-จบแล้ว-[จีนโบราณ] >>>>> 密友 ปรมาจารย์ลัทธิเมีย <<<<< บทส่งท้าย [6/9/64] หน้า 6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: -จบแล้ว-[จีนโบราณ] >>>>> 密友 ปรมาจารย์ลัทธิเมีย <<<<< บทส่งท้าย [6/9/64] หน้า 6  (อ่าน 91386 ครั้ง)

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
งานนี้จะโป๊ะแตกไหมนะ อิอิ

ออฟไลน์ น้ำตาลนมสดใจ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :katai2-1:จะโดนจับได้ไหมนะลุ้นๆ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ 6


   
“สายน้ำพลิ้วไหว กิ่งหลิวขยับตามสายลม
ดวงจันทร์ผุดจากผืนน้ำ เปล่งแสงแข่งสู้หญิงงาม ไม่อาจเทียบเทียม”

   

หลี่ปิงหวนนอกจากจะเชี่ยวชาญการแสดงรินสุราโลดโผนแล้วยังประกอบทักษะด้านบทกวีลือกระฉ่อน ท่วงท่าเริงร่อนรินสุราลงจอกผสานบทกวีจึงลดทอนความทุกข์ในใจข้าลงส่วนหนึ่ง
 
ปิงหวนเป็นบุตรชายของผู้อาวุโสหลี่ฉางตง ปรมาจารย์หลี่เชี่ยวชาญวิชามีดสั้นเงิน ในใต้หล้ายากจะมีผู้ใดกล้าทัดเทียมเพลงอาวุธฤทธิ์มีดสั้น หนึ่งในศิษย์เอกจำนวนมากคือหลี่ปิงหวนผู้บุตร ปิงหวนมีบุคลิกหัวไวเรียนรู้เร็ว มีสติปัญญาเป็นเอก เมื่อเติบใหญ่อายุสิบสองปีจึงได้ถูกฝากฝังให้เป็นสหายร่วมเรียงเคียงข้า จากนั้นผ่านมาสิบปีต่างก็ยังคงนับถือเป็นพี่เป็นน้องกันจนวันตาย
 
แผนการอาศัยร่างสตรีต้องคำสาปใช้ให้ก่อประโยชน์ โดยแนะให้ฝึกเป็นนางคณิกาก็ล้วนมาจากสติปัญญาของปิงหวน ร่วมด้วยเหลียงจินและเป่าเหอ ทั้งสามต่างเป็นสหายร่วมน้ำสาบานของข้า นอกจากจะใช้ความงามของอิตถีเพศทำมาหากินบังหน้า แขกส่วนใหญ่ซึ่งล้วนเป็นชาวยุทธ์ พ่อค้า และข้าราชการตำแหน่งใหญ่โตในราชสำนัก ข่าวคราวเหตุการณ์ใดทั่วแผ่นดินต้าถัง มีหรือที่แขกสำคัญๆทั้งหลายจะมิคายความลับยามยกจอกสุราขึ้นดื่ม
 
ฉะนั้นความเคลื่อนไหวทั้งในและนอกราชสำนักต้าถังจึงไม่มีสิ่งใดรอดพ้นสายตาของข้าหยวนหลงซานผู้นำยุทธภพฝ่ายธรรมะไปได้ เพราะเหตุนั้นเหล่ายอดฝีมือทั้งปวงซึ่งต่างต้องคำสาปจึงมุ่งมั่นฝึกทักษะของนางคณิกาให้แตกฉาน ทั้งงานเขียนอักษร เล่นดนตรี ขับร้อง กลหมากล้อม รวมถึงการรินสุราซึ่งปิงหวนชื่นชอบเป็นการส่วนตัว หวังใช้ตบตาแขกมากหน้าหลายตามิให้เคลือบแคลงสงสัย เพื่อล้วงความเป็นไปของบ้านเมือง

