กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: 1 2 3 4 5 [6] 7 8 9 10
51
Boy's love story / Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.10 Confessed (18/04/24)
« กระทู้ล่าสุด โดย Shonennihon เมื่อ 19-04-2024 14:34:43  »
ชอบจังงงงงงง

ขอบคุณที่ชอบครับ
52
Boy's love story / Re: สืบลับ สืบรัก: CLSI ๘๖. Accountable for_18.04.2024
« กระทู้ล่าสุด โดย KADUMPA เมื่อ 18-04-2024 21:00:00  »


Crime and Love Scene Investigation


๘๖. Accountable for


“หมอว่า มันไม่น่าจะผิดไปจากที่หมอคาดเอาไว้นะ เคสนี้” ด็อคเตอร์ดรุณีพูดขึ้น โดยมีชนธัญมองตามสายตาของด็อคเตอร์สาวไปยังผู้ชายสองคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน โดยที่คนหนึ่งกำลังกรอกเอกสารยินยอมการเก็บผลการตรวจดีเอ็นเอ เพื่อทำการยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง ว่าตัวเองไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับเด็กที่ยังไม่ลืมตามาดูโลก

“ฟังดูแล้ว เหมือนกับเขาเป็นผู้ชายที่ใจร้ายเลยนะครับ” ชนธัญหันมาสบตากับด็อคดุ โดยที่ด็อคเตอร์สาวถอนหายใจแรง ๆ ออกมา “ใช่เลยนะหมอว่า” ด็อคดุตอบอีกฝ่ายไป “ถ้าเราไม่ได้ฟังเรื่องทั้งหมด ไม่ได้รู้ความเป็นมาเป็นไป ว่าเรื่องจริง ๆ แล้ว มันเป็นยังไงกันแน่” ชนธัญได้ยินแบบนั้น ก็พอจะทำความเข้าใจได้ในทันที

“มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจ แต่ก็เข้าใจได้” ชนธัญมองไปที่คิรินที่ยื่นเอกสารที่เซ็นรับรองทั้งหมดให้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ได้ทำการเก็บตัวอย่างที่ใช้ในการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอไปเรียบร้อยแล้ว โดยมีซอโซ่นั่งอยู่ด้วย เพราะคิรินยืนยันกับทุกคนว่า ซอโซ่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเรื่องที่เขาตัดสินใจหย่าขาดกับอารียา

“คุณคิรินเขายื่นต่อศาลขอผลการตรวจชันสูตรศพของเต้ เด็กหนุ่มที่เสียชีวิต ทั้งเรื่องสาเหตุการเสียชีวิต รวมถึงเรื่องที่ตรวจพบรอยแปลกปลอมที่ข้อพับแขน” ด็อคเตอร์ดรุณีอธิบายถึงขั้นตอนที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ “หมอคาดเอาไว้แล้วล่ะ ว่ารอยเจาะสอดท่อพลาสติกที่แขนของเต้ ถูกใช้เพื่อบิดเบือนผลตรวจตั้งแต่แรก ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต” ชนธัญมองดูคิรินสวมกอดซอโซ่จนแน่น

“รอยเจาะสอดท่อเป็นรอยเก่า ที่เต้เพิ่งใส่ท่อกลับเข้าไปที่เดิมก่อนที่จะเสียชีวิต คาดว่าจะเป็นวันเดียวกัน ท่อนั้นก็คงใช้วิธีการเติมเลือดของคนอื่นที่ไม่ใช่ของเต้ ฉีดเข้าไปก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่จากแล็บเอกชนแห่งนั้น เจาะเลือดไปตรวจ และก็คงไม่พ้น เป็นเจ้าหน้าที่ที่ยอมจำนนต่อเงินก้อนมหาศาลที่ถูกเอามาล่อต่อล่อใจ ผลแล็บที่ตรวจก่อนหน้านี้ทั้งที่ตรวจยืนยันแล้ว จึงออกมาบอกว่า เต้ไม่ใช่พ่อที่แท้จริงอย่างที่คุณคิรินสงสัย” ชนธัญนึกไปถึงหญิงสาวที่กำลังตั้งครรภ์ ที่ผู้เป็นพ่อและตัวเธอ ตัดสินใจทำอะไรแบบนั้นลงไป

“สารวัตรัฐนนท์สั่งการให้หน่วยสืบสวน นำกำลังไปคุมตัวเจ้าหน้าที่แล็บคนนั้นแล้ว อีกไม่นานคงได้เรื่อง” ด็อคเตอร์ดุพูดยังไม่ขาดคำ ชนธัญก็เห็นสารวัตรหนุ่มหล่อ เดินเข้ามา ก่อนจะพยักหน้าให้ชนธัญและด็อคเตอร์ดรุณีรับทราบว่า ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แม้ว่าเจ้าหน้าที่แล็บจะยังคงปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาก็ตาม

“แล้วคุณอารียาจะเป็นยังไงต่อไปครับหมอ” ชนธัญถามด็อคเตอร์สาวออกไป ทางฝ่ายแพทย์สาวเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้น ก่อนจะผ่อนลมหายใจหนัก ๆ ออกมาอีกครั้ง “ตอนนี้ทำได้แค่เก็บตัวอย่างภายนอกร่างกาย เช่นเส้นผม น้ำลาย ได้เท่านั้น ส่วนตัวอย่างเลือดคงต้องรอให้เธอคลอดเด็กออกมาเสียก่อน เพื่อป้องกันอันตรายทั้งตัวแม่และเด็ก” ด็อคเตอร์ดุอธิบายรายละเอียด

“แล้วตัวเด็กเอง ก็คงต้องรอคำสั่งศาล ว่าจะสามารถเริ่มกระบวนการตรวจได้เมื่อไหร่ กว่าจะรู้ผลกันจริง ๆ ก็คงจะเป็นปี ๆ แต่ถ้าจะถามเรื่องหลังจากคลอดแล้ว เด็กจะเป็นยังไง ก็คงต้องให้อยู่กับทางญาติของผู้เป็นแม่ แต่นั่นคงจะหลังจากที่เด็กหย่านมแล้ว สภาพหลังคลอดจนถึงวันนั้นในเรือนจำคงไม่น่าดูเท่าไรนัก” จากหลักฐานทางนิติเวชที่ทางอารียาหาข้อแก้ต่างมาหักล้างไม่ได้ เธอจึงถูกควบคุมตัวเอาไว้สืบสวนก่อน โดยที่ทางบิดาของเธอ ก็กำลังวิ่งเต้นกับหน่วยงานใหญ่ ๆ วุ่นวายไปหมด แต่กับกรณีนี้ที่เป็นข่าวสะเทือนขวัญไปทั่วประเทศ อะไร ๆ ก็คงไม่ง่ายดังใจนัก

“เต้เองก็ต้องได้รับความยุติธรรมเช่นกัน ไม่ว่าเขาจะช่วยทางครอบครัวของคุณอารียาเรื่องการตรวจเลือดไปด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่เขาเป็นถือผู้เสียหายคนหนึ่งเช่นกัน ที่ต้องมาจบชีวิตลงแบบนี้” เมื่อด็อคดุพูดจบ ก็มีเสียงของคิรินดังถามขึ้นมา “จะเป็นไปได้มั้ยครับ ถ้าผมกับโซ่จะขอเข้าไปคุยกับอารียาสักครู่” สารวัตรรัฐนนท์เดินเข้ามาสมทบพอดีกับที่ได้ยินคำถามของคิริน

“เราไม่สามารถให้พวกคุณคุยกันตามลำพังได้นะครับ อีกอย่าง ผมไม่อยากให้เกิดการปะทะคารมหรือด่าทอกัน เพราะตอนนี้มันมีคดีความที่เกี่ยวพันต่อเนื่องกันอยู่” สารวัตรรัฐนนท์บอกไปตามจริง รวมถึงพูดปรามเหตุการณ์เอาไว้ก่อน ว่าทุกคนจะต้องไม่ใช้อารมณ์ทุ่มเถียงกัน ไม่ว่าจะเรื่องอะไร “ผมรับรองครับ ว่าจะไม่มีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นแน่นอน” คิรินพูดรับรองกับสารวัตรหนุ่มหล่อ ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

“ถ้าจะเข้ามาเพื่อซ้ำเติมกันล่ะก็ อย่าเสียเวลาดีกว่า ฉันไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น” ทันทีที่อารียาเห็นว่าเป็นใครที่เดินเข้ามาในห้องสืบสวนสอบสวน เธอก็เอ่ยออกไปในทันที ยิ่งเห็นว่าคิรินไม่ได้เข้ามาเพียงลำพังด้วยแล้ว หญิงสาวรีบเบือนหน้าไปอีกทาง เมื่อซอโซ่ตามคิรินมานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโต๊ะ โดยที่มีสารวัตรรัฐนนท์เดินเงียบ ๆ ไปยืนอยู่มุมห้อง คอยสังเกตการณ์

“ผมไม่ได้จะเข้ามาพูดจาซ้ำเติมอะไรคุณหรอกนะ อารียา” เจ้าของชื่อพ่นลมหายใจออกมาอย่างขุ่นเคือง “ที่พากันจูงมือมากันทั้งคู่แบบนี้เนี่ยนะ ถ้าไม่ใช่จะมาเยาะเย้ยว่าฉันเป็นฝ่ายแพ้ แล้วมันจะหมายความเป็นอย่างอื่นอะไรไปได้” น้ำเสียงของอารียายังไม่สามารถระงับทั้งความโกรธ ความเสียใจลงได้ จากที่เคยเรียกตัวเองอย่างน่ารักว่ารียา มาตอนนี้ มันเหลือแต่สรรพนามที่แสดงความเหินห่าง แปลกหน้าต่อกันเท่านั้น

“เราก็แพ้กันทั้งหมดนี่แหละ ผมก็ไม่เห็นว่าใครจะมีความสุขกันสักคน ทั้งตัวคุณ ตัวผม หรือแม้แต่โซ่เอง” ซอโซ่มองไปที่อารียาด้วยสายตาที่แสดงความห่วงใยออกไป ว่าเขาเองก็มาหาด้วยความเป็นมิตรที่ตั้งเอาไว้ในใจ “สมใจคุณสองคนแล้ว จะพูดอะไรก็ได้แล้วนี่” อารียาพูดด้วยน้ำเสียงที่เจ็บช้ำ ที่ต้องทนกล้ำกลืนมันลงไป

“มันผิดที่ผมเอง ผมไม่ควรตอบตกลงแต่งงานกับคุณตั้งแต่แรก” คิรินพูดอย่างคนที่รู้สึกตัว ว่าเขาเองได้ทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง “ผมอยากขอโทษคุณด้วยเช่นกัน ถ้าวันนั้นผมจะยืนกรานตามเรื่องที่ผมเล่าให้คุณฟัง ว่าซอโซ่เป็นใคร แล้วทำไมผมถึงได้ตามหาเขา แม้ว่าคุณจะคิดว่าทั้งหมดมันเป็นข้ออ้างที่จะไม่ยอมแต่งงานกับคุณก็ตาม” คิรินพรั่งพรูคำพูดที่อยู่ในใจออกมา

