บทที่ 12
ไฉนพักนี้ข้าจึงมักหูฝาดดวงตาเลอะเลือนบ่อยนัก คำหยางเย่ถิงพูดประหนึ่งขอญาติดีต่อกันฉันมิตร วันก่อนยังวางท่าด่าทอข้าว่าไร้ยางอายอยู่เลย หรือข้าแสดงปัญญาคิดป้องกันเฉินชิงหลุนเพียงเล็กน้อยก็ต้องตาต้องใจเจ้าคุณชายรองเสียแล้วหรือ ช่างเป็นบุรุษหัวอ่อนไม่ทันเล่ห์กลเอาเสียเลย สมแล้วที่มิเคยท่องเที่ยวกลางคืนแม้กระทั่งหอคณิกา
“แต่จงรู้ไว้ด้วยว่า ข้ามิได้ปรารถนารักใคร่ในตัวเจ้า ทุกสิ่งอย่างข้าอาสาทำเพื่อพรรคคมเบญจมาศผสานรอยร้าวของสองตระกูลในอดีต อีกทั้งเพื่อพิทักษ์เขตอาคมของเฉินชิงหลุน”
ยังไม่ทันขาดคำ หยางเย่ถิงก็แสดงเจตนาเป็นอริชัดเจนดังเดิม
ข้าเองก็มิได้อยากแต่งงานกับเจ้าเช่นเดียวกัน หากไม่...
“ข้าพเจ้ายังมิได้ออกปากกับเจิ้งอู๋จินสักคำหนึ่งว่าจะแต่งงานกับคุณชายรองท่าน เพียงแต่ขอเวลาคิดสักระยะหนึ่ง อีกทั้งฝ่ายข้าพเจ้าเป็นหญิงมีญาติผู้ใหญ่ต้องรับรู้ การจะออกเรือนได้นอกจากคำตกลงปลงใจจากข้าพเจ้าแล้วนั้น มิพ้นนางหยวนเกาเถียนมารดาข้าพเจ้าเป็นผู้ตัดสินใจ บัดนี้คุณชายรองแจ้งกำหนดส่งตัวในอีกสามวันเบื้องหน้า หากมารดาข้าพเจ้ามิตอบหนังสือกลับมาว่าเห็นชอบทันเวลา ท่านมิเป็นเจ้าบ่าวไร้เจ้าสาวหรือ”
คิ้วขวาของหยางเย่ถิงกระตุกอีกครั้ง
“พูดเล่นลิ้น ไร้สาระ”
ไร้สาระประโยชน์อันใดเล่า คำข้าทุกคำมีสาระครบถ้วนต่างหาก เว้นแต่เจ้ามีจิตใจชิงชังข้าเป็นการส่วนตัวอยู่แล้วต่างหากจึงกล่าวหาคำพูดข้าว่าปลิ้นปล้อน
“ข้าพเจ้ารับคำเฉพาะให้คุณชายรองช่วยบำบัดธาตุในกาย แต่มิได้ปลงใจข้องานมงคลอื่น เช่นนี้จะกล่าวหาข้าพเจ้าว่าพูดจาไร้สาระได้อย่างใดเจ้าคะ”
หยางเยวี่ยนจนแต้มก็ได้แต่ยืนทำหน้าไม่พอใจ ข้าจึงพูดถนอมหน้าอีกฝ่ายไว้ว่า
“ม้าใช้ส่งข่าวเพิ่งออกไปเมื่อวานก่อน ป่านนี้มารดาข้าพเจ้าคงได้รับหนังสือแล้ว คุณชายรองอย่าเพิ่งหน้าซีดใจร้อนว่าจะเป็นเจ้าบ่าวไร้คู่ สิทธิ์ขาดทั้งปวงข้าพเจ้ายกให้แก่มารดาเป็นผู้ตัดสิน หากไม่เกิดงานแต่งงานคุณชายรองท่านอย่าได้คิดโกรธเคืองข้าพเจ้าสืบไป”
ดูเหมือนหยางเยวี่ยนจะมิได้คำนึงถึงในข้อนี้ คงเฝ้าคิดแต่ผสานรอยร้าวของสองตระกูลเพื่อผนึกอาคมแห่งเฉินชิงหลุน โดยหลงลืมว่าหากข้าและมารดามิได้ยินยอมตามแล้วจะเป็นประการใด
นางหยวนเกาเถียนเป็นสตรีหัวโบราณ แข็งนอกอ่อนใน คนผู้รับใช้ใกล้ชิดย่อมรับรู้ในอุปนิสัยนี้ดี หยวนเกาเถียนในอดีตเป็นบุตรสาวจากตระกูลขุนนาง ยามบิดาข้าออกปราบปรามคนชั่วคราวหนึ่งปรากฏมีกลุ่มโจรพันหน้า เที่ยวออกปล้นฆ่าเศรษฐีและข้าราชสำนักไม่เว้นแต่ละเว้น กระทั่งทางการมิอาจติดตามจับตัวได้ หยวนเหวินหยวนมิอาจนิ่งเฉยดูดาย อีกทั้งเป็นหน้าที่ของพรรคเสี้ยวจันทราต้องพิทักษ์รักษาบ้านเมืองให้สงบสุข จึงออกติดตามสืบหาตัวกลุ่มโจรพันหน้า สุดท้ายคิดอาศัยครอบครัวมารดาของข้าเป็นเหยื่อล่อ โดยบิดาวางอุบายปลอมตัวเป็นหญิงรับใช้ อาศัยความมืดปิดบังอำพรางร่างกายอันมิได้สัดส่วนหญิง แฝงยอดฝีมือทั้งหลายไว้ในเรือนของคหบดีแทนสาวรับใช้ตัวจริง
ยามกลุ่มโจรพันหน้าบุกชิงทรัพย์สมบัติจึงพลาดพลั้งถูกกับดักจับตัวนำสู่ห้องขังเป็นจำนวนมาก มารดาข้าพึงใจในฝีมือและความรูปงามของหยวนเหวินหยวน อีกทั้งฝ่ายผู้ใหญ่ทั้งสองต่างเห็นชอบในความพอใจกันของสองหนุ่มสาว จึงตกลงปลงใจในการสู่ขอ
หลังจากนั้นไม่นานข้าจึงถือกำเนิดขึ้นมา ฉะนั้นเรื่องในครอบครัวสิทธิ์ขาดทั้งปวงล้วนอยู่ในกำมือมารดาข้า ส่วนอำนาจภายในพรรคเสี้ยวจันทราเป็นสิ่งซึ่งนางจะไม่แตะต้องเป็นอันขาด ตามข้อตกลงซึ่งต่อมาท่านทราบฐานะของท่านพ่อในภายหลัง นางเกาเถียนเคยกล่าวอบรมไว้ไม่ต่างจากมารดาของหยางเย่ถิงข้อพึงใจหญิงที่จะมาเป็นลูกสะใภ้
เหตุข้าต้องคำสาปมารดาก็ทราบสิ้นแต่มิได้ว่ากล่าวสิ่งใด หนังสืออันข้าส่งกลับไปนอกจากไร้คำขออนุญาตแล้ว เนื้อความส่วนใหญ่ฝากฝังอวี้หงหยวนให้ท่านดูแลสักชั่วระยะนึงก่อน เนื่องจากมีงานสำคัญต้องกระทำนอกนครฉางอัน ดังนั้นจะเฝ้ารอหนังสือตอบกลับมาในสามวันนั้นอย่าคาดหวัง เรื่องข้าจะแต่งงานกับผู้ชายด้วยกันชาตินี้ให้ท่านทราบมิได้เป็นอันขาด
ข้าจำเป็นจะต้องเล่นละครตบตาครั้งใหญ่ในอีกสามวันเบื้องหน้า เพื่อพัดพรายเพลิงและผนึกอาคมเฉินชิงหลุน หยางเย่ถิงเจ้าอย่าได้แค้นเคืองข้าก็แล้วกัน
จู่ๆข้าก็บังเกิดเวียนศีรษะ ครั้นรุนแรงขึ้นจึงเกาะเอาขอบโต๊ะวางแผนที่ไว้ยึดเหนี่ยว หยางเย่ถิงเห็นท่าทีข้าเดิมทีปกติอยู่ต่อมาเซซวนเช่นนั้นก็จับมือข้าไว้ อีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงเหงื่อใต้ฝ่ามือข้า
หยางเยวี่ยนซักความคาดคั้น “เจ้ามีอาการเช่นนี้มานานเท่าใด”
“นับแต่เมื่อเช้า”
คุณชายรองหยางใช้วิชาสะกดธาตุลงใต้ท้องแขนข้ารวดเร็ว พลางบ่นราวกับคนแก่ว่า “ไยจึงมิส่งคนมาแจ้งข้า”
นางคณิกาปลอมชักสีหน้าแล้วแสร้งหัวเราะ “ไฉนข้าพเจ้าจะต้องรายงานคุณชายรองท่านเล่า เราสองคนมิได้มีจิตพิศวาสต่อกัน ข้าพเจ้าจะมีอาการหน้าซีดตัวสั่นประการใด คุณชายท่านไม่จำเป็นต้องรับรู้”
“พูดเพ้อเจ้อ” คำแต่ละคำที่กล่าวออกมา ชาตินี้ทั้งชาติเราสองคนคงไม่อาจญาติดีกันได้
ข้าสะบัดมือออกจากหยางเยวี่ยนแล้วหุนหันจะออกไป ไม่คิดว่าเย่ถิงจะคว้าตัวข้าไว้รวดเร็ว กายสตรีนี้บอบบางอ้อนแอ้นเสียจริง เพียงถูกแรงหยางเย่ถิงถึงรั้งก็ถลาเข้าไปซบอกเจ้านั่นราวกับจับวาง ช่างบัดซบนัก
“อวดเก่ง”
“รู้ดี”
“พูดมาก”
“ไม่พูด”
“เจ้าเพิ่งพูด”
“ไม่พูดแล้ว”
“พูดมาก”
“เออ ข้าพเจ้ายอมรับว่าพูด พูดมากๆด้วย
พอใจหรือยังเจ้าคะ” ข้าเริ่มควบคุมอารมณ์ไม่อยู่จึงเผยท่าทีผิดต่างกุลสตรี หยางเย่ถิงมุ่นคิ้วกล่าวว่า
“อย่าเถียง”
ข้าขยับริมฝีปากชิดกันราวกับถูกวิชาสะกดคำ ทำทีเป็นเมินเฉยเบือนหน้าหนี อีกมือก็ทำทีเป็นผลักไสตัวออกจากอกเย่ถิง แต่กำลังร่างสตรีนั้นอ่อนกำลังกว่าพลังบุรุษ หากเจ้าหยางเยวี่ยนไม่ยอมผ่อนแรงมือจากกายข้า ไหนเลยข้าจักขยับออกห่างได้สมดังใจ
“ธาตุน้ำในกายเจ้ามีมากเกินพอดี จึงปรากฏเป็นหยดเหงื่อใต้ฝ่ามือมากกว่าปกติเช่นนี้”
“...” ข้าหันมามองหน้าหยางเยวี่ยนแล้วเบือนหน้ากลับไปยังทิศเดิม
“เจ้ารู้นามจริงข้าได้อย่างไร” คุณชายรองหยางถามซ้ำก็พบกลับความเงียบงันเช่นเดิม
“หยวน...เฟย”
ข้าปรายตากลับไปมองเพียงเล็กน้อยก็ผสานเข้ากับดวงของชายหนุ่มพอดี จิตใจเดิมทีสั่นไหวด้วยโทสะโมโหก็ถูกสะกดดั่งเจอคำสาปให้เป็นหิน
“เช่นนั้นข้าพเจ้าจำต้องถามกลับคุณชายรองเช่นเดียวกันว่าทราบนามจริงข้าพเจ้าได้อย่างไร ต่อคุณชายรองท่านตอบแล้วข้าพเจ้าจึงจะตอบ”
หยางเย่ถิงมิได้สำแดงสีหน้าอื่นใดนอกจากใบหน้าดังรูปปั้นสักการะ
“กุ้ยเฟยเป็นผู้บอกข้า”
“ส่วนข้าพเจ้านั้นคาดเดาเอาเองตามสติปัญญาอันน้อยนิด” พอเห็นความโกรธผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา ข้าก็เร่งขยายความเพิ่มเติมว่า “ด้วยใบหน้าคุณชายรองรูปงามเช่นนี้ ข้าพเจ้าเคยมีแขกมาติดพันอยู่ระยะหนึ่งมักให้เรียกเขาว่า
อาเยวี่ยน คุณชายผู้นั้นเป็นบุตรเศรษฐีคหบดีฐานะร่ำรวยเงินทอง จึงส่งของกำนัลมาให้ข้าพเจ้าไม่เว้นแต่ละวัน ข้าพเจ้านับถือในความมุมานะบากบั่นของอาเยวี่ยนจนเริ่มใจอ่อน คิดยินยอมแต่งงานเป็นฮูหยิน ต่อมาจึงทราบในภายหลังว่า อาเยวี่ยนผู้นั้นมีฮูหยินและอนุภรรยาอยู่เป็นจำนวนมากแล้ว เขาต้องการข้าไปเป็นดอกโบตั๋นดอกใหม่ไว้ประดับเรือนเท่านั้น เจตนาข้ามิได้กล่าวหาคุณชายรองท่านมีอุปนิสัยดังว่า แต่นามนี้ติดฝังใจข้าพเจ้าอยู่ อีกทั้งสกุลท่านแซ่หยาง คล้องจองกับคำว่าเยวี่ยน จึงทึกทักเอาเองตามประสาหญิงด้อยปัญญา”
หยางเยวี่ยนย้อนกลับหน้านิ่ง “หญิงด้อยปัญญางั้นหรือ”
“เป็นข้าพเจ้าเอง”
ข้าเพิ่งเห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของหยางเย่ถิงปรากฏตำตาก็วันนี้เอง พอเจ้านั่นขบขันจนพอใจแล้วจึงพูดว่า
“หญิงด้อยสติปัญญาแบบไหนจึงคิดฝึกวิทยายุทธ”
“ข้าพเจ้านี่แหละเจ้าค่ะ” ข้ายืนกรานหน้าซื่อใจเริ่มเหลว
“อีกทั้งมีฝีมือดีดพิณผีผา
ลมพัดพันสาย ได้ซ้ำอีก” หยางเยวี่ยนพูดไปก็เหมือนต้อนข้าจนมุมเข้าไปเรื่อย
“ข้าพเจ้าเคยได้ยินจึงอาศัยฝึกปรือเจ้าค่ะ”
“รวมถึงคิดมาถ่วงเวลาข้าเพื่อทำการบางอย่าง”
“ข้าพเจ้าเองเจ้า...”
ข้าสะดุ้งสุดตัวพยายามกลบสีหน้าอันพิรุธ ข้าไม่ทันคิดหาทางหนีทีไล่ไว้ล่วงหน้าก็ร้องตอบว่า
“ข้าพเจ้ามาเที่ยวตามหาดอกเบญจมาศ”
หยางเยวี่ยนไม่นึกว่าข้าจะตอบเอาตัวรอดได้รวดเร็วเช่นนั้นก็ร้องตะโกนขึ้นมา
“มีใครอยู่ข้างนอกบ้าง”
เหลียงจินผลักบานประตูเข้ามาทันที มีปิงหวนและเป่าเหอติดตามพร้อมด้วยยอดฝีมือหน้าตาดีจำนวนหนึ่ง พอเหลียงไถจินและทุกคนเห็นสภาพข้าอยู่ในอ้อมแขนคุณชายรองหยางเช่นนั้นต่างก็เบือนหน้าหลบสายตายิ้มกริ่ม ข้าผลักอกหยางเย่ถิงออกห่างแล้วกระแอมเตือนทุกคน เหลียงจินจึงหันหน้าแดงซ่านมาสบมองข้า
“นายหญิง”
“ข้าจะกลับแล้ว เจ้าได้ดอกเบญจมาศหรือยัง”
ปิงหวนเข้าใจว่าข้อความดอกเบญจมาศนั้นคงหมายถึงจดหมายลับจากหัวหน้าสีฝูเหยา จึงสวมรอยตอบว่า “เรียนนายหญิง ประตูทิศใต้นี้หาดอกเบญจมาศงามสมบูรณ์ยากนัก ข้าทั้งสามยังเสาะหามิได้”
“เจ้าจะเอาดอกเบญจมาศไปทำสิ่งใด” หยางเย่ถิงซักกลับทันที
ข้าสะบัดมือแล้วจะผละนี้ก็ถูกหยางเยวี่ยนคว้าตัวไว้อีก “ปล่อย”
“พวกเจ้าส่งข่าวไปถึงเจิ้งอู๋จินยังประตูทิศเหนือว่า แม่นางหยวนอวี้ฟ่านมีอาการธาตุน้ำเป็นพิษ จะทำประการใดดี ข้าจะพานางกลับไปคอยที่ลานหน้าผาด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ”
ยอดฝีมือสองคนเบื้องหลังรับคำแล้วจากไปทำการตามคำสั่งทันควัน
“เจ้าจะเอาดอกเบญจมาศไปทำสิ่งใด” ดูเหมือนหยางเยวี่ยนไม่คิดจะปล่อยข้าลอยนวลไปง่ายๆ
ข้าจนสติปัญญาแล้วจึงตอบปัดๆไปว่า
“เอาไว้แทนตัวคุณชายรองท่านยามต้องไกลห่าง”ขณะนั้นดูราวกับสายลมหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ สรรพเสียงอื่นๆก็พลันเงียบสงัด ต่อมาจึงบังเกิดเสียงโห่ร้องยินดีดังต่อไปเป็นทอดๆ พวกที่อยู่ใกล้กว่าก็เล่าให้แก่คนอื่นๆว่า หยวนอวี้ฟ่านว่ากล่าวสิ่งใดต่อหน้าคุณชายรองของพวกเขา
นี่ข้าพูดสิ่งใดออกไปหรือ
หยางเย่ถิงกระซิบให้ได้ยินเพียงเราทั้งสองว่า
“เจ้าพูดเช่นนี้ไม่ต่างจากยอมรับว่าจะแต่งงานกับข้าต่อหน้าคนทั้งปวง หากเจ้าจะคิดกลับคำภายหลังคงต้องคิดหาอุบายให้หนักทีเดียว
เตรียมม้า”
ข้าอับจนสติปัญญาจะแก้ต่าง จึงร้องบอกความให้พรรคพวกตัวรั้งรอไว้
“จินเหนียง หลี่เม่ย เนี่ยหวัง พวกเจ้าจงคอยเสาะหาดอกเบญจมาศ ณ ประตูทิศใต้นี้ให้จงได้ อย่าได้ติดตามข้าไป” เสียงโห่ร้องดีใจก็ดังซ้ำอีก ใบหน้าหยางเย่ถิงเดิมทีไม่ได้คิดคล้อยตามคำพูดข้าก็เริ่มปรากฏสีแดงแปลกๆ
ต่อเมื่อมีคนจูงม้ามาแล้วหยางเย่ถิงจึงขึ้นนั่ง
“ลานผานั้นเป็นจุดรวมของธาตุดินและธาตุลมสมดุลนัก เจ้าอย่าได้คิดปฏิเสธ”
ข้าโหนตัวขึ้นนั่งบนม้าอีกตัวหนึ่งท้าท้ายคำว่าไม่คิดปฏิเสธ
“ดี ส่วนพวกเจ้าจงส่งสารให้ยอดฝีมือทั้งสี่ประตูจำนวนกึ่งหนึ่งโยกย้ายกำลังพลไปยังจุดลานหน้าผาโดยทันที”
ผู้ส่งสารรับคำแล้วเร่งไปปฏิบัติตามคำสั่ง
“นายหญิงให้ข้าพเจ้าติดตามไปด้วยเถิด” เหลียงจินรบเร้าจะขอตามไป ข้าทำทีเป็นส่ายหน้าซ่อนความนัยว่าจำเป็นจะต้องได้จดหมายของหัวหน้าสี อีกทั้งไม่อาจปล่อยให้ปิงหวนและเป่าเหอทำการอยู่เพียงสองคนได้
“หากได้ดอกเบญจมาศสมดังใจแล้วจงกลับไปคอยยังสระเสี้ยวเบญจมาศทันทีอย่ากังวล”
เหลียงไถจินยอมพยักหน้า แต่แฝงแววตาเป็นห่วงเป็นใยไม่ต่างจากหลี่ปิงหวนและหวังเป่าเหอ
“อาเยวี่ยน”คำร้องดังขึ้นมาจากหญิงผู้ควบม้าเข้ามายังบริเวณค่ายประตูทิศใต้ ชั้นแรกเงาราตรีโถมทับปิดบังใบหน้าแม่นางผู้นั้น ครั้นแสงคบไฟสะท้อนตกต้องความงามผนวกความน่าเอ็นดู สตรีวัยแรกสาวนางนั้นแต่งกายรัดกุม ถือกระบี่มือหนึ่งอีกมือก็โบกไม้โบกมือมาทางหยางเย่ถิง
รอยยิ้มจริงใจปรากฏบนใบหน้าหยางเยวี่ยน เต็มเปี่ยมด้วยความสุดยินดี เจ้าคุณชายรองมองผ่านข้าเลยไปถึงแม่นางผู้ออกนามชื่อ แล้วร้องตอบอีกฝ่ายว่า
“เตียวหง”*****************************
พูดคุยรักนายเอกแล้ว? เร็วจัง5555
คงจะยังไม่รักกันง่ายๆแน่ๆฮะ ดูแล้วน่าจะทะเลาะกันไปจนจบเรื่อง 555