เดิมทีข้ามิได้ใส่ใจฝึกทักษะนางคณิกามากเท่าเหล่ายอดฝีมืออื่น ด้วยหวังว่าจะหาทางแก้ไขคำสาปได้ในมิช้านาน ต่อมาจึงพบว่าคำสาปร้ายนี้อับจนหนทางจะถอนออกได้โดยง่าย จึงจำเป็นต้องฝึกฝนทักษะหญิงคณิกาไว้ประดับตัว หวังนำออกใช้ในคราวคับขัน อีกทั้งจู่ๆวิชาพัดเสี้ยวจันทราซึ่งอาจารย์เฉียนคงพร่ำสอนมาเนิ่น ข้ากลับฝึกวิชารุดหน้าขึ้นมากโขอย่างชนิดว่ากลับหน้าเป็นหลังมือ ใจหนึ่งข้าเชื่อในฝีมือตัวเอง แต่อีกใจหนึ่งก็พะวงว่าอาจเพราะเป็นผลของคำสาปชายสลับหญิง เมื่อใกล้สำเร็จเคล็ดลับวิชาพัดเสี้ยวจันทราขั้นเก้า ซึ่งคงใช้เวลาอีกไม่ช้านานนี้ข้าจึงแน่ใจได้ว่าทุกสิ่งอย่างล้วนมีผลมาจากคำสาปทั้งสิ้น อีกทั้งอาจารย์เฉียนคงยังชี้นำว่า ข้าจำเป็นต้องเลือกผดุงรักษาความดีงาม ปราบปรามความชั่วร้ายมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตน ความตั้งใจถอนคำสาปก็มีอันถดถอยจากเดิมสิบส่วนเหลือเพียงแปดส่วน

“ครบเวลา 1 เค่อแล้วขอรับ”

ปิงหวนวางขวดสุราลง ก่อนจะร้องเตือนข้ามาจากหอเปลื้องอาภรณ์ซึ่งปลูกสร้างไว้ริมสระเสี้ยวเบญจมาศ ข้าก้าวขึ้นจากสระน้ำ ปิงหวนรีบยื่นผ้าห่มมาให้ทันควัน

“ภายในหอเปลื้องอาภรณ์ยังเหลือชุดสตรีสัดส่วนเหมาะเจาะอีกสองชุด เห็นทีจะใช้ผลัดเปลี่ยนได้พอถึงยามอรุณรุ่ง เชิญประมุขท่านเข้าพำนักผลัดผ้าก่อนเถิด”

ข้าขึ้นบกลงสระจนเริ่มรู้สึกว่าเปียกไปถึงอวัยวะภายใน

หอเปลื้องอาภรณ์มีเสื้อผ้าสตรีและบุรุษไว้ผลัดเปลี่ยนจำนวนหนึ่ง อีกทั้งมีเครื่องประดับและเครื่องประทินโฉมต่างๆ นานา ไว้ใช้ตกแต่งกาย เฉินชิงหลุนแห่งนี้คงเป็นมากกว่าเรือนรับรองของสำนักคมเบญจมาศ ด้วยตั้งอยู่ในทำเลใกล้เมืองฉางอัน ไม่ผิดที่จะคิดใช้สอดส่องความเป็นไปของเมืองหลวงมากกว่าสำนักใหญ่แห่งเขาเทียนซานซึ่งห่างไกลเกินไป

ข้าผลัดผ้าดีแล้วจึงออกมาพบปิงหวน สหายร่วมน้ำสาบานจึงเผยแผนการตบตาคนพรรคคมเบญจมาศในทันที

“ข้าน้อยเฝ้าตริตรองทบทวนซ้ำแล้วเห็นว่า ดีนักที่แยกเหลียงจินและเป่าเหอไว้รักษาอีกสระเสี้ยวเบญจมาศหนึ่ง”

ข้าสงสัยจึงถามกลับว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นการดี

“เจิ้งอู๋จินให้เหตุผลว่า พิษจิ้งจอกเงินนี้รุนแรงนัก หากผู้โดนพิษถึงสองคนร่วมอยู่ภายในสระเดียวกัน การทุเลารักษาจะทำได้ช้าเนิ่นนานเกินกว่าเจ็ดวัน ข้าน้อยเห็นสมควรว่าดียิ่งตรงที่คนพรรคคมเบญจมาศจำจะต้องแบ่งกำลังไปเฝ้ายังทางเข้าของทั้งสองสระ เป็นโอกาสให้ข้าพเจ้าอาศัยทักษะนางคณิกาหลอกล่อนายประตูได้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเพื่อที่จะเล็ดลอดออกไปส่งข่าวสู่สำนักอวี้หงหยวนก่อนรุ่งอรุณ”