“ผมควรจะหนักแน่นกับความรู้สึกของตัวเอง และไม่ควรทำให้คุณต้องมีชีวิตที่แย่แบบนี้ ต่อให้คุณจะไม่เชื่อเรื่องที่ผมเล่าเกี่ยวกับซอโซ่ก็ตาม” อารียาปากคอสั่นไปด้วยอารมณ์หลากหลาย เมื่อได้ยินคิรินพูดแบบนั้น “ผมขอโทษคุณจากใจ” อารียามองหน้าสามีของเธออย่างโหยหา แต่ในเวลานี้ เธอเองไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวเขาอีกต่อไป เธอรู้แล้วว่า คิรินดำเนินการฟ้องศาลเพื่อหย่าขาดจากเธอ

“ฉันมันเลวมากในสายตาของคุณสินะคะ คิริน” คำถามของอารียา ทำให้คิรินขยับตัวหันหน้าไปมองทางสารวัตรรัฐนนท์ ที่กระแอมเตือนว่า สารวัตรหนุ่มได้ให้เวลาคิรินและซอโซ่มากพอแล้ว และไม่อยากให้เกิดการทุ่มเถียงอะไรกันอีก “ที่ผมกับซอโซ่มาหาคุณ ผมอยากจะช่วยเรื่องของลูกคุณ ถ้าคุณไม่รังเกียจ ผมกับซอโซ่ยินดีรับเลี้ยงแกเอง ผมรับรองว่า แกจะดีรับการดูแลอย่างดีที่สุด แกจะไม่ลำบาก และคุณเองก็จะไม่ลำบากตอนอยู่ในนั้น” อารียามองสลับไปที่คิรินที ซอโซ่ที น้ำตาของเธอไหลลงอาบสองแก้ม

“ทีตอนแรก แกทำไมถึงไม่ยอมรับเด็กในท้องของลูกสาวฉันล่ะฮึ ทีอย่างนี้จะมาทำดีเอาหน้า จะเอาหลานของฉันไปเลี้ยงดูกับไอ้กะเทยคู่ขา แบบนี้มันหยามน้ำหน้ากันชัด ๆ” ทันทีที่พ่อของอารียาเจอหน้าคิรินกับซอโซ่ เมื่อคนทั้งคู่กำลังจะขับรถออกจากหน่วยสืบสวนสอบสวนพิเศษ ก็ตรงเข้าพูดจาฉะทั้งสองคนอย่างไม่ไว้หน้า

“ก็ก่อนหน้านี้ ลูกสาวคุณพ่อหลอกผมเรื่องผลการตรวจดีเอ็นเอ คุณพ่อคิดว่าผมควรจะทำยังไง ไม่ใช่คุณพ่อเองหรือครับที่พาลูกสาวตัวเองทำเอาต่อมิอะไร ที่เป็นผลทำให้ชีวิตเข้ารกเข้าพง จนเรื่องมันบานปลายเลยเถิดมาถึงตอนนี้ จนมีคนต้องตาย เพียงเพราะการอยากเอาชนะกัน ด้วยวิธีที่ผิด ๆ ด้วยความคิดที่ไม่สนว่าใครจะต้องเดือดร้อนยังไง” คิรินพูดด้วยความนิ่งทั้งท่าทางที่แสดงออก และความมั่นคงทางอารมณ์

“ถ้าคุณพ่อคิดว่าจะยังไม่หยุด และยังจะดันทุรังไปต่อกันแบบนี้ เราคงจะต้องสู้กันสักตั้ง แต่มันมีวิธีที่ดีกว่า ที่จะไม่ต้องเจ็บปวดกันไปมากกว่านี้ และเป็นทางออกที่ดีสำหรับทุกคน ลูกสาวคุณพ่อกำลังต้องการความช่วยเหลืออยู่นะครับ คดีฆ่าคนตายนะครับ แถมยังจะคดีปลอมแปลงเอกสาร บังคับขู่เข็ญให้คนอื่นทำความผิดอีก คุณพ่อใช้เวลานี้เอาไปคิดให้ดี ทางทนายผมจะส่งเอกสารมาให้อารียาเซ็นยินยอมในอีกหนึ่งสัปดาห์ ผมมีเรื่องจะพูดแค่นี้ครับ” คิรินพูดจบก็พาซอโซ่ขับรถออกไปจากตรงนั้นในทันที โดยไม่สนใจว่า พ่อของอารียาจะหัวฟัดหัวเหวี่ยงต่อไปแค่ไหน

อารียานั่งร้องไห้เงียบ ๆ อยู่ตามลำพัง หลังจากที่พ่อของเธอเพิ่งเดินมาโวยวายใส่เธอ ถึงความคิดไม่เข้าท่าที่หญิงสาวมี เธอนั่งลูบท้องที่โตจนใกล้ถึงวันกำหนดคลอด เธอกำลังหวาดกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดกับเธอขึ้นต่อไป คำว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ แวะเข้ามาทักทายเธอในห้วงความคิดอยู่บ่อยครั้ง น้ำตาของเธอในวันนี้ มีแค่เธอเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ช่วยปาดมันทิ้ง

***********************************************

คำแปลเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษ โดย KADUMPA

ไม่ผิดใช่ไหม - มาลีวัลย์ เจมิน่า

https://www.youtube.com/watch?v=mgAm4eyLjXE


ผิดไหม กับการที่ฉันจะรักใคร

Is it bad? That I am so in love with someone

รักใคร จนสุดชีวิตอย่างนี้

Love him so much, wholeheartedly

ทั้งที่รู้ว่าสายไป

Though it’s too late

ใจยังมั่นในรัก ยังภักดี

My heart is faithful, and loyal

และไม่เคยจะเสียใจ

I never regret it


เมื่อไม่ได้เป็นคนคนเดียว

I am not the one and only

ที่ในใจเธอ

In your heart

คนโชคดีที่สุดคนนั้น

The luckiest person there is

ก็อยากจะเป็นเพียงคนหนึ่ง

I wish I would be just one

ที่รักแต่เธอ ที่มีเพียงเธอ

That loves you, always have you

ไม่ผิดใช่ไหม

It isn’t wrong, is it?


โปรดรู้ว่าใจดวงนี้จะรักเธอ

Please know, that this heart belongs to you

รักเธอ จนชั่วดินฟ้าสลาย

Love you until the end of time

รักทั้งรู้ว่าสายไป

Still love you though it’s late

ใจยังไม่หวั่นไหว ยังรักเธอ

Nothing can change my mind, I’m in love with you

ไม่ว่าเธอจะรักใคร

Doesn’t matter who you do love


เมื่อไม่ได้เป็นคนคนเดียว

I am not the one and only

ที่ในใจเธอ

In your heart

คนโชคดีที่สุดคนนั้น

The luckiest person there is

ก็อยากจะเป็นเพียงคนหนึ่ง

I wish I would be just one

ที่รักแต่เธอ ที่มีเพียงเธอ

That loves you, always have you

ไม่ผิดใช่ไหม

It isn’t wrong, is it?


กับการที่ใครสักคนหนึ่ง

For someone who wants to

จะมีใจรักเพียงแต่เธอ

Love you and will be only you

จากนี้และตลอดไป

From now and forever


เมื่อไม่ได้เป็นคนคนเดียว

I am not the one and only

ที่ในใจเธอ

In your heart

คนโชคดีที่สุดคนนั้น

The luckiest person there is

ก็อยากจะเป็นเพียงคนหนึ่ง

I wish I would be just one

ที่รักแต่เธอ ที่มีเพียงเธอ

That loves you, always have you

รักเธอ

Love you

ไม่ผิดใช่ไหม

Isn’t it guilty?
53
กลับมาอ่านอีกครั้ง ด้วยความคิดถึง
54
Boy's love story / Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.10 Confessed (18/04/24)
« กระทู้ล่าสุด โดย Nattie69 เมื่อ 18-04-2024 19:39:10  »
 :o8: :-[
55
Boy's love story / Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.10 Confessed (18/04/24)
« กระทู้ล่าสุด โดย TonyPat เมื่อ 18-04-2024 15:59:50  »
ชอบจังงงงงงง
56
Boy's love story / Re: อริทางคับแคบ (Pretending) - No.10 Confessed (18/04/24)
« กระทู้ล่าสุด โดย Shonennihon เมื่อ 18-04-2024 12:14:05  »


เสียงเคาะประตูดังมาพักใหญ่แล้ว แต่คอปเตอร์ที่กอดผมไม่ปล่อย ผมไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมลุกไปเปิดประตู นับตั้งแต่วินาทีที่ผมออกปากตกลงคบกับเขา คอปเตอร์ก็กอดผมไม่ปล่อยเลย เอาแต่พูดว่าอย่าชดเชยเวลาที่เสียไป

“หลายปีที่ผ่านมากอดนายได้แต่ในฝัน แต่ครั้งนี้ได้จับเนื้อหนังเป็นๆ แบบนี้ เราไม่คิดอยากจะปล่อยนายไปไหนเลย”

ผมฟังแบบนี่แล้วรู้สึกขนลุก อดที่กรอกตาไปมาไม่ได้

“กูรู้ว่าพวกมึงได้ยินที่กูเคาะประตู อย่าเอาแต่นอนกกกันแล้วไม่สนใจกูได้ไหม กูเอาเวลาพักผ่อนมาหามึงนะ!!” ไอ้ไตเติ้ลตะโกนลั่น

ด้วยความรู้สึกอายผมเลยยื่นคำขาดกับคอปเตอร์ว่า หากไม่รีบลุกออกไป ผมจะโกรธและไม่ให้แตะต้องตัวอีก เท่านั้นแหละ ร่างที่สูงใหญ่ของอีกฝ่ายก็ดีดออกและไปเปิดประตูให้ไอ้ไตเติ้ลอย่างรวดเร็ว

คอปเตอร์มองค้อนคนที่เพิ่งเข้ามาตาเขียวที่มาขัดจังหวะความสุขของเขา

ผมเอ่ยทักทายเพื่อนด้วยรอยยิ้มเขินๆ กับสภาพตัวเอง ไม่คิดว่าจะให้เพื่อนรักมาช่วยดูแลเรื่องอะไรแบบนี้ของตน แต่ที่แปลกใจกว่าคือคนที่เดินตามมาด้วยห่างๆ ด้วยท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ

ผมมองไปที่คนมาใหม่ด้วยท่าทางสับสนสลับกับมองเพื่อนของผมและแฟนใหม่ป้ายแดงของผมที่มีสีหน้าไม่ได้แสดงความประหลาดใจออกมาเลย

“แฟนกูเอง!” ไอ้เติ้ลพูดออกมาสั้นๆ เป็นคำตอบ

“อะ อ้อ…. เอ่อ สวัสดีครับ”  ผมมองคนที่ผมไม่คุ้นหน้าและทักทายอย่างสุภาพ

ผมกวักมือเรียกเพื่อนสนิทของผมมาใกล้ๆ พอได้จังหวะผมก็คว้าคอมันลงมาใกล้ผมเพื่อเค้นถามเรื่องคาใจ

“สรุปว่า…เป็นผู้ชาย? หน้าตาน่ารักดีนี่หว่า นี่กูนึกว่า จะประมาณดาวมหาวิทยาลัย สรุปเดือนเหรอวะ อันนี้พีค กูไม่รู้เลยว่ามึงจะ มีรสนิยมแบบนี้!!”

“นี่มึงบูลลี่กู อย่างมึงนี่ไม่น่าว่ากูได้นะ!!”

“อย่างน้อยกูก็ชัดเจน ไม่เหมือนมึง!!”

“กูไม่ได้สนเพศนี่หว่า หากชอบกูก็จีบแค่นั้น แต่คนนี้พิเศษหน่อย!!”

“พิเศษยังไงวะ!!??“

แล้วไอ้เติ้ลก็สบัดคอให้หลุดจากการควบคุมของผม

“นี่มึงไม่เคยเล่าเชี้ยอะไรให้เพื่อนกูฟังจริงง่ะ?” ไอ้เติ้ลหันไปหาคอปเตอร์อย่างอ่อนใจ

“อยากให้มึงเล่าเอง!” แฟนป้ายแดงผมตอบ ซึ่งผมก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเคยพูดแบบนั้นจริงๆ

“สัด!!! โยนขี้ให้กูเสียอย่างนั้น” พูดเสร็จมันก็ผ่อนลมหายใจออกมายาว

“ศรัณย์.. มานี่หน่อยสิ!” ไอ้เติ้ลเรียกคนที่บอกว่าเป็นแฟนมาใกล้ๆ

“มึงมองให้ดีๆ จำไม่ได้จริงๆ น่ะ?”

ผมมองตามที่มันบอก แต่ก็รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ชายหนุ่มตรงหน้าแต่งตัวสุภาพ ดวงตากลมโต คิ้วเข้ม ทรงผมยาวกว่ารองทรงพอสมควร ผมแสกข้างด้านหน้าที่ยาวเหมือนขาดการตัดผมไปหลายเดือน หน้าตาเกลี้ยงเกลา ขาวเนียน หน้าออกแนวหวานมากกว่าหล่อ หนวดก็โกนได้เกลี้ยงเกลาจนแทบไม่เห็นตอขน แต่งกายด้วยเชิ้ตสีขาวสะอาดแขนยาวและกางเกงผ้าทรงสุภาพที่เข้ารูปกำลังดี

คนที่ดูโดดเด่นแบบนี้ผมน่าจะจำได้สิ แต่กลับแค่คุ้นเคย แต่นึก
ไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน  หากเคยเป็นเดือนคณะฯ จริงๆ ผมคงจะรู้จักบ้าง เพราะสังเกตได้จากตราที่เข็มขัดจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน

“โง่จริง!! ถ้ากูเรียก ไอ้เข้มล่ะ“ ไอ้เติ้ลเหล่มองผมอย่างละอาใจ

“คุ้นนะ แต่เราไม่มีเพื่อนหรือคนรู้จักชื่อ ‘เข้ม’ อะไรนั่น……เข้มเดียวที่กูรู้จักก็……….” พูดพลางคิดพลางก็สำรวจที่คนมาใหม่นี่อีกรอบ

สุดท้ายผมก็มองแฟนเพื่อนด้วยตาโตกว่าปกติ

“ว่าไง!!” แฟนของเพื่อนสนิทเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงเข้มต่างใบหน้าหวานๆ และพลางทำท่าทักทายที่เราแสนจะคุ้นเคย เพราะหากเจอคำทักทายแบบนี้ แปลว่าพวกผมโดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษแล้ว!!

“ไอ้เชี้ยเข้ม ไอ้บูลลี่ปากหมาคนนั้นน่ะนะ!!” ผมพูดขึ้นพลางชี้ไปที่คนที่แต่งกายสุภาพคนนั้น

“สัด!! กว่าจะนึกออก!!” เพื่อนผมถอนหายใจ

“ไอ้เชี้ยก็มันต่างจากภาพลักษณ์ที่จำได้อย่างกับฟ้ากับเหว!!” ผมผายมือไปทางไอ้เข้ม เหวี่ยงมือขึ้นลงตั้งแต่หัวจรดเท้า

“หน้าดำๆ มันๆ ไว้หนวดเฟิ้ม เสื้อผ้าก็ยับๆ ผิดระเบียบ ตั้งแต่เข็มขัดยันรองเท้า เตะบอลเหงื่อออกทั้งวันแบบนั้น ใครจะไปเชื่อวะ ว่าจะเปลี่นนไปได้ขนาดนี่!!” ผมเล่าความในใจเสียงดังแบบไม่ปิดบัง

“พูดเสียเราอยากรังเกียจตัวเองเลย” ไอ้เข้มผ่อนลมหายใจ แล้วก็ทำหน้าหดหู่ทันที ส่วนเสียงนั่นปรับเป็นโทนเล็ก ๆ น่ารัก ๆ ต่างจากเมื่อครู่

“ขืนกูให้เมียกูเป็นแบบเดิมก็แย่ดิวะ กว่าจะดัดสันดานได้ขนาดนี้!!” ไอ้เติ้ลพูดสวนขึ้นมาด้วยสีหน้าภูมิใจ

“ไม่ต้องพูดเลย หากไม่รักจะยอมทำขนาดนี้ไหมเนี่ย!!” ไอ้เข้มทำสีหน้างอนๆ ใส่ไอ้เติ้ล ซึ่งเป็นภาพที่แปลกตามาก ไม่คิดว่าชาตินี้ศัตรูอันดับหนึ่งของพวกเด็กเนิร์ด จะกลายเป็นเด็กเนิร์ดเสียเองแบบนี้ ไหนจะท่าทีอ่อนหวานพวกนั้นอีก 

แล้วไอ้เติ้ลไปดัดนิสัยประมาณไหนเนี่ย!!

“กูว่าไม่ต้องดัด เพราะมันเป็นอินเนอร์!!” เสียวคอปเตอร์แทรกขึ้นมาระหว่างที่คู่รักสองคนนั้นกำลังมองหน้ากันเหมือนชวนทะเลาะ

นับแต่วินาทีนั้น ก็มีแต่เสียงพูดคุยกันระหว่างสามคนนั้นที่ผมฟังแล้วเวียนหัว

แต่ก่อนที่จะคุยกันไปมาไม่จบ ไอ้เติ้ลที่เพลียจากการเข้าเวรมาก็ขอให้รักษาใส่ยาให้ผมให้เรียบร้อยก่อน

เพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับผมหน่อย เลยให้ไอ้เข้มไปรอที่ห้องของคอปเตอร์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

ก่อนออกไปไอ้เข้มได้บอกว่า เราไม่ได้ชื่อเข้มหรอกนะ อันนี้เราตั้งเองเพราะชื่อเล่นจริงของเรา บอกไปคงไม่มีใครกลัว

“คุโร น่ะเหรอ” แฟนเขาแซวขึ้นมา

“ก็จริงนะ!! น่ารักเชียว” ไตเติ้ลพูดพลางพลางยิ้มหวาน

ส่วนคุโรยิ้มอย่างเขินๆ แล้วก็หันหลังเดินไป แต่ก่อนจะออกจากประตู เขาก็หันกลับมาพูดกับผม เพื่อแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ

“เรียกศรัณย์เถอะ เหมือนไอ้คอปเตอร์ไง ง่ายดี”

ผมหันไปหาแฟนป้ายแดงของตัวเอง แล้วสื่อสารประมาณว่า เรามีเรื่องต้องคุยกัน!!


ส่วนคอปเตอร์นั้นผมไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมไป เพราะมันบอกว่า นอนเปลือยด้วยกันทั้งคืน ขนาดนี้ แถมใช้มือสัมผัสผมแทบจะทุกส่วนแล้วจะอายอะไรกัน ผมได้ถอนหายใจแล้วปล่อยมันอยู่ต่อโดยมีไอ้เพื่อนทรยศอย่างไอ้หมอเถื่อนสนับสนุนว่า

“อย่างมึงทำแผลแบบนี้คนเดียวไม่ได้หรอก ต้องมีคนช่วย ให้ผัวมึงช่วยเถอะ!!” ฟังแล้วอยากหารองเท้ายัดปากมัน

ผมกัดฟันกรอดๆ แต่แทนที่ไอ้เติ้ลมันจะสำนึก มันกลับสวนกลับด้วยคำพูด

“หรือมึงจะเถียง!!”

ผมเลยตัดสินใจเลิกสนใจมันและมุ่งสมาธิกับการรักษาแผลตัวเองดีกว่า

ไอ้เติ้ลเข้าสู่โหมดแพทย์วิชาชีพที่จริง อธิบายเรื่องยาและเรื่องการทำแผลด้วยศัพท์วิชาการและน้ำเสียงน่าเชื่อถือ ส่วนคอปเตอร์แม้ผมจะมองไม่เห็นหน้า แต่คิดว่ามันคงตั้งใจน่าดูเพราะแทบไม่ได้ยินเสียงมันเลย

หลังจากทำความสะอาดแผลและสอดยาเรียบร้อยโดยคอปเตอร์ ผมก็ได้แต่ลุกขึ้นมานั่งด้วยท่าทางที่ไม่ได้สบายตัวเท่าไหร่นัก แอบยอมรับว่าคอปเตอร์มันเป็นห่วงผมจริงๆ ในทุกขั้นตอน ผมก็เลยไม่สามารถบ่นหรือตำหนิมันได้เลย

“มึงอยากจะเคลียร์เลยไหมล่ะ!!? ไม่งั้นกูจะไปนอนกกเมียแล้ว!!”  ไอ้เติ้ลผู้ไม่เคยสำนึกกับอะไรเอ่ยขึ้นมาพร้อมจ้องหน้าผมเหมือนเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นความผิดของผม

“กูเจ็บ กูว่าจะปล่อยผ่าน แต่เห็นหน้าเชี้ยๆ ของมึงแล้วกูอยากจะเคลียร์เลย!!” ผมคิ้วขมวดกลับ ผลลัพธ์ที่ได้กลับมาก็คือ ไอ้คอปเตอร์มันก็แค่บลัฟผมเท่านั้น มันคงไม่คิดว่าผมจะกล้าเอ่ยปากขอเคลียร์เลย

ไอ้ไตเติ้ลมันมีสีหน้าลนลานแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรศัพท์หาแฟนตัวเอง

ศรัณย์เดินเข้ามาด้วยท่าทางสุภาพและเรียบร้อย ภาพเก่าที่เคยทับซ้อนอยู่บนความกลัวในหัวของผม มันค่อยๆ เลือนหายไป ผมไม่รู้ว่าไอ้ไตเติ้ลมันทำแบบไหนถึงได้ทำให้คนนี้เปลี่ยนไปขนาดนี้

“เราขอเล่าก่อนก็แล้วกัน จริงๆ เรื่องของเรามันก็เป็นพรหมลิขิตล้วนๆ เลยนะ แต่อาจจะใช้โอกาสที่มีให้เป็นประโยชน์เท่านั่นเอง” คอปเตอร์ยกมือขึ้นขนาดกับศรีษะตัวเอง

ผมพยักหน้าและตั้งใจฟัง ก่อนที่จะฟัง ผมก็แอบเห็นด้วยนะ เพราะการที่ผมอยากมาฝึกงานที่นี่ก็เพราะตัวผมเอง  ผมไม่เคยบอกไอ้ไตเติ้ลเสียด้วยซ้ำ เพราะมันเรียนหนักกว่าผมอีก ก็เลยปล่อยผ่าน ดังนั้นเรื่องที่มันพูดก็ไม่ผิดเสียทีเดียว

คอปเตอร์ยอมรับว่าค่อนข้างช้อคและทำตัวไม่ถูกเมื่อเจอผมอีกครั้งในสถานที่เดียวกัน และยอมนับว่าสับสนว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดีสุดท้ายก็ต้องแสดงออกไปว่าจำไม่ได้ เพราะอยากสร้างความทรงจำดีๆ ร่วมกันใหม่

แต่เพราะว่าศรัณย์ซึ่งตอนนี้เป็นแฟนของไอ้เติ้ลแล้วนั้นรู้เรื่องก็เลยหลุดปากเรื่องที่ผมกับคอปเตอร์พบกันอีกครั้ง (คอปเตอร์ที่ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรจึงได้มาปรึกษากับศรัณย์ทุกวัน เรื่องก็เลยถึงหูไตเติ้ลที่ชำนาญการเรื่องความเผือกเป็นลำดับต้นๆ 

และคงไม่ต้องบอกนะว่าศรัณย์โดนอะไรบ้างเมื่อ ศรัณย์พยายามปิดบังไม่ให้ไตเติ้ลรู้เรื่อง เพราะศรัณย์อยากให้มันค่อยเป็นค่อยไป ผมขอเซ็นเซอร์ไม่เล่านะ ให้รู้แต่ว่า วันต่อมาศรัณย์แทบเดินปกติไม่ได้ (ไอ้ซาดิสต์เอ้ย!!)

