กลับมาแล้วนะครับ หลังจากที่ดราม่าไปเล็กน้อย
แค่รู้สึกไม่มั่นใจกับตัวละครที่ชื่อสนครับ จนทำให้ไม่อินในความเป็นตัวตนของเขาไปพักหนึ่ง
เพราะเราไม่ได้วางบทให้เขาเป็นคนเลวร้ายขนาดนั้น รู้สึกผิดที่เขียนไปแล้วทำให้เขาถูกมองแบบนั้น
ถ้าเขามีชีวิตจริงๆ ชีวิตเขาก็คงแย่จากการเขียนของเราทีเดียว ทำให้นึกถึงเรื่อง "คำพิพากษา" ของคุณชาติ กอบจิตติขึ้นมา
ผมเคยอ่านเรื่องนี้เมื่อสิบปีที่แล้วแล้วก็ซึมไปสองอาทิยต์ สงสัยว่าทำไมสังคมเราถึงได้โหดร้ายขนาดนี้
แต่เมื่อคืน นอนคิดไปนอนคิดมา ก็กลับมาอินได้เหมือนเดิมแล้ว ไม่มีอะไรละ
เช้ามาก็เลยกลับมาปั่นต่อ ขอโทษคุณผู้อ่านด้วยครับ-----------------------------------------
ตอนที่ 31: รักต้องห้าม (หรือเปล่า)สนสวมกอดต้นไว้หลวมๆ จากทางด้านหลัง ในยามนี้ต้นก็เหมือนเป็นของเขาแล้ว สนไม่เคยรู้สึกหวงแหนและรักใคร่สิ่งใดเท่ากับคนที่เขากำลังกอดอยู่นี้เลย เมื่อก่อนก็ว่ารักแล้ว พอมีสัมพันธ์ทางกายเกิดขึ้น ความรักก็ยิ่งเพิ่มอีกหลายเท่าทวี เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่เขากำลังแสดงออกอยู่ตอนนี้มากพอเพียงพอเท่ากับความรู้สึกจริงๆ ที่อยู่ข้างในหรือเปล่า
"เรามีความสุขที่สุดเลยรู้ไหมต้น" สนพูดพลางกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น ซุกไซ้ลงไปที่ซอกคอของต้นพร้อมกับสูดดมกลิ่นกายที่เขาคุ้นเคยนั้น "นายรู้ไหมว่าเรารักนายมากแค่ไหน หัวใจของผู้ชายคนนี้...เป็นของนายคนเดียวรู้หรือเปล่าต้น เป็นของนายมาตั้งนานแล้ว"
ต้นนอนยิ้มอย่างเป็นสุข แม้ในใจจะมีความกังวลบางอย่างอยู่ แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าวันนี้เป็นวันที่ต้นมีความสุขมากจริงๆ ต่อให้วันพรุ่งนี้เกิดอะไรขึ้น เขาก็ไม่คิดเสียใจและเสียดายกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาให้สนไป ทั้งในวันนี้และวันที่ผ่านๆ มา
"นายมีความสุขหรือเปล่าต้น" สนโน้มตัวมาถาม ใบหน้าของเขาเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข บ่งบอกถึงความรักที่เขามีอยู่เต็มหัวใจ
ต้นพยักหน้าน้อยๆ ด้วยความเขินอาย พอพายุความต้องการผ่านพ้นไปแล้วต้นก็เขินเหมือนกันเมื่อนึกได้ว่าเขาทำอะไรลงไปบ้าง เห็นท่าทางเขินอายของต้นแล้ว สนก็ยิ่งรู้สึกรักและเอ็นดู เขาก้มลงไปหอมแก้มใสๆ ที่เขาแสนจะหลงใหลเบาๆ อย่างรักใคร่
"ไปอาบน้ำกันไหม จะได้สบายตัว แล้วก็จะได้กินข้าวด้วย เราสองคนยังไม่ได้กินข้าวกันเลยนะ มัวแต่..." สนพูดหยอกอย่างอารมณ์ดี
แต่พอจะลุกขึ้นแล้วต้นก็ร้องครางด้วยความเจ็บปวด สนเห็นเลือดไหลซึมออกมาตรงง่ามขาของต้นก็ตกใจ
"เจ็บหรือเปล่าต้น ไหวไหม ให้เราอุ้มไหม" สนถามอย่างเป็นห่วง เห็นต้นเจ็บแล้วก็สงสาร
"ไม่เป็นไร พอไหวอยู่ นายเพิ่งออกแรงมา อุ้มไม่ไหวหรอก เดี๋ยวเข่าอ่อนพอดี"
สนได้ฟังแล้วก็ขำ แต่ก็จริงอย่างที่ต้นว่านั่นแหละ สนจึงใช้วิธีค่อยๆ พยุงต้นไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็อาบน้ำด้วยกันเสียเลย ตอนเด็กๆ ก็เคยอาบด้วยกันบ้าง แต่พอโตมาก็แยกกันอาบมาตลอด นี่คงเป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่เขากับต้นได้กลับมาอาบน้ำด้วยกันอีกครั้ง