“แผนการของเจ้าประสงค์กำลังคนของพรรคเสี้ยวจันทราหรือมิใช่” ข้าคิดตามคำหลี่ปิงหวน อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับว่าถูกต้องแล้วว่า

“ทุกชั่วยามจะมีคนของพรรคคมเบญจมาศเดินเข้ามาตรวจตราพวกเราอย่างที่ประมุขท่านประจักษ์แจ้งแก่ใจอยู่ ฉะนั้นหากจำต้องคืนร่างเป็นบุรุษแล้วคงไม่พ้นสายตาของผู้ตรวจตราไปได้ ข้าพเจ้าหมายใจจะดึงสายตาของคนพรรคคมเบญจมาศออกห่างจากสระเสี้ยวเบญจมาศในช่วงเวลากลางวัน โดยทำทีแต่งคนของพรรคเสี้ยวจันทราแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ส่วนละไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน อีกทั้งตกแต่งกายด้วยผ้าแดงปิดบังใบหน้าเสมือนคนของพรรคมาร จากนั้นทุกหนึ่งชั่วยามให้ผลัดเปลี่ยนกันทำทีจะบุกเข้ามาในเฉินชิงหลุน มีหรือที่คุณชายรองหยางแห่งเทียนซานจะกล้าส่งคนมาสอดส่องคอยจับตาดูพวกเรา รังแต่จะรวมพลออกรับศัตรู ทางแก้ตบตาเป็นมาเช่นนี้ มิทราบว่าประมุขท่านเห็นสมควรด้วยหรือไม่”

ข้ายิ้มให้หลี่ปิงหวนแล้วตบบ่าอีกฝ่ายพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย แล้วพูดสรรเสริญชื่นชมความคิดสติปัญญาสหายร่วมน้ำสาบานว่า

“เจ้าสติปัญญาหลักแหลมแม้เข้าตาคับขัน ข้านี้เหมือนได้ที่ปรึกษายอดเยี่ยมไว้เคียงกาย สิ่งใดอับจนสิ้นความคิด ปิงหวนเจ้าก็จุดไฟให้ติดสว่างไสวได้สิ้น แต่จงอย่าดูแคลนสติปัญญาหยางเย่ถิงผู้นั้น เนื้อความจดหมายจงกำชับหัวหน้าสีฝูเหยาเป็นผู้ควบคุม คัดสรรยอดฝีมือทั้งต้องคำสาปและมิได้ต้องคำสาปสลับกันไป จริงอยู่ที่ว่าหออวี้หงหยวนจำเป็นต้องดำเนินกิจการต่อมิให้เสียนหย่งเฉิงจับสงสัยเป็นพิรุธประการหนึ่ง ประการสองยอดฝีมือทั้งสี่ฝ่ายจำเป็นต้องมีผงราคะไฟติดตัวไว้”

“เรียนถามประมุข ไยจึงต้องพกผงราคะไฟไว้กับตัวเล่า” หลี่ปิงหวนซักกลับคิ้วขมวด ข้ายิ้มก่อนจะอธิบายว่า

“หากคนของเราพลาดพลั้งถูกจับตัวได้ หลักฐานที่จะชี้ชัดว่าเป็นคนของพรรคโคมแดงนอกจากเครื่องแต่งกายแล้ว สิ่งของสำคัญซึ่งบ่งบอกยืนยันตัวตนจริงแท้คือผงราคะไฟอย่างไรเล่า”

ปิงหวนทำกิริยาคารวะ

“ประมุขท่านสายตากว้างไกล ข้าน้อยปิงหวนยังด้อยประสบการณ์นัก”

“เร่งไปทำการเถิด” ข้ามอบป้ายหยกลายเสี้ยวจันทราให้ปิงหวนเพื่อผูกติดกับจดหมาย แทนตัวประมุขพรรค “ระหว่างเจ้าหลอกล่อคนเฝ้า ข้าจะดีดพิณผีผากลบเสียงสรวลเสเฮฮายามเจ้าจำต้องละเล่นรินสุราโลดโผน”

“ขอรับ ประมุข”

หลี่ปิงหวนคว้าขวดสุราซึ่งมีอยู่จำนวนมากภายในหอเปลื้องอาภรณ์ได้ขวดหนึ่งแล้วเดินลับหายลงไปตามบันไดหิน ข้าหยิบพิณผีผาแล้วดีดสลับเป็นท