♥ Fall in you ♥
ตอน 22
หลังจากเปิดใจให้เพื่อนของพี่เนย์จนแทบหมดเปลือกแล้ว ผมก็จำต้องจับไม้แบดเพื่อไปตีโต้กับพวกพี่เขาอยู่เรื่อย มีทั้งแพ้บ้างชนะบ้าง แล้วแต่ความเหนื่อยล้าทางร่างกาย อีกอย่างเราไม่ได้แข่งกันจริงจังด้วย เราแค่เล่นกันสนุกๆเฉยๆ ใครเหนื่อยก็เปลี่ยนตัว พอหายเหนื่อยก็ค่อยกลับเข้าสนามแข่งใหม่ อ้อ แล้วผมก็รู้ชื่อหมาของพี่เอ้แล้วด้วย มันชื่อว่าเจ้า ‘มูฟ’ เพราะมันชอบเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา นั่งนิ่งๆ หรือยืนอยู่นิ่งๆ ไม่ค่อยจะเป็น เรียกง่ายๆว่า ดื้อนั่นแหละ แล้วทุกครั้งที่พี่เอ้พาเจ้ามูฟมาด้วย พี่เนย์ก็มักจะชอบไปไล่ปล้ำจูบเจ้านั่นอยู่เรื่อย
แต่เจ้ามูฟมันก็ยังไม่ยอมเหมือนเดิมนะ ท่าทางจะชอบเล่นตัวไม่เบา!สถานการณ์แลดูชิวๆ ใช่ไหม แต่ไม่เลย เพราะตอนนี้ ‘ไฟนอลเทส อีส คอลลิ่งมี’ ซะแล้ว ช่วงนี้ก็เลยต้องพักกิจกรรมต่างๆไว้ก่อน เพื่อมาติวหนังสือกับเพื่อนคนอื่นๆ ในสาขา เพราะหลังจากคะแนนมิดเทอมออก พวกเราก็เริ่มเรียนรู้แล้วล่ะว่าควรจะต้องใช้ชีวิตอย่างไรเพื่อให้อยู่รอดในช่วงสอบของระดับชั้นมหาวิทยาลัย อีกทั้งรอบนี้เรายังถ่ายโพยของรุ่นพี่ระดับท็อป ที่ได้ทำการเก็งข้อสอบเอาไว้พร้อมแล้ว
การเตรียมตัวในครั้งนี้จึงไม่กระทันหันเหมือนช่วงมิดเทอมที่ผ่านมา
‘พวกพี่เนย์ชวนไปเที่ยวตอนช่วงปิดเทอมว่ะ’ ผมส่งข้อความลงในแชทไลน์ ขณะที่กำลังพักอ่านหนังสือในช่วงเวลาเที่ยงคืน
“พี่เขาชวนแค่มึงคนเดียว หรือว่าชวนพวกกูด้วยวะ?” ไอ้หมอกมันถามด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย เหมือนเบื่อเต็มทีที่จะต้องมาย้อนถามผมด้วยคำถามนี้
“แต่กูคงไม่ต้องรอคำตอบหรอกมั้ง เพราะสุดท้ายก็คงเหมือนเดิม มึงก็ไปเถอะ ถ้าใจมึงอยากไป ไม่ต้องเอาพวกกูไปเป็นก้าง” ไอ้หมอกหันหน้าออกจากโต๊ะหนังสือ พลางจับจ้องมาที่ผม
“ตามนั้นครับมึง” ไอ้คินเองก็หันมามองผมพลางพยักหน้าสนับสนุน ก่อนจะหันไปอ่านหนังสือต่อ
‘แต่รอบนี้พี่เนย์เขาชวนพวกมึงจริงๆนะเว้ย เพื่อนๆพี่เขาก็ไปด้วย’
“แต่พวกกูไม่รู้จักเพื่อนของพี่เนย์สักคนเลยนะเว้ย ถ้าไปแล้วพวกพี่เขาจะสนุกเหรอวะ” ไอ้หมอกค้าน
‘ทำไมมึงจะไม่รู้จัก พี่บอสกับพี่ทีมสายรหัสพวกมึงสองคนก็ไปด้วย’
“แล้วพวกพี่เขาจะไปที่ไหนกันวะ นานหรือเปล่า กูอยากกลับไปอยู่บ้านนานๆหน่อย” ไอ้หมอกถามขึ้นอย่างจริงจัง เมื่อมีคนที่มันรู้จักเพิ่มขึ้นในทริปนี้
‘กาญจนบุรี แค่สามวันสองคืนเท่านั้นแหละ’
“อ้าวเฮ้ย ไปบ้านกูเฉย” ไอ้หมอกมันบ่นอุบ เมื่อทริปที่ว่ากลายเป็นทริปที่วนเวียนอยู่ในจังหวัดที่เป็นบ้านเกิดของตัวเอง
“ถ้างั้นกูไป” เมื่อได้ทราบชื่อจังหวัดที่ต้องไป ไอ้คินก็รีบหันมาให้คำตอบผมอย่างรวดเร็ว
“สัสคิน มึงนี่แม่ง ไม่ช่วยเป็นกระบอกเสียงให้กูเลย”
“มึงพูดเหมือนเรามีอำนาจในการตัดสินใจมากเลยนะ”
“อ้าวมึง อย่าลืมสิครับว่าเรามีใครเป็นพวก.. เนรันนะครับมึง ยังไงมันก็ต้องช่วยพูดให้พวกเราได้แน่ๆ” ไอ้หมอกมันว่าพลางผายมือมายังผมที่นั่งหันหน้าออกจากโต๊ะหนังสือของตัวเองไปทางโต๊ะหนังสือของมันที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
‘กูเนี่ยนะจะช่วยพูดให้มึงได้ มึงจะบ้าเหรอวะ กูไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงขนาดนั้น เพื่อนพี่เขาตั้งเยอะแยะ’ ผมเถียงแบบไม่ต้องคิดเลย เพราะถึงผมจะเปิดใจให้พวกพี่เขาได้มากที่สุดเท่าที่จะเคยเปิดใจให้ใครสักคนได้ โดยไม่นับพี่เนย์กับไอ้หมอกไอ้คินแล้ว ผมก็ถือว่าทำได้สำเร็จในขั้นที่น่าพอใจ แต่หากจะให้ไปต่อรองหรือร้องขออะไร ผมก็ทำไม่ได้หรอก แล้วถึงจะให้พี่เนย์ช่วยพูดให้ ผมก็ยังทำไม่ได้เหมือนเดิม เพราะ ทริปนี้เป็นความคิดของพี่เปรม แต่ถ้าหากเป็นความคิดของพี่เนย์ บางทีผมก็อาจจะกล้าพูดให้พวกมันก็ได้
เพราะถึงผมจะสนิทกับเพื่อนของพี่เนย์ก็จริง แต่เราก็ยังไม่ได้สนิทกันจนถึงขนาดไปออกความคิดเห็นใดๆได้ “โว๊ะ มึงนี่ ไปก็ไป กูเองก็ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวในจังหวัดบ้านเกิดของตัวเองเหมือนกัน” ไอ้หมอกมันทำเป็นบ่น แต่ก็ยอมรับปากว่าจะไปด้วยกัน จากนั้นมันก็หันกลับไปให้ความสนใจกับหนังสือเรียนที่เปิดค้างไว้บนโต๊ะสำหรับอ่านหนังสือต่อ ทั้งห้องจึงกลับเข้าสู่สภาวะเงียบสงบเหมือนเดิม
เพราะทุกคนกำลังใช้สมาธิกันอย่างเต็มที่หลังจากสอบไปได้ครึ่งนึงของตารางสอบ ผมก็ไลน์ไปบอกพ่อกับแม่ว่าผมจะไปเที่ยวกาญประมาณสามวัน และจะกลับบ้านอีกทีก็น่าจะประมาณวันศุกร์ เพราะเราจะออกเดินทางกันวันจันทร์ ผมเลยกะว่าจะพักสักวันนึงค่อยกลับบ้าน แต่แม่ก็บอกว่ายังไงพ่อกับแม่ก็ต้องไปรับอยู่แล้ว จะกลับวันพฤหัสเลยก็ยังได้ เพราะพ่อก็เดย์ออฟวันนั้นพอดี ผมก็เลยตอบตกลงไป เพราะไม่อยากให้พวกท่านวุ่นวายมากนัก นี่ถ้าแม่ยอมให้ผมนั่งรถกลับเองคงจะสะดวกกว่านี้
แต่ก็นั่นแหละ ท่านเป็นห่วง ผมเองก็เข้าใจในข้อนี้อยู่ “ทริปนี้เราเอารถไปกันเองสามคัน แต่เรามีทั้งหมดสิบคน” พี่เนย์พูดขึ้นขณะทานมื้อเช้าก่อนจะต้องไปใช้สมองในห้องสอบ
“…” ผมพยักหน้าตอบ พลางตักหมูทอดเข้าปาก
“แต่คือเพื่อนกู ไอ้บอสกับไอ้ทีมน่ะ ก็อย่างที่กูเคยเล่าให้มึงฟัง ว่าไอ้บอสมันไม่เก่งเท่ามึง..” พี่เนย์พูดขึ้น จากนั้นก็เงียบไปพักนึง เหมือนกับอีกฝ่ายกำลังลอบมองปฏิกิริยาของผมอยู่
“…” ผมพยักหน้าพลางยิ้มให้อีกฝ่ายเล่าต่อ
“ปัญหาก็คือรถกูมันนั่งไม่พอไง เพราะไอ้บอสแม่งไม่ยอมไปนั่งกับไอ้ตี๋บาส แล้วไอ้เปรมมันก็นั่งไปกับไอ้บาสด้วยไง แล้วอีกอย่างคือเพื่อนกูสองคนมันก็ไม่ได้สนิทกับเพื่อนอีกกลุ่มของกูด้วย สำหรับไอ้ทีมมันก็ไม่ได้ติดปัญหาอะไรหรอก ติดแค่ไอ้บอสนี่แหละ” พี่เนย์พูดพลางท้าวคางมองผมด้วยสีหน้าลำบากใจ ก่อนจะขยับปากเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างอยู่หลายครั้ง แต่ก็เหมือนยังตัดใจพูดออกมาไม่ได้
“…” ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง เพื่อกระตุ้นให้อีกฝ่ายรีบๆพูดออกมา
“รัน.. เพื่อนมึงไปนั่งรถไอ้ตี๋บาสได้มั้ย?” พี่เขาเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงเบาหวิว จากนั้นก็ตัดสินใจพูดในสิ่งที่ต้องการออกมา
“กูไม่รู้ว่าเพื่อนมึงที่ชื่อหมอกจะเป็นเหมือนไอ้บอสมันหรือเปล่า กว่ากูจะตัดสินใจมาถามมึงได้น่ะ กูต้องนอนคิดมาก มาหลายวันแล้ว”
“…” ผมยิ้มบางๆไปให้พี่เขา พลางรู้สึกประทับใจคนตรงหน้ามากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เพราะพี่เขาไม่ได้ห่วงแค่ผม หรือแค่เพื่อนของตัวเอง แต่พี่เนย์ยังเผื่อแผ่ความห่วงใยนั้นมาถึงเพื่อนของผมด้วย
‘ไอ้หมอกมันเคยบอกผมว่า ที่มันเลือกเรียนสาขาหูหนวกศึกษา มันต้องการซื้อความสบายใจให้ตัวเอง เพราะมันก็กลัวว่าจะไม่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนหรือรุ่นพี่จากสาขาอื่นเหมือนแบบที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้’
“เครียดเลยกู” พี่เนย์เงยหน้าพลางยกมือขึ้นกุมศีรษะทั้งสองข้างขณะที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
‘จริงๆพี่ให้ผมไปนั่งรถของพี่ตี๋บาสเป็นเพื่อนพวกมันก็ได้นะ’ ผมวางช้อนส้อม เมื่อทานมื้อเช้าจนหมดแล้ว จากนั้นก็ก้มหน้าพิมพ์ข้อความลงในโทรศัพท์ผ่านทางแชทไลน์ ก่อนจะนั่งท้าวคางรอฟังความคิดเห็นจากคนที่กำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด
“เอางั้นเหรอ?” พี่เขาถามย้ำคล้ายกับไม่เชื่อหูว่าจะได้ยินคำตอบแบบนั้นจากผม
“…” ผมพยักหน้าพลางยิ้ม
“ถามจริง” พี่เนย์ย้ำถามอีกครั้ง พลางยกยิ้มในแบบที่มองยังไงก็เขินจนไม่อาจต้านทานได้
“คะ..อับ” ผมพยักหน้าอย่างแข็งขัน จากนั้นก็ตั้งใจพูดสำทับให้ดูจริงจังขึ้น
พี่เนย์หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นร่างสูงในชุดนักศึกษาถูกระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะวางแขนซ้ายให้คว่ำขนานในแนวราบ ส่วนมือขวาก็ตีเข้าที่ฝ่ามือซ้าย จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาชูนิ้วโป้งเหมือนกับที่หลายๆคนชอบบอกใครสักคนว่า ‘เยี่ยมมาก’ แต่ในความหมายของภาษามือไทยแล้วมันแปลว่า
‘เก่ง’“ไปเร็ว จะได้ไปนั่งเตรียมตัวที่หน้าห้องสอบ” พี่เนย์สะพายกระเป๋าเป้ที่ปกติไม่ค่อยจะใช้สักเท่าไหร่ ถ้าไม่ใช่ช่วงสอบ จากนั้นก็เอื้อมไปหยิบจานตรงหน้า ก่อนจะเงยขึ้นมาพยักหน้ากับผม
แล้วเราสองคนก็ลุกเดินออกจากโต๊ะทานข้าวไปพร้อมๆกันหลังจากที่คร่ำเคร่งอยู่กับการสอบจนกระทั่งถึงตัวสุดท้าย วันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง ไอ้หมอกนี่ จากทีแรกแลจะมีปัญหาเยอะ พอเอาเข้าจริง มันนั่นแหละที่กระตือรือร้นกับทริปในครั้งนี้ที่สุดแล้ว
พวกพี่เขาจองที่พักไว้เป็นบ้านแพริมน้ำ อีกทั้งยังเป็นบ้านแฝดที่มีประตูคอนเนคติ้งถึงกันได้ และมีห้องนอนทั้งหมดสี่ห้อง คือชั้นล่างสอง และชั้นบนใต้หลังคาอีกสอง โดยผมกับไอ้หมอกไอ้คินได้พักอยู่ที่ห้องใต้หลังคาทางฝั่งซ้ายมือ ส่วนพี่เอ้กับพี่บาสก็พักอยู่ที่ห้องใต้หลังคาทางฝั่งขวามือ พี่เนย์กับพี่ทีมพี่บอสอยู่ชั้นล่างฝั่งซ้ายมือ ส่วนพี่บาสกับพี่เปรมอยู่ชั้นล่างทางฝั่งขวามือ
“เดี๋ยวสี่โมงครึ่งเขามีไปล่องแพ มึงไม่ไปเล่นน้ำด้วยกันเลยวะ” ไอ้หมอกมันยืนกอดอกพลางถามผมที่กำลังยืนมองบรรยากาศด้านนอกหน้าต่างอยู่เงียบๆ
‘กูว่ายน้ำไม่เป็น’ ผมพิมพ์ข้อความ พลางหันกลับมาสนใจเพื่อนซี้ที่ยังไม่ยอมไปเล่นน้ำตามที่ตั้งใจไว้ ก่อนจะส่งโทรศัพท์มือถือให้มันอ่าน
“เฮ้ยมันมีชูชีพเว้ยมึง” ไอ้หมอกรีบตอบแทบจะทันที
‘มึงไปเล่นกับไอ้คินเถอะ’ ผมพิมพ์ตอบมันพลางยกยิ้ม ก่อนจะล้มตัวลงนอนแผ่บนเตียงที่ในวันนี้จะต้องนอนอัดกันถึงสามคน
“อ้าวแล้วล่องแพล่ะ มึงจะไม่ไป?” ไอ้หมอกมันรีบถามขึ้นมาอีกหน เหมือนมันอยากให้ผมได้เล่นน้ำให้คุ้มค่ากับการดั้นด้นมาถึงที่นี่มากๆ
‘อื้อ’ ผมพยักหน้าตอบ เพราะอันที่จริงแล้ว ที่ผมตัดสินใจมาเที่ยวกับพวกพี่เนย์ก็เพราะพวกพี่เขาชวนมาก็แค่นั้น ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลย
“อะไรวะมึง มาถึงกาญแต่ไม่เล่นน้ำ” ไอ้หมอกยังคงบ่นอุบไม่เลิก จนไอ้คินต้องลากมันออกไปจากห้อง ส่วนผมก็นอนแผ่อยู่ที่เดิม ด้วยรู้สึกเหนื่อยกับการเดินทางพอสมควร เพราะก่อนหน้าที่จะเข้าที่พัก เราแวะไปที่น้ำตกเอราวัณมาด้วย
ก๊อก ก๊อก
“ไม่ไปเล่นน้ำล่ะ?” พี่เนย์เปิดประตูเข้ามา พลางยืนพิงขอบประตูห้องและถามด้วยคำถามที่ไอ้หมอกมันเพิ่งจะถามผมแหม่บๆ
‘ผมว่ายน้ำไม่เป็นครับ’ ผมพิมพ์ข้อความแชทพลางส่งไปถึงอีกฝ่ายที่กำลังล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“ชูชีพไง ว่ายเป็นไม่เป็นยังไงก็ต้องใส่อยู่แล้ว” พี่เนย์ว่าพลางปิดประตูห้องและเดินเข้ามานั่งบนเตียงข้างๆผมที่ยังคงนอนแผ่
“…” ผมส่ายหัว
“ไปเถอะ มากาญทั้งทีจะอยู่แต่ในห้องได้ไง ถ้ามึงกลัวเดี๋ยวกูให้เกาะ” พี่เนย์ว่าพลางเอื้อมมาจับมือผมและเขย่าเล่นเบาๆ
“เร็วๆรัน เอาแต่ยิ้มอยู่นั่น กูก็บ้าจี้ยิ้มตามมึงอีก” พี่เนย์บ่นพลางหันหน้าไปยังประตูห้อง หากแต่มือใหญ่คู่นั้นก็ยังคงจับมือของผมไม่ยอมปล่อย ขณะที่ริมฝีปากของเจ้าตัวก็ขยับยิ้มออกมาอย่างที่พูดจริงๆ
ติ้ง!
‘รอผมเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บนึงครับ’ หลังจากพิมพ์ข้อความด้วยมือเดียวอยู่นาน ผมก็สามารถส่งประโยคที่ต้องการจะบอกอีกฝ่ายได้สำเร็จ จากนั้นผมก็ดึงมือข้างขวาของตัวเองออกจากการกอบกุมของชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดสีดำสนิท ก่อนจะรีบลุกขึ้นจากเตียงเพื่อไปคุ้ยหาเสื้อผ้าในกระเป๋าเป้ ที่วางพิงเอาไว้ตรงข้างกำแพง
นี่ถ้าไอ้หมอกมันเห็นผมยอมออกไปเล่นน้ำล่ะก็นะ มันต้องปรามาสขึ้นมาอีกแน่ๆว่าผมน่ะ ‘เชื่อง’ จริงๆ แล้วก็จริงอย่างที่คิด เพราะทันทีที่ผมเดินออกไปตรงนอกระเบียงบ้าน ไอ้หมอกที่กำลังลอยคออยู่ในน้ำก็พูดแบบไม่มีเสียงใส่ผมว่า ‘เชื้องเชื่อง’ แต่ผมก็ทำเป็นไม่สนใจ คอยว้าวุ่นอยู่กับการใส่เสื้อชูชีพ โดยมีคนที่ให้สัญญาไว้ว่าจะยอมให้ผมเกาะถ้าหากผมกลัว มาคอยตามประกบอยู่ไม่ห่าง
“ลงมาเร็วๆมึง ไปเดินบนโฟมกัน กูอยากไปเล่นสไลเดอร์” ไอ้หมอกมันกวักมือเรียกผมที่กำลังหย่อนขาลงบันไดตรงท่าน้ำริมระเบียง
“ไม่จมหรอกน่า” ไอ้คินมันพูดขึ้น เมื่อเห็นผมลังเล
“…” ผมมองหน้าเพื่อนสองคน จากนั้นก็หันไปมองพี่เนย์ อีกฝ่ายก็พยักหน้าสนับสนุน
ทันทีที่ผมลงไปลอยคออยู่ในน้ำ มือข้างหนึ่งของผมก็ยังคงจับอยู่ที่ราวบันไดบริเวณใต้น้ำ ส่วนอีกข้างก็จับยึดฝ่ามือใหญ่ของคนตัวโตที่กำลังค่อยๆทิ้งตัวลงในน้ำเอาไว้แน่น กระทั่งเราทั้งคู่ลอยคออยู่ในน้ำ พี่เนย์ก็บอกให้ผมตีขาตามไปด้วย ขณะที่ไอ้คินกับไอ้หมอกก็ปีนขึ้นไปนั่งรออยู่บนโฟมแผ่นใหญ่คนละแผ่น
พอผมว่ายเข้าไปใกล้ พวกมันก็ค่อยๆยืนทรงตัวบนโฟมแผ่นนั้น ก่อนจะเดินทรงตัวบนโฟมหนาทีละแผ่นอย่างรวดเร็วจนผมคิดว่าผมคงไล่ตามพวกมันไม่ทันแน่
“ไม่จมหรอก แป้บเดียวให้พี่ปีนขึ้นโฟมก่อน” พี่เนย์บอกพลางปล่อยมือที่กอบกุมกันไว้ วินาทีนั้นทำเอาผมหายใจไม่ทั่วท้อง แต่ผมก็มีสติมากพอที่จะเกาะโฟมแผ่นที่พี่เนย์ปีนขึ้นไปนั่ง
“ปืนขึ้นมาเลยรัน” พี่เนย์ใช้เวลาสักพักในการยืนทรงตัว จากนั้นอีกฝ่ายก็ส่งมือมาให้ผมจับยึด ผมจึงค่อยๆปืนขึ้นอย่างทุลักทุเล ซึ่งพอผมขึ้นมาบนโฟมแผ่นเดียวกันแล้ว โฟมแผ่นนั้นก็โคลงเคลงไปมาจนผมกลัว เพราะมันจมไปกว่าครึ่ง พี่เนย์เลยต้องเดินไปยืนที่โฟมอีกแผ่นข้างๆกัน
“ยืนขึ้นเร็ว” พี่เนย์พูดพยักหน้าเบาๆ ผมจึงค่อยลุกขึ้นยืนด้วยอาการเกร็งไปทุกส่วน กว่าจะขยับขาได้แต่ละก้าวผมก็ต้องทำใจอยู่หลายนาที แต่ทีนี้พอผมจะเดินไปที่โฟมอีกแผ่น ความโคลงเคลงมันก็กลับมาอีก ผมจึงรีบส่ายหน้าให้พี่เนย์ที่ตอนนี้ขยับไปที่โฟมแผ่นใหม่แล้ว
“จะไปแล้วนะ ตามมาเร็วๆรัน ทรงตัวดีๆด้วย ไม่ล้มหรอก” พี่เนย์พูดพลางเดินห่างจากผมไปอีกหนึ่งแผ่นโฟม ผมจึงตัดสินใจก้าวข้ามโฟมแผ่นเดิมเพื่อมายืนยังแผ่นใหม่ กระทั่งผมเริ่มชินแล้ว จังหวะการก้าวเดินบนโฟมของผมก็เริ่มเร็วขึ้น พี่เนย์จึงเดินนำหน้าไปไกลลิบ ส่วนผมก็เดินตามอีกฝ่ายไปจนถึงตรงที่ที่ทุกคนมารวมตัวกันอยู่ ก็คือสไลเดอร์
“ขึ้นมาเร็วๆรัน” พี่เอ้ที่กำลังปีนขึ้นไปยังสไลเดอร์ขนาดใหญ่ หันมาโบกมือเรียก ผมจึงส่ายหน้าเพราะผมกลัว ยิ่งว่ายน้ำไม่เป็นด้วยแล้ว ผมก็ไม่กล้าขึ้นไปหรอก ดูพี่ๆแต่ละคนสิ ลงน้ำทีตูมๆ จนน่าหวาดเสียว
“งั้นไปเล่นนี่กัน” พี่เอ้ปีนลงมาหาผมที่ยืนอยู่บนโฟม จากนั้นเธอก็จูงมือพาผมเดินไปยังแป้นกระโดดที่ลอยอยู่ในน้ำ โดยขณะที่เดินทรงตัวอยู่บนโฟม เธอจะต้องเดินนำหน้าผมด้วยโฟมหนึ่งแผ่น กระทั่งมาจนถึงโฟมแผ่นสุดท้ายที่หยุดอยู่ตรงหน้าแป้นกระโดด พี่เอ้ก็ก้มลงดึงเชือกที่ห้อยต่องแต่งอยู่ในน้ำ เพื่อลากแป้นกระโดดที่อยู่ไกลออกไปให้เข้ามาชิดแผ่นโฟม จากนั้นเธอก็ปีนขึ้นไปข้างบน
“ขึ้นมาเร็วๆรัน” พี่เอ้กวักมือเรียกผม พลางกระโดดโหยงเหยง จนทำให้แป้นกระโดดค่อยๆลอยห่างจากโฟมแผ่นสุดท้ายที่ผมยืนอยู่ ผมจึงก้มลงดึงเชือกเส้นใหญ่ที่ผูกติดกับแป้นกระโดดให้เข้ามาใกล้ตัว
‘เอ้ มึงก็หยุดกระโดดก่อนดิ น้องมันกลัว’ ผมหันไปมองยังต้นเสียง เพราะไม่รู้ว่าพี่เนย์เดินผ่านมาทางนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ในเมื่อก่อนหน้านี้อีกฝ่ายเพิ่งจะเล่นสไลเดอร์มาหมาดๆ
“…” เมื่อผมมองพี่เนย์ในชุดเล่นน้ำที่เป็นแค่เสื้อยืดสีดำคลุมทับด้วยเสื้อชูชีพสีส้มแสดกับกางเกงขาสั้นสีครีม อีกฝ่ายจึงพยักหน้าสนับสนุน ผมเลยค่อยๆปีนขึ้นไปบนแป้นกระโดดได้สำเร็จ จากนั้นพี่เอ้ก็กระโดดโหยงเหยงยกใหญ่ แต่พอเธอเห็นผมไม่ยอมกระโดด เธอก็หันมาพยักหน้าพลางสะบัดมือขึ้นลงไปด้วย ผมจึงค่อยๆกระโดดด้วยจังหวะที่ไม่สูงมากนัก กระทั่งคุ้นแล้วผมถึงได้กระโดดสูงขึ้น ซึ่งพี่เอ้ก็จับมือผมไว้ แล้วเราก็กระโดดโลดเต้นอยู่บนนั้นด้วยกันราวกับเด็ก พร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน แม้กระทั่งผมที่ทำได้แค่หัวเราะในลำคอก็ตาม แต่เสียงนั้นมันก็บ่งบอกได้ว่าผมรู้สึกสนุกมากแค่ไหน
“เฮ้ยๆ สี่โมงแล้ว เขามาตามให้ไปขึ้นรถ” ผมหยุดการเคลื่อนไหว จากนั้นก็หันไปมองยังต้นเสียง ก็เห็นว่าพี่เนย์กำลังยืนปรบมืออยู่ตรงหน้าระเบียงบ้าน พลางตะโกนเรียกพวกเราให้ไปรวมพล ซึ่งพี่ๆคนอื่นที่ว่ายน้ำเป็นก็รีบกระโดดน้ำกันตูมตาม แป้บเดียวก็ว่ายไปจนถึงตัวพี่เนย์แล้ว แม้กระทั่งพี่บอสกับพี่ทีมที่ไม่ค่อยสนิทสนมกับเพื่อนอีกกลุ่มของพี่เนย์ ในตอนนี้กลับเข้าขากันได้ดีเพราะได้ร่วมทำกิจกรรมร่วมกัน
“ไอ้รัน มึงโดดลงมาเลย” ไอ้หมอกที่ว่ายน้ำมาพร้อมกับไอ้คินผ่านตรงหน้าผม มันก็รีบตะโกนบอกพลางกวักมือเรียก
“…” ผมหันไปมองพี่เอ้ ก็เห็นว่าเธอมองผมอยู่ก่อนแล้ว จากนั้นเธอก็พยักหน้าสนับสนุน ก่อนจะเอื้อมมือมาจับกับมือผม
“ถ้าพี่นับถึงสาม รันกระโดดเลยนะ” พี่เอ้ว่าอย่างนั้น แล้วก็เริ่มนับถอยหลัง โดยที่ผมไม่มีโอกาสได้ใช้เวลาทำใจเลย เพราะนับแค่ไม่กี่เลขผมก็ต้องกระโดดลงน้ำแล้ว
ตู้ม!!!!!!!
ตอนนี้ผมกับพี่เอ้คงจะเหมือนลูกหมาตกน้ำแน่ๆ เพราะพวกเราต่างก็เปียกปอนตั้งแต่หัวจรดเท้า กว่าจะว่ายมาจนถึงบันไดริมระเบียงบ้านก็เล่นเอาหอบ แต่ก็ไม่มีเวลาเหนื่อยนานนัก ในเมื่อใกล้เวลาต้องไปเล่นแพเปียกแล้ว ซึ่งผมก็นึกกลัวอีกนั่นแหละ
“ประมาณห้าโมงนะครับ รีสอร์ทที่โควกับทางเราไว้ เขาจะประกาศเรียกให้ขึ้นแพเปียก ถ้าหากใครขึ้นไม่ทันก็คือพลาดเลยนะครับ และระหว่างนี้ทุกท่านสามารถเล่นเครื่องเล่นได้ทุกอย่างครับ” ทันทีที่รถขับมาจนถึงรีสอร์ทที่ว่าแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ย้ำกับพวกเราให้รักษาเรื่องเวลา ซึ่งผมคิดว่าเรื่องนี้พวกเราคงไม่ต้องห่วง เพราะเรามีมนุษย์ผู้ตรงต่อเวลาอย่างพี่เนย์อยู่ทั้งคน พี่เขาไม่มีทางปล่อยให้ใครเถลไถลแน่ๆ
“คนเยอะชิบ” พี่เปรมบ่น พลางเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงปากทางเข้าสู่ลานเครื่องเล่นกลางน้ำที่อยู่ข้างๆห้องอาหารของทางรีสอร์ท
“ไปเล่นกันเลย เดี๋ยวกูถ่ายรูปให้” พี่บาสแฟนพี่เอ้เสนอ จากนั้นทุกคนก็เริ่มทยอยลงไปเดินบนแผ่นโฟมอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้พวกพี่เขาทำเพียงแค่เดินเล่นไปเรื่อยๆเท่านั้น แต่ผมคงพักก่อนดีกว่า เมื่อกี้ตอนเดินบนโฟมก็หอบจะแย่ เพราะต้องทรงตัวให้ดีไม่งั้นมีพลิกคว่ำ
“มึงไม่เล่นต่อเหรอวะ?” ไอ้หมอกมันเดินไปยืนบนแผ่นโฟมเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังอุตส่าห์จะหันมาถาม ผมจึงส่ายหน้าพลางโบกมือให้มันเล่นได้ตามสบาย ช่วงขายาวๆของมันจึงจ้ำเอาๆ เพื่อที่จะไล่ตามไอ้คินที่เดินทิ้งระยะห่างไปไกลแล้ว ครั้นเมื่อมันไล่ตามเพื่อนร่างสูงของตัวเองได้ทัน ไอ้หมอกมันก็รีบยืนอยู่บนโฟมแผ่นเดียวกัน ก่อนจะก้าวข้ามไปยังโฟมอีกแผ่นเพื่อแซงคิวไอ้คิน ที่ตรงนี้ก็เลยเหลือแค่ผม พี่เนย์ พี่บาสที่กำลังถ่ายรูปอยู่เท่านั้น
‘เอาโทรศัพท์มาด้วย ไม่กลัวมันโดนน้ำเหรอครับ’ ผมแบมือขอโทรศัพท์จากพี่เนย์ จากนั้นก็พิมพ์ข้อความให้อีกฝ่ายอ่าน
“ไอ้บาสมันมีกระเป๋ากันน้ำ เพราะต้องเอากล้องไปถ่ายรูปตอนล่องแพเปียกไง” ผมพยักหน้ารับ จากนั้นก็มองไปยังพวกพี่ๆ กับไอ้เพื่อนซี้ที่กำลังเดินเล่นบนโฟมกันอย่างสนุกสนาน แถมยังมีแกล้งกันจนล่วงลงน้ำตั้งหลายคนแล้ว ดีนะที่ผมไม่ไปเล่นด้วย
ไม่งั้นผมคงไม่พลาดที่จะโดนแกล้งแน่ๆพวกพี่เขามีเวลาเล่นกันสักพักใหญ่ ทางรีสอร์ทก็ประกาศเรียกคนที่สนใจจะไปล่องแพเปียกให้ไปรวมตัวกันตรงด้านหลังของห้องอาหาร เราทั้งหมดจึงยกโขยงเดินไปพร้อมกัน เมื่อมาถึงท่าขึ้นแพเปียกก็ต้องตกใจกับจำนวนคนที่เยอะมากๆ แต่แพก็แลใหญ่และดูแข็งแรงพอสมควร ผมจึงคลายความกังวลไปได้เยอะ เพราะนี่เป็นการล่องแพครั้งแรกในชีวิต
“ถ้าเป็นแพไม้ไผ่จะโคลงเคลงแล้วก็เดินลำบากด้วย อันนี้ไม่น่ากลัวหรอก” พี่เนย์พูดขึ้นคล้ายกับอ่านความคิดของผมออก ผมจึงหันไปยิ้มให้อีกฝ่าย ก่อนจะเดินตามพี่คนอื่นๆที่ค่อยๆทยอยลงไปบนแพ จากนั้นถึงค่อยทิ้งตัวลงนั่งในตำแหน่งที่พวกพี่เขาจับจองไว้ โดยการนั่งห้อยขาละไปกับผืนน้ำอันกว้างใหญ่
“หันมาถ่ายรูปเร็ว” พี่บาสลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ประคองกล้องเอาไว้ในมือ ทำให้พวกเราทุกคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาตีขาเล่นน้ำ ถึงกับเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกัน ไม่นานเสียงชัตเตอร์ก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเปลี่ยนมาถ่ายรูปเดี่ยวให้กับทุกคน
“หันมาถ่ายรูปคู่เร็ว” หลังจากถ่ายให้ทุกคนจนครบ ระหว่างรอเวลาให้พนักงานลากแพออกมาจากจุดเดิม พี่บาสก็เดินมาหาผมกับพี่เนย์ที่กำลังนั่งคุยกันเรื่องเจ้าเขี้ยวกุดว่าใครเป็นคนมาช่วยดูแลให้ในระหว่างนี้ เพราะกว่าพี่เนย์จะกลับถึงหอมันก็นานพอสมควรสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ไม่มีคนดูแล พี่เขาเลยเฉลยว่าตอนนี้ได้จ้างให้เตที่เป็นหลานรหัส มารับช่วงแทนในระหว่างปิดเทอม เพราะเจ้าตัวเป็นเด็กพื้นที่ เลยไปมาที่หอพี่เนย์ได้สะดวก แล้วอีกอย่างจริงๆแล้วเขี้ยวกุดก็ให้อาหารแค่อาทิตย์ละสองครั้งเท่านั้น แต่ตัวพี่เนย์เองเขาอยากจะให้ทุกวันทีละน้อยๆมากกว่า เพราะยังไงก็แค่จับเหยื่อหย่อนลงไปในตู้ แล้วเขี้ยวกุดมันก็จะหากินเองอยู่แล้ว
“ยิ้มด้วยสิ” พี่บาสสั่ง ผมจึงค่อยๆคลี่ยิ้มอย่างเกร็งๆ เพราะผมเป็นคนที่ยิ้มแบบตั้งใจจะยิ้มไม่เป็น ทั้งๆที่หลายๆคนต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าผมยิ้มเก่งแล้วก็ยิ้มสวย แต่พอต้องบังคับตัวเองให้ยิ้มใส่กล้อง ผมก็มักจะยิ้มออกมาแบบเกร็งๆจนน่าตลกทุกครั้ง
“รันยิ้มแค่มุมปากก็ได้ เอาใหม่” พี่บาสนี่ถือเป็นตากล้องที่ดีใช้ได้ มีการให้ถ่ายแก้ตัวใหม่ด้วย
แชะ!
“รัน” หลังจากได้ยินเสียงชัตเตอร์ลั่นแล้วเรียบร้อย พี่อาคเนย์ก็ร้องเรียก ผมจึงหันไปหาบุคคลต้นเสียงที่นั่งอยู่ข้างๆกัน ก่อนจะยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจว่าจะเรียกผมทำไม ถ้ามัวแต่จะมานั่งจ้องหน้ากันแบบนี้
“…” พี่เนย์ไม่ยอมเฉลยคำตอบใดๆ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่เริ่มลากแพออกจากท่า แต่กว่าที่ช่วงแพของเราจะขยับก็นานหน่อย เพราะแพของรีสอร์ทยาวมาก แต่แล้วผมก็ต้องปรายสายตาไปมองยังคนตัวโตที่สวมเสื้อชูชีพสีแสดข้างๆกัน เมื่ออีกฝ่ายวางฝ่ามือหนาลงบนมือของผมที่เกาะขอบแพเอาไว้ และด้วยช่องว่างระหว่างเราที่มันไม่มี จึงไม่มีใครสังเกตได้ว่า ตอนนี้พี่อาคเนย์กำลังแอบจับมือของผมอยู่
ผมจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ก่อนจะหันหน้ามองออกไปทางอื่นด้วยความเก้อเขิน-------------------------------------------------------
ภาษามือของตอนนี้ดูได้ที่สารบัญภาษามือในเด็กดีเหมือนเดิมนะคะ >
จิ้มใครเหม็นความรักก็ต้องทนกันต่อไปนะคะ 5555 เค้าจะเต๊าะกันเรื่อยๆค่ะ
ส่วนตอนนี้ก็มีหลายๆคนที่เปิดใจเลยเนอะ ไม่ว่าจะเป็นรัน พี่บอส หมอก
อารมณ์คล้ายๆกับการมาเข้าค่ายละลายพฤติกรรมค่ะ