[เรื่องยาว] Dear, My customer. รักลับๆ ของช่างตัดเสื้อ บทที่53 (จบ)p.24(6/1/63)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องยาว] Dear, My customer. รักลับๆ ของช่างตัดเสื้อ บทที่53 (จบ)p.24(6/1/63)  (อ่าน 97617 ครั้ง)

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รู้สึกว่าดูเป็นเด็กน้อยจริง ๆ นั่นละค่ะ

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
แอบคิดมากว่าเขาจะลงเอยกันยังไงล่ะทีนี้ พระเอกเหมือนจะเป็นลูกคนเดียวด้วยรึป่าว  :heaven

ออฟไลน์ แฟนตาเซีย

  • หืมม...?
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
โถกอร์ดอนของเรา งานหนักหนาอยู่แล้ว ยังต้องมาตัดชุดให้แฟนอีกเป็นตู้ แถมยังถูกลากไปดื่มบ่อย ๆ ด้วย เหนื่อยแย่
ส่วนจอห์นน้อย น่าเอ็นดู พ่อแม่หวงขนาดนี้ คิดไม่ออกเลยว่า ความรักจะลงเอยยังไง

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
กอร์ดอน เป็นคนรักของจอห์นนี่นะสิ
เลยสามารถตัดทุกชุดให้จอห์นนี่ได้
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
คิดถึงคุณโอเดนเบิร์กขึ้นมาเลย ไม่มีบท 1 ตอน

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
แอบสงสัยนิดนึง ตอนที่จอห์นแก้ตัวกับพ่อว่าขับรถผ่านเลยเจอร้าน
แสดงว่าจอห์นมีรถด้วยใช่ไหมเอ่ย


มีค่ะ เคยขับไปที่ร้านของกอร์ดอนในบทที่2 แล้วโดนกอร์ดอนแขวะว่าคนคงตื่นกันทั้งซอย เพราะเครื่องยนต์เสียงดังมากก 555

ออฟไลน์ pinkypromise

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตอนนี้กอร์ดอนกำลังปิดร้านตัดเสื้อท่านลอร์ดอยู่แน่ๆ

คิวทองง ออกมาแต่ชื่อ 55

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
ยิ่งอ่านตอนนี้แล้ว...........
ยิ่งเหนถึงความยากของความรักคู่นี้ ToT

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ cinpetals

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 452
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
โอยยยย ชอบเรื่องนี้ พระเอกน่าร้ากกกก  :hao7:

ออฟไลน์ Malimaru

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 483
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-4
    • facebook


ขอติดตามอ่านด้วยคนนะคะ ^^


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog


Dear, My customer.

ตอนที่17 เหตุผลเรื่องเสื้อแขนยาว


                ลอร์ดโทรว์บริดจ์รู้สึกเป็นกังวลเรื่องกอร์ดอนหลังจากคุยกับพ่อของเขา เขาไม่เคยฉุกคิดมาก่อนว่าฝ่ายนั้นต้องทำงานหนักขนาดไหนเพื่อให้ได้เสื้อแต่ละตัวมา เอิร์ลหนุ่มหวนนึกไปถึงเมื่อครั้งที่เขาไปตัดเสื้อที่ร้านของกอร์ดอนครั้งแรก ด้วยความตื่นเต้นเขาไปที่นั่นตั้งแต่เช้าตรู่ และไม่สนใจด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะเต็มใจหรือไม่ เขาคิดแค่ว่าทำยังไงก็ได้ให้พวกเขารู้จักกันได้เร็วที่สุด และไม่เคยนึกถึงเบื้องหลังความเหนื่อยล้าที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของช่างตัดเสื้อเลย

                เอิร์ลหนุ่มตั้งใจจะไปพบกอร์ดอนหลังซ้อมมวยในวันพุธ เพราะเป็นวันที่ฝ่ายนั้นนัดเขารับเสื้อโค้ท แต่แล้วพอถึงวันจริงเขาก็ต้องแปลกใจ เมื่อช่างตัดเสื้อแวะมาหาเขาที่สโมสรมวยก่อนที่จะหมดเวลาซ้อมเพียงเล็กน้อย

                “คุณมานี่ได้ไง” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถามด้วยความตื่นเต้น เขารีบเสียจนลืมถอดนวมออก กอร์ดอนยิ้มให้เขา

                “ผมแวะมาดูคุณซ้อม แต่ดูท่าทางคงมาไม่ทัน ผมเอาเสื้อมาให้คุณด้วยครับ” ช่างตัดเสื้อพูดพลางยกถุงกระดาษให้ดู

                “งั้นหรือ...” เอิร์ลหนุ่มพยักหน้า พี่เลี้ยงเข้ามาช่วยถอดนวมให้

                “คุณต้องอาบน้ำล้างตัวใช่ไหม? ผมออกไปรอข้างนอกก็ได้” กอร์ดอนว่า ลอร์ดโทรว์บริดจ์ที่ถอดนวมออกแล้วรีบรั้งตัวเขาไว้

                “ยังก่อน ผมต้องรอเหงื่อแห้งถึงจะอาบน้ำได้”

                “อ๋อ งั้น...”

                “พวกเราไปนั่งคุยกันตรงนั้นดีกว่า” เอิร์ลหนุ่มชี้มือไปตรงเก้าอี้ยาวที่วางอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องซ้อม พวกเขาสองคนเดินไปนั่งตรงนั้น พี่เลี้ยงคนหนึ่งหยิบแก้วน้ำมาให้ ลอร์ดโทรว์บริดจ์บอกขอบคุณแล้วให้เขาออกไป

                “ผมดีใจจังที่คุณมาดูผมซ้อม แล้วนี่คุณไม่ต้องตัดเสื้อผ้าแล้วหรือ?” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถามฝ่ายนั้นพลางจิบน้ำ กอร์ดอนสั่นศีรษะ

                “ไม่ครับ วันนี้ผมปิดร้านแล้ว ตั้งใจจะมาดูคุณซ้อมโดยเฉพาะเลย แต่เสียดายมาช้าไปหน่อย”

                คนได้ฟังรู้สึกทั้งดีใจทั้งอิ่มใจจนแก้มที่แดงอยู่แล้วจากการซ้อมมวยแดงเข้าไปอีก แต่อีกใจก็อดห่วงอีกฝ่ายไม่ได้ “แต่ผมได้ยินว่างานที่ร้านของคุณเยอะมาก”

                “มันก็เยอะปกตินั่นแหละครับ ถ้าไม่มีงานนี่สิน่าเป็นห่วงมากกว่า” กอร์ดอนตอบ “ว่าแต่ผมมีเรื่องอยากถามคุณ”

                “เรื่องอะไรหรือ?” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า เขาอารมณ์ดีจนอยากจะก้มลงไปหอมแก้มอีกฝ่ายสักหนึ่งที ถ้าไม่ติดว่ากลัวคนอื่นจะเห็น

                ช่างตัดเสื้อมองดูเสื้อแขนยาวชื้นเหงื่อที่อีกฝ่ายสวมอยู่ “ทำไมคุณถึงสวมเสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาวขึ้นชกล่ะครับ? ลอร์ดครอฟตันบอกผมว่ามันดูไม่ปกติ”

                รอยยิ้มบนหน้าของเอิร์ลหนุ่มชะงักค้าง เขากะพริบตาอยู่ครั้งสองครั้ง จากนั้นก็หัวเราะกลบเกลื่อน “แล้วแบบไหนถึงเรียกว่าปกติล่ะ?”

                “ปกติแล้วมันต้องสวมกางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้ามไม่ใช่หรือครับ? ลอร์ดครอฟตันบอกผมแบบนั้น”

                “เอ็ดดี้จริงจังเกินไปแล้ว” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “ผมอยากใส่เสื้อแขนยาวขึ้นชก ไม่เห็นจะเป็นไรเลย”

                “แต่มันทำให้คุณดูไม่ถนัดนะ” กอร์ดอนว่า “ลอร์ดครอฟตันบอกว่าสมัยเรียนคุณเคยถอดเสื้อซ้อมด้วยซ้ำ”

                “นั่นมันสมัยเรียน” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบเลี่ยงๆ “ตอนนี้มันต่างกันแล้ว”

                กอร์ดอนทำหน้าไม่เข้าใจ “ทำไมครับ แค่สวมเสื้อกล้ามเอง” เขาเว้นจังหวะหน่อยหนึ่ง แล้วพูดเสียงอ่อนลง “จอห์น ผมเป็นช่างตัดเสื้อนะ บอกผมเถอะว่าทำไม ผมพอจะตัดเสื้อที่สวมแล้วสะดวกกว่านี้ให้คุณได้อยู่นะครับ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองหน้าเขา ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ไม่เป็นไรหรอกกอร์ดอน ผมจะไม่เพิ่มงานให้คุณอีกแล้ว ผมรู้ว่าคุณงานเยอะมาก”

                “แต่...”

                “คุณจะชวนผมไปกินมื้อเย็นที่ไหน” เอิร์ลหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง “ที่เดิมที่คุณพาไปวันก่อนก็ดีนะ แต่ผมขอเอาไวน์เข้าไปเองแล้วกัน”

                “คนละร้านกันครับ” กอร์ดอนตอบ “ร้านนี้อยู่ใกล้ๆ นี่เอง ผมว่าบรรยากาศดี เหมาะจะนั่งคุยกัน”

                คนได้ฟังพยักหน้า “ทำไมจู่ๆ คุณถึงมาชวนผมไปกินมื้อเย็นล่ะ”

                คนถูกถามหน้าแดงนิดๆ “ผมคิดว่าควรจะเป็นฝ่ายชวนคุณบ้าง รู้หรอกครับว่าฐานะเราไม่เท่ากัน แต่ผมไม่อยากเอาเปรียบ ผมไม่อยากเป็นฝ่ายรับอยู่ถ่ายเดียว”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ดีใจจนหน้าบาน เขายิ้มจนเห็นฟันครบซี่ “งั้นคุณรอผมอาบน้ำสักครู่นะ”

                “ตกลงครับ”

---------------------------------------

                ร้านอาหารคราวนี้อยู่ห่างจากสโมสรมวยของลอร์ดควีนสเบอรี่เพียงสองล็อก พวกเขาตัดสินใจเดินไปแทนที่จะนั่งรถม้า วันนี้กอร์ดอนยังคงสวมเสื้อโค้ทตัวเก่าของปู่ แต่เปลี่ยนมาสวมหมวกเดอร์บี้ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ดูเผินๆ ก็ไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ แต่ลอร์ดโทรว์บริดจ์ไม่ได้ทักอะไร เพราะเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าตัวถึงได้แต่งตัวแบบนี้

                ร้านตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนน มีโต๊ะตั้งทั้งหน้าร้านและในร้าน คนเฝ้าประตูทักทายกอร์ดอนทันทีที่เห็น “สายัณห์สวัสดิ์ครับคุณโอเดนเบิร์ก วันนี้คุณไม่ได้มาคนเดียวหรือนี่?”

                “วันนี้ผมพาเพื่อนมาด้วย” กอร์ดอนตอบ คนเฝ้าประตูหันมาทักทายลอร์ดโทรว์บริดจ์ ก่อนจะให้บริกรเดินนำทั้งสองคนเข้าไปในร้าน

                ตัวร้านตกแต่งค่อนข้างหรูหรา ลอร์ดโทรว์บริดจ์สังเกตว่าลูกค้ามีทั้งคนธรรมดา และพวกบรรดาขุนนางซึ่งก็เป็นคนที่เขาเคยเห็นผ่านตามาบ้างเวลาไปงานเลี้ยงสังสรรค์ หรือบางคนก็เจอกันที่มหาวิทยาลัย บริกรนำทั้งคู่มาส่งที่โต๊ะใกล้กับหน้าต่างกระจก แต่ท่านเอิร์ลขอเปลี่ยนเป็นโต๊ะที่อยู่มุมด้านในสุดแทน

                “ร้านดูดีเลยนะ คุณมากินบ่อยหรือ?” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถามหลังจากสั่งอาหารกับบริกรเรียบร้อยแล้ว กอร์ดอนพยักหน้า

                “พอสมควรครับ” ช่างตัดเสื้อตอบก่อนนะพูดต่อ “ไวน์ที่ร้านนี้น่าจะถูกปากคุณ ขอโทษนะครับที่คราวก่อนไม่ได้แนะนำมา ผมเกรงว่าจะมีคนจำคุณได้”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยิ้มแล้วพยักหน้า “ผมว่ามีคนจำได้แน่ ตอนเดินเข้ามามีอย่างน้อยๆ สามโต๊ะล่ะที่รู้จักผม”

                “โห...” กอร์ดอนคราง “พวกเขาเห็นคุณมั้ย?”

                “ไม่นะ ผมว่า” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบ “ถึงเห็นก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะคราวนี้ผมไม่ได้มานั่งคุยธุระส่วนตัวของเพื่อนแบบคราวก่อน”

                “ลอร์ดจอร์จกับเลดี้มาร์กาเร็ตเป็นไงบ้างครับ” กอร์ดอนถามอย่างนึกได้

                “พวกเขาไปกันได้ดี ดีมากๆ ดีจนน่าหมั่นไส้เลยล่ะสำหรับจอร์จ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบแล้วหัวเราะ ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ หยิบซองใส่ตั๋วโอเปร่าออกมา “พวกเขาเชิญเราไปดูดอน จิโอวานนี่ด้วย”

                กอร์ดอนมองซองตั๋วก่อนจะเงยมองหน้าเอิร์ลหนุ่ม “ดอน จิโอวานนี่?... ที่รอแยลโอเปร่าหรือครับ?”

                “ใช่”

                ช่างตัดเสื้อหน้าแดงด้วยความประหม่า “พระราชินีจะเสด็จไปทอดพระเนตรมั้ยครับ? ผมหมายถึง ผมจะมีโอกาสได้เห็นพระนางมั้ย?”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยิ้ม “พระราชินีเสด็จไปทอดพระเนตรมาแล้ว อย่างเป็นทางการนะ แต่ถ้าเป็นการส่วนพระองค์ ผมไม่แน่ใจว่าจะเสด็จไปวันไหนบ้าง”

                “ไม่เป็นไรครับ ผมแค่ตื่นเต้น” กอร์ดอนว่า “ผมไม่เคยไปดูโอเปร่าที่รอแยลโอเปร่ามาก่อน เขาให้คนธรรมดาอย่างผมเข้าใช่มั้ย?”

                “ถ้าคุณมีตั๋วก็เข้าได้ทั้งนั้นแหละ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า ก่อนจะเปิดซองหยิบตั๋วใบหนึ่งออกมา “มีชื่อคุณอยู่บนตั๋วด้วย นี่ไง”

                กอร์ดอนรับตั๋วโอเปร่าใบนั้นมาดูด้วยความตื่นเต้น เฉพาะกระดาษรวมถึงลวดลาย ตัวอักษรและหมึกที่ใช้พิมพ์ลงไปบนตั๋วก็ดูหรูหราสมกับเป็นโรงละครเฉพาะชนชั้นสูงแล้ว เขาเห็นชื่อตัวเองถูกเขียนอยู่บนตั๋วด้วยลายมือเรียบร้อยบรรจง

                “ขอบคุณลอร์ดจอร์จกับเลดี้มาร์กาเร็ตมากเลยนะครับ” กอร์ดอนพูด หน้าแดงด้วยความดีใจ ก่อนจะส่งตั๋วคืนให้ลอร์ดโทรว์บริดจ์ “ผมรบกวนคุณเก็บไว้ได้ไหม”

                “ได้สิ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้าแล้วรับตั๋วกลับมาใส่ซองคืนไว้ “ยังไงผมก็ตั้งใจจะมารับคุณไปอยู่แล้ว มาร์กาเร็ตเชิญคุณไปกินมื้อค่ำด้วย เธออยากพบคุณมาก”

                “จะดีหรือครับ...” กอร์ดอนพูดด้วยความประหม่า “ผมใส่ความเธอนะ... แค่คิดผมยังอายอยู่เลย”

                คนฟังหัวเราะ “ดีสิ วันศุกร์คุณปิดร้านปกติใช่ไหม ผมจะเอารถม้ามารับคุณไปกินมื้อค่ำกับพวกเขาก่อน แล้วพวกเราค่อยไปรอแยลโอเปร่ากัน”

                “ตกลงครับ” กอร์ดอนรับปาก ยังไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไรต่อ เสียงทักทายก็ดังขึ้น

                “สายัณห์สวัสดิ์ครับ ท่านลอร์ด”

                คนมาทักเป็นชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกันกับลอร์ดโทรว์บริดจ์ เขาสวมสูทสีดำตัวยาวที่ตัดเย็บมาอย่างดี ทับเสื้อกั๊กสีน้ำเงินเข้มและเสื้อเชิ้ตสีขาวด้านใน ลอร์ดโทรว์บริดจ์เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะทักกลับ

                “สายัณห์สวัสดิ์...”

                “จอห์นสันครับ” ฝ่ายนั้นต่อให้ “ผมจำได้ว่าชื่อต้นของเราเหมือนกัน” เขาพูดพลางถือวิสาสะเลื่อนเก้าอี้นั่ง

                “งานเลี้ยงต้อนรับคุณคราวก่อนผมไม่ได้ไป ต้องขออภัยด้วยนะครับ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์สั่นศีรษะ “ไม่เป็นไร ผมค่อนข้างแน่ใจว่าในรายชื่อแขกที่ได้รับบัตรเชิญไม่น่าจะมีชื่อคุณอยู่แล้ว”

                “.....”

                “จะว่าอะไรมั้ย ถ้าผมบอกคุณว่าผมต้องการคุยธุระส่วนตัวกับเพื่อน เสร็จแล้วผมยังต้องไปธุระที่อื่นอีก”

                ฝ่ายนั้นนิ่งไปพัก ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา “ก็ได้ครับท่านลอร์ด ผมขอโทษจริงๆ ที่มารบกวน” พูดจบเขาก็เดินออกไป กอร์ดอนแอบหันมองตามหลัง เห็นฝ่ายนั้นเรียกบริกรมาคิดค่าอาหารแล้วเดินออกจากร้านไปเลย เขาหันกลับมาหาลอร์ดโทรว์บริดจ์

                “ใครหรือครับ?”

                “คนรู้จักของเอ็ดดี้ เขาเรียนอีตันรุ่นเดียวกับผม” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า ก่อนจะถอนหายใจ “ผมไม่ชอบเขา”

                “ทำไมล่ะครับ?”

                “จอห์นสันเป็นลูกคนขายเนื้อ” เอิร์ลหนุ่มว่า พลางหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาจิบ “แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหรอก ผมไม่ชอบที่เขาเป็นคนทะเยอทะยาน”

                “?”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยกไวน์ขึ้นมาจิบอีกคำ ก่อนจะส่งเสียงในคอ “อืม... ใช้ได้เลย”

                “ครับ... แล้ว...”

