บทที่ 8 ชีวิตที่น่าอิจฉา 100%
ตั้งแต่เด็กเขาก็เกิดมากับครอบครัวที่สมบูรณ์เพียบพร้อมไปทุกอย่าง ครอบครัวของเขามีเงิน มีฐานะ มีชื่อเสียงที่โด่งดัง ไม่มีใครในประเทศนี้ไม่รู้จัก
'อรรถจิรานันท์'
คุณพ่อของเขา 'วิวิทย์ อรรถจิรานันท์' เจ้าพ่ออสังหา ท่านทำงานตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 เพราะท่านเป็นลูกชายคนเดียวของคุณปู่จอมบงการที่คอยจัดแจงชีวิตทุกคน ท่านถูกคุณปู่ให้บังคับเริ่มฝึกงานที่บริษัทตั้งแต่เข้าเรียน ปี 1 ควบคู่กับการเรียนไปด้วย ทำให้ท่านแทบไม่มีวันหยุดและได้ใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นทั่วไปเลย
จนวันนึงท่านได้พบกับคุณแม่ของเขาที่เป็นลูกหลานของตระกูลผู้ดีเก่าที่จะสามารถเอื้อประโยชน์ให้กับคุณพ่อได้ในหลายๆ เรื่องอย่าง 'ริณี ธาดาวรวงศ์' คุณแม่เป็นสาวสังคมชั้นสูง สวยสง่า ราวกับดอกฟ้าที่ใครๆ ต่างหมายปอง แต่ในใจของคุณแม่มีเพียงแค่คุณพ่อคนเดียวเท่านั้น คบหาดูใจกันได้ไม่นานก็มีข่าวสั่นสะท้านสังคมเรื่องการแต่งงานของคนทั้งคู่ และหลังจากนั้นแค่ไม่กี่ปีเขาก็ลืมตามาดูโลกในฐานะทายาทของอรรถจิรานันท์
'ชีวิตดีจังเลยเนาะ เกิดมามีพร้อมทุกอย่าง'
'คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดแท้ๆ'
'วาสนาดีสุดๆ ไปเลย ไม่ต้องทำงานก็มีเงินใช้จนตาย'
นี่คือคำพูดพาดพิงที่เอ่ยถึงเขาตั้งแต่เขายังไม่ได้คลอดออกมาด้วยซ้ำ ชีวิตของเขาที่ใครๆ ก็มองว่ามันน่าอิจฉา ชีวิตของเขาที่ใครๆ ก็มองว่ามันช่างโชคดีอะไรอย่างนี้
ทำไมเขาไม่เคยอยากได้ชีวิตแบบนี้เลย
เขาเกิดมาสุขสบายบนกองเงินกองทองจริงๆ ฐานะทางบ้านของเขาไม่ได้ทำให้เขาขัดสนในเรื่องเงินเลยแม้แต่น้อย ครอบครัวเราอบอุ่นมากๆ คุณพ่อคุณแม่รักกันดี จนกระทั่ง
ผู้หญิงคนนั้นโผล่เข้ามา
การปรากฏตัวของผู้หญิงคนนั้นพร้อมกับลูกในท้องที่คุณพ่อพาเข้าบ้านมาแนะนำให้พวกเรารู้จัก ครอบครัวของเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คุณพ่อกับคุณแม่ทะเลาะกันทุกวัน ไม่มีวันไหนที่ไม่ด่าทอหรือสาดคำร้ายๆ ใส่กัน มันเหมือนเป็นภาพชินตาของเขาไปแล้ว เขาได้ยินเสียงร้องไห้ของคุณแม่ดังออกมาจากห้องในทุกๆ วันที่คุณพ่อไปค้างกับผู้หญิงคนนั้น
