ใครที่อ่านอยู่ก่อนรบกวนอ่านตรงนี้ด้วยนะคะ สำคัญมาก เพราะมีการแก้เนื้อหาที่ค่อนข้างสำคัญค่ะ.
ส่วนใครที่เพิ่งเข้ามาอ่านรวดเดียว ถ้าไม่อยากปวดหัวกับการลำดับตำแหน่งขุนนางและลูกๆ ข้ามไปได้เลยค่ะ
.
1. เนื่องจากดิฉันเพิ่งค้นพบว่าลูกชายคนโต (หรือลูกชายคนเดียว) ของมาร์ควิสนั้นจะต้องใช้ยศรองจากพ่อ ในกรณีของพระเอกของเรา (จอห์น คาเวดิช) จะมียศเป็น เอิร์ลแห่งโทรว์บริดจ์ ดังนั้น จึงไม่สามารถเรียกพระเอกว่า ลอร์ดคาเวดิช (ซึ่งเป็นชื่อสกุลได้อีก) แต่จะต้องเรียกเป็นลอร์ดโทรว์บริดจ์ (ที่เป็นชื่อยศแทน)
.
2. การใช้ลอร์ดนำหน้าชื่อ ใช้เฉพาะลูกชายคนรองของดยุกและมาร์ควิสเท่านั้น และต้องนำหน้าทั้งชื่อสกุล ดังนั้น เพื่อไม่ให้ต้องแก้ชื่อจอร์จและแมกซ์มากไปกว่าที่เป็นอยู่ ดิฉันจึงได้ทำการแก้ไขรายละเอียดของทั้งสองคนดังนี้
- ลอร์ดเฟลตัน แก้เป็น ลอร์ดจอร์จ เฟลตัน (ภาษาปากเรียกลอร์ดจอร์จ ส่วนบทบรรยายจะเขียนเต็มทั้งชื่อและนามสกุล) และขอแก้ไขประวัติให้เป็นลูกชายคนที่สองและเป็นลูกคนเล็กของมาร์ควิสแอนโดเวอร์ (จากเดิมเป็นลูกชายคนเล็กจากบรรดาลูกชายสามคน)
- ลอร์ดเมอร์เรย์ แก้เป็น ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ (ภาษาปากเรียกลอร์ดแมกซ์ ส่วนบทบรรยายจะเขียนทั้งชื่อและนามสกุล) แก้ประวัติจากเดิมเป็นลูกชายคนรองของเอิร์ลแห่งวิสตัน ให้เป็นลูกชายคนรองของมาร์ควิสวิสตัน
.
3. แก้ไขชื่อยศและคำเรียกเหล่าสมาชิกในสโมสรแบล็กเบิร์ดดังนี้
- ลอร์ดเบอร์มิ่ง แก้เป็น ลอร์ดครอฟตัน ชื่อเต็ม เอ็ดเวิร์ด เบอร์มิ่ง ไวส์เคาน์แห่งครอฟตัน เนื่องจากเป็นลูกชายคนโตของเอิร์ลแห่งเบอร์เบจ
- ลอร์ดซอมเบิร์ก แก้เป็น เอ็มมานูเอล เฉยๆ (ไม่เรียกชื่อสกุลและใส่คำว่าลอร์ด) เนื่องจากเป็นลูกชายคนรองของเอิร์ลแห่งแรมสเบอรี่
- ลอร์ดคาเทจ แก้เป็น นิโคลาส เฉยๆ เนื่องจากเป็นลูกชายคนโตของไวส์เคาน์แห่งเอนฟอร์ด
รายละเอียดแก้ไขแล้วในบทที่4
.
4. แก้ไขชื่อเลดี้สจวตและเลดี้แบรนดอนเป็น เลดี้มาร์กาเร็ต สจวต (บทบรรยาย) และเลดี้มาร์กาเร็ต (บทพูด) เลดี้แคทเธอรีน แบรนดอน (บทบรรยาย) และเลดี้แคทเธอรีน (บทพูด)
.
**** เนื้อหาบางส่วนเกี่ยวกับยศและบรรดาศักดิ์มีการปรับแก้ในหลายบทค่ะ
.
กราบขออภัยในความผิดพลาดเป็นอย่างสูงค่ะ
-----------------------------------
Dear, My customer.
ตอนที่12 Like you, Love you. กอร์ดอนนึกแปลกใจที่ลอร์ดโทรว์บริดจ์กลับมาที่ร้านของเขาอีกครั้งหลังหกโมงเย็นเล็กน้อย เขารีบไปเปิดประตูร้านทั้งที่ยังทานมื้อเย็นค้างอยู่
“ผมมีเรื่องต้องปรึกษาคุณ ด่วนเลย” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูด กอร์ดอนปิดประตูร้าน แล้วดึงม่านลง
“คุณกินมื้อเย็นหรือยังครับ? ถ้าไม่รังเกียจคุยกันที่โต๊ะอาหารก็ได้ วันนี้ไม่มีใครอยู่ เดวิดก็ลากลับบ้าน”
“ยัง พอดีผมกินไม่ลง” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า กอร์ดอนมองเขาด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเดินนำฝ่ายนั้นไปที่โต๊ะอาหาร
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ?” เขาถาม หลังเชิญฝ่ายนั้นนั่งลงแล้ว ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับลอร์ดจอร์จ เฟลตันและเลดี้มาร์กาเร็ต สจวตให้ฟัง กอร์ดอนฟังจบก็ทำหน้าตกใจ
“นี่มันเรื่องส่วนตัวมากเลยนะครับ คุณไม่ควรเล่าให้ผมฟัง”
“ไม่ เล่าให้คุณฟังแหละถูกแล้ว” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “คุณรู้จักจอร์จ แต่ไม่ได้สนิท ผมอยากได้ความเห็นในมุมมองของคนที่มีคติกับเขาและมาร์กาเร็ตน้อยที่สุด คุณนี่แหละเหมาะแล้ว”
กอร์ดอนทำหน้าครุ่นคิด “ผมไม่คิดเลยว่าลอร์ดจอร์จจะเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบแบบนี้”
“ผมก็คิดแบบคุณ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถอนหายใจ “จอร์จควงผู้หญิงมากหน้าหลายตาก็จริง แต่เขารับผิดชอบ อย่างน้อยๆ ถ้าเขานอนกับเธอเขาก็ต้องบอกว่าชอบเธอ และเอาอกเอาใจเธอจนกว่าเขาจะเบื่อแล้วขอเลิกกับเธอไปเอง แต่กับมาร์กาเร็ต...” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด “ทำไมจอร์จถึงทำแบบนั้น มาร์กาเร็ตแทบจะเป็นคนในบ้านของเขาด้วยซ้ำ เธอเหมือนน้องสาว... ให้ตาย ผมไม่เข้าใจเลย”
กอร์ดอนมองผู้ชายตรงหน้า แล้วค่อยๆ พูดออกมา “คุณแน่ใจนะครับว่าเลดี้มาร์กาเร็ตพูดความจริง”
“เธอไม่มีเหตุผลให้ต้องโกหกเรื่องนี้” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “คุณต้องเห็นเธอตอนนั้น เธอดูน่าสงสารมาก เธอรักจอร์จ ผมแน่ใจ แต่เธอไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อไป เพราะจอร์จไม่ได้รักเธอ เขาออกจะรำคาญเธอด้วยซ้ำ”
กอร์ดอนนิ่งไปอึดใจใหญ่ “เลดี้มาร์กาเร็ตเป็นคนสวยมากนะครับ เธอดูสง่างามและทรงอำนาจเหมือนกุหลาบ ผมเห็นเธอในงานเต้นรำ เหมือนลอร์ดจอร์จกลัวเธอ”
“ตอนเด็กๆ เขาเคยถูกเธอแกล้ง ที่จริงเรียกว่าเล่นกันแล้วจอร์จตัวเล็กเกินไปเลยเหมือนถูกแกล้งจะดีกว่า”
“อ๋อ” กอร์ดอนพยักหน้า “แต่ผมค่อนข้างแน่ใจว่าลอร์ดจอร์จไม่ได้เกลียดเธอ ตอนนั้นผมถามเขาด้วยว่าเขาเลือกใคร เขาบอกว่าระหว่างสามคนนี้เขาเลือกไม่ถูก” ช่างตัดเสื้อเว้นจังหวะเล็กน้อย “ผมไม่ได้ถามถึงเลดี้มาร์กาเร็ตแต่เขานับรวมเธอไปด้วย ผมว่าเขาไม่ได้เกลียดเธอนะ ถ้าเขาเกลียดเขาคงไม่นับเธอเป็นหนึ่งในตัวเลือก”
“อืม...” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ทำท่าคิดหนัก “จอร์จคิดอะไรอยู่นะ...”
“คุณว่าลอร์ดจอร์จเป็นคนที่เอะอะก็ขอแต่งงานไปเรื่อยรึเปล่าครับ? หมายถึงถ้าเขาชอบพอผู้หญิงสักคน เขาจะป้อนคำหวานให้เธอด้วยการสัญญาว่าจะแต่งงานกับเธออย่างที่ทำกับเลดี้มาร์กาเร็ตมั้ย?”
“ผมว่าไม่” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบ “แม้ผมจะช็อกเรื่องที่จอร์จไม่รับผิดชอบมาร์กาเร็ต แต่เขาไม่ใช่คนที่เอะอะก็สัญญาว่าจะขอแต่งงานแน่ เขาไม่ใช่คนพูดจาชุ่ยๆ แบบนั้น ต่อให้เมาก็เถอะ”
“ถ้าเลดี้มาร์กาเร็ตพูดความจริง แสดงว่าลอร์ดจอร์จรู้สึกว่าอยากแต่งงานกับเธอจริงๆ อย่างน้อยๆ ตอนนั้นเขาก็มีสติพอจะรับรู้ว่าผู้หญิงที่เขานอนด้วยคือเลดี้มาร์กาเร็ต ไม่ใช่ผู้หญิงคนอื่น และเขาคงรู้สึกดีจนออกปากขอเธอแต่งงาน”
“แต่ทำไมวันรุ่งขึ้นเขาถึงได้หนีไปแบบนั้น ผมไม่เข้าใจ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์คราง “ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงกอร์ดอน ผมหงุดหงิดจอร์จเรื่องนี้มาก อยากจะถามเขาตรงๆ แต่พวกเรากำลังจะเจอกันที่สโมสร ผมกลัวว่าพอถามแล้วจะกลายเป็นการประจานเพื่อน อีกอย่างผมไม่แน่ใจว่าเขาจะตอบผมตรงๆ รึเปล่า”
“ผมว่าคุณใจเย็นๆ ก่อนดีกว่าครับ” กอร์ดอนพูด “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องด่วน เลดี้มาร์กาเร็ตเก็บมันมาตั้งนานเพิ่งเล่าให้คุณฟัง เธอคงไม่คาดหวังให้คุณรีบหาคำตอบให้เธอ คุณแค่หงุดหงิดที่ลอร์ดจอร์จกลายเป็นคนไม่รับผิดชอบ แต่ผมว่าลอร์ดจอร์จน่าจะมีเหตุผลในเรื่องนี้ ซึ่งเขาคงไม่บอกคุณง่ายๆ ถึงเขาจะเป็นคนอ่อนไหว แต่เวลาตัดสินใจอะไรแล้วจริงจังนะครับ ผมรู้สึกแบบนั้นตั้งแต่เรื่องที่เขาตกลงช่วยผมกับคุณแล้ว”
ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า “ผมรู้จอร์จเป็นคนอ่อนไหว เหมือนไม่มีความรับผิดชอบ แต่เขารู้ว่าอะไรเป็นเรื่องสำคัญ เพราะงั้นถึงไม่มีใครเกลียดเขา”
“เลดี้มาร์กาเร็ตก็คงรู้สึกเหมือนคุณ เพียงแต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำกับเธอแบบนั้น” กอร์ดอนนิ่งไปอีกอึดใจหนึ่ง “เอางี้ดีไหมครับ วันนี้คุณทำตัวให้เป็นปกติ พูดเรื่องชกมวยไป ผมจะลองเลียบเคียงถามลอร์ดจอร์จให้ กับผมเขาน่าจะพูดอะไรง่ายกว่า เพราะผมเป็นคนนอก ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางของเขาเท่าไหร่”
ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองหน้าคนรัก สุดท้ายก็ยอมพยักหน้า “เอาตามนั้นแหละ ขอบใจนะกอร์ดอน ผมต้องรบกวนคุณแล้ว จอร์จเป็นเพื่อนที่ผมรักมาก”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” กอร์ดอนตอบยิ้มๆ “ลอร์ดจอร์จก็เป็นเพื่อนผมเหมือนกัน อย่างน้อยๆ เขาก็อยู่ข้างผมกับคุณ”
ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยิ้มออกมาได้ในที่สุด เขาขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้ช่างตัดเสื้อ “ผมชักหิวแล้วสิ”
“จริงสิ คุณยังไม่ทานมื้อเย็นนี่นา” กอร์ดอนพูดอย่างเพิ่งนึกได้ “รอเดี๋ยวนะครับ เหมือนจะมีเนื้อหมักเก็บอยู่ในตู้ ผมจะย่างให้ ถ้าเป็นแบบมีเดียมแรร์คงใช้เวลาไม่นาน”
พูดจบเขาก็รีบลุกขึ้น แต่ถูกลอร์ดโทรว์บริดจ์ฉวยมือเอาไว้แล้วดึงตัวลงไปนั่งบนตัก
“ไม่ต้องหรอก ผมไม่ได้อยากกินเนื้อย่าง” เขากระซิบ จากนั้นก็จูบหลังคอของอีกฝ่าย กอร์ดอนสะดุ้งด้วยความตกใจ “อ๊ะ! ทำอะไรครับ?”
“กินมื้อเย็น” ลอร์ดโทรว์บริดจ์งึมงำแล้วขบใบหูของเขาเบาๆ กอร์ดอนพยายามผลักเขาออก “อย่านะครับ แบบนี้ไม่...”
ลอร์ดโทรว์บริดจ์จัดการปิดปากของเขาเอาไว้ด้วยปากของตัวเอง กอร์ดอนจับปกเสื้อของอีกฝ่ายแน่น ขณะสาละวนอยู่กับการรับมือกับจูบที่ล้ำลึกและรุนแรงที่อีกฝ่ายมอบให้
“เนื้อย่างของคุณท่าทางอร่อยนะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์กระซิบ กอร์ดอนถลึงตามองเขา แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกฝ่ายนั้นจูบอีก
“ผมรักคุณ กอร์ดอน” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ผละริมฝีปากออก กระซิบคำหวานข้างหู พลางจูบไล้ไปตามใบหน้าของอีกฝ่าย กอร์ดอนร้อนวาบไปทั้งตัว เขาคลายมือออกจากปกเสื้อ ก่อนจะขยับไปโอบคอของลอร์ดโทรว์บริดจ์ไว้ “ผมก็รักคุณ จอห์น”
ทั้งคู่แนบริมฝีปากเข้าหากันอีกครั้ง กระหวัดเรียวลิ้นเข้าหากันด้วยความกระหาย ลอร์ดโทรว์บริดจ์ค่อยๆ ขยับมือมาลูบหน้าอกของอีกฝ่าย
“อ๊ะ!” กอร์ดอนสะดุ้งโหยง ยกมือผลักอกลอร์ดหนุ่มเต็มแรง แต่เพราะนั่งอยู่บนตักของลอร์ดโทรว์บริดจ์ เลยกลายเป็นตัวเขาเองที่หงายหลังกระแทกเข้ากับโต๊ะ
“โอ๊ย!”
ลอร์ดโทรว์บริดจ์รีบรั้งร่างของกอร์ดอนเข้ามากอด “คุณเป็นอะไรรึเปล่า?”
“ปะ... เปล่า” กอร์ดอนพูดตะกุกตะกัก “ผมแค่ตกใจ”
“ใจร้ายจัง” ลอร์ดโทรว์บริดจ์กระซิบแล้วจูบแก้มเขา “คุณอย่าตกใจแล้วผลักผมแบบนี้สิ เหมือนรังเกียจกันเลย”
“ผมเปล่า” กอร์ดอนพูด หน้าแดงจัดยิ่งกว่าเดิม เพราะสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ดุนดันต้นขาของเขาอยู่ “พะ... พวกเราต้องไปสโมสรนะ”
“ขอผมอีกนิดไม่ได้หรือ วันนี้อุตส่าห์ปลอดคนแล้ว” ลอร์ดโทรว์บริดจ์งึมงำ พลางไล้จูบไปตามปลายคางของอีกฝ่าย ต่ำลงไปจนถึงเนินไหล่ กอร์ดอนพยายามขยับหนี “อย่า จอห์น”
ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบสนองคำพูดนั้นด้วยการเลื่อนมือขึ้นมาปลดกระดุมเสื้อ กอร์ดอนรีบจับมือของเขาไว้ “อย่าครับ ผมไม่ใช่ผู้หญิง”
“ผมรู้ว่าคุณไม่ใช่” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดยิ้มๆ แล้วปลดกระดุมเสื้อของเขาต่อ กอร์ดอนร้อนใจจนหน้าแดงจัด เขาพยายามจะพูดอีกครั้ง แต่เสียงก็หายไปในลำคอ เมื่อลอร์ดโทรว์บริดจ์ช้อนท้ายทอยของเขาขึ้นมาแล้วฝังจูบลงไปบนซอกคอ กอร์ดอนรู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงถูกสูบออกไปจากร่าง ไฟปรารถนาปะทุขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เขาส่งเสียงครางเบาๆ พลางขยุ้มมือลงไปบนไหล่ของอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัว การกระทำดังกล่าวยิ่งสร้างความตื่นเต้นให้กับลอร์ดโทรว์บริดจ์ เขาเร่งมือปลดกระดุมเสื้อของกอร์ดอนจนเกือบจะเป็นการกระชาก ในที่สุดเสื้อก็เลื่อนหลุดออกจากหัวไหล่
ลำคอของลอร์ดโทรว์บริดจ์แห้งผาก เขาไม่เคยได้เห็นหรือสัมผัสส่วนที่อยู่ใต้ร่มผ้าของกอร์ดอนมาก่อน ผิวของฝ่ายนั้นเป็นสีชมพูเรื่อราวกับดอกกุหลาบเบลสตอรี่ เขาก้มลงจูบหัวไหล่แล้วอ้าปากกัดเบาๆ กอร์ดอนสะดุ้งเฮือก จังหวะนั้นบางอย่างเลื่อนหลุดจากกระเป๋าเสื้อกั๊กของเขาหล่นลงไปบนพื้นเสียงดังเคร้ง
“อ๊ะ! นาฬิกา” กอร์ดอนสะดุ้งเฮือก คราวนี้เขาไม่ได้ผลักลอร์ดโทรว์บริดจ์ออก แต่กลับก้มตัวลงไปควานหาของที่เพิ่งหล่นลงไป จนหัวไหล่กระแทกเข้ากับใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มๆ
“โอ๊ย!” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ร้อง ขณะที่กอร์ดอนเอื้อมมือไปหยิบนาฬิกาพกที่หล่นลงไปบนพื้นได้สำเร็จ เขารีบเปิดมันออกดู “โชคดีจัง หน้าปัดไม่แตก”
“แต่หน้าผมนี่สิจะแตก” ลอร์ดโทรว์บริดจ์คร่ำครวญ กอร์ดอนมองเขาด้วยความตกใจ “เกิดอะไรขึ้นครับ”
“คุณเอาไหล่กระแทกหน้าผม หน้าปัดนาฬิกานั่นสำคัญกว่าหน้าผมอีกหรือ” เอิร์ลหนุ่มคราง กอร์ดอนมองเขาเขินๆ “นาฬิกานี่เป็นของดูต่างหน้าปู่ผม”
“อ้อ...”
ช่างตัดเสื้อเปิดดูนาฬิกาอีกครั้ง ก่อนจะร้องออกมา “แย่แล้วจอห์น จะทุ่มนึงแล้ว”
“ผมไม่ไปสโมสรแล้วได้ไหม” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ต่อรอง เขายังอารมณ์ค้างอยู่จากเรื่องเมื่อครู่ กอร์ดอนสั่นศีรษะ
“ไม่ได้ครับ ถ้าเราไม่ไป ทุกคนจะสงสัยเอา” พูดจบเขาก็เลื่อนตัวลงมาจากตักของลอร์ดโทรว์บริดจ์ ตอนนั้นแหละกอร์ดอนถึงได้รู้ว่าเสื้อผ้าของเขาหลุดลุ่ยไปถึงไหนต่อไหน เขารีบดึงเสื้อขึ้นมาสวมไว้ หน้าแดงไปจนถึงใบหู
“ผมขอเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าสักครู่นะ”
“ให้ผมช่วยเปลี่ยน...” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดพลางเอื้อมมือไปฉุดมือของกอร์ดอนเอาไว้ แต่กลับถูกปัดอย่างไม่ไยดี “ไม่ครับ ผมเปลี่ยนคนเดียวได้ คุณรออยู่นี่แหละ”
---------------------------------------
ลอร์ดโทรว์บริดจ์นั่งหน้าบอกบุญไม่รับอยู่บนรถม้า เขาทำหน้าหงุดหงิดเสียยิ่งกว่าตอนที่มาถึงเสียอีก กอร์ดอนเห็นแล้วอดถามไม่ได้ “ทำไมคุณเอาแต่ทำหน้าแบบนั้น”
“ผมหิว” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า กอร์ดอนขมวดคิ้ว
“ก็ผมบอกแล้วว่าจะย่างเนื้อให้คุณ คุณก็ไม่เอา”
“ก็ผมไม่ได้อยากกินเนื้อย่าง” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูด แล้วขยับมานั่งชิดกับเขา “คุณให้ผมกินไม่อิ่มเอง กลับจากสโมสรคุณต้องให้ผมกินต่อเลยนะ”
กอร์ดอนเขินจนหน้ากลับมาแดงอีกครั้ง เขาชกลอร์ดโทรว์บริดจ์เบาๆ เข้าที่แขนทีหนึ่ง “คุณนี่บ้าจริง ผมอุตส่าห์ไม่พูดถึงแล้วนะ”
“ไม่พูดถึงอะไร?” ลอร์ดโทรว์บริดจ์แสร้งตีหน้าสงสัย ขณะใช้จังหวะเผลอโอบเอวของอีกฝ่ายเอาไว้
“ก็เรื่องที่คุณดึงกระดุมเสื้อผมขาดไปตั้งหลายเม็ดไง” กอร์ดอนพูด และดึงมือที่โอบมาออก “ที่จริงผมน่าจะโกรธคุณด้วยซ้ำ คุณเพิ่มงานให้ผมอีกแล้ว ผมไม่อยากจะเอาเวลามาเย็บกระดุมเสื้อตัวเอง”
“โธ่ อย่าโกรธผมเลยนะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดแล้วดึงตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดแบบไม่ต้องรอถามความสมัครใจ “คราวหน้าผมจะเบามือกว่านี้”
“ไม่มีคราวหน้าแล้ว!” กอร์ดอนว่า และพยายามผลักอีกฝ่ายออก “คุณนี่มือไวจริงๆ”
ลอร์ดโทรว์บริดจ์ก้มลงจูบแก้มของคนรัก “บอกผมสิ เดวิดจะลาอีกวันไหน”
“ต่อให้เขาลา ผมก็จะไม่บอกคุณเด็ดขาด”
“ใจร้ายจัง”
กอร์ดอนต่อยฝ่ายนั้นอีกครั้ง “คุณจะให้เราทำผิดต่อพระเจ้าจริงๆ หรือไง?”
“ผมยังไม่ได้คิดไปถึงขั้นนั้น”
“ก็เห็นอยู่ว่าคุณไม่ได้คิด...”
“อย่าว่าผมเลย” ลอร์ดหนุ่มกระซิบเสียงอ้อน “แค่คุณเห็นหน้าปัดนาฬิกาสำคัญกว่าหน้าผม ผมก็เจ็บปวดพอแล้ว”
กอร์ดอนอ้าปากค้าง ลอร์ดโทรว์บริดจ์ฉวยโอกาสนั้นจูบเขาอีก จึงถูกทุบหน้าอกเป็นการตอบแทน
“หน้าคุณหนากว่าหน้าปัดนาฬิกาอีก” กอร์ดอนว่า ลอร์ดโทรว์บริดจ์หัวเราะเบาๆ แล้วจูบเขาซ้ำอีกครั้ง “อย่าพูดถึงนาฬิกาบ่อยนักเลยกอร์ดอน ผมยังไม่อยากตั้งตัวเป็นศัตรูกับนาฬิกาของดูต่างหน้าปู่ของคุณนะ”
กอร์ดอนทุบไหล่ของลอร์ดโทรว์บริดจ์อีกหลายครั้งด้วยความโมโหระคนขัดเขิน “คนอะไรเนี่ย คิดจะตั้งตัวเป็นศัตรูกระทั่งนาฬิกา”
-------------------------------------
สโมสรแบล็กเบิร์ดยังคงครึกครื้นเหมือนเดิม แม้จะขาดสมาชิกคือเอ็มมานูเอลซึ่งนั่งเรือไปอเมริกาตั้งแต่เช้าวันจันทร์ก็ตาม ตอนที่ลอร์ดโทรว์บริดจ์และกอร์ดอนไปถึง ลอร์ดจอร์จ เฟลตันก็คุยฟุ้งถึงเรื่องที่เขาจะได้เป็นพี่เลี้ยงข้างเวทีมวยให้ลอร์ดโทรว์บริดจ์แล้ว
“จอร์จ ฉันบอกนายว่าจะชวนนายไปเป็นพี่เลี้ยงก็จริง แต่เรายังไม่ได้ขออนุญาตลอร์ดควีนสเบอรี่นะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดยิ้มๆ หลังทักทายเพื่อนทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ลอร์ดจอร์จ เฟลตันทำหน้าหงิก ขณะที่คนอื่นๆ พากันหัวเราะ
“พี่เลี้ยงนักมวยต้องดูทางมวยออกนะจอร์จจี้ ไหนนายดูอะไรออกบ้าง?”
“ฉันดูออกว่าใครจะชนะ” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันพูดอย่างเชื่อมั่น ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ถอนใจ
“ดูมวยกับดูม้าต่างกันนะจอร์จ”
ลอร์ดจอร์จ เฟลตันทำท่าจะอ้าปากเถียง แต่ถูกลอร์ดครอฟตันพูดแทรกขึ้นก่อน “ฉันว่าจอร์จจี้ควรจะไปอยู่ข้างโต๊ะแทงพนัน ที่นั่นแหละที่เหมาะกับเขาที่สุด”
เสียงหัวเราะดังขึ้นอีก ลอร์ดจอร์จ เฟลตันเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย “เล่นพนันกับดูทางนักมวยก็เหมือนกันนั่นแหละน่า”
ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ทำหน้าเหมือนปวดฟันกะทันหัน เขารีบยกมือห้าม ขณะที่เจมส์พูดขึ้นมา “เอาล่ะ ทุกๆ ท่าน ก่อนจะเถียงกันว่าจอร์จจี้ดูทางมวยเป็นหรือไม่ เราควรจะถามจอห์นนี่ก่อนดีกว่าว่าเขาจะต่อยกับใคร อะไร ที่ไหน ยังไง”
“เออ ใช่”
ลอร์ดโทรว์บริดจ์ลากเก้าอี้ขยับไปนั่งกลางวง “ลอร์ดควีนสเบอรี่คิดว่าฉันน่าจะได้ขึ้นชกประมาณกลางเดือนหน้า ถ้าเป็นไปได้อาจจะเป็นวันศุกร์ที่สิบเจ็ด ส่วนคู่ชกอาจจะเป็นแมดเนอร์ เขาต้องคุยกับผู้จัดการของแมดเนอร์ก่อนถึงจะกำหนดวันที่แน่นอนได้”
“ว้าว แมดเนอร์” นิโคลาสร้องขึ้น “ฉันชอบสไตล์การชกมวยของหมอนั่น ว่าแต่นี่เป็นการชกมือเปล่าหรือใส่นวม”
“ใส่นวม” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “ตามกติกาที่ลอร์ดควีนสเบอรี่ตั้งเอาไว้ อย่างน้อยๆ มันก็ทำให้พ่อกับแม่ฉันยอมให้ฉันขึ้นชกล่ะ”
เพื่อนๆ พยักหน้า เจฟฟรีพูดขึ้น “แล้วนายจะเริ่มซ้อมวันไหน กี่โมง”
“พรุ่งนี้ บ่ายสองถึงบ่ายสี่ ฉันซ้อมทุกวัน หยุดวันอาทิตย์”
“อื้อหือ ซ้อมหนักชะมัด”
“คู่ต่อสู้เป็นถึงแมดเนอร์เลยนะ”
“บ่ายสองถึงบ่ายสี่ฉันต้องทำงาน แต่วันเสาร์น่าจะได้”
“พวกเราน่าจะนัดกันไปดูจอห์นนี่ซ้อมวันเสาร์”
“นั่นสิ พอเขาซ้อมเสร็จพวกเราก็ไปกินมื้อเย็นกันต่อเลย”
“ว่าแต่ใครเป็นผู้จัดการส่วนตัวของนาย” เจมส์ถาม “ถ้ายังไม่มีบอกฉันนะ ฉันหาเวลาว่างไปจัดตารางการโชว์ตัวให้นายได้”
ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองเพื่อนแล้วยิ้ม “ขอบใจเจมส์ แต่ฉันไม่ใช่นักมวยอาชีพ ไม่ต้องมีผู้จัดการหรอก ลอร์ดควีนสเบอรี่จะจัดการทุกอย่างให้ ฉันชกแค่ไฟต์นี้ไฟต์เดียว”
“อ้อ...” เจมส์พยักหน้า “งั้นบอกเขาว่าพี่เลี้ยงหาดีๆ หน่อย ไม่เอาจอร์จจี้นะ เพราะเขาต้องไปนั่งข้างฉันเพื่อบอกว่าจะต้องพนันข้างใคร”
“ไม่ต้องเลยเจมส์” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันว่า “นายยังต้องถามฉันอีกหรือว่าจะพนันข้างใคร ในเมื่อคำตอบรู้ๆ กันอยู่แล้ว”
“นายหมายความว่าไง” เจฟฟรีถาม ลอร์ดจอร์จ เฟลตันลอยหน้าลอยตาตอบ “ก็หมายความว่ายังไงเราก็ต้องพนันข้างจอห์นนี่ไงล่ะ ใช่มั้ยกอร์ดอน”
กอร์ดอนที่นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่สะดุ้ง “อะไรนะครับ?”
ทุกคนหันมามองเขา จากนั้นก็หัวเราะ “ท่าทางกอร์ดอนไม่ชอบดูมวย เขาดูไม่สนใจเลยแฮะ”
“อ๋อ... ผมเปล่า” กอร์ดอนรีบพูด “ผมเคยดูมวยนะ แต่เป็นมวยที่ต่อยกันข้างถนน ไม่ใช่ต่อยกันบนสังเวียนแบบที่พวกคุณจะไปดูกันหรอก”