ในที่สุดคนที่รู้เรื่องของทั้งสองฝ่ายอย่างไอ้เติ้ลมันก็เริ่มคิดแผนรวบรัด เพราะผมดันเผลอไปเล่าให้มันฟังเรื่องที่เจอคอปเตอร์ในที่ฝึกงาน

หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่ทุกคนรู้กัน

หลังจากเรื่องของผมกระจ่าง ผมจึงเพ่งเป้าหมายใหม่ไปที่มันทันที

“พวกมึงคบกันได้ยังไง!”

“เรื่องมันยาววววว”

“กูว่าง!!!”

“ไม่เสือกสักเรื่อง!!”

“กูเพื่อนมึงนะ”

“ยกเว้นกูไว้สักคนนะ ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องของกูก็ได้”

“ไอ้สัด!!” ผมโมโห จนอยากจะกระโดดต่อยหน้ามันสักหมัด แต่ตอนนี่คงได้แต่กำหมัด

“ให้แฟนมึงเล่าให้ฟังสิ” ไอ้เติ้ลหันมายิ้มให้คอปเตอร์ที่นั่งอยู่ไม่ไกล

คอปเตอร์สีหน้าเจื่อนๆ และตอบกลับมาด้วยความรู้สึกไม่เต็มใจ

“เรื่องนี้ศรัณย์ไม่อยากให้เล่านะ อีกอย่าง เราก็รู้แต่มุมของฝั่งศรัณย์ด้วย”

“ผัวมึงเชื่องดีนะ!!” 

ไม่เคยนึกเลยว่าไอ้เติ้ลมันจะห้าวได้ขนาดนี้ อะไรไปเปลี่ยนมันได้ขนาดนี้วะ

“เออ ก็ได้วะ!!” ผมมองหน้ายิ้มอ่อนของศรัณย์แล้วก็รู้สึกยอมแพ้

“นิดหน่อยก็ได้ แต่ให้คอปเตอร์เล่าก็แล้วกัน”

“เอาจริงน่ะ” คอปเตอร์ทวนสอบให้แน่ใจ

“คร่าวๆ สิ!” แว่บหนึ่งที่เห็นความโหดของสีหน้าเก่าๆ ของศรัณย์แทรกมา

“เออๆ งั้น…..ค่อยเล่าให้ฟังวันหลังได้ไหม?” คอปเตอร์หันมาขออนุญาตผม ซึ่งผมก็เข้าใจ จึงพยักหน้าตอบไป

หลังจากนั้นก็คุยกันเรื่องการดูแลตัวเอง และเพศศึกษาฉบับชายรักชายที่คุณหมอมือใหม่อย่างไอ้เติ้ลเทศนามาเกือบชั่วโมง ก่อนที่จะโอบกอดศรัณย์จนตัวลอยและพาออกจากห้องไปด้วยใบหน้าที่หื่นกระหายอีกฝ่าย 1000%

แขกสองคนออกจากห้องไปหลายนาทีแล้วแต่ในห้องที่อยู่ระหว่างผมกับมันก็ยังคงเงียบสงบ อาจเพราะความไม่คุ้นเคยกับสถานะใหม่ ที่กระทันหันปรับตัวไม่ทัน จึงได้แต่นั่งมองหน้ากันอย่างเงียบๆ ต่างคนต่างหลบตา และพยายามที่เอื้อนเอ่ยสื่อสารกัน แต่ก็ต้องหยุดตัวเองไว้เพราะ มันเหมือนมีบรรยากาศใหม่ๆ แฝงตัวอยู่ในบรรยากาศของห้องจนมวลอากาศหนักอึ้ง

“เอ่อ…. เรื่องไอ้…เอ้ย  ศรัณย์กับไอ้เติ้ลน่ะ เล่าให้ฟังได้ไหม?” ผมชิงทำลายบรรยากาศอึดอัดแบบนี้ก่อน แปลกๆ นะ ที่เราเลยขั้นนั้นมาแล้ว แต่ยังเอียงอายกับการอยู่สองคนลำพังแบบนี้

“เราก็ไม่ได้รู้เยอะอะไรมากนะ จริงอยู่ที่เราสนิทกับศรัณย์ แต่ก็สนิทกันแค่ช่วงผิวเผินช่วงแรก เพราะสังคมช่วงนั้นมันพาไป ศรัณย์มันมาเฉลยที่หลังว่ามันหมั่นไส้เรามากที่ดีพร้อมทุกอย่าง เลยพยายามเอาเข้ามาเป็นพวกเกเรด้วยกัน  คือมันมีปมนิดหน่อยน่ะ”  คอปเตอร์พูดไปก็ทำหน้านึกย้อนไปด้วย ก็น่ารักดี เวลาไม่ได้เซ็ตผมแบบนี้ พูดด้วยท่าทางสุภาพแบบเด็กๆ แบบนี้ก็น่ารักดีนะ

ผมอาจจะเผลอยิ้มจนอีกฝ่ายหยุดพูดและจ้องเขม็งมาด้วยความแปลกใจ

“อะไร?!?” ผมถามย้อนเป็นเชิงให้อีกฝ่ายหยุดจ้องผมแบบนั้นได้แล้ว

“ก่อนเล่าต่อ เราขออะไรอย่างหนึ่งสิ?”

“????” ผมทำหน้าสงสัยตอบกลับไป

“ขอเข้าไปนั่งใกล้ๆ ได้ไหม?”

แน่นอนผมตอบว่า ‘ได้’  ก็ไม่ได้เสียหายอะไรเสียหน่อย

ผมขยับตัวมาพิงหัวเตียงและเหลือพื้นที่ให้อีกฝ่ายมานั่งพิงหัวเตียงข้างๆ ได้ แต่หลังจากที่คอปเตอร์มาถึงพื้นที่ๆ ผมเว้นไว้ให้ เขากลับแทรกแขนตนเองอ้อมไปที่ด้านหลังของผม และใช้แรงโอบไหล่ผมกระชับเข้ามาใกล้  ผมเสียหลังเอียงคอไปซบไหล่อุ่น ๆ ของอีกฝ่าย

ความรู้สึกแรกคือ ผมจะโวยวายที่มันถือวิสาสะขนาดนี้ แต่พอได้ซบลงพอดีและลงตัว ความอบอุ่นและความสบายตัวมันเพิ่มขึ้นมาอย่างท่วมท้น ในใจกลับได้รับการเติมเต็มไปด้วยความรู้สึกสบายใจอย่างประหลาด สุดท้ายผมทำได้แค่ปล่อยตัวไปตามสบายและฟังเสียงนุ่มๆ ของคอปเตอร์เหล่าให้ฟังผ่านเส้นเสียงที่ดังจากภายในอก แบบนี้ใช่ไหมที่เรียกว่า ฟิน!

คอปเตอร์เล่าต่อทันทีหลังจากทุกอย่างลงตัว เขาแอบยิ้มอย่างลืมตัวจนผมรู้สึกได้จากภาพสะท้อนของชั้นวางกระจกที่มุมห้อง

………………….
57
ผมเอามือออกจากปากไอ้กันต์พร้อมกับพยักหน้าเชิงเห็นด้วย ไอ้กันต์หันหน้ามามองคาดโทษผมอย่างอาฆาต โทษฐานที่ผมเอามือไปแปดเปื้อนหน้าตาที่มันมั่นใจมากว่าหล่อกว่าใคร ๆ ในกลุ่ม



“ผมว่ากลุ่มเราท่าทางจะเข้ากันได้ดีเนอะว่ามั้ย” เพื่อนแว่นตัวขาวเสริมขึ้นมา



“งั้นพวกเราแลกไลน์กันไว้มั้ย สร้างไลน์กลุ่มไว้เผื่อจะได้ติดต่อกันตอนมีงานกลุ่มต้องทำ” ไอ้กันต์เสนอไอเดียขึ้นมา



หลังจากที่ไอ้กันต์เสนอขึ้นมา มันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมกดสร้างไลน์กลุ่มอย่างรวดเร็ว ขอแอดไลน์ของเพื่อนใหม่ทั้งสอง พร้อมกับแอดสมาชิกเข้ากลุ่มจนครบทุกคน



พอพวกเราเข้าไลน์กลุ่มจนครบแล้วอาจารย์ก็พูดไมค์ประกาศว่าตอนนี้จัดกลุ่มนิสิตได้ครบทุกคนแล้ว และปล่อยให้นิสิตแยกย้ายกันไปพักเที่ยงได้ เนื่องจากเป็นคาบแรกเลยยังจะไม่มีการเรียนการสอนอะไรมากนอกจากพูดคุยทำความรู้จักกัน



หลังจากที่อาจารย์ปล่อยให้ไปพักเที่ยง พวกผมก็บอกลาพร้อมกับเดินแยกย้ายกันไปคนละทาง แต่ในห้องนี้มีนิสิตเป็นร้อยชีวิต ทำให้การเดินออกจากห้องเลคเชอร์ขนาดใหญ่เป็นไปด้วยความล่าช้าเพราะทางออกมีอยู่แค่ไม่กี่ทาง แต่จำนวนนิสิตนั้นมีมากกว่าเยอะ

“มึง กูพึ่งนึกแผนออก” ไอ้กันต์สะกิดผมจากทางด้านหลังพร้อมกระซิบเบา ๆ



“อะไรวะ”



“เดี๋ยวมึงเดินตามกูมา”



ว่าแล้วไอ้กันต์ก็ดึงแขนผมพร้อมเดินทะลุไปยังทางออกอีกทางที่มีนิสิตเบียดเสียดอยู่เยอะพอ ๆ กันกับจุดที่เรายืนอยู่ ผมก็งงว่ามันมีแผนอะไรของมันถึงได้รีบพาผมออกมาอีกทาง หรือมันนัดโฟลทกับคิมไว้แล้วว่าจะเจอกันที่ทางออกอีกทาง



แต่ยังไม่ทันจะได้หายสงสัย สายตาก็ดันเหลือบไปเห็นคนที่บอกลากันเมื่อตะกี๊ยืนอยู่ตรงทางออกที่ไอ้กันต์กำลังพาผมไป เดี๋ยวเหอะมึง อุตส่าห์แยกกันแล้ว อย่าบอกนะว่ามึงกำลังจะพาไปหาเขาอีกรอบ...