อาบน้ำเสร็จแล้วสนก็จัดแจงเตรียมเสื้อผ้าให้ต้นใส่ ก็เป็นชุดนอนคุณหนูแบบที่สนชอบล้อนั่นเอง ส่วนสนเองใส่บ็อกเซอร์กับกางเกงใน แต่ไม่สวมเสื้อ เขาให้เหตุผลว่า
"ก็ตอนนั้นที่เราใส่เสื้อเพราะเรากลัวนายเห็นแล้วอดใจไม่ไหวไง แต่ตอนนี้เราไม่กลัวแล้ว ถ้านายอดใจไม่ไหว เราก็ยอมให้จับปล้ำแต่โดยดี" สนพูดพลางหัวเราะชอบใจ "เดี๋ยวเราไปทำอะไรให้กินนะ นายจะได้กินข้าวแล้วก็กินยา ทนเจ็บอีกนิดนะต้น เราทำไม่นานหรอก นายนอนพักอยู่ในห้องนี่ก่อนก็ได้ เสร็จแล้วเดี๋ยวเรามาตามนะครับที่รัก"
เห็นสนเรียกเขาแบบนั้นแล้วต้นก็หัวเราะชอบใจ บทจะน่ารักสนก็น่ารักเหลือหลาย พอต้นนอนแล้วสนก็ออกมาสำรวจในครัวว่าพอจะมีอะไรให้เขาทำอาหารกินได้บ้าง มีไข่เหลืออยู่สองสามฟอง แค่นี้ก็น่าจะพอทำอาหารง่ายๆ ได้แล้ว กินไข่เจียวละกันนะต้น
สนหุงข้าวก่อน ในระหว่างที่รอข้าวสุกก็ทอดไข่เจียวไปด้วย ใช้เวลาไม่นานนัก กับข้าวที่แสนง่ายและอร่อยก็เสร็จเรียบร้อย สนชอบทำอาหารมาก เขาจึงสามารถทำได้ทุกวันโดยไม่เบื่อ เขาไม่ค่อยกินอาหารตามสั่งเพราะเขาทำกินเองได้อร่อยกว่านั้น
"ต้นจ๋า...กับข้าวเสร็จแล้วนะ มากินข้าวเย็นกันเถอะ" สนโผล่หน้าเข้าไปเรียกต้นที่กำลังนอนพักเพลินๆ อยู่ คนที่ถูกเรียกถึงกับทำหน้าเหรอหราพร้อมกับสะดุ้งลุกขึ้นมานั่ง
"ทำไมเรียกเราแบบนั้นล่ะ"
"อ๋อ...เราเคยเห็นเพื่อนเรามันเรียกแฟนแบบนี้แล้วน่ารักดี ก็เลยอยากเรียกนายแบบนี้บ้าง ได้ไหม...ต้นจ๋า"
ต้นหัวเราะกิ๊กเมื่อสนเรียกเขาแบบนั้นอีกครั้ง "ตามสบายละกัน ถ้ากล้าเรียกก็กล้าขาน"
"มา...เดี๋ยวเราช่วยพยุง" ว่าแล้วสนก็เดินแกมวิ่งไปช่วยพยุงต้นที่กำลังลุกขึ้นจากเตียง
สองหนุ่มนั่งกินข้าวด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อยเพราะความหิว นี่ก็เกือบจะสามทุ่มแล้ว ตั้งแต่กลับมาถึงคอนโดตอนเย็นๆ ต้นก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย กลับมาถึงก็มาเจอสนเสียก่อนจนเลยเถิดไปถึงไหนต่อไหน ข้าวปลาไม่ได้กินเลย
"ขนาดไข่เจียวธรรมดายังอร่อยเลยนะเนี่ย นายไม่คิดอยากเปิดร้านขายอาหารมั่งเหรอสน" ต้นถามขึ้นในขณะที่นั่งกินข้าวด้วยกันด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข
"อืม...นายว่าดีไหมล่ะ เราก็เคยคิดๆ อยู่เหมือนกัน เราว่าเราทำอาหารแล้วเรามีความสุขกว่าทำงานอย่างอื่นอีก"
"น่าสนใจนะ เดี๋ยวเราลองไปปรึกษากับพ่อแม่ของเราดีไหม ฝีมือดีแบบนี้เราว่าขายดีอยู่แล้ว"
สนพยักหน้าเห็นด้วย ถ้าเขามีร้านอาหารเป็นของตัวเองก็น่าจะดีเหมือนกัน สนเองก็อยากเปลี่ยนมอาชีพมาทำอาหารอย่างเต็มตัวเพราะเริ่มเบื่อกับงานเขียนโปรแกรมที่ค่อนข้างเครียดและต้องใช้สายตาจ้องคอมพิวเตอร์แทบทั้งวัน
"เอ...หรือว่าจะเก็บฝีมือไว้ทำอาหารให้คนพิเศษของเรากินคนเดียวดีนะ" สนพูดหยอกเล่นแล้วก็ขำเบาๆ
กินข้าวเสร็จแล้วสนก็ให้ต้นกินยาแก้ปวดสองเม็ด แล้วก็มานั่งดูทีวีด้วยกัน สนรู้ว่าต้นอยากพูดอะไรบางอย่างแต่เขาก็ทำเป็นเฉยๆ จนกระทั่งกลับเข้ามานอนในห้องด้วยกันอีกครั้ง พอต่างคนต่างหัวถึงหมอน สนก็พูดขึ้นมาว่า