                “อ้อ... ผมยังเล่าไม่จบ” เขาวางแก้วลงแล้ว พูดต่อ “เขาเป็นคนเรียนเก่งนะ เล่นกีฬาก็เก่ง หน้าตาก็ดีกว่าผม เขาคงคิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่มีอย่างเดียวที่เขาไม่พอใจ คือการที่เขาเป็นลูกคนขายเนื้อนี่แหละ”

                “.....”

                “จอห์นสันอยากเข้าสโมสรแบล็กเบิร์ด ตอนแรกเขาพยายามมาตีสนิทกับผม แต่ผมไม่สนใจ เขาเลยหันไปตีสนิทกับเอ็ดดี้แทน ก็อย่างที่คุณเห็นนั่นแหละ เอ็ดดี้เป็นคนที่มีมารยาทกว่าผม เขาไม่ค่อยปฏิเสธคนที่เข้ามาเท่าไหร่ แต่ผมไม่รับเขาเป็นสมาชิกสโมสร ผมไม่รู้สึกว่าเขาอยากเป็นเพื่อนกับผม แต่อยากเป็นเพื่อนกับเอิร์ลแห่งโทรว์บริดจ์มากกว่า ถ้าผมเป็นแค่ จอห์น คาเว็นดิชเฉยๆ เขาคงไม่สนใจ”

                “อ้อ...” กอร์ดอนครางในคอ ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ตะกี้ตอนคุณพูดกับเขา ผมรู้สึกว่าคุณดูเป็นท่านเอิร์ลขึ้นมาแว้บหนึ่งเหมือนกัน”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์เลิกคิ้วมองเขา “หมายความว่าไง? ปกติผมดูไม่เหมือนเอิร์ลหรือ?”

                กอร์ดอนหัวเราะ “ปกติท่านเอิร์ลต้องดูวางตัว เข้าถึงยากหน่อยนี่ครับ”

                “ผมก็ไม่ได้เข้าถึงง่ายๆ นะ” เอิร์ลหนุ่มบอกเขา กอร์ดอนพยักหน้าแล้วยิ้ม “นั่นสิ ผมเพิ่งนึกได้ว่าคุณก็เรื่องมากเรื่องไวน์ด้วยเหมือนกัน พอจะเหมือนท่านเอิร์ลหน่อยแล้วครับ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์หน้าแดง “คราวก่อนผมเสียมารยาทเรื่องไวน์สินะ” เขาพูดแล้วทำคอตก “ผมเป็นคนบอกให้คุณเลือกร้านเอง ผมไม่น่าบ่นเรื่องไวน์ให้คุณได้ยินเลย” เอิร์ลหนุ่มว่า “ผมนี่มารยาทแย่ชะมัด”

                “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมคิดว่าผมน่าจะจะเริ่มชินกับเรื่องมารยาทของคุณบ้างแล้วล่ะ ตั้งแต่พวกเรารู้จักกันมา”

                ท่านเอิร์ลหน้าแดงกว่าเดิม กอร์ดอนพูดต่อ “ความจริงผมอยากแซวคุณเหมือนกันนะ ว่าทีเหล้ารัมคุณยังดื่มได้หน้าตาเฉย แต่พอเป็นไวน์คุณดันเรื่องมากเสียได้”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์หัวเราะขวยๆ “ช่วยไม่ได้... ก็ผมเป็นลอร์ดโทรว์บริดจ์นี่นา”

                “ครับ ทราบล่ะครับ” ช่างตัดเสื้อพยักหน้าพลางยิ้ม บริกรทยอยนำอาหารที่สั่งไปมาวางที่โต๊ะ ทั้งคู่ก้มหน้าก้มตากินมื้อค่ำพลางพูดคุยถึงเรื่องสัพเพเหระที่ได้พบมาระหว่างช่วงเวลาที่ไม่ได้เจอกัน

-------------------------------------

                “ผมเห็นด้วยนะ เรื่องที่คุณไม่ควรดื่มเหล้ารัม” กอร์ดอนพูดขึ้น หลังฟังลอร์ดโทรว์บริดจ์เล่าเรื่องที่เขาถูกพ่อดุในวันอาทิตย์จบ

                “ผมไม่น่ารีบจนลืมอาบน้ำเลย” เอิร์ลหนุ่มคราง ช่างตัดเสื้อสั่นศีรษะ

                “มันไม่เหมาะกับคุณนะจอห์น คราวหลังถ้าคุณไปที่นั่นอีก คุณสั่งเบียร์มาดื่มก็ได้ เบียร์ดำของแจ็คสันขึ้นชื่ออยู่นะ”

                “ผมจะเก็บไว้เป็นตัวเลือกแล้วกัน” เอิร์ลหนุ่มว่า กอร์ดอนยิ้มแล้วมองเขา

                “มันไม่ทำให้ความน่าเชื่อถือว่าเป็นผู้จัดการเหมืองของคุณลดลงหรอกน่า คุณควรเลือกดื่มอะไรที่ดีกว่าตอนอยู่เหมืองบ้าง”

                “นั่นสินะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะพูดต่อ “กอร์ดอน คุณเอารายการเสื้อผ้าของผมติดมาด้วยมั้ย?”

                “ไม่ครับ ทำไมหรือ?”

                “ผมว่าจะเอาออกสักครึ่งหนึ่ง”

                ช่างตัดเสื้อทำหน้าสงสัย “ทำไมหรือครับ? คุณรีบใช้แล้วหรือ?”

                “เปล่า” ชายหนุ่มรีบปฏิเสธ “คือผมคิดว่ามันเยอะเกินไป ผมไม่อยากให้คุณทำงานหนัก งานที่ร้านคุณก็เยอะอยู่แล้ว”

                กอร์ดอนยิ้มออกมา “งานที่ร้านผมก็เยอะแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้วล่ะครับ คุณไม่เห็นจะต้องกังวลเลย”

                “แต่ผมเห็นห่วงคุณนี่” อีกฝ่ายตอบ กอร์ดอนถอนใจ

                “ถ้างั้นคุณไม่ควรจะเอามาให้ผมตัดแต่แรกครับ มาคิดได้ตอนนี้ก็สายไปเสียแล้วล่ะ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์หน้าเจื่อนนิดๆ “ผมเสียมารยาทอีกแล้วสินะ”

                อีกฝ่ายคลี่ยิ้ม “จอห์น ไม่ว่ายังไงผมก็จะตัดเสื้อให้คุณ ยกเว้นคุณรีบกว่าที่กำหนดเอาไว้ หรือคุณไม่พอใจฝีมือผมแล้ว”

                “ไม่มีทาง” ลอร์ดโทรว์บริดจ์โพล่งออกมา “แต่...”

                “ผมจะมีความสุขมาก ถ้าได้เป็นคนตัดเสื้อทุกตัวที่คุณสวม” กอร์ดอนพูดสวนแล้วหน้าแดง พลอยทำให้คนมองหน้าแดงตามไปด้วย

                “ผมเข้าใจแล้ว” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูด จากนั้นก็ยิ้มเขินๆ “ผมดีใจนะที่ชุดทั้งหมดที่ผมจะใส่ต่อไป จะมีคุณเป็นคนตัด มันทำให้ผมรู้สึกว่ามีคุณอยู่ข้างๆ ทุกครั้งเวลาสวม”

                กอร์ดอนเขินจนต้องแก้ขวยด้วยการหยิบไวน์แดงมาจิบ พลางนึกสงสัยว่าทำไมเขาถึงถูกลอร์ดโทรว์บริดจ์ทำให้เขินจนร้อนไปทั้งหน้าแบบนี้ทุกที

                “จริงสิครับ คุณยังไม่ได้บอกผมเลยว่าทำไมคุณถึงต้องสวมเสื้อแขนยาวขึ้นชก”

                รอยยิ้มของลอร์ดโทรว์บริดจ์ชะงักค้างบนใบหน้า เขาจ้องช่างตัดเสื้ออึดใจหนึ่ง ก่อนจะลดสายตาลง พอเห็นอีกฝ่ายมีท่าทางแบบนั้น กอร์ดอนจึงนึกขึ้นได้ว่าเขาอาจจะถามเรื่องที่ไม่สมควรอยู่

                “ผมขอโทษที่ถามละลาบละล้วงนะ ถ้าคุณไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร ผมแค่คิดว่าตัวเองน่าจะช่วยได้”

                “ไม่” เอิร์ลหนุ่มรีบพูดออกมา “คุณไม่ต้องขอโทษผมเรื่องนั้น คุณไม่ได้ละลาบละล้วงอะไร” เขาถอนหายใจแรง “ให้ตายสิ”

                กอร์ดอนยิ้มให้อีกฝ่าย “เอาน่าจอห์น... ไม่เป็นไรหรอก ผมเข้าใจ”

                “ไม่ คุณไม่เข้าใจหรอก” เขาโพล่งออกมา ก่อนจะทำหน้าหงุดหงิด “โธ่เอ๋ย... ผมพูดอะไรออกไปนะ”

                ก่อนที่กอร์ดอนจะทันได้พูดอะไรตอบ อีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้นต่อ “พวกเราไปคุยต่อที่ร้านคุณดีกว่า ที่นี่ไม่สะดวก”

----------------------------------------


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
                เดวิดมีสีหน้าแปลกใจที่เห็นเจ้านายของตัวเองกลับมาพร้อมกับเอิร์ลหนุ่มและถุงกระดาษที่ใส่เสื้อโค้ทเอาไว้ด้านใน

                “สายัณห์สวัสดิ์ครับท่านลอร์ด เสื้อมีปัญหาหรือครับ?”

                “อ๋อ เปล่า” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า กอร์ดอนรีบพูดแทรก

                “ท่านเอิร์ลมาลองเสื้อ เกรงว่าจะมีปัญหาน่ะ”

                “อ๋อ” เดวิดพยักหน้า กอร์ดอนพูดต่อ

                “เธอกินมื้อเย็นหรือยัง ถ้ายังออกไปกินได้เลย ฉันมีธุระสำคัญต้องคุยกับท่านเอิร์ลด้วยน่ะ”

                “อ๋อ ครับๆ ได้ครับ” เดวิดรีบพยักหน้า ก่อนจะออกจากร้านไปอย่างรู้งาน จึงเหลือแต่ช่างตัดเสื้อกับเอิร์ลแห่งโทรว์บริดจ์สองคน

                “นี่... ผมถามจริงนะ เดวิดสงสัยเรื่องผมกับคุณบ้างไหม?” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถามขึ้นขณะเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในร้าน กอร์ดอนทำหน้าปั้นยาก

                “ไม่รู้สิครับ เขาน่าจะยังไม่สงสัยไปถึงขั้นนั้นหรอก แต่เขาก็รู้ว่าพวกเราแอบนัดเจอกัน เขาคิดว่าคุณชอบชีวิตแบบชาวบ้าน เลยชอบชวนผมไปนั่นไปนี่ด้วย”

                คนฟังหัวเราะ “ดีแล้ว ให้เขาคิดอย่างนั้นแหละ”

                ช่างตัดเสื้อหันกลับมามองเขา “เราคุยกันในห้องลองเสื้อดีมั้ยครับ ถ้าเดวิดกลับมาจะได้ไม่สงสัยว่าทำไมพวกเราถึงต้องขึ้นไปคุยกันข้างบน

                “ไม่ต้องหรอก เราคุยกันตรงโต๊ะรับแขกนี้เลยก็ได้ ถ้ามีใครมาผมจะได้เห็นด้วย” เอิร์ลหนุ่มว่า “ผมไม่อยากให้ใครได้ยินเรื่องที่ผมจะเล่า มันเป็นความลับมาก”

                “ได้ครับ งั้นผมปิดม่านก่อน” กอร์ดอนเดินไปดึงม่านลง พอหันกลับมาก็เห็นลอร์ดโทรว์บริดจ์กำลังปลดกระดุมเสื้อของตัวเองอยู่

                “ทำอะไรครับ?” ฝ่ายนั้นถามด้วยความประหลาดใจ คนถูกถามกวักมือเรียกเขา

                “ผมอยากให้คุณเห็นเหตุผล ว่าทำไมผมถึงต้องสวมเสื้อแขนยาวขึ้นชก”

                กอร์ดอนเดินเข้าไปหยุดยืนตรงหน้า รู้สึกเขินเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกฝ่ายแบะอกเสื้อออก แต่แล้วก็ต้องอุทานด้วยความแปลกใจ

                “พระเจ้าช่วย... นี่คุณไปโดนอะไรมา...”

                “จับดูสิ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ไม่ตอบคำถาม แต่กลับฉวยมือช่างตัดเสื้อไว้ “ผมอยากให้คุณลองจับมัน”

                กอร์ดอนค่อยๆ ยกมือไปสัมผัสรอยแผลเป็นขนาดเกือบเท่าเหรียญห้าเพนนีที่อยู่บนซอกไหล่ด้านซ้ายของลอร์ดโทรว์บริดจ์ แผลเป็นค่อนข้างเรียบ แต่ยุบลึกเข้าไปอยู่พอสมควร ช่างตัดเสื้อมือสั่น เขาไม่เข้าใจว่าคนระดับเอิร์ลอย่างลอร์ดโทรว์บริดจ์ ได้รอยแผลนี้มาได้อย่างไร

                “เจ็บรึเปล่าครับ?” ช่างตัดเสื้อถาม แม้จะไม่รู้ว่ามันเป็นรอยแผลจากอะไร แต่เขาก็รู้สึกว่าตอนที่มันเกิดขึ้น ต้องสร้างความเจ็บปวดให้กับคนตรงหน้ามากแน่ๆ ฝ่ายนั้นสั่นศีรษะ

                “ไม่เจ็บแล้วล่ะ มันอยู่บนตัวผมมาได้สองปีแล้ว”

                กอร์ดอนเงยหน้าขึ้นมองเขา “เกิดอะไรขึ้นกับคุณหรือครับ?”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถอนใจ ดึงเสื้อกลับมาสวมเอาไว้เหมือนเดิม แล้วดึงมือกอร์ดอนให้นั่งลงข้างตัว

                “มันเป็นเรื่องสุดวิสัย” เขาว่า “สามปีที่แล้วผมตามอาไปที่อเมริกา อาผมทำธุรกิจเหมืองแร่ เขามีทั้งเมืองทองและเหมืองดีบุก แน่นอนว่าอุตสาหกรรมเหมืองต้องใช้คนงานเยอะมาก เรามีคนงานเป็นร้อยๆ พันๆ กระจายอยู่ตามแคมป์คนงานต่างๆ ถึงอาจะมีบ้านพักแยกออกมาต่างหาก แต่เราก็ต้องไปที่เหมืองทุกวันเพื่อคุมงาน”

                กอร์ดอนพยักหน้า เอิร์ลหนุ่มเล่าต่อ “คนงานที่ทำงานในเหมืองมีทั้งคนที่อพยพไปจากอังกฤษ คนที่มาจากสเปน เยอรมัน อิตาลี หรือแม้แต่พวกอินเดียนแดง ผมชอบคุยกับพวกเขานะ มันทำให้เห็นโลกที่กว้างขึ้น พวกเขามีโลกที่ต่างกับผมอย่างสิ้นเชิง พวกเขาเล่า ผมนั่งฟัง บางคนสอนภาษาผมด้วย แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเป็นมิตรทั้งหมด”

                “ในแค้มป์คนงานมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งอยู่บ่อยครั้ง วันนั้นเป็นวันที่เลวร้ายที่สุด เรื่องมันเกิดขึ้นแต่เช้า ยามที่เฝ้าเหมืองขี่ม้ามาบอกอาผมว่าเกิดเหตุฆ่ากันตายที่แค้มป์คนงานหมายเลขสาม ผมกับอาเลยรีบออกไปดูที่เกิดเหตุ พอถึงแค้มป์ก็พบว่าพวกนั้นจับตัวคนที่น่าสงสัยว่าจะเป็นฆาตกรที่สุดเอาไว้แล้ว เป็นเด็กอินเดียนแดงที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้สามเดือน พวกนั้นเกือบจะฆ่าเขาก่อนที่เราจะไปถึง โชคดีที่หัวหน้ายามห้ามไว้ได้”

                “คนที่ถูกฆ่าตายเป็นคนงานชาวสเปนที่อยู่ในวัยฉกรรจ์ ตัวใหญ่กว่าผมด้วยซ้ำ เขานอนตายจมกองเลือดโดยมีมีดปักอยู่ที่คอตรงหน้าเต๊นต์พักของตัวเอง พยานที่อ้างว่ารู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่าได้ยินเสียงคนทะเลาะกันตั้งแต่ยังไม่รุ่งสางดี แต่สักพักก็เงียบไปจึงไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะปกติก็มีการทะเลาะกันที่เหมืองเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว ไม่มีใครเห็นตัวฆาตกรเลย แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาเชื่อว่าเป็นฝีมือของเด็กอินเดียนแดงคนนั้นเพราะมีดที่ปักอยู่บนคอของศพเป็นมีดของเจ้าตัว แต่เขาอ้างว่ามีดถูกขโมยไปตั้งแต่สัปดาห์ก่อน แน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อเขา ทุกคนเรียกร้องให้อาผมจัดการอะไรสักอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับอินเดียนแดง โทษสำหรับเขาในกรณีฆ่าคนขาวตายมีสถานเดียวคือตายตามไปด้วย”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์หยุดพักหายใจ “แต่ผมไม่เชื่อว่าเขาจะเป็นคนฆ่าผู้ชายตัวใหญ่ขนาดนั้นได้ เขาอายุแค่สิบสี่ปี เตี้ยกว่าผมเกือบครึ่ง ผมนึกภาพไม่ออกด้วยซ้ำว่าเขาเอามีดแทงคอผู้ชายที่สูงและแข็งแรงกว่าเขาครึ่งหนึ่งได้อย่างไร” ชายหนุ่มยิ้มออกมา “เวลาผมอ่านเชอร์ล็อค โฮล์ม ผมชอบคิดเสมอว่าการสืบคดีต้องเริ่มต้นจากพื้นที่เกิดเหตุ เราต้องคุกเข่ามองหารอยเท้าคนร้าย หรือก้นบุหรี่ที่พวกเขาอาจจะทิ้งเอาไว้ แต่ในความเป็นจริงแล้วเรื่องมันง่ายกว่านั้นมาก คนที่ตายตัวใหญ่กว่าผม เพราะฉะนั้นคนที่ฆ่าเขาโดยแทงเขาด้วยมีดเข้าที่คอ จะต้องตัวใหญ่พอๆ กันหรือสูงกว่า ที่สำคัญแผลที่อยู่บนคอของเขามีหลายแผล ส่วนใหญ่เป็นแผลถากที่เกิดจากคมมีด แผลที่ทำให้ถึงตายคือแผลที่เส้นเลือดใหญ่ อาผมเดาเอาจากประสบการณ์ว่าชายที่ตายคงพยายามดิ้นรนตอนที่ฆาตกรพยายามใช้มีดเชือดคอเขา ถึงได้มีรอยแผลถากมากมายขนาดนี้ นั่นเป็นที่มาของเสียงทะเลาะที่มีคนได้ยินในตอนรุ่งสาง แต่สุดท้ายเขาก็ถูกฆ่า ดังนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นฝีมือของเด็กอินเดียนแดงคนนั้น”

                “ผมกับอาเลยมองหาคนที่ตัวสูงพอๆ กับคนที่ตาย ซึ่งมีอยู่สองคน หนึ่งในนั้นคือคนที่ชี้บอกคนอื่นเรื่องมีด ทั้งคู่ดูหงุดหงิดที่ผมกับเอาไม่ยอมลงโทษเด็กอินเดียนแดงแต่มาหาเรื่องเอากับพวกเขาแทน ผมเลยเอ่ยปากขอเต๊นต์พักของพวกเขา เพราะแน่ใจว่าฆาตกรจะต้องซ่อนเสื้อที่เปื้อนเลือดเอาไว้ในเต๊นต์แน่ หนึ่งในสองคนนั้นเลยออกตัวให้ไปตรวจที่เต๊นต์ของเขาก่อนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ”

                “เรื่องมันเกิดขึ้นเร็วมาก ผมกับอาเข้าไปตรวจในเต๊นต์ของเขา ระหว่างที่เรากำลังมองหาเสื้อเปื้อนเลือดหรืออะไรทำนองนั้น เขาก็กระโจนมาคว้าคอผม ก่อนจะชักมีดที่ซ่อนอยู่มาจ่อคอผมเอาไว้ แล้วตะโกนให้ทุกคนหลีกไป”

                เอิร์ลหนุ่มหน้าแดงก่ำ “บอกตรงๆ นะ ตอนนั้นผมทั้งกลัวทั้งอับอายเลย ไม่คิดว่าตัวเองจะถูกจับเป็นตัวประกันแบบนั้น ผมหันไปหาอา เห็นเขาเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็...”

                “ปัง!”

                กอร์ดอนสะดุ้งเฮือก เขาถลึงตามองลอร์ดโทรว์บริดจ์ที่หัวเราะออกมา ก่อนจะชกฝ่ายนั้นเบาๆ ที่แขน

                “ไม่ตลกนะครับ คุณเกือบโดนยิงเลยนะ” ช่างตัดเสื้อมองเขาเคืองๆ เอิร์ลหนุ่มสั่นศีรษะ

                “ผมไม่ได้เกือบ ผมโดนยิงเลยล่ะ โดนเข้าตรงนี้พอดี” เขายกนิ้วโป้งชี้ไปที่ซอกไหล่ซ้ายของตัวเอง กอร์ดอนเลิกคิ้ว อีกฝ่ายเล่าต่อ “มันเหมือนเวลาถูกทำให้ช้าลง ผมเห็นปืนอยู่ในมือของอา เห็นดวงตาสีเทาของเขาจับจ้องไปที่ด้านหลังผม แล้วก็เห็นอาผมเหนี่ยวไกปืนอีกนัด จากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย มารู้สึกตัวอีกทีตอนที่อากับคนอื่นๆ ช่วยกันหามผมออกมาจากเต๊นต์นั่นแหละ”

                กอร์ดอนอ้าปากค้าง เนิ่นนานถึงเค้นคำพูดออกมาได้ “อะ... อาคุณเป็นคนยิงคุณหรือครับ?”

                “ใช่” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า “เขาให้เหตุผลว่าถ้าไม่ยิงผมก่อน สถานการณ์มันจะยิ่งควบคุมไม่ได้ ผมอาจจะต้องถูกคนงานคนนั้นลากตัวขึ้นม้าเพื่อเป็นตัวประกันในการหลบหนี ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นมันจะยิ่งยากสำหรับเขาในการรับรองความปลอดภัยของผม ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจยิงผมก่อน โดยเลือกที่ที่ไม่สำคัญที่สุด เพื่อให้คนที่จับผมอยู่ไขว้เขว แล้วก็ใช้จังหวะนั้น รุกฆาตปิดเกม”

                กอร์ดอนพูดอะไรต่อไม่ออก เขานึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้กับคนตรงหน้าได้ ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดต่อ “อาผมเป็นทหารเก่า ผมลืมเล่าให้คุณฟัง เขาเคยเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังปกป้องอาณานิคมในอเมริกา นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพอเขาลาออกมาแล้วจึงกลับไปทำเหมืองที่นั่น”

                “คุณเล่าให้พ่อคุณฟังหรือยังครับ?” กอร์ดอนถามออกมาในที่สุด ฝ่ายนั้นสั่นศีรษะ

                “เปล่า เรื่องนี้จะให้พ่อผมรู้ไม่ได้เด็ดขาด” เขาเว้นจังหวะหน่อยหนึ่ง “ผมไม่อยากให้พ่อกับอาผิดใจกัน”

                “ทำไมล่ะครับ? เขาช่วยชีวิตคุณเอาไว้นะ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองเขา แล้วถอนใจ “ผมเป็นลูกชายคนเดียว และผมยังไม่มีลูก ถ้าผมตาย คนที่จะได้รับมรดกต่อมาคืออาของผม...”

                กอร์ดอนอ้าปากค้าง เอิร์ลหนุ่มพูดต่อ “คุณรู้อะไรมั้ย กระทั่งตอนที่อาเล่าให้ผมฟัง เขายังบอกว่ากลัวตัวเองเลย ตอนนั้นเขานึกอยากจะยิงหัวผมแว้บหนึ่งด้วยเหมือนกัน แต่สุดท้ายเขาก็เปลี่ยนใจ โชคดีที่ปิศาจไปเสียก่อนที่เขาจะเหนี่ยวไก”

                ช่างตัดเสื้อบีบมือตัวเองแน่น ก่อนจะค่อยๆ คลายออก แล้วขยับไปจับมือข้างหนึ่งของลอร์ดโทรว์บริดจ์เอาไว้ ก่อนจะบีบเบาๆ

                “คุณคงเจ็บมาก”

                “เจ็บสิ” อีกฝ่ายตอบ “โชคยังดีที่กระดูกไม่ถึงกับแตก แค่ร้าวนิดหน่อย แต่ต้องผ่าตัดเอาลูกปืนที่ฝังอยู่ในกล้ามเนื้อออกมา ผมนอนอยู่ที่โรงพยาบาลสักครึ่งเดือนได้ เพราะอากลัวแผลจะติดเชื้อ ผมล่ะคิดว่าตัวเองจะต้องแต่งงานกับพยาบาลคนใดคนหนึ่งในนั้นเสียแล้ว”

                กอร์ดอนหัวเราะออกมา “ดีจังที่คุณรอดมาได้”

                “ใช่ ไม่งั้นผมคงไม่ได้มาเจอคุณ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบแล้วกุมมือเขาเอาไว้ “โชคดีที่ผมไม่เคยปิ๊งนางพยาบาลสักคน”

                กอร์ดอนต่อยแขนเขาอีกทีหนึ่ง “นี่เราพูดกันถึงเรื่องรอยแผลของคุณอยู่นะ”

                ท่านเอิร์ลหัวเราะแล้วก้มลงหอมแก้มช่างตัดเสื้อ จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “กอร์ดอน”

                “ครับ?”

                “ห้ามเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังนะ ผมไม่อยากให้ใครรู้ทั้งนั้น แม้แต่จอร์จหรือแมกซ์”

                “ทำไมล่ะครับ?” อีกฝ่ายถาม “คุณไม่ไว้ใจพวกเขาหรือ?”

                “เปล่า” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบ แล้วถอนใจเฮือก “เพราะผมไม่ต้องการความสงสารน่ะ ไม่ว่าจากเพื่อน หรือจากใครก็ตาม”

                กอร์ดอนช้อนดวงตาสีฟ้าขึ้นมองอีกฝ่ายอยู่เป็นนาน สุดท้ายก็ถามออกมา “แล้วทำไมถึงบอกผมล่ะครับ”

                คนถูกถามคลี่ยิ้ม “เพราะคุณเป็นคนรักของผมไง” เอิร์ลหนุ่มตอบเขา “ถ้าผมไม่เล่าคุณต้องเป็นกังวลและสงสัย ผมไม่อยากให้คุณสงสัยผม คนรักไม่ควรจะสงสัยกัน”

                “จอห์น...”

                อย่างแผ่วเบา ริมฝีปากของลอร์ดโทรว์บริดจ์สัมผัสกับริมฝีปากของช่างตัดเสื้อ ก่อนจะผละออกไป “คุณไม่ต้องกังวลอะไรหรอก แผลนี้ไม่ส่งผลอะไรกับร่างกายผมเลย ผมแค่ไม่อยากให้ใครเห็นมันเท่านั้น นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงต้องใส่เสื้อแขนยาว”

                กอร์ดอนลูบมือลงไปบนซอกไหล่ซ้ายของเขา สัมผัสรอยแผลนั้นผ่านเนื้อผ้า แล้วพยักหน้าช้าๆ

--------------------------------------
(จบตอน)

*** ระหว่างเขียนตอนนี้ เราคิดขึ้นมาว่าน่าจะลองเขียนนิยายสืบสวนง่ายๆ ดูสักเรื่อง ฮ่าๆๆ (มีความมโนสูงมาก) ตอนนี้เป็นตอนที่แก้หนักมาก เราเกือบปล่อยไก่ตัวใหญ่ออกมาแล้ว ด้วยการเขียนให้จอห์นนี่ถูกไรเฟิลยิงจากระยะไกล แต่มาฉุกคิดได้ว่าถึงไม่ตายก็ต้องพิการแน่นอน เพราะกระสุนไรเฟิลคงไม่แค่ผ่านกระดูกไปเฉยๆ แน่ ดังนั้นเลยมีดราฟไรเฟิลที่ไม่เป็นจริงค้างอยู่ในเครื่อง ฮ่าๆ (บ่นแบบโอตาคุสุดๆ) สุดท้ายหลังจากคิดหัวแทบแตก เรื่องเลยไปออกที่ปืนพกแทน (ติ๊งต่างแบบขี้โม้ว่าจอห์นนี่กระดูกแข็ง + อาใช้กระสุนแบบหัวบาน พอโดนกระดูกเลยแค่ร้าว ไม่ถึงกับแตก<<มโนหนักมาก ฮ่าๆ)

ลองทำตัวอักษรย่อที่ปักอยู่บนผ้าเช็ดหน้าของท่านลอร์ดแต่ละคนออกมาค่ะ ฮ่าๆๆๆ (มีโมเม้นต์อยากดมผ้าเช็ดหน้าท่านลอร์ด ไม่รู้ทำไม :hao6:)



อันนี้เป็นอักษรย่อของจอห์นนี่ ที่จริงแล้วมันควรจะขึ้นต้นด้วยตัวJ แต่เรารู้สึกว่าวางCเอาไว้ด้านหน้ามันดูอลังการกว่า... เป็นการออกแบบที่ไม่มีหลักการเลยให้ตายเหอะจอห์น



อักษรย่อของลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ ที่มีชื่อเต็มว่าแมกซิมิลเลี่ยน เมอร์เรย์ (แน่นอนว่าเราไม่พิมพ์ลงไปในนิยายหรอกค่ะ ยาวมากขี้เกียจพิมพ์ ฮ่าๆ) ของแมกกี้จะมีความอลังการน้อยกว่านิดนึง เพราะฮีไม่ได้มีตำแหน่งเป็นกิจลักษณะ (มโนไป) อีกอย่างสองพี่น้องตระกูลเมอร์เรย์นี้ใช้ตัวย่อตัวเดียวกันค่ะ คือ M.M. (ความมหัศจรรย์ของแมกซ์และไมครอฟพี่ชายคงได้เฉลยในบทต่อๆ ไปที่วางแผนจะเขียน)



อักษรย่อของลอร์ดจอร์จ เฟลตันค่ะ ฮ่าๆๆ ถ้ามันจะปักลงบนผ้าเช็ดหน้า คงเป็นผืนที่ดิฉันอยากเอามาดมเป็นที่สุด อยากสูดกลิ่นน้ำตาคุณชายอ่ะ (555+ ดูโรคจิตมาก  :hao6:) อักษรของจอร์จดูเรียบที่สุดค่ะ แต่เป็นเรียบหรูสไตล์จอร์จ (เหรอ???)

ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่า  :pig4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ความยากของเส้นทางความรัก

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ตอนนี้เปลี่ยนไปเป็นแนวสอบสวน
ชอบนะ มีเรื่องให้รู้เพิ่มขึ้นไปอีก
เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะจ๊ะ

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
นี่สิวิถีของลูกผู้ชาย :m19:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
อ่านสนุกทุกบรรทัด

เขาบอกรักกันผ่านเสื้อผ้า.
ก๊าวใจสุด ๆ

ออฟไลน์ นางสาวกานาเลส

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
โง้ยยยย ขอตอนกร๊าวใจอีกกกกก 555555555

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
มีความตะมุ้งตะมิ้งของคนรักกันเต็มไปหมดเลย ดีอ่ะะะ

ออฟไลน์ Brand_Zess.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
จริงๆแล้วก็หื่นใช่เล่น

ออฟไลน์ EARTHYSS :)

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 391
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
อีตาสบู่จอห์นสันจะเป็นคนเอาเรื่องไปบอกพ่อจอห์นหรือปล่าวเนี่ย แค้นมาก

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog


Dear, My customer.

ตอนที่18 ช่างตัดเสื้อ

                หัวข้อการเสวนาในวันนี้ของสโมสรแบล็กเบิร์ด กลับมาอยู่ที่การต่อยมวยของลอร์ดโทรว์บริดจ์อีกครั้ง หลังจากสมาชิกทั้งหมดพูดคุยกันถึงเรื่องที่บาร์บีช็อตกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ลอร์ดครอฟตันเป็นคนแรกที่เปิดประเด็นขึ้นก่อน

                “จอห์นนี่ ตกลงแล้วนายจะขึ้นชกในชื่อไหน ชื่อจริงหรือฉายา แล้วนายจะให้ใครไปดูบ้าง ฉันจะได้บอกเพื่อนๆ”

                “ลอร์ดควีนสเบอรี่อยากให้ฉันใช้ชื่อลิตเติลจอห์น ส่วนพ่อฉันอยากให้ฉันใช้ชื่อจริง แต่เขาก็ชอบชื่อลิตเติลจอห์นเหมือนกัน สรุปคือเราจะใช้ชื่อลิตเติลจอห์นในการทำโปสเตอร์ปิดประกาศ โดยใส่ชื่อจริงของฉันเอาไว้ในวงเล็บด้านล่าง ส่วนใครอยากป่าวประกาศว่าเอิร์ลแห่งโทรว์บริดจ์จะขึ้นชกกับแมดเนอร์ก็ทำได้เลยตามสะดวก”

                “ว้าว” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันร้องออกมา “ฉันคิดไม่ถึงว่าพ่อนายจะอยากให้ใช้ชื่อจริงนะเนี่ย”

                “เขาอยากให้ฉันลองหัดรับผิดชอบชื่อเสียงของตัวเองดูบ้าง”

                “จะเกิดอะไรขึ้นถ้านายแพ้?” นิโคลาสถาม “มันจะทำให้นายดูแย่มากรึเปล่า?”

                “ไม่นะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “ลอร์ดควีนสเบอรี่เองก็ต่อยมวยโดยที่ทุกคนรู้ว่าเขาคือมาร์ควิส และเขาก็เคยแพ้มาหลายครั้งแล้ว”

                “นั่นสิ” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์พยักหน้าเห็นด้วย “แล้วเรื่องพี่เลี้ยงล่ะ? นายยังคิดจะให้จอร์จเป็นอยู่อีกมั้ย?”

                “อ๋อ แน่นอน” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า “ลอร์ดควีนสเบอรี่คิดว่าฉันควรมีเพื่อนสักคนเป็นพี่เลี้ยงอยู่ข้างเวที จะได้อุ่นใจเวลาต่อย ฉันเลยคุยกับเขาเรื่องจอร์จแล้ว”

                “วู้ว ฉันได้เป็นพี่เลี้ยงจอห์นนี่” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันร้องออกมา “นายทำเซอร์ไพรส์ฉันนะเนี่ย ฉันตื่นเต้นยิ่งกว่าได้กินคาร์เวียร์สีทองอีก”

                เขายื่นมือไปกอดคอเพื่อนรัก “งี้ฉันต้องไปดูนายซ้อมทุกวัน จะได้รู้ว่าต้องทำไงเวลาอยู่ข้างเวที”

                “นายจะชวนมาร์กาเร็ตไปดูด้วยก็ได้นะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า เจมส์พูดต่อทันที

                “ใช่ เรื่องมาร์กาเร็ต นายยังไม่เล่าเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกนายถึงได้กลับมาคุยกันได้ล่ะ”

                คนถูกถามทำหน้าเบื่อๆ “ก็มาร์กาเร็ตเป็นคู่หมั้นฉัน ฉันกลับไปคุยกับเธอไม่เห็นจะแปลกอะไรเลย”

                “โห...” เพื่อนคนอื่นที่ยังไม่รู้เรื่องครางขึ้นพร้อมกัน “เกิดอะไรขึ้นกับนายเนี่ยจอร์จจี้ ก่อนหน้านี้นายยังทำท่าเหมือนหงุดหงิดเวลาใครพูดว่ามาร์กาเร็ตเป็นคู่หมั้นนายอยู่เลย”

                “นั่นสิ นายไม่เคยแยแสเธอด้วยซ้ำ แถมยังเคยบอกว่า ใครก็ได้ที่ไม่ใช่เธอ”

                “โอ๊ย พอที” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันยกมือห้าม “ก่อนหน้านี้ฉันจะพูดถึงมาร์กาเร็ตยังไงก็ช่าง เอาว่าตอนนี้เธอคือคู่หมั้นฉัน และเราก็รักกันเรียบร้อยแล้ว พวกนายไม่ต้องสงสัยอะไรทั้งนั้น ฉันบอกว่าจบก็คือจบ”

                “ว้าว” เจมส์ร้องขึ้นมา “นายรักกับมาร์กาเร็ตแล้วหรือ? ในที่สุดนายก็ยอมรับว่ารักเธอเสียที ฮ่าๆ แสดงว่ามันต้องเกี่ยวกับรอยช้ำที่แก้มนายวันก่อนแน่ๆ”

                “ฉันบอกแล้วว่ามาร์กาเร็ตเหมาะสมกับนายที่สุด” ลอร์ดครอฟตันว่า

                “แล้วนายทำยังไงกับแมรี่และไอรีนล่ะ?” เจฟฟรีถามด้วยความสงสัย “แล้วผู้หญิงอีกเป็นครึ่งโหลของนายที่เหลือนายจะเอาไปไว้ไหน”

                “ถ้ามาร์กาเร็ตรู้เรื่องพวกเธอมันต้องจบไม่สวยแน่นอน” เจมส์ว่า อีธานพูดขึ้นต่อ

                “กฎหมายอนุญาตให้แต่งภรรยาได้แค่คนเดียวนะจอร์จจี้”

                “โอ๊ย! ฉันรู้แล้วล่ะน่า พวกนายหยุดพูดที!” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันโวยวายขึ้นมา “ฉันจัดการเรื่องแมรี่กับไอรีนไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนผู้หญิงที่เหลือ... ถ้าพวกนายไม่พูด... มาร์กาเร็ตก็ไม่รู้”

                “อื้อหือ... หมายความว่าชีวิตรักของนายอยู่ในความรับผิดชอบของพวกเรางั้นสิ” โรเบิร์ตว่า ลอร์ดจอร์จ เฟลตันหันไปหาลอร์ดโทรว์บริดจ์

                “จอห์นนี่ ช่วยฉันหน่อยซี่ บอกพวกนี้ทีว่าให้หยุดพูดเรื่องนี้ที แค่ฉันกลับไปรักกับมาร์กาเร็ตทำไมถึงต้องทำเหมือนมันเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ด้วย”

                “ก็มันเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ นี่” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์แทรกขึ้นมา “และมันจะใหญ่มากกว่านั้นถ้านายยังไม่จัดการผู้หญิงอีกครึ่งโหลที่เหลือ”

                “อ่อค... แมกซ์ นายรู้ได้ยังไงว่าฉันยังมีผู้หญิงอีกเป็นครึ่งโหล ขนาดตัวฉันเองยังไม่เคยนับเลย”

                เพื่อนๆ ต่างพากันส่ายหน้าด้วยความระอาใจ ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถอนหายใจออกมา “เอาล่ะจอร์จ ฉันเห็นด้วยว่านายควรจัดการเรื่องผู้หญิงที่เหลือให้เรียบร้อย อย่างน้อยๆ นายก็ควรจะนับว่ามีอยู่กี่คน”

                ลอร์ดจอร์จ เฟลตันทำคอตก เพื่อนตัวใหญ่ของเขาพูดต่อ “ส่วนเรื่องมาร์กาเร็ต นายกับเธอเป็นคู่หมั้นกัน ดังนั้นในเมื่อพวกนายตกลงใจรักกันแล้ว ทุกคนก็ควรจะต้องแสดงความยินดีด้วย ใช่ไหมล่ะ?”

                “ก็จริงของนาย จอห์นนี่” อีธานว่า ลอร์ดครอฟตันพยักหน้าเห็นด้วย เจมส์เลยต้องพยักหน้าตาม

                “ก็ได้... เห็นแก่จอห์นนี่ ฉันจะไม่ถามว่าเพราะอะไรพวกนายสองคนถึงกลับไปรักกัน”

                “ยินดีด้วยจอร์จจี้”

                “ขอให้นายโชคดีกับมาร์กาเร็ตนะ”

                “พวกเราทุกคนจะคิดถึงนาย”

                “เดี๋ยวๆ” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันพูดขึ้นมา “ทำไมพวกนายพูดอย่างกับฉันจะไปไหน ไม่ ฉันยังไม่ได้สวมแหวนหมั้น แล้วก็ยังไม่ได้กำลังจะแต่งงานด้วย ฉันแค่กลับไปรักกับมาร์กาเร็ตเฉยๆ พวกนายเข้าใจไหม”

                ทั้งหมดพากันหัวเราะอีก กอร์ดอนที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ได้แต่ยิ้ม ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์พูดขึ้นต่อ

                “เอาล่ะ ช่างเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของจอร์จจี้ไว้ก่อน ตกลงว่าจอห์นนี่จะขึ้นชกวันที่สิบห้าเดือนหน้า ก็เหลือเวลาอีกประมาณสามสัปดาห์ ว่าแต่จะชกที่ไหน นายรู้แล้วหรือยัง?”

                คนถูกถามพยักหน้า “สนามมวยที่เพิ่งสร้างใหม่ของลอร์ดควีนสเบอรี่ที่แลมเบธ เดี๋ยวก่อนขึ้นชกประมาณหนึ่งสัปดาห์ ฉันจะเอาบัตรเชิญมาแจกพวกนาย”

                “เยี่ยมเลย แล้วตอนนี้การซ้อมของนายเป็นไงบ้าง” เจฟฟรี่ถามขึ้น ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบเขา “ก็ดี แต่ฉันยังต้องฝึกเรื่องฟุตเวิร์คอีก”

                “แมดเนอร์ตัวใหญ่กว่านาย” ลอร์ดครอฟตันว่า “วันก่อนฉันเพิ่งไปดูเขาชก นายต้องซ้อมให้มากๆ จอห์นนี่ ครั้งนี้ฉันลงเดิมพันข้างนายเต็มที่เลย”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์หัวเราะ “เผื่อใจไว้บ้างเอ็ดดี้ ฉันไม่ใช่นักมวยอาชีพ”

                “ไม่เป็นไร ยังไงนายก็เป็นเพื่อนฉัน” อีกฝ่ายตอบ ก่อนจะยกมือตบไหล่เพื่อน “แต่ฉันอยากให้นายชนะ พวกเราทุกคนคงมีความสุขมาก”

                “จริงสิ” กอร์ดอนพูดขึ้นมา “คุณต้องหาโอกาสไปดูการชกของแมดเนอร์บ้างนะจอห์น จะได้รู้ว่าสไตล์การชกเขาเป็นยังไง”

                “ผมกำลังคิดอยู่” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “มันจะไม่ดูน่าเกลียดใช่มั้ย? หมายถึงผมไม่ได้เอาเปรียบเขานะ?”

                “มันก็เหมือนเวลาเราไปดูทีมรักบี้ทีมอื่นซ้อมนั่นแหละ” ลอร์ดครอฟตันว่า “เรื่องชื่อชั้นและประสบการณ์นายเป็นรองเขาเยอะมากนะ นายควรจะหาเวลาไปดูเขาขึ้นชก เขาจะชกอีกปลายเดือนนี้ นายควรจะไปกับจอร์จ จะได้ช่วยกันดู”

                “นายไม่ไปดูด้วยกันล่ะเอ็ดดี้” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันชวน “นายเองก็ว่างนี่นา”

                “ก็ได้” ลอร์ดครอฟตันตอบตกลง “แต่ระวังฉันจะแย่งตำแหน่งพี่เลี้ยงจอห์นนี่จากนายนะ”

                ลอร์ดจอร์จ เฟลตันหัวเราะชอบใจ ขณะที่ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์พูดขึ้น “ฉันกลัวแต่พวกนายจะพากันไปเล่นพนันแทนน่ะซี่”

                เพื่อนๆ พากันหัวเราะออกมา จากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนไปคุยถึงเรื่องแทงม้า เรื่องกฎหมายที่เพิ่งออกใหม่ ข่าววางระเบิดที่ฝรั่งเศส ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะเสนอให้เล่นไพ่บริดจ์ ทั้งหมดจึงเล่นไพ่ไปจิบวิสกี้ไป จนถึงเวลาสี่ทุ่มจึงแยกย้ายกันกลับ

                “กอร์ดอน คุณยิ้มอะไร” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถามขณะที่ทั้งคู่นั่งกันอยู่บนรถม้า ช่างตัดเสื้อตอบเขาอย่างอารมณ์ดี

                “ผมกำลังคิดว่า ในที่สุดก็มีวันที่สโมสรของคุณเหมือนสโมสรของท่านสุภาพบุรุษเสียที”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์แยกเขี้ยวใส่เขา “แสดงว่าก่อนหน้านี้สโมสรของผมไม่เหมือนสโมสรสุภาพบุรุษสินะ?”

                คนถูกถามหัวเราะ “สโมสรคุณก็เหมือนคุณนั่นแหละครับ แต่ผมชอบนะ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ขยับไปนั่งข้างฝ่ายนั้น แล้วโอบตัวเขาไว้ “ดีนะที่คุณชอบ ถ้าคุณกล้าบอกว่าไม่ชอบผมคงต้องทำโทษคุณแน่”

                “คุณจะทำโทษอะไรผม”

                เอิร์ลหนุ่มยิ้มที่มุมปาก แล้วยกนิ้วโป้งขึ้นขยี้ริมฝีปากของอีกฝ่าย “จะทำโทษให้คุณจูบผมสักสิบครั้ง”

                กอร์ดอนหัวเราะออกมา ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “แต่เพราะคุณบอกว่าชอบ ผมเลยใจอ่อน เปลี่ยนเป็นผมจูบคุณสิบครั้งแทนแล้วกัน”

                “อ๊ะ!” ยังไม่ทันที่ช่างตัดเสื้อจะพูดอะไรตอบ ริมฝีปากของเอิร์ลหนุ่มก็แนบลงมา หลังจากเคล้าปลายลิ้นเบาๆ อยู่พัก เขาก็ถอนริมฝีปากออก

                “ครั้งที่หนึ่ง” ท่านเอิร์ลพูดพลางยิ้ม ขณะที่กอร์ดอนเบิ่งตากว้าง

                “คุณจะจูบผมสิบครั้งจริงรึ...”

                ริมฝีปากของเขาถูกอีกฝ่ายปิดด้วยริมฝีปากอีกครั้ง

---------------------------------------

                วันรุ่งขึ้น กอร์ดอนตื่นแต่เช้า เขาทักทายมิสซิสมาร์ธาที่มาจัดการงานบ้านให้อย่างอารมณ์ดี และชวนเดวิดกินมื้อเช้าด้วยกัน

                “ช่วงนี้คุณดูอารมณ์ดีจังเลย คุณโอเดนเบิร์ก” เดวิดพูดพลางหยิบขนมปังขึ้นมากัด ก่อนจะพูดต่อ “ตั้งแต่คุณไปบาร์บีช็อตกับลอร์ดโทรว์บริดจ์วันนั้น”

                กอร์ดอนเกือบสำลักนมที่เพิ่งดื่มเข้าไป “อะไรนะ?”

                “ผมว่าคุณดูอารมณ์ดีตั้งแต่ไปที่บาร์บีช็อตกับท่านลอร์ดวันนั้นครับ” เดวิดว่า แล้วหัวเราะ “ให้ผมเดานะ ท่านลอร์ดช่วยคุณจีบสาวใช่มั้ยล่ะ? ท่าทางคุณเหมือนคนกำลังมีความรัก ดูมีความสุขมาก”

                กอร์ดอนหน้าแดง เขาดุเด็กรับใช้ “เงียบเลยเดวิด นี่มันเรื่องส่วนตัวของฉันนะ”

                เด็กรับใช้รีบพยักหน้า “ขอโทษครับ แต่ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ นะ ทั้งๆ ที่ปกติถ้างานเยอะแบบนี้ คุณจะเอาแต่ทำหน้าเครียด ก้มหน้าก้มตาถือกรรไกรตัดผ้าทั้งวัน ผมว่าถ้าคุณแต่งงานน่าจะดีนะ จะได้มีคุณนายคอยยกน้ำชามาให้ตอนบ่าย คอยนวดไหล่คุณเวลาคุณเหนื่อย แค่คิดผมก็เขินแทนล่ะ คุณแต่งเมื่อไหร่ช่วยเชิญผมด้วยนะ”

                กอร์ดอนนั่งอึ้งอยู่พัก สุดท้ายก็ถอนหายใจแล้วยิ้ม “เธอนี่ช่างจินตนาการจริงๆ เอาเถอะ ฉันสัญญาแล้วกัน ว่าถ้าแต่งงานเมื่อไหร่จะเชิญเธอด้วย”

                “แฟนคุณสวยรึเปล่าครับ?” เด็กหนุ่มถามอย่างอยากรู้อยากเห็น กอร์ดอนส่ายหน้า “ไม่เลย ไม่สวย”

                “อ้าว”

                ช่างตัดเสื้อยิ้ม “อย่าถามถึงแฟนฉันเลยเดวิด วันนี้ช่วยฉันภาวนาเถอะว่าอย่าให้มีงานใหม่เข้ามา เท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ฉันก็รู้สึกว่าใกล้จะง้างกรรไกรไม่ไหวแล้ว”

                เด็กหนุ่มหัวเราะ “คุณเขินนี่ คุณโอเดนเบิร์ก”

                “อืม ฉันเขิน”

                เดวิดพลอยหน้าแดงไปด้วย เขารีบพูดต่อ “จะให้ผมแขวนป้ายปิดร้านให้มั้ยครับ? เผื่อมีลูกค้าใหม่มาจะได้ไม่ต้องเสียเวลาต้อนรับ”

                “ไม่เป็นไร ฉันแค่รับงานเร่งไม่ได้ช่วงนี้ แต่ถ้าเขารอได้ก็ให้เขารอ”

                “ตกลงครับ”

                โชคดีที่วันนั้นตลอดทั้งวัน ไม่มีลูกค้าใหม่เข้ามา ไม่มีรถม้าคันใหญ่เข้ามาเทียบจอด ไม่มีลูกค้าผู้ทรงเกียรติหรือเด็กส่งสารแวะเวียนมาเลย กอร์ดอนจึงมีเวลาพักดื่มชาพร้อมกับช่างอีกสองคนของเขา ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาเย็บชุดหรูให้ลูกค้าสูงศักดิ์ตามคิวที่วางเอาไว้ เสียงเหยียบจักรดังสลับกับเสียงกรรไกรตัดผ้าเป็นจังหวะ ผสมกับกลิ่นเตารีด พวกเขาทำงานกันจนถึงเวลาสี่โมงซึ่งเป็นเวลาปิดร้าน

                เดวิดเดินไปหยิบไม้กวาดกับที่โกยผงมากวาดเศษผ้าและเศษด้ายที่หล่นเกลื่อนอยู่บนพื้น ชุดสวยเย็บเสร็จแล้วสองตัว ขึ้นหุ่นลองพร้อมจะพับส่งให้ลูกค้าในวันรุ่งขึ้น อีกสองตัวเย็บไปแล้วบางส่วน อยู่บนหุ่นลองเช่นกัน เด็กหนุ่มยกมือขึ้นจับเสื้อที่เย็บค้างอยู่ จังหวะเดียวกับที่กอร์ดอนเดินเข้ามาพอดี

                “อ้าว กวาดแล้วหรือ?” ช่างตัดเสื้อเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เดวิดสะดุ้ง รีบหดมือกลับทันที

                “กำลังจะกวาดครับ? คุณจะเย็บเสื้อต่อหรือ?”

                “อือ” กอร์ดอนพยักหน้า ในมือของเขามีผ้าฝ้ายสีขาวสองชิ้นและผ้าแถบอีกจำนวนหนึ่ง เดวิดมองแล้วถามด้วยความสงสัย “งานใหม่หรือครับ?”

                “อ๋อ เปล่า ชุดต้นแบบน่ะ” เขาพูดแล้วนั่งลงหน้าจักรตัวหนึ่ง ก่อนจะดึงด้ายที่ใส่ไว้ออก แล้วใส่ด้ายหลอดใหม่ที่หยิบติดมือมาแทนที่ เดวิดมองเขาแล้วถามอีก

                “คุณจะเย็บชุดอะไรครับ ไม่เหมือนสูทเลย เสื้อเชิ้ตก็ไม่น่าใช่ เสื้อกั๊กหรือครับ?”

                “เสื้อกล้ามน่ะ” กอร์ดอนตอบ อีกฝ่ายทวนคำด้วยความแปลกใจ

                “เสื้อกล้าม คุณจะตัดเสื้อกล้ามขายหรือครับ? แค่นี้คุณยังงานเยอะไม่พออีกหรือ?”

                ช่างตัดเสื้อหัวเราะ เขาเงยหน้าขึ้นมาจากจักรเย็บผ้า “เป็นห่วงหรือประชดฉันเนี่ย ฉันแค่ลองตัดชุดต้นแบบ ไม่ได้จะตัดขาย ฉันไม่ตัดเสื้อกล้ามขายหรอก”

                “แล้วคุณจะตัดไปทำไมครับ?”

                กอร์ดอนเงียบไปพักหนึ่ง เหมือนชั่งใจว่าจะพูดดีหรือไม่ “ลอร์ดโทรว์บริดจ์จะขึ้นชกมวย”

                “ว้าว!” เดวิดร้องด้วยความตื่นเต้น “ท่านเอิร์ลจะชกมวยหรือครับ? ที่ไหนเมื่อไหร่ครับ?”

                “ยังไม่มีกำหนดแน่นอนหรอก แต่น่าจะประมาณเดือนหน้า” กอร์ดอนตอบและพูดต่อ “ในฐานะเพื่อน ฉันคิดว่าจะเย็บเสื้อกล้ามสำหรับใส่ซ้อมและใส่ขึ้นเวทีให้เขา”

                “อ๋อ ผมเข้าใจแล้ว” เดวิดพยักหน้า “ให้ผมช่วยอะไรมั้ยครับ?”

                “ตัวนี้ไม่มีรังกระดุม ไม่ต้องหรอก เธอกวาดพื้นไปเถอะ” ช่างตัดเสื้อว่า เด็กหนุ่มทำหน้าผิดหวัง

                “ว้า... ผมถักรังกระดุมมาเป็นพันๆ รังแล้วนะครับ เมื่อไหร่คุณจะสอนผมตัดเสื้อบ้าง?”

                “อ้าว ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจอีกหรือ?” กอร์ดอนถามเขายิ้มๆ เดวิดทำหน้าม่อย

                “ผมตั้งใจจริงๆ นะ คุณหลอกให้ผมถักรังกระดุมมาตั้งสามปีแล้วนะครับ”

                ช่างตัดเสื้อหัวเราะ เด็กหนุ่มครางฮือ “ผมอุตส่าห์กลับบ้านแค่สัปดาห์ละครั้งเพราะรอเวลาที่คุณจะว่างสอนผมอยู่นะเนี่ย”

                “โทษทีนะ” กอร์ดอนว่า “เรียนตัดเสื้อมันต้องใช้เวลา แล้วงานฉันมันก็เยอะมาก”

                “ผมเห็นล่ะครับ แต่แหม... คุณจะเจียดเวลาสอนผมหน่อยไม่ได้หรือ ผมแอบอิจฉาท่านลอร์ดเหมือนกันนะครับเนี่ย คุณมีเวลาให้เขา แต่ไม่มีเวลาให้ผม”

                กอร์ดอนรู้สึกเหมือนเคยได้ยินคำพูดคล้ายๆ ทำนองนี้มาจากที่ไหนสักแห่ง เขาถอนใจ แล้วมองเดวิดอย่างเอ็นดู

                “งั้นเธอต้องมาหัดเย็บจักรดูก่อน ไม่งั้นต่อให้เรียนเขียนแบบไป เธอก็ทำให้มันออกมาเป็นตัวไม่ได้อยู่ดี”

                เดวิดตาเป็นประกาย “ได้เลยครับ” เขารีบวางไม้กวาดแล้วเดินไปนั่งที่จักรอีกตัว “ผมพร้อมแล้วคุณโอเดนเบิร์ก”

                กอร์ดอนยิ้มพลางสั่นศีรษะ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยืนด้านหลัง

                “ไหนลองใส่ด้ายให้ฉันดูหน่อย” พูดจบเขาก็ดึงด้ายที่คล้องอยู่กับจักรออก เด็กหนุ่มร้องออกมา

                “เดี๋ยวสิครับ คุณเล่นดึงออกทีเดียวแบบนี้ ผมจะจำได้ยังไง”

                “งั้นดูไว้นะ ฉันจะใส่ให้ดู” เขาค่อยๆ ร้อยด้ายผ่านส่วนต่างๆ ของจักร

                “ตรงนี้คือตัวปรับด้าย เธอต้องแน่ใจว่าใส่ด้ายลงไประหว่างจานปรับด้ายแล้ว และตรงนี้ห้ามลืมเกี่ยวเด็ดขาด”

                “ครับ”

                “เวลาใส่เข็ม ถ้าปลายด้ายมันฟูมาก เธอก็เอากรรไกรมาตัดปลายมันออกหน่อยนึง แบบนี้... ตัดให้เฉียงจะได้ใส่ง่ายขึ้น”

                “ครับ”

                เขาร้อยด้ายเสร็จก็ดึงออกอีกครั้ง “เอาล่ะ ใส่ด้ายให้ฉันดูซิ”

                เด็กหนุ่มรีบทำตามทันที

                “ผิด...”

                “งั้นตรงนี้”

                “ก็ผิดอีกนั่นแหละ”

                “งั้นแบบนี้”

                กอร์ดอนถอนหายใจ แล้วใส่ด้ายให้เขาดูใหม่อีกรอบ

                “ดูตัวอย่างจากจักรตัวนั้นแล้วกันนะ” เขาชี้มือไปยังจักรที่วางอยู่ติดกัน “วันนี้เธอหัดใส่ด้ายไปก่อน หัดจนกว่าจะใส่เป็น ถ้าเธอใส่เป็นแบบไม่ต้องดูตัวอย่างเมื่อไหร่ ฉันจะให้เธอลองเย็บเศษผ้าดู”

                “ตกลงครับ”

                ช่างตัดเสื้อกลับไปเย็บเสื้อที่ค้างอยู่ สักพัก เดวิดก็เรียกเขา “ขอโทษที่รบกวนนะครับคุณโอเดนเบิร์ก แต่ผมว่าผมใส่ได้แล้ว”

                กอร์ดอนลุกจากจักรอีกครั้ง เดวิดรีบดึงด้ายออก แล้วใส่ให้เขาดู

                “อืม เหมือนจะได้แล้วนะ” ช่างตัดเสื้อพยักหน้า เดวิดยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ

                “งั้นผมเริ่มเย็บได้แล้วใช่มั้ย?”

                กอร์ดอนยิ้ม “ไม่ต้องรีบร้อนหรอกเดวิด ฉันอยากให้เธอไปซื้อรูทเบียร์มาให้ฉันหน่อย”

                “ได้ครับ” อีกฝ่ายพยักหน้า “ร้านตาลุงปีเตอร์ใช่มั้ย?”

                “ใช่ นั่นแหละ ซื้อเขามาเหยือกนึงเลย เอาเหยือกแก้วในครัวไปใส่นะ” พูดจบเขาก็หยิบเงินยัดใส่มือเด็กหนุ่ม เจ้าตัวรีบไปหยิบเหยือกแก้วในครัว แล้วออกไปตามคำสั่งทันที

                กอร์ดอนถอนหายใจเฮือก เขาใช้มือดึงด้ายออกจากจักรตัวที่เหลือ แล้วกลับมาเย็บเสื้อที่เย็บค้างอยู่ต่อ

                เวลาผ่านไปราวสิบห้านาที เดวิดกลับมาที่ร้านพร้อมรูทเบียร์ เจ้าตัวรินใส่แก้วมาส่งเขาถึงที่ กอร์ดอนจิบรูทเบียร์แล้วชี้มือไปที่จักรฝั่งตรงข้าม

                “ใส่ด้ายดูอีกทีสิ”

                เด็กหนุ่มรีบกระวีกระวาดไปนั่งที่จักรทันที เวลาผ่านไปสองสามอึดใจ

                “.....”

                “.....”

                “คุณโอเดนเบิร์ก... ผมจำไม่ได้แล้ว”

                กอร์ดอนถอนใจ ยิ้มเพลียๆ แล้ววางมือจากงานอีกครั้ง เขาเดินมา ใส่ด้ายให้เด็กหนุ่มดูเป็นรอบที่สาม แล้วสั่ง “เธอหัดใส่ด้ายไปแบบนี้เรื่อยๆ พอเลิกร้านแล้วก็มาหัดใส่อย่างนี้แหละ วันจันทร์ถ้าเธอยังใส่เป็นอยู่ เราจะมาเรียนขั้นต่อไปกัน”

                “ตกลงครับ” เด็กหนุ่มรับปาก ก่อนจะพูดต่อ “แต่ โห... ผมไม่คิดว่าแค่ใส่ด้ายยังต้องหัดกันเป็นวันๆ”

                ช่างตัดเสื้อหัวเราะในคอ “ถ้าท้อยังถอยทันนะ ร้านฉันยังต้องการเด็กฝึกงานที่มีหน้าที่กวาดเศษผ้าและถักรังกระดุมอยู่”

                “อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ” เดวิดคราง “รับรองว่าวันจันทร์คุณจะได้สอนผมต่อแน่นอน”

                “ขอให้เป็นแบบนั้นแล้วกัน” กอร์ดอนว่า “ฉันจะเย็บเสื้อต่อ หวังว่าเธอจะไม่สงสัยอะไรอีกนะ”

                “ครับ...”

                “รูทเบียร์แบ่งมาดื่มได้นะ”

                “ขอบคุณครับ”

                เดวิดรีบไปรินรูทเบียร์ใส่แก้วใบเล็กมานั่งดื่ม ก่อนจะกลับมาหัดร้อยด้ายอีกครั้ง กอร์ดอนนั่งเย็บเสื้อต่ออย่างเงียบๆ เสียงเหยียบจักรดังสลับกับเสียงกรรไกร แทรกด้วยเสียงกระดิกของเข็มนาฬิกา และเสียงตะโกนโหวกเหวกของบ้านที่อยู่ติดกัน

                กระทั่งเวลาหกโมงเย็นเศษๆ กอร์ดอนก็เงยหน้าขึ้นจากจักรเย็บผ้า เขาหยิบเสื้อที่เย็บเสร็จแล้วมาสะบัด เดวิดที่ยังคงคร่ำเคร่งอยู่กับการใส่ด้ายจักรเงยหน้าขึ้นทักเขา

                “เย็บเสร็จแล้วหรือครับ?”

                “อื้อ” อีกฝ่ายพยักหน้า ก่อนจะพูดต่อ “เดี๋ยวเธอกวาดพื้นเสร็จแล้วออกไปหาฉันที่หน้าร้านหน่อย ฉันจะฝากเธอออกไปส่งของ”

                “ได้ครับ”

                กอร์ดอนเปิดประตูแล้วเดินกลับไปที่หน้าร้าน เขาเดินไปหลังเคาน์เตอร์ หยิบถุงกระดาษขึ้นมา พับเสื้อใส่ลงไป แล้วหยิบกระดาษโน้ตกับปากกามาเขียนข้อความ ก่อนจะโบกจนแห้ง แล้วพัดใส่ลงไปในถุง

                “เอานี่ไปส่งที่คฤหาสน์เดลนะ บอกว่าฝากถึงลอร์ดโทรว์บริดจ์ จากร้านกอร์ดอน”

                “ครับ” เดวิดรับถุงพร้อมกับเงินค่ารถม้าแล้วรีบออกไปจากร้านทันที

------------------------------------------


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
                ลอร์ดโทรว์บริดจ์เพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยงมื้อค่ำที่คฤหาสน์ของบารอนแห่งโซวูด ซึ่งสำหรับเขามันคืองานดูตัวดีๆ นี่เอง ลอร์ดโซวูดพยายามโฆษณาสรรพคุณของลูกสาวทั้งสามคนให้เขาฟัง แต่ลำพังแค่สีผมและสีตาก็ไม่ถูกใจท่านเอิร์ลสักคนแล้ว ลอร์ดโทรว์บริดจ์ต้องปั้นหน้ายิ้มและฟังเรื่องพวกนั้นตลอดทั้งงานเลี้ยง เขาคิดถึงบาร์และเหล้ารัมของแจ็คสันขึ้นมาจับใจ ไม่นับรวมถึงช่างตัดเสื้อที่เขาคิดถึงอยู่ตลอดทุกลมหายใจด้วย ดังนั้นเจ้าตัวจึงดีใจมาก เมื่อคนรับใช้เอาถุงกระดาษมาให้และบอกว่ามันถูกฝากมาจากร้านกอร์ดอนเทเลอร์

                เอิร์ลหนุ่มรีบขึ้นห้องไปพร้อมกับถุงใบนั้นทันที เขาหยิบเสื้อที่อยู่ด้านในออกมา และเปิดอ่านโน้ตด้วยความตื่นเต้น

                ตัวอักษรที่ปรากฏอยู่ในกระดาษโน้ตอ่อนช้อยสวยงาม ไม่เหมือนคนที่ไม่เคยเข้าโรงเรียนเลยสักนิด มีข้อความว่า

                ‘ถึง, ลูกค้าที่รัก

                ผมหวังว่าเสื้อตัวนี้จะแก้ไขอุปสรรค์และข้อจำกัดของคุณได้

                ปล. มันเป็นแค่เสื้อต้นแบบ ผมอาจจะต้องปรับปรุงแก้ไขหลังจากที่คุณลองสวมมันแล้ว

                                                                                                                                                ก.อ.’

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์รีบคลี่เสื้อตัวนั้นออกมา และพบว่ามันเป็นเสื้อกล้ามที่มีคอค่อนข้างแคบและตื้น และมีช่วงไหล่ที่กว้างกว่าเสื้อกล้ามทั่วไป เอิร์ลหนุ่มลองสวมทันที เขาเดินไปยืนที่หน้ากระจก บิดตัวไปมา และลองโยกตัวพร้อมกับปล่อยหมัดสลับกันเหมือนตอนขึ้นซ้อมมวย

                “โอ้ พระเจ้า... คุณเป็นช่างตัดเสื้อที่วิเศษมาก กอร์ดอน”

-------------------------------------

                เย็นวันศุกร์ ตอนที่ลอร์ดโทรว์บริดจ์ไปถึงร้านกอร์ดอนเทเลอร์ ช่างตัดเสื้อหนุ่มยังคงสวมเสื้อที่เต็มไปด้วยเศษด้าย เจ้าตัวถึงกับหยิบนาฬิกาขึ้นมาดูเพราะคิดว่าจำเวลาผิด

                “สายัณห์สวัสดิ์ครับท่านลอร์ด คุณมาเร็วมาก นี่เพิ่งสี่โมงกว่าเท่านั้นเอง”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยิ้มให้ฝ่ายนั้น “สายัณห์สวัสดิ์กอร์ดอน ไม่มีคนอื่นคุณไม่ต้องเรียกผมว่าท่านลอร์ดก็ได้”

                “อ้อ ครับ...” ช่างตัดเสื้อพยักหน้า “ขอโทษด้วยนะครับ ผมยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อ พอดีเพิ่งปิดร้าน”

                “ไม่เป็นไรหรอก คุณไม่ต้องรีบ” อีกฝ่ายพูด “ที่ผมมาเร็วเพราะเรื่องเสื้อที่คุณส่งไปเมื่อวานนี้”

                “เป็นไงบ้างครับ” ช่างตัดเสื้อถามทันที “คุณลองสวมแล้วใช่มั้ย?”

                คนถูกถามพยักหน้า “มันพอดีกับตัวผมเลย คุณเป็นช่างที่วิเศษมาก กอร์ดอน ผมชมจากใจจริงเลยว่าเสื้อของคุณมันวิเศษมาก”

                “ว้าว” กอร์ดอนคราง “พอดีเลยหรือครับ? ไม่มีจุดไหนที่จะต้องแก้เลย?”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์สั่นศีรษะ “ไม่เลย พอดีมากๆ พอดีจนเหมือนคุณตัดโดยมีผมอยู่ลองด้วย”

                ช่างตัดเสื้อหน้าแดงด้วยความประหม่า “ดีครับ ผมยินดีมากที่มันช่วยแก้ปัญหาของคุณได้”

                “ผมอยากได้อีกสักสองตัว” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “กางเกงขาสั้นผมหาเองได้ คุณตัดแค่เสื้อให้ผมก็พอ”

                “ตกลงครับ ผมคิดว่าไม่เกินวันจันทร์” กอร์ดอนตอบ “ผมจะให้คนไปส่งให้ที่คฤหาสน์คุณ จะได้ไม่รบกวนเวลา”

                “ได้ ขอบใจมาก” ท่านเอิร์ลพยักหน้า เขาอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่เผอิญนึกขึ้นได้ว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย เลยเปลี่ยนใจ

                “คุณไปจัดการธุระให้เสร็จเถอะ ผมไม่รีบ เรายังมีเวลาอีกนานกว่าจะถึงห้าโมงเย็น”

                “ตกลงครับ คุณอยากดื่มอะไรระหว่างรอมั้ย?”

                “ไม่เป็นไร ถ้าใช้เวลานานคุณเอาหนังสือมาให้ผมอ่านรอก็ได้”

                กอร์ดอนพยักหน้า ก่อนจะหันไปสั่งเดวิดให้ขึ้นไปหยิบหนังสือลงมาให้ ก่อนจะขอตัวไปเก็บงานต่อที่หลังร้าน ไม่นานเดวิดก็วิ่งลงมาจากชั้นบนพร้อมหนังสือสองสามเล่ม และวางมันลงบนโต๊ะด้วยท่าทางนอบน้อม ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองเขา

                “เดวิด”

                “ครับ?” เด็กหนุ่มสะดุ้ง ด้วยไม่คิดว่าจะถูกเรียก เขาเงยขึ้นมองผู้ชายที่นั่งอยู่

                “เธอทำงานที่นี่มานานแล้วหรือยัง?”

                “สามปีได้แล้วครับ”

                “อืม... ปกติแล้วกอร์ดอนทำงานดึกมากมั้ย ฉันหมายถึง หลังปิดร้านแล้วเขายังนั่งเย็บผ้าต่อรึเปล่า?”

                “มีบ้างครับ” เดวิดตอบ “ถ้ามีงานเร่งเข้ามาบางทีก็เย็บจนถึงสี่ห้าทุ่ม แต่ถ้าเร่งมากๆ จริงๆ บางทีเขาก็ไม่นอนเลยครับ”

                “ขนาดนั้นเลยหรือ?” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ร้องด้วยความแปลกใจระคนเป็นห่วง “แค่ตัดเสื้อทำไมถึงต้องรีบขนาดนั้น”

                เดวิดทำหน้าจริงจัง “รีบนะครับท่านลอร์ด บางคนมาสั่งตอนเย็น จะใช้ตอนเช้า คุณโอเดนเบิร์กก็ต้องทำให้ บางคนมาสั่งตอนเช้า จะใช้ตอนเย็น ถ้าเขาปฏิเสธไม่ได้ก็ต้องรีบทำให้เหมือนกัน”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์หน้าแดง เมื่อนึกได้ว่าเขาเองก็เคยมาเร่งให้ฝ่ายนั้นทำเสื้อให้ตั้งแต่เช้าเหมือนกัน เดวิดเหมือนรู้สึกตัวว่าพูดไม่ถูกกาลเทศะ เลยรีบพูดขึ้นต่อ

                “ผมขออภัยถ้าเสียมารยาทนะครับ แต่ลูกค้าของคุณโอเดนเบิร์กมีเยอะมาก งานเร่งๆ ที่เข้ามาก็มีบ่อยครับ ผมเข้าใจว่าเสื้อผ้าเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับลูกค้าสุภาพบุรุษอย่างคุณ”

                “อืม...” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ส่งเสียงในคอ “แล้วเขาพักผ่อนบ้างมั้ย? หมายถึงเขามีวันหยุดพักผ่อนนอกจากวันอาทิตย์บ้างหรือเปล่า วันหยุดประจำปีที่ไม่ใช่คริสต์มาสน่ะ”

                “คุณโอเดนเบิร์กไม่หยุดหรอกครับ ผมค่อนข้างแน่ใจว่าวันอาทิตย์เขาก็น่าจะทำงานบ้างเหมือนกัน”

                พอนึกภาพว่าแม้กระทั่งวันอาทิตย์ อีกฝ่ายยังต้องมานั่งเย็บผ้าอยู่หน้าจักร ในขณะที่คนอื่นๆ พักผ่อนอย่างสบายอารมณ์ ลอร์ดโทรว์บริดจ์ก็รู้สึกสงสารกอร์ดอนขึ้นมาจับใจ

                “วันนี้ท่านลอร์ดแต่งตัวมาเต็มยศเลยนะครับ จะไปธุระต่อหรือครับ?” เดวิดตั้งข้อสังเกต เขาเห็นเอิร์ลหนุ่มแต่งตัวด้วยชุดทักซิโดส์ สวมหมวกทรงสูง หวีผมใส่น้ำมันอย่างดีผิดกับทุกวันที่ผ่านมา แถมยังถือไม้เท้าเข้ามาด้วย ลอร์ดโทรว์บริดจ์กำลังจะอ้าปากตอบเขา แต่มีเสียงตะโกนขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน

                “เดวิด!”

                เสียงของกอร์ดอนที่ตะโกนมาจากด้านหลังร้านทำให้บทสนทนาของคนทั้งคู่หยุดอยู่แค่นั้น เดวิดรีบขอตัว แล้วเดินออกไปทันที ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถอนหายใจ

                อีกประมาณสิบห้านาทีต่อมา กอร์ดอนก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าและหวีผมใส่น้ำมันเรียบร้อย เจ้าตัวสวมสูทตัวเดียวกับที่ใส่ไปหาเขาครั้งแรกที่คฤหาสน์ ก่อนจะถูกลากไปสโมสร สวมเสื้อโค้ทที่เก่าแต่ดูดีกว่าตัวที่ใส่ไปที่ท่าเรือ และสวมหมวกเดอร์บี้สีน้ำตาลเข้ม ตัดกับผมสีทองที่โผล่พ้นออกมา

                “ขอโทษนะครับ ผมไม่มีชุดทักซิโดส์” กอร์ดอนหน้าแดง “ไม่รู้ว่าแต่งตัวแบบนี้จะเข้าไปได้ไหม”

                “ได้สิ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “ผมเกลียดเสื้อหางยาวจะตาย เป็นไปได้ก็ไม่อยากจะใส่มาเหมือนกัน”

                กอร์ดอนกวาดตามองเอิร์ลหนุ่ม แล้วพูดต่อ “แต่คุณใส่ชุดทักซิโดส์ขึ้นนะครับ ผมว่าดูดีมาก”

                “งั้นหรือ...” ลอร์ดโทรว์บริดจ์หน้าแดงเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นยืน “ถ้าคุณแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็ไปกันเถอะ”

-----------------------------------

                ภัตตาคารที่ลอร์ดจอร์จ เฟลตัน จองไว้เป็นภัตตาคารเดียวกันกับที่เจ้าตัวถูกสาดไวน์เมื่อวันก่อน ผู้จัดการรีบออกมาต้อนรับท่านเอิร์ลแห่งโทรว์บริดจ์และพาเจ้าตัวกับคนที่มาด้วยไปส่งที่โต๊ะด้วยตัวเอง ลอร์ดจอร์จ เฟลตันและเลดี้มาร์กาเร็ต สจวตนั่งรออยู่ก่อนแล้ว พอเห็นหน้าเพื่อน ลอร์ดหนุ่มก็เอ่ยปากทักขึ้นทันที

                “ว้าว จอห์นนี่ วันนี้นายพกกระทั่งไม้เท้า เหลือเชื่อเลย”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ส่งไม้เท้าให้บริกรนำไปเก็บไว้ชั่วคราว “สายัณห์สวัสดิ์จอร์จ สายัณห์สวัสดิ์มาร์กี้”

                “สายัณห์สวัสดิ์ค่ะจอห์น” เลดี้มาร์กาเร็ต สจวตทักทายตอบ ลอร์ดโทรว์บริดจ์หันไปแนะนำกอร์ดอนที่ยืนอยู่ข้างเขา

                “นี่กอร์ดอน ที่คุณอยากพบ”

                “เป็นเกียรติมากครับ ท่านหญิง ผมกอร์ดอน โอเดนเบิร์ก”

                เลดี้มาร์กาเร็ต สจวตลุกขึ้นยืนเพื่อจับมือกับเขา “ฉันมาร์กาเร็ต สจวตค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณโอเดนเบิร์ก”

                กอร์ดอนหน้าแดงเล็กน้อย เขารู้สึกว่าวันนี้เลดี้มาร์กาเร็ต สจวตแต่งตัวสวยมาก เธออยู่ในชุดสีน้ำเงินกรมท่า สวมสร้อยไพลินสีน้ำเงิน และต่างหูที่ทำมาจากไพลินเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มเผลอมองตาค้าง เธอมีดวงตาสีเขียวอย่างที่เขาชอบเสียด้วย

                “กอร์ดอน!”

                เสียงของลอร์ดจอร์จ เฟลตันทำให้ช่างตัดเสื้อสะดุ้ง พอหันไปก็เห็นเจ้าตัวมองตาข้น

                “ฉันรู้แล้วว่านายชอบผู้หญิงผมสีแดง”

                ช่างตัดเสื้อรีบนั่งลงทันที หน้าแดงก่ำจนถึงใบหู “ขอโทษครับ”

                “นายขี้หึงตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย จอร์จ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์แซว ขณะที่เลดี้มาร์กาเร็ต สจวตหน้าแดงเล็กน้อย

                “ฉันจำคุณได้แล้ว คุณคือคนที่อยู่กับจอร์จจี้ที่งานเต้นรำตอนนั้น”

                “ครับ...”

                “พอได้เจอกันจริงๆ แล้ว คุณดูผิดจากที่ฉันคิดเอาไว้เยอะเลยค่ะ”

                กอร์ดอนเอาแต่ก้มหน้าด้วยความประหม่า “คือ... ผมไม่ได้ตั้งใจจะมองคุณแบบนั้น...”

                “โอ้... ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นค่ะ” หญิงสาวรีบพูดต่อ “ฉันหมายถึง ฉันคิดว่าคุณจะดูมีอายุกว่านี้ แล้วก็ดู... เอ่อ... ยังไงดีล่ะคะ... คือ... ฉันไม่คิดว่าคุณจะเป็นคนสวยแบบนี้”

                ลอร์ดจอร์จ เฟลตันหันไปมองหน้าคู่หมั้น แล้วกระซิบ “มาร์กี้ เขาเป็นผู้ชาย”

                “ฉันรู้น่า” หญิงสาวกระซิบตอบเขา ก่อนจะพูดต่อ “ขออภัยถ้าฉันเสียมารยาทนะคะ”

                “อ๋อๆ ไม่เลยครับ” กอร์ดอนรีบพูด “ทุกคนก็พูดแบบนี้ทั้งนั้น เวลาเจอหน้าผมครั้งแรก ผมชินแล้วล่ะครับ”

                เลดี้มาร์กาเร็จ สจวตยิ้ม “คุณเป็นผู้ชายที่สวยมากจริงๆ นะคะ คุณมีพี่สาวหรือน้องสาวรึเปล่าคะ?”

                “เปล่าครับ ผมเป็นลูกคนเดียว”

                หญิงสาวถอนใจ “ดีจังค่ะ ไม่งั้นฉันคงต้องคอยดูเวลาจอร์จจี้อ้างว่าไปหาคุณที่ร้าน”

                “มาร์กี้ คุณคิดไปถึงไหนเนี่ย” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันร้องออกมา “ผมไม่พิศวาสผู้ชายนะ”

                “ฉันก็ไม่ได้ว่าคุณอย่างนั้นนี่คะ” เลดี้มาร์กาเร็ต สจวตว่า “ฉันแค่คิดว่าถ้าคุณโอเดนเบิร์กมีพี่สาวหรือน้องสาว เธอต้องเป็นคนที่สวยมากแน่ ฉันเลยหึงไว้ล่วงหน้าเลยไง”

                ลอร์ดจอร์จ เฟลตันทำหน้าเหมือนถูกต่อย ขณะที่ลอร์ดโทรว์บริดจ์หัวเราะออกมา “อย่าขี้หึงนักเลยน่า มาร์กี้ ผมว่าจอร์จกลัวจะแย่อยู่แล้ว”

                หญิงสาวหัวเราะ เธอหันมาหาช่างตัดเสื้ออีกครั้ง “ฉันขอโทษที่พูดจาแปลกๆ นะคะ ฉันอยากพบคุณมาก อยากจะขอบคุณคุณเรื่องจอร์จจี้น่ะค่ะ”

                “ผมเองก็อยากจะขอโทษคุณเหมือนกันครับ” กอร์ดอนพูดอย่างประหม่า “ผมไม่น่าใส่ความคุณแบบนั้นเลย”

                “ฉันให้อภัยคุณค่ะ” เลดี้มาร์กาเร็ต สจวตว่า เธอทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรต่อ แต่ถูกลอร์ดจอร์จ เฟลตันพูดตัดหน้าเสียก่อน

                “เราอยากชวนนายมาดื่มฉลอง ในฐานะที่ทำให้ฉันกับมาร์กี้คืนดีกันได้น่ะ”

                พูดจบเขาก็ยกแก้วไวน์ขึ้น กอร์ดอนรีบยกขึ้นตาม ลอร์ดโทรว์บริดจ์และเลดี้มาร์กาเร็จจึงหยิบแก้วของตัวเองขึ้นมา

                “แด่ความรักที่สดใสของพวกนาย” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ประกาศ เสียงแก้วกระทบกันดังกรุ๋งกริ๋ง ทั้งสี่คนจิบไวน์กันคนละอึก จากนั้นบริกรก็ยกอาหารมาเสิร์ฟ

-------------------------------------

                พวกเขากินมื้อค่ำและคุยสัพเพเหระกันจนถึงเวลาประมาณหกโมงกว่าๆ จึงขึ้นรถม้าไปยังโรงละครรอแยลโอเปร่า กอร์ดอนมีท่าทีกระสับกระส่ายจนลอร์ดโทรว์บริดจ์ต้องทักขึ้น

                “คุณเป็นอะไร? ท่าทางเหมือนไม่ค่อยสบายใจ”

                “ไม่รู้สิครับ จู่ๆ ผมก็ไม่อยากไปดูโอเปร่าขึ้นมา”

                “อ้าว ทำไมล่ะ?”

                ช่างตัดเสื้อทำหน้าเครียด เขาเงียบไปนานกว่าจะพูดต่อ “คือผมรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะจะไปนั่งดูโอเปร่าที่นั่น พวกคุณแต่งตัวดีกันทั้งนั้น แต่ผม...”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ฉวยมือของช่างตัดเสื้อเอาไว้ “คุณคิดมากไปแล้ว” เขาพูดพลางบีบมือของอีกฝ่าย สัมผัสผิวหนังบริเวณข้อนิ้วที่ด้านจนเป็นไตแข็งเนื่องจากเสียดสีกับกรรไกรมาเป็นเวลาหลายปี ก่อนจะยกมันขึ้นมาจูบ

                “คงไม่มีใครแต่งตัวสวยๆ ไปอวดกันได้ ถ้าไม่มีคนอย่างคุณอยู่เบื้องหลังหรอกนะ กอร์ดอน”

                “ตะ... แต่...”

                “รู้มั้ยทำไมผมถึงใส่เสื้อหางยาวมา ทั้งๆ ที่ผมเกลียดมันมาก” เอิร์ลหนุ่มพูดทั้งที่ยังจับมือเขาอยู่ “ไม่ใช่ว่าผมอยากอวดว่าตัวเองแต่งตัวดี แต่เพราะผมอยากใส่มาให้คุณเห็น ให้คุณได้เห็นเวลาที่คนอื่นมองชุดที่คุณตัด ชุดของคุณที่มันอยู่บนตัวผม... ในรอแยลโอเปร่า ทุกคนจะมองแต่ชุดของคุณ”

                กอร์ดอนมองลอร์ดโทรว์บริดจ์ด้วยคาดไม่ถึงว่าฝ่ายนั้นจะพูดออกมาแบบนี้ จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมา “คุณพูดเสียผมไปต่อไม่เป็นเลย”

                เอิร์ลหนุ่มยิ้มแล้วขยับมานั่งข้างคนรักของเขา “คุณดูดีที่สุดอยู่แล้วเวลาใส่ชุดที่คุณเป็นคนตัด และดูดีที่สุดในสายตาผม ช่างคนอื่นเถอะ ผมรับรองว่าไม่มีใครกล้ามองคุณด้วยสายตาไม่ดีแน่ ทุกคนที่นั่นมีมารยาทพอ”

                กอร์ดอนเหม่อมองลอร์ดโทรว์บริดจ์อีกพัก ก่อนจะพยักหน้า “ขอบคุณนะครับ”

---------------------------------


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
                โรงละครรอแยลโอเปร่า เป็นโรงละครขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ใจกลางของกรุงลอนดอน ใกล้กับแม่น้ำเทมส์ จัดแสดงโอเปร่าสำหรับชนชั้นสูง ผู้ชมมีตั้งแต่ราชวงศ์ จนถึงระดับขุนนางและพ่อค้าที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิด

                ตัวอาคารทาสีขาว ตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นหรูหรา ผู้คนมากหน้าหลายตาทยอยลงจากรถม้า ทั้งหมดล้วนแต่งตัวด้วยชุดสวยงาม ผู้หญิงสวมเครื่องประดับที่ทอประกายวิบวับ ส่วนผู้ชายสวมทักซิโดส์ตัวหรู ใส่หมวกทรงสูง ใส่รองเท้าเสริมส้น และถือไม้เท้าโอ้อวดความโก้เก๋ของตัวเอง

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ลงจากรถม้า กอร์ดอนกระโดดลงตามมา ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้ทันมองหาลอร์ดจอร์จ เฟลตันหรือใครที่อาจจะรู้จัก เสียงทักทายก็ดังขึ้นทันที

                “สายัณห์สวัสดิ์ครับ ท่านลอร์ด” ที่เอ่ยทักเป็นชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบห้าถึงห้าสิบปี สวมชุดทักซิโดส์สีดำดูหรู หวีผมและแต่งหนวดอย่างงดงาม เขาถอดหมวกออกแล้วโค้งให้ลอร์ดโทรว์บริดจ์อย่างนอบน้อม ลอร์ดโทรว์บริดจ์เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

                “สายัณห์สวัสดิ์ ลอร์ดโซวูด”

                ลอร์ดโซวูดพยักหน้าด้วยความดีใจ ภรรยาและลูกสาวสามคนของเขาส่งเสียงทักทายเอิร์ลหนุ่ม ก่อนที่เจ้าตัวจะพูดต่อ “วันนี้ท่านลอร์ดดูสง่างามมากเลยครับ ผมกับภรรยาและลูกสาวเป็นปลื้มมากที่ได้พบคุณ ถ้าไม่รังเกียจ พวกเราขอ...”

                “สายัณห์สวัสดิ์ครับ ท่านลอร์ด”

                ยังไม่ทันที่ลอร์ดโซวูดจะพูดจบ เสียงของใครอีกคนก็ดังแทรกขึ้น เขาเป็นชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลอร์ดโซวูด แต่งตัวโก้หรูด้วยชุดทักซิโดส์เช่นกัน เขาถอดหมวกแล้วโค้งให้ลอร์ดโทรว์บริดจ์อย่างสุภาพ เอิร์ลหนุ่มอ้าปาก เหมือนพยายามเค้นคำพูดที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากให้หลุดออกมา

                “สายัณห์สวัสดิ์ ลอร์ดชิลตัน”

                ลอร์ดชิลตันผงกศีรษะก่อนจะผายมือไปยังภรรยาและลูกสาวของเขา “เบลล่าภรรยาผม และอิซซาเบล ลูกสาวผมเอง”

                หญิงสาวที่มีผมสีทองเป็นลอนเอ่ยทักทายเขา ลอร์ดโทรว์บริดจ์คลี่ยิ้ม “ผมจำเธอได้ เราเคยเจอกันที่งานเลี้ยงต้อนรับ”

                ลอร์ดชิลตันดีใจจนหน้าแดง เขาถูมือไปมา “เป็นเกียรติสำหรับอิซซ่ามากครับ” เขาพูดพลางพยักเพยิดให้ลูกสาวสานบทสนทนาต่อ อิซซาเบลเขินจนแก้มสองข้างแดงเรื่อ เธอยิ้มอายๆ แล้วชม้อยดวงตาสีเทาใสของเธอมาทางเขา

                “ท่านลอร์ดมาคนเดียวหรือคะ?”

                ยังไม่ทันที่ลอร์ดโทรว์บริดจ์จะทันได้พูดอะไร ลูกสาวของลอร์ดโซวูดก็พูดออกมา “ท่านลอร์ดคะ”

                “หืม?” พอเขาหันไปก็เห็นเธอส่งยิ้มหวานมาให้

                “ดิฉันว่าพวกเราเดินเข้าไปคุยกันต่อข้างในดีกว่าค่ะ”

                “แต่ท่านลอร์ด...” อิซซาเบลเอ่ยค้าง เพราะมีเสียงใครอีกคนดังแทรกขึ้นเสียก่อน

                “ไง จอห์นนี่” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์เดินแทรกเข้ามากลางวงสนทนาแล้วเอ่ยทักเพื่อนอย่างอารมณ์ดี “นายมาไม่รอฉันเลย”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยิ้มกว้าง ทำหน้าเหมือนโล่งอกมากที่ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ปรากฏตัวขึ้นเสียที “ไง แมกซ์ นายพลาดมื้อเย็นนะ”

                ลอร์ดหนุ่มหัวเราะ “โทรเลขของไมกี้ทำพิษตั้งแต่วันอาทิตย์ ฉันบอกจอร์จแล้วว่าอาจจะมากินมื้อเย็นด้วยไม่ได้”

                พูดจบเขาก็หันไปมองครอบครัวบารอนสองครอบครัวที่ยืนอยู่ ราวกับเพิ่งนึกได้ว่ามีพวกเขาอยู่ตรงนั้นด้วย

                “สายัณห์สวัสดิ์ลอร์ดโซวูด ลอร์ดชิลตัน พวกคุณสองครอบครัวมาดูโอเปร่าด้วยกันหรือ?”

                “เปล่าครับ ท่านลอร์ด” ลอร์ดโซวูดและลอร์ดชิลตันปฏิเสธขึ้นพร้อมกัน ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์พยักหน้า “งั้นหรือ แล้วพวกคุณมายืนทำอะไรกันตรงนี้ล่ะ?”

                บารอนทั้งสองหน้าแดง เขารู้สึกเสียหน้าที่ถูกลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ทักแบบนั้น ทั้งสองครอบครัวจึงเอ่ยลาแล้วแยกตัวออกไปทันที ลอร์ดโทรว์บริดจ์หันมามองหน้าเพื่อน

                “ลอร์ดโซวูดกับลอร์ดชิลตันต้องเหม็นขี้หน้านายไปอีกนานแน่”

                ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ยักไหล่อย่างไม่แยแส “โชคดีที่พวกเขาไม่คิดว่าฉันเป็นไมกี้ ไม่งั้นคงพยายามเสนอขายลูกสาวให้ฉันแน่ๆ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์หัวเราะ ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์มองเขา “กอร์ดอนตัดชุดนี้ให้นายสวยนะ แล้วนี่เขาไม่ได้มาด้วยกันกับนายหรือ?”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์รีบหันกลับไปหาช่างตัดเสื้อที่คิดว่าควรจะยืนอยู่ด้านหลัง แต่กลับพบว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลย ท่านเอิร์ลใจหายวาบ เขาหันมองไปรอบๆ จึงเห็นเจ้าตัวไปยืนหลบอยู่ตรงเสาไฟถนน

                “กอร์ดอน คุณไปทำอะไรตรงนั้น!” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตะโกนก่อนจะสาวเท้าเดินเข้าไปหาเจ้าตัว โดยมีลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์เดินตามไป กอร์ดอนหันกลับมามองเขาแล้วรีบเดินออกมาทันที

                “ผมเห็นคุณคุยธุระอยู่ กลัวจะเสียมารยาท เลยหลบออกมาครับ” ช่างตัดเสื้อพูด ลอร์ดโทรว์บริดจ์และลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ถอนหายใจแรง

                “คุณมากับผมนะ ทำไมจะต้องเกรงใจคนอื่นด้วย” เอิร์ลหนุ่มว่า “พวกนั้นต่างหากที่ต้องเกรงใจคุณ”

                “แต่ผมเป็นแค่ช่างตัดเสื้อ” กอร์ดอนว่า ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์จ้องหน้าเขา “ถึงนายจะเป็นแค่ช่างตัดเสื้อ แต่นายมากับท่านเอิร์ลนะ นายควรจะให้เกียรติด้วยการภูมิใจที่ได้มากับเขา ไม่ใช่หนีมายืนหลบแบบนี้”

                “เอาน่า” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “บางทีคงผิดที่ฉัน ถ้าฉันปฏิเสธคนพวกนั้นไปแต่แรก...”