“น้ำใจ นันท์ มาทางนี้หน่อย!”



ไอ้กันต์ตะโกนขึ้นมาจนคนแถวนั้นหันขวับมาทางผมสองคนเป็นสายตาเดียวกัน ผมอายจนแทบอยากจะตะโกนออกไปว่าผมไม่รู้จักไอ้นี่ครับ ผมโดนลักพาตัวมา!



พอสองคนนั้นที่ได้ยินเสียงจตะโกนก็ทำหน้างงหน่อย ๆ แต่ก็เดินตรงมาหาพวกผมสองคน



“มีอะไรหรอครับ” น้ำใจถามขึ้นมาด้ายความสงสัย



“พอดีเรายังไม่ได้แลกไอจีกันไว้เลย ขอไอจีทั้งสองคนได้มั้ยเผื่อเอาไว้คุยกันเล่น ๆ นอกจากเรื่องงาน”



หืม!? นี่น่ะหรอแผนของมึงไอ้กันต์ ที่มึงจูงแขนกูฝ่าดงนิสิตมาแล้วตะโหนลั่นห้องเลคเชอร์จนคนมองทั้งห้องเนี่ยก็เพื่อจะแลกไอจีกันเนี่ยนะ มึงบ้าไปแล้วหรอวะ!!



“อ๋อ ก็นึกว่าอะไรเห็นตะโกนเรียกซะดัง ได้ ๆ ไม่มีปัญหา งั้นเอาโทรศัพท์กันต์มาเดี๋ยวเราพิมพ์ให้”



ว่าแล้วไอ้กันต์ก็ปลดล็อคโทรศัพท์ กดเข้าไอจี แล้วยื่นโทรศัพท์ให้น้ำใจ อีกฝ่ายรับมาแล้วพิมพ์ชื่อไอจีในช่องคนหาอย่างชำนาญ กดฟอล แล้วยื่นคืนให้



“ขอของนันท์ด้วยสิ” ไอ้กันต์ยื่นโทรศัพท์ให้ไอ้หน้าหล่อที่ยืนอยู่ข้างหลังน้ำใจ



“หืม ไอจีของเราน่ะหรอ”



“ใช่ ๆ”



“ให้อีกคนมาขอสิ เห็นว่าอยากได้ไม่ใช่หรอ”



ถ้าคุณเคยเอาข้อศอกชนกับขอบโต๊ะหรือเก้าอี้จนชาแปล๊บไปทั่วทั้งแขนล่ะก็ คุณน่าจะเข้าใจความรู้สึกของผม ณ ตอนนี้ วินาทีนี้ ความเสียวสันหลัง ความกระอักกระอ่วน ความเลิ่กลั่ก ทุกสิ่งทุกอย่างมันผสมรวมกันอยู่ในตัว แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างกายแล้วตอนนี้



ใครก็ได้ช่วยผมที



“เอ่อ...เอางั้นหรอ” ผมรวบรวมความกล้าพูดออกไป



“ถ้ายังไม่อยากได้ ก็ไม่เป็นไร” ไอ้หน้าหล่อพูดตัดบท “อุตส่าห์อยากแลกไอจีกันสักหน่อย เห็นทีจะไม่ได้ละมั้ง” พูดเสร็จมันก็ทำหน้ากวนตีนไม่รู้ไม่ชี้ใส่ผมอย่างโจ่งแจ้ง ถ้าเป็นคนอื่นนี่โดนต่อยนานแล้วเนี่ย



“ก็ไม่ได้ว่าอะไร อ่ะนี่ ข..ขอไอจีหน่อยสิ”



ผมยื่นปลดล็อคไอโฟน 15 เน่า ๆ ของผมพร้อมยื่นไปให้ไอ้นันท์มันพิมพ์ไอจีมันลงไป มันพิมพ์ได้ว่องไวยังกับซ้อมมาไว้แล้ว พอมันกดเข้าหน้าไอจีมันปุ๊บ มันก็กดฟอลไปโดยที่ผมยังไม่ได้บอกให้กดฟอลเลย ไอ้นี่แม่งร้ายชิบ



เสร็จแล้วมันก็ยื่นโทรศัพท์คืน “เดี๋ยวฟอลกลับไป รับฟอลด้วยล่ะ” เอาอีกแล้วกับหน้าตาเจ้าเล่ห์ของมันเนี่ย พูดแล้วทำหน้าเฉย ๆ ไม่ได้หรือไงทำไมต้องเก๊กใส่กันวะ แค่นี้กูก็หวั่นไหวจนไม่รู้จะทำตัวยังไงแล้ว


“ด..ได้ เดี๋ยว..รับฟอลให้”


หมดกันความมั่นใจในตัวผมตอนนี้ พูดตะกุกตะกักไม่เป็นตัวเองเอาซะเลยพออยู่ใกล้คนที่ทำให้ใจหวั่นไหว ทำไมกันนะ ทำไมโลกใบนี้ถึงต้องสร้างให้ร่างกายมีความรู้สึกหวั่นไหวแบบนี้ด้วย แต่ไหนแต่ไรผมก็ไม่ใช่คนที่ไม่มั่นใจในตัวเองนะ แต่ตอนนี้โคตรจะเสียเซลฟ์ เสียอาการสุด ๆ


“เห้ยเดี๋ยวเราฟอลด้วย อย่าลืมรับฟอลเราด้วยล่ะ” ไอ้นี่โผล่มาจากไหนวะ อยู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย


“งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้วเดี๋ยวขอตัวก่อนนะครับ พอดีนัดกับเพื่อนไว้ที่โรงอาหารวิศวะฯ เดี๋ยวที่จะเต็มก่อน ไว้เจอกันครับ”


น้ำใจเป็นฝ่ายบอกลาพร้อมกับโบกมือลาพวกผมสองคน ตามด้วยไอ้นันท์ที่ไม่พูดอะไรแต่ก็ไม่ลืมที่จะโบกมือลาพวกผมทั้งสอง ปล่อยให้ผมยืนเอ๋ออยู่ตรงนี้


“เป็นไงล่ะมึง โดนผู้เล่นตั้งแต่วันแรกเลย ไอ้นันท์นี่ดูทรงแล้วแม่งร้ายไม่เบาเลยแฮะ”


“กูก็ว่างั้น ใจกูยังเต้นตึกตักไม่หายเลยเนี่ย” ผมเอามือกุมไปที่หน้าอกซ้ายของตัวเอง “แม่งอันตรายว่ะคนแบบนี้ มันรู้วิธีเล่นกับใจคนอย่างกู”


“มึงจะพร่ำอีกนานมั้ยกูหิวข้าว! ไปเร็วกูนัดกับไอ้โฟลทกับกับไอ้คิมไว้ มันด่าแม่กูอยู่มั้งเนี่ยไปช้าขนาดนี้”


ไอ้คนที่ชวนผมมาดันด่าผมเองซะงั้น แต่ผมก็ไม่ได้เถียงอะไรมันกลับไปเพราะยังคงสับสนและมึนงงกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้อยู่


นี่สินะเขาถึงบอกว่าเวลาเราอยู่ใกล้คนที่คนที่ชอบมักจะไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง


มันเป็นยังงี้นี่เอง...
58
ตอนที่ 4

ได้วาร์ป
(50%)


ดีที่ว่าเมื่อคืนผมไม่ได้เมาจนสติหลุดไปพร้อมกับควันบุหรี่ของแก๊งข้าง ๆ ผมเลยสามารถลากร่างที่สติสัมปชัญญะไม่ครบองค์ขึ้นแกรบมาถึงที่หอได้อย่างปลอดภัย

พอมาถึงห้องผมก็กระโดดขึ้นเตียงก่อนเป็นอันดับแรก หยิบโทรศัพท์ขึ้นส่งข้อความลงในกลุ่มว่าถึงห้องอย่างปลอดภัยไม่ได้โดนฉุดไปไหน จากนั้นนิ้วก็จิ้มไปดูโน๊ตที่มีชายหน้าหล่อนามว่านันท์สร้างขึ้นไว้พร้อมกับข้อความที่บอกตามตรงว่าค่อนข้างจะกวนตีนและขี้เล่นไม่ใช่น้อย


อยากได้วาร์ปหรอ ก็มาขอเองสิ :X


แล้วไอ้สัญลักษณ์ :X นี่มันหมายความว่ายังไงกันวะ สมัยนี้ใครเขาใช้อะไรแบบนี้กัน เขาพากันใช้อีโมจิกันหมดแล้ว

ผมสลัดความคิดในหัวทิ้งไปพร้อมกับเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างกายที่โดนฤทธิ์แอลกอฮอล์ครองไปกว่า 80% ผมรวบรวมสติในการเอาเสื้อผ้าไปไว้ที่ตะกร้าซักผ้า พร้อมกับหยิบผ้าเช็ดตัวและตรงดิ่งไปยังห้องน้ำเพื่ออาบน้ำชำระล้างความสกปรกและความมึนงงในหัวออกไป

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ความมึนเมาก็ไม่ได้จะหายไปเลย แถมหัวยังหนักอึ้งเหมือนเดิม ผมเช็ดหัวแบบรวดเร็ว จากนั้นก็ทิ้งร่างกายลงบนเตียงเสียงดังตุ้บ ผมที่ยังชื้นไม่แห้งดีปะทะกับความเย็นจากเครื่องปรับอากาศยิ่งทำให้ง่วงมากขึ้น (ไม่แนะนำให้ทำตามนะครับเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอาได้)

หัวของผมตอนนี้มึนเสียจนนึกว่านอนอยู่บนรถไฟเหาะ ความรู้สึกตอนที่เมาแล้วนอนลงบนเตียงนั้นเหมือนโลกทั้งใบกำลังหมุนเป็นเครื่องซักผ้า แต่แปลกที่ว่าต่อให้มึนหัวมากแค่ไหน...ภาพของเจ้านั่น รอยยิ้มบาง ๆ แต่แฝงไปด้วยความร้ายกาจดันปรากฏในห้วงของความคิดและจินตนาการชัดมากขึ้นกว่าเดิม ผสมกับความรู้สึกแปลก ๆ ที่เหมือนมีผีเสื้อร้อยตัวมาบินอยู่ในท้อง และหัวใจที่สูบฉีดอย่างแรง

สงสัยจะเมามากจริง ๆ เรา



***



เป็นเช้าวันอังคารที่ (ไม่ค่อยจะ) สดใสสักเท่าไรนัก ชาวแก๊งแต่ละคนเหมือนจะยังไม่สร่างกัน ถือว่ายังดีที่สามารถมาเจอกันที่มหา’ ลัยตอนเช้าเพื่อนกินข้าวที่โรงอาหารตรงข้ามกับอาคารเรียนสูงชะลูด ทุกคนพร้อมใจกันสั่งก๋วยเตี๋ยวมากินเพราะเมนูน้ำน่ะช่วยบรรเทาอาการแฮงค์ได้ดีเยี่ยมเลยล่ะทุกคน ผมรับประกัน

