ซักที”

“กูไม่ได้สันดานแบบมึง กำลังจะเช็ดตัวให้มิลค์อยู่ ...” ไอ้เรื่องที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กจนสนิทกัน หรือการจะ take care ดูแลกันวายุพอเข้าใจได้ แต่ถึงขั้นมี keycard ห้องไอ้มิลค์ กับเช็ดตัวให้นี้ก็ดูจะเกินกว่าคำว่าเพื่อนสนิทไปไกลมากจริงๆ ... อาจจะมากกว่าคำว่าแฟนแล้วด้วยซ้ำ

“... มึงจะกลับแล้วเหรอ” อะ!!! ไอ้นี้ พอพูดจาไม่เข้าหูก็ไล่กลับเลยซะงั้น

“ยังวะ อยู่รอก่อนเผื่อมึงมีอะไรให้ช่วย”

“มึงจะกลับก็ได้นะ คืนนี้กูค้างเป็นเพื่อนไอ้มิลค์”

“ทิ้งกูเลยว่างั้น?”

“กูคุยกับมันไว้ก่อนแล้วว่าจะค้าง”

“เออๆ มึงเช็ดตัวให้มันไปเถอะ เดียวกูนั่งๆ นอนๆ รอที่ห้องนั่งเล่น”

จีกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง เขากำลังจ้องมองเพื่อนสนิทที่ตอนนี้กำลังหลับไม่รู้เรื่องอยู่ใต้ผ้าห่ม ... คำพูดของวายุยังวนเวียนอยู่ในหัว ... ใจหนึ่งเขาอยากให้เกียรติมิลค์ ถึงได้รอแล้วรอเล่า ให้ความรู้สึกมันสุกงอม แต่อีกใจหนึ่งก็แทบจะรอต่อไปไม่ไหว ... ทั้งรัก ทั้งหลง ... 4 ปีในรั้วมหาวิทยาลัยไม่ได้ยาวนานอย่างที่เขาเคยคิด อีกไม่กี่เดือนเขาก็จะก้าวเข้าสู่วัยทำงาน เรา 2 คนจะต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ปากบอกมิลค์ว่าไม่ต้องกลัวแต่ใครจะรู้ว่าในใจเขารู้สึกสั่นไหวทุกครั้งที่นึกถึง แม้จะมั่นใจแต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ... หรือจะรวบหัวรวบหางให้จบๆ ไปเลยคืนนี้ดี พรุ่งนี้เจ้าตัวคงอาละวาทจนบ้านแตก แต่ต่อให้โกรธขนาดไหนก็มั่นใจว่าเขาจะง้อสำเร็จ

“เฮ่ออออออ” ผ้าห่มครึ่งบนถูกเลิกลงมา จีสลัดความคิดจินตนาการต่างๆ ออกจากหัว เขาจะทำแบบนั้นกับคนที่เฝ้ารักเฝ้าทะนุถนอมมาตั้งแต่เด็กได้ยังไง ... มือหนาคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กจุ่มลงในกะละมังน้ำอุ่นก่อนจะบรรจงเช็ดตัวให้เพื่อนสนิทอย่างเบามือ



“วายุ ไอ้วายุตื่น” จากที่เรียกปากเปล่า จีออกแรงเขย่าเพื่อนร่วมคณะที่นอนเหยียดตัวยาวบนโซฟา

“ฮะ!!! อืมๆ โทษที เผลอหลับไป” เจ้าตัวตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้างัวเงีย

“ถ้าง่วงก็ไปนอนในห้อง”

“เกรงใจ กูจะไปนอนเตียงเดียวกับไอ้มิลค์ได้ไง” คิ้วขวาของจีกระตุกยิกๆ ไม่รู้ว่ามันตั้งใจกวนประสาทเขาหรือพูดออกมาเพราะความง่วงกันแน่

“นอนอีกห้องซิวะ” จีตอบเพื่อนเสียงเข้ม

“เหรอ ... แต่ก็เกรงใจอยู่ดี ไม่ได้ขออนุญาติเจ้าของห้องไว้ก่อน” เจ้าตัวพูดพลางพลิกตัวขึ้นมานั่ง

“นอนได้ มิลค์ก็รู้จักมึง ...”