                “โธ่... จอห์นนี่...” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์คราง กอร์ดอนรีบพูดขึ้น “ไม่เป็นไรหรอกครับ ลอร์ดแมกซ์พูดถูกแล้ว ผมผิดเอง ที่จริงผมไม่ควร...”

                “นายเรียกฉันว่าลอร์ดอีกแล้ว” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ว่า “ทำไมถึงชอบทำตัวห่างเหินนักนะ”

                “ขอโทษครับ” กอร์ดอนรีบผงกศีรษะ “คราวหลังผมจะไม่ทำอีก”

                “หมายถึงไม่เรียกฉันว่าลอร์ด หรือไม่หนีไปหลบที่ไหนเวลามากับจอห์นนี่ล่ะ?” ลอร์ดหนุ่มย้อนถาม ช่างตัดเสื้อพยักหน้าซ้ำๆ “ทั้งสองอย่างครับ”

                “แมกซ์ นายจริงจังเกินไปแล้ว” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “มุกหน้าเครียดของนาย กอร์ดอนไม่ขำนะ”

                ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ทำเป็นเสมองไปทางอื่น “จอร์จกับมาร์กาเร็ตล่ะ?”

                “น่าจะเข้าไปก่อนแล้วล่ะ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “รถม้าของพวกเขามาถึงก่อนเรา”

                “อ้อ...” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ส่งเสียงในคอ “นายดูเลขที่นั่งแล้วใช่มั้ย”

                “อื้อ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า “เขาจองที่ที่ดีที่สุดสำหรับการดูโอเปร่าให้พวกเรา”

                “แต่ตัวเขากลับต้องไปนั่งในคอกกั้น” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ว่า “จอร์จคงต้องมาดูซ้ำ เขาเกลียดการฟังโอเปร่าที่ระเบียงมาก”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์หัวเราะออกมา เขาล้วงซองตั๋วออกมาแล้วยื่นให้กอร์ดอน “พวกเราเข้าไปนั่งรอกันได้แล้วล่ะ”

                ทั้งสามคนพากันเดินไปยังประตูทางเข้าของโรงละครรอแยลโอเปร่าเฮาส์

                “พวกเราต้องเข้าช่องโน้น” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์พูดพลางเดินนำหน้า พวกเขายื่นตั๋วให้พนักงานตรวจ ก่อนที่พนักงานอีกคนจะเดินนำพวกเขาไปยังที่นั่ง

---------------------------------------------

                กอร์ดอนนึกโล่งใจที่ลอร์ดจอร์จ เฟลตันจองที่นั่งให้พวกเขาในแถวตรงข้ามกับเวที ซึ่งเป็นที่นั่งเรียงต่อกัน และเป็นจุดที่ฟังโอเปร่าได้เพราะที่สุด ตอนแรกเขากลัวว่าจะต้องเข้าไปนั่งตรงระเบียงที่ต้องเผชิญกับสายตาของคนทั้งโรงเสียอีก

                ที่นั่งของทั้งสามคนอยู่ตรงกลางแถวพอดีเป๊ะ ทำเลดีที่สุดอย่างที่ลอร์ดจอร์จ เฟลตันบอกกับลอร์ดโทรว์บริดจ์จริงๆ หลายคนที่นั่งอยู่ก่อนทำหน้าแปลกใจที่เห็นเอิร์ลแห่งโทรว์บริดจ์มานั่งที่นั่งรวม

                “โอ้... ท่านลอร์ด ผมคิดว่าคุณจะนั่งที่ระเบียงเสียอีก ชุดคุณสวยมาก” ชายหนุ่มอายุไล่เลี่ยกันกับลอร์ดโทรว์บริดจ์เอ่ยทักขึ้น เขามาพร้อมกับเพื่อนอีกสองคน ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยิ้มให้เขา “ผมชอบที่นั่งตรงนี้มากกว่า เสียงเพราะดี”

                “ครับ ผมเห็นด้วย” เขาพูด แล้วหันมาทักทายลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ “สายัณห์สวัสดิ์ครับ ลอร์ดแมกซ์”

                “สายัณห์สวัสดิ์รูเพิร์ต”

                เขาหันมาทางกอร์ดอน “สายัณห์สวัสดิ์ครับ...”

                “กอร์ดอน... ผมกอร์ดอน โอเดนเบิร์ก” กอร์ดอนแนะนำตัวกับฝ่ายนั้น เขาพยักหน้า “สายัณห์สวัสดิ์ครับคุณโอเดนเบิร์ก ผมรูเพิร์ต บอตติ้ง”

                “เขาเป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยผม” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “เป็นน้องชายบารอนแห่งอัฟฟอร์ต”

                รูเพิร์ตหัวเราะเขินๆ “ผมเป็นแค่คนธรรมดา”

                “ตอนนี้นายทำอะไรอยู่” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ถาม “ยังไปๆ มาๆ อินเดียอยู่อีกมั้ย?”

                คนถูกถามสั่นศีรษะ “ไม่ครับ ตอนนี้ผมเป็นนักเขียนแล้ว”

                “ว้าว” ลอร์ดโทรว์บริดจ์และกอร์ดอนร้องขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่ฝ่ายแรกจะพูดขึ้นก่อน “นายเขียนเรื่องอะไร พิมพ์ที่สำนักพิมพ์ไหน ฉันจะได้ไปซื้อมาอ่าน”

                “อยู่ระหว่างเสนอบรรณาธิการพิจารณาครับ” รูเพิร์ตว่า “ถ้าได้ตีพิมพ์จริงๆ ผมจะส่งหนังสือไปให้คุณถึงบ้านเลย”

                “ขอบใจ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ เพราะมีคนทยอยเดินเข้ามาอีก

                “นั่นจอร์จ” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ที่นั่งข้างเขาชี้มือ กอร์ดอนมองตาม และเห็นลอร์ดจอร์จ เฟลตัน และเลดี้มาร์กาเร็ต สจวตนั่งอยู่ตรงระเบียงชั้นสองทางขวามือ ทั้งคู่หันมาโบกมือให้เพื่อนๆ ที่นั่งอยู่แถวกลาง

                “สองคนนั้นดูเหมาะสมกันมากเลยนะครับ” ช่างตัดเสื้อว่า ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า “ใช่ ไม่มีใครเหมาะกับจอร์จเท่ามาร์กาเร็ตอีกแล้ว”

                ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์หัวเราะ “ทั้งหมดต้องให้ความดีความชอบนายเลยนะ กอร์ดอน ฉันไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่สองคนนั้นมาดูโอเปร่าด้วยกันได้”

                กอร์ดอนหัวเราะเขินๆ ก่อนจะรีบนั่งตัวตรง เมื่อโฆษกของโรงละครขึ้นมาพูดเปิดเวที จากนั้นวงออเครสตร้าก็บรรเลงบทเพลงเบิกโรง* (*Don Giovanni K.527 – Overture.) ที่ประพันธ์โดยโวล์ฟกัง อามาเดอุส โมซาร์ต นักคีตกวีชื่อก้องโลกชาวออสเตรีย

                กอร์ดอนขนลุกซู่ เสียงดนตรีที่สะท้อนผ่านผนังทรงโค้งของโรงละครก้องกระหึ่มอยู่รอบตัวเขา ช่างตัดเสื้อหนุ่มสัมผัสได้ถึงความอลังการของท่วงทำนองดนตรีและการออกแบบอันซับซ้อนเพื่อสะท้อนเสียงให้ก้องกังวานอย่างที่เขาไม่เคยได้ยินได้ฟังจากโรงละครโอเปร่าแห่งมาก่อน เสื้อผ้าหน้าผมของนักแสดงถูกออกแบบมาอย่างดีเยี่ยม เมื่อต้องกับแสงไฟก็ดูโดดเด่นออกมาอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะชุดของดอน จิโอวานนี่ ช่างตัดเสื้อรู้สึกประทับใจเสื้อโค้ทยาวที่ได้รับอิทธิพลมาจากยุคโรแมนติกมาก และนักแสดงที่สวมก็มีรูปร่างสูงใหญ่เหมาะกับเสื้อคลุมยาวตัวนั้นพอดี และชุดของดอนน่า เอลวิร่าที่โดดเด่นน่าประทับใจด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดงดำ ดูแข็งกร้าวแต่อ่อนไหวอยู่ลึกๆ เฉกเช่นบุคลิกของตัวละคร

                การตกแต่งเวที และการเปลี่ยนฉากต่างๆ มีความประณีตและอลังการ โดยเฉพาะฉากการปรากฏตัวของรูปปั้นดอน เปโตรที่ทะลุออกมาจากกำแพง และฉากไฟนรก ซึ่งทำออกมาได้อย่างน่ามหัศจรรย์

(**ตรงนี้ใครไม่อยากอ่านเรื่องย่อแสนยาวของ ดอน จิโอวานนี่ ข้ามไปได้นะคะ)

                (**ดอน จิโอวานนี่ เป็นเรื่องเกี่ยวกับหนุ่มนักรักชนชั้นสูงชาวสเปนที่มีชื่อว่าดอน ฆวน (เนื่องจากบทละครโอเปร่าเป็นภาษาอิตาลี จึงเรียกว่าดอน จิโอวานนี่) ที่มีรักเร่เร่ร้างรักกับหญิงสาวมากหน้าหลายตา เรื่องผู้หญิงเป็นยิ่งกว่าลมหายใจของเขา เนื้อเรื่องของบทละครโอเปร่าเรื่องนี้มีอยู่ว่า ดอน จิโอวานนี่พยายามแอบเข้าไปลักหลับ ดอนน่า แอนนา ในคฤหาสน์ แต่ดอนน่า แอนนาขัดขืน เขาจึงพยายามหลบหนี แต่ระหว่างทางออกจากบ้าน ดอน เปโตร พ่อของดอนน่า แอนนาซึ่งเป็นนายพลใหญ่มาพบเข้าพอดี ทั้งคู่จึงต่อสู้กัน ดอน จิโอวานนี่แทงดอน เปโตรถึงแก่ความตาย และหลบหนีออกมาได้สำเร็จ

                ดอนน่า แอนนา และดอน ออตตาวิโอ้ คู่หมั้นของเธอพบว่าดอน เปโตรถูกแทงถึงแก่ความตาย ทั้งคู่รู้สึกเคียดแค้น และตกลงใจว่าจะออกสืบหาว่าใครเป็นผู้สังหารพ่อของตน

                ดอน จิโอวานนี่หนีมาที่จัตตุรัส เผอิญพบหญิงสาวคนหนึ่ง กำลังพร่ำเพ้อถึงความรักที่ไม่สมหวัง และผู้ชายที่ทอดทิ้งเธอไป เขาจึงเข้าเกี้ยวพาราสีเธอ ก่อนจะพบว่าเธอคือ ดอนน่า เอลวิร่า หนึ่งในผู้หญิงที่เคยถูกเขาใช้คำหวานล่อลวงจนได้เธอมาไว้ในครอบครอง และเขาก็ทิ้งเธอไปอย่างไม่ไยดี ดอน จิโอวานนี่ จึงให้เลโปเรลโล คนรับใช้คนสนิทของเขา ช่วยขวางดอนน่า เอลวิร่าไว้ เลโปเรลโลจึงให้ดอนน่า เอลวิร่า ดูสมุดจดรายชื่อผู้หญิงของดอน จิโอวานนี่ ที่หนาราวกับคัมภีร์ไบเบิล และบอกเธอว่า เธอเป็นแค่หนึ่งในผู้หญิงหลายร้อยคนของเขา ดอนน่า เอลวิร่าโกรธมาก และสาบานว่าจะแก้แค้นดอน จิโอวานนี่ในทุกทาง

                ทางด้านดอน จิโอวานนี่ หนีมาพบกับงานแต่งงานของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง เขาหมายปองเซลินา ผู้เป็นว่าที่เจ้าสาวทันทีที่ได้พบ เลยออกอุบายบอกมาเซตโต ซึ่งเป็นว่าที่เจ้าบ่าว ว่าจะให้ทั้งคู่ไปจัดงานเลี้ยงฉลองที่คฤหาสน์ของตน และให้เลโปเรลโลพามาเซตโตล่วงหน้าไปก่อน ส่วนตัวเองก็เกี้ยวพาราสีเซลินา หวังจะได้เธอมาเป็นผู้หญิงอีกคน

                แต่ดอนน่า เอลวิร่ามาพบเสียก่อน เธอจึงจัดการฉีกหน้าดอน จิโอวานนี่ด้วยการสาธยายความเลวร้ายของเขา และพาเซลินาหนีไป

                ไม่นานนักดอนน่า แอนนา และคู่หมั้นของเธอซึ่งเป็นเพื่อนกับดอน จิโอวานนี่ก็เดินทางมาพบเขา ดอน จิโอวานนี่แสร้งทำเป็นเสียใจกับมรณกรรมของดอน เปโตร ระหว่างนั้นดอนน่า เอลวิร่าก็ปรากฏตัวขึ้น และต่อว่าต่อขานเขา ดอน จิโอวานนี่จึงบอกว่าเธอเป็นบ้า และให้ดอน ออตตาวิโอ้ช่วยกันเธอออกไป เมื่อดอน ออตตาวิโอ้เผลอ เขาก็แอบเกี้ยวดอนน่า แอนนาอีก คราวนี้ดอนน่า แอนนาจึงจำได้ว่าเขาคือคนที่แอบเข้าไปลักหลับเธอที่คฤหาสน์ และคือฆาตกรที่สังหารพ่อของเธอ แต่ดอน จิโอวานนี่รู้ตัวและหลบหนีไปได้อีกครั้ง

                เซลินามาพบมาเซตโตที่คฤหาสน์ของดอน จิโอวานนี่ และพยายามแก้ตัวเรื่องที่เธออยู่กับผู้ชายอื่นสองต่อสองและทิ้งเขาไว้คนเดียว ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังปรับความเข้าใจกัน ดอน จิโอวานนี่ก็กลับมาที่คฤหาสน์ มาเซตโตอยากรู้ความจริงจึงซ่อนตัว เมื่อพบว่าดอน จิโอวานนี่พยายามเกี้ยวพาราสีว่าที่เจ้าสาวของตัวเอง จึงแสดงตัว ดอน จิโอวานนี่จึงพยายามบอกว่าทั้งคู่กำลังจะทำให้ฤกษ์แต่งงานเสีย และสั่งให้จัดงานเลี้ยงฉลองงานแต่งงานให้คนทั้งคู่

                ทางด้านดอนน่า แอนนา และคู่หมั้นของเธอ รวมถึงดอนน่า เอลวิร่า ตกลงร่วมมือกันที่จะแก้แค้นดอน จิโอวานนี่ ทั้งสามแอบเข้ามาในงานเลี้ยงแต่งงาน

                ดอน จิโอวานนี่ใช้ให้เลโปเรลโล ดึงความสนใจของมาเซตโตไปจากว่าที่เจ้าสาวของเขาระหว่างงานเลี้ยง และอุ้มเซลินาขึ้นไปบนคฤหาสน์ โชคดีที่ดอนน่า เอลวิร่า ดอนน่า แอนนา และดอน ออตตาวิโอ้คู่หมั้นของเธอไปช่วยไว้ทัน ดอน จิโอวานนี่แสร้งทำเป็นว่าเลโปเรลโลเป็นคนทำ แต่ไม่มีใครเชื่อคำพูดของเขา ขณะที่กำลังถูกชี้หน้ารุมประนาม ดอนหนุ่มก็หลบหนีไปได้อีกครั้ง

(จบองก์ที่1)

                เลโปเรลโลพยายามจะลาออกจากตำแหน่งคนรับใช้ของดอน จิโอวานนี่ เพราะไม่พอใจที่เกือบจะถูกเจ้าตัวฆ่าเพื่อโยนความผิด แต่ดอน จิโอวานนี่เกลี้ยกล่อมเขาด้วยเงิน ดอนหนุ่มบังคับคนรับใช้ให้สลับเสื้อผ้ากับเขา เพื่อปลอมตัวไปหลอก ดอนน่า เอลวิร่า และสามารถหลอกเธอได้สำเร็จ

                ดอน จิโอวานนี่แยกทางกับคนรับใช้ แต่เผอิญพบสาวใช้และถูกใจจึงพยายามเกี้ยวพาราสีนาง จนมาพบกับมาเซตโตและพวกซึ่งกำลังออกตามล่าเขาโดยบังเอิญ เขาจึงอาศัยความเข้าใจผิดของมาเซตโตที่คิดว่าเขาคือเลโปเรลโล หลอกให้พรรคพวกของมาเซตโตไปตามหาดอน จิโอวานนี่ที่อื่น และทำร้ายมาเซตโตด้วยการผลักเขาตกจากบันได ก่อนจะหนีไปอีกครั้ง

                เลโปเรลโลพยายามหลบหน้าดอนน่า เอลวิร่าที่เข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นดอน จิโอวานนี่ จนมาเจอกับพวกของดอนน่า แอนนาและมาเซตโตโดยบังเอิญ ทั้งหมดลงความเห็นว่าควรจะฆ่าเขาเสีย แต่ดอนน่า เอลวิร่าห้ามไว้ เพราะเธอไม่อาจตัดใจจากดอน จิโอวานนี่ได้ เลโปเรลโลอาศัยจังหวะนี้เปิดเผยตัวตนว่าเขาไม่ใช่ดอน จิโอวานนี่ ดอนน่า เอวีราเสียใจมากที่ถูกหลอกอีกครั้ง ส่วนเลโปเรลโลถูกดอน ออตตาวิโอ้จับตัวไว้ ทั้งหมดออกไปตามหาดอน จิโอวานนี่ต่อ

                ดอน จิโอวานนี่ที่อยู่ระหว่างกำลังหลบหนี บังเอิญถูกใจสาวใช้คนหนึ่งของดอนน่า เอลวิร่าเข้า เขาจึงกลับมาที่คฤหาสน์ของเธออีกครั้ง และพบเลโปเรลโลถูกจับมัดอยู่ จึงช่วยออกมา

                ระหว่างทางกลับพวกเขาพบเจอกับรูปปั้นของดอน เปโตรซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้าง รูปปั้นได้ส่งเสียงเตือนพวกเขา แต่ดอน จิโอวานนี่เห็นเป็นเรื่องขบขัน เขาจึงเอ่ยปากชวนรูปปั้นไปกินมื้อเย็นที่คฤหาสน์ ท่ามกลางความหวาดกลัวของคนรับใช้

                ดอน ออตตาวิโอ้ น้อยใจดอนน่า แอนนาที่เอาแต่มุ่งมั่นในเรื่องแก้แค้นจนไม่สนใจความรู้สึกของเขา เมื่อดอนน่า แอนนารู้ถึงความรู้สึกดังกล่าว จึงปลอบโยนเขา และล้มเลิกความตั้งใจที่ตามล่าดอน จิโอวานนี่เพื่อแก้แค้นให้พ่อของเธอ

                ส่วนดอนน่า เอลวิร่า ยังคงรักในตัวของดอน จิโอวานนี่อยู แม้ว่าเขาจะทำเรื่องเลวร้ายกับเธอเอาไว้มากก็ตาม เธอจึงมาเตือนเขาที่คฤหาสน์ ให้เขาหยุดทำสิ่งเลวร้าย แต่ดอน จิโอวานนี่กลับไล่เธอออกไปอย่างไม่ไยดี เธอจึงตัดใจจากเขา และวิ่งหนีออกไป ก่อนที่จะกรีดร้องด้วยความตกใจ เมื่อพบว่ารูปปั้นของดอน เปรโต บุกเข้ามาภายในคฤหาสน์ เพื่อมากินมื้อเย็นตามนัด

                รูปปั้นสั่งให้ดอน จิโอวานนี่เลิกนิสัยเสียของเขา แต่เจ้าตัวปฏิเสธ จึงถูกรูปปั้นดึงลงนรกไปพร้อมกัน

(จบองก์2 จบบริบูรณ์))


ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
                เวลาสามชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว กอร์ดอนลุกขึ้นยืนปรบมือให้นักแสดงและวงออเครสตร้าด้วยความประทับใจเช่นเดียวกับผู้ชมคนอื่นๆ พวกเขาทยอยเดินออกมาจากโรงละคร พลางพูดคุยถึงความประทับใจที่ได้รับ

                “ฉันดูเรื่องนี้ทีไรนึกถึงจอร์จทุกที” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์พูดขึ้น ในตอนที่ทั้งสามออกมายืนอยู่ด้านนอกโรงละครรอแยลโอเปร่าเรียบร้อยแล้ว ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า

                “ฉันคิดอยู่ทุกที ว่าเมื่อไหร่นักแสดงที่เล่นเป็นดอนน่า เอลวิร่าจะมีผมสีแดง”

                ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์หัวเราะออกมา “โชคยังดีนะ ที่จอร์จของเราไม่ได้เลวร้ายขนาดดอน จิโอวานนี่ ฉันยังไม่อยากเห็นเขาถูกรูปปั้นฉุด”

                กอร์ดอนพยักหน้าเห็นด้วย “ผมประทับใจฉากที่ดอนน่า เอลวิร่าคร่ำครวญถึงความรักของเธอที่มีต่อดอน จิโอวานนี่มากเลยครับ เธอรักเขาแม้ว่าเขาจะทำเลวร้ายกับเธอมาก น้ำเสียงที่เธอเปล่งออกมามันกินใจผมมาก”

                สองคนที่เดินคู่มากับเขาพยักหน้า ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์พูดต่อ “ฉันเห็นจอร์จลุกออกจากที่นั่งด้วย เขาน่าจะแอบไปเช็ดน้ำตา”

                ทั้งสามพากันหัวเราะ จังหวะนั้นลอร์ดจอร์จ เฟลตันก็เดินเข้ามาแทรก “นี่ๆ พวกนายสามคนนินทาอะไรฉันอยู่ใช่มั้ย?”

                “อ๋อ แน่นอน” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูด “เรากำลังคิดว่าจะเสนอชื่อนายเล่นเป็นดอน จิโอวานนี่ในคณะโอเปร่าสักคณะ น่าจะเหมาะกับนาย”

                ลอร์ดจอร์จ เฟลตันหัวเราะ “อย่าเลย พวกนายจะเสียเวลาเปล่า เพราะตอนนี้ฉันเลิกนิสัยแบบนั้นแล้ว” เขาหันไปมองเลดี้มาร์กาเร็ตที่ควงแขนอยู่ด้วยกัน เธอส่งยิ้มให้เขา

                “ฉันดีใจที่ยังไม่ต้องเล่นบทดอนน่า เอลวิร่ากับคุณตอนนี้นะคะ จอร์จจี้”

                “ผมไม่เคยนึกอยากให้คุณเป็นดอนน่า เอลวิร่าเลยสักนาที” ลอร์ดหนุ่มว่า กอร์ดอนพูดขึ้น

                “โอเปร่าสนุกมาก ขอบคุณพวกคุณสองคนมากเลยนะครับ”

                “ไม่เป็นไรหรอก” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันว่า เลดี้มาร์กาเร็ต สจวตพยักหน้า

                “ดีใจนะคะที่คุณชอบ ฉันหวังว่าเราจะได้มาดูด้วยกันบ่อยๆ” หญิงสาวว่า ลอร์ดจอร์จ เฟลตันพูดต่อ

                “ใช่ โอเปร่าของโมซาร์ตดีมาก ฉันชอบท่อนประสานเสียงตอนจบที่สุด ใครจะร้องท่อนนี้ได้ดีไปกว่าราโมสกับแกสตัลอีก”

                “สองคนนี้เสียงดีมาก” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า “โดยเฉพาะแกสตัล เขาร้องท่อนนี้ได้น่าขนลุกที่สุด สำหรับการเป็นดอน เปโตร”

                “ราโมสเองก็ร้องดีมากนะคะ” เลดี้มาร์กาเร็ต สจวตพูดขึ้นบ้าง “เขาเหมาะจะเล่นเป็นดอน จิโอวานนี่ที่สุด ท่อนที่เขาเกี้ยวเซลีน่า ทำเอาฉันใจหวิวๆ ราโมสเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์ดึงดูดมาก”

                ลอร์ดจอร์จ เฟลตันหน้าหงิก “ผมเองก็ดูมีเสน่ห์เวลาเกี้ยวสาวเหมือนกันนะ”

                เลดี้มาร์กาเร็ต สจวตตีแขนเขาดังเพี๊ยะ เพื่อนๆ ที่ดูอยู่พากันหัวเราะ

                “ไม่ไหว จอร์จ ไหนบอกนายไม่เป็นอย่างดอน จิโอวานนี่แล้วไง”

                ลอร์ดจอร์จ เฟลตันยักไหล่ “ก็ฉันไม่ใช่จริงๆ นี่”

                เสียงหัวเราะดังขึ้นอีก กอร์ดอนพูดต่อ

                “แต่ผมเห็นด้วยเรื่องราโมสนะครับ” ช่างตัดเสื้อว่า “เขาเป็นคนที่ดูดีจริงๆ รูปร่างเขาดีมาก พอสวมเสื้อโค้ทยาวแบบยุคโรแมนติกแล้วดูสมกับเป็นชนชั้นสูงเลย”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์กระแอมไอขึ้นมา “ผมว่าเราน่าจะกลับได้แล้ว นี่มันก็ดึกมาก”

                ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์เลิกคิ้ว ทำท่าจะพูดอะไรบ้างแต่ถูกลอร์ดจอร์จ เฟลตันแย่งพูดก่อน

                “ใช่” ลอร์ดหนุ่มเห็นด้วย “มันดึกแล้ว และฉันก็ไม่อยากฟังคู่หมั้นพูดถึงคนอื่นที่ดูแล้วมีเสน่ห์มากกว่าฉัน”

                เลดี้มาร์กาเร็ตหัวเราะออกมา “ไม่เอาน่า จอร์จจี้ ไม่มีใครเหมือนดอน จิโอวานนี่ไปมากกว่าคุณอีกแล้วนะคะ”

                ลอร์ดจอร์จ เฟลตันเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย อีกสามคนที่เหลือพากันหัวเราะ

                “เธอไม่กลัวต้องเป็นดอนน่า เอลวิร่าหรือไง?”

                “ฉันเป็นมาตั้งหลายปีแล้วค่ะ” เลดี้มาร์กาเร็ต สจวตประกาศอย่างร่าเริง “คิดว่าคุณรู้อยู่แล้วเสียอีก”

                “โอย...” ลอร์ดหนุ่มทำท่าเหมือนปวดท้อง “งั้นพวกเรากลับบ้านกันเถอะนะมาร์กี้ เดี๋ยวพ่อคุณจะเป็นห่วง”

                “คุณจะไปส่งฉันใช่ไหมคะ?”

                “อ๋อ แน่นอน” ลอร์ดจอร์จ เฟลตันว่า ก่อนจะก้มลงกระซิบที่ข้างหู “ผมจะไปส่งคุณถึงหน้าประตูห้องนอนเลย”

                เลดี้มาร์กาเร็ต สจวตตีเขาที่แขนอย่างแรงด้วยความเขินจัด “คนหน้าไม่อาย”

                “พวกนายรีบกลับไปเลยไป” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ไล่ “อย่าอยู่ทำร้ายจิตใจคนโสดอย่างฉัน”

                ลอร์ดจอร์จ เฟลตันหัวเราะชอบใจ ก่อนจะก้มลงหอมแก้มเลดี้มาร์กาเร็จ สจวตทีหนึ่ง แล้วรีบพาตัวเธอออกไปก่อนที่เธอจะตีเขาจนแขนหัก สามคนที่เหลือพากันถอนหายใจ
                “จอร์จนี่จริงๆ เลย” ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์คราง “ฉันสงสัยจริงๆ ว่ามาร์กาเร็ตรักเขาได้ไง”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์หัวเราะ “จอร์จเป็นคนมีเสน่ห์กับสาวๆ ออกนะ”

                ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์สั่นศีรษะ “ฉันคงไม่มีวันเข้าใจว่าเขามีเสน่ห์ยังไง”

                “เอาน่า ก็นายไม่ใช่ผู้หญิงนี่” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ปลอบ กอร์ดอนแอบหัวเราะเบาๆ ลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์เหลือบมองเขาแว้บหนึ่ง แล้วพูดขึ้นต่อ

                “งั้นฉันกลับก่อนดีกว่า รีบนอนเอาแรงเผื่อไมกี้จะโทรเลขมาอีกในวันจันทร์” ลอร์ดหนุ่มกระชับหมวกบนศีรษะ ขณะที่รถม้าที่มีตราคฤหาสน์ของท่านมาร์ควิสแห่งสวินดันเข้ามาเทียบ “ราตรีสวัสดิ์จอห์นนี่ ราตรีสวัสดิ์กอร์ดอน”

                “ราตรีสวัสดิ์แมกซ์”

-----------------------------------

                โอลิเวอร์ขับรถม้ามาถึงหลังจากนั้นไม่นานนัก เขานึกดีใจที่ลอร์ดโทรว์บริดจ์ยังรออยู่ที่โรงละคร เขาเชิญเอิร์ลหนุ่มและช่างตัดเสื้อขึ้นรถ ก่อนจะเฆี่ยนม้าออกไปในความมืดยามวิกาล

                “กอร์ดอน คุณว่าอย่างผมใส่เสื้อโค้ทยาวแล้วดูดีสู้ราโมสได้มั้ย?” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถามขึ้นระหว่างที่พวกเขานั่งกันอยู่บนรถม้า ช่างตัดเสื้อเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ

                “ทำไมคุณถามแบบนั้นล่ะครับ?”

                “ตอบผมมาเถอะน่า” อีกฝ่ายเร่ง “ผมอยากรู้ว่าในสายตาคุณ ใครดูดีกว่ากัน”

                กอร์ดอนอึ้งไปแว้บหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะ “ราโมสเป็นนักแสดงละครนะครับ เขาใส่ชุดแบบนั้นบนเวทีก็เหมาะแล้ว แต่ถ้าคุณใส่เดินอยู่ข้างนอก ผมว่าตกยุคแน่ๆ”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ทำหน้าไม่พอใจ เขาดึงตัวกอร์ดอนให้มานั่งข้างๆ แล้วถามอีกครั้ง “คุณยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลย ระหว่างผมกับเขา ใครดูดีกว่า”

                “ก็ต้องคุณสิครับ” กอร์ดอนตอบ “เวลาคุณแต่งตัวดีๆ ก็ดูดีนะครับ”

                “แสดงว่าเวลาไม่แต่งตัวก็ดูไม่ดีงั้นสิ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ช่างตัดเสื้อใช้มือยันอกเขาเอาไว้

                “คุณจะทำอะไรครับเนี่ย”

                “ผมจะทำโทษคุณ ค่าที่คุณชมผู้ชายคนอื่นต่อหน้าผม” พูดจบเขาก็ก้มลงกัดคางฝ่ายนั้นเบาๆ กอร์ดอนสะดุ้งด้วยความตกใจ

                “อย่าครับ!”

                ลอร์ดโทรว์บริดจ์ใช้มือช้อนท้ายทอยของเขาเอาไว้ แล้วบดริมฝีปากลงไป หลังจากย้ำจูบจนฝ่ายนั้นเริ่มแสดงอาการว่าหายใจไม่ทัน เอิร์ลหนุ่มก็ยอมถอนริมฝีปากออก

                “กอร์ดอน...” ลอร์ดโทรว์บริดจ์กระซิบพลางจูบแก้มช่างตัดเสื้อ “คุณจะมองผู้หญิงกี่คนผมไม่ว่า จะชอบผู้หญิงผมสีอะไรผมไม่มีปัญหาเลย แต่อย่าชมผู้ชายคนอื่นให้ผมฟังเลยนะ... จะชมเขาแบบไหนผมก็ไม่อยากฟังทั้งนั้น”

                กอร์ดอนอ้าปากค้าง เขาถึงกับนึกคำพูดอะไรมาตอบลอร์ดโทรว์บริดจ์ไม่ออก ได้แต่โอบมือไปที่ด้านหลังของฝ่ายนั้น แล้วลูบเบาๆ ลอร์ดโทรว์บริดจ์กอดเขาไว้

                “ผมขี้หึง บอกคุณเอาไว้ก่อนเลย”

                ช่างตัดเสื้อหลุดหัวเราะออกมา แก้มสองข้างอุ่นวาบ

                “จอห์น...”

                “หืม?”

                “ผู้ชายที่ใส่เสื้อโค้ทตัวยาวแล้วดูดีกว่าราโมสก็มีนะ ผมเคยเห็นมาแล้ว”

                “....”

                กอร์ดอนขยับตัวออกเลยน้อย เงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา “แต่ผู้ชายที่ผมรักมีแค่คุณ”

                แก้มของช่างตัดเสื้อแดงเรื่อด้วยความขัดเขิน เขาพูดจบก็ก้มหน้าลง เอิร์ลหนุ่มรีบใช้มือเชยคางเขาเอาไว้ แล้วแนบจูบลงไป

                “ผมรักคุณ ช่างตัดเสื้อที่รักของผม”

---------------------------------------
(จบตอน)

**เป็นตอนที่มีความมุ้งมิ้งและโรแมนติกสูงมาก ฮ่าๆๆๆ (มหัศจรรย์ตัวเองที่เขียนนิยายแนวโรแมนซ์ออกมาได้ในที่สุด :katai2-1:)

ใจความสำคัญสำหรับเราในตอนนี้ หาใช่เรื่องชีวิตของช่างตัดเสื้อ (เพราะมันก็วนเวียนอยู่รอบๆ ตัวเรามาหลายปีแล้ว ฮ่าๆ) แต่เป็นโอเปร่าต่างหาก เราไม่เคยคิดฝันว่าชีวิตนี้จะต้องมาลงทุนนั่งดูโอเปร่าจริงๆ ที่ไม่ใช่ละครเวทีเพื่อเขียนนิยายเลยค่ะ ตอนแรกคิดว่าจะเปิดดูแว้บนึง จะได้เอามาเขียนบรรยากาศเฉยๆ แต่พอดูเข้าจริงๆ ดันติด ฮ่าๆๆๆ โอ๊ย พระเอกคนนี้คือแบบ... ดีต่อใจสาววายสมัยใหม่อย่างเรามาก ให้ฟีลลิ่งชายเจ้าชู้ที่ดูมีเสน่ห์เวลาอยากแอ้มสาว (หื่นได้อย่างมีจังหวะลงตัว ฮ่าๆๆ) คือเพลิดเพลินกับการดูหน้าน้าแกมาจนจบโอเปร่าสองชั่วโมง (แม่ตะโกนว่าไหนบอกเขียนนิยายไง ทำไมดูหนัง โอเปร่าหรอกค่ะแม่ หนูทำเพื่องานนะคะ  :-[)

แปะลิ้งค์ไว้เผื่อใครอยากรับชม แนะนำช่วงตอนประมาณนาทีที่40 เป็นการเกี้ยวสาวที่แบบว่า... :o8:

https://www.youtube.com/watch?v=Gp11bweiOA8

ตอนนี้ทุกอย่างดูราบรื่นไม่มีดราม่า แม้ว่าจะมีตอนนึงที่กอร์ดอนไปแอบหลืบเสา แต่คนที่ควรจะแอบกว่านั้นคือลอร์ดจอร์จต่างหาก คู่นี้รู้เลยใครเท้าหน้าเท้าหลัง ฮ่าๆๆๆ

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ :pig4:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
“คุณจะมองผู้หญิงกี่คนผมไม่ว่า จะชอบผู้หญิงผมสีอะไรผมไม่มีปัญหาเลย แต่อย่าชมผู้ชายคนอื่นให้ผมฟังเลยนะ...
จะชมเขาแบบไหนผมก็ไม่อยากฟังทั้งนั้น”
 “ผมขี้หึง บอกคุณเอาไว้ก่อนเลย”
 “ผู้ชายที่ใส่เสื้อโค้ทตัวยาวแล้วดูดีกว่าราโมสก็มีนะ ผมเคยเห็นมาแล้ว”
 “แต่ผู้ชายที่ผมรักมีแค่คุณ
โอ๊ยๆ........หึงกัน บอกรักกัน ชอบบบบบบ  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
มาดูโอเปร่าพร้อมอุปสรรคเปนท่านบารอนทั้งหลายที่อยากนำเสนอลูกสาว =_=
แต่ดอน จิโอวานี นี่น่าจะโดนลงโทษมากกว่าโดนรูปปั้นลาลงนรกน๊า แสบเกิ๊นนนนนน

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
จะหลบสายตาคนอื่นไปได้นานแค่ไหนหนอ
ก็อยากให้ทั้งคู่สวีตกันไปแบบนี้นาน ๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด