เสียงเพลงบรรเลงด้วยสำเนียงไทยผสมกลมกลืนกับความคลาสสิคตามแบบเครื่องดนตรีสัญชาติตะวันตกขับกล่อมท่วงทำนองหวานสนิทชวนให้เคลิบเคลิ้มไปในห้วงภวังค์ มือขาวนวลสัมผัสคีย์บอร์ดกำเนิดเสียงอย่าแม่นยำคมชัด หากนุ่มนวลอ่อนหวานในที ธีรธรทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้เหล็กแข็งๆที่โยกคลอนราวกับจะหักพังเสียให้ได้ เฝ้ามองการซ้อมอยู่เงียบๆ หางตามองเห็นใครบางคนในชุดสบายๆลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆเขา
“นึกว่าบอสจะน้อยใจไม่อยากพบคุณพิรุณาเสียแล้ว”ปองยิ้มหยอกล้อมองบอสทีสีหน้ามีเค้าหม่นเศร้า
“คิดถึง ห้ามกันได้ด้วยหรือ”
“คิดถึงแต่ไม่ยอมไปหาที่บ้านนี่ครับ”
“จะไปได้ยังไง ก็พิรุณาบอกแบบนั้น”ธีรธรถอนหายใจหนักๆ ปองแอบยิ้มกับท่าทีของบอส
“แอบยิ้มอะไร”เสียงห้าวๆถามเสียงตวัด
“เปล่าครับ แค่แอบยิ้มให้คนกำลังกลุ้มใจเรื่องความรัก”
“ใช่สิ รักจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว คุณปองรู้ไหม พิรุณาเป็นคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกลึกซึ้งขนาดนี้ เพราะอะไรนะ หรือว่าเพราะตาคู่โตนั่น ก็อาจมีส่วน....อืม”บอสหนุ่มทำท่าครุ่นคิดยิ่งทำให้ปองยิ้มกว้าง
“แล้วมาบอกผมทำไมละครับ”ธีรธรมองหน้าปองอย่างหาความหมาย ดวงตาสีนิลกระจ่างใสจ้องมองตรงมาพลางยิ้มกริ่ม
“บางทีบอสอาจลืมอะไรไปนะครับ กำแพงหัวใจแม้มันอาจดูหนาหนักเกินจะฝ่าเข้าไปได้แต่บางทีอาจเป็นแค่กระดาษบางๆแผ่นเดียวก็ได้ จริงไหม?”
“ไหงมาย้อนถาม”ปองไม่ตอบ เขาเปิดดูสมุดปกหนังสีแดงเข้ม ใช้ปลายนิ้วไล่ไปตามบันทึกอย่างชำนาญ
“วิธีโบราณชะมัด”ธีรธรค่อนเข้าให้ ปองเหลือบตาขึ้นมองค้อนวูบหนึ่ง
“หลังซ้อมวันนี้คุณพิรุณาว่างถึงห้าโมงเย็นวันพรุ่งนี้ครับ”ปองกล่าวแล้วลุกขึ้นยืน
“จะไปไหนเสียล่ะ”
“คุณพิรุณาจวนได้เวลาเลิกซ้อมแล้วน่ะสิครับ”ธีรธรขมวดคิ้วน้อยๆอย่างใช้ความคิด
“พอมีเวลาอีกสักเดี๋ยวไหม อยากขอความช่วยเหลืออีกสักหน่อย”ปองหัวเราะ
“ได้เสมอครับบอส”
การซ้อมเสร็จสิ้นพิรุณายืนขึ้นปิดฝาเปียโนลงอย่างเบามือทนุถนอม ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้เปียโนเข้าเก็บเรียบร้อย วาทยากรสูงวัยที่อยู่ในชุดเครื่องแบบแสดงยศยิ้มให้เขาบางเบาอย่างนึกเอ็นดู พิรุณาก้าวเข้ามาหาแล้วไหว้อย่างอ่อนน้อมน่าชม จนสายสร้อยหนังเส้นยาวออกมาแกว่งไกวอยู่นอกเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตา ผู้สูงวัยกว่ารับไหว้แสงจากจี้เงินสะท้อนเข้าจนสังเกตุเห็น เขานึกเอะใจกับสายสร้อยเส้นนี้ แต่นึกขึ้นได้ว่าคงพูดคุยกันลำบากหากไม่มีล่าม โชคดีที่ปองกำลังเดินยิ้มหวานมาทางนี้
“เหนื่อยหน่อยนะครับ”ปองพูดอย่างสุภาพ
“ไม่หรอก ได้พบคนมีฝีมือายุยังน้อยก็ชื่นใจหายเหนื่อยแล้ว”ปองส่งภาษามือให้พิรุณา พิรุณาจึงตอบกลับมาโดยมีปองทำหน้าที่อย่างขันแข็ง
‘ขอบคุณที่ช่วยชี้แนะจุดบกพร่องให้นะครับ’
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก พรุ่งนี้เริ่มซ้อมช้าหน่อยอย่าลืมเสียล่ะ”วาทยากรสูงวัยกล่าวกับปอง
“ครับท่าน”
“เรียกลุงนันเถอะ”
“พวกผมเกรงใจน่ะครับ ท่านเป็นถึงนาวาเอก”
“เฮ้ย ไม่เอาน่าคุ้นหน้าคุ้นตากันเหมือนเป็นลูกเป็นหลานอย่าไปคิดมาก ว่าแต่พิรุณาเถอะ ใครเข้าใจตั้งชื่อ”นาวาเอกนันทพลกล่าวอย่างเอ็นดู ปองแปลเป็นภาษามือให้พร้อมกับที่ผู้สูงวัยถาม
‘ไม่ทราบสิครับ รู้แต่ว่าบนสร้อยนี่มีชื่อผมเขียนอยู่ เลยอาจจะเรียกตามของที่ติดตัวผมมาก็ได้’
“ขอดูสักหน่อยได้ไหม?” พิรุณาถอดสร้อยออกจากคอส่งให้วาทยากรผู้ทรงเกียรติอย่างนอบน้อม
ท่านนาวาเอกนันทพลรับสร้อยเงินมา สายหนังเปื่อยเสียจน แทบจะขาดคามือ ท่านพิจารณาจี้เงินอย่างตั้งใจ จี้รูปสามเปลี่ยม ด้านหน้าสลักชื่อเป็นภาษาอังกฤษตวัดหางอ่อนช้อยมีภาษาไทยเคียงคู่ด้วยตัวอาลักษณ์งาม แม้จะจางแทบเลือนหายแต่ยังอ่านได้ชัด เมื่อพลิกไปด้านหลัง ตราสัญลักษณ์บางอย่างที่เลือนเกือบหายไปสิ้นตามกาลเวลาทำให้ผู้สูงวัยชะงักงัน ตรา...คุ้นเสียจนหลับตาแทบเห็นภาพ แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจว่าตราอะไรแน่ ท่านนาวาเอกนันทพลส่งสร้อยคืนให้พลางครุ่นคิด
“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”ปองถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร แค่จะบอกว่าสายสร้อยเปื่อยจนจะขาดอยู่แล้ว”
‘ขอบคุณมากครับ ผมก็ว่าจะเปลี่ยนสายสร้อยใหม่อยู่ทีเดียว’
“ลุงจะกลับล่ะ กลับบ้านกันดีๆนะ”
“ครับ”ปองรับคำพร้อมกับที่พิรุณายกมือสวัสดีอย่างน่าเอ็นดู วาทยากรผู้สูงวัยกำลังจะก้าวเดินออกไปก็ฉุกคิดขึ้นได้
“เออ หนูปอง ไอ้โอเมก้าสามนี่มันซื้อกันได้ที่ไหน?”
“เอ๋??”
“ไอ้พวกน้ำมันตับปลาที่ช่วยให้ความจำดีๆน่ะ เขาซื้อกันที่ไหน เดี๋ยวนี้ลุงว่าความจำชักแย่”
“ร้านขายยาทั่วไปละมังครับ ผมเองก็ไม่แน่ใจ”
“อย่างนั้นหรือ ขอบใจมากนะ”ท่านนาวาไปแล้วปองหัวเราะพรืดจนพิรุณาสงสัย ปองจึงเล่าให้พิรุณาทราบ
ทั้งคู่เดินออกจากห้องประชุมเดินลัดเลาะพุ่มเฟื่องฟ้าไปยังรถที่ปองขับมา รถกระบะสีฟ้าคันใหญ่ที่ดูแล้วไม่สมตัวคนขับเท่าไรนัก ปองไขปรดล็อคประตูอย่างใจเย็น เขาเห็นเงาตะคุ่มๆที่ข้างหลังพิรุณาแล้วแอบยิ้มกับตัวเอง ปองเข้าไปในรถแล้วพิรุณาเองก็กำลังจับที่เปิดประตู ทันใดนั้นมือแข็งเรงก็ตะครุบจับที่ข้อมือบอบบางกว่าในทันที พิรุณาบิดมือออกอย่างว่องไวตามวิชาป้องกันตัวที่พอมีอยู่บ้างด้วยควมตกใจ ก่อนจะสวนหมัดดุ้นๆเข้าหมายใจจะให้โดนหน้าแบบเฉี่ยวๆแต่แล้วมือกลับถูกพันธนาการด้วยมือแข็งแรงอีกข้าง ๆ ธีรธรเข้าประชิดร่างของพิรุณาล็อคแขนที่สวนหมัดกลับมาไว้ทันท่วงที
“มือไวเหมือนเดิม ดีนะที่จับไว้ทัน”
“ระวังนะครับ เดี๋ยวจะเป็นรอยช้ำไปสองอาทิตย์เหมือนคราวนั้นอีก”ปองเปิดกระจกฝั่งตรงข้ามแล้วพูดพลางสตาร์ทรถ
“น่าคราวนี้จะสวนกลับด้วยจูบเลย”ปองหัวเราะ
“ไม่ใช่เพราะครั้งที่แล้วแย๊บด้วยปากหรือครับ เลยถูกคุณพิรุณาต่อย”ธีรธรส่งเสียขัดใจในคอ
“เอาน่า มันผ่านไปแล้ว แล้วนี่เมื่อไหร่จะหยุดดิ้นเนี่ย”
‘ก็ปล่อยสิ’พิรุณาตาวาวอย่างโมโห
“โมโหอะไรครับ ตัวโมโหอยู่บนปลายจมูกหรือยังไง คุณปองหมดหน้าที่แล้ว ไปได้แล้ว กลับบ้านดีๆล่ะ”ปองหัวเราะชอบใจแล้วปิดหน้าต่าง พิรุณาส่งสายตาอ้อนวอนให้ปองช่วยก่อน แต่ก็ไม่เป็นผล ปองออกรถไปแล้วโบกมืออำลาอยู่ไหวๆ
“เราก็ไปกันเถอะ”
‘ไปไหน!!! ไม่ไป!!’พิรุณาพยายามยื้อแขนตัวแองออกจากมือปลาหมึกของธีรธร บิดก็แล้ว งอก็แล้ว หมุนแล้วหมุนอีกก็ไม่ออก ธีรธรไม่สนใจลากไปยังรถโฟร์วีลสีบลอนซ์ของตัวเองที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก ก่อนจะรุนหลังพิรุณาให้ขึ้นไป แล้วคาดเข็มขัดให้ แล้ววิ่งอย่างรวดเร็วมายังด้านคนขับแล้วรีบขับออกถนนใหญ่
‘นี่จะไปไหน ไม่ไปนะ!!’พิรุณาส่งภาษามือโวยวาย พอธีรธรไม่สนใจหนักเข้าก็ตบลงที่คอนโซลรถให้เกิดเสียงดัง จนธีรธรเบนความสนใจกลับมาหา คว้ามือนวลข้างขวามาวางลงบนเกียร์ แล้ววางมือตนเองทับลงไปเพื่อเปลี่ยนเกียร์
“อย่าซนนะ เดี๋ยวรถชนไม่รู้ด้วย”ธีรธรขู่ ทั้งที่มือของเขายังทาบทับมือของพิรุณาเพื่อเปลี่ยนเกียร์ ทดไปเรื่อย
‘ก็คุณลวนลามผมนี่’พิรุณาพยายามส่งภาษามือทั้งที่มือข้างหนึ่งอยู่ใต้มือแข็งแรงนั้น ความอุ่นซ่านผ่านผิวสัมผัสทำให้พิรุณาหน้าแดง โชคดีที่ไฟถนนช่วยกลบเกลื่อนไปได้ ดวงตาสีน้ำตาลแดงเสมองไปทางอื่นแก้เขินไปเจอกับวัตถุบางอย่างสะท้อนแสงสีน้ำเงินม่วงๆ จึงใช้มือข้างที่ว่างหยิบมันขึ้นมาจากซอกประตู ตุ๊กตาขนาดประมาณหนึ่งฝ่ามือ สีดำสนิทหูยาวสองข้าง หน้ายิ้มน่ารักน่าขย้ำให้พิรุณาจับปลายเชือกที่ผูกมันไว้แล้วแกว่งไปแกว่งมาเพื่อมองมันชัดๆ
“อะไร ค้นเจอโมโคน่าเสียอย่างนั้น”ธีรธรหัวเราะ พิรุณาจับที่ดูดสูญญากาศที่พ่วงติดกับเชือกของตุ๊กตาแล้วแตะกับกระจกหน้าต่าง แล้วออกแรงดึงออกจนเกิดเสียงดังจุ๊บ พิรุณาหัวเราะชอบใจแล้วทำเช่นนั้นซ้ำๆอย่างถูกอกถูกใจ
“ซนจริงวุ้ย”ธีรธรพูดพลางยิ้มกริ่มไปกับความน่ารักของพิรุณา
‘นี่คุณ เปิดหน้าต่างเถอะ’พิรุณาส่งภาษามือให้แล้วจัดแจงปิดแอร์แล้วเปิดหน้าต่างฝั่งตนเองลงสายลมยามราตรีพัดเข้าปะทะใบหน้า ธีรธรตามใจคนร่างโปร่งบาง เขาเปิดหน้าต่างฝั่งเขาลงเล็กน้อย แล้วเหลือบไปเห็นพิรุณากำลังสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดอมยิ้มไปกับสายมแรงที่เข้าปะทะ
“ชอบตอนกลางคืนหรือ”
‘ชอบนั่งรถตอนกลางคืน นี่จะพาไปไหน’พิรุณาเหลือบเห็นป้ายข้างทางบอกว่าสุดเขตกรุงเทพฯแล้วทำหน้าฉงน
“ไปดมกลิ่นทะเลกัน”ธีรธรพูดแล้วจับมือขาวนวลนั้นกลับมาวางที่เกียร์อีกครั้งแล้วทาบมือตนลงไป ทดเกียร์ไปด้วยโดยแทบไม่ปล่อยมือไปตลอดทาง
ปองกลับถึงบ้านสวนในเวลาไม่นานนักด้วยเพราะการจราจรวันนี้ไม่คับคั่งมากนัก หลังจากเขาถอยรถเข้าจอดในโรงรถเป็นที่เรียบร้อยโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ปองมองหน้าจอแล้วยิ้มว่าที่เจ้าสาวโทรมบอกข่าวดีแน่ๆ และอาจจะแถมบ่นให้ด้วยที่คุณพิรุณาไม่ได้พกมือถือไปด้วย ปองกดรับสายกล่าวทักทายพลางเดินไปที่ศาลาตีนท่า ลมเย็นสบายโชยพัดทำให้กิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ริมฝั่งคลองไหวพร้อมเสียงซ่านซ่าของใบไม้ที่เสียดสีกัน บ้างร่วงหล่นลงสู่ผิวน้ำ บ้างปริดปลิวเข้ามาในศาลา
“คุณปอง พิรุณาไม่พกมือถืออีกแล้วใช่ไหม?”
“ ครับ ชอบทำเป็นลืมไว้ที่บ้านทุกที”ปองหัวเราะอารมณ์ดี
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะทำยังไง ไม่รู้เลยหรือไงนะว่าคนอื่นเขาเป็นห่วง”
“ไม่เป็นไรมังครับ เพราะเวลาไปข้างนอกก็ไปพร้อมผม ยกเว้นวันนี้”
“ทำไมล่ะวันนี้ไปไหน?”เกรซถามอย่างเป็นห่วง
“บอสรับไปไหนแล้วไม่ทราบครับ”ปลายสายหัวเราะเสียงใสเช่นกัน
“บอสนี่ก็หน้าทนได้ที่เหมือนกันนะเนี่ย ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก!!”เกรซทำเสียงตื่นเต้น
“วันนี้บอสขอให้ผมสอนภาษามือให้ด้วย”
“สงสัยจะตกล่องปล่องชิ้นกันเสียทีละมั้ง”
“ก็ดีสิครับ แต่พวกเราจะเหงาหน่อย เอ...หรือผมจะเหงาหน่อยก็ไม่รู้สิ”ปลายสายโวยวายที่ปองแซวเธอ
“จะโทรมาบอกว่า อีกสกเดือนสองเดือนจะจัดงานแต่ง”
“เร็วปานนั้นเชียว เจ้าบ่าวใจร้อนหรือเจ้าสาวใจร้อนกันนี่”ปองแซวอย่างอารมณ์ดี
“เดี่ยวเถอะคุณปอง อย่าแซวสิคะเกรซเขินเป็นนะ ไม่เอาแล้วไม่คุยด้วยแล้ว แค่จะโทรมาบอกว่า บางทีเราอาจได้เจอกันที่กรุงเทพนะ วางแผนกับลีอองไว้ว่าจะจัดปาร์ตี้สละโสดเสียหน่อย”
“จัดที่นี่จะสะดวกหรือครับ? ส่วนใหญ่อยู่กันทางยุโรปหมด”
“ฮื่อ!ไม่เป็นไร ลองบอกว่าจัดที่กรุงเทพนะ ขี้คร้านจะลางานมากันแทบไม่ทัน ตกลงเอาตามนี้ล่ะ บอกพิรุณาเตรียมชุดเท่ห์ไว้ด้วย ให้เลือกเอาจะเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวหรือเพื่อนเจ้าสาว”
“ต้องเพื่อนเจ้าบ่าวสิครับ”ปองตอบแล้วขำก่อนจะกล่าวอำลาแล้ววางสายรอยยิ้มค่อยจางจากใบหน้า ดวงตาสีนิลทอดมองผืนน้ำเบื้องหน้า สดับเสียงลมและคลื่นน้ำที่กระซิบอยู่ริมหู
ระหว่างที่คนส่วนใหญ่กำลังมีความสุข อะไรทำให้เขารู้สึกเหงา ทั้งที่รอบกายกรุ่นกลิ่นไอแห่งความรักชื่นหวาน แต่ใจเขากลับแห้งผาก คิดถึงใครคนหนึ่งที่อยู่ในอีกซีกโลก ทั้งที่รู้ว่าอดีตอันยังมาซึ่งความเจ็บปวดยังคอยทิ่มแทงหัวใจ แต่การที่พี่ฟ่งวนเวียนอยู่เคียงใกล้ ยิ่งทำให้เขาคิดถึงคนที่อยู่ไกล....และบางทีอาจจะไกลเกินคว้าก็ได้ กำแพงหัวใจที่เขาสร้างหนาแน่นและปิดตายมาช้านาน.....นานเกินกว่าจะเปิดรับใครเข้ามาอีกคน ปองยกโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง กดหมายเลขปลายทางที่เขาจำได้ขึ้นใจแล้วรอฟังเสียงที่ปลายสาย หลังสัญญาณเรียกสายไม่นาน ระบบก็ตัดเข้าการฝากข้อความ
“สวัสดีครับ ผมปีเตอร์ ทีวซ์ขณะนี้ไม่สามารถรับโทรศัพท์ได้ กรุณาฝากข้อความไว้นะครับ โอ้ย!!อะไรกันวะ”เสียงอุทานนั้นตามมาด้วยเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขสองเสียงประสานกัน เสียงหนึ่งคือเสียงของคนที่ขึ้นเรือข้ามฟากไปสู่ห้วงมรณะเสียแล้ว และอีกเสียงคือเสียงของเขาเอง เสียงหัวเราะที่เขาเองก็จำไม่ได้ว่าหัวเราะมีความสุขถึงเพียงนั้น ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แต่สิ่งที่รู้แน่คือ
พีทไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก รวมถึงนิสัย หรือแม้แต่หัวใจ ......เขาไม่เคยเปลี่ยนมันเลยแม้สักนิดเดียว
ลมทะเลโชยพัดรุนแรงจนธีรธรได้ยินแต่เสียงลม เขาวิ่งอ้อมหน้ารถมาเปิดประตูให้พิรุณา พอพิรุณาจะก้าวลงมา มือแข็งแรงก็ดันบ่าไว้ ร่างสูงงามสง่าย่อกายลงพับขากางเกงให้ ดวงตาสีน้ำตาลออกแดงทอประกายอ่อนหวานไปกับการกระทำอันอ่อนโยนของธีรธร ดวงตาสีม่านราตรีแหงนขึ้นสบกันก่อนมือแข็งแรงนั้นจะค่อยจับจูงอย่างสุภาพ ให้คนทั้งคู่เดินเคียงกันไปตามชายหาดที่บัดนี้แสงจันทร์ทอประกายงาม แตะแต้มยอดคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งเป็นระรอกจนเป็นประกายบางเบา ธีรธรแกว่งมือที่ตนกุมไว้แรงๆเหมือนเด็กๆ พิรุณายิ้มกว้างนัยน์ตาพราวช่วยออกแรงแกว่งด้วย เมื่อเดินไปสักพักธีรธรก็ปล่อยมือ พิรุณาจึงหันกลับมามองอย่างสงสัย โดยไม่ทันระวังตัว ธีรธรช้อนร่างโปร่งบางขึ้นในอ้อมแขน ทำให้พิรุณาผวารีบเกาะบ่าแข็งแรงนั้น แล้วทุบแรงๆ ธีรธรหัวเราะวิ่งตัวปลิวลงทะเล
‘ทำอะไร!!! ไม่เอา!!’พิรุณาส่งภาษามือ แล้วทุบอกธีรธรแบบไม่กลัวเจ็บ เมื่อธีรธรหยุดยืนกลางทะเล น้ำสูงขึ้นเหนือเข่า
“เจ็บน่า เดี๋ยวก็ปล่อยจริงๆหรอก”ธีรธรทำท่าจะปล่อยจริงๆพิรุณายิ้มเกาะแน่นขึ้น ธีรธรหัวเราะเสียงดัง ดวงตาสีม่านราตรีสะท้อนประกายกระจ่างใสน่ามอง
“ไม่แกล้งๆ”ธีรธรรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ พลางตีหน้าจริงจัง พอพิรุณาเผลอก็ปล่อยแขน กะว่าจะต้องได้ยินเสียงดังตูม!เป็นลูกแมวตกน้ำแน่นอน แต่ที่ไหนได้ พิรุณาเหนี่ยวคอเขาลงไปด้วย
ตูม!
ร่างสองร่างเปียกปอน พิรุณาโผล่ขึ้นหายใจเหนือผิวน้ำ บัดนี้เปียกทั้งตัวแล้ว เขานึกอยากจะจับคนหาเรื่องให้เปียกกดน้ำเสียให้ขาดใจตายคามือ ดวงตาสีน้ำตาลแดงกวาดมองไปทั่ว แต่ไม่มีแม้แต่เงาร่างนั้น พิรุณาจึงลองคลำหาดูตามพื้นทรายรอบกายใต้ผิวน้ำ แต่ก็ยังไม่พบอะไรที่พอจะเข้าเค้า พิรุณาฉุกคิดได้ว่า ธีรธรไม่ใช่ปู จะได้อยู่ตามผืนทรายใต้น้ำจึงเลิกคลำหาเปลี่ยนเป็นมองไปมองรอบๆ เขาหันไปสบตากับใครคนหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปราวสองเมตร ด้วยสภาพเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำทะเลไม่แพ้กัน ดวงตาสีม่านราตรีคมกล้าฉายประกายอย่างที่พิรุณาเคยนึกชมว่าน่ามอง แต่ก็น่าหวั่นใจ เส้นผมสีดำสนิทเปียกปอนตกลงระใบหน้า ดูๆไปแล้วธีรธรก็ไม่ใช่คนหน้าตาเลวร้าย ออกจะดูดีเสียด้วยซ้ำ หน้าตา...ก็พอใช้ได้น่า สูสีกับเคน พิรุณาทำท่าจะขยับเข้าไปหาแต่ธีรธรทำท่าไม่ยอมให้เข้าไปใกล้
“อยู่ตรงนั้น แล้วดูให้ดีนะ!!!”แม้พิรุณาจะไม่ได้ยินแต่เขาเดาได้จากท่าทางนั้นว่าธีรธรต้องการอะไร เขาตั้งใจดูธีรธรตามที่อีกฝ่ายอยากให้เขาทำ
แสงจันทร์กระจ่าง แม้ไม่เต็มดวงดีแต่กลับให้แสงสว่างกระจ่าง ร่างสูงสง่าที่ครึ่งตัวแช่อยู่ในน้ำทะเลถูกคลื่นใหญ่น้อยซัดสาดไม่ว่างเว้น แต่ยังคงหยัดกายมั่นอยู่กลางผืนทราย มือแข็งแรงนั้นชี้เข้าที่อกตัวเองอย่างช้าๆพลางออกปากท่องบางอย่างไปด้วย ก่อนจะเลื่อนมือซ้ายแล้วขวามาประสานกันแล้วนาบลงที่หัวใจนานช้าแล้วชี้นิ้วมายังพิรุณา พิรุณาตกตะลึงมือขาวนวลทั้งสองข้างยกขึ้นปิดปากตนเอง ไม่รู้เมื่อไหร่ที่น้ำตารื้นขึ้นมาแทบล้นขอบตา ธีรธรยังคงทำอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ามือทำไปพลางปากท่องไปด้วย พิรุณาลุกขึ้นยืนอย่างซวนเซ เดินฝ่ากระแสคลื่นที่โถมเข้าใส่ฝั่งมาหาชายหนุ่ม ธีรธรแหงนหน้าขึ้นมองดวงหน้าเนียนใสนั้นหมายใจจะมองหน้าพิรุณาให้ชัด แต่เงากลับทาบทับเสียจนไม่อาจมองเห็น เขารู้แต่เพียงว่ามีพยดน้ำอุ่นร้อนหยดใส่ใบหน้าเขา หยดน้ำที่ไม่อาจแยกแยะได้ว่าเป็นน้ำจากเส้นผมที่เปียกปอนหรือน้ำตาที่กำลังรินไหล พิรุณาทรุดกายลงตรงหน้าเขา คราวนี้เขาสังเกตเห็นแล้วว่าพิรุณากำลังหลั่งน้ำตาอย่างมิขาดสาย
“ร้องไห้ทำไม?”กระแสเสียงนั้นนุ่มนวลอ่อนหวาน แม้พิรุณาจะไม่ได้ยิน แต่เขารับรู้ได้ว่าธีรธรอบอุ่นถึงเพียงไหน พิรุณายิ้มให้ทั้งน้ำตา แล้วเลื่อนกายขึ้นสัมผัสริมฝีปากอุ่นร้อนลงบนหน้าผากกว้าง ก่อนจะถอนสัมผัสออกช้าๆ ธีรธรช่วยเช็ดหน้าตาให้ทั้งที่มือของตนก็เปียก ทำให้ยิ่งเช็ดยิ่งเปียกดวงหน้านั้น พิรุณาหัวเราะทั้งน้ำตา ดวงตาสีม่านราตรีคมกล้าสบกับดวงตาสีน้ำตาลออกแดงงาม ดวงตาหวานซึ้งพราวระยับนี้เองทำให้เขารู้สึกหวั่นไหว ดวงตาคู่นี้เองกำลังบอกเล่าความรู้สึกจากภายในออกมาโดยปราศจากซึ่งถ้อยคำใดๆ แต่มันกลับตรงไปตรงมาและสื่อถึงใจของกันและกันได้อย่างน่าประหลาด
ธีรธรโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้จนได้ยินเสียงหัวใจของทั้งเขาและพิรุณากำลังเต้นโครมครามแทบจะกระดอนออกมา ดวงตาสีอ่อนนั้นจ้องมองริมฝีปากของเขาอยู่ ธีรธรยิ้ม ค่อยๆสัมผัสริมฝีปากอุ่นร้อนนั้นอย่างสุภาพ รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆเป่ารดบนดวงหน้าของเขา สัมผัสอุ่นร้อนอ่อนหวานดำเนินไปราวห้วงเวลารอบกายหยุดนิ่งก่อนจะค่อยๆคลายออกอย่างแสนเสียดาย
“หนาวไหม?”พิรุณาส่ายหน้าช้าๆดวงหน้านั้นแดงซ่านอย่างเห็นได้ชัด ธีรธรก็รู้สึกตัวเช่นกันว่าดวงหน้าของตนร้อนผ่าน ถ้าเอาปลาหมึกมาวางสักตัวคงได้กินปลาหมึกย่างกันล่ะ
เขานึกขำตัวเองที่อยู่ก็รู้สึกเขินทั้งที่พิรุณาไม่ใช่แฟนคนแรกที่เขาจูบสักหน่อย เอ....แต่จะว่าไปก็เป็นคนแรกที่เขาจริงจังด้วย และคงเป็นคนสุดท้ายเสียด้วยสิ
.....ผมรักคุณนะครับ คุณบีโธเฟ่นผู้น่ารัก....
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
จบตอนที่ 13 แล้วครับ
ตอนนี้ของน้องเมศหวานเข้ากับเทศกาลดีจัง