เดวิดมีสีหน้าแปลกใจที่เห็นเจ้านายของตัวเองกลับมาพร้อมกับเอิร์ลหนุ่มและถุงกระดาษที่ใส่เสื้อโค้ทเอาไว้ด้านใน
“สายัณห์สวัสดิ์ครับท่านลอร์ด เสื้อมีปัญหาหรือครับ?”
“อ๋อ เปล่า” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ว่า กอร์ดอนรีบพูดแทรก
“ท่านเอิร์ลมาลองเสื้อ เกรงว่าจะมีปัญหาน่ะ”
“อ๋อ” เดวิดพยักหน้า กอร์ดอนพูดต่อ
“เธอกินมื้อเย็นหรือยัง ถ้ายังออกไปกินได้เลย ฉันมีธุระสำคัญต้องคุยกับท่านเอิร์ลด้วยน่ะ”
“อ๋อ ครับๆ ได้ครับ” เดวิดรีบพยักหน้า ก่อนจะออกจากร้านไปอย่างรู้งาน จึงเหลือแต่ช่างตัดเสื้อกับเอิร์ลแห่งโทรว์บริดจ์สองคน
“นี่... ผมถามจริงนะ เดวิดสงสัยเรื่องผมกับคุณบ้างไหม?” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถามขึ้นขณะเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในร้าน กอร์ดอนทำหน้าปั้นยาก
“ไม่รู้สิครับ เขาน่าจะยังไม่สงสัยไปถึงขั้นนั้นหรอก แต่เขาก็รู้ว่าพวกเราแอบนัดเจอกัน เขาคิดว่าคุณชอบชีวิตแบบชาวบ้าน เลยชอบชวนผมไปนั่นไปนี่ด้วย”
คนฟังหัวเราะ “ดีแล้ว ให้เขาคิดอย่างนั้นแหละ”
ช่างตัดเสื้อหันกลับมามองเขา “เราคุยกันในห้องลองเสื้อดีมั้ยครับ ถ้าเดวิดกลับมาจะได้ไม่สงสัยว่าทำไมพวกเราถึงต้องขึ้นไปคุยกันข้างบน
“ไม่ต้องหรอก เราคุยกันตรงโต๊ะรับแขกนี้เลยก็ได้ ถ้ามีใครมาผมจะได้เห็นด้วย” เอิร์ลหนุ่มว่า “ผมไม่อยากให้ใครได้ยินเรื่องที่ผมจะเล่า มันเป็นความลับมาก”
“ได้ครับ งั้นผมปิดม่านก่อน” กอร์ดอนเดินไปดึงม่านลง พอหันกลับมาก็เห็นลอร์ดโทรว์บริดจ์กำลังปลดกระดุมเสื้อของตัวเองอยู่
“ทำอะไรครับ?” ฝ่ายนั้นถามด้วยความประหลาดใจ คนถูกถามกวักมือเรียกเขา
“ผมอยากให้คุณเห็นเหตุผล ว่าทำไมผมถึงต้องสวมเสื้อแขนยาวขึ้นชก”
กอร์ดอนเดินเข้าไปหยุดยืนตรงหน้า รู้สึกเขินเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกฝ่ายแบะอกเสื้อออก แต่แล้วก็ต้องอุทานด้วยความแปลกใจ
“พระเจ้าช่วย... นี่คุณไปโดนอะไรมา...”
“จับดูสิ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ไม่ตอบคำถาม แต่กลับฉวยมือช่างตัดเสื้อไว้ “ผมอยากให้คุณลองจับมัน”
กอร์ดอนค่อยๆ ยกมือไปสัมผัสรอยแผลเป็นขนาดเกือบเท่าเหรียญห้าเพนนีที่อยู่บนซอกไหล่ด้านซ้ายของลอร์ดโทรว์บริดจ์ แผลเป็นค่อนข้างเรียบ แต่ยุบลึกเข้าไปอยู่พอสมควร ช่างตัดเสื้อมือสั่น เขาไม่เข้าใจว่าคนระดับเอิร์ลอย่างลอร์ดโทรว์บริดจ์ ได้รอยแผลนี้มาได้อย่างไร
“เจ็บรึเปล่าครับ?” ช่างตัดเสื้อถาม แม้จะไม่รู้ว่ามันเป็นรอยแผลจากอะไร แต่เขาก็รู้สึกว่าตอนที่มันเกิดขึ้น ต้องสร้างความเจ็บปวดให้กับคนตรงหน้ามากแน่ๆ ฝ่ายนั้นสั่นศีรษะ
“ไม่เจ็บแล้วล่ะ มันอยู่บนตัวผมมาได้สองปีแล้ว”
กอร์ดอนเงยหน้าขึ้นมองเขา “เกิดอะไรขึ้นกับคุณหรือครับ?”
ลอร์ดโทรว์บริดจ์ถอนใจ ดึงเสื้อกลับมาสวมเอาไว้เหมือนเดิม แล้วดึงมือกอร์ดอนให้นั่งลงข้างตัว
“มันเป็นเรื่องสุดวิสัย” เขาว่า “สามปีที่แล้วผมตามอาไปที่อเมริกา อาผมทำธุรกิจเหมืองแร่ เขามีทั้งเมืองทองและเหมืองดีบุก แน่นอนว่าอุตสาหกรรมเหมืองต้องใช้คนงานเยอะมาก เรามีคนงานเป็นร้อยๆ พันๆ กระจายอยู่ตามแคมป์คนงานต่างๆ ถึงอาจะมีบ้านพักแยกออกมาต่างหาก แต่เราก็ต้องไปที่เหมืองทุกวันเพื่อคุมงาน”
กอร์ดอนพยักหน้า เอิร์ลหนุ่มเล่าต่อ “คนงานที่ทำงานในเหมืองมีทั้งคนที่อพยพไปจากอังกฤษ คนที่มาจากสเปน เยอรมัน อิตาลี หรือแม้แต่พวกอินเดียนแดง ผมชอบคุยกับพวกเขานะ มันทำให้เห็นโลกที่กว้างขึ้น พวกเขามีโลกที่ต่างกับผมอย่างสิ้นเชิง พวกเขาเล่า ผมนั่งฟัง บางคนสอนภาษาผมด้วย แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเป็นมิตรทั้งหมด”
“ในแค้มป์คนงานมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งอยู่บ่อยครั้ง วันนั้นเป็นวันที่เลวร้ายที่สุด เรื่องมันเกิดขึ้นแต่เช้า ยามที่เฝ้าเหมืองขี่ม้ามาบอกอาผมว่าเกิดเหตุฆ่ากันตายที่แค้มป์คนงานหมายเลขสาม ผมกับอาเลยรีบออกไปดูที่เกิดเหตุ พอถึงแค้มป์ก็พบว่าพวกนั้นจับตัวคนที่น่าสงสัยว่าจะเป็นฆาตกรที่สุดเอาไว้แล้ว เป็นเด็กอินเดียนแดงที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้สามเดือน พวกนั้นเกือบจะฆ่าเขาก่อนที่เราจะไปถึง โชคดีที่หัวหน้ายามห้ามไว้ได้”
“คนที่ถูกฆ่าตายเป็นคนงานชาวสเปนที่อยู่ในวัยฉกรรจ์ ตัวใหญ่กว่าผมด้วยซ้ำ เขานอนตายจมกองเลือดโดยมีมีดปักอยู่ที่คอตรงหน้าเต๊นต์พักของตัวเอง พยานที่อ้างว่ารู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่าได้ยินเสียงคนทะเลาะกันตั้งแต่ยังไม่รุ่งสางดี แต่สักพักก็เงียบไปจึงไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะปกติก็มีการทะเลาะกันที่เหมืองเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว ไม่มีใครเห็นตัวฆาตกรเลย แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาเชื่อว่าเป็นฝีมือของเด็กอินเดียนแดงคนนั้นเพราะมีดที่ปักอยู่บนคอของศพเป็นมีดของเจ้าตัว แต่เขาอ้างว่ามีดถูกขโมยไปตั้งแต่สัปดาห์ก่อน แน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อเขา ทุกคนเรียกร้องให้อาผมจัดการอะไรสักอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับอินเดียนแดง โทษสำหรับเขาในกรณีฆ่าคนขาวตายมีสถานเดียวคือตายตามไปด้วย”
ลอร์ดโทรว์บริดจ์หยุดพักหายใจ “แต่ผมไม่เชื่อว่าเขาจะเป็นคนฆ่าผู้ชายตัวใหญ่ขนาดนั้นได้ เขาอายุแค่สิบสี่ปี เตี้ยกว่าผมเกือบครึ่ง ผมนึกภาพไม่ออกด้วยซ้ำว่าเขาเอามีดแทงคอผู้ชายที่สูงและแข็งแรงกว่าเขาครึ่งหนึ่งได้อย่างไร” ชายหนุ่มยิ้มออกมา “เวลาผมอ่านเชอร์ล็อค โฮล์ม ผมชอบคิดเสมอว่าการสืบคดีต้องเริ่มต้นจากพื้นที่เกิดเหตุ เราต้องคุกเข่ามองหารอยเท้าคนร้าย หรือก้นบุหรี่ที่พวกเขาอาจจะทิ้งเอาไว้ แต่ในความเป็นจริงแล้วเรื่องมันง่ายกว่านั้นมาก คนที่ตายตัวใหญ่กว่าผม เพราะฉะนั้นคนที่ฆ่าเขาโดยแทงเขาด้วยมีดเข้าที่คอ จะต้องตัวใหญ่พอๆ กันหรือสูงกว่า ที่สำคัญแผลที่อยู่บนคอของเขามีหลายแผล ส่วนใหญ่เป็นแผลถากที่เกิดจากคมมีด แผลที่ทำให้ถึงตายคือแผลที่เส้นเลือดใหญ่ อาผมเดาเอาจากประสบการณ์ว่าชายที่ตายคงพยายามดิ้นรนตอนที่ฆาตกรพยายามใช้มีดเชือดคอเขา ถึงได้มีรอยแผลถากมากมายขนาดนี้ นั่นเป็นที่มาของเสียงทะเลาะที่มีคนได้ยินในตอนรุ่งสาง แต่สุดท้ายเขาก็ถูกฆ่า ดังนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นฝีมือของเด็กอินเดียนแดงคนนั้น”
“ผมกับอาเลยมองหาคนที่ตัวสูงพอๆ กับคนที่ตาย ซึ่งมีอยู่สองคน หนึ่งในนั้นคือคนที่ชี้บอกคนอื่นเรื่องมีด ทั้งคู่ดูหงุดหงิดที่ผมกับเอาไม่ยอมลงโทษเด็กอินเดียนแดงแต่มาหาเรื่องเอากับพวกเขาแทน ผมเลยเอ่ยปากขอเต๊นต์พักของพวกเขา เพราะแน่ใจว่าฆาตกรจะต้องซ่อนเสื้อที่เปื้อนเลือดเอาไว้ในเต๊นต์แน่ หนึ่งในสองคนนั้นเลยออกตัวให้ไปตรวจที่เต๊นต์ของเขาก่อนเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ”
“เรื่องมันเกิดขึ้นเร็วมาก ผมกับอาเข้าไปตรวจในเต๊นต์ของเขา ระหว่างที่เรากำลังมองหาเสื้อเปื้อนเลือดหรืออะไรทำนองนั้น เขาก็กระโจนมาคว้าคอผม ก่อนจะชักมีดที่ซ่อนอยู่มาจ่อคอผมเอาไว้ แล้วตะโกนให้ทุกคนหลีกไป”
เอิร์ลหนุ่มหน้าแดงก่ำ “บอกตรงๆ นะ ตอนนั้นผมทั้งกลัวทั้งอับอายเลย ไม่คิดว่าตัวเองจะถูกจับเป็นตัวประกันแบบนั้น ผมหันไปหาอา เห็นเขาเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็...”
“ปัง!”
กอร์ดอนสะดุ้งเฮือก เขาถลึงตามองลอร์ดโทรว์บริดจ์ที่หัวเราะออกมา ก่อนจะชกฝ่ายนั้นเบาๆ ที่แขน
“ไม่ตลกนะครับ คุณเกือบโดนยิงเลยนะ” ช่างตัดเสื้อมองเขาเคืองๆ เอิร์ลหนุ่มสั่นศีรษะ
“ผมไม่ได้เกือบ ผมโดนยิงเลยล่ะ โดนเข้าตรงนี้พอดี” เขายกนิ้วโป้งชี้ไปที่ซอกไหล่ซ้ายของตัวเอง กอร์ดอนเลิกคิ้ว อีกฝ่ายเล่าต่อ “มันเหมือนเวลาถูกทำให้ช้าลง ผมเห็นปืนอยู่ในมือของอา เห็นดวงตาสีเทาของเขาจับจ้องไปที่ด้านหลังผม แล้วก็เห็นอาผมเหนี่ยวไกปืนอีกนัด จากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย มารู้สึกตัวอีกทีตอนที่อากับคนอื่นๆ ช่วยกันหามผมออกมาจากเต๊นต์นั่นแหละ”
กอร์ดอนอ้าปากค้าง เนิ่นนานถึงเค้นคำพูดออกมาได้ “อะ... อาคุณเป็นคนยิงคุณหรือครับ?”
“ใช่” ลอร์ดโทรว์บริดจ์พยักหน้า “เขาให้เหตุผลว่าถ้าไม่ยิงผมก่อน สถานการณ์มันจะยิ่งควบคุมไม่ได้ ผมอาจจะต้องถูกคนงานคนนั้นลากตัวขึ้นม้าเพื่อเป็นตัวประกันในการหลบหนี ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นมันจะยิ่งยากสำหรับเขาในการรับรองความปลอดภัยของผม ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจยิงผมก่อน โดยเลือกที่ที่ไม่สำคัญที่สุด เพื่อให้คนที่จับผมอยู่ไขว้เขว แล้วก็ใช้จังหวะนั้น รุกฆาตปิดเกม”
กอร์ดอนพูดอะไรต่อไม่ออก เขานึกไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้กับคนตรงหน้าได้ ลอร์ดโทรว์บริดจ์พูดต่อ “อาผมเป็นทหารเก่า ผมลืมเล่าให้คุณฟัง เขาเคยเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังปกป้องอาณานิคมในอเมริกา นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพอเขาลาออกมาแล้วจึงกลับไปทำเหมืองที่นั่น”
“คุณเล่าให้พ่อคุณฟังหรือยังครับ?” กอร์ดอนถามออกมาในที่สุด ฝ่ายนั้นสั่นศีรษะ
“เปล่า เรื่องนี้จะให้พ่อผมรู้ไม่ได้เด็ดขาด” เขาเว้นจังหวะหน่อยหนึ่ง “ผมไม่อยากให้พ่อกับอาผิดใจกัน”
“ทำไมล่ะครับ? เขาช่วยชีวิตคุณเอาไว้นะ”
ลอร์ดโทรว์บริดจ์มองเขา แล้วถอนใจ “ผมเป็นลูกชายคนเดียว และผมยังไม่มีลูก ถ้าผมตาย คนที่จะได้รับมรดกต่อมาคืออาของผม...”
กอร์ดอนอ้าปากค้าง เอิร์ลหนุ่มพูดต่อ “คุณรู้อะไรมั้ย กระทั่งตอนที่อาเล่าให้ผมฟัง เขายังบอกว่ากลัวตัวเองเลย ตอนนั้นเขานึกอยากจะยิงหัวผมแว้บหนึ่งด้วยเหมือนกัน แต่สุดท้ายเขาก็เปลี่ยนใจ โชคดีที่ปิศาจไปเสียก่อนที่เขาจะเหนี่ยวไก”
ช่างตัดเสื้อบีบมือตัวเองแน่น ก่อนจะค่อยๆ คลายออก แล้วขยับไปจับมือข้างหนึ่งของลอร์ดโทรว์บริดจ์เอาไว้ ก่อนจะบีบเบาๆ
“คุณคงเจ็บมาก”
“เจ็บสิ” อีกฝ่ายตอบ “โชคยังดีที่กระดูกไม่ถึงกับแตก แค่ร้าวนิดหน่อย แต่ต้องผ่าตัดเอาลูกปืนที่ฝังอยู่ในกล้ามเนื้อออกมา ผมนอนอยู่ที่โรงพยาบาลสักครึ่งเดือนได้ เพราะอากลัวแผลจะติดเชื้อ ผมล่ะคิดว่าตัวเองจะต้องแต่งงานกับพยาบาลคนใดคนหนึ่งในนั้นเสียแล้ว”
กอร์ดอนหัวเราะออกมา “ดีจังที่คุณรอดมาได้”
“ใช่ ไม่งั้นผมคงไม่ได้มาเจอคุณ” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบแล้วกุมมือเขาเอาไว้ “โชคดีที่ผมไม่เคยปิ๊งนางพยาบาลสักคน”
กอร์ดอนต่อยแขนเขาอีกทีหนึ่ง “นี่เราพูดกันถึงเรื่องรอยแผลของคุณอยู่นะ”
ท่านเอิร์ลหัวเราะแล้วก้มลงหอมแก้มช่างตัดเสื้อ จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “กอร์ดอน”
“ครับ?”
“ห้ามเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังนะ ผมไม่อยากให้ใครรู้ทั้งนั้น แม้แต่จอร์จหรือแมกซ์”
“ทำไมล่ะครับ?” อีกฝ่ายถาม “คุณไม่ไว้ใจพวกเขาหรือ?”
“เปล่า” ลอร์ดโทรว์บริดจ์ตอบ แล้วถอนใจเฮือก “เพราะผมไม่ต้องการความสงสารน่ะ ไม่ว่าจากเพื่อน หรือจากใครก็ตาม”
กอร์ดอนช้อนดวงตาสีฟ้าขึ้นมองอีกฝ่ายอยู่เป็นนาน สุดท้ายก็ถามออกมา “แล้วทำไมถึงบอกผมล่ะครับ”
คนถูกถามคลี่ยิ้ม “เพราะคุณเป็นคนรักของผมไง” เอิร์ลหนุ่มตอบเขา “ถ้าผมไม่เล่าคุณต้องเป็นกังวลและสงสัย ผมไม่อยากให้คุณสงสัยผม คนรักไม่ควรจะสงสัยกัน”
“จอห์น...”
อย่างแผ่วเบา ริมฝีปากของลอร์ดโทรว์บริดจ์สัมผัสกับริมฝีปากของช่างตัดเสื้อ ก่อนจะผละออกไป “คุณไม่ต้องกังวลอะไรหรอก แผลนี้ไม่ส่งผลอะไรกับร่างกายผมเลย ผมแค่ไม่อยากให้ใครเห็นมันเท่านั้น นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงต้องใส่เสื้อแขนยาว”
กอร์ดอนลูบมือลงไปบนซอกไหล่ซ้ายของเขา สัมผัสรอยแผลนั้นผ่านเนื้อผ้า แล้วพยักหน้าช้าๆ
--------------------------------------
(จบตอน)
*** ระหว่างเขียนตอนนี้ เราคิดขึ้นมาว่าน่าจะลองเขียนนิยายสืบสวนง่ายๆ ดูสักเรื่อง ฮ่าๆๆ (มีความมโนสูงมาก) ตอนนี้เป็นตอนที่แก้หนักมาก เราเกือบปล่อยไก่ตัวใหญ่ออกมาแล้ว ด้วยการเขียนให้จอห์นนี่ถูกไรเฟิลยิงจากระยะไกล แต่มาฉุกคิดได้ว่าถึงไม่ตายก็ต้องพิการแน่นอน เพราะกระสุนไรเฟิลคงไม่แค่ผ่านกระดูกไปเฉยๆ แน่ ดังนั้นเลยมีดราฟไรเฟิลที่ไม่เป็นจริงค้างอยู่ในเครื่อง ฮ่าๆ (บ่นแบบโอตาคุสุดๆ) สุดท้ายหลังจากคิดหัวแทบแตก เรื่องเลยไปออกที่ปืนพกแทน (ติ๊งต่างแบบขี้โม้ว่าจอห์นนี่กระดูกแข็ง + อาใช้กระสุนแบบหัวบาน พอโดนกระดูกเลยแค่ร้าว ไม่ถึงกับแตก<<มโนหนักมาก ฮ่าๆ)
ลองทำตัวอักษรย่อที่ปักอยู่บนผ้าเช็ดหน้าของท่านลอร์ดแต่ละคนออกมาค่ะ ฮ่าๆๆๆ (มีโมเม้นต์อยากดมผ้าเช็ดหน้าท่านลอร์ด ไม่รู้ทำไม
)
อันนี้เป็นอักษรย่อของจอห์นนี่ ที่จริงแล้วมันควรจะขึ้นต้นด้วยตัวJ แต่เรารู้สึกว่าวางCเอาไว้ด้านหน้ามันดูอลังการกว่า... เป็นการออกแบบที่ไม่มีหลักการเลยให้ตายเหอะจอห์น
อักษรย่อของลอร์ดแมกซ์ เมอร์เรย์ ที่มีชื่อเต็มว่าแมกซิมิลเลี่ยน เมอร์เรย์ (แน่นอนว่าเราไม่พิมพ์ลงไปในนิยายหรอกค่ะ ยาวมากขี้เกียจพิมพ์ ฮ่าๆ) ของแมกกี้จะมีความอลังการน้อยกว่านิดนึง เพราะฮีไม่ได้มีตำแหน่งเป็นกิจลักษณะ (มโนไป) อีกอย่างสองพี่น้องตระกูลเมอร์เรย์นี้ใช้ตัวย่อตัวเดียวกันค่ะ คือ M.M. (ความมหัศจรรย์ของแมกซ์และไมครอฟพี่ชายคงได้เฉลยในบทต่อๆ ไปที่วางแผนจะเขียน)
อักษรย่อของลอร์ดจอร์จ เฟลตันค่ะ ฮ่าๆๆ ถ้ามันจะปักลงบนผ้าเช็ดหน้า คงเป็นผืนที่ดิฉันอยากเอามาดมเป็นที่สุด อยากสูดกลิ่นน้ำตาคุณชายอ่ะ (555+ ดูโรคจิตมาก
) อักษรของจอร์จดูเรียบที่สุดค่ะ แต่เป็นเรียบหรูสไตล์จอร์จ (เหรอ???)
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่า