บทที่ 9
ผมมองไปที่ประตูห้องประชุมที่บริษัทของเฮียแผนด้วยความรู้สึกตื่นเต้นกระวนกระวาย วันนี้เป็นวันหยุด แต่เฮียนัดเด็กทุนที่เจ้าอาวาสแต่ละวัดคัดเลือกให้มาสัมภาษณ์ที่บริษัท
แน่นอนว่าหนึ่งในนั้น มีไอ้คล้าวของผมอยู่ด้วย ทำให้ผมตื่นเต้นที่จะมีโอกาสได้เจอกันอีกครั้ง
นอกจากเฮียแล้วก็มีเพื่อนสนิทเฮียอีกสองคนคือพี่วินกับพี่กรและธงรบที่สนใจช่วยสนับสนุนทุนในครั้งนี้มานั่งช่วยสัมภาษณ์ด้วย ที่จริงก็ไม่ได้จะสัมภาษณ์จริงจังอะไรหรอก เพราะเราให้เครดิตกับเจ้าอาวาสไปแล้ว ที่นัดมาก็เพื่อทำความรู้จักกับคนที่ได้รับทุนมากกว่า เฮียแผนจึงให้ผมนั่งเพื่อฟังสัมภาษณ์ไปด้วย
นอกจากสัมภาษณ์แล้ว เฮียแผนยังให้น้องๆ ที่กำลังเรียนอยู่และคนที่สอบติดแล้วนำเอกสารมาด้วยเพื่อดำเนินการในการให้ทุนต่อไป ส่วนคนที่ยังสอบไม่ได้ก็ให้เตรียมเอกสารบางส่วนมา รอให้สอบติดก่อนแล้วค่อยมาดำเนินการเรื่องเอกสารให้เรียบร้อยอีกครั้ง
ก่อนที่จะถึงเวลานัด พี่ๆ กับธงรบก็นั่งจิบกาแฟคุยกันสบายๆ มีแต่ผมที่รู้สึกกระวนกระวายจนทนไม่ไหว ต้องเดินไปนอกห้องเพื่อสงบสติอารมณ์ก่อน กลัวว่าธงรบจะรู้สึกผิดสังเกตแล้วถามอะไรออกมา
ผมเดินไปที่สวนเล็กๆ ข้างๆ ตึกที่ทำไว้เพื่อเป็นที่พักผ่อนสำหรับพนักงาน สีเขียวๆ ของต้นไม้ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ผมเดินไปดูดอกมะลิที่กำลังออกดอกพราวเต็มต้น เห็นแล้วนึกถึงบ้านหลังน้อยริมทุ่ง ผมเด็ดดอกมะลิดอกหนึ่งขึ้นมาดม กลิ่นหอมหวานของมันทำให้อดจะยิ้มออกมาไม่ได้
“ขอโทษครับ”
ผมชะงักเมื่อได้ยินเสียงคุ้นๆ ของคนที่มาอยู่ข้างหลังเมื่อไหร่ไม่รู้ เมื่อหันกลับไปแล้วเห็นหน้าคนที่ทักก็ได้แต่ยืนอึ้ง
“คือ ไม่ทราบว่าห้องสัมภาษณ์ทุนไปทางไหนครับ?” คนตรงหน้าถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ
ไอ้คล้าว!
ผู้ชายหน้าตาคมเข้ม รูปร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า คือไอ้คล้าวของผมไม่ผิดแน่ ต่อให้คนตรงหน้าแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็คสีดำดูสุภาพแปลกตา แต่ผมก็จำคนที่อยู่ในใจตั้งแต่เป็นทองกวาวได้
ผมได้แต่จ้องคนตรงหน้าตาแทบไม่กระพริบ ไม่กล้าพูดอะไรออกไปสักคำ เพราะกลัวเหลือเกินว่าภาพตรงหน้าจะเป็นแค่ความฝันหรือภาพลวงตา
“เอ่อ เป็นอะไรรึเปล่าครับ” ไม่รู้ว่าตอนนี้สีหน้าของผมเป็นแบบไหน คนตรงหน้าถึงได้ถามด้วยสีหน้ากังวลแบบนั้น
“...”
“คุณ! ร้องไห้ทำไมครับ เจ็บตรงไหนรึเปล่า หรือว่างูกัดวะ” ไอ้คล้าวถามด้วยน้ำเสียงตกใจ ทำให้ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองกำลังร้องไห้อยู่ เมื่อเห็นผมยังนิ่งมันก็พึมพำเบาๆ ก่อนจะชะโงกมองไปที่กอมะลิแล้วกวาดตามองสำรวจเร็วๆ
“ฮึก” แต่ยิ่งเห็นท่าทางห่วงใยของมันก็ยิ่งทำให้น้ำตาผมไหลออกมามากขึ้น ไอ้คล้าวก็ยิ่งละล้าละลังเหมือนทำอะไรไม่ถูก มันกวาดสายตาสำรวจจนทั่วตัวผม พอเห็นว่าผมแค่ร้องไห้ไม่ได้มีอาการอะไรผิดปกติ ก็ยืนอยู่เป็นเพื่อนเงียบๆ ต่อไป
“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ” เมื่อเห็นผมยังร้องไห้ไม่หยุด มันก็ถามอย่างมีน้ำใจ พักนี้ชักจะร้องไห้บ่อยไปแล้ว แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันทำให้หัวใจวุ่นวายเหลือเกิน
“ช่วย ฮึก อยู่เป็นเพื่อนผมสักครู่ได้ไหม”
“ได้สิครับ” มันตอบรับอย่างว่าง่าย ทั้งๆ ที่มีสีหน้าสงสัย แต่ก็ยังรักษามารยาท ไม่ได้ถามอะไรออกมา
เพราะผมรู้ว่ามันเป็นคนใจดี มีน้ำใจกับคนอื่นเสมอ ผมจึงใช้เรื่องนี้รั้งมันไว้ข้างๆ ต่ออีกสักนิด ตอนนี้ทำได้เพียงแค่นี้ ต่อให้อยากกอดสักแค่ไหน แต่ในฐานะคนที่เพิ่งเจอกันนั้น... ผมยังไม่มีสิทธิ์
อยากกอดเหลือเกิน อยากบอกออกไปเหลือเกินว่าทองกวาวอยู่นี่แล้วนะ พี่คล้าวของทองกวาว
แต่ก็รู้ดีว่าทำไม่ได้ ขืนพูดออกไปมันต้องหาว่าผมเป็นบ้าแน่ๆ สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือ ปล่อยให้น้ำตามันไหลออกมาเพื่อระบายความอัดอั้นในหัวใจไปเรื่อยๆ
“ฮึก ฮืออออ”
ไอ้คล้าวยืนอยู่เป็นเพื่อนผมเงียบๆ แม้จะไม่มีบทสนทนาสักคำ แต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด กลับรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก
ในที่สุดก็ได้เจอกันอีกครั้งในสภาพที่เป็นมนุษย์ทั้งคู่ ผมพยายามปลอบใจตัวเองว่ายังมีโอกาสอีกมากที่จะได้อยู่เคียงข้างกันเหมือนตอนนี้ แค่ต่อไปต้องพยายามไขว่คว้าหาโอกาสให้เต็มที่และอย่ายอมแพ้ง่ายๆ หัวใจของไอ้คล้าวต้องเป็นของผมอย่างแน่นอน ผมคิดด้วยความมุ่งมั่น
เมื่อคิดได้อย่างนั้น น้ำตาผมก็ค่อยๆ หยุดไหล พอเห็นผมหยุดร้องไอ้คล้าวก็ล้วงผ้าเช็ดหน้าที่ดูยับๆ ในกระเป๋ายื่นให้ผม
“ยังไม่ได้ใช้นะครับ ยับไปหน่อย แต่สะอาดแน่นอนครับ” มันบอกเมื่อเห็นผมจ้องผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นนิ่งๆ ที่จริงไม่ได้รังเกียจอะไรสักนิด ที่เงียบไปเพราะคิดไม่ถึงว่ามันจะส่งผ้าเช็ดหน้าให้มากกว่า
ผมยื่นมือไปรับผ้าเช็ดหน้าในมือมัน แต่พอมือแตะกันก็ต้องสะดุ้งทั้งคู่ เมื่อรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านและรู้สึกเหมือนไฟช็อตขึ้นมาครู่หนึ่ง เราทั้งคู่จึงเผลอมองหน้ากันและสบตากันนิ่งๆ
ตุบ!
ก่อนที่จะสะดุ้งกันอีกรอบ เมื่อกระรอกตัวหนึ่งหล่นลงมาใกล้ๆ เราสองคนพอดี
เราทั้งคู่หันไปมองกระรอกที่วิ่งกลับขึ้นไปบนต้นไม้ ก่อนจะหันกลับมามองมือที่ยังแตะค้างกันอยู่เหมือนเดิม พอรู้ตัวต่างคนต่างก็รีบดึงมือของตัวเองออกมา แล้วก็เผลอสบตากันอีกครั้ง ก่อนจะรีบหลบตาแล้วหันหน้ากันไปคนละทาง
ผมรู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวจนต้องเม้มริมฝีปากแน่น หัวใจเต้นรัวจนกลัวหัวใจจะวาย พอเหลือบไปมองไอ้คล้าวก็เห็นมันยกมือที่ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ขึ้นลูบท้ายทอยเหมือนกำลังเก้อเขิน หน้ามันดูนิ่งๆ เหมือนเดิม แต่ใบหูแดงจนเห็นได้ชัด
ท่าทางของมันดูน่ารักจนผมต้องกลั้นยิ้ม
น่ารักจังเลยโว้ย! น่ารักจนอยากลากเข้าพุ่มไม้... แต่กลัวโดนกระทืบ ต้องพยายามย้ำกับตัวเองว่ายังไม่ถึงเวลา รอให้เป็นคนรักกันก่อนเถอะ จะลากเข้าพุ่มไหนก็คงไม่เป็นปัญหา... ฝากเอาไว้ก่อนนะพุ่มไม้ เอ๊ย! ไอ้คล้าว
ผมใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาและบังรอยยิ้มกว้างขวางของตัวเองไว้ ก่อนจะสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อควบคุมอารมณ์ให้คงที่ แล้วหันไปมองหน้าไอ้คล้าว เมื่อมันหันมามองก็เอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ” ไอ้คล้าวตอบรับด้วยรอยยิ้ม แต่สีหน้ายังมีความเก้อเขินจนผมรู้สึกใจชื้น เพราะอย่างน้อยมันก็ยังหวั่นไหวกับความใกล้ชิดเมื่อครู่บ้าง
พออยู่ในร่างมนุษย์ ถึงได้รู้ว่าไอ้คล้าวมันสูงมาก ขนาดผมที่สูง 175 ก็ยังอยู่แค่ประมาณใบหูของมันเท่านั้นเอง มันน่าจะสูงพอๆ กับเฮียแผนและธงรบ ประมาณจากสายตาแล้วคงไม่ต่ำกว่า 185 แน่ๆ
“เมื่อครู่คุณถามผมเรื่องห้องสัมภาษณ์ทุนใช่ไหมครับ” ผมเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้มันคลายความเก้อเขินลง รุกมากไปก็ไม่ดี เดี๋ยวไก่ตื่น
“ใช่ครับ”
“ตามผมมาเลยครับ เดี๋ยวผมพาไป”
“ไม่รบกวนใช่ไหมครับ”
“ไม่รบกวนหรอกครับ ผมต่างหากที่รบกวนเวลาคุณตั้งนาน” ผมส่งสายตากรงอกเกรงใจไปให้
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้รบกวนอะไรเลย” ซึ่งคนใจดีอย่างมันก็รีบค้านทันที
พอได้ยินอย่างนั้น ผมก็ส่งรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งให้ เมื่อเห็นมันเริ่มมีอาการเก้อเขินอีกครั้ง ผมก็หันหลังเดินนำไปแล้วแอบยิ้ม
นี่เห็นว่าเพิ่งจะเจอกันหรอกนะ เลยยอมปล่อยไปก่อน ต่อไปก็เตรียมตัวไว้เถอะ เจอรุกหนักกว่านี้แน่ๆ หึๆๆๆ
ไอ้คล้าวเดินเยื้องๆ ตามหลังมา ระหว่างทางผมก็พยายามชวนคุยไปเรื่อยๆ จะได้สร้างความสนิทสนมให้มากขึ้นและลดความห่างเหินระหว่างเราลง
“รบกวนคุณมาตั้งนาน ยังไม่ทราบชื่อของคุณเลย”
“ผมคล้าวครับ”
“แสนครับ เรียกพี่แสนก็ได้ เพราะถ้ามาสัมภาษณ์ทุนแสดงว่าน้องคล้าวน่าจะเป็นรุ่นน้องพี่” ผมบอกชื่อตัวเองบ้าง แล้วก็เนียนให้มันเรียกพี่ไปเลยจะได้ดูสนิทกันมากขึ้น
“ครับ พี่แสน” ไอ้คล้าวมีท่าทีลังเลในตอนแรก แต่ก็ยอมเรียกแต่โดยดี
ดีมาก ว่าง่ายๆ จะได้ ‘ใจ’ เร็วๆ หึๆ
“นี่มาคนเดียวเหรอครับ” ผมถามด้วยความแปลกใจ เพราะเห็นรายชื่อไอ้ไม้อยู่ในชื่อเด็กทุนที่หลวงตาส่งมาด้วย แต่กลับเห็นไอ้คล้าวมาคนเดียว
“ครับ” เมื่อเห็นผมหันไปมองด้วยสีหน้าแปลกใจ มันก็อธิบายต่อ
“ที่จริงมีรุ่นน้องอีกคนที่สนิทกันได้รับทุนด้วยครับ แต่วันนี้ติดธุระสำคัญ มาไม่ได้ ก็เลยขอมาวันหลังแทน ส่วนอีกสามคนก็คงมาพร้อมกัน พอดีผมอยู่ใกล้อยู่แล้วเลยต้องมาคนเดียวครับ”
“เหรอครับ” ไอ้ไม้คงติดธุระสำคัญจริงๆ ถึงได้มาด้วยไม่ได้ เพราะปกติไอ้ไม้ติดลูกพี่มันจะตาย
“แล้วน้องคล้าวมาจากจังหวัดไหนครับ”
“ผมมาจากสุพรรณฯ ครับ”
ผมพยายามหาเรื่องชวนคุย แม้บางเรื่องจะเป็นเรื่องที่รู้อยู่แล้วก็ตาม ผมชวนคุยไปเรื่อยๆ ไอ้คล้าวก็ตอบคำถามของผมอย่างไม่มีทีท่าว่าจะรำคาญสักนิด ทำให้ผมได้แต่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี
จนไปถึงห้องประชุมที่จัดให้น้องๆ นั่งรอสัมภาษณ์ ผมก็บอกให้ไอ้คล้าวเข้าไปรอข้างในได้เลย เดี๋ยวจะมีคนมาเรียก มันยกมือไหว้ขอบคุณอย่างเรียบร้อยจนผมอดจะยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้
หลังจากส่งไอ้คล้าวแล้ว พอดูเวลาก็ใกล้เวลาเริ่มสัมภาษณ์พอดี ผมจึงเดินกลับไปที่ห้องสัมภาษณ์ซึ่งเป็นห้องประชุมเล็กอีกห้อง
พอเข้าไปก็เห็นทุกคนนั่งประจำที่แล้ว เฮียแผนนั่งอยู่ตรงกลาง ขนาบข้างด้วยธงรบที่นั่งขวามือ ส่วนด้านซ้ายมือเป็นพี่วิน ถัดจากพี่วินก็เป็นพี่กรที่นั่งข้างๆ เพื่อน เก้าอี้ที่ว่างจึงเป็นที่นั่งข้างๆ ธงรบ ผมเดินไปนั่งลงเก้าอี้ที่ว่างเงียบๆ
เมื่อเฮียกับธงรบเห็นสภาพของผมที่ตอนนี้ตาน่าจะบวมเพราะร้องไห้มาก็ขมวดคิ้วทันที ทั้งคู่ทำท่าจะอ้าปากถาม แต่พี่เลขาธนาพาน้องคนแรกเข้ามาในห้องซะก่อน จึงได้เงียบไป
หลังจากสัมภาษณ์จบแล้วคงโดนพ่อๆ ซักอีกแน่ๆ เฮ้อ!
ผมนั่งฟังสัมภาษณ์เงียบๆ นานๆ ถึงจะถามขึ้นมาสักที ถึงน้องๆ จะมีอาการตื่นเต้นกันทุกคน แต่ก็พยายามพูดคุยกันอย่างกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทำให้บรรยากาศในห้องเป็นไปอย่างผ่อนคลาย
ยิ่งถึงคิวน้องๆ ที่มาจากวัดที่เฮียแผนไปบวชก็ยิ่งเป็นกันเองและเฮฮามากขึ้น เพราะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว
จนเมื่อถึงคนสุดท้าย พอน้องมันเดินเข้ามา เฮียแผนก็หันมามองผมทันที ผมหันไปสบตาแล้วยิ้มให้ เป็นอันรู้กันว่าคนนี้แหละที่ผมเฝ้ารอที่จะได้พบหน้ามาตลอด
“สวัสดีครับ” น้องมันยกมือไหว้อย่างเรียบร้อย เมื่อหันมาเห็นผมนั่งอยู่ด้วยก็ชะงักไปก่อนจะค้อมศีรษะให้ ซึ่งผมก็ยิ้มรับด้วยรอยยิ้มที่พยายามปั้นให้ดูอ่อนโยนที่สุด
“เชิญนั่ง” เฮียแผนแทรกขึ้นมาเมื่อเห็นเราสบตากันนานเกินไป
น้องกำลังอ่อยอยู่ เฮียจะขัดทำไมเนี่ย! ผมแอบบ่นในใจ
“ชื่ออะไรครับ” พี่วินถามขึ้นมาก่อน เมื่อเฮียแผนยังนิ่งไม่ยอมเริ่มทักน้องเหมือนก่อนหน้านี้ เอาแต่จ้องน้องมันนิ่งๆ
“ผมคิมหันต์ รักดี ชื่อเล่นชื่อคล้าว มาจากสุพรรณฯ ครับ”
“อ๋อ พี่คล้าวของทองกวาวในเรื่องมนต์รักลูกทุ่งใช่ไหม” ผมแอบสะดุ้ง เมื่อธงรบมันถามยิ้มๆ คงตั้งใจจะช่วยให้น้องผ่อนคลาย แต่ดันทำให้ผมใจเต้นเมื่อได้ยินชื่อเก่าของตัวเอง
“ครับ” ไอ้คล้าวรับคำ แต่แววตามันหมองลงไปครู่หนึ่ง เดาว่าน่าจะเป็นเพราะได้ยินชื่อของทองกวาวแน่ๆ
ผมได้แต่ส่งสายตาปลอบโยนไปให้โดยที่มันไม่รู้ตัว ดูท่าแล้วมันน่าจะยังไม่ลืมทองกวาวของมัน ซึ่งทำให้ผมรู้สึกดีใจที่มันไม่ลืมกัน ถึงแม้ว่าเป็นผมในร่างควายก็เถอะ
“คุณวางแผนไว้ว่าจะสอบเข้าเรียนคณะอะไรครับ” เฮียแผนถามด้วยรอยยิ้มมุมปากและน้ำเสียงนิ่งๆ จนเพื่อนเฮียทำหน้าแปลกใจ เพราะก่อนหน้านี้เฮียก็ยิ้มแย้มแจ่มใสดี แต่ตอนนี้ทำท่าเหมือนจะกินหัวเด็กแทนซะอย่างนั้น
“ผมตั้งใจไว้ว่าจะสอบเข้าคณะเกษตรศาสตร์ครับ” น้องมันตอบอย่างสุภาพ หน้านิ่งๆ นั้นดูจริงจัง แต่แววตาเป็นประกาย คงจะดีใจที่มีโอกาสได้เรียนเหมือนที่เคยฝันไว้ เห็นแล้วผมก็พลอยรู้สึกดีใจไปกับมันด้วย แต่ก็ต้องรีบหุบยิ้ม เมื่อธงรบหรี่ตามองมาด้วยแววตาสงสัยเต็มที่
แย่แล้ว! ลืมตัว
ผมได้แต่ปั้นหน้านิ่ง พยายามนึกหาข้อแก้ตัวกับมันก่อนจะถูกซักหลังจากนี้
“มีแฟนรึยังครับ” แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไร คำถามของเฮียแผนก็ทำเอาผมหันขวับไปมองจนคอแทบเคล็ดทันที
“ห๊ะ!” อันนี้ไม่ใช่เสียงน้องครับ แล้วก็ไม่ใช่เสียงผมด้วย แต่เป็นเสียงของอีกสามคนที่เหลือที่ทำหน้าตื่นๆ เมื่อเจอคำถามเฮียเข้าไป
ถามอะไรของเฮียยยย
ส่วนคนถูกถามก็ได้แต่ทำหน้างง มันคงจะสงสัยว่าคำถามนี้มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องทุน แต่ด้วยความซื่อของมัน น้องมันก็ยอมตอบแต่โดยดี
“ตอนนี้ไม่มีครับ”
“แสดงว่าเคยมี?” เฮียยังคงถามต่อโดยไม่สนใจคนที่เหลือซึ่งกำลังอึ้งอยู่เลย
“ครับ” มันรับคำด้วยสีหน้าเศร้าๆ คงกำลังนึกถึงดาวเรืองอยู่
“ทำไมถึงเลิกกัน”
เอ่อ... คำถามมันไม่ละลาบละล้วงไปเหรอเฮีย
“...” น้องมันมีสีหน้าลำบากใจที่จะตอบ
“เฮีย... ” พอเห็นสีหน้าของมัน ผมก็พยายามเอ่ยปากห้าม แต่เฮียแผนส่งสายตามาบอกให้หยุด ผมก็ได้แต่ถอนใจแล้วปล่อยให้เฮียใช้อำนาจมิชอบถามเด็กผมต่อ เฮียยอมเปลี่ยนคำถามให้ แต่เป็นคำถามที่ฟังแล้วก็ยังแปลกๆ อยู่ดี
“ยังรักเขาอยู่ไหม”
“ครับ” แค่ได้ยินว่ามันยังรักดาวเรืองอยู่ หัวใจผมก็เจ็บแปลบขึ้นมาทันที เฮียแผนหันมาส่งสายตาปลอบโยนให้ผมก่อนจะถามต่อ
“แล้วถ้าเขามาขอคืนดี จะกลับไปคืนดีไหม”
“...” ไอ้คล้าวมันเงียบไป แววตามันเหม่อลอยไปชั่วครู่ ก่อนจะหันกลับมาตอบด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ
“คงไม่ครับ”
“เพราะอะไร พอจะบอกได้ไหม” เพิ่งจะมาเกรงใจอะไรตอนนี้เฮีย ผมได้แต่ถอนหายใจเพลียๆ ให้กับคำถามของเฮีย
“เพราะต่อให้ยังรักอยู่ แต่ผมก็ไม่เหลือความเชื่อใจให้เธออีกแล้วครับ ถ้าไม่มีความเชื่อใจ มีแต่ความรู้สึกระแวง ต่อให้คืนดีกัน ก็คงไปไม่รอดอยู่ดีครับ”
“อืม ดี”
เฮียพยักหน้าพอใจกับคำตอบ ส่วนผมก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ได้แต่หวังว่ามันจะทำได้อย่างที่พูดจริงๆ ก่อนจะต้องสะดุ้ง เมื่อได้ยินคำถามต่อมา
“แล้วคิดยังไงกับเพศที่สาม”
“เพศที่สาม?” คล้าวทวนคำงงๆ
“อย่างตุ๊ด กะเทย ทอม เกย์ ประมาณนั้น รังเกียจไหม?” เฮียแผนขยายความ
“ไม่รังเกียจครับ เพราะพวกเขาก็เป็นคนเหมือนกัน ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากผมหรือคนอื่นเลยครับ”
“แล้วถ้า... มีคนพวกนี้มารักมาชอบ เธอจะรู้สึกยังไง จะรังเกียจรึเปล่า”
น้องมันทำท่าครุ่นคิดอย่างจริงจังก่อนจะตอบ
“เขาก็แค่มีความรู้สึกดีๆ ให้กับผมเท่านั้นเอง ไม่ได้ทำผิดอะไร ผมคงไม่รังเกียจครับ”
“ดี” เฮียแผนยิ้มแววตามีความพอใจ ส่วนผมลุ้นจนแทบจะลืมหายใจตั้งแต่ได้ยินคำถาม ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกอีกครั้งเมื่อได้ฟังคำตอบของมัน
หลังจากนั้นคำถามของเฮียแผนก็ดูจะผ่อนคลายขึ้น อย่างเช่น ตอนนี้อาศัยอยู่กับใคร ทำงานอะไร ชอบกินอะไร มีเพื่อนสนิทกี่คน จบแล้วอยากทำงานที่ไหน ซึ่งน้องมันก็ตอบทุกคำถามอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหงุดหงิดสักนิด เฮียแผนถามอยู่คนเดียวจนพอใจถึงได้ยอมปล่อยให้น้องมันไปได้
ไอ้คล้าวมันลุกขึ้นยกมือไหว้ หันมาค้อมศีรษะให้ผมเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ผมได้แต่มองตามหลังของไอ้คล้าวตาละห้อย
พอหันมาอีกทีก็ต้องสะดุ้ง เมื่อธงรบหรี่ตามองอย่างสงสัย ส่วนเฮียแผนก็โดนเพื่อนจ้องเขม็งไม่ต่างกัน
“นี่มึงเปลี่ยนแนวเหรอไอ้ขุนแผน” พี่วินที่นั่งอยู่ข้างๆ เฮียถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าข้องใจ
“เปลี่ยนแนวอะไร” เฮียถามนิ่งๆ ก่อนจะหยิบน้ำมาจิบน้ำแก้คอแห้ง ก็ใครใช้ให้ซักน้องมากขนาดนั้นล่ะ ถ้าเป็นเสื้อผ้าป่านนี้คงสะอาดไปแล้ว
“ก็มึงถามอย่างกับจะจีบน้อง”
“แค่กๆๆ” เฮียแผนสำลักน้ำขึ้นมาทันที
“นั่นน่ะสิ นี่มึงเปลี่ยนแนวมาชอบผู้ชายเมื่อไหร่วะ ถ้าเป็นผู้ชายน่ารักอย่างน้องแสนกูจะไม่แปลกใจเลย แต่นี่น้องมันล่ำมากเลยนะเว้ย” พี่กรเสริมด้วยสีหน้าแปลกใจขั้นสุด
ผมได้แต่กลั้นหัวเราะจนไหล่สั่น เมื่อเห็นเฮียทำหน้าพิลึกกับคำถามเพื่อน ก่อนที่เฮียจะหันไปมองเพื่อนตาเขียวเมื่อพี่กรพาดพิงถึงผม
ฮ่าๆๆๆๆๆ ตลก!
“เฮีย ผมหิวข้าว” ผมกลั้นหัวเราะ แล้วรีบช่วยเฮียก่อนที่จะถูกเพื่อนซักไปมากกว่านี้
“น้องกูหิวข้าวแล้ว ไปแสนไปกินข้าวกัน” พูดจบก็รีบลุกแล้วมาคว้ามือผมจูงเดินออกไปทันที ปล่อยให้ธงรบกับพี่ๆ นั่งงงกันสักพักก่อนจะผุดลุกขึ้นตามมา
“เฮ้ย! รอด้วยสิ”
เมื่อออกมาจากห้อง เฮียก็พาเดินไปที่ห้องประชุมใหญ่ที่พี่ธนากับเลขาพี่ๆ อีกสองคนช่วยกันจัดการเรื่องเอกสารอยู่ แต่เพราะประสิทธิภาพการทำงานที่ดีเยี่ยมของพี่ๆ ทำให้เคลียร์ได้เร็ว ตอนนี้ในห้องจึงเหลือแต่พี่ๆ ทีมเลขาที่กำลังช่วยกันเก็บของอยู่
ป่านนี้ไอ้คล้าวคงจะกลับไปแล้ว เพราะมันยังสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ ต้องรอให้สอบได้ก่อน ค่อยมาจัดการเรื่องเอกสารให้เรียบร้อยอีกที ผมอดจะถอนหายใจด้วยความเสียดายไม่ได้
อยากเห็นหน้าอีกสักนิด ยังไม่หายคิดถึงเลย
“ใจเย็นๆ ยังมีโอกาสอีกนาน” เฮียบีบมือเบาๆ แล้วเอ่ยปลอบเมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของผม
“ครับเฮีย”
หลังจากนั้นเราทั้งแปดก็ไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารที่จองไว้ด้วยกัน ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้านไปพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ยังมีสัมภาษณ์น้องๆ ที่เหลืออีกชุด
ตอนแรกธงรบทำท่าจะตามกลับไปที่บ้านด้วย ผมรู้ว่ามันสงสัยเรื่องไอ้คล้าวและตั้งใจจะมาซักผมต่อ แต่โดนที่บ้านโทรตามให้ไปงานเลี้ยงซะก่อน มันเลยจำใจต้องกลับบ้าน ก่อนจะกลับมันยังเข้ามากระซิบให้ผมเสียวสันหลังเล่นด้วย
“กูยังไม่ลืมนะ พรุ่งนี้กูจะมาถามใหม่”
คงต้องหาข้อแก้ตัวดีๆ ไว้ซะแล้ว!
เมื่อกลับมาถึงบ้าน พอเห็นว่าป๊ากับแม่ยังไม่กลับ เฮียก็เดินนำไปที่ห้องของผม เมื่อเข้าห้องและนั่งประจำที่แล้วก็เริ่มถามทันที
“ก่อนเข้าห้องสัมภาษณ์เกิดอะไรขึ้น แสนร้องไห้ทำไม ทำไมในห้องทำเหมือนรู้จักกันแล้ว ไปเจอกันที่ไหน”
อื้อหือ มาเป็นชุดเลย
“แสนเจอน้องมันที่สวน พอดีน้องมันมาถามทางไปห้องสัมภาษณ์ พอเห็นหน้าแล้วน้ำตามันก็ไหลออกมาเอง น้องมันก็เลยอยู่ปลอบครับ เลยทำความรู้จักตอนนั้นเลย”
“ใจดีนี่” เฮียพึมพำเบาๆ
“ครับ ปกติมันก็ใจดีมีน้ำใจกับทุกๆ คนอยู่แล้วครับ ยิ่งกับคนที่มันแคร์ มันก็ยิ่งใจดีและเอาใจใส่มากกกกก” ผมบอกด้วยรอยยิ้มกว้างขวาง
“โอ๊ย! เฮียยยย” ก่อนที่จะต้องร้องลั่นเมื่อเฮียจับแก้มทั้งสองข้างดึงจนยืด
“หน้าบานเชียวนะน้องทองกวาว” เฮียว่าด้วยน้ำเสียงเหมือนมันเขี้ยวเต็มที่ มือทั้งสองก็ยังดึงแก้มผมไม่หยุด
“เอียยยยยยย”
นี่เฮียคงไม่ได้ด่าน้องว่าควายหรอกนะ... ใช่ไหม?
****************************************************************
ในที่สุดก็ได้เจอกันแล้วค่าาาาาาาาาาาาา เจอแล้วก็จบได้เนอะ / โดนตบ
พอเจอกันก็เปลี่ยนสถานะกันนิดหน่อย จากพี่คล้าวกับน้องทองกวาว ก็เป็นพี่แสนกับน้องคล้าวแทน ฮี่ๆ
เรื่องนี้ไม่ค่อยมีดราม่านะคะ เพราะนักเขียนไม่ถนัด (ที่จริงก็ไม่ถนัดซักแนว ถถถ)
ฝากพี่แสนกับน้องคล้าวด้วยค่า น่าจะไม่ยาวเท่าน้องดิน เพราะปมไม่ได้เยอะเหมือนเรื่องนั้นค่ะ
รักคนอ่านทุกคน อยากให้รู้ไว้ว่าคุณคือพลังในการเขียนของเราเสมอ (ที่ไม่กล้าเทก็เพราะมีคนอ่านนี่แหละ ไม่งั้นคงท้อและเทไปนานแล้วค่า แหะๆๆ)
รักกกกกกกก
****************************************************************
puiiz
wutwit มาแล้วค่าาาา แม่มันเก็บเงินไปเปย์ได้แล้ว 55555 ส่วนน้องไม้รอก่อนนะคะ เดี๋ยวน้องจะมาทักทายในตอนต่อไปค่ะ ขอบคุณที่คอยมากระตุ้นนะคะ เราเลยคึกเป็นพักๆ 55555
iceman555 เจอกันแล้วค่ะ ยาวนานเหลือเกิน โปรดโทษพระพรหม อย่าโทษคนเขียนเลยนะคะ
k2blove ช่วงนี้บรรยากาศอึมครึมพอๆ กับความรู้สึกคนเขียนเลยค่ะ ฝนตก ออกหากินไม่ได้ ฮึก หาค่าตัวมาเปย์คล้าวได้แล้วนะคะ เจอกันสักที
19th เจอแล้วพี่แสนก็ต้องร้องค่ะ เพราะไอ้คล้าวไม่รู้จัก ถถถ
dahlia อยู่กับคนที่คุณก็รู้ว่าใคร ไม่ใช่ละ 55555 รอพี่คล้าวมาตอบนะคะ
ommanymontra
lovenine คนที่จำได้ฝ่ายเดียวนี่น่าสงสารนะคะ สงสารลูก ใครทำลูกแม่ ถถถ ต้องติดตามค่ะ ว่าคล้าวจะว่ายังไงต่อไป เป็นกำลังใจให้พี่แสนกับนักเขียนด้วยนะคะ กอดดดดด
วายซ่า ตอนนี้ยังจำไม่ได้เลยค่ะ ถถถ คงไม่มีใครคิดหรอกว่าควายจะมาเป็นคนได้ โปรดติดตามตอนต่อไป
ระหว่างรอเรื่องนี้ แวะไปอ่านก้อนดิน ก้อนหินพลางๆ ก่อนก็ได้ค่า จบแล้วววว
ดินแดนแห่งรัก อาณาจักรแห่งใจ