ตอนที่ 11สภาพการจราจรช่วงเย็นคือการนั่งอยู่ในรถมองรถมอเตอร์ไซค์ที่วิ่งผ่านทางซ้ายและขวาของรถไปเรื่อย ๆ และทำให้เห็นว่าคนที่นั่งข้างคนขับกำลังทำบางสิ่งที่ไม่เคยเห็นมานานแล้ว
ข้าวโพดจับมือเบสไว้เมื่อเห็นว่ากำลังจะยกมือขึ้นมากัดเล็บอีกครั้ง
“จะกัดให้เล็บมันกุดทั้ง 10 นิ้วเลยหรือไง”
“ไม่ขนาดนั้นหรอก” เบสบอกแล้วบิดข้อมือออก แต่พอลืมตัวก็ยกมือขึ้นมาจะกัดเล็บอีกครั้ง ข้าวโพดก็คว้าไว้อีกครั้ง
“เครียดอะไร คุยกัน”
“ก็เรื่องตึกคณะสังคมฯ ไง”
ข้าวโพดพยักหน้า
“ข้าวโพดไม่ห่วงพี่ ๆ หรือไง”
“ไม่นะ เราห่วงเบสมากกว่า” ตอนแรกที่เรียกตัวเองว่าเรา ข้าวโพดรู้สึกแปลก ๆ แต่ผ่านไปสักพักก็เริ่มชิน
“จะมาห่วงอะไรเรา”
“ก็ห่วงว่า เบสจะคิดนั่นคิดนี่ เสร็จแล้วก็จะมาบอกให้เราเลี้ยวรถกลับไปที่ตึกคณะสังคมฯ น่ะสิ บอกเลยนะ ว่าไม่ว่าจะงอแงยังไง เราก็จะไม่กลับไปอย่างเด็ดขาด”
“ข้าวโพด”
“นั่นไง ไม่ต้องมาข้าวโพดเลย พี่ ๆ เขาบอกให้รอก็คือรอ เมื่อกี้พี่ลุคเขาก็ทำให้เห็นแล้วว่าเขาจัดการกระดาษแผ่นนั้นยังไง”
เบสทำปากยื่นแล้วบ่น “กระดาษนั่นน่ากลัว อยู่ดี ๆ ก็กลายเป็นหัวกะโหลกพุ่งเข้ามาหา”
ข้าวโพดพยักหน้าอีกครั้ง “เราทำอะไรแบบที่พี่ลุคทำไม่ได้ ถ้าความอยากรู้คือการที่ทำให้เราต้องเสี่ยงแล้วอาจทำให้เรื่องมันบานปลาย เราจะไม่ทำเด็ดขาด เพราะฉะนั้นอย่ามางอแง”
“กลัวละสิ”
“ใช่” ยืดอกรับแบบแมน ๆ ไปเลย “นี่ไม่ใช่เรื่องเขม่นกันหลังสนามบาสนะ จะได้เคลียร์กันได้”
เบสยังมีเรื่องที่คาใจ “จำวันก่อนที่เราไปดูที่ตึกนั้นได้ไหม”
“จำได้”
“ตึกนั้นมีคนเรียนอยู่ด้วย”
“ก็มั่นคืออาคารเรียนของคณะ ก็ต้องมีคนเรียนอยู่ มีอาจารย์ มีคนดูแลตึก ที่เบสจะถามก็คือ มีกี่คนที่เรียนในคลาสที่ปิดประกาศไว้ใช่ไหม”
“นั่นแหละ” จากนั้นเอียงคอคิด “แต่เราก็สงสัยทุกคนเลย”
“สงสัยอะไร ทุกคนอะไร”
“ทุกคนที่เราเห็นว่าอยู่ที่ตึกตอนนั้น ทุกคนในคณะสังคมฯเลย”
“เบสจะสงสัยไปหมดทุกคนแบบนั้นไม่ได้” ข้าวโพดพยายามกลั้นหัวเราะ “คิดถึงความน่าจะเป็นหน่อยสิ”
“คุยไหม”
“ก็คุยอยู่ไง”
“งั้นก็อย่าขัดคอ”
“ก็...”
“ข้าวโพด”
“ครับ”
บางทีก็สงสัยนะ เมื่อสัก 7 วันก่อนหน้านี้เบสยังไม่ใช่คนที่จะชอบออกคำสั่งมากขนาดนี้เลยนี่นา หรือเป็นเพราะจูบเมื่อวันก่อน
ความเป็นไปได้อีกอย่างก็คือ เบสเวลาที่เครียดและตื่นกลัวจะกลายเป็นคนที่พูดไม่หยุด
“ข้าวโพด”
“ครับผม”
“ฟังอยู่ไหม”
“ฟังสิ แต่ตอนนี้ขับรถอยู่ ต้องใช้สมาธิเหมือนกัน”
เบสพยักหน้า แบบที่เป็นการส่งสัญญาณว่าเดี๋ยวจะกลับมาจัดการเรื่องนี้
“เราสงสัย ใครคือคนที่เอากระดาษมาติดที่บอร์ด แล้วติดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ มีนักศึกษาไปที่คลาสนี้กี่คนแล้ว แล้วเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ได้เรียนจริง ๆ หรือเปล่า แล้วอาจารย์ นักศึกษา คนที่ทำงานที่เรียนที่ตึกนั้น เขาเป็นยังไง เคยพบเจออะไรแปลก ๆไหม” เบสจะยกมือขึ้นมากัดเล็บอีกครั้ง ข้าวโพดก็คว้าไว้ก่อนเหมือนเดิม “ตั้งแต่เราเห็นกระดาษแผ่นนั้น เราก็คิดแต่ว่าจะรอถามพี่ ที่จริงเราควรถามคนที่คณะสังคมฯ เรื่องคลาสเรียนนั้น”
“ถามว่าอะไร”
“ก็ถามว่าเคยมีใครเข้าเรียนคลาสนี้บ้างไง”
ข้าวโพดส่ายหน้า “มาตั้งคำถามตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว เพราะพี่ลุคทำลายกระดาษแผ่นนั้นไปแล้ว”
เบสหันมาหาข้าวโพด “ถ้าเคยมีคนเข้าเรียนไงข้าวโพด เขาก็จะบอกเราได้ว่ามันเกี่ยวกับอะไร แล้วถ้าคนที่ทำกระดาษแผ่นนั้นยังอยู่ เขาก็อาจจะทำใหม่แล้วเอามาติดใหม่ก็ได้”
“คนที่ทำกระดาษที่มีหัวกะโหลกพุ่งออกมาได้ เบสคิดว่าเขาจะเป็นคนยังไง เขาจะทำอะไรได้บ้าง แล้วคนที่เดินเข้าไปเรียนคลาสนี้จะกลายเป็นแบบไหน พี่ทั้ง 2 คนย้ำแล้วย้ำอีกให้พวกเรากลับบ้าน”
“แต่เราอยากรู้”
“เราก็อยากรู้ อยากอยู่ช่วยพวกเขา”
เบสเชื่อว่าข้าวโพดพูดจริง คนที่มีนิสัยแบบนักสังคมสงเคราะห์อย่างข้าวโพดย่อมต้องอยากอยู่ช่วยพี่ ๆ จัดการเรื่องนี้แน่นอน
“แต่เราต้องประเมินตัวเองด้วย ถ้าพี่เขาอยากให้เราไปหาข้อมูลอะไร เขาก็คงจะบอกแล้ว เบสไม่คิดว่าพี่ ๆ เขาจะจัดการได้หรือ”
“คิดสิ แต่ข้าวโพดไม่คิดว่าเรื่องนี้มันดูกระจัดกระจายหรือ” เบสให้เหตุผล “จริงอยู่ที่ตอนนี้เราโฟกัสไปที่กระดาษแผ่นนั้น แล้วพี่ก็ย้ำให้เรากลับบ้านตลอด แต่ถ้ามองให้มันกว้างออกไปนะ จู่ ๆ เราก็ได้พบกับพี่ทั้ง 2 คน แม่เราเปลี่ยนไป มีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นที่บ้านจนเรากลับบ้านไม่ได้ มหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่ก็มีคลาสประหลาด”
“คลาสประหลาดนั่นอาจมีมาตั้งนานแล้ว แต่เราเพิ่งเห็น”
“นั่นก็ใช่”
“เอาอย่างนี้ละกัน เอาเรื่องที่เราพอจะทำได้ และไม่ไปขัดขวางการทำงานของเขาแน่นอน เดี๋ยวกลับไปถึงบ้าน เบสลองค้นข่าวเก่าดูว่ามีข่าวนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกับเราที่หายไปไหม แล้วค่อย ๆ คัดที่มันไม่น่าจะเกี่ยวกับคลาสพิเศษนั้นออกไป”
“เราควรได้คุยกับคนที่ทำงานแล้วก็เรียนอยู่ที่ตึกนั้นด้วย”
“นั่นเอาไว้หลังจากที่พี่เขามาสรุปเรื่องให้ฟังก่อนน่าจะดีกว่าไหม เราเป็นกองหนุนนะอย่าลืม”
เบสคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า
“เรื่องที่อยากรู้สำคัญก็จริง แต่อย่าลืมทำงานส่งอาจารย์ให้เสร็จก่อนล่ะ เพราะที่ต้องค้นข่าวน่าจะใช้เวลานานกว่า”
การค้นข่าวเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลานานอย่างที่ข้าวโพดบอกไว้จริง ๆ เพราะการใช้คีย์เวิร์ดป้อนเข้าไปในกูเกิ้ลแบบง่าย ๆ ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด
ตอนที่ใช้คำเฉพาะเจาะจงว่า ‘คลาสพิเศษ คณะสังคมฯ’ ก็มีแต่ข้อมูลทางวิชาการขึ้นมา พอเพิ่มคำอื่นลงไปอย่างชื่อมหาวิทยาลัย หรือคำว่า ‘คนหาย และอุบัติเหตุ’ ก็กลายเป็นเรื่องเกมไปเสียนี่ แล้วพอลองเปลี่ยนเป็น ‘คนหาย คณะสังคมฯ’ ก็กลายเป็นประกาศตามหาคนหาย
เบสลองเปลี่ยนคำค้นหาอีกหลายคำ ก็ยังไม่มีข้อมูลที่ต้องการ
เช้าวันถัดมา เบสก็พยายามจะให้ข้าวโพดขับรถไปแถวตึกเรียนของคณะสังคมศาสตร์อีกครั้ง
“หาในเว็บแล้วมันไม่เจออะไร ลองไปดูที่คณะดีกว่า”
ยิ่งนานข้าวโพดยิ่งหวั่นใจ ว่าจะขัดใจกันไปได้อีกสักกี่ชั่วโมง กี่วัน
“เบส เรารับปากอะไรไว้กับพี่ จำได้ไหม”
“จำได้สิ ก็แค่ไปดูห่าง ๆ ขับรถผ่านเหมือนวันก่อนก็ได้ แล้วนี่ก็ตอนเช้า”
“ตอนพี่ลุคจัดการหัวกะโหลกนั่นก็ตอนกลางวันนะ” ข้าวโพดเตือนขณะที่เลี้ยวรถเข้ามหาวิทยาลัย
“เราไม่ได้ขอให้ข้าวโพดไปจัดการอะไรเลยนะ” เบสชี้ไปทางคณะสังคมฯ “ก็แค่ผ่านไปดูเท่านั้นเอง”
ข้าวโพดสังหรณ์ใจว่าเรื่องจะไม่ได้ง่ายแค่ผ่านไปดู เพราะตึกนี้ก็ค่อนไปทางด้านหลังของคณะ คือจากถนนสายหลักที่ผ่านหน้าคณะก็พอจะมองเห็นตัวอาคาร อย่างเวลากลางคืนที่ผ่านมาก็เห็นว่าเปิดไฟ แต่ในวันนี้....
จากระยะไกลมองเห็นว่า เช้านี้มีคนงานหลายคนกำลังเลี้ยวรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปที่คณะ
“มองไม่ถนัดเลย” เบสบอก “ทำไมตอนกลางวันถึงมองเห็นได้ยากกว่าตอนกลางคืนนะ
มาถึงตอนนี้ข้าวโพดก็มีความสงสัยอยู่เหมือนกัน จึงเลี้ยวรถตามรถมอเตอร์ไซค์คนงานเข้าไป
อาคาร06 ในเวลานี้อยู่ในสภาพที่เหมือนกับถูกพายุพัดถล่มเมื่อคืนนี้ เศษกระดาษ เอกสารและสิ่งของต่างๆ กระจัดกระจาย ประตูหน้าต่างอาคารเรียนพังเสียหาย
เบสไม่ได้พูดอะไรสักคำเมื่อข้าวโพดเลี้ยวรถออกมาจากคณะ แล้วมาจอดที่ลานจอดรถของคณะบริหาร
“ข้าวโพด ขออีกอย่าง อย่างเดียวจริง ๆ”
“อะไร”
“ไปดูบอร์ดนั้นกันหน่อย”
“อย่างเดียวจริง ๆ นะ” ข้าวโพดถามทั้งที่ก็อยากรู้เหมือนกัน
เบสจับมือของข้าวโพดไว้แน่น ตลอดทางที่เดินไปที่บอร์ดติดประกาศข้างทางเดินระหว่างอาคารเรียน
ที่จริงจากระยะไกลก็พอจะเห็นแล้วว่าไม่มีกระดาษแผ่นนั้น แต่ทั้งคู่ก็ยังเดินเข้าไปจนใกล้ ทั้งชะโงกมองไปทางด้านหลัง เพื่อดูให้แน่ใจ
“ไม่มีแล้วใช่ไหม”
“ไม่มี”
“จบแล้วใช่ไหม”
“แต่เมื่อคืนพี่ไม่ได้มาหาพวกเรานะ”
เบสหันมามองหน้าข้าวโพด แล้วหันไปมองทางตำแหน่งของคณะสังคมฯ
“ข้าวโพดคิดว่าในมหา’ลัยของเราจะยังมีอะไรแบบนี้อีกไหม”
“จะไปรู้ได้ไง มหา’ลัยออกจะกว้าง แต่ที่รู้ก็คือ ถ้าสภาพหลังจากที่พี่ ๆ เข้าไปจัดการแล้วเละขนาดนั้นก็แปลว่า เรายิ่งต้องเพิ่มความระวัง”
ข้าวโพดดึงมือเบสให้เดินกลับมาและเจตนาพูดเพื่อสร้างความหวาดกลัว “ถ้าศัตรูของพี่เป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น ตอนนี้อาจกำลังมีใครที่กำลังเฝ้ามองเราอยู่”
เบสหยุดเดิน หันมามองข้าวโพด “แม่”
“เบส”
“พี่บอกว่า อย่าเพิ่งกลับไป แต่เราโทรไปหาแม่ได้นี่”
ข้าวโพดพยักหน้า “เรียนคาบเช้าเสร็จแล้วค่อยโทรละกัน”
เมื่อเดินเข้ามาที่ตึกคณะ เพื่อน ๆ ต่างจับตามองมือที่จับกันไว้ไม่ยอมคลาย
“ทำไมผลสรุปถึงกลายมาเป็นแบบนี้ได้ล่ะ” แหม่มที่ชอบข้าวโพดมานานโวยวายขึ้น
.....
บลูตื่นนอนท่ามกลางกลิ่นกาแฟผสมกลิ่นเนย ที่หอมไปจนถึงในห้องนอน และประสาทรับรู้ว่ามีคนอยู่ 2 คนในร้าน
บลูระงับความตื่นเต้นนั้นไว้ แล้วสวมแว่นดำเมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบว่าเจตน์กำลังอ่านหนังสืออยู่ และเงยหน้าขึ้นมาทักในทันที
“ตื่นแล้วหรือครับคุณ ดื่มนมอุ่นสักหน่อยไหมครับ”
ยิ้มแบบนี้ ท่าทางแบบนี้ คาดว่า ‘เถ้าแก่’ คงบอกอะไรไว้เยอะ จนไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปทำความเข้าใจที่ถูกต้อง
อยากให้เชื่อว่าอะไรก็เป็นไปตามนั้นแล้วกัน
บลูพยักหน้า มองข้ามไหล่ของเจตน์ไปที่สตรีอีกคนที่น่าจะมีอายุประมาณ 40 ปี
“นี่เมียผมครับ ชื่อแอน”
บลูยิ้มกว้าง “วันนี้แข็งแรงแล้วหรือครับ”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ แต่เจตน์กลัวจะล้มไปอีก ก็เลยชวนมาช่วยงานที่ร้านด้วยกัน”
การที่ทุกคนยังมีสุขภาพที่แข็งแรงดี และมีชีวิตที่ดี คือสิ่งที่ดียิ่งกว่าอะไรทั้งหมดในโลกนี้
“ทำไมถึงหรี่ไฟในร้าน”
เจตน์ปิดม่านไม้ไผ่หน้าร้านลงมาครึ่งหนึ่ง แล้วเปิดไฟตรงหน้าเค้าน์เตอร์ที่กำลังอ่านหนังสือกับที่กำลังทำงานอยู่เท่านั้น แม้จะยังมีแสงสว่างจากนอกร้าน แต่ก็ยังถือว่าเป็นแสงสว่างที่น้อยเกินไปอยู่ดี
“เถ้าแก่บอกว่า ตาคุณรับแสงสว่างมากไม่ได้ ผมก็เลยปิดไฟในร้านแล้วหรี่ไฟตรงหน้าเค้าน์เตอร์ สว่างไปหรือเปล่าครับ”
“ไม่หรอก เห็นว่าอ่านหนังสืออยู่ แสงสว่างน้อยเกินไปจะไม่ดีกับสายตา”
“นี่ก็สว่างพอแล้วครับ” เจตน์ชี้กระจกบานใหญ่หน้าร้านที่เปิดรับแสงสว่างไว้ครึ่งหนึ่ง
“แล้วปิดม่านอย่างนี้มาตั้งแต่กี่โมง”
“เมื่อบ่ายโมงครึ่งครับ เถ้าแก่สั่งไว้”
ที่เจตน์ไม่ได้บอกก็คือตั้งแต่บ่ายโมงครึ่งเป็นต้นมา ก็ไม่มีลูกค้าเข้าร้านเลย กำลังคุยกันอยู่ว่าเป็นเพราะปิดม่านหน้าร้านจนทำให้ลูกค้าเข้าใจผิดว่าปิดร้านหรือไม่ แต่ป้ายหน้าร้านก็บอกว่าเปิดร้านนี่นา แล้วบลูก็ลงมาพอดี
บลูหันไปมองนาฬิกาที่ผนัง ตอนนี้บ่ายสองโมงแล้ว
เจตน์ถือนมอุ่นกับแซนด์วิชมาวาง “เถ้าแก่ออกไปข้างนอกครับ ให้บอกว่าเดี๋ยวจะกลับมา”
เพราะในร้านไม่มีลูกค้า บลูจึงไม่ต้องระวังเรื่องสายตาคนมอง และไม่ต้องระวังคำถาม
“แอนมีฝาแฝดไหม”
แอนที่กำลังเช็ดโหลใส่ขนมเงยหน้าขึ้นมา
“ไม่ทราบหรอกค่ะ”
เจตน์ช่วยตอบ “แอนเติบโตจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าน่ะครับ”
“ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” แอนเป็นผู้ใหญ่แล้ว และไม่ได้คิดมากในเรื่องนี้ “ที่รู้ก็คือ มีคนขับรถแท็กซี่ไปพบว่าอยู่ในกระเป๋าที่ถูกทิ้งไว้ตรงที่ทิ้งขยะ แล้วก็ถูกส่งมาที่สถานรับเลี้ยงเด็ก พอถึงเกณฑ์ก็ออกมาทำงาน ได้เจอกับเจตน์ ก็ได้เปลี่ยนนามสกุลจากนามสกุลกลางของบ้านเด็กมาเป็นนามสกุลเดียวกับเจตน์ค่ะ”
“ชื่อนี้ ทางสถานรับเลี้ยงตั้งให้หรือครับ”
“ค่ะ คิดว่าน่าจะเป็นเพราะหน้าตาตอนเล็ก ๆ เหมือนลูกฝรั่งมังคะ”
“คุณเคยเห็นคนที่หน้าตาเหมือนแอนหรือครับ” เจตน์ถาม
“ครับ แต่พอมาคำนวณดู คิดว่าไม่น่าจะเป็นฝาแฝด เพราะอีกคนมีลูกเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว น่าจะอายุประมาณ 50”
“ดิฉันเพิ่งจะ 40 ค่ะ” ถึงจะไม่รู้วันเกิดที่แน่ชัด แต่ก็สามารถคำนวณจากวันที่พบได้
บลูบอกให้แอนวางมือจากการทำงานแล้วมานั่งคุยกัน ปล่อยให้เจตน์จัดขนมต่อไป
“ที่จริงเถ้าแก่บอกให้ผมทำสลัดผลไม้อีกอย่าง รับเลยไหมครับ”
“ครับ ขอน้ำส้มด้วยนะครับ” จากนั้นก็หันมาถามแอน “กินอะไรหรือยังครับ”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” แอนนั่งลงตรงข้ามกับบลูด้วยท่าทางเกรงใจ
“ไม่ต้องเครียดขนาดนั้นครับ ผมแค่หาเพื่อนคุยระหว่างกินอาหารเท่านั้น”
แอนยิ้มกว้างท่าทางตั้งใจที่จะตอบคำถามมากกว่าเดิมเสียอีก
“แอนเคยคิดว่าจะตามหาครอบครัวไหมครับ” บลูรู้ว่าคำถามนี้เป็นเรื่องส่วนตัวมาก แต่นี่ก็เป็นเรื่องสำคัญมากที่อยากรู้
“ตอนเด็ก ๆ ก็คิดนะคะ แต่พอนานไป มีเรื่องอื่นที่ต้องคิดมากกว่าก็ไม่ได้สนใจแล้ว ยิ่งดูจากอายุตัวเอง จากสุขภาพของตัวเองก็คิดว่า พวกเขาอาจไม่อยู่แล้วก็ได้”
การไม่ตามหาอาจเป็นทางเลือกที่ถูกต้องสำหรับเจตน์และแอน
บลูพยักหน้าแล้วหันไปทางเจตน์ “อาจเพราะครอบครัวที่มีอยู่ในปัจจุบันมีค่ามากกว่าครอบครัวที่หายไป”
แอนหัวเราะเบา ๆ “มีกันอยู่ 2 คนอย่างนี้มานานกว่า 20 ปีแล้วค่ะ”
“เจอกันยังไงครับ”
“ตอนที่ออกมาจากบ้านเด็ก ก็ไปทำงานที่โรงงานค่ะ ส่วนเจตน์อยู่โรงพิมพ์ใกล้กัน มีที่พักคนงานใกล้กัน”
“แต่โรงงานที่แอนทำอยู่เป็นโรงงานเย็บเสื้อครับ ทำไปสักพักก็เริ่มเป็นภูมิแพ้ จะชวนมาทำที่โรงพิมพ์ด้วยกัน เขาก็เหม็นหมึกพิมพ์ รู้สึกว่าจะเป็นอะไรที่เกี่ยวกับกลิ่นตลอด”
บลูนึกย้อนไปในอดีต แอนนาเคยเกี่ยวข้องกับอะไรกับเรื่องฝุ่นหรือกลิ่นไหม
“เวลาแอนอยู่ในที่ที่คนเยอะก็จะเวียนหัวเหมือนกัน”
บลูยกนมอุ่นขึ้นจิบ
“แล้วเป็นหนักมากจนต้องออกจากงานเลยหรือ”
“ตอนที่อยู่ในห้องพัก หรือเดินทางไปโรงงานไม่เป็นไรนะครับ แต่นั่งทำงานไปสักพักก็จะมีอาการเวียนหัว ปวดหัว บางทีก็มีผื่นแพ้ขึ้นมาเฉย ๆ พอเป็นบ่อย ๆ ก็ต้องหยุดงานไปหาหมอ ทีนี้หัวหน้างานก็เริ่มพูดไม่ดี ทั้งที่แอนได้ค่าแรงเป็นรายวัน เขาก็เลยต้องฝืนตัวเองไปทำงาน ทำได้ 2 ปีก็ลาออก ได้งานที่โรงงานอีกแห่งเกี่ยวกับอาหารสัตว์ ยิ่งหนักกว่าเดิม ทำได้ 5 วันก็ต้องลาออก ผมก็เลยให้เขารับจ้างรายวันแบบที่รับกลับมาทำงานที่ห้องได้น่ะครับ”
ในบรรดาทางเลือกทั้งหมด การทำงานโรงงานอาหารสัตว์ถือว่าเลวร้ายที่สุด และต้องยกย่องแอนที่สามารถต่อสู้กับความหวาดกลัวนั้นได้ถึง 5 วัน
“พอไม่ต้องเจอคนเยอะ ๆ แล้วดีขึ้นใช่ไหม”
“ดีขึ้นค่ะ แต่ก็มีเวียนหัว หน้ามืดอยู่บ่อย ๆ เพราะความดันต่ำ”
“มีคนแนะนำให้กินเบียร์ แต่แอนน่ะ แค่กลิ่นก็เวียนหัวแล้วครับ เคยฝืนจิบไปนิดหน่อยปรากฏว่าผื่นขึ้น”
“สรุปคือแพ้ทุกอย่างค่ะ แล้วต้องไปหาหมอเป็นระยะ”
“แล้วตั้งแต่เข้ามาที่ร้านนี้ แพ้อะไรไหม” บลูถาม
แอนคิดแล้วหันไปมองหน้าเจตน์ที่ยกจานสลัดพร้อมน้ำส้มมาวาง จากนั้นทั้งคู่ก็ส่ายหน้าพร้อมกัน
“ไม่เวียนหัว ไม่รู้สึกว่าเหม็นอะไรเลย ไม่แพ้อะไรเลยด้วยค่ะ” แอนพลิกข้อมือให้ดู
“ดีแล้ว” บลูพูดยิ้ม ๆ “เอางานที่รับจ้างมาทำที่ร้านนี้ก็ได้”
“ที่จริงเถ้าแก่ ก็บอกให้แอนเอางานมาทำที่นี่เหมือนกันครับ แต่ผมเกรงใจ” เจตน์ลูบท้ายทอย
บลูจิ้มองุ่นเข้าปาก “ที่พักอยู่ไกลไหม”
“ไม่ไกลครับ ประมาณ 5 ป้ายรถเมล์”
“อย่างนั้นก็น่าจะทำอย่างที่เถ้าแก่เขาบอก” บลูสรุปแล้วบอกกับเจตน์ว่าสลัดอร่อยมาก “เมื่อครู่จัดขนมอยู่ใช่ไหม”
“ค่ะ” แอนรีบลุกขึ้นไปจัดขนมใส่จานมาวางให้
“ขอบใจมาก”
บลูบอกพร้อมรอยยิ้ม ก็เป็นอันเข้าใจว่าไม่มีคำถามแล้ว ทั้ง 2 คนจึงกลับไปช่วยกันทำความสะอาดหน้าเค้าน์เตอร์ ขณะที่บลูกินอาหารช้า ๆ เสร็จแล้วก็กลับขึ้นมาอยู่ในห้องนอนที่ปิดม่านหน้าต่างไว้
เพราะนี่คือเวลากลางวัน จะอย่างไรก็ยังมีแสงสว่างลอดผ่านเข้ามา บลูไม่มีปัญหาเรื่องแสงสว่าง แต่มีปัญหาเรื่องการปิดประตูหน้าต่างห้องจนสนิท และปัญหาเรื่องเสียงจากภายนอก
อยากกลับไปที่ห้องของตนเอง แต่ก็รู้ว่ายังกลับไปตอนนี้ไม่ได้
เกรซกลับบ้านตัวเองไม่ได้ บลูก็กลับห้องของตนเองไม่ได้เหมือนกัน
แต่อย่างน้อยเกรซก็อยู่ในที่ปลอดภัย แล้วบลูล่ะ
ก็คงจะปลอดภัยในระดับหนึ่งละนะ...
มีหนังสือเล่มหนาหนักอยู่เล่มหนึ่งวางอยู่บนหลังตู้ข้างประตูห้อง บลูเห็นหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่มาที่นี่ และพยายามมองผ่านมันไป แต่ตอนนี้มือผอม ๆ ที่วางแว่นดำไว้หลังตู้เลื่อนมาหยิบหนังสือขึ้นมาโดยที่ไม่ได้หันไปมอง แล้วถือมานั่งอ่านบนที่นอน
ปกหน้าของหนังสือทำด้วยแผ่นหนังสีน้ำตาล ไม่มีข้อความบอกว่านี่คือหนังสืออะไร แต่ตรงมุมล่างด้านขวามีตราสัญลักษณ์เป็นรูปดอกทานตะวัน
นี่คือบันทึกเกี่ยวกับเครื่องรางของแม่มดและพ่อมดในยุโรปและเอเชีย
ไม่ว่าสิ่งใดก็สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องรางได้ทั้งนั้น แต่ส่วนใหญ่จะเลือกของมีค่าที่ไม่ผุพังหรือย่อยสลายได้โดยง่าย เพราะหากเครื่องรางถูกทำลาย ก็คือการทำลายพลังของแม่มดตนนั้น
บลูไม่เคยเจอกับมนุษย์ที่เป็นลูกสมุนของซอว์นีย์ตรง ๆ แต่ผลจากการที่ตามล่าคาร่ามานานหลายปีทำให้สามารถค้นหาคาร่าท่ามกลางผู้คนจำนวนมากได้เสมอ
ก็เหมือนกับการตามหาครอบครัวไร้ท์ ที่แม้ว่าจะไม่ค่อยได้พบเจอกับพวกเขาบ่อยนัก แต่หากได้พบก็จะไม่มีทางผิดพลาดไปได้
แอนกับแอนนาคือคน ๆเดียวกันอย่างแน่นอน แต่ยังมีสตรีอีกคนที่มีไอชีวิตสีชมพูอ่อนเหมือนกัน
แล้วหากแอนนามี 2 คนก็มีความเป็นไปได้ที่คนอื่น ๆ ก็จะมี 2 คนเหมือนกัน
มีความเป็นไปได้ในประเด็นที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนแตกแขนงออกไปไม่สิ้นสุด
บลูรวบรวมสมาธิกลับมาเมื่อครั้งที่ยังอยู่ตามลำพัง ในยามที่เฝ้าตามคาร่า กับพรรคพวกขอเธอ ยามที่รู้สึกว่ากำลังตกเป็นฝ่ายถูกตามล่าทำให้ต้องหลบหนีแล้วกลับมาโจมตีอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะหนีไปให้ไกลอีกครั้ง
ฝ่ายตรงข้ามรู้แล้วว่า หากบลูพบคาร่าแล้วเขาจะต้องกลับมาโจมตีคาร่าอย่างแน่นอน
สัมผัสอันตรายในช่วงเวลานั้นมันเป็นอย่างไรนะ...
บลูหลับตาแล้วเปิดประสาทสัมผัสเพื่อฟังเสียง รับรู้การเคลื่อนที่ของมวลอากาศ
ในรัศมี 1 กิโลเมตรไม่มีร่องรอยของลุค เมอร์ฟี...
บลูหัวเราะให้กับตนเองเบา ๆ แล้วกลับมาอ่านหนังสือท่ามกลางความมืดสลัวต่อไป
ท่ามกลางเสียงที่น่ารำคาญเหล่านั้น ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ที่ตรงมาทางนี้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ และทั้งที่ดวงตายังมองหนังสือที่วางอยู่บนที่นอน แต่กลับมองเห็นคนในชุดสีดำที่กำลังขับรถ จมูกได้กลิ่นของเพศชายผสานกับสมุนไพร
ได้ยินเสียงสนทนาของชายคนนี้กับคนในร้าน
ได้ยินแม้แต่เสียงในตอนที่เขาเข้าห้องน้ำไปล้างมือ ล้างหน้า และจัดการเรื่องส่วนตัว
ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินขึ้นบันได
และเสียงลมหายใจในตอนที่เขาหยุดยืนที่หน้าห้อง
เพราะเป็นอย่างนี้บลูถึงได้ไม่ประหลาดใจ และไม่ต้องหันไปมองในตอนที่ลุคเคาะประตูห้องแล้วเปิดเข้ามา
“มีความคืบหน้าอะไรบ้าง” บลูที่นอนคว่ำหน้าอ่านหนังสือถามขึ้นก่อน
ลุคถอดเสื้อคลุมพาดไว้กับเก้าอี้ “ส่งนายวิญญาณกลับไปอีก 1 แต่ก็ยังไม่ใช่ซอว์นีย์อีกเหมือนเดิม”
“การเลี้ยงวิญญาณกำลังเป็นเทรนด์ยอดนิยมที่นี่หรือไง”
“มีนายวิญญาณหลายคนที่เพิ่งเดินทางเข้ามา รวมทั้งคนที่เจอวันนี้” ลุคเดินมานั่งลงข้าง ๆบนเตียง “มีอัสวัด นายวิญญาณที่พวกเราเจอที่คลินิกเถื่อนนั่น”
“รวมถึงเจ้าพ่อมดหรือแม่มดที่นายจัดการที่บ้านของมาร์ธา”
ลุคพยักหน้า พ่อมดซอว์นีย์ตนนั้นคือแบร์รี่
บลูพลิกตัวนอนหงาย ประสานมือไว้บนหน้าท้อง “ฉันเพิ่งนึกบางสิ่งบางอย่างออก”
ลุครอฟัง
“นายบอกว่านายคือมือปราบแห่งวาติกัน วาติกันคือคาทอลิก แต่นายเคยพูดถึงสำนักที่เยอรมัน พวกเขาเป็นโปแตสแตนท์ ที่เรียกว่าคริสตจักรปฏิรูป นายรู้จักกับพวกเขาได้อย่างไร”
“ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นโรมันคาทอลิก และวาติกันกำลังรุ่งเรือง แต่ความโหดร้าย ความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดแนวคิดใหม่ ๆ และมีคำสอนที่แตกต่างออกไป ในโปแตสแตนท์เองก็แตกออกเป็นหลายกลุ่ม”
“คนที่ทำให้นายเป็นสสารที่ซ่อมตัวเองได้เป็นใคร”
“เป็นสาธุคุณที่เป็นนักวิทยาศาสตร์”
คำตอบนี้ชัดเจนกว่าเมื่อตอนที่ถามครั้งแรก “อย่างนั้นก็ไม่เกี่ยวกับนิกายหรือความเชื่อน่ะสิ”
“เขาเชื่อในวิทยาศาสตร์ และการแปรธาตุ เขาเชื่อว่าแม่มด ปีศาจ และวิญญาณคือการแปรธาตุในรูปแบบหนึ่ง”
บลูหันมามองหน้า ลุคก็พยักหน้ายืนยันว่าที่พูดมาคือความจริง
“เขาก็ไม่ได้เคร่งครัดเรื่องการปฏิบัติอะไรสักเท่าไหร่ เพียงแต่การทดลองท้าทายวงจรชีวิตแบบนี้ ถ้าเกิดขึ้นภายในมุมหนึ่งของวาติกัน แล้วจะได้รับความคุ้มครองเขาก็เลยอยู่”
“ก็ถ้าลองไปท้าทายอยู่ข้างนอกอย่างกาลิเลโอก็จะมีจุดจบอย่างเดียวกัน” (กาลิเลโอ กาลิเลอี 1564-1642)
ลุคหันมามองหน้า “ฉันเกิดก่อนเจ้าเด็กนั่นเกือบ 100 ปีนะ”
“แล้วทำไมนายไม่พาเจ้าเด็กนั่นไปอยู่ในวาติกัน”
“อย่างกับเจ้านั่นจะฟังคนอื่นอย่างนั้นแหละ”
“แย่ชะมัด”
“ฉันไม่ได้เป็นคนที่รับหน้าที่นี้นะ”
“หมายความว่ายังไง”
“ฉันคือมือปราบพ่อมดดำ ไม่ใช่ผู้คุ้มครองนักวิทยาศาสตร์”
บลูกลอกตา
“สรุปคือนายคือสสารที่เรียกว่ามือปราบ ซึ่งเป็นผลผลิตของนักวิทยาศาสตร์ภายใต้เครื่องแบบหนัก ๆ ของนักบวช”
“ทำนองนั้น”
“เพราะตอนนั้นนายเป็นนักเรียนการศาสนาของคาทอลิก เมื่อนายถูกแปรธาตุไปแล้วนายจึงกลายเป็นคาทอลิกอยู่เหมือนเดิม”
“ฉันคือมือปราบวาติกัน”
“นอกจากนายแล้วมีมือปราบคนอื่นที่เป็นแบบนายอีกไหม”
“ไม่มี”
ได้ยินแบบนี้แล้วรู้สึกว่านี่เป็นชีวิตที่เงียบเหงาเกินไป
“แล้วนายก็มีผู้พิทักษ์ที่มาจากนิกายเล็ก ๆ ของโปแตสแตนท์ในเยอรมัน”
“ใช่”
“แล้วก็พากันกลับมารับคำสั่งจากวาติกันเหมือนเดิม”
“ที่จริงยังมีสาธุคุณอีกคนจากฝรั่งเศส”
“โปแตสแตนท์”
“ใช่ เขาเป็นมนุษย์ธรรมดา เป็นพวกอูว์เกอโนต์คริสเตียนฝรั่งเศส เขาถึงสามารถเชื่อมโยงคริสเตียนทั้งคาทอลิกและโปแตสแตนท์ตั้งแต่ฝรั่งเศส เยอรมันไปถึงอังกฤษ และสกอต”
บลูพยักหน้า “มิน่าฉันถึงไม่เคยเจอเขา”
“ฉันรับรองว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม นายจะได้พบกับเขา”
บลูคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อย่าเลย ฉันคือปีศาจ ลำพังการที่มานอนอยู่ในบ้านของมือปราบนี่ก็แปลกอยู่แล้ว ถ้าให้มานั่งดื่มน้ำชากับสาธุคุณที่เป็นมนุษย์มันจะยิ่งประหลาดไปกันใหญ่”
“ฌ็องส์เป็นผู้สนับสนุนที่ดี”
บลูเคาะนิ้วที่ปกหนังสือ “เครื่องหมายดอกทานตะวันที่ปกหนังสือนี่คืออะไร”
“เครื่องหมายของโบสถ์ที่รวบรวมรายงานเรื่องนี้น่ะ”
“อยู่ที่ไหน”
“โบสถ์นี้เคยอยู่ที่สวอนซี ในเวลส์ แต่ถูกไฟไหม้เมื่อ 10 ปีก่อน” ลุคก้มลงมองคนที่นอนอยู่ “ไฟของแม่มดเผาทำลายทุกอย่าง รวมถึงชีวิตของบาทหลวงที่เขียนรายงาน หนังสือเล่มนี้ถูกส่งมาถึงมือฉันในวันเดียวกับที่เกิดไฟไหม้”
“ฌ็องส์เป็นคนเอามาให้นาย”
“ใช่ พวกสิ่งของที่พวกเราต้องใช้ หรือแม้แต่หนังสือเดินทางเขาก็หามาให้”
“หนังสือเดินทางน่ะนะ” บลูไม่อยากเชื่อ
“เดินทางข้ามประเทศก็ต้องใช้หนังสือเดินทาง”
“ปลอม?”
“ของจริงสิ”
“แล้วนายไปทำเองหรือเปล่า เขาใส่วันเดือนปีเกิดจริง ๆ ของนายหรือเปล่า” เมื่อลุคเงียบ บลูก็พูดต่อ “นั่นแหละปลอม”
“มีตราถูกต้องเลยนะ”
บลูส่ายหน้า พลิกตัวเปิดหน้าหนังสือไปที่เรื่องที่ยังสงสัย เพื่อซักถาม ขณะที่ลุคคอยอธิบายอยู่ข้าง ๆ
.....
(มีต่อครับ)