♥ Fall in you ♥
ตอน 27
‘ใจบาง’คำศัพท์ที่ผมมักจะได้ยินเพื่อนผู้หญิงพูดกันบ่อยๆ ดูท่าจะเหมาะกับความรู้สึกของผมในตอนนี้ เพราะทันทีที่พี่เนย์สารภาพอย่างตรงไปตรงมา ผมที่เคยใจแข็งก็ถึงกับใจอ่อนยวบยาบไม่เป็นท่า แต่ผมก็ยังทำนิ่งไม่แสดงออกมาให้อีกฝ่ายรู้ หากแต่ใบหน้าร้อนๆ มันจะลุกลามไปจนถึงใบหูหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น พี่เนย์ต้องจับสังเกตุได้แน่ๆ
ผมชอบพี่เนย์ และผมเองก็ไม่ได้อยากเจอพี่เนย์แค่บางช่วงเวลาเหมือนกัน แต่ที่ผมยังลังเล มันเป็นเพราะว่าผมกำลังวางตัวไม่ถูก ในเมื่อทุกครั้งที่ผมก้าวเข้าไปในห้องของพี่เนย์ ใจของผมไม่เคยเต้นในจังหวะที่ปกติเลย อีกทั้งเมื่อคราวจำเป็นต้องนอนค้างที่นั่น ผมก็มักจะนอนไม่ค่อยหลับ เพราะเราสองคนนอนใกล้ชิดกันมาก แม้จะไม่ได้ถูกเนื้อต้องตัวกัน แต่การที่ต้องนอนบนเตียงเดียวกัน มันก็อดที่จะคิดฟุ้งซ่านไม่ได้ แถมเราสองคนก็เคยจูบกันตั้งสองครั้งแล้ว และทุกครั้งก็ทำเอาผมแทบเป็นบ้า
แล้วถ้าหาก ผมต้องย้ายไปอยู่กับพี่เนย์ ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรามันจะพัฒนาไปจนถึงขั้นที่ลึกซึ้งในตอนไหน ลึกๆผมก็นึกกังวลว่าความสัมพันธ์ของเรามันจะทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังหรือเปล่า ท่านจะรับได้ไหม ถ้าหากรับไม่ได้ ผมจะทำยังไง ผมคิดมากไปหมด เพราะขนาดพูด ผมก็ยังพูดไม่ได้ แล้วยังจะมาชอบผู้ชายด้วยกันอีก
พ่อกับแม่จะต้องผิดหวังในเรื่องของผมไปอีกนานเท่าไหร่ มาตอนนี้ผมนึกเสียใจที่ไม่ยอมไปรักษา เพราะเอาแต่นึกโกรธพวกท่าน ทั้งๆที่หลังจากเกิดเรื่อง พวกท่านก็ดูแลผมอย่างดี ตอนนั้นแม่ถึงขนาดลาออกจากงานแบบไม่มีกำหนดเลยด้วยซ้ำ ส่วนพ่อก็ต้องเป็นเสาหลักของครอบครัวเพียงคนเดียว
นึกๆแล้วก็เสียใจ ที่ผมเลือกจะสนใจแต่ตัวเอง โดยลืมสนใจความรู้สึกของพวกท่านไป “รีบขึ้นไปเถอะรัน หอจะปิดแล้วนี่” ผมยกยิ้มให้พี่ทีม เมื่อพี่ทีมเป็นฝ่ายออกมาส่งผมที่หอตามคำขอร้องของพี่เนย์ จากนั้นผมก็ยกมือไหว้ลาประธานรุ่นปีสาม พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกมารายงานให้คนเจ็บรู้ว่าผมมาถึงหอพักอย่างปลอดภัยแล้ว
“กูก็นึกว่ามึงจะไม่ได้กลับมาที่หอซะแล้ว” ไอ้หมอกมันพูดขึ้น เมื่อผมไขกุญแจและเดินเข้ามาในห้อง
“…” ผมไม่ตอบอะไร นอกจากส่งยิ้มให้ไอ้เพื่อนช่างแซ็ว จากนั้นก็เอากระเป๋าใบเก่งไปวางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ และเตรียมเสื้อผ้าสำหรับใส่นอน ก่อนจะไปหยิบผ้าเช็ดตัวและเดินเข้าห้องน้ำ ครั้นเมื่อเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์จนหมดสิ้น ผมก็เปิดฝักบัว และเอาตัวเองเข้าไปยืนอยู่ภายใต้สายน้ำ โดยที่ผมก็ลืมไปว่า ตอนนี้มันดึกมากแล้ว ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะสระผม
แต่เพราะในหัวของผมมันกลับเต็มไปด้วยความคิด ผมจึงไม่ทันได้ใส่ใจในเรื่องนั้นบางทีมันคงถึงเวลาที่ผมจะต้องเป็นฝ่ายบอกพ่อกับแม่ให้ท่านทราบเรื่องของพี่เนย์แล้ว ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มีทางไปอยู่กับอีกฝ่ายได้อย่างสบายใจ เพราะผมไม่อยากโกหก และถ้าหากผลลัพธ์มันออกมาแย่ ผมก็คิดข้อต่อรองไว้แล้วว่า ผมจะยอมไปรักษา ซึ่งถ้าหากผมทำได้ ผมก็หวังว่าพ่อกับแม่จะยอมรับเรื่องของผมกับพี่เนย์
สิ่งที่ผมทำได้ มันก็มีแค่นี้.. แค่นี้จริงๆหลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็แต่งตัวและเดินออกมาตากผ้าเช็ดตัวที่ราวตาก จากนั้นผมก็ปีนขึ้นเตียงชั้นสองอย่างทุลักทุเล เพราะห้องทั้งห้องมันมืดสนิทแล้ว คาดว่าไอ้เพื่อนซี้สองคนมันคงสลบเหมือดไปแล้วแน่ๆ แต่ผมยังปีนได้ไม่ถึงขั้นสุดท้าย ก็ต้องปีนกลับลงมาข้างล่างใหม่ เพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือติดไปด้วย และเมื่อทิ้งตัวลงนอนได้ ผมก็สไลด์หน้าจอโทรศัพท์จนแสงสว่างส่องใบหน้า ทำให้ผมต้องหรี่ตามองเพราะยังไม่คุ้นชิน
‘มึงทะเลาะกับพี่เนย์เหรอ ทำไมซึมๆ’ ไอ้คินเป็นฝ่ายส่งข้อความมาถามผ่านทางแชทกลุ่ม
‘พวกกูจะปิดไฟนอนแล้ว ถ้ามึงอยากจะร้องไห้ก็ร้องได้ตามสบาย แต่พรุ่งนี้มึงต้องยิ้มกว้างๆด้วย เพราะมึงหน้าตาก็ไม่ดี ถ้ายิ่งเศร้ามันก็จะยิ่งน่าเกลียดนะเตี้ย’ ไอ้หมอกเองก็ส่งข้อความมาเช่นกัน ผมจึงได้แต่น้ำตาซึมกับการให้กำลังใจของพวกมัน
‘กูไม่ได้ทะเลาะกับพี่เนย์หรอก แค่เผลอคิดอะไรนิดหน่อยเท่านั้น พวกมึงสบายใจได้’ ผมตัดสินใจส่งข้อความลงในแชทกรุ๊ป จากนั้นก็เลื่อนหาแชทของพ่อกับแม่ ก่อนจะนอนจ้องดิสเพลย์ของพวกท่านทั้งสองที่ห้องแชทมันบังเอิญอยู่ติดกัน
‘แม่ครับ.. แม่จำพี่อาคเนย์ได้ไหม พี่ผู้ชายที่มารับผมในวันนั้นน่ะ จริงๆแล้ว.. เขาเป็นแฟนผมครับ พี่เขาใจดีแล้วก็อบอุ่นมากๆเลย สอนให้ผมกล้าทำในสิ่งที่ผมไม่เคยคิดที่จะทำตั้งหลายอย่าง จนตอนนี้ผมเข้ากับคนที่ไม่ได้มีข้อบกพร่องบางคนได้แล้วนะครับ.. ผมอยากให้แม่รับรู้เรื่องของเราไว้ เพราะผมไม่อยากโกหกแม่.. ผมชอบพี่เขาครับแม่ ชอบมากจริงๆ’ ผมพิมพ์ไปก็น้ำตาไหลไปด้วยความหวาดกลัวที่มันเกาะกินไปทั่วทั้งสี่ห้องหัวใจ
‘พ่อครับ.. พ่อจำพี่อาคเนย์ได้ไหม พี่ผู้ชายที่มารับผมเมื่อวันนั้น จริงๆแล้วเขาเป็นแฟนผม พี่เขานิสัยดีมากๆเลยครับ แถมยังเรียนเก่งมากๆด้วย แล้วก็เป็นคนที่มีความคิดในแง่บวกสุดๆไปเลยครับ พ่อคิดเหมือนผมไหม ว่าคนดีๆแบบพี่เนย์ ไม่น่าจะอยู่รอดจนกระทั่งมาเจอผมเลย เขาสอนให้ผมรู้จักมองอะไรบางอย่างในมุมมองใหม่ๆด้วยล่ะ พ่อเองก็รู้ดีว่าผมไม่ชอบคนที่ไม่มีข้อบกพร่อง เพราะเพื่อนสมัยเรียนมัธยม แต่ว่าพี่เนย์สอนให้ผมเปิดใจมองโลกในมุมใหม่ ผมถึงได้รู้ครับว่าโลกไม่ได้หมุนรอบตัวผม และคนที่ไม่มีข้อบกพร่องก็ไม่ได้ใจร้ายทุกคน เขาดีขนาดนี้ พ่อเองก็คิดใช่ไหมว่าผมไม่ควรปล่อยพี่เนย์ให้หลุดมือ.. ผมชอบพี่เขาครับ ชอบมากจริงๆ ถ้าหากความสัมพันธ์ของผมกับพี่เนย์ทำให้พ่อกับแม่เสียใจ ผมขอแลกกับการรักษาตัวเองให้กลับมาพูดได้นะครับ เพราะมันคือสิ่งเดียวที่พ่อกับแม่จะดีใจที่สุด’ ผมน้ำตาไหลอาบแก้มจนเผลอหลุดสะอื้นออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ อีกทั้งมือของผมก็ยังสั่นจนแทบจะพิมพ์ไม่ได้
ทั้งๆที่ผมเก่งเรื่องพิมพ์แชทจะตายเช้านี้ผมมาทานข้าวที่โรงอาหารในเวลาที่เร็วกว่าปกติ เพราะพี่เนย์เขาต้องเผื่อเวลาในการเดินลงบันไดหอ และยังต้องขับรถมาเรียนอย่างยากลำบาก ซึ่งผมก็อดบ่นอีกฝ่ายไม่ได้ที่ไม่ยอมรอเพื่อนมารับ ทั้งๆที่แผลที่เท้าก็มีตั้งหลายจุด ก็เล่นทำจานกระเบื้องตกใส่เท้าตัวเอง แถมยังไปเหยียบซ้ำจะไม่ให้เดินลำบากก็แย่แล้ว
อันที่จริงก็เพราะพี่เนย์เจ็บตัวด้วยส่วนนึงน่ะแหละครับ ถึงทำให้ผมเริ่มคิดเรื่องที่พี่เขาขออย่างจริงจัง และตอนนี้ผมเองก็เครียดมาก เพราะพวกท่านทั้งสองอ่านข้อความของผมแล้ว แต่ยังไม่ได้ตอบกลับมา ดังนั้นคำว่า ‘Read’ จึงเป็นอะไรที่ทำให้น้ำตาของผมจะไหล และเจ็บอยู่ในอกลึกๆ เพราะผมเผลอคิดไปแล้วว่า พ่อกับแม่คงจะยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้แน่ๆ
“ต้มจืดเหรอ” ผมเงยหน้าขึ้นจากการเขี่ยข้าว เมื่อพี่เนย์มาถึงก็ถามถึงเมนูที่เจ้าตัวจะได้กินในวันนี้
“…” ผมยิ้มพลางพยักหน้า ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ คงเพราะเข้าใจกติกากันดีว่าถ้าหากใครเป็นคนสั่ง อีกคนก็ต้องจำใจกิน เพราะไม่มีสิทธิ์จะคัดค้าน
“ร้องไห้เหรอ ทำไมตาบวม” พี่เนย์ก้มหน้าลงเพื่อให้อยู่ในระดับที่มองเห็นตาบวมๆของผมที่พยายามจะก้มหลบ แต่สุดท้ายก็ไม่พ้น
“เพราะพี่หรือเปล่า? เรื่องที่พูดเมื่อวาน” พี่เนย์ถามพลางตักต้มจืดเต้าหู้ไข่ที่ผมซื้อ ใส่ลงในจานข้าวของตัวเอง
‘แค่ส่วนนึงครับ’ ผมเลือกที่จะบอกไปตามความเป็นจริง
“พี่เข้าใจ เพราะการย้ายมาอยู่ด้วยกัน ความสัมพันธ์มันก็ต้องพัฒนาไปในทางที่.. อืม.. ลึกซึ้งขึ้น” พี่เนย์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากแต่จริงจัง ทำเอาผมหน้าร้อนขึ้นมานิดหน่อย เมื่อสิ่งที่ผมคิดมันตรงกับสิ่งที่พี่เนย์เองก็คิด
ในเมื่อเวลาที่เราอยู่ใกล้กันตามลำพังในห้องนั้นทีไร มันก็คล้ายกับเราไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกแล้ว..หลังจากทานข้าวเสร็จ พี่เนย์ก็ยังคงเป็นสารถีที่ดีเหมือนเคย จนผมอดจะถามไม่ได้ว่าเจ็บมากหรือเปล่า เพราะพี่เขาไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรเลย เดิมทีผมก็พอจะทราบว่าพี่เขาเป็นคนที่กลัวฟ้าแลบและฟ้าผ่ามากจนถึงขั้นปล่อยทุกสิ่งอย่างที่อยู่ในมือ แต่ผมก็ไม่ทันได้คิดถึงกรณีที่ว่าสิ่งที่อยู่ในมือมันอาจจะทำให้เจ้าตัวบาดเจ็บ ซึ่งพอเห็นพี่เนย์ต้องมาใส่รองเท้าแตะเดินกระเผลกๆแบบนี้ ผมจึงอดห่วงอีกฝ่ายจนถึงขั้นไม่อยากปล่อยให้อยู่คนเดียว
‘พี่เจ็บตัวแบบนี้ทุกครั้งหรือเปล่าครับ เวลาที่ตกใจเรื่องฟ้าแลบฟ้าผ่าน่ะ’ วันนี้เราสองคนเดินเข้ามาที่ตึกคณะพร้อมกัน ผมจึงมีเวลาคุยกับเจ้าตัวเพิ่มอีกหน่อย ก็เลยไม่รอช้าที่จะพิมพ์ข้อความถามอย่างสงสัยและเป็นห่วง
“ถ้าใครรู้จักพี่ เขาจะมองว่ามันเป็นเรื่องปกติเลยแหละ”
“เป็นห่วงเหรอ แผลแค่นี้เอง” พี่เขาว่าพลางยกยิ้มและไม่วายจะเอื้อมมือมายีหัวผมจนยุ่ง จากนั้นวงแขนแน่นๆของคนที่ออกกำลังกายบ้าง แต่ไม่ได้ออกแบบหนักหนาอะไร ก็วางพาดลงมาบนไหล่ผม กระทั่งเดินขึ้นมาบนชั้นสอง เราสองคนก็ต้องแยกย้ายกันไปเรียน เพราะวันนี้ผมเรียนที่ชั้นสาม แต่พี่เนย์เรียนที่ชั้นสอง ผมจึงหันไปยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะก้าวขึ้นบันไดไปอีกขั้น จนไม่สามารถมองเห็นผู้ชายตัวสูงที่ในวันนี้เดินไม่ค่อยจะสะดวกอีกแล้ว
วันนี้ทั้งวันผมเรียนแต่ตัวหนักๆทั้งนั้น เวลาก็เลยผ่านไปอย่างรวดเร็ว ส่วนพวกไอ้หมอกไอ้คินมันเองก็เหมือนกับจะไม่ค่อยกล้าพูดเล่นเฮฮาอะไรนัก คงเพราะมันรู้ว่าผมกำลังเครียด ในเมื่อจนเย็นป่านนี้แล้ว แต่พ่อกับแม่ก็ยังเงียบไร้ปฏิกิริยาตอบรับอยู่เลย
“พี่เนย์จะมารับไปกินข้าวด้วย หรือว่าจะไปกินกับพวกกู?” ไอ้คินถามเมื่อเรากำลังเดินลงจากอาคารเรียน
‘ไม่รู้ว่ะ วันนี้ยังไม่มีเวลาจะคุยกันเลย’ ผมพิมพ์ตอบกลับไป พลางเปิดหน้าต่างแชทของพี่เนย์เพื่อจะสอบถามอีกฝ่าย ซึ่งได้ใจความว่าเจ้าตัวมีเรียนแค่ครึ่งวัน ตอนนี้นอนตีพุงอยู่หอเรียบร้อยแล้ว และจะฝากท้องกับพี่ทีมพี่บอส เพราะวันนี้เดินจนล้า เลยไม่อยากจะออกไปหาอะไรกินเอง ผมก็เลยคิดว่าวันนี้ผมควรจะไปกินข้าวกับพวกไอ้คิน พี่เนย์จะได้พักผ่อนเยอะๆ และจะได้หายเร็วๆ เพื่อที่ผมจะได้หายห่วงขึ้นบ้าง
‘ไปกับพวกมึง.. แต่จะเปลี่ยนเสื้อก่อน หรือว่าจะไปกินกันเลย’ ระหว่างซ้อนจักรยานผมก็สะกิดไอ้หมอกให้หยุดปั่น เพื่อให้คำตอบกับอีกฝ่าย
“กูว่าจะไปกินกันเลยนะ มึงว่าไงไอ้คิน?” ไอ้หมอกหันไปถามไอ้คินที่จอดรถจักรยานอยู่ด้านหน้า
“กินเลยดีกว่าเข้าห้องจะได้นอนเลย วันนี้กูเพลียสมองเหี้ยๆ” พอไอ้คินมันสรุปแบบนั้น พวกเราทั้งหมดก็มุ่งหน้าไปที่โรงอาหารกลาง
หลังจากทำเรื่องคืนจักรยานเรียบร้อย เราก็เดินเข้ามาในโรงอาหารที่เต็มไปด้วยนักศึกษาจากหลากหลายคณะ เพราะเนื่องจากเวลานี้มันเป็นช่วงพีคที่ทุกคนต้องมารวมตัวกันด้วยความหิวโหย
“นั่นแอ้มนี่ ไปขอนั่งกับสาวบัญชีเลยแล้วกัน” หลังจากกวาดสายตามองไปรอบๆบริเวณแล้ว ไอ้หมอกมันก็มองไปเห็นสามสาวจากคณะบัญชีเข้าพอดี มันเลยเป็นหน่วยกล้าบ้าบิ่น รีบออกตัวประเคนเพื่อนให้กับหนึ่งในสาวสวยคณะบัญชีทันที
“พวกเราขอนั่งด้วยนะ” ไอ้หมอกมันว่าพลางยิ้มแป้น หลังจากนั้นนิ้งก็พยักหน้ารับพลางเชื้อเชิญให้นั่งอย่างยินดี ขณะที่ไอ้คินและแอ้มต่างก็พากันนิ่งเงียบและแอบยิ้มให้กันเบาๆ ผมก็เลยอดจะยิ้มตามไม่ได้ เพราะมันทำให้ผมนึกไปถึงช่วงที่ผมกับพี่เนย์แอบยิ้มให้กัน หลังจากมาเจอกันในครั้งที่สาม วันที่พี่ทีมกับพี่บอสพาสายรหัสไปเลี้ยงต้อนรับ
บทสนทนาบนโต๊ะอาหารในวันนี้เป็นไปอย่างสนุกสนานมาก แต่เพราะผมมัวแต่กังวลเรื่องพ่อกับแม่ก็เลยไม่ได้ฟังคนอื่นๆเท่าไหร่ กว่าจะรู้ตัวอีกที ไอ้หมอกมันก็ต้องสะกิดแล้วสะกิดอีก เพราะพวกมันถามว่าจะไปเดินเล่นตลาดนัดในมอกับพวกสาวๆไหม ผมจึงได้แต่ยิ้มบางๆ แล้วปฏิเสธไปอย่างเกรงใจ เนื่องจากกลัวว่าตัวเองจะทำให้บรรยากาศกร่อยเสียเปล่าๆ ซึ่งไอ้หมอกกับไอ้คินมันก็เข้าใจเลยไม่เซ้าซี้อะไร มิหนำซ้ำพวกมันยังบีบไหล่ให้กำลังใจผมคนละทีสองที ก่อนจะเดินไปเก็บจานพร้อมสามสาว จากนั้นเราต่างก็แยกย้ายไปยังทิศทางที่เป็นเป้าหมายของตัวเอง
‘อย่าลืมทำแผลนะครับ’ ผมส่งข้อความแชทไปหาพี่เนย์ ระหว่างกำลังเดินกลับหอพัก
‘ครับ’ อีกฝ่ายตอบมาแค่นั้น แต่ก็ทำให้ผมยิ้มออกมาได้
ติ้ง!
‘แค่รันเป็นเด็กดี พ่อกับแม่ก็ไม่คิดจะเสียใจหรอกรู้ไหม ส่วนเรื่องไปรักษาถ้าหากว่าอยากจะทำแบบนั้นจริงๆ ไว้เราค่อยมาคุยรายละเอียดกันดีมั้ย?’ ทันทีที่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วเห็นว่าเป็นข้อความจากแม่ ผมก็อ่านข้อความนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ขณะที่น้ำตาก็ไหลออกมา จนผมต้องยกมือขึ้นปาดมันออกบ่อยๆ และเดินก้มหน้าเพื่อซ่อนไม่ให้ใครเห็น
‘รันอาจจะไม่รู้ แต่สังคมโรงแรมก็มีอะไรแบบนี้เยอะ พ่อเจอจนชินแล้ว และก็ไม่ได้รู้สึกว่าผิดหวังอะไร ถ้าหากว่ารันจะชอบผู้ชายด้วยกัน ขอแค่รันเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนให้จบ ได้งานดีๆทำ มีชีวิตที่สุขสบาย นั่นคือสิ่งที่พ่อหวัง ส่วนเรื่องความรักพ่อกับแม่ก็ไม่ได้คิดจะยุ่งอยู่แล้ว เพราะพ่อกับแม่รู้ว่ารันเองก็เป็นคนที่ชอบปิดกั้นตัวเองพอสมควร ดังนั้นถ้าหากใครเขาทำลายกำแพงของรันได้ ก็แสดงว่ารันคิดดีแล้ว ส่วนเรื่องรักษาพ่อกับแม่ลองคุยกันแล้ว ถ้าหากเราอยากจะรักษาจริงๆ ก็ค่อยนัดมาคุยกัน เอาวันที่เราสะดวก พ่อกับแม่จะได้เตรียมลางานล่วงหน้า หรือไม่ระหว่างนี้ก็ลองฝึกพูดเอาก็ได้ เพราะพ่อเคยถามๆหมออยู่เหมือนกัน การฝึกอ่านออกเสียง มันจะช่วยให้เรามีพัฒนาการด้านการพูดได้ดี มันต้องอาศัยการฝึกและการอดทน ไม่ใช่ว่าทำแป้บๆก็เลิก แบบนั้นไม่มีทางสำเร็จหรอก’
‘ขอบคุณครับ ขอบคุณที่เข้าใจผม ส่วนเรื่องการรักษา ผมจะลองฝึกด้วยตัวเองก่อนก็ได้ครับ พอปิดเทอมก็ค่อยไปหาหมอ’
‘ดีจ๊ะ ระหว่างนี้แม่จะได้เตรียมหาข้อมูลเอาไว้รอเนอะ’ ผมยิ้มทั้งน้ำตา เมื่อแม่กับพ่อตอบผมมาแบบนั้น ทำเอาความอัดแน่นที่อยู่ในอกมาตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งวันนี้ มลายหายไปจนหมดสิ้น
‘พ่อครับ ผมบอกแม่แล้วว่าจะรักษาตอนปิดเทอม ระหว่างนี้ผมจะลองฝึกด้วยตัวเองดู และผมก็ขอบคุณที่พ่อเข้าใจผม รักพ่อนะครับ’ ผมทิ้งข้อความไว้ให้พ่ออ่าน เพราะคาดเดาเอาไว้ว่า พ่อน่าจะเริ่มปฏิบัติงานแล้ว
หลังจากนั้นผมก็ตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางที่กำลังจะเดินอย่างรวดเร็ว พร้อมกับต่อสายไปหาพี่เนย์ โดยที่ผมก็ลืมไปว่าตัวเองไม่ควรใช้ฟังก์ชั่นนี้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายรับสายแล้ว และผมเองก็กำลังดีใจมากๆ
ดีใจจนร้องไห้ไปด้วย แล้วก็ยิ้มหน้าบานไปด้วยเลย“พะ..อี้..”
“ว่าไง” พี่เนย์ทอดเสียงถามทันทีที่ผมเรียกเรียก
“แฮ่กๆ..พะอี้” ขณะที่พูดกับพี่เนย์ ผมก็ออกตัววิ่งจนสุดแรงเกิด จนกระทั่งมาถึงหน้ามหาลัย ถึงแม้ว่าจะหอบจนเหนื่อย แต่ผมก็ยังคงวิ่งไม่ยอมหยุด ส่วนพี่เนย์เองก็เหมือนจะยังจับต้นชนปลายไม่ถูก คาดว่าอีกฝ่ายคงจะกำลังงง เพราะร้อยวันพันปี ผมไม่เคยโทรหาพี่เขาเลย และไม่เคยพูดเยอะเท่าวันนี้มาก่อน เนื่องจากตลอดทาง ผมพยายามเรียกพี่เนย์สลับกับหอบหายใจด้วยความเหนื่อย
“เป็นอะไรหรือเปล่ารัน นี่อยู่ไหนเนี่ย ทำไมเหมือนได้ยินเสียงรถเต็มไปหมด” อีกฝ่ายถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ม..มอ” ผมวิ่งขึ้นบันไดสะพานลอยแบบไม่หยุดพัก เรียกได้ว่ามีแรงเท่าไหร่ ผมใช้ออกไปจนหมด เพียงเพื่อที่จะไปให้ถึงหอของพี่เนย์ให้เร็วที่สุด จากนั้นผมจะได้บอกข่าวดีนี้ให้กับอีกฝ่ายได้รู้ด้วยตัวเอง
“มอ? หมายถึงหน้ามอน่ะเหรอ? เราจะไปไหน” พี่เนย์ถามออกมาเป็นชุด
“ร..รอ” ผมบอกอีกฝ่าย จากนั้นก็รีบวางสาย และออกแรงวิ่งให้มากขึ้น แม้ว่าขาจะล้ามากเลยก็ตาม กระทั่งหอพักของพี่เนย์ปรากฏอยู่ตรงหน้า ผมถึงได้หยุดหายใจและหอบอย่างหนัก ก่อนจะกัดฟันวิ่งเข้าไปข้างใน และจ้ำพรวดขึ้นบันไดทีละสองขั้น โดยไม่กลัวเลยว่าจะพลาดท่าจนตกลงมาบาดเจ็บ
ก๊อกๆๆๆ
“เฮ้ย!” ทันทีที่พี่เนย์เปิดประตูออกมาต้อนรับ ผมก็กระโดดเข้าไปกอดอีกฝ่ายด้วยความดีใจจนฉุดไม่อยู่ พี่เนย์เลยถึงกับร้องออกมาด้วยความตกใจ เพราะเกือบจะล้มคว่ำไปด้วยกัน
“งงนะเนี่ย” พี่เนย์ว่าพลางขำน้อยๆ ก่อนจะแงะผมออก แล้วจึงเบี่ยงตัวเองเล็กน้อยเพื่อให้ผมเข้ามาข้างในได้
“ด..ดู” ผมพูดพลางสไลด์หน้าจอโทรศัพท์ และเข้าไปยังหน้าต่างแชทของแม่เป็นคนแรก จากนั้นก็ส่งให้พี่เนย์อ่าน ระหว่างนั้นผมก็ยืนพิงประตูพร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ไม่อยากจะเชื่อเลย ดีใจว่ะ” หลังจากอ่านจบ พี่เนย์ก็พูดแสดงความคิดเห็นทั้งที่ใบหน้าของอีกฝ่ายมันเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ผมจึงกลั้นยิ้มและพยักหน้าตอบรับ ว่าผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ก่อนจะรับโทรศัพท์คืนกลับมา จากนั้นก็เปิดหน้าต่างแชทของพ่อให้พี่เนย์ดู
“รันพูดซะพี่เขินเลยว่ะ รีบๆดึงไว้เลย เดี๋ยวจะลอยไปขึ้นติดอยู่บนเพดานซะก่อน” พี่เนย์ว่าพลางเกาท้ายทอยตัวเองแก้เก้อข้างนึง ส่วนอีกข้างก็ดึงมือของผมให้มากำชายเสื้อตัวเองไว้
“…” ผมแกะมือออกจากการกอบกุมของอีกฝ่าย จากนั้นผมก็ใช้ภาษามือเพื่อสื่อสาร โดยการการยืดตัวขึ้นและสะบัดมือทั้งสองข้างไปมาสามครั้งในระดับอก ก่อนจะเปลี่ยนมาชูนิ้วโป้งเหมือนท่าทางของคำว่าเยี่ยมที่คนทั่วไปชอบใช้กัน
“ด..ดี..จะ..ไอ” ผมพยายามเค้นเสียงเพื่อแปลความหมายของภาษามือที่ผมใช้ พลางยกยิ้มให้พี่เนย์จนตาปิด
“เหมือนกัน”
“อ่ะ” ผมอุทานออกมาอย่างตกใจที่จู่ๆพี่เนย์ก็อุ้มผมแล้วเดินไปยังกลางห้อง ก่อนจะเหวี่ยงตัวผมหมุนไปรอบๆจนมึนหัวไปหมด ผมเลยต้องเกาะอีกฝ่ายไว้แน่น เพื่อกันไม่ให้ตกลงมาเจ็บตัว ขณะที่เจ้าตัวดูเหมือนจะสนุกเหลือเกิน เพราะเอาแต่หัวเราะไม่ยอมหยุด
ท่าทางว่าพี่เนย์คงจะลืมไปแล้วมั้งว่าตัวเองกำลังเจ็บเท้าอยู่“โอ้ย!” นั่นไง คิดยังไม่ทันขาดคำ คนที่กำลังดีใจก็เสียหลัก ดีนะที่พากันมาล้มลงบนเตียง ไม่อย่างนั้นผมไม่อยากจะคิดเลยว่าจะได้แผลเพิ่มที่ตรงไหน
“เลือดออกเลยว่ะ ดีใจไปหน่อย” พี่เนย์กับผมค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นมานั่งดีๆ จากนั้นคนเจ็บเขาก็ยิ้มแห้ง พลางเดินโขยกเขยกไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลเพื่อมาเตรียมทำแผลอีกรอบ
“เดี๋ยวทำเอง” พี่เนย์ห้ามผมไว้ จากนั้นผมก็นั่งมองอีกฝ่ายทำแผลอย่างรวดเร็วด้วยความชำนาญ แสดงออกถึงการบาดเจ็บที่เจ้าตัวบอกว่ามันเกิดขึ้นจนเป็นเรื่องปกติ เลยส่งผลให้การทำแผลเองก็เหมือนจะเป็นเรื่องปกติด้วยเช่นกัน
กระทั่งพี่เขาลุกขึ้นเอากล่องปฐมพยาบาลไปเก็บที่เดิม ผมก็มองตามแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายที่กำลังเดินไปยังห้องน้ำเพื่อล้างมือ แต่พออีกฝ่ายกำลังจะเดินออกมา ผมก็เปลี่ยนเป็นก้มลงมองฝ่ามือของตัวเอง เพราะหัวใจกำลังสั่นรัวอย่างบ้าคลั่ง ในเมื่อผมกำลังจะให้คำตอบอีกฝ่าย ในเรื่องที่พี่เขาเคยพูดไว้เมื่อวานนี้
“รัน” ผมที่กำลังทำใจ ก็ถึงกับสะดุ้งจนสุดตัว และยิ่งใจกระตุกไปกันใหญ่ เมื่อพี่เนย์เดินเข้ามานั่งยองๆ ตรงหน้า เลยทำให้เราสองคนต้องมองตากันในระยะประชิด
“พี่ก็ชอบรันมากๆเหมือนกัน”พี่อาคเนย์เขาจับมือผมไว้ จากนั้นพี่เขาก็ลูบหลังมือของผมเบาๆ พลางยกยิ้มอย่างอบอุ่น และมองเข้ามานัยน์ตาของผม จนผมนึกอยากจะเสสายตาไปมองทางอื่น แต่เพราะตัวเองได้ตกอยู่ในวังวนของอีกฝ่ายแล้ว ดังนั้นสิ่งที่คิดอยากจะทำก็เลยไม่อาจทำได้
“ช..ออบ..ช..ชอบ..พ..พี่..นะ..เอ” พอพี่เขาค่อยๆเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ ผมก็ตัดสินใจบอกความรู้สึกกลับไปบ้าง ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับชะงัก และหยุดค้างใบหน้าเอาไว้ในระยะที่ลมหายใจลอดผ่าน
ขณะที่ผมกำลังนึกโทษตัวเองว่าการทำแบบนี้ มันเหมือนกับการฆ่าตัวตายทางอ้อมชัดๆ
“ทำไมรันถึงชอบทำให้พี่ตกหลุมรักซ้ำๆนักนะ” พี่เนย์พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แล้วเจ้าตัวก็เคลื่อนใบหน้าเข้ามาแนบชิดกับใบหน้าของผม ส่งผลให้ริมฝีปากของเราแตะสัมผัสกันบางเบา จากนั้นพี่เนย์ก็เริ่มขบเม้มริมฝีปากล่างอย่างเชื่องช้า ก่อนจะสับเปลี่ยนไปเคล้าคลอริมฝีปากบนเป็นบางเวลา ขณะที่ผมผู้ซึ่งกำลังเผลอไผลไปกับรสสัมผัสที่อีกฝ่ายชักจูง ก็ค่อยๆเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้มอบรสจูบที่ลึกซึ้งขึ้น ไม่นานจากนั้นเรียวลิ้นของเรา ต่างก็เกี่ยวกระหวัดกันแน่น แม้ว่าผมจะไม่เก่งในเรื่องแบบนี้ แต่พี่เนย์ก็สามารถชักนำให้ผมกล้าที่จะตอบสนอง โดยที่ไม่มีเวลาให้รู้สึกเก้อเขิน และกว่าจะรู้ตัวแผ่นหลังของผมก็แนบสนิทไปกับเตียงนอนกว้าง ขณะที่พี่อาคเนย์ก็คร่อมทับอยู่เบื้องบนด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม จนผมอดจะยิ้มตามอีกฝ่ายไม่ได้เหมือนทุกที
และแล้วบทจูบของเราก็ดำเนินขึ้นใหม่อีกครั้ง จนกระทั่งเราต่างก็ตักตวงในรสสัมผัสของกันและกันจนเพียงพอ“รันพร้อมจะตื่นขึ้นมาเจอกันในทุกวันๆแล้วใช่ไหม?” พี่เนย์ถาม พลางทิ้งตัวลงนอนบนพื้นที่ว่างๆ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวผม ก่อนจะพลิกตัวตะแคงข้างเพื่อหันหน้าเข้าหากัน
“พะ..อ้อม..” ผมขยับตัวให้หันหน้าเข้าหาพี่เนย์ พลางพยายามเค้นเสียงตอบด้วยความเก้อเขินไม่แพ้กัน
“…” พี่เนย์พยักหน้ารับ พลางเอาปลายนิ้วปัดปลายจมูกของตัวเองแก้เก้อ ส่วนผมก็ได้แต่มองปลายคางของอีกฝ่ายแทน เพราะตอนนี้บรรยากาศรอบๆตัวเรา มันดูเหมือนจะมีแต่ความเก้อเขินเต็มไปหมด
“งั้น.. ฝันดีนะ”
“…” ผมไม่ตอบแต่กลับใช้ภาษามือในการสื่อสาร โดยการเอานิ้วโป้งขวาวางแนบกับนิ้วชี้ข้างเดียวกัน ขณะที่อีกสี่นิ้วที่เหลือก็ต้องแนบชิดติดกัน ส่วนมือซ้ายให้ทำเหมือนกันแต่ปลายนิ้วทั้งสี่ต้องวางเอาไว้บนหลังมือข้างซ้าย ก่อนจะแบมือทั้งสองข้างประกบกันและเอียงคอไปทางซ้ายจนเหมือนกับท่าทางของการนอนพร้อมกับหลับตาไปด้วย จากนั้นก็เอาปลายนิ้วชี้ข้างขวาแตะเข้าที่ขมับขวาและหมุนวนเป็นเกลียวขึ้นในอากาศ ก่อนจะเปลี่ยนมาชูนิ้วโป้ง ที่เป็นสัญลักษณ์ของคำว่าเยี่ยมตามที่คนทั่วไปใช้กัน
ทำเอาพี่เนย์หลุดหัวเราะและยกยิ้มให้กับการตอบรับด้วยภาษามือ ที่เจ้าตัวเคยพูดแล้วพูดอีกว่า พี่เขามักจะแพ้ทางให้ผมทุกครั้ง ที่สื่อสารกันด้วยภาษามือ อันเป็นอวัจนภาษาอย่างหนึ่งที่งดงามในตัวของมัน
ซึ่งผมก็ไม่ลืม ว่าการพูดก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ที่สามารถทำให้พี่เนย์แพ้ทางได้เช่นกัน“ฝะ..อัน..ดะ..ดี”♥ THE END ♥
-----------------------------------------------------------------
[edit แก้คำผิดและคำเกิน / กล่องปฐมพยายาม > กล่องปฐมพยาบาล / ตัดคำเบิ้ล 'กระหวัด' ออก / 27/01/2018 ฟ้าแล่บ > ฟ้าแลบ]
ในที่สุดฟอลอินยูก็เดินทางมาถึงตอนจบแล้วเนอะ เราใช้เวลาแต่งเรื่องนี้แบบจริงจังตั้งแต่ช่วงสิงหาคมจนกระทั่งทยอยลงเว็บ ก็หลายเดือนอยู่เหมือนกัน แต่ถือว่าจบเร็วที่สุดเท่าที่เคยเขียนแล้วค่ะ แต่ตอนจบของเราจะออกแนวๆ ตรงกับคอนเซ็ปของชื่อเรื่องค่ะ มันเลยดูเหมือนจะคืบหน้าก็ไม่คืบหน้า แต่เราสามารถติดตามพัฒนาการกันต่อได้ในสเปค่ะ ต้องอธิบายก่อนว่า แนวการเขียนของเราจะเป็นสเปในสเป ประมาณว่า End > Real End > Final ประมาณนี้ค่ะ สำหรับสเปที่กำลังเขียนอยู่ในตอนนี้ จะเป็นช่วงรันอยู่ปีสอง และ พี่เนย์อยู่ปี 4 นะคะ จะไม่ยาวถึงขนาด 20 ตอน อาจจะสักประมาณ 10 ตอน หรือน้อยกว่านั้น แต่ในส่วนนี้ทุกคนจะได้เห็นรันฝึกพูด และมีพี่เนย์คอยช่วยเหลืออยู่ เราอาจจะลงได้ช้านะคะในส่วนของสเป ยังแต่งไม่ถึงไหนเลยจ้า ได้มาสองแผ่นถ้วน 555 เพราะมัวแต่ไปปั่นฟิคอยู่ แต่ฟิคจบแล้ว เราจะมาทุ่มให้สเปของเรื่องนี้ต่อค่ะ ขอเวลาหาข้อมูลเพิ่มอีกนิดเนอะ ขอขอบคุณทุกคนที่ติดตามมากเลยค่ะ และขอบคุณทุกคนที่รีวิวให้เราด้วยค่ะ ทุกคนฉุดเราจากการคิดจะหยุดเขียนนิยายหรือฟิคได้จริงๆ เราเคยพยายามแล้วแต่ไม่ค่อยรอด ส่วนที่รอดก็เพราะเรารักคู่ที่เราเขียน แต่สุดท้ายเราก็ยังตันอยู่หลายเดือน พอมาเขียนเรื่องนี้แล้วทุกคนชอบ เราเลยปั่นต่อได้ตั้งแต่นิยายยันฟิคเลยค่ะ สำหรับเรื่องนี้เรากังวลเรื่องข้อมูลมากเลยค่ะ เพราะเราหาข้อมูลจากพี่กูเกิ้ลทั้งหมดผสมกับมโนด้วยนิดหน่อย แต่พอเห็นคนบอกว่าข้อมูลหามาได้ดีและตรงกับความเป็นจริง เราเองก็โล่งใจค่ะ ในส่วนสเป เราอาจจะไปหาข้อมูลเพิ่มจากคนที่เรียนสาขานี้จริงๆ เพราะเราเจอตัวแล้ว 5555
ปล. เห็นมีคนอ่านชอบเพลง fall in you ของคยูเหมือนกัน เราก็ดีใจค่ะ เพลงเพราะมากและเป็นเพลงที่ทำให้เราคิดจะเขียนนิยายหรือฟิคต่อไปด้วยค่ะ เพราะเราเคยมีความคิดจะหยุดเขียนนิยายหรือฟิคแบบถาวร T[]T
ภาษามือของตอนนี้ดูได้ที่สารบัญภาษามือในเด็กดีเช่นเดิมค่ะ >
จิ้ม