"ต้น...เรารู้นะว่านายกังวลอะไรอยู่"
ต้นหันมามอง แววตาที่กังวลกับอะไรบางอย่างคงไม่สามารถปิดบังความรู้สึกในใจของต้นได้
"เราอยากให้วันนี้เป็นวันของเราสองคนนะต้น เพราะวันนี้เป็นวันที่เราได้บอกรักกัน ได้เป็นของกันและกัน เป็นวันที่เราจะต้องจำไปอีกนานแสนนาน อย่ามัวแต่ไปคิดเลยว่าคนอื่นจะมองเราสองคนยังไง มันก็เป็นแค่ความเห็นจากคนที่มองเข้ามาเท่านั้นแหละ แต่เขา...ไม่ได้มาใช้ชีวิตอยู่กับเราสองคน เขาไม่รู้เหตุผลของเราสองคนหรอก มีแต่เราสองคนเท่านั้นที่รู้ว่าเราทำอะไร ทำไปเพื่ออะไร มันอาจจะไม่ถูกสำหรับคนอื่น แต่มัน...ก็ถูกที่สุดแล้วสำหรับเราสองคน เราแค่รักกัน ก็แค่นั้น ถ้ามันจะผิดอะไรมากมายก็ให้มันผิดไป" สนหยุดเว้นไปสักพัก แล้วก็พูดสืบไปว่า
"วันนี้เป็นวันที่ความรักของเราสมบูรณ์แล้ว ส่วนพรุ่งนี้จะเป็นยังไง ก็ช่างมันเถอะ ถ้าวันนี้จะเป็นวันแรกและวันสุดท้ายของเรา อย่างน้อย...เราก็ยังดีใจที่เรามีวันนี้ใช่ไหมต้น เราก็เลยอยากจะขอว่า...วันนี้...เราไม่ต้องพูดถึงความกังวลทั้งหลายแหล่นั้นได้ไหม เพราะถึงไม่พูด...เราก็รู้ว่านายกังวลอะไร และนายก็คงจะรู้ว่าเรากังวลอะไรเช่นกัน ก็อย่าพูดถึงมันเลยดีกว่า มันเกิดขึ้นไปแล้ว แต่ถึงมันจะผิดแค่ไหนเราก็ไม่เสียใจที่มันเกิดขึ้น ตรงกันข้าม...เรากลับดีใจเสียอีกที่ความรักของเราเดินทางมาถึงวันนี้...ในแบบนี้ ใครจะไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้เราสองคนเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ก็พอ นายไม่เสียใจกับสิ่งที่เราทำวันนี้และที่ผ่านมาทั้งหมด...ใช่ไหมต้น"
ต้นยิ้มน้อยๆ แล้วส่ายหน้า "เราไม่เคยเสียใจ ไม่เคยเสียดายกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำหรือให้นายเลย เรามีแต่ดีใจที่ได้ทำ ที่ได้ให้ เราเห็นด้วยนะ...ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น วันนี้ก็เป็นวันของเรา ถ้ามันจะเป็นวันสุดท้าย มันก็เป็นวันสุดท้ายที่ดีที่สุดที่เราอยากให้มันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นแล้ว แค่นี้เราก็พอใจแล้วล่ะ เราจะรักนายต่อไปนะสน ไม่ว่านายจะต้องเป็นใคร อยู่ในสถานะอะไร เราจะรักไปจนกว่าจะไม่อยากรัก ก็ไม่รู้ว่าวันไหนเหมือนกัน แต่เราจะไม่บังคับหัวใจตัวเองอีกแล้ว นายไม่ว่าอะไรใช่ไหม ถ้าเราจะรักนายต่อไป แม้ว่านาย...จะต้องเป็นของคนอื่น" ต้นก็อดที่จะใจหายไม่ได้อยู่ดี
สนมองต้นด้วยแววตาที่บ่งบอกว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของต้น มันก็น่าใจหายและน่าเสียใจเหมือนกันที่เขากับต้นจะทำอะไรอย่างวันนี้อีกไม่ได้แล้ว
"เราไม่ว่าอะไรหรอก แต่ขอให้นายเชื่อใจเราอย่างเดียวว่า...เมื่อเราตัดสินใจที่จะทำแบบนี้แล้ว มันหมายความว่าเราจะทำให้ดีที่สุด มันหมายความว่าเราได้เลือกแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นนายก็จะรู้เอง"
แม้ว่าต้นจะไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่สนพูดมากนัก แต่ต้นก็มีความเชื่อมั่นบางอย่างอยู่ในใจ เป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้แต่ต้นสามารถสัมผัสได้ด้วยใจของเขาเอง การที่สนรักเขามานานแต่ไม่ยอมบอกเป็นคำพูดออกมาก็ย่อมบอกได้ว่าเขาต้องอดทนและอดใจมากเพียงใด ถ้าวันนี้เขาพูดมันออกมาแล้ว ต้นก็มั่นใจว่าสนคงคิดอะไรบางอย่างไว้แล้ว มันจะเป็นแบบไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน รอให้ถึงเวลานั้นที่สนบอกดีกว่า
"เรารักนายนะต้น รักมากที่สุดในชีวิต รักมากกว่าใคร รักแบบนี้มานานแล้ว และจะรักแบบนี้ตลอดไป"
สนบอกแล้วก็ค่อยๆ ดึงตัวต้นให้มานอนซบอยู่บนอกเปล่าเปลือยแล้วก็ลูบผมของต้นเล่นอย่างเบามือ
"เราก็รักนาย รักมากที่สุดในชีวิตเหมือนกัน" แล้วต้นก็ซุกใบหน้าลงบนอกแกร่งที่แสนอบอุ่นนั้น
ในนาทีนี้ ทั้งความสุขและความเศร้ากำลังเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน สุขที่ได้ค้นพบหัวใจตัวเอง ได้บอกรักกัน ได้เป็นของกันและกัน แต่อีกใจหนึ่งก็อดใจหายไม่ได้ว่าอีกไม่กี่วันเขาสองคนก็จะไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันแบบนี้อีกแล้ว ความสุขช่างแสนสั้น แต่ช่วงเวลาที่ดีในวันนี้คงจะเป็นน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจของเขาสองคนไปได้อีกนานเท่านานทีเดียว
ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ความรักของเขาสองคนก็ยังอยู่ มันจะเป็นรักต้องห้ามหรือไม่ แต่มันก็เกิดขึ้นมาแล้วและจะคงอยู่ไปอีกนานจนกว่าจะเปลี่ยนแปลงซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ในความเป็นจริงนั้น ความรักไม่ต้องการเวลา ไม่ต้องการสถานที่ ไม่ต้องการสถานะทางสังคม ไม่ต้องการความถูกผิด ไม่ต้องการเพศ ไม่ต้องการอะไรเลย นอกจาก...หัวใจ
----------------------------------------------------------
พอกลับมาถึงบ้านแล้วทดแทนก็ตรงดิ่งไปที่ห้องนอนของตัวเองทันที ไม่พูดไม่ทักทายกับคนในครอบครัวที่ยืนมองเขาอย่างงงๆ แต่ทุกคนก็คงพอเดาได้ว่าเขาอาจจะไม่พอใจอะไรกลับมา ทดแทนนั่งลงบนเตียงด้วยสีหน้าครุ่นคิด น้ำตาเขาจะไหลให้ได้เมื่อนึกถึงสิ่งที่ต้นบอกเขาระหว่างเดินทางกลับจากนั่งสมาธิด้วยกัน
ระหว่างทาง เขาพาต้นแวะมาที่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เพราะต้นอยากมาดู วันนี้เป็นวันธรรมดาจึงไม่ค่อยมีคนมากนัก แทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้ ระหว่างที่เดินดูอะไรเพลินๆ ต้นก็พูดขึ้นมาว่า
"พี่แทน...ผมมาคิดๆ ดูแล้ว ผมคิดว่าผมทำผิดพลาดอย่างมากที่ดึงพี่เข้ามาเกี่ยวข้องกับปัญหาหัวใจของตัวผมเอง"
ทดแทนเริ่มหน้าเสียเพราะเขาพอจะเดาได้ว่าต้นกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่
"ถึงพี่จะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ผม...ก็รู้สึกผิดจริงๆ นะพี่ ผมให้ความหวังกับพี่ไม่ได้เลยว่า...ผมจะพร้อมเมื่อไหร่ ทุกวันนี้...สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมก็ยังเหมือนเดิม ผมขอโทษพี่จริงๆ นะครับ ขอโทษจากใจจริง แต่ผม...คงรักพี่ไม่ได้" ต้นอดที่จะร้องไห้ไม่ได้เมื่อได้พูดสิ่งนี้ออกไป สงสารหัวใจของคนฟังที่คงจะผิดหวังมากทีเดียว รอมาจะเป็นปีแล้วแต่ต้นก็ยังรักเขาไม่ได้อยู่เช่นเดิม
ทดแทนเดินเข้ามากอดต้นไว้ เป็นครั้งแรกที่ต้นยอมกอดตอบ ไม่ใช่เพราะรักแบบนั้น แต่รักในความเป็นคนดีของเขา รักในความใจกว้างของเขา
"พี่เข้าใจต้นนะ...แต่พี่...ก็ยังอยากจะรอต่อไป จนกว่าพี่จะค้นพบด้วยตัวเองว่า...พี่รอไม่ได้แล้ว พี่ไม่อยากรอแล้ว หรือพี่เหนื่อยกับมันจนถอดใจแล้ว แต่ตอนนี้พี่คิดว่าพี่ยังรอได้อยู่ ต้นไม่ต้องฝืนหัวใจตัวเองหรอกนะ พี่เข้าใจ ความรักมันเป็นสิ่งที่ห้ามได้ยาก พี่เคยเป็นแบบต้น พี่เคยรักใครคนหนึ่งมากแบบนี้ เขาเป็นรักแรกของพี่ เรารักกันมาก แต่พอครอบครัวของพี่รู้ พี่ก็ผลักไสไล่ส่งเขาไป บังคับให้เขาออกไปจากชีวิตพี่ พี่ทำผิดกับเขามาก จนทุกวันนี้...พี่นึกถึงทีไรพี่ก็ยังรู้สึกผิดอยู่ เพราะฉะนั้น...พี่เข้าใจต้น พี่ไม่บังคับต้นหรอก ถ้าต้นอยากรักเขา ต้นก็รักไปเถอะ แต่พี่ก็จะรออยู่ตรงนี้ของพี่ไป ถ้าวันไหนที่พี่รอไม่ไหวแล้วพี่ก็จะบอกต้นเอง"
ต้นกอดทดแทนแน่นขึ้น นึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงรักคนที่แสนดีอย่างนี้ไม่ได้ แต่ความรักก็คงมีเหตุผลของมัน เหตุผลที่ต้นรักสนเป็นเหตุผลของหัวใจที่ต้นควบคุมไม่ได้ แม้ใจจะอยู่กับตัว เป็นของเราเอง แต่มันกลับอยู่เหนือการควบคุมของเรา
"ต้นไม่ต้องกังวลนะ ถ้าวันหนึ่งเราค้นพบว่าเราคงจะเดินไปบนถนนสายนี้ด้วยกันไม่ได้ ต้นก็ยังมาหาพี่ได้เหมือนเดิม เราก็ยังเป็นพี่น้องกันได้ มีอะไรต้นก็มาหาพี่ได้ ไปทำงานอาสาสมัครด้วยกันได้ เพราะพี่เองก็เห็นต้นเป็นคนดี ถึงจะรักกันไม่ได้จริงๆ พี่ก็ยังอยากจะมีน้องชายที่แสนดีอย่างต้น แต่ตอนนี้...พี่ยังยินดีที่จะรอต้น เป็นกำลังใจให้ต้นเอาชนะปัญหาอุปสรรคต่างๆ ในตอนนี้"
"ขอบคุณครับพี่แทน ผมอยากจะรักพี่เหลือเกิน ถ้าผมทำได้...ผมจะไม่ลังเลเลย"
ขอบคุณสำหรับความตั้งใจดีๆ ของต้นนะ แต่พี่ก็รู้ว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ทดแทนคิดในใจ ที่เขารักต้นเพราะต้นทำให้เขานึกถึงแฟนคนแรกที่เขาเพิ่งเล่าให้ต้นฟังไป ต้นมีอะไรหลายๆ อย่างที่คล้ายกับคนนั้น เป็นคนที่แสนดี มีน้ำอดน้ำทน แต่คนดีๆ คนนั้นกลับถูกเขาทำร้ายจิตใจเสียจนย่อยยับ พอเขาเห็นต้นแล้ว ความรู้สึกที่อยากจะชดเชยความผิดพลาดให้กับคนๆ นั้นก็กลับมา แต่น่าเสียดาย...ไม่แคล้วเขาก็คงต้องผิดหวังอีกเช่นเคย
--------------------------------------------------
เหลืออีกเพียงวันเดียวเท่านั้นที่งานแต่งงานของสนจะเริ่มขึ้น ดูเหมือนว่าที่เจ้าบ่าวไม่ได้ดูทุกข์ร้อนอะไร ดูไม่ออกจริงๆ ว่าเขาดีใจหรือเสียใจกันแน่ แต่ก็ไม่เห็นอาการใดๆ ที่บอกว่าเขาดีใจหรือยินดี ในขณะเดียวกันก็ไม่มีอาการใดๆ ที่จะทำให้รู้ว่าสนเสียใจหรือไม่อยากแต่งงานเลย ใบหน้าเขาดูนิ่งมาก ไม่ยิ้ม ไม่เฉย เพราะดูไม่ออกว่าเขามีความรู้สึกใดอยู่
"เฮ้ยสน...นี่มึงคิดอะไรออกหรือยังวะ พรุ่งนี้มึงจะแต่งงานแล้วนะเว้ย จะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้เหรอวะ" ปั้นจั่นถามขณะนั่งพักด้วยกัน วันนี้เขา นิก ต้นและเอกลางานมาช่วยสนเตรียมงานด้วย พ่อกับแม่ของต้นก็มา แต่เข้าไปช่วยพ่อกับแม่ของสนจัดการในบ้าน
"พรุ่งนี้จะแต่งงานอยู่แล้ว กูจะทำอะไรได้วะปั้นจั่น" สนตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
"เฮ้ย...ทำไมพูดแบบนี้วะ แล้วไอ้ต้นมันจะไม่เสียใจแย่เหรอวะ" ปั้นจั่นพูดพลางหันไปมองคนที่เขาพูดถึงซึ่งกำลังช่วยนิกกับเอกจัดสถานที่จัดงานอยู่ งานแต่งงานของสนจัดขึ้นที่บ้านเขาเอง ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนักแต่เน้นจัดแบบเรียบๆ ง่ายๆ สนไม่มีญาติอยู่ที่นี่เลย จึงมีแต่เพื่อนบ้าน ที่จะมาเยอะก็คงเป็นญาติของนาเอง
"กูกับต้นคุยกันเข้าใจแล้วล่ะ มึงอย่าห่วงเลย ยังไง...กูก็ไม่ปล่อยให้ต้นเจ็บอยู่คนเดียวหรอก เดี๋ยวกูมานะเว้ย กูจะไปรับน้าสาวกับน้าเขยที่สนามบิน" สนบอกพลางลุกออกไป ปล่อยให้ปั้นจั่นนั่งงงอยู่กับสิ่งที่เขาเพิ่งพูดเมื่อสักครู่นี้ วันนี้น้าสาวของเขาที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้อุตส่าห์ลงทุนซื้อตั๋วเครื่องบินเพื่อมางานแต่งงานของเขาโดยเฉพาะ แต่น่าเสียดายตรงที่ว่ามันไม่ใช่งานแต่งงานที่เขาอยากจะให้เกิดขึ้นเท่านั้นแหละ
------------------------------------------------------
"ต้นๆ กูถามอะไรมึงหน่อยได้ไหม กูสงสัยมานานละ" เอกเอ่ยขึ้นขณะพาต้นเดินกลับไปที่บ้านของต้นซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของสนไม่มากนัก พอดีที่บ้านสนขาดพานอยู่อีกอันหนึ่ง ต้นเลยจะมาเอาของที่บ้านมาให้ยืมใช้ แต่เอกก็รีบตามมาด้วยเพราะเขาอยากถามเรื่องนี้นั่นเอง
"อะไร" ต้นถามพลางหันมามอง
"มึงกับไอ้สนเนี่ย...เป็นอะไรมากกว่าเพื่อนกันหรือเปล่าวะ"
ก็คงจะเป็นคำถามที่ตอบไม่ยากหรอก ต้นเองก็ไม่อยากปิดบังเพื่อน เพราะเอกคงสังเกตมานานแล้ว สมัยประถมคงไม่มีอะไรให้สังเกตเห็น แต่ในสมัยเรียนมัธยมนั้นมีเหตุการณ์หลายอย่างที่เอกคงสงสัย ตั้งแต่ที่ต้นกับสนถูกเพื่อนล้อว่าเป็นคู่เกย์กัน บางครั้งสนก็ถูกเพื่อนถามว่าเป็นผู้ชายจริงๆ หรือเปล่า ไม่เห็นจีบหญิงเลย อยู่แต่กับต้น เอกเองก็ยังเคยถามเรื่องนี้ สนก็ได้แต่ยิ้มแล้วก็ตอบมาว่า "ก็ยังไม่อยากมีแฟนตอนนี้นี่หว่า"
"แล้วมึงคิดยังไงล่ะ" ต้นไม่ตอบแต่กลับย้อนถาม
"อืม...มึงสองคนชอบกันหรือเปล่าวะ อย่าเพิ่งโกรธนะเว้ย ถ้าไม่จริงก็คือไม่จริง กูแค่สังสัยเฉยๆ ไม่จริงก็แล้วไป" เอกรีบดักไว้ก่อนเพราะกลัวต้นจะโกรธ
ต้นถอนหายใจแล้วก็ตอบไปว่า "อืม...ก็เป็นอย่างที่มึงสงสัยนั่นแหละ แต่ตอนนี้...มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้วล่ะ ความรักของคนอย่างพวกกู...มันก็เป็นแต่แบบนี้แหละ ไม่ค่อยมีใครสมหวังเท่าไรหรอก พ่อแม่ที่ไหนเขาก็อยากให้ลูกชายแต่งงานมีครอบครัว มีลูกสืบสกุล ของเราก็เหมือนกัน พ่อแม่เราก็คาดหวังอย่างนั้น แต่เราก็ไม่รู้จะทำให้เขาได้หรือเปล่า" สีหน้าต้นดูเศร้าลงเมื่อพูดมาถึงตรงนี้
"โห...แล้วอย่างนี้มึงไม่เสียใจแย่เหรอวะ" เอกทำสีหน้าเห็นใจ เขารู้ว่าสองคนนี้ต้องรักกันมากอย่างไม่ต้องสงสัย เขาเองก็เห็นสิ่งนี้มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพียงแต่ไม่แน่ใจเท่านั้นเอง
"ก็มีบ้าง...แต่เราทำใจแล้วล่ะ ไม่ต้องห่วงนะ เรายังอยู่ได้สบาย สนเขาก็มีชีวิตของเขา เราก็คงมีชีวิตของเรา"
น้ำเสียงของต้นแสดงให้เห็นความน้อยอกน้อยใจที่ซ่อนเอาไว้ในใจลึกๆ อยู่ไม่น้อย จะบอกว่าเขาไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงเป็นเรื่องแปลกมาก พรุ่งนี้แล้วสินะที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไป พรุ่งนี้แล้วสินะที่เขากับสนจะไม่สามารถกอดและบอกรักกันได้ พรุ่งนี้...ช่างเป็นวันที่น่ากลัวสำหรับต้นเหลือเกิน
"แล้วไอ้สนมันไม่เสียใจเหรอวะ" เอกสงสัย
ถ้าเป็นคนอื่น ต้นคงไม่กล้าพูดให้ฟัง แต่ต้นคิดว่าเอกคงจะพอเดาความรู้สึกของสนได้ เวลา 7-8 ปีที่เอกได้เห็นต้นกับสนมา เขาก็คงรู้อะไรบางอย่างบ้างไม่มากก็น้อย ไม่งั้นก็คงไม่ถามเรื่องนี้ ต้นจะบอกว่าสนไม่รู้สึกอะไรเลยก็จะกลายเป็นการโกหกมากไป
"ก็คง...ไม่ต่างจากกูเท่าไรหรอก แต่ชีวิตมันไม่มีอะไรได้ดั่งใจเราทุกอย่างหรอกเอก เครียดไปก็มีแต่จะทำให้ชีวิตเศร้าหมอง ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก้าวต่อไปดีกว่า ชีวิตยังมีอะไรให้ทำอีกตั้งเยอะแยะ" ต้นพยายามตัดบท เพราะเขาไม่อยากพูดเรื่องนี้อีกแล้ว ดูเหมือนเอกจะเข้าใจก็เลยไม่ถามเรื่องนี้อีกเลย
-----------------------------------------------------------
ตกเย็นหลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว สนก็พาต้นมานั่งคุยกันตรงสะพานเหล็กข้ามคลองส่งน้ำหน้าบ้านต้น ไม่มีใครตามเขามาเพราะต่างก็อยากให้สองคนนี้ได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน ก่อนที่พรุ่งนี้จะพรากเอาอิสรภาพไปจากชีวิตสน
ต้นกับสนเอาขาแช่น้ำแล้วก็ตีเล่นเบาๆ ปีนี้ย่างเข้าปีที่สิบสี่แล้วที่เขาสองคนรู้จักกัน ในโลกนี้จะมีใครบ้างไหมนะที่คบกันได้ยาวนานขนาดนี้โดยไม่เคยพรากจากกันไปไหนไกลเลย แถมยังแปรเปลี่ยนความสัมพันธ์จากเพื่อนมาเป็นความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อนอีก
เวลามานั่งที่สะพานเหล็กนี้ทีไร ความรู้สึกเป็นเพื่อนก็จะกลับมาทุกที เพราะความสัมพันธ์ของเขาสองคนเริ่มจากความเป็นเพื่อนนั่นเอง ต้นกับสนจึงเหมือนมีสองสถานะเวลาอยู่ด้วยกัน บางครั้งแต่ละสถานะก็แยกกัน บางครั้งก็ปนๆ กัน บางคราวก็เป็นเพื่อนกัน แต่บางคราวก็เหมือนคนรักกัน หรือบางคราวก็เป็นทั้งสองอย่าง แต่ตอนนี้...ทั้งสองสถานะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง หลังจากที่หลังๆ มานี้สถานะคนรักกันนำเด่นมาตลอด
"นายจำได้ไหมต้น นายสอนเราว่ายน้ำตรงนี้" สนพูดพลางใช้ขาตีน้ำเล่นอย่างเพลิดเพลิน สนดูแปลกจนต้นสงสัยจริงๆ ทำไมเขาดูไม่ทุกข์ร้อนกับงานแต่งงานที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้เลย ไม่แสดงอาการร้อนรน ไม่แสดงอาการดีใจ ไม่แสดงอาการเสียใจ สนกำลังคิดอะไรอยู่นะ
"จำได้สิ เรายังจำสีหน้ากลัวน้ำของนายได้เลย" ต้นหัวเราะเบาๆ
"นายเคยนับไหมว่าเรามานั่งตรงนี้กี่ครั้งแล้ว"
"ไม่เคย...ใครจะไปจำได้ล่ะ"
"หนึ่งหมื่นสองพันสามร้อยสี่สิบครั้งแล้ว" สนหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แล้วก็ถามต่อไปว่า "นายจำตอนที่นายไปปีนต้นหว้าแล้วถูกผึ้งต่อยขาได้ไหม ตอนที่เราอยู่ปอหกไง"
"อ๋อ...จำได้ๆ เจ็บชะมัดเลย ดีนะที่โดนแค่ตัวเดียว เรานึกว่าตัวอื่นๆ มันจะตามมารุมซะแล้ว"
"แล้วเราก็พานายวิ่งขี่หลังกลับมาบ้าน เอายาหม่องมาทาให้ แต่พอเรากลับบ้าน เราโดนพ่อตีเลยที่ไปเล่นซน แถมยังดูแลนายไม่ดีอีกด้วย" สนพูดแล้วก็น้ำตาไหลลงมาเสียอย่างนั้น
"จริงเหรอ พ่อนายตีนายด้วยเหรอ ไม่ใช่ความผิดของนายเลยนะ วันนั้นเราชวนนายไปเอง เราจำได้" แล้วต้นก็หยุดพูดเมื่อเห็นสนมีน้ำตา "สนเป็นไร"
สนยิ้ม ยิ้มทั้งน้ำตาที่ยังไหลลงมาไม่หยุด "นายว่าไหม...ไม่มีสักวันเลยนะที่เราไม่รักกัน ไม่รู้สึกดีๆ ต่อกัน ไม่ดูแลกัน ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันจนถึงวันนี้ เราใจหายน่ะต้น เราพยายามที่จะไม่คิดอะไร พยายามที่จะไม่รู้สึกอะไร แต่จริงๆ แล้วเราก็รู้สึก เราก็ใจหาย เราจะได้กลับมาดูแลกันอย่างนี้อีกหรือเปล่านะต้น"
"มีสิสน...เรายังมีโอกาสนั้นอยู่ อย่างน้อย...ถ้าอะไรๆ มันจะยากลำบากจริงๆ เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ กลับมาที่จุดเดิมของเราไง เหมือนที่เรา...กำลังนั่งอยู่ที่จุดเดิมของเราตรงนี้ที่เราเคยเป็นเพื่อนกัน"
"เราก็หวังว่ามันจะง่ายแบบนั้นนะต้น แต่ความรู้สึกของเราสองคนก็เดินทางมาไกลมาก ไม่รู้ว่ามันจะกลับมาจุดเดิมได้ถูกหรือเปล่า ตัวของเราอาจจะอยู่ที่เดิม แต่ใจของเรามันยังหาทางกลับที่เดิมไม่ได้ เราไม่อยากแต่งงานเลยต้น แต่เราก็สู้เขาไม่ได้ เราไม่ทันเขา เราพลาดเอง เราผิดเอง ถ้าไม่มีเรื่องนี้...เรากับนาย..."
ต้นเอื้อมมือไปกุมมือสนไว้ บีบเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ "มันผ่านไปหมดแล้วสน เราก็จำไว้เป็นบทเรียนละกัน เราไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายบ้างเพราะนายไม่ได้เล่าให้เราฟัง ถ้าเราจะเสียใจ ก็คงเป็นเรื่องนี้เรื่องเดียว เรื่องที่นายไม่ยอมเล่าเรื่องนี้ให้เราฟังเลย บางทีเราอาจจะช่วยอะไรนายได้ก็ได้ แต่ช่างมันเถอะ ถึงตอนนี้ ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้วล่ะ ก็ใช้ชีวิตของเราให้ดีที่สุด ส่วนความสัมพันธ์ของเรา...ก็คงต้องหยุดไว้แค่นี้ เราทำอย่างนั้นอีกไม่ได้แล้ว ชีวิตต้องเดินต่อไป เมื่อเลือกแล้ว เราก็ต้องทำให้มันดีที่สุด ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหนที่จะกลับมาที่จุดเดิมของเรา แต่นายก็รู้ว่าเราจะกลับมาที่เดิมได้เสมอ เมื่อนายเจอทางกลับแล้ว นายก็แค่เดินกลับมา เราก็เหมือนกัน ที่เดิมของเรา ก็ยังเป็นที่เดิมของเรา ก็ยังต้อนรับเราสองคนเหมือนเดิม พร้อมเมื่อไรเราก็จะกลับมาด้วยกันนะสน"
สนโผเข้ากอดต้น คนที่เป็นทั้งเพื่อนและคนรักในช่วงเวลาเกือบทั้งชีวิตที่ผ่านมา เมื่อความรักมันไปต่อไม่ได้ แต่อย่างน้อย...เขาสองคนก็ยังมีที่เดิมให้เดินกลับมา รอแค่ว่าเมื่อไรเขาสองคนจะอยากกลับมาตรงจุดนี้...เท่านั้นเอง สะพานเหล็กแห่งนี้ยังรอคอยเขาสองคนอยู่เหมือนเดิม ไม่ว่าจะกลับมาในฐานะอะไร เขาสองคนก็กลับมาได้เสมอ ไม่ว่าจะรักกันแบบไหน ความรักก็เป็นสิ่งสวยงาม เป็นความรู้สึกดีๆ ที่เรามีให้กัน โลกที่สับสนวุ่นวายทุกวันนี้ยังอยู่ได้เพราะเรายังมีความรักให้แก่กัน