ผมนั่งอยู่ตรงข้ามกับกันต์ที่หน้าตาดูดีและโทรมน้อยที่สุดแล้วในแก๊งตอนนี้ ข้าง ๆ ผมก็คือไอ้โฟลทที่ขอบตาดำปานหมีแพนด้าเมืองเฉิงตู และไอ้คิมก็นั่งม้วนเส้นก๋วยเตี๋ยวต้มยำชามยักษ์แบบเงียบ ๆ

“สงสัยจะได้นอนยาว ๆ สามชั่วโมงว่ะ ได้เรียนห้องสโลปใหญ่ เราต้องไปจองที่หลังห้องละแอบงีบ” ไอ้กันต์เสนอไอเดียขึ้นมา

“ก็ดี อย่างน้อยก็พอได้มีเวลาหายใจหายคอ คาบเช้าแม่งเจอเลคเชอร์ยาวเลยไอ้สัส กูเกือบอ้วกแตก” โฟลทเป็นฝ่ายบ่นบ้าง

“พวกมึงรีบแดกให้เสร็จ เดี๋ยวจะได้รีบขึ้นไปจองที่ นอนตากแอร์สบาย ๆ” ผมเร่งพวกมัน


หลังจากที่ทุกคนกินเสร็จ พวกผมก็เดินไปแวะร้านสหกรณ์ของมหา’ ลัยที่ตั้งอยู่ใต้ตึกโรงอาหาร มีขนมขบเคี้ยว มีเครป มีของกินขายครบทุกอย่าง ซื้อไปตุนไว้ตอนเรียนก็ดีเผื่อหิว


“มึงจะเอาไรเพิ่มมั้ยโฟลท คิม” ผมถามสองคนนั้นที่เดินตามหลังผมมา สภาพทั้งสองคนคือเหมือนหลับในจริง ๆ ยืนอยู่แต่นิ่งมาก ตามองตรงดิ่งไร้จุดหมาย ซึ่งยังดีที่ไม่เดินชนใครเข้า

“ไม่เอา ๆ มึงซื้อของมึงไปเลย” ไอ้คิมตอบกลับมา

“กูก็ไม่เอา” ตามด้วยเสียงไอ้โฟลท

“อะตามใจพวกมึงละกัน อย่ามาแย่งกูกินละกัน” ผมบ่นพวกมันไปเพราะเจ้าสองคนนี้ชอบแย่งขนมผมกินประจำ


ส่วนไอ้กันต์นั้นกำลังเลือกขนมอย่างตั้งอกตั้งใจ มือข้างนึงถือขนมมันฝรั่งทอดรสเผ็ดหนึ่งซอง อีกมือก็ถือเม็ดแตงโมงกับเมล็ดทานตะวันอย่างละซอง แถมนิ้วก็หิ้วชาเขียวรสน้ำผึ้งมะนาวมาอีกขวด

“มึงจะเอาไปขายให้เพื่อนในห้องหรอกันต์เอามาซะเต็มมือเลย” ผมหยอกมัน

“เรียนตั้งสามชั่วโมงเลยนะมึง เอาไปเผื่อหิวไง”

“มึงแดกข้าวไม่อิ่มหรอวะเอาไปเยอะขนาดนี้”

“อิ่มดิ อันนี้มันของขบเคี้ยว มันแยกกระเพาะกันเว้ย”

“อะไรของมึง มึงมีสี่กระเพาะรึไง”

“เปล่า กระเพาะอะมีอันเดียว แต่หัวใจน่ะมีสี่ห้องแถมว่างหมดเลยน้า”

“กูจะอ้วกไอ้เหี้ย ขนลุก”

“เห้ยมึง นั่นแก๊งไอ้วิศวะเมื่อวานที่กูไปขอวาร์ปให้มึงนี่นา” ไอ้กันต์ชี้ไปยังทางขึ้นตึกเรียน ผมมองไปก็เห็นแก๊งของไอ้วิศวะหน้าหล่อคนนั้นครบทีมเหมือนที่เจอเมื่อคืนเลย ไอ้หน้าหล่อนั่นออร่าเปล่งประกายมาก มองไปปราดเดียวก็คือเห็นมันเป็นคนแรกเลย ใจกูละลายไปกับรอยแตกบนพื้นฟุตบาธแล้ว

“เออว่ะ อย่าบอกนะว่าพวกมันมีเรียนที่คณะเรา”

“ไม่แน่นะมึง มันอาจจะได้เรียนวิชาเดียวกันกับเราก็ได้ ใครจะไปรู้” ไอ้กันต์พูดพร้อมหรี่ตามองทางผมอย่างมีเลศนัย

“อะไรของมึง มองกูทำไม”

“เปล๊า ก็เผื่อเพื่อนกูจะโชคดีได้เรียนวิชาเดียวกันกับสุดหล่อในดวงใจไรงี้” ไอ้กันต์พูดเสริมอย่างกวนส้นตีนมาก “เออว่าแต่เมื่อคืนที่กูไปขอวาร์ปมาให้ ไหนขอดูหน่อย กูเมาจนไม่ทันได้ถามเลยเมื่อคืน”

“ไม่ได้อะไรเลยว่ะ”

“หา! จะไม่ได้ได้ยังไง มันยังพิมพ์ยิก ๆ ต่อหน้ากูเนี่ยตอนกูไปขอมาให้ มึงเมาละหลงไปลบรึเปล่า”

“มันไม่มีอะไรตั้งแต่แรกมึง อะนี่เดี๋ยวกูเปิดให้ดู” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมเปิดแอปโน๊ตที่ไอ้หน้าหล่อนั้นทิ้งข้อความเอาไว้

“เชี่ยยย จริงหรอวะเนี่ย แม่งร้ายชิบหายไอ้นี่”

“เออ ร้ายจริง”

“สงสัยมึงต้องจัดการเองแล้วล่ะทีนี้ อิอิ” ไอ้กันต์ทำหน้ากวนตีนแล้วก็หันไปจ่ายตังค์ที่เคาท์เตอร์ จากนั้นเราทั้งสองก็เดินไปหาคิมกับโฟลทที่ยืนรออยู่ไม่ไกล และเราก็ไม่ได้คุยเรื่องไอ้หน้าหล่อนั่นอีก


เราสี่คนเดินมารอลิฟต์ที่ตึกเรียน ตอนนี้ใกล้จะถึงเวลาเรียนแล้ว นิสิตเริ่มทยอยมารอลิฟต์ที่มีอยู่น้อยนิดเมื่อเทียบกับจำนวนของนิสิตที่ต้องการใช้งานในแต่ละวัน ลิฟต์ที่นี่จะแบ่งเป็นชั้นคู่กับชั้นคี่ ห้องของวิชาที่เราจะเรียนนั้นอยู่ชั้น 5 ดังนั้นเราก็ต้องขึ้นลิฟต์ชั้นคี่ ซึ่งมีนิสิตต่อแถวยาวยิ่งว่ารอซื้อคริสปีครีมตอนลดราคาซะอีก เดาได้เลยว่านิสิตเหล่านี้กำลังมุ่งหน้าไปยังห้องเรียนเดียวกันเพราะว่าวิชานี้รับนิสิตเยอะมาก รับประมาณ 200 คนทีเดียว และตอนนี้ก็ใกล้เวลาเข้าเรียนแล้ว นิสิตก็เลยมาออกันที่หน้าลิฟต์กันอย่างล้นหลาม

พวกผมโชคดีที่สามารถแทรกไปอยู่ตรงกลาง ๆ แถวได้ รอคิวแปบเดียวก็ได้ขึ้นลิฟต์แล้ว ลิฟต์ของตึกนี้เร็วมากเลยนะขอบอก ขึ้นลงเร็วยังกับวาร์ปได้ พวกผมยัดร่างทั้ง 4 เข้าไปในลิฟต์พร้อมกับนิสิตหญิงอีก 3 คน และเป็นไปอย่างที่เดาไว้ไม่ผิด ทุกคนมุ่งหน้าไปยังชั้น 5 และผมก็มั่นใจมากว่านิสิตทั้ง 3 คนนี้กำลังไปห้องเลคเชอร์เดียวกันกับผมแน่ ๆ เพราะดูจากการแต่งตัวแล้วไม่น่าจะใช่นิสิตคณะวิทยาศาสตร์เจ้าถิ่นตึกนี้ ดูจากการแต่งตัวที่ใส่กระโปรงพลีทสีดำยาวเกือบจรดข้อเท้า และรองเท้าผ้าใบสีขาวจั๊วะ น่าจะมาจากนิเทศแน่นอนชัวร์ป้าบ


ติ๊ง!


พอลิฟต์เปิดออกพวกผมก็เดินออกไปยังห้องเรียนอย่างรวดเร็วเพื่อจองที่ด้านหลัง ห้องเรียนของพวกผมคือหมายเลข 504 ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากลิฟต์มาก พอเห็นห้องเลคเชอร์ด้านหน้าที่มีหมายเลข 504 ติดอยู่ข้างบนผมก็เดินนำหน้าผลักประตูเข้าไป ทันทีที่ประตูเปิดออก ลมแอร์ในห้องก็ตีหน้าผมเข้าอย่างจัง ห้องเลคเชอร์ห้องนี้เปิดแอร์เย็นยิ่งกว่าห้องแช่ผักของตลาดไทอีก ขนาดผมใส่ชุดนิสิตแขนยาวมายังต้านความเย็นของแอร์ไม่ไหว พอเข้าห้องมาแล้วผมก็เริ่มปฏิบัติการสอดส่องหาที่นั่งในโซนหลังห้องเลคเชอร์ ผมกวาดตามองตั้งแต่มุมซ้ายไปจนสุดอีกมุมหนึ่งของห้อง ผมเห็นมุมตรงขวามือที่ยังไม่มีใครไปจับจอง ผมชี้ไปทางนั้นพร้อมบอกพรรคพวกให้รีบไปตรงนั้นอย่างรวดเร็ว พอมาถึงพวกผมก็หย่อนตูดลงอย่างสบายอกสบายใจ


ต้องบอกก่อนว่าห้องเลคเชอร์นี้จะมีลักษณะเป็นห้องที่ไล่ระดับจากต่ำไปสูง มีเวทีข้างหน้าห้องให้อาจารย์ยืนสอนที่จะอยู่จุดล่างสุดของห้อง แล้วไอ้จุดนี้แหละที่ทำให้อาจารย์สามารถมองขึ้นไปแล้วเห็นห้องเลคเชอร์ได้ทั้งห้อง ห้องนี้แบ่งเป็นฝั่งซ้ายและฝั่งขวาโดยมีทางเดินตรงกลางคั่นไว้ แต่ละแถวจะมีโต๊ะเพียง 1 โต๊ะที่พาดยาวไปจนสุดแต่ละฝั่ง คล้าย ๆ โต๊ะยาวติดผนังในคาเฟ่ ในร้านกาแฟ ถ้ายืนอยู่บนเวทีแล้วเผชิญหน้ากับห้องเลคเชอร์นี้ จะเห็นแก๊งผมนั่งเสนอหน้าอยู่ทางซ้ายมือแถวบนสุดของห้อง ผมจะอยู่ริมสุด ตามมาด้วยไอ้กันต์ คิม และโฟลท


พอถึงเวลาเรียน อาจารย์ก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับพี่ ๆ TA (ผู้ช่วยอาจารย์) อีกสามคน เพราะวิชานี้คนเรียนเยอะมาก เลยต้องมีผู้ช่วยเยอะ และตอนนี้นิสิตก็มากันเต็มห้องแล้ว ถ้ากะจากสายตาก็น่าจะราว ๆ สองร้อยคน


และแน่นอนว่าสายตาที่มีเรดาห์ส่องผู้ชายอันแม่นยำนี้ได้ตรวจพบไอ้หนุ่มหล่อนันท์พร้อมกับผองเพื่อน แก๊งนั้นนั่งอยู่ฝั่งเดียวกันกับแก๊งผมเลย แค่พวกมันนั่งถัดลงไปประมาณสี่แถวได้ (อันนี้กะจากสายตานะ) และก็นั่งอยู่ริมสุดเหมือนกันเลย พวกนั้นกำลังแหย่กันอย่างสนุกสนาน หัวเราะคิกคักอย่างไม่ได้เกรงใจอาจารย์หน้าห้องแต่อย่างใด ผมก็ได้แต่แอบมองอย่างห่าง ๆ ซึ่งแค่ได้แอบมองก็มีความสุขแล้ว

ในขณะที่ผมมองแก๊งข้างหน้าเพลิน ๆ เป็นจังหวะเดียวที่ไอ้นันท์ก็หันขึ้นมาสบตากับผมพอดี

ทุกสิ่งเกิดขึ้นไวมาก ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีแต่กลับทำใจผมเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ

ผมรีบหลบหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่รู้จะต้องจัดการตัวเองยังไง ก็เลยฟุบลงโต๊ะแม่งเลย คงไม่มีพิรุธอะไรหรอกมั้ง

“มึงเป็นอะไร ไม่สบายรึเปล่า” ไอ้กันต์ทักขึ้นมาคงเพราะเห็นผมก้มหน้าก้มตา

“เปล่า ๆ ไม่มีอะไร ง่วงนอนเฉย ๆ”

“ง่วงนอน? ยังไม่ทันได้เริ่มคาบมึงชิงง่วงนอนก่อนเลยนะ”

“อืม”

ผมตอบตัดบทไปเพราะเขินอยู่ จนเสียงอาจารย์ดังขึ้นมา สถานการณ์ทุกอย่างถึงได้กลับเข้าสู่สภาวะปกติ อาจารย์ก็เริ่มสอนไป พวกผมก็ทำทุกอย่างยกเว้นเรียน ไอ้คิม ไอ้โฟลท หลับเป็นตาย ฟุบตั้งแต่อาจารย์ยังไม่เปล่งเสียงออกมา ไอ้กันต์กับผมก็นั่งกินขนมขบเคี้ยวเพลิน ๆ เล่นโทรศัพท์บ้าง คุยกันเองบ้าง ช่างเป็นนิสิตที่ดีของอาจารย์จริง ๆ เลยพวกเรา

ต่างจากแก๊งข้างหน้าที่ผมแอบมองตั้งแต่ต้นคาบ ตอนนี้คือเหมือนอยู่คนละโลกกับพวกเรา แม่ง พวกนี้เอาแรงจากไหนมาเรียนวะ ทั้งที่จำได้ว่าเมื่อคืนไปเจอกันที่ร้านเหล้า แต่ทำไมวันนี้ถึงดูพลังงานเหลือล้นพร้อมเรียน ต่างจากพวกเราที่พลังหมดตั้งแต่ยังไม่เริ่มคาบ

ที่เขาบอกว่าพวกวิศวะคอแข็งนี่ท่าจะเรื่องจริงแฮะ...

แต่ผมสงสัยว่านอกจากคอที่แข็งเอาการแล้วเนี่ย...อย่างอื่นจะแข็งเหมือนกันมั้ยนะ

เช่น หัวแข็งไรงี้.....คิดอะไรอยู่ครับทุกคนนนนน ผมไม่ได้เป็นคนทะลึ่งตึงตังอะไรแบบนั้นซะหน่อย อย่าเข้าใจผมผิดนะครับ ไม่มีอะไรจริงจริ๊งงง


เวลาก็ผ่านไปเนิ่นนานเสียเหลือเกิน ผมจิ้มจอโทรศัพท์เพื่อดูว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแล้ว ปรากฏว่าเหลืออีกประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเลิกเรียนคาบนี้ ผมรู้สึกได้ว่าวิญญาณผมและผองเพื่อนกำลังจะหลุดลอยออกจากร่างประมาณรอบที่ 20 ได้ ทำไมเวลาถึงผ่านไปช้าเหลือเกิน...

“นิสิตทุกคนฟังครับ” อาจารย์ก็กระแทกเสียงขึ้นมาจนผมสะดุ้งโหยง ตกใจหมดเลยอาจารย์ นี่เป็นวิธีการปลุกแบบใหม่หรอ

“จากที่อาจารย์ได้อธิบายไปตอนต้นชั่วโมงว่าเราจะเก็บคะแนนจากการทำงานกลุ่มกันค่อนข้างเยอะ อาจารย์จะให้นิสิตจับกลุ่มกันทำงาน เงื่อนไขการจับกลุ่มคือ 1 กลุ่มจะมี 4 คน ซึ่งจะต้องคละคณะกัน อาจารย์จะอนุโลมให้นิสิตคณะเดียวกันอยู่กลุ่มด้วยกันได้ไม่เกิน 2 คน และจะใช้กลุ่มเดิมในการทำกิจกรรมไปจนจบเทอม จะไม่มีการสลับสมาชิกหรือเปลี่ยนกลุ่มใหม่เด็ดขาดระหว่างภาคเรียน”


“งานใหญ่ของเทอมนี้ก็คือการไปทำจิตอาสา ทำที่ไหนก็ได้ อาจจะไปที่สภากาชาติไทย โรงพยาบาล วัด สถานสงเคราะห์ หรือที่อื่นนอกเหนือจากที่อาจารย์กล่าวไว้ก็ได้ ให้นิสิตไปทำจิตอาสากันกับกลุ่มของตัวเอง จะเริ่มทำตอนไหนก็ได้ พอท้ายเทอมให้นิสิตสรุปงานเสนอเป็นวิดิโอบรรยายผลงานของตัวเอง”


“ตอนนี้ให้นิสิตเริ่มจับกลุ่มได้ครับ ถ้าได้กลุ่มแล้วให้แจ้งพี่ ๆ TA เลยนะครับ”


“เอาแล้ว ถึงเวลาที่เราต้องแยกจากกันแล้วสินะ” ไอ้กันต์พูดขึ้นมาพร้อมกับหันหน้าซ้ายขวามองเพื่อนร่วมวงอีก 3 ชีวิตที่เหลือ


ไอ้คิมกับไอ้โฟลททำหน้าละห้อยตาแป๋วยังกับลูกหมาหลงทาง เพราะพวกแม่งรู้ชะตากรรมว่าจะต้องได้แยกกลุ่มกันเป็นแน่


ส่วนผมไม่มีปัญหาอะไรมากหรอก รู้แต่แรกอยู่แล้วว่าจะต้องได้แยกกันเพื่อไปรวมกลุ่มกับนิสิตคณะอื่นอีก 2 คน เพราะกลุ่มเรามี 4 คน กฏคือห้ามคณะเดียวกันอยู่ด้วยกันเกิน 2 คน ดังนั้นแก๊งเราก็ต้องแบ่งครึ่งและไปหาอีก 2 คนที่เหลือมาเข้าร่วม


พอรู้ว่าต้องทำอะไรแล้วพวกผมก็ไม่รอช้า จับคู่กัน 2 คน และไล่ถามนิสิตที่อยู่รอบ ๆ ว่ามีกลุ่มแล้วหรือยัง


‘คนครบแล้วค่ะ’

‘คณะเดียวกันค่ะ คนเกินแล้ว’

‘อ๋อ คณะเดียวกันค่ะ อยู่ด้วยไม่ได้’

‘มีกลุ่มแล้วครับ’

‘ตอนนี้ขาดแค่คนเดียวครับ’



ทำไมการหากลุ่มมันถึงได้ยากขนาดนี้นะ ปกติมันก็ต้องมีกลุ่มที่ว่างบ้าง แต่นี่ถามไปกลุ่มไหน คนไหน ก็เข้าร่วมด้วยไม่ได้สักกลุ่ม ผมกับไอ้กันต์เลยต้องเดินลงไปหากลุ่มตรงแถวด้านล่าง



‘ครบ 4 คนแล้วครับ’

‘ครบแล้วครับเพื่อนไปเข้าห้องน้ำเฉย ๆ ครับ’

‘คนครบแล้วค่ะ’

‘มีกลุ่มแล้วครับ’

‘เต็มแล้วครับ’

...


“มึง เราจะมีกลุ่มแน่นะ” ผมถามไอ้กันต์แบบเนือย ๆ


“เอออออ นั่นดิ แม่งเดินไปทางไหนก็มีแต่คนมีกลุ่มแล้ว”


“เรากลับที่นั่งเราก่อนมั้ยวะ อยู่ไปก็ไม่น่าจะมีกลุ่มว่างให้เรา”


“เออ ๆ กลับเถอะ เผื่อแถวเราจะมีกลุ่มว่างอีกสักกลุ่ม” ไอ้กันต์เห็นด้วยกับผม พูดเสร็จเราสองคนก็เดินกลับไปยังที่นั่งเดิมของเรา ระหว่างที่กำลังลัดเลาะไปตามทางเดินเนื่องจากนิสิตหลายคนก็กำลังจับกลุ่มทำความรู้จักกัน เขียนชื่อส่งอาจารย์ พวกผมก็ต้องพยายามเลี่ยงไม่ให้ชนกับคนอื่นเข้า


“นาย!” เสียงที่เหมือนจะคุ้นหูดังจากทางด้านหลังจนเราสองคนต้องหันกลับไปหาแหล่งที่มาของเสียง


พอหันกลับไปก็ปรากฏหน้าของบุคคลที่ไม่คาดคิดว่าจะเป็นต้นกำเนิดเสียงเรียกนี้ ใช่ครับ ไม่ใช่ใครอื่นใด นิสิตชายใส่แว่นตัวขาวออร่าเปล่งประกาย และเพื่อนของเขาที่มี...ไอ้นันท์ยืนอยู่ข้าง ๆ


คือผมไม่รู้จะสู้หน้ายังไงดีในเมื่อผมพึ่งจะสร้างเรื่องไปเมื่อคืน


ตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องหลบหน้าหลบตาไปก่อนและให้ไอ้กันต์ไปเสนอหน้าแทนผม


“เรียกพวกเราหรอ?” ไอ้กันต์ถามกลับไปขณะที่ผมกำลังเลิ่กลั่กอยู่

“ใช่ เรียกนายสองคนนั่นแหละ”


“เอ่อ พวกนายใช่คนที่เจอกันที่ร้านโต๊ะไม้เมื่อคืนปะ” ไอ้กันต์ถาม


“ใช่ ๆ พวกเราเอง”


“ว่าแต่...มีกลุ่มกันรึยัง” อ้าวไอ้กันต์! มึงไม่คิดว่าเพื่อนมึงที่พึ่งสร้างวีรกรรมไปเมื่อคืนก่อนจะอายบ้างหรอวะ


“ยังไม่มีเลยอะ สนใจรวมกลุ่มกันปะ?”


“ดีเลย เราสองคนกำลังหากลุ่มอยู่พอดี ขออยู่ด้วยนะค้าบ” ไอ้กันต์ทำเสียงทะเล้นซะน่าตื้บสักที


“โอเค งั้นขอชื่อนามสกุล ชั้นปี และก็คณะของพวกนายสองคนด้วย เขียนใส่กระดาษนี่เลย”


ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก รู้ตัวอีกทีไอ้กันต์ก็รับกระดาษจากนิสิตแว่นผิวขาวเผือกคนนั้นมา เขียนรายละเอียดของตัวเองและผมลงไปอย่างรวดเร็ว ว่าแต่ไอ้นันท์...ที่ยืนอยู่ข้างหลังพ่อตัวขาวนี่ก็ไม่พูดจาอะไรเลย ยืนเก๊กอยู่ตลอดเวลา หมั่นไส้ชิบเป๋ง


เขียนเสร็จไอ้กันต์ก็วิ่งเอาใบรายชื่อไปส่งที่พี่ TA ก่อนที่จะวิ่งกลับมาประจำจุดเดิม


พอดีลทุกอย่างลงตัวกลุ่มเราที่มีสมาชิกคือผม กันต์ ไอ้ตัวขาว และนันท์ ก็ได้ที่นั่งใหม่ไม่ไกลจากที่เจอกันเมื่อครู่ พอหย่อนตูดประจำที่นั่งโดยมีผมอยู่ริมขวาสุด ตรงกลางมีกันต์และหนุ่มแว่น โดยมีนันท์ขนาบข้างอยู่ทางริมซ้ายมือ บรรยากาศค่อนข้างจะมึนงงเพราะทั้งห้องเลคเชอร์ยังคงวุ่นวายด้วยเสียงนิสิตที่กำลังหากลุ่มและบางส่วนก็กำลังทำความรู้จักกันหลังจากที่จับกลุ่มกันได้แล้ว


“เราชื่อน้ำใจนะ พวกนายล่ะ” หนุ่มแว่นเป็นคนเปิดประเด็นในการคุยขึ้นมาก่อน อาจจะเพราะเห็นว่ากลุ่มเรายังไม่ค่อยได้รู้จักกันเท่าไหร่นัก


“เรากันต์ ส่วนข้าง ๆ เรานนท์ อยู่วิทยา ปี 1” ไอ้กันต์แนะนำตัวเองและแนะนำผมไปด้วย คงรู้ว่าผมคงไม่มีกะจิตกะใจในการทำอะไรแล้วตอนนี้ ผมยิ้มยิงฟันและโบกมือให้คู่สนทนาอีกฝั่งด้วยความเลิ่กลั่กซึ่งยังไม่ได้จากหายไปตามเวลาที่ล่วงเลยมาเกือบครึ่งชั่วโมงที่ได้เจอหน้ากับคนที่ผมพึ่งจะสร้างวีรกรรมไปหมาด ๆ


“โอเคเลย ยินดีที่ได้รู้จักทั้งคู่นะ ส่วนข้าง ๆ นี่เพื่อนเราเอง ชื่อนันท์ พวกเรามาจากวิศวะ อยู่ปี 1 เหมือนกัน ดีเลยเนอะจะได้ไม่ต้องเกร็งกัน”


“หวัดดี” ไอ้หนุ่มทางซ้ายมือโบกไม้โบกมือทักทายหลังจากที่น้ำใจแนะนำตัวเสร็จ หน้านิ่ง ๆ กับรอยยิ้มบาง ๆ และสายตาที่จ้องเขม็งมาทางผม แม่ง...จะกวนตีนกันรึยังไงนะ เห็นผมลุกลี้ลุกลนแต่แรกก็กะจะแกล้งกันด้วยสายตาเลยหรอ


“คงไม่ต้องเกร็งอะไรกันหรอก เมื่อคืนก็ได้เจอกันแล้วนี่นา ใช่มั้ยครับ?” นั่น! พ่อหนุ่มซ้ายมือยิงคำถามฮุกใส่จนผมแทบกระอัก ตอนนี้ผมกำลังพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด ทั้งที่ในใจนั้นอยู่ไม่สุขสุด ๆ มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนผมทำผิดสักอย่างแล้วมีคนจับได้และกำลังซักไซ้จี้ใจดำ


“อ่อ...เออใช่ ๆ เหมือนจะจำได้ลาง ๆ เราน่า จ..จะเคยเจอกันมาแล้วเนอะ” ผมตอบกลับไปแบบตะกุกตะกัก


“ใช่แล้ว ๆ เมื่อคืนแม่งอย่างรั่วเลย ฮ่า ๆ” ไอ้กันต์ช่วยขำกลบเกลื่อน แต่มันไม่ได้เลยมึง!


โคตรจะมีพิรุธ!



“อ้อ นายคือคนที่มาขอไอจีนันท์ปะ”



เจอคำถามนี้เข้าไปความมีพิรุธที่แสดงออกมาผ่านหน้าตาอันหล่อเหลาของผมยิ่งชัดเจนมากขึ้น ผมกับไอ้กันต์มองหน้ากันโดยที่ไม่ต้องถามเลยว่าในใจคิดอะไรอยู่



‘ชิบหายแล้ว’



“ฮ่า ๆ อย่าถือสาเพื่อนผมเลยครับ ไอ้นี่ตอนเมาชอบให้เพื่อนไปขอไอจีผู้ชาย”



“เดี๋ยวนะไอ้นี่ มึงขายเพื่อนหรอ” ผมโพล่งขึ้นมาทันที อยู่ ๆ ทำไมถึงได้ขายเพื่อนแบบนี้วะมึง!



“เอ้า ก็จริงไม่ใช่หรอ คืนก่อนมึงก็ขอให้กูไปขอนันท์เองนี่น...^$&@*” ผมเอามือปิดปากมันอย่างรวดเร็วก่อนที่มันจะโพล่งอะไรที่ทำให้ผมเสียหายไปมากกว่านี้



“เอ่อ อย่าไปฟังมันเยอะเลยครับ ผมอาจจะเมาบ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่มันพูดหรอกครับ แหะ ๆ”



ไอ้เพื่อนชั่วนี่มันต้องโดนทุบให้เข็ด จะมาขายกันต่อหน้าต่อตาอีกฝ่ายได้ยังไงกัน



“อ๋อครับ ๆ ไม่เห็นจะเป็นไรเลย เขาบอกว่าคนเรามักจะแสดงธาตุแท้ออกมาตอนเมาน่ะครับ ในเคสนี้ผมว่าก็คงจะเป็นยังงั้นแหละ”



“อ้าวน้ำใจ รู้จักกันวันแรกก็วอนเลยหรอครับ” ยังไม่ทันไรไอ้น้ำใจนี่ก็จะผนวกกำลังรุมยำผมแล้วหรอ



“อย่าทะเลาะกันเลย เราคงต้องได้ร่วมงานกันอีกนาน สามัคคีกันไว้ดีกว่าเนอะ” ไอ้คนริมซ้ายสุดนั่งเท้าค้างพูดแทรกบทสนทนาขึ้นมา ผมบนหน้าที่ยาวกำลังดีปกปิดใบหน้าอีกครึ่งไว้ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถ่ายปกนิตยสารอยู่ มันจ้องมาทางผมพร้อมกับยักคิ้วให้หนึ่งที



ความรู้สึกตอนนี้เหมือนกำลังโดนสะกดจิตยังไงก็ไม่รู้



ต่อ...
59
เอไอเอส  ระบบเติมเงิน  #ได้ทุกเบอร์
เน็ตไม่อั้น  #เน็ตไม่ลดความเร็ว  (เน็ตอย่างเดียว)
เร็ว  4 Mbps(เม็ก)  ราคา  43  บาท  นาน  1  วัน
*777*7721*117010#  แถมโทรฟรีทุกค่าย  10  นาที
เร็ว  4 Mbps(เม็ก)  ราคา  75  บาท  นาน  2  วัน
*777*7724*117010#
เร็ว  4 Mbps(เม็ก)  ราคา  113  บาท  นาน  3  วัน
*777*7719*117010#
เร็ว  6 Mbps(เม็ก)  ราคา  59  บาท  นาน  1  วัน
*777*7722*117010#
เร็ว  6 Mbps(เม็ก)  ราคา  97  บาท  นาน  2  วัน
*777*7725*117010#
เร็ว  6 Mbps(เม็ก)  ราคา  140  บาท  นาน  3  วัน
*777*7720*117010#
เร็ว  10 Mbps(เม็ก)  ราคา  70  บาท  นาน  1  วัน
*777*7723*117010#
ต่ออายุอัตโนมัติ
#ไม่ลดความเร็ว  #ห้ามใช้โหลดบิท
ร้านสราวุธคอมพิวเตอร์  สตูล
สาขามะนัง 0826499917
ไลน์  sarawutcomputer
เฟซบุ๊ก  sarawutcomputer
www.sarawutcomputer.lnwshop.com
เปิดทุกวัน  09.00 – 20.00  น.
ท่านเต็มใจมา  ร้านฯ  เต็มใจบริการ
#AIS5G #AISOne2Call5G #AISเติมเงิน #เน็ตไม่อั้น #โปรเน็ตส่งท้ายปี #เน็ตไม่ลดสปีด
http://sarawutcomputer.lnwshop.com/b/757
.
https://web.facebook.com/photo?fbid=909129034559463&set=a.496909265781444
60
เอไอเอส  ระบบเติมเงิน  #ได้ทุกเบอร์
เน็ตไม่อั้น  #เน็ตไม่ลดความเร็ว  (เน็ตอย่างเดียว)
เร็ว  4 Mbps(เม็ก)  ราคา  43  บาท  นาน  1  วัน
*777*7721*117010#  แถมโทรฟรีทุกค่าย  10  นาที
เร็ว  4 Mbps(เม็ก)  ราคา  75  บาท  นาน  2  วัน
*777*7724*117010#
เร็ว  4 Mbps(เม็ก)  ราคา  113  บาท  นาน  3  วัน
*777*7719*117010#
เร็ว  6 Mbps(เม็ก)  ราคา  59  บาท  นาน  1  วัน
*777*7722*117010#
เร็ว  6 Mbps(เม็ก)  ราคา  97  บาท  นาน  2  วัน
*777*7725*117010#
เร็ว  6 Mbps(เม็ก)  ราคา  140  บาท  นาน  3  วัน
*777*7720*117010#
เร็ว  10 Mbps(เม็ก)  ราคา  70  บาท  นาน  1  วัน
*777*7723*117010#
ต่ออายุอัตโนมัติ
#ไม่ลดความเร็ว  #ห้ามใช้โหลดบิท
ร้านสราวุธคอมพิวเตอร์  สตูล
สาขามะนัง 0826499917
ไลน์  sarawutcomputer
เฟซบุ๊ก  sarawutcomputer
www.sarawutcomputer.lnwshop.com
เปิดทุกวัน  09.00 – 20.00  น.
ท่านเต็มใจมา  ร้านฯ  เต็มใจบริการ
#AIS5G #AISOne2Call5G #AISเติมเงิน #เน็ตไม่อั้น #โปรเน็ตส่งท้ายปี #เน็ตไม่ลดสปีด
http://sarawutcomputer.lnwshop.com/b/757
.
https://web.facebook.com/photo?fbid=909129034559463&set=a.496909265781444
หน้า: 1 2 3 4 5 [6] 7 8 9 10
สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด