7th Lies : เดินหน้าความสัมพันธ์
เช้าวันนี้ปราณันต์ตื่นเช้าเป็นพิเศษ เขาลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้วคว้าแว่นสายตามาใส่ ก่อนจะบิดขี้เกียจด้วยอารมณ์ที่แสนสดชื่น และขณะที่จะเข้าไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำ ปราณันต์ก็แวะไปที่เตียงนอนของเด็กแฝดทั้งสองที่อยู่ไม่ไกล เพื่อดูว่าน้องชายที่น่ารักของเขาตื่นนอนแล้วหรือยัง
ซึ่งภาพที่เห็นก็ทำเอาปราณันต์อดยิ้มออกมาไม่ได้ เพราะตอนนี้ฝาแฝดคนพี่กับคนน้องนอนกอดก่ายกันแน่น ขาเล็กๆ พาดอยู่บนเอวของอีกฝ่าย ใบหน้าจิ้มลิ้มกำลังหลับพริ้มอย่างมีความสุข ปราณันต์ได้แต่ส่ายหัวเบาๆ พร้อมกับคิดในใจว่าให้เจ้าตัวแสบนอนต่ออีกนิดแล้วค่อยปลุกดีกว่า ขืนให้ตื่นตอนนี้ มีหวังมาป่วนเขาจนไม่เป็นอันได้เข้าครัวแน่ พอคิดได้แบบนั้น ขาเรียวยาวก็ก้าวเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำ เพื่อจะได้ไปจัดเตรียมทำอาหารสำหรับวันนี้ต่อไป
.
.
.
“ปุณณ์ครับ ปัณณ์ครับ ตื่นเร็ว สายแล้วนะครับ” หลังจากที่ทำอาหารไปได้สักพัก ปราณันต์ก็คิดว่าถึงเวลาที่เด็กๆ ควรตื่นมาอาบน้ำอาบท่าได้แล้ว ปราณันตจึงเข้าไปปลุกน้องๆ ทั้งสองอีกครั้ง ซึ่งเขาเองก็รู้ว่ามันไม่ง่ายเลย เจ้าตัวแสบทั้งคู่ขี้เซาจะตาย กว่าจะแงะออกจากเตียงนอนแต่ละทีได้ แทบจะต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีทำให้ฝาแฝดตื่นนอน
...แต่ในวันนี้สถานการณ์มันต่างกัน
เมื่อเห็นว่าฝาแฝดยังคงเงียบ มีเพียงการพลิกตัวหนีเท่านั้น ที่บ่งบอกว่าเด็กๆ ได้ยินเสียงเรียกที่กำลังรบกวนการนอนของตัวเองอยู่
“เอ๊! ปลุกไม่ตื่นแบบนี้สงสัยไม่อยากไปเที่ยวแล้วมั้ง พี่ปราณโทรไปบอกพี่ครามดีกว่าว่าไม่ต้องมารับ เพราะปุณณ์กับปัณณ์ไม่ยอมตื่น คงไม่อยากไปขี่จักรยานเล่นแล้ว”
พี่ชายคนโตแสนเจ้าเล่ห์แกล้งพึมพำออกมาเสียงดังๆ กะว่าฝาแฝดทั้งสองต้องได้ยินแน่ แล้วก็ได้ผล เพราะตอนนี้แฝดคนพี่ปุณณกันต์ลุกขึ้นเด้งผึงมานั่งสะลืมสะลืออยู่บนเตียงนอน ผมของเด็กน้อยชี้โด่ชี้เด่ไร้ทิศทาง ตากลมๆ โตๆ นั่นยังไม่ยอมลืมเลยด้วยซ้ำ แต่ปากอิ่มๆ เล็กๆ กลับพึมพำแต่ประโยคที่ว่า
“ไปเที่ยว ไปเที่ยว วันนี้ไปเที่ยว”
ปราณันต์เห็นภาพตรงหน้าก็ต้องขำออกมาอย่างสุดกลั้น เพราะนอกจากเจ้าแฝดคนพี่จะท่องมนต์ประโยคนั้นไม่ยอมหยุดแล้ว มือเล็กๆ ของแฝดคนพี่ยังคงเขย่าไปที่เอวคนน้องอย่างบ้าคลั่ง ส่วนปากเล็กๆ ก็เอาแต่พูดว่าจะไปเที่ยวไม่หยุด
“ปัณณ์ ตื่นๆ ไปเที่ยว ไปเที่ยว วันนี้ไปเที่ยว”
ปัณณธรพอได้ยินมนต์สะกดจากพี่ชายฝาแฝด ก็เด้งตัวเหมือนติดสปริงลุกขึ้นมานั่งบนที่นอนเหมือนกัน แต่จะต่างจากแฝดคนพี่ก็ตรงที่ ตากลมๆ โตๆ ของปัณณธรนั้นเบิกกว้างขึ้นเหมือนกับเพิ่งนึกได้ และยิ่งพอมาประกอบกับผมยุ่งๆ ฟูๆ ไร้ทิศทางแล้วยิ่งทำให้น่ารัก น่าหยิก น่าเอ็นดูมากกว่าเดิมจนปราณันต์อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปหยิกแก้มนิ่มเบาๆ โดยที่ปากอิ่มยังไม่ได้คลายเสียงหัวเราะไปแม้แต่น้อย
“ตกลงฝาแฝดของพี่ปราณตื่นรึยังครับ หื้ม?” ปราณันต์แกล้งส่งเสียงถามออกไปอีกครั้ง และครั้งนี้ก็ได้ผล เพราะปุณณกันต์กับปัณณธรหันมาหาแล้วโผเข้ากอดพร้อมกับซุกหน้าเล็กๆ มาบนหน้าท้องของเขา ปากอิ่มเล็กๆ ยังคงพึมพำแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น ไม่เต็มเสียงดี
“ปุณณ์กับปัณณ์ตื่นแล้วครับ ไปเที่ยวอ่ะพี่ปราณ ไปเที่ยว” แฝดคนพี่ยังคงท่องประโยคนี้ไม่เลิก โดยที่แฝดคนน้องพยักหน้าหงึกหงักอยู่บนหน้าท้องเขาอย่างกับต้องการจะบอกว่าเห็นด้วย
ปราณันต์อมยิ้มเบาๆ พร้อมกับจับฝาแฝดดันออกแล้วนั่งบนเตียงดีๆ มือเรียวลูบไปที่กลุ่มผมของเด็กทั้งสอง ก่อนจะพยายามจับแต่งให้มันเป็นทรงปกติไม่ชี้ไปชี้มา
“ตื่นแล้วก็ต้องไปอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันนะครับ” ปราณันต์พูดพลางเอื้อมมือไปกระตุกผ้าเช็ดตัวของเด็กๆ ที่แขวนอยู่บนราวใกล้ๆ “เดี๋ยวพี่ปราณจะไปทำกับข้าวต่อ ห้ามช้านะ เพราะถ้าพี่ครามมารับแล้วเห็นยังไม่เสร็จ เขาไม่รอแล้วพี่ปราณไม่รู้ด้วยนะ”
พอได้ยินแบบนั้น เด็กน้อยทั้งสองก็ตื่นเต็มตาทันที มือเล็กๆ ทั้งสองคู่ ต่างพากันช่วยปลดกระดุม ถอดเสื้อ ดึงกางเกงให้กันและกันอย่างขวักไขว่ ก่อนที่สุดท้ายฝาแฝดทั้งสองจะเอาผ้าเช็ดตัวที่ปราณันต์หยิบมาวางไว้ให้ ผูกลงไปบนเอวหลวมๆ แล้วพากันวิ่งเข้าห้องน้ำทันที
ปราณันต์ได้แต่มองตามเด็กทั้งสองที่วิ่งตื๋อออกไปอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้ม นานมากแล้วที่ครอบครัวของเขาไม่ได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้ บรรยากาศของความผ่อนคลาย บรรยากาศเบาๆ สบายๆ ที่ไม่ต้องมีเรื่องอะไรมาให้หนักใจ
พอคิดได้แบบนั้นปราณันต์ก็นึกขอบคุณคนที่เป็นเจ้าของไอเดียนี้ขึ้นมาในใจ ถ้าไม่ได้คามิน เขาคงไม่มีเวลาหรือไม่มีโอกาสทำเรื่องอะไรเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ให้ฝาแฝดเป็นแน่ แต่พอมีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่คนนั้นเข้ามาในชีวิต แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาอาทิตย์เดียวที่เพิ่งได้รู้จักกัน ปราณันต์ก็คิดว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่ได้พบคนดีๆ แบบคามิน คนที่ทำให้เขาวางใจ และกลับมามองโลกด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปอีกครั้ง
.
.
.
หลังจากทำอาหารที่จะเตรียมไปปิคนิคเสร็จ ปราณันต์ก็แพ็คทุกอย่างลงในกล่องอาหารใบย่อมๆ สามสี่ใบ แล้วจับวางลงในตะกร้าที่เตรียมไว้ จากนั้นก็หันมาชงกาแฟและเทนมสด พร้อมทั้งขนมปังปิ้ง อาหารเช้ามื้อเล็กๆ ไว้สำหรับเด็กแฝดสองคนและผู้ใหญ่โข่งอีกหนึ่งคนที่ตอนนี้คงกำลังขับรถมาที่อพาร์ทเม้นท์ของเขาอยู่
Rrrrไม่ทันขาดคำ โทรศัพท์ของปราณันต์ก็แผดเสียงเรียกเข้าดังลั่น แม้จะยังไม่ทันเดินไปดูเขาก็รู้ดีว่าใครเป็นคนโทรมา ปากอิ่มอมยิ้มบางๆ เมื่อนึงถึงใบหน้าคมคายของคนที่กำลังจะมาหาเขา พลางนึกบ่นตัวเองในใจที่กำลังทำท่าเหมือนวัยรุ่นแรกแย้มที่เพิ่งเริ่มมีความรักอะไรแบบนั้น
“ฮัลโหล ครับ” เสียงใสกรอกลงไป เมื่อกดรับการเรียกเข้าของสัญญาณจากปลายสาย
(เสร็จกันรึยังครับ อีกสองไฟแดง ผมก็จะถึงอพาร์ทเม้นท์คุณแล้วนะ)
คามินกรอกเสียงถามอีกฝ่ายไปอย่างออดอ้อนอารมณ์ดี ภายใต้หน้าตาที่นิ่งเฉย ซึ่งดูแล้วช่างขัดกับคำพูดและน้ำเสียงที่แสดงออกไปเมื่อครู่มากเหลือเกิน
“เด็กๆ ยังไม่เสร็จเลยครับ เดี๋ยวยังไงคุณขึ้นมาดื่มกาแฟก่อนดีไหมครับ ผมเตรียมไว้ให้แล้ว”
‘ใจง่าย ไม่ทันไรก็ชวนผู้ชายขึ้นห้องเสียแล้ว’มุมปากหยักยกยิ้มหยัน พลางคิดในใจอย่างดูถูก คนใจร้ายที่ปราณันต์มองว่าเป็นเทพบุตรเสมอมา กำลังนึกถึงเขาด้วยถ้อยคำน่ารังเกียจ ที่แน่นอนว่าหากปราณันต์มาได้ยินคงเสียใจไม่น้อย
(ก็ดีครับ ผมกำลังหิวพอดีเลย ว่าแต่คุณแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วหรอ?)
ประโยคที่ดูเหมือนจะห่วงใย แต่กลับเป็นแค่บทสนทนาแบบขอไปทีตามความคิดของคามินเท่านั้น
“ผมเสร็จแล้วครับ เดี๋ยวคุณขึ้นมาได้เลยนะ ผมขอไปช่วยปุณณ์กับปัณณ์แต่งตัวก่อน”
(โอเคครับ งั้นเดี๋ยวเจอกันนะครับ)
ริมฝีปากหยักของคามินกระตุกยิ้มอย่างดูแคลน มีแต่ความวางใจและจริงใจเท่านั้นที่ปราณันต์มีให้ตน โดยที่ปราณันต์ไม่เคยระแคะระคายเลยว่า วันหนึ่งเมื่อคามินได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการแล้ว ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
.
.
.
“พี่ปุณณ์ อันนี้มันติดยังไงอ่า ปัณณ์ติดไม่เป็น”
“ไหนๆ ส่งมา เดี๋ยวพี่ทำให้ หันหลังๆ มาด้วย”
“โอ๊ะ! พี่ปุณณ์กางเกงในยังไม่ได้ใส่เลย ต้องถอดกางเกงออกก่อนนะ”
“พี่หยิบกางเกงในมาให้ปัณณ์แล้ว รีบใส่เร็ว”
“โอ๊ยๆๆๆ พี่ครามจะมารึยังอ่ะพujปุณณ์ จะทันไหมๆๆๆ ... พี่ปราณ!”
ปราณันต์ยืนแอบฟังฝาแฝดตัวแสบทั้งสองคุยกันอยู่ในห้องแต่งตัวเล็กๆ ที่กั้นไว้แล้วก็อดขำไม่ได้ เด็กๆ ดูตื่นเต้นมากที่จะได้ไปเที่ยว แล้วยิ่งปราณันต์ไปพูดขู่ไว้ว่าถ้าแต่งตัวไม่เสร็จทันตามที่พี่ครามมาจะอดไป ยิ่งทำให้เจ้าฝาแฝดตัวยุ่งลุกลี้ลุกลนเข้าไปใหญ่ จนสุดท้ายปัณณธรทนไม่ไหวถึงได้ตะโกนเรียกเขาออกมาดังลั่นห้องนั่นแหละ
“ไหนว่าไง แต่งตัวกันเสร็จรึยังครับ” ปราณันต์เยี่ยมหน้าเข้าไปในห้องแต่งตัวเล็กๆ ก่อนจะพบว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าแทบจะเรียกว่าภัยพิบัติขนาดย่อมเลยก็ว่าได้
ผ้าขนหนูถูกเหวี่ยงออกไปทาง สองทาง กางเกงชั้นในที่ปัณณธรใส่อยู่ก็กลับด้าน ส่วนเสื้อยืดแขนสั้นสีดำที่ปุณณกันต์ใส่อยู่ก็เอาข้างหลังมาไว้ข้างหน้า ภาพอลหม่านตรงหน้าทำเอาปราณันต์ถึงกับกุมขมับ จะโกรธก็โกรธไม่ลง ถ้าจะมีใครผิดก็คงเป็นเขานี่แหละ ที่ไปหลอกน้องแบบนั้น ตอนนี้เด็กๆ ก็เลยรีบมาก จนทำให้การแต่งตัวเป็นไปอย่างทุลักทุเลแบบนี้
“งื้อออ พี่ปราณ” ปัณณธรน้อยครางเสียงอ่อย ตอนเห็นท่าทางพี่ชายที่กำลังกุมขมับเพราะสงครามโลกขนาดย่อมที่เขาและแฝดคนพี่ได้สร้างขึ้น ส่วนปุณณกันต์ก็ก้มหน้านิ่งอย่างคนยอมรับผิด เพราะรู้ดีถึงวีรกรรมที่ตัวเองกับน้องชายได้ก่อไว้
ปราณันต์ขำออกมาเบาๆ หลังจากได้เห็นท่าทีสำนึกผิดของฝาแฝดทั้งสอง ก่อนจะนั่งลงกับพื้นแล้วหยิบชุดเอี๊ยมยีนส์ที่วางกองบนพื้นอยู่สองชุด มาสะบัดๆ ให้เนื้อผ้าคลายออกจากกัน หลังจากนั้นก็เรียกปุณณกันต์มาหาก่อนคนแรก
“ปุณณ์มานี่มา” ปุณณกันต์เดินเข้าไปหาพี่ชายคนโตอย่างกลัวๆ กล้าๆ หวั่นใจว่าจะถูกดุก็หวั่น แต่อยากจะแต่งตัวให้เสร็จเร็วๆ ก็อยาก
พอปุณณกันต์มาหยุดอยู่ตรงหน้า ปราณันต์ก็ถอดเสื้อยืดออกจากศีรษะเด็กน้อย ก่อนใส่กลับเข้าไปใหม่ให้ถูกฝั่ง แล้วหยิบเอี๊ยมยีนส์มาสวมทับ ขยับให้เข้าที่เข้าทางอีกนิดหน่อย ก่อนปากอิ่มจะเอ่ยให้น้องชายฟังอย่างใจดี
“เสร็จแล้วครับ เดี๋ยวปุณณ์ใส่ถุงเท้าเองนะ ให้พี่แต่งตัวให้ปัณณ์ก่อน”
“ครับ” ปุณณกันต์น้อยรับคำพร้อมทั้งฉีกยิ้มอย่างยินดีและโล่งอก ได้แต่งตัวเสร็จเร็วแถมพี่ปราณไม่ดุอีกต่างหาก ก่อนจะวิ่งตื๋อออกไปหยิบถุงเท้าให้ตัวเองและน้องชาย ซึ่งตอนนี้แฝดคนน้องก็กำลังถือเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวไปหาพี่ปราณแล้วเหมือนกัน
“ไหน ให้พี่ปราณดูซิ” ปราณันต์จับปัณณธรหันไปหันมา พลางอมยิ้ม “พี่ว่ามีคนใส่กางเกงในกลับด้านนะ” ปัณณธรก้มลงดูตรงเอวตัวเอง ก่อนจะเงยหน้ามายิ้มอายๆ ให้พี่ชาย เมื่อเห็นว่าตัวเองใส่กางเกงชั้นในกลับด้านแบบที่พี่ชายบอกจริงๆ
ปราณันต์หัวเราะเบาๆ พลางส่ายหัวอย่างปลงๆ ก่อนจะถอดกางเกงในปัณณธรออก สะบัดกลับด้าน แล้วใส่ให้ปัณณธรใหม่อีกรอบ จากนั้นก็สวมเสื้อยืดสีขาวแขนสั้นให้เจ้าตัวน้อย ก่อนจะใส่เอี๊ยมทับลงไปอีกชั้น พลางสอนให้ปัณณธรดูตอนใส่ไปด้วย
“เวลาปัณณ์จะใส่ ปัณณ์ใส่แบบนี้นะครับ เอาหูเข้ามาเกี่ยวตรงนี้ แบบนี้ อีกข้างก็ทำเหมือนกัน อ่า... เสร็จเรียบร้อยแล้ว”
เจ้าฝาแฝดคนน้องกระโดดกอดปราณันต์ พลางหอมแก้มข้างซ้ายข้างขวา ก่อนจะถอยออกมายกมือไหว้ขอบคุณ แล้วพูดอย่างน่ารัก
“ขอบคุณครับพี่ปราณ” คนเป็นพี่ชายยิ้มตาหยีส่งให้น้อง ก่อนที่จะไล่เจ้าตัวแสบไปใส่ถุงเท้า จากนั้นสามพี่น้องก็พากันเดินมาที่โต๊ะญี่ปุ่นมุมห้อง โต๊ะทานข้าวของครอบครัว พอปราณันต์พาฝาแฝดนั่งเรียบร้อย เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นพร้อมๆ กัน
ก๊อก ก๊อก ก๊อกปากอิ่มยกยิ้มอย่างยินดี เหมือนๆ กับที่ปากเล็กๆ ของเด็กๆ ร้องเย่ ออกมาไล่ๆ กัน
“พี่ครามมาแล้วๆ พี่ครามมาแล้วๆ” เจ้าตัวน้อยตะโกนลั่นห้อง จนปราณันต์ต้องปรามให้นั่งลงทานดีๆ
“ปุณณ์ ปัณณ์ นั่งลงทานดีๆ ครับ เดี๋ยวพี่ปราณจะไปเปิดประตูให้พี่ครามนะ"
เจ้าฝาแฝดตัวน้อยทั้งสองนั่งลงทันทีอย่างว่าง่าย ปราณันต์อมยิ้มพลางส่ายศีรษะน้อยๆ ให้ความรู้มากของเด็กทั้งคู่
“คุณปราณันต์” ทันทีที่เปิดประตูห้องออกไป ร่างบางก็ได้พบกับใบหน้าคมคายที่ส่งยิ้มสว่างไสวมาให้ ปากอิ่มส่งยิ้มตอบให้คนตรงข้าม ก่อนจะเชื้อเชิญพี่ครามของเด็กๆ เข้ามาทานมื้อเช้าในห้องก่อน
“เชิญครับคุณคามิน” ปราณันต์เดินนำอีกฝ่ายเข้ามาในห้อง ก่อนจะพาไปที่โต๊ะอาหารขนาดย่อม ที่มีฝาแฝดตัวแสบนั่งตาแป๋วรออยู่ “ห้องแคบหน่อยนะครับ”
คามินยิ้มตอบพลางส่ายหัวน้อยๆ ราวกับจะบอกว่าตนเองไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเรื่องพวกนี้มากนัก
“น่าอยู่ออกครับ ผมว่าเหมาะกับคุณและเด็กๆ ดี” ตาคมสอดส่ายไปทั่วบริเวณห้อง เพราะเมื่อคืนคามินมาตอนดึกมากแล้ว เลยไม่ได้สังเกตดูว่ารอบๆ ห้องนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร
และเมื่อได้เห็นร่างสูงก็อดยอมรับไม่ได้ว่าถึงแม้ห้องจะเล็ก แต่รูปแบบการแต่งห้องไม่ธรรมดาเลย ปราณันต์สามารถแบ่งสัดส่วนห้องเล็กๆ ให้ดูใช้สอยได้อย่างเต็มที่และลงตัว มุมหนึ่งของห้องถูกกั้นไว้เป็นห้องแต่งตัวขนาดไม่ใหญ่ ส่วนห้องนอนก็ถูกแบ่งด้วยตู้เสื้อผ้า ห้องหนึ่งเป็นของฝาแฝดที่มีเตียงขนาดกลางสำหรับเจ้าตัวน้อยทั้งสองนอนด้วยกัน ส่วนอีกห้องเป็นของพี่ชายคนโตอย่างปราณันต์ เป็นเตียงขนาดใหญ่พอสมควร ส่วนของครัวก็อยู่ติดๆ กับห้องน้ำ มีข้าวของเครื่องใช้วางเป็นระเบียบ มีราวกั้นหน้าครัวขนาดสูงพอสมควร เพื่อกันไม่ให้เด็กๆ เข้าไปเล่นซนในนั้นได้ และเฟอร์นิเจอร์ในห้องส่วนใหญ่สามารถใช้ได้เอนกประสงค์ พับเป็นโต๊ะกินข้าว เป็นโต๊ะทำงาน ลิ้นชักใส่ของ ทำให้ประหยัดเนื้อที่และเก็บของกระจุกกระจิกได้มากขึ้น คามินอดทึ่งไม่ได้เมื่อได้เห็นห้องพักของครอบครัวนี้แบบทั่วถึง สมแล้วที่เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ คนนี้สามารถเข้าทำงานในบริษัทของเขาได้ทันทีที่เรียนจบมหาวิทยาลัย
“คุณปราณันต์แต่งห้องเก่งมากเลยนะครับ” คามินเอ่ยปากชมด้วยความจริงใจ ในเรื่องของความสามารถเขายอมรับเลยว่าคนตรงหน้ามีมากพอและไม่ธรรมดาเลย
“นิดหน่อยน่ะครับ หยิบนู่นผสมนี่ ก็พอถูๆ ไถๆ ได้อยู่” คามินตอบยิ้มๆ แบบถ่อมตัว ก่อนจะเชื้อเชิญให้เขานั่งร่วมโต๊ะทานอาหารเช้าพร้อมฝาแฝดที่นั่งยิ้มแฉ่งรออยู่ก่อนหน้าแล้ว “ทานมื้อเช้าก่อนดีกว่าครับ ผมเตรียมกาแฟ ขนมปังปิ้งแล้วก็ไส้กรอกทอดไว้ให้”
“พี่คราม นั่งๆ นั่งข้างปัณณ์ เดี๋ยวปัณณ์จะหยิบไส้กรอกให้พี่ครามทานนะ” ฝาแฝดคนน้องตบลงบนเบาะที่นั่งข้างตัว เพื่อชวนให้คามินนั่งลง
“ไหน คนเก่งของพี่คราม ทานอะไรกันอยู่ครับ” คามินทรุดลงนั่งข้างปัณณธร พร้อมๆ ที่กับที่ปราณันต์อ้อมไปนั่งข้างปุณณกันต์ พร้อมกับทั้งจัดจานแล้วก็เทกาแฟให้คนตัวโตฝั่งตรงข้าม
“ไส้กรอกครับ! พี่ครามทานด้วยกันสิครับ” ปัณณธรชูส้อมที่จิ้มไส้กรอกไว้โชว์ให้คามินดู ส่วนปุณณกันต์ก็อมยิ้มแก้มตุ่ยส่งมาให้เขา ทั้งที่เคี้ยวไส้กรอกตุ้ยๆ ไม่เลิก
ปราณันต์มองเด็กฝาแฝดด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก เขานั่งมองเด็กทั้งสองทานอย่างมีความสุข คามินเองก็นั่งจิบกาแฟสังเกตภาพตรงหน้าเงียบๆ โดยที่ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ จนกระทั่งปราณันต์หันมานั่นแหละ คามินถึงได้ส่งยิ้มหวานหยดย้อยกลับไปให้ เล่นเอาแก้มขาวนวลของปราณันต์ขึ้นสีแดงจางๆ อย่างน่าเอ็นดู
“ทานสิครับ คุณไม่หิวหรอ” ปราณันต์เสก้มหน้าหลบดวงตาเรียวคม โดยมองไปที่จานขนมปังและไส้กรอก แล้วค่อยๆ เลื่อนจานตรงหน้าส่งให้คามิน
“แล้วคุณล่ะครับ” คามินถามกลับเมื่อเห็นว่าปราณันต์ยังไม่ได้แตะอาหารเช้าเลยเช่นกัน
“อ๋อ ปกติผมทานแต่กาแฟน่ะครับ อยู่ออฟฟิศก็ไม่ค่อยได้ทานมื้อเช้าเท่าไหร่ ไม่ค่อยหิว” ปราณันต์ตอบยิ้มๆ
“ไม่ได้นะครับ ยังไงก็ต้องทาน นิดหน่อยก็ยังดี อย่าไม่ทานจนติดเป็นนิสัยสิครับคุณปราณันต์” เสียงทุ้มพูดบ่นยาวติดจะดุปราณันต์กว่าหน่อยๆ ด้วยซ้ำ
“ใช่ครับ! คุณครูบอกปุณณ์ว่ามื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญ ยังไงก็ต้องทาน!” ปุณณกันต์คนพี่พูดสนับสนุนคำพูดของคามินอย่างชาญฉลาด ทำเอาพี่ชายคนโตอดหน้ามุ่ยเพราะโดนน้องดุไม่ได้
“ใช่ๆ พี่ปราณอ่ะดื้อ! ดูสิปุณณ์กับปัณณ์ไม่ดื้อเลย ทานไส้กรอกเป็นข้าวเช้าด้วย!” เจ้าแฝดคนน้องพูดพลางพยักเพยิดหน้าราวกับจะบอกว่าเห็นด้วยกับคำพูดของแฝดคนพี่ หนำซ้ำมือเล็กๆ นั่นยังถือส้อมจิ้มไส้กรอกเข้าปากไม่หยุด
คามินและปราณันต์ที่เห็นและได้ยินภาพตรงต่างก็ขำออกมาด้วยความเอ็นดู เจ้าหนูทั้งสองทั้งฉลาดและรู้ดีเกินวัย คำพูดคำจาของฝาแฝดน้อยช่างน่ารักเสียจนปราณันต์ อดยื่นมือไปลูบศีรษะกลมๆ เล็กๆ นั่นไม่ได้
“แก่แดดกันนักนะตัวแสบ” พี่ชายคนโตของครอบครัวบ่นอุบ วันนี้เขาโดนเจ้าฝาแฝดน้อยเทศน์ซะยกใหญ่เชียว
“ว่าแต่วันนี้เราจะไปสวนสาธารณะที่ไหนดีครับคุณ...” ตากลมหันมามองตามเสียงทุ้มด้วยความแปลกใจ ที่จู่ๆ คามินก็หยุดพูดไปกลางประโยค “ผมว่าผมเรียกคุณว่าคุณปราณันต์แล้วห่างเหินแปลกๆ คุณมีชื่อเล่นนี่นา ฝาแฝดก็เรียก”
“ฮ่าๆ” เจ้าของสรรพนามที่คามินคิดว่าห่างเหินหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ จะว่าไปก็ไม่มีใครถามชื่อเล่นเขามานานแล้วเหมือนกัน “ที่จริงชื่อเล่นผมก็อย่างที่ปุณณ์กับปัณณ์เรียกแหละครับ เพื่อนสนิทกับคนในครอบครัวมักจะเรียกผมว่าปราณ คุณคามินก็เลือกเรียกตามสะดวกได้เลย ผมสัญญาว่าพอคุณเรียกแล้วจะรีบหันทันทีเลยครับ”
ปราณันต์พูดเล่นหยอกคามินอย่างอารมณ์ดี ในสมองของคามินรีบประมวลผลอย่างรวดเร็ว เขาอยากเรียกชื่อเล่นปราณันต์ อยากเป็นหนึ่งคนที่พิเศษและสนิทสำหรับปราณันต์บ้าง
“งั้น.. ผมเรียกคุณว่าคุณปราณได้ใช่ไหมครับ” คามินยื่นหน้าเข้าไปถามอย่างเจ้าเล่ห์ ทำเอาปราณันต์เกิดหน้าร้อนขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ก็เรียกสิครับ ผมไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” ปราณันต์ยื่นปาก บ่นขมุบขมิบเพราะเขิน
“ปราณ คุณปราณ... คุณปราณของผม” แต่คามินก็ยังไม่วายแกล้ง โดยการยื่นหน้าข้ามโต๊ะไปกระซิบเสียงเบาที่ข้างใบหูนิ่ม เล่นเอาขนอ่อนข้างลำคอคนที่ถูกประชิดตั้งชันขึ้นด้วยความเขินอาย
“จะเรียกอะไรก็แล้วแต่คุณเลย คุณคามิน”
คามินยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะประชิดตัวปราณันต์แล้วพูดอ้อนๆ “ไม่เอาคามินครับ เรียกว่าผมว่าคราม หรือจะเรียกพี่ครามแบบฝาแฝดก็ได้นะ”
“บ้า!” ปราณันต์หน้าแดงกล่ำ ก่อนจะอ้อมแอ้มพูด “คุณครามก็คุณคราม”
พูดเองก็เขินเอง จู่ๆ ปราณันต์ก็เลยลุกขึ้นพรวด เล่นเอาเจ้าตัวน้อยทั้งสองที่กำลังทานอยู่ แหงนหน้ามองตามพี่ชายตัวเองที่อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืนแทบไม่ทัน
“พี่ปราณ อิ่มแล้วหรอครับ” ปุณณกันต์เอ่ยถามขึ้น
“พี่ปราณ ทำไมอิ่มไวจัง” ปัณณธรเองก็แปลกใจ พี่ปราณเพิ่งทานไปนิดเดียวเองนี่นา
“เอ่อ.. คือ พี่ พี่อิ่มแล้วครับ เดี๋ยวพี่จะไปเตรียมของ ปุณณ์กับปัณณ์นั่งทานกับพี่ครามไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา”
ปราณันต์เดินหนีไปเงียบๆ ด้วยความเขินอาย ก่อนจะยิ่งเขินมากขึ้นเมื่อคนขี้แกล้งดันตะโกนโพล่งขึ้นมาซ้ำอีกรอบ
“รีบมานะครับคุณปราณของผม ผมกับฝาแฝดจะคอย” พี่ครามของเด็กๆ ส่งเสียงเรียกล้อเลียนอีกฝ่ายพลางหัวเราะอย่างชอบใจ ก่อนจะได้ค้อนวงใหญ่ถูกเหวี่ยงกลับมาจากคนที่เพิ่งได้ชื่อเล่นใหม่มาหมาดๆ แทน
.
.
.
“ปัณณ์อยากช่วยยกอะ พี่ครามให้ปัณณ์ช่วยไหม”
หลังจากทานมื้อเช้ากันเรียบร้อย หนุ่มน้อยและหนุ่มใหญ่ทั้งสี่ก็อัปเปหิตัวเองออกจากห้อง ก่อนจะช่วยยกของกันคนละไม้ละมือเพื่อมายังรถของคามินที่จอดอยู่ด้านล่าง เห็นจะมีก็แต่น้องน้อยคนสุดท้องที่ไม่ได้ยกอะไรเลย ด้วยเพราะตัวเล็กกว่าคนอื่นเขา เจ้าตัวน้อยเลยบ่นกระปอดกระแปดเนื่องจากอยากจะมีส่วนร่วมกับคนอื่นเขาบ้าง ขนาดพี่ปุณณ์ยังได้หิ้วเสื่อปิคนิคช่วยพี่ๆ เลย
ปุณณกันต์เห็นน้องชายฝาแฝดทำหน้ามุ่ยแล้วก็อดสงสารไม่ได้ เลยเดินย้อนกลับไปหาปัณณธร พลางยื่นหูหิ้วเสื่อให้น้องช่วยถือข้างหนึ่ง
“อะ ปัณณ์ช่วยพี่ปุณณ์หิ้วหน่อย จะได้เดินไปพร้อมๆ กัน”
แฝดคนน้องยิ้มให้คนพี่อย่างน่าเอ็นดู ก่อนที่สองคนจะช่วยกันหิ้วเชือกผูกเสื่อคนละข้าง แล้วเดินไปพร้อมกันจนถึงรถ
.
.
.
“พี่ปราณๆ เราจะไปเที่ยวที่ไหนกันเหรอครับ”
ทันทีที่เจ้าตัวน้อยขึ้นนั่งประจำที่ คาดเข็มขัดเรียบร้อย ปัณณธรคนน้องก็ถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“อืม.. แล้วปุณณ์กับปัณณ์อยากไปเที่ยวไหนดีครับ ลองบอกพี่กับพี่ครามซิ” ปราณันต์หันไปถามเจ้าเด็กตาใสทั้งสอง ที่ตอนนี้กำลังกลอกไปกลอกมาอย่างใช้ความคิด
“ไปไหนดีล่ะพี่ปุณณ์” ปราณันต์หลุดขำออกมาทันที เพราะแทนที่เจ้าตัวน้อยแฝดน้องจะมีคำตอบมาตอบเขา ดันหันกลับไปถามแฝดตัวน้อยคนพี่แทนเสียนี่
“ไปไหนก็ได้ครับ ให้พี่ปราณกับพี่ครามพาไป” ปุณณกันต์คิดนิดนึง ก่อนจะตอบออกมาด้วยรอยยิ้มน่ารักๆ
“ใช่ๆ ไปที่ไหนก็ได้ครับ ปัณณ์ไม่เรื่องมากหรอก”
ปราณันต์ขำน้อยๆ ตอนได้ยินปัณณธรบอกว่าตัวเองไม่เรื่องมาก ทั้งที่เมื่อกี้เจ้าตัวยุ่งยังถามเขาอยู่เลยว่าจะพาไปไหน
“งั้น.. เราไปขี่จักรยานเล่นกับนั่งเรือถีบที่สวนสาธารณะ A ดีไหมครับ ฝาแฝดอยากไปไหม” เป็นคามินที่ถามขึ้นหลังจากขับรถออกมาจากอพาร์ทเม้นท์ปราณันต์ได้สักพัก
“ขี่จักรยานเหรอครับ” ปัณณธรน้อยตาโตตอนที่ได้ยินว่าตัวเองจะได้ไปขี่จักรยาน ใบหน้าเล็กๆ นั่นดูตื่นเต้น จนหันไปเขย่าแขนฝาแฝดคนพี่ไม่หยุด “มีเรือด้วยแหละพี่ปุณณ์ เมื่อกี้พี่ครามบอกมีเรือด้วยใช่ไหม”
“อื้อ! มีเรือด้วย พี่ปุณณ์อยากนั่งเรือ” แฝดคนพี่ก็อดตื่นเต้นด้วยไม่ได้ แต่พอฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา เจ้าตัวน้อยก็ห่อเหี่ยวลง
“แต่พี่ปราณบอกว่าอันตราย พาเรานั่งเรือพร้อมกันสองคนไม่ไหวหรอก” ปุณณกันต์กล่าวกับแฝดคนน้องหงอยๆ ทำเอาปัณณธรซึมตามพี่ชายไปติดๆ
“นั่นสิ พี่ปราณไม่ให้เราสองคนนั่งแน่เลย” ตากลมๆ ของเด็กทั้งสลดวูบ ปราณันต์เห็นภาพดังกล่าวแล้วก็ทั้งสงสารทั้งขำ ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่ยอมให้เด็กๆ นั่งเรือเพราะเขาดูแลไม่ไหว ฝาแฝดกำลังโต แล้วอยู่ในวัยซุกซนอยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกเรื่อง เกิดชะโงกหน้า ดิ้นดุ๊กดิ๊กไปมาแล้วพลัดตกเรือไป เขาคงใจสลายแน่ๆ
แต่วันนี้มีคามินมาด้วย ก็คงพอจะพาเด็กแฝดนั่งเรือได้อยู่หรอก แต่ดูเจ้าตัวน้อยทั้งสองสิ ตีตนไปก่อน ดราม่ากันเสียเบอร์ใหญ่เชียว
“แล้วปุณณ์กับปัณณ์อยากนั่งเรือรึป่าวครับ” ปราณันต์แกล้งเอ่ยถามขึ้น เด็กๆ มีแววตาเปล่งประกายอยู่วูบหนึ่งก่อนจะหม่นแสงลงตามมาติดๆ ในเวลาต่อมา
“อยากครับ แต่ถ้าพี่ปราณบอกว่ามันอันตราย เราสองคนก็จะเชื่อฟัง ไม่นั่งก็ได้ครับ” ปุณณกันต์ตอบเสียงอ่อยๆ แต่ประโยคต่อมาของพี่ชายก็กลับทำให้ฝาแฝดทั้งสองลิงโลดขึ้นมาในพริบตา
“วันนี้พี่ครามมาด้วย ถ้ามีคนช่วยพี่ปราณดูแลฝาแฝด ปุณณ์กับปัณณ์ก็นั่งเรือได้ครับ พี่ปราณอนุญาต” พอสองหนูน้อยได้ยินพี่ชายพูดแบบนั้นก็ดีใจยกใหญ่โดยเฉพาะปัณณธร
“พี่คราม! พี่ครามมาหาพี่ปุณณ์กับปัณณ์บ่อยๆ นะ พอพี่ครามมา เราสองคนได้ทำนั่นทำนี่เยอะเลย” เจ้าตัวน้อยถึงกับเอ่ยปากขอให้คามินมาบ่อยๆ โดยมีฝาแฝดคนพี่คอยพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
“พี่ครามก็อยากมาบ่อยๆ แต่ไม่รู้ว่าพี่ปราณของเด็กๆ จะอนุญาตรึป่าว” คามินแกล้งพูดลอยๆ เสียงดังเพื่อดูท่าทีของปราณันต์ พอเห็นว่ามุมปากอิ่มมีรอยยิ้มเล็กๆ ถูกจุดขึ้น ร่างสูงก็แกล้งยื่นเข้าไปพูดใกล้ๆ ปราณันต์
“ว่าไงครับคุณปราณ ให้ผมมาหาคุณกับน้องๆ บ่อยๆ ได้หรือป่าว”
ปราณันต์เบี่ยงหน้าหนีอย่างเขินอาย และยิ่งพอได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักล้อเลียนจากฝาแฝดดังลอยมาจากเบาะด้านหลัง ยิ่งทำให้ใบหน้านวลปั้นหน้าไม่ถูก
“คุณครามอยากมาก็มา แล้วแต่คุณสิ” ปราณันต์อ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียง แต่ถึงอย่างไรก็ดังพอที่จะได้ยินทั่วรถอยู่ดี
ซึ่งคำตอบดังกล่าวก็ทำให้เด็กร้อง “เย่!” ออกมาอย่างดีใจ แม้แต่ตัวผู้ใหญ่ที่ได้รับอนุญาตให้มาได้บ่อยๆ ก็ดูท่าทางจะอารมณ์ดีไม่แพ้เจ้าฝาแฝดทั้งสองเลย
.
.
.
(อ่านต่อด้านล่าง)