มันทำให้เขาปลูกฝังต้นกล้าแห่งความเกลียดชังไว้ในหัวใจ ทุกครั้งที่เห็นหน้าผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นเมียน้อยกับลูกของมัน รากของความเกลียดชังมันงอกออกไปจนทิ่มแทงก้อนเนื้อกลางอกจนเจ็บไปหมด เขาเกลียด เกลียดมันและลูกของมันเข้ากระดูกดำ เกลียดที่มันมาแย่งทุกอย่างไป เกลียดที่มันมาทำให้แม่เสียใจ เกลียดที่มันได้ความรักจากคุณพ่อมากกว่าเขาและแม่ เขาไม่เคยลืมมันเลยเพราะชื่อของมัน เขาท่องมันในทุกห้วงลมหายใจ
'พิจิตรากับชานนท์ ไอ้พวกนอกคอก'
แต่แล้วกรรมมันก็ตามทัน พวกมันถูกเงาแห่งความยุติธรรมสนองเข้าให้ในปีที่เขามีอายุครบ 7 ขวบ ผู้หญิงคนนั้นถูกคุณพ่อจับได้ว่านอนกับคนขับรถของคุณพ่อ วันที่ความจริงเปิดเผยท่านโกรธมาก เขาไม่เคยเห็นท่านโมโหขนาดนี้มาก่อน ท่านไล่ผู้หญิงคนนั้นออกไปให้พ้นหน้า ให้มันหอบข้าวของและลูกชายของมันไปให้พ้นๆ จากอรรถจิรานันท์ หลังจากวันนั้นเขาก็ไม่เคยได้เห็นหน้าของพวกมันอีก
จากเหตุการณ์ครั้งนั้นมันทำให้คุณพ่อเปลี่ยนไป
ท่านติดสุรามากขึ้นและโมโหร้ายมากยิ่งขึ้น ท่านทุบตีแม่กับเขาตลอดเวลาที่เมามาย โทษว่าทุกอย่างมันเป็นเพราะแม่ ท่านพร่ำเรียกหาแต่ชื่อของตัวเสนียดทั้งสองคนนั้นทั้งน้ำตา ทุกเสียง ทุกคำพูด มันเหมือนเลื่อยคมที่เฉือนหัวใจของเขากับแม่ในแต่ละวัน ทุกครั้งที่แม่ร้องไห้ น้ำตาพวกนั้นมันทำให้เขาเจ็บปวดใจเหมือนใจกำลังแหลกสลาย
นี่น่ะหรือ...ชีวิตในฝันของใครหลายๆ คน
นี่น่ะหรือ...ชีวิตที่น่าอิจฉา สำหรับเขามันน่าสมเพชมากกว่าเป็นไหนๆ
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มที่จะกบฏ ในคำสั่งของผู้ที่เป็นบิดา ไม่ว่าพ่อจะสั่งอะไร จะอยากให้เขาทำอะไร อยากให้เป็นอะไร เขาจะทำสวนทางกับสิ่งที่พ่อต้องการเสมอ มันเริ่มตั้งแต่พ่ออยากให้เขาเรียนสายวิทย์คณิต แต่เขาเลือกที่จะเรียนสายศิลป์ พ่ออยากให้เขาเรียนบริหารแต่เขาเลือกที่จะเรียนนิเทศ พ่ออยากให้เขาเข้าไปฝึกงานในบริษัทของพ่อ แต่เขาเลือกที่จะเมินเฉยทำเหมือนมันไม่มีอยู่บนโลกนี้
จนกระทั่งพ่อเลือกให้เขาเป็นผู้สืบทอดกิจการของที่บ้าน แต่เขาเลือกที่จะไม่รับ
พ่ออยากให้เขารีบแต่งงานกับคนที่เหมาะสมและคู่ควร แต่เขาทำตัวรักสนุก ลุกนั่งสุดเหวี่ยง ไม่ผูกมัดกับใคร จนได้ชื่อว่าเป็นสายฝนที่เร่าร้อนที่สุดในวงการมายา
ใครๆ ก็อยากที่จะเข้าหาและอ้าขาให้กับเขาทั้งนั้น เว้นแต่เพียง 'พลลภัตม์ ภัชรภิรมย์' เด็กหนุ่มที่ทางบ้านมีฐานะปานกลาง เข้าวงการตั้งแต่อายุยังน้อย ดูไร้เดียงสาและน่าค้นหาในเวลาเดียวกัน พัดเป็นคนซื่อตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน วันที่อีกคนมาแคสบทในละครของเขา
'ขอโทษนะครับ คือห้องแคสละครเรื่องศึกนารีไปทางไหนหรอครับ'
'...'
'พอดีผมเพิ่งมาตึกนี้เป็นครั้งแรก คนหนึ่งบอกซ้าย อีกคนบอกขวาผมงงไปหมดแล้ว'
รอยยิ้มของพัดเหมือนทำให้โลกของผมมันมีแสงสว่างที่ส่องมาถึงเพิ่มมากยิ่งขึ้น ชีวิตของผมในแต่ละวันเหมือนอยู่ใต้ทะเลลึก หนาวเหน็บ มืดมิด และโดดเดี่ยว แม้กระทั่งแสงสว่างยังส่องลงมาไม่ถึง แต่เมื่อมีพัดเข้าในชีวิต
มันก็สว่างมากยิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
พัดเป็นคนน่ารัก ดูแลเอาใจใส่คนรอบข้างอย่างดี พัดเป็นที่รักของทุกคนในกองถ่ายรวมถึงเป็นที่รักของคนทั้งประเทศ รวมถึงเป็นที่รักของเขาด้วย พัดแจ้งเกิดทางการแสดงกับบทบาทในละครที่เขาเป็นคนกำกับ ในเวลานั้นไม่มีใครไม่รู้จักพลลภัตม์ ไม่ว่าจะเด็กเล็กมากแค่ไหนก็ยังต้องเคยได้ยินชื่อเสียงกันมาบ้าง
พัดกลายเป็นดาราดัง พอๆ กับเขาที่กลายเป็นผู้กำกับคิวทอง เราเริ่มห่างหายจากกันไปเพราะแต่ละคนก็มีงานไม่ได้เว้นวรรคกันเลยโดยเฉพาะพัด เราเริ่มหายไปจากวงโคจรของกันและกัน จนกระทั่งงานแต่งงานของเพื่อนสนิทของเขา
ที่เหวี่ยงให้เรากลับมาเจอกันอีกครั้ง
ครั้งนี้เขาเป็นคนเข้าหาพลลภัตม์ก่อน เขาเข้าไปทักทายและแนะนำตัวกับอีกฝ่ายแน่นอนว่าอีกฝ่ายจำได้ในทันที เราคุยกันหลายประโยคในคืนวันนั้น
'พัดมีแฟนหรือยัง'
'ยังหรอกครับ งานหนักขนาดนี้จะเอาเวลาไหนไปหาแฟน'
'ไม่ต้องหาสิ เดี๋ยวไปหาเอง'
เราเริ่มที่จะสานสัมพันธ์กันไปมากกว่าเพื่อนร่วมงาน พัดเหมือนเป็นมือใหม่ในเรื่องของความรัก เขาไม่เคยมีแฟนมาก่อนผมคือแฟนคนแรกของเขา และเป็นคนแรกที่ได้ครอบครองเขา
'พัด...อืม ดี'
'พะ...พี่เรน พะ พัด จะ อื้ม'
'พัด...'
'พะ พี่เรน พัดจะไป...แล้ว'
'พร้อมกันนะ พัด'
ตลอดเวลาเกือบหนึ่งปีเรามีความสุขกันมาก เราพยายามไปหากันบ่อยๆแม้จะไม่ค่อยมีเวลาแต่ถ้าว่างเว้นจากงาน เราก็จะต้องหาโอกาสไปพบเจอกันไม่ที่คอนโดเขาก็คอนโดของพลลภัตม์ แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขมันก็หายไป
'พัด...ท้อง'
พลลภัตม์บอกกับเขาว่าตัวเองตั้งครรภ์ในวันครบรอบ 8 เดือนของการคบหา ครั้งแรกที่เขารู้ข่าวหัวใจของเขามันเหมือนจะหยุดเต้นไปเสี้ยววินาที สำหรับคนอื่นๆ มันอาจจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีแต่สำหรับเขามันไม่ใช่ เขาพยายามหาทางแก้ไขปัญหาด้วยการ
พลลภัตม์บอกกับเขาว่าตัวเองตั้งครรภ์ในวันครบรอบ 8 เดือนของการคบหา ครั้งแรกที่เขารู้ข่าวหัวใจของเขามันเหมือนจะหยุดเต้นไปเสี้ยววินาที สำหรับคนอื่นๆ มันอาจจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีแต่สำหรับเขามันไม่ใช่ เขาพยายามหาทางแก้ไขปัญหาด้วยการ
แต่พัดไม่ยอมทำตาม
จนกระทั่งเรื่องของเขาไปถึงหูของคุณพ่อคุณแม่ พวกท่านก็จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยด้วยการแต่งงานท่านไปคุยกับผู้ใหญ่ของพัดในเรื่องของสินสอดและพิธีต่างๆ มันเป็นงานแต่งที่เขาไม่ได้จัดการอะไรเลย ในเวลานั้นข่าวการแต่งงานของผู้กำกับชื่อดังและนักแสดงดาวรุ่งกลายเป็น Talk of the town อยู่หลายเดือน พัดและเขาถูกคำครหามากมายจากสังคมแต่ปล่อยให้เวลาพัดผ่านไป คำครหาพวกนั้นก็ปลิวหายไปกับกาลเวลา
ชีวิตแต่งงานของเขาตลอด 15 ปีเหมือนจะมีความสุขเขาและพัดใช้ชีวิตกันตามปกติเพิ่มขึ้นมาคือลูกชายของเขาทั้งสองคน ทุกๆ วันผ่านไปอย่างราบเรียบแต่ตำนานสายฝนที่เร่าร้อนมันไม่ได้หยุดลงแค่นั้น เขายังคงมีความต้องการสูงขึ้นในทุกๆ วันผิดกับพัดที่ไม่สามารถรองรับความต้องการของเขาได้เลย
'พี่เรน วันนี้พัดเหนื่อยมากเลยครับลูกดื้อมาก'
'พี่เรนวันนี้พัดทำงานบ้านทั้งวันเลยขอพัดพักนะครับ'
'พี่เรนพัดไม่ไหวแล้ว ไว้วันอื่นนะ'
คำพูดพวกนี้จะถูกยกออกมาใช้ทุกครั้ง เวลาที่เขามีความต้องการในเรื่องอย่างว่าแต่พัดก็จะปฏิเสธมันในทุกครั้งจนกระทั่งเมื่อปีที่แล้วเขาได้เจอกับ 'เขมินทร์ อินทร์วรัฐ' นักแสดงหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเขา 10 กว่าปี เขมเข้าหาเขาก่อนเขมเริ่มที่จะเข้ามาทักทายและพูดคุยกับเขาในเรื่องงาน และเขาเองก็เป็นผู้ให้คำปรึกษาที่ดีจนมาในตอนหลังๆที่เขมเริ่มจะไม่ได้พูดคุยแค่เรื่องงาน
ความสัมพันธ์ของเรามันก่อตัวขึ้นเงียบๆ ในตลอดระยะเวลาที่อยู่ในกองถ่าย เขาเริ่มรู้สึกดีกับเขมมากขึ้นเหมือนได้ย้อนกลับไปใช้ชีวิตตอนอายุ 20 อีกครั้ง เขมให้พลังและบรรยากาศรอบตัวแตกต่างจากพัด เขามีเสน่ห์จนผมหลงเขามากยิ่งขึ้น และในที่สุดเราก็ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ
'พี่เรน...จะดีเหรอครับ พี่เรนมีแฟนแล้ว'
'คนตรงหน้าก็แฟนพี่นะ'
เราเริ่มความสัมพันธ์นี้มาได้เกือบจะหนึ่งปีแล้วทุกอย่างเหมือนจะดี แต่ก็ไม่เขาถูกเขมเซ้าซี้แบบนี้ในทุกวันตั้งแต่ครบรอบ 6 เดือนของเรา
'เมื่อไหร่พี่เรนจะหย่า'
'พี่กำลังพยายามอยู่ เขมรอพี่ก่อนนะ'
นั้นคือคำตอบของเขาที่ใช้ตอบคำถามของเขมินทร์ ที่เขาตอบไปแบบนั้นเป็นเพราะเขาอยากให้เขมินทร์เลิกเซ้าซี้ในเรื่องนี้สักที เขาไม่มีทางหย่ากับพลลภัตม์ในเมื่อนั้นคือครอบครัวของเขา แต่เขาก็ไม่เลิกยุ่งกับเขมินทร์เพราะเขมินทร์ให้เขาในสิ่งที่พลลภัตม์ให้เขาไม่ได้
เขากำลังสร้างโลกอีกใบ โลกที่เขาสามารถกำหนดทุกอย่างได้เองว่ามันควรจะเป็นอย่างไร
แต่แล้วโลกที่เขากำลังสร้างขึ้นมาทั้งสองใบมันก็โคจรเข้ามาเกี่ยวพันกัน
พัดรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว...และเขาเลือกที่จะหย่า
พัดไล่เขาออกจากบ้าน พัดเก็บเสื้อผ้าและของใช้ต่างๆ ของเขาใส่กระเป๋าเดินทางและโยนมันออกมา ภีมพลเองก็ไม่ต้อนรับเขาอีกแล้ว ทุกคนในโลกใบนั้นไม่มีใครต้องการเขา แต่เขาจะไม่มีทางหย่า เขาปล่อยให้พัดไปจากเขาไม่ได้ถึงเขาจะปันใจและเวลาของพัดไปให้เขมบ้าง แต่พัดก็เหมือนแสงสว่างที่เขาไม่สามารถขาดมันไปได้
และเขาไม่มีทางยอมให้ไอ้ลูกนอกคอกนั้นมันมาแทนที่ในจุดที่เขาเคยอยู่
เขาขึ้นรถขับไปยังสวนสาธารณะใกล้ๆ นั้น เพื่อไปนั่งลงยังม้าหินอ่อนข้างบึงน้ำ เขาปล่อยให้ความคิดไหลไปกับสายน้ำในบึง เขาปล่อยให้ลมมันพัดเอาความทุกข์ ความเศร้าไปจากเขา ก่อนที่จะขับรถกลับมายังบ้านหลังใหญ่ที่เขาไม่ได้กลับมานาน
เขาจอดรถที่โรงรถในเวลาที่ตอนนี้พระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าแล้ว ขายาวสมส่วนรับกับรูปร่างก้าวเข้าไปในบ้านที่อาจเรียกได้ว่าเป็นคฤหาสน์ของอรรถจิรานันท์ เขาไม่ได้กลับมาเยี่ยมพ่อกับแม่นานมากแล้ว เพราะที่นี่มีแต่ความทรงจำที่เขาไม่อยากจำ เขาที่กำลังจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง ก็ถูกเสียงหวานของผู้เป็นมารดาเรียกรั้งเสียก่อน
"เรน"
"แม่"
เพี๊ยะ
ฝ่ามือเรียวฟาดลงไปบนหน้าของเขาที่เดียวกันกับที่ภรรยาของเขาฝากรอยนิ้วมือเอาไว้ เขาไม่เงยหน้าขึ้นสบตากับผู้เป็นมารดาของตัวเองเลย เอาแต่ก้มหน้าและปิดปากสนิท
"ทำไมแกทำตัวแบบนี้ แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าไอ้เด็กคนนั้นมันจะทำให้แกเดือดร้อน" เสียงหวานของมารดาตวาดเขาเรื่องของเขมินทร์ แม่รู้ความเป็นไปของเขาและครอบครัวเขาทุกอย่าง ขนาดเขาโตขนาดนี้แม่ก็ยังไม่เคยเลิกสอดส่องชีวิตเขาเลย
"ดูสิ เทรนด์ทวิตเตอร์อันดับหนึ่ง คนเขาขุดจนจะรู้อยู่แล้วว่าแกมันเลวแค่ไหน"
"..."
"ทำไมแกต้องทำตัวเสียๆ เหมือนพ่อแกด้วย ห้ะ! ทำไม!" ทุกครั้งที่แม่เอ่ยออกมา มือของแม่ก็จะฟาดลงบนตัวเขาทุกครั้งไปเช่นกัน เขาเจ็บ เจ็บจนมันเริ่มที่จะชาและไม่รู้สึกอะไร
เจ็บมาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้
"ฉันไม่ยอมให้ชีวิตครอบครัวแกพังเหมือนฉันแน่ ไอ้ลูกเฮงซวย"
"คุณหยุดได้แล้ว!" การทุบตีของแม่หยุดลงเพราะเสียงทรงพลังของผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในบ้านหลังนี้อย่างคุณวิวิทย์ อรรถจิรานันท์ ร่างของชายหนุ่มที่ถึงแม้จะมีอายุมากแล้วแต่ก็ยังน่ามองเดินลงมาจากบันได เท้าทั้งสองหยุดลงตรงหน้าของเขา
"ผมจะคุยกับลูกเอง คุณไปพักเถอะ"
"จะสอนอะไรลูกได้ ในเมื่อต้นแบบก็พ่อมันไง"
"ริณี!" เสียงกัมปนาทเปล่งออกมายุติทุกอย่าง คุณหญิงริณียอมลดละและเดินหายลับไปอีกทาง ก่อนที่ชายชราคนนั้นจะหันมาหาเขาและเอ่ยเรียกให้เดินตามกันขึ้นมา ตอนนี้ร่างของชาตรีทั้งสองอยู่ในห้องทำงานสี่เหลี่ยมขนาดกว้างของผู้เป็นบิดา
"คุณจะคุยอะไร จะบอกให้ผมเลิกงั้นเหรอ"
"เรวัต"
"ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ คุณเองยังเลิกคิดถึงผู้หญิงคนนั้นกับไอ้ลูกนอกคอกไม่ได้ ก็อย่ามาสอนผม" เขาเอ่ยเสียงดังใส่หน้าของผู้เป็นพ่อ ผู้ชายคนนี้รู้ว่าเขาเกลียดตัวเองมากแค่ไหน ผมอยากจะหนีไปให้พ้นๆ หนีไปจากคำว่าอรรถจิรานันท์ แต่ไปที่ไหนก็จะมีแต่คนเอ่ยคำนี้ ไม่ได้อยากได้ยินเลยสักนิด
"ลูกไม่รู้เรื่อง ลูกอย่ามาพูดแบบนะ..."
"รู้สิ! รู้ว่าคุณนอกใจแม่มาตลอด รู้ทุกอย่าง รู้ว่าคุณมันไม่เคยรักใครเลย" เขาไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยจนจบประโยคแต่เป็นเขาที่เอ่ยแทรกมันออกไป อย่ามาบอกว่าเขาไม่รู้ในเมื่อเขารู้ทุกเรื่องมาตลอด เขาจำได้ทุกอย่างที่ผู้ชายคนนี้ทำ
"แล้วทำไมลูกทำแบบนี้" เสียงของชายชราเอ่ยถามลูกชายของตน แม้เขาจะยอมรับว่าเขาอาจไม่เคยรักริณีเลย แต่เขารักลูกชายคนนี้สุดดวงใจของเขา
"เสียใจไหม เคยรู้สึกเสียใจกับผมบ้างหรือเปล่า" เรวัตพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่นเหมือนกับอารมณ์ที่กำลังพัดโหมรุนแรงอยู่ในใจของเขาตอนนี้ เขาเคยเป็นที่ต้องการของใครในบ้านหลังนี้บ้างหรือเปล่า พ่อที่ทั้งหมดของลมหายใจมีแต่ผู้หญิงคนนั้นและลูกมัน แม่ที่เห็นเขาเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่ใช้รั้งพ่อไว้ให้อยู่ตรงนี้
'หย่ากับผมเถอะ ขอร้องล่ะริณี'
'คุณไม่เคยสงสารลูกเลยหรือไง ฮึก...เคยคิดบ้างไหมว่าตาเรนจะอยู่ยังไงถ้าขาดคุณ'
'...'
'ฉันไม่หย่า ฉันจะปกป้องครอบครัวของฉัน อยู่มันไปแบบนี้แหละ ฉันไม่ยอมทุกข์คนเดียวหรอก'
คำพูดในวันนั้นเขายังจำได้ดี จำได้เสมอว่าเขาเป็นอะไรสำหรับคนที่นี่
"พ่อต้องเสียใจอยู่แล้วที่มีส่วน...ทำให้ลูกเป็นแบบนี้" วิวิทย์รู้ว่าตัวเองทำผิดพลาดมาตั้งแต่ในอดีต เขามีส่วนทำให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ ทุกอย่างมันเป็นเพราะเขา เพราะเขาคนเดียว
"นั่นแหละที่ผมต้องการ...เสียใจกับสิ่งผมทำให้มากๆ เหมือนกับที่ผมเคยโดน" สิ้นเสียงของเรวัต เขาก็หมุนตัวเดินออกจากห้องนี้ไป ทิ้งชายชราที่เขาชังไว้ข้างหลังบานประตูใหญ่นั้น ก่อนจะเดินมุ่งหน้ากลับไปยังห้องของตัวเอง ทิ้งตัวลงบนเตียงนอน ปล่อยความคิดไปเงียบๆ และหลับตาลง
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็สองวันแล้วด้วยกัน ที่เขาไม่ได้รับการติดต่อมาจากพลลภัตม์เลยแม้แต่ช่องทางเดียว ถึงแม้เขาจะติดต่อไปแต่อีกคนก็ไม่ตอบกลับอะไรเขาเลย ผิดกับเขมินทร์ที่ติดต่อเขามาในทุกเวลาตั้งแต่รู้ข่าวและคอยบอกให้เขาไปจัดการเรื่องต่างๆ ให้เรียบร้อย จนเขารำคาญและตวาดอีกฝ่ายกลับไปตั้งแต่นั้นอีกคนก็ไม่ติดต่อมาอีก วันนี้เขามีนัดกับทีมงานของกองละคร 'เพลิงพรรณ' ในการประชุมเพื่อหาคิวนักแสดงและลงวันเปิดกล้องให้ชัดเจน
เขาเพิ่งเข้าใจตอนนี้เองว่าอารมณ์ที่ไม่อยากทำอะไรเลย มันเป็นยังไง
"คิวนักแสดงลงตัวแล้วพี่เป็นวันจันทร์ถึงวันพฤหัสนะพี่"
"โอเค แล้วคนที่จะมาเล่นบทกวี...ไอ้เรน!" เสียงของพี่เจ๋งผู้จัดร้องเรียกเขาเสียงดังกลางที่ประชุม ทำให้เขาหลุดออกจากความคิดในหัวที่กำลังวิ่งวุ่นอยู่
"ครับพี่ ว่าไง"
"เหม่อไรวะ...ตั้งใจประชุมงานกูก่อนได้ป้ะ แล้วค่อยคิดทีหลัง"
"ขอโทษพี่" เขาเอ่ยขอโทษอีกฝ่ายก่อนที่จะกลับมาสนใจกับเรื่องของงานตรงหน้าต่อ เพลิงพรรณเป็นละครรีเมคที่หยิบขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่ได้นักแสดงแถวหน้าของวงการมาร่วมงานกันมากมายทั้งป้องกุล พระเอกดาวรุ่งมาแรง หนิง อริสราที่มารับบทนางเอก เขมินทร์ที่มารับบทร้ายแบบที่เจ้าตัวถนัด แต่ยังเหลืออีกหนึ่งบทสำคัญอย่าง กวี ที่ยังหาคนมารับบทไม่ได้เพราะบทนี้มันยากและท้าทายมากๆ มีหลากหลายรายชื่อที่เป็นตัวเลือกที่ดี เพียงแต่พี่เจ๋งแกมีตัวเลือกในใจอยู่แล้ว
"มึงได้ไปคุยกับเมียมึงให้กูยัง บทนี้ดีมากเลยนะเว้ยต้องพัดเท่านั้น" พี่เจ๋งหันไปถามคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีตามกฎหมายของพลลภัตม์ คนที่ตนอยากที่จะร่วมงานด้วย
"ผมยังไม่ได้คุยเลยพี่" แต่เขายังไม่ได้คุยเรื่องนี้กับภรรยาเขาเลยเพราะเกิดเรื่องทะเลาะกันขึ้นมาก่อน ตอนนี้แค่เข้าหน้าพัดก็คงไม่อยากมองด้วยซ้ำ แต่เขาได้ข่าวว่าพี่เจ๋งให้นุ๊กโทรไปหาแล้วเมื่อ 3-4 วันก่อนแต่พัดปฏิเสธเพราะอยากโฟกัสกับลูกมากกว่า คงเป็นช่วงเดียวกับที่เขมินทร์ไปที่บ้านของเขา
"พี่เจ๋งๆ พี่เจ๋ง พี่!" เสียงร้องตะโกนดังมาก่อนจะปรากฏที่มาของเสียง ทุกสายตาของคนในห้องหันไปมองยังประตูห้องประชุมที่ปรากฏร่างท้วมของนุ๊กทีมงานคนหนึ่งในกองถ่าย
"มีไรไอ้นุ๊ก" เจ๋งเอ่ยถามเสียงเข้ม เรื่องใหญ่อะไรต้องรีบมาเรียกเขาขณะประชุมขนาดนี้
"พี่เจ๋ง...แฮ่กๆ"
"พูดสิวะ!"
"คุณพัด...คุณพัดรับเล่นละครเราแล้วพี่" ท่ามกลางเสียงร้องดีใจของทีมงานและผู้จัดมีเพียงเรวัตเท่านั้นที่ไม่ได้มีอาการดีอกดีใจตามไปด้วย หากแต่มีความมึนงงและสงสัยว่า ทำไมพัดถึงรับเล่นละครเรื่องนี้
ละครที่มีทั้งเขาและเขมแสดงด้วย
...
- TBC -
พัด! เธอจะทำอาราย!
ฝากกดไลค์กดแชร์ เมนท์สาบพี่เรนกันได้นะค้าบ อยากอ่านเมนท์ทุกคนเลย
ไปพูดคุยกันใน #เกมนอกใจ ในทวิตได้เลยน้าาา
ทวิตไรท์เองค้าบ >>
https://twitter.com/lopittupp