“... ดึกแล้วนอนนี่แหละ ขับรถดึกๆ อันตราย” ตอนนี้ตี 3 กว่าแล้ว ไหนจะผลจากแอลกอฮอร์ที่กำลังออกฤทธิ์เต็มที่ ให้มันนอนค้างคืนที่นี้น่าจะปลอดภัยที่สุดสำหรับตัวมันเองและคนอื่นๆ

“เกรงใจไอ้มิลค์”

“นอนได้ มิลค์มันไม่ใช้คนคิดเล็กคิดน้อย” ไปอยู่ Canada มาด้วยกันตั้ง 2 เดือน มิลค์รู้จักวายุดีในระดับหนึ่ง เรื่องแค่นี้ไอ้มิลค์ไม่เก็บมาคิดเล็กคิดน้อยหรอก

“เหรอ งั้นรบกวนไอ้มิลค์ซักคืนละกัน แล้วนี่มึงเช็ดตัวมันเสร็จแล้วเหรอ”

“เสร็จแล้ว”

“ทำไมนานนักวะ” คำถามที่ดูเหมือนจะซ้อนความสงสัยบางอย่างเอาไว้ แต่ดูจากสีหน้าของคนถามแล้วรู้เลยว่ามันไม่ได้คิดอะไร

“ไอ้มิลค์อ้วก เลยต้องเช็ดตัว 2 รอบ” พูดขึ้นมาแล้วก็อยากเดินไปบีบคอไอ้วายุ ถ้าไม่ใช้เพราะมันเขาได้นอนหลับไปนานแล้ว

“ฮึๆ นี่มันเป็นเพื่อนหรือลูกมึงกันแน่วะ” ในใจอยากจะเอ่ยปากแซวว่าเพื่อนหรือเมียแต่ก็กลัวว่าคืนนี้จะไม่มีที่ซุกหัวนอน

“กูก็ชักไม่แน่ใจเหมือนกัน ... ตกลงนอนนี้นะ งั้นกูไปอาบน้ำนอนแล้ว”

“เมื่อไหร่มึง 2 คนจะคบกันซักที ...” 2 ขาหยุดนิ่งอยู่กับที่เมื่อได้ยินคำถามของวายุ

“... มาถึงขนาดนี้แล้วมึง”

“กูไม่เข้าใจว่ามึงพูดเรื่องอะไร” รู้ทั้งรู้ว่าไม่เนียน แต่จีก็ยังแสดงบทเป็นผู้ร้ายปากแข็ง

“มึงรู้ว่ากูพูดถึงเรื่องอะไร คบๆ กันซักที คนที่เชียร์เขาเชียร์กันจนท้อหมดแล้ว” วายุพูดให้ดูยิ่งใหญ่ไปอย่างนั้น คนเชียร์ในที่นี้เขาหมายถึงตัวเองล้วนๆ

“ไม่ต้องเอาคนอื่นมาอ้าง มันอยากเสือกก็บอกกูมา” จีคลายยิ้ม ก่อนจะเดินกลับมานั่งลงบนโซฟาฝังตรงข้าม

“อยู่ใกล้กันขนาดนี้ ทำไมไม่คบกันซักทีวะ”

“มิลค์ยังไม่พร้อม”

“มึงเคยขอเขาเป็นแฟนหรือยัง ...”

“... กากสัส ... กูสอนให้เอาไหม” พอเจ้าตัวส่ายหัว วายุเลยอดไม่ได้ที่จะทับถมคนมาดเยอะ

“มึงไม่ต้องยุ่งเลย เรื่องของกูๆ จัดการเองได้”

“เออ!!! พ่อคนเก่ง จะทำอะไรก็รีบๆ ทำ พอทำงานแล้วมึงไม่มีเวลามานั่งเฝ้ามันแบบนี้นะเว้ย”

“กูรู้น่า”

“รู้แต่ก็ปล่อยจนเวลาผ่านมาเป็นปีๆ ...” เขาคิดว่า 2 คนนี้จะตกลงคบกันตั้งแต่กลับมาจาก summer trip แล้วซะอีก ไม่คิดว่าจะลากสถานะเพื่อนสนิทมาได้นานขนาดนี้

“... อีกไม่กี่เดือนก็เรียนจบแล้ว”

“หรือว่ากูไม่ควรรอวะ” พอโดนจี้จุดเจ้าตัวก็หลุดความในใจตัวเองออกมา

“นี่ตกลงไอ้มิลค์ไม่พร้อม หรือว่ามึงไม่พร้อมกันแน่”

“ไม่รู้ซิ สมัยก่อนกูคิดแค่อยากให้เรื่องของเรามันค่อยๆ พัฒนา ...”

“... แต่พอใกล้จะเรียนจบกูก็กังวลเรื่องหน้าที่การงาน มึงคิดดูดิ กูต้องทำงานกี่ปีถึงจะมีปัญญาซื้อคอนโดแบบนี้อยู่กับไอ้มิลค์ได้ มันอาจจะเป็นเพื่อนที่กูรู้จักมาตั้งแต่เด็ก แต่อีกมุมหนึ่งมันก็คือ มิลค์ ติฒสิงห์เลยนะเว้ย”

“ถ้าให้พูดความจริงคือทำงานทั้งชาติมนุษย์เงินเดือนอย่างเราก็ไม่มีปัญญาซื้อคอนโดระดับนี้ไหว ...

“... แต่กูว่ามึงคิดมากไป ใช่ว่าคบกับมึงแล้วชีวิตมันจะลำบาก? มึงเคยถามไอ้มิลค์หรือยังว่ามันคิดยังไง ...” จีส่างหัวให้กับคำถามของวายุ

“... บางครั้งคนที่มีทุกอย่างแบบไอ้มิลค์ก็อยากจะใช้ชีวิตธรรมดาๆ กับมึง มากกว่าอยู่บนหอคอยงาช้างกับพวกเจ้าชายหรือเปล่าวะ”

“แต่มิลค์มันมีปมกับการคบเพื่อนสนิท” วายุส่ายหน้าเมื่อได้ยินเหตุผลของจี

“อย่าไปคิดแทนไอ้มิลค์ กับคนที่เรารัก มันมีข้อยกเว้นได้กับทุกเรื่องเสมอ ...”

“... แค่มั่นใจในความรู้สึกของมึง แล้วก็พุ่งชนเลยเว้ย กูเป็นกำลังใจให้”



..........



“เป็นไงบ้าง” เสียงของเพื่อนสนิทดังออกมาจาก smart phone 2G รุ่นล่าสุด

“ก็ดี ดีกว่าที่คิด” ผมตอบคำถามของจีท่ามกลางเสียงร้องของจักจั่นที่ดังไปทั่วฟาร์ม ล้มร้อนและแดดแรงจนแสบผิว นี่ซินะฤดูร้อนของจริง

“มึงปรับตัวได้เก่งกว่าที่คิดนะเนี่ย” คนปลายสายเอ่ยปากแซว

“กูก็ยังประหลาดใจกับตัวเองเหมือนกัน” ลำบากแค่ช่วงสัปดาห์แรก แต่หลังจากปรับตัวได้ก็รู้สึกว่าการมาอยู่ฟาร์มไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด สำหรับเรื่องอาหารการกิน ส่วนใหญ่พวกผมจะติดรถส่งนมไปซื้อที่ตลาดนัด กลางคืนที่จากที่กลัวว่าจะร้อนจนนอนไม่ได้ เอาเข้าจริงก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น พัดลมหมุนกลางเพดาน และลมเอื่อยๆ ที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างช่วยให้หลับสบายกว่าที่คิด

“เรื่องห้องน้ำมึงจัดการได้ยัง”

“เรียบร้อย กูซื้อรองเท้าแตะมาใส่ก่อนจะเข้าห้องน้ำ” ปัญหาใหญ่ที่สุดของผมคือเรื่องพื้นห้องน้ำเปียกซึ่งก็แน่นอนว่าห้องน้ำตามต่างจังหวัดส่วนมากจะไม่แยกห้องอาบน้ำออกมาเป็นสัดเป็นส่วน ผมเลยแก้ปัญหาด้วยการใส่ของเท้าเข้าห้องน้ำซะเลย

“เหลือเชื่อกับมึงเลยจริงๆ” เสียงหัวเราะของจีดังออกมาจากโทรศัพท์

“เรื่องพื้นห้องน้ำเปียกนี่เรื่องใหญ่นะเว้ย”

“กูรู้ ...” จีต้องรู้อยู่แล้ว เพราะเวลาไปนอนค้างคืนด้วยกันจีจะให้ผมใช้ห้องน้ำเป็นคนแรกเสมอ

“... มิลค์ ... กูต้องไป off shore พรุ่งนี้นะ”

“อืม กูจำได้ แล้วมึงไปยังไงอะ”

“นั่งรถตู้ของบริษัทไปที่ base แถวชลบุรี แล้วนั่งเฮลิคอปเตอร์ออกไป”

“เชี่ยยยยยยยยยได้นั่งเฮลิคอปเตอร์ด้วย ถ่ายรูปมาให้กูดูด้วยนะ”

“ได้ๆ”

“แล้วพรุ่งนี้ต้องตื่นกี่โมง”

“ตื่นตี 4 ออกจากบ้านตี 5 ถึง office 6 โมง ถึง base 8 โมง กว่าจะถึง station ก็น่าจะ 10 โมง แล้วก็เริ่มทำงานเลย”

“เช้าขนาดนี้จะตื่นไหวไหม จะให้กูโทรปลุกเปล่า” ผมถามเพราะเพื่อนสนิทของผมนะนอนขี้เซาเป็นที่สุด

“ไม่ต้องๆ มึงนอนพักไปเถอะ กูตั้งนาฬิกาแล้ว”

“ตื่นเต้นไหม”

“ตื่นเต้นดิ”

“ตอนอยู่ off shore กูโทรหามึงได้ปะ”

“ได้ แต่กูไม่รู้ว่ามันมีสัญญานหรือเปล่านะ”

“เหรอ”

“มันอาจจะมีขาดๆ หายๆ หรือไม่มึงส่ง DM มาใน FB ก็ได้ น่าจะคุยกันง่ายกว่า”

“เหรอ ... กูกังวลวะ ไม่อยากห่างจากมึง”

“กูก็ไม่อยากห่างจากมึงเหมือนกัน อย่าคิดมาก มึง enjoy กับการฝึกงานไปเถอะ แป๊บๆ ก็ได้กลับบ้านแล้ว ...” เวลาผ่านไปเร็วเหมือนที่จีบอก เผลอแป๊บเดียวผมมาอยู่ที่นี้ได้เกือบครึ่งทางแล้วเหลืออีก 2 สัปดาห์เท่านั้น

“... กลับถึงบ้านแล้วรอกูนะ ... กูกลับกรุงเทพเมื่อไหร่ไปหาอะไรกินกัน”

“อืม รอ ... รอมึงมาตลอดนั้นแหละ” ผมตอบรับคำขอของคนปลายสายด้วยรอยยิ้ม

67
Boy's love story / Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 25
« กระทู้ล่าสุด โดย Milky_Milky_Way เมื่อ 27-09-2025 11:58:54  »
Teaser ตอนที่ 25

BMW series 5 วิ่งผ่านถนนยามค่ำคืน ผ่านย่านทองหล่อ สุขุมวิท พระราม 4 ก่อนจะเลี้ยวเข้าถนนสาทร ด้วยเพราะการจราจรกลางดึกของคืนวันเสาร์ค่อนข้างโล่ง ใช้เวลาประมาณ 20 นาที BMW สีขาวก็จอดสนิทในช่องจอดรถของคอนโดหรู จีหิ้วปีกมิลค์ที่บ่นงึมงำๆ มาตลอดทาง ในขณะที่วายุทำตัวเหมือน bodyguard คอยเปิดปิดประตูอำนวยความสะดวกจนกระทั้งประตูลิฟต์เปิดออก ณ ชั้นบนสุด

คิ้วคมของวายุขมวดเข้าหากันทันทีที่กระเป๋าตังค์ของจีทาบลงบนแท่น key card แล้วบานประตูตรงหน้าปลดล๊อค ... ต้องสนิทกันขนาดไหนถึงได้มี key card ห้องเพื่อน ... แต่ความสงสัยก็ถูกลืมเลื่อน เมื่อเจ้าตัวก้าวเข้ามาในห้อง

“ไอ้เชี่ยยยยยยย ห้องแม่งโคตรสวย” penthouse ขนาดใหญ่ที่พอเดินเข้ามาแล้วจะเจอกับห้องนั่งเล่นเพดานสูง กระจกบานใหญ่สูงตั้งแต่พื้นถึงเพดานทำให้ห้องนี้เห็นวิวเมืองได้แบบ 180 องศา แสงไฟจากตึกสูงส่องแสงระยิบระยับท่ามกลางความมืด พอเงยหน้ามองบนเพดาน ... แม่เจ้า ... โคมระย้าอลังการขนาดนี้น่าจะซื้อรถของเขาได้ทั้งคัน

“มึงตามสบายนะ ครัวกับห้องกินข้าวอยู่อีกทาง ถ้าหิวน้ำหรือจะกินอะไรก็เปิดตู้เย็นได้เลย เดียวกูพามิลค์ไปห้องนอนก่อน” วายุพยักหน้าแบบขอไปทีเพราะกำลังสนอกสนใจกับความอลังการตรงหน้า

จีประคองเพื่อนสนิทให้ทิ้งตัวนอนลงบนเตียง เจ้าตัวถอยออกมาพร้อมกับบิดตัวไล่ความเมื่อยล้า ไอ้มิลค์หลับไปแล้ว เขาเลยต้องรับบทเป็นพระเอก ... 2 ขายาวก้าวไปยังห้องน้ำ ไม่นานก็ออกมาพร้อมกับกะละมังน้ำอุ่นและผ้าขนหนูผืนเล็ก 2 ผืน ... มือหนาจัดการลอกคราบเพื่อนสนิท จนไอ้ตัวดีเหลือแต่ boxer ตอนลอกคราบก็ก้มหน้าก้มตาถอด แต่พอเสร็จแล้วเจ้าตัวถึงกับสติหลุดกับภาพตรงหน้า ... ขนตางอน โครงหน้าสวย ผิวเนียนละเอียดราวกับอาบน้ำแร่แช่น้ำนมมาตั้งแต่เด็ก มันไม่ใช้คนออกกำลังกายเลยไม่ได้มีกล้ามเนื้อแบบคนอื่นเขา แต่เพียงเท่านี้ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็แทบจะทำให้เขาลืมหายใจไปชั่วขณะ ... จีกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ตาชั้นเดียวจดจ้องไปยังแผ่นอกที่เคลื่อนที่ขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ สติสัมปชัญญะตีกันวุ่นวายไปหมด ความคิดและจินตนาการกำลังเตลิดไปไกล รู้ตัวอีกทีใบหน้าของเขากับเพื่อนสนิทก็อยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือ


----------
มิลค์ : เจอกันวันพรุ่งนี้นะครับ ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือมีคนพามาเข้านอน

#เมา #ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
68
Boy's love story / exclusive adult profiles
« กระทู้ล่าสุด โดย Nekoo เมื่อ 27-09-2025 06:31:10  »
private encounters with verified girls
SecreLocal.com
69
ซื้อขาย / talk to sexy girls live
« กระทู้ล่าสุด โดย zeen11 เมื่อ 27-09-2025 00:08:00  »
private women for erotic fun
SecreLocal.com
70
Boy's love story / erotic dating for adults
« กระทู้ล่าสุด โดย alovely15 เมื่อ 26-09-2025 22:48:57  »
girls chatting live for dating
SecreLocal.com
หน้า: 1 ... 3 4 5 6 [7] 8 9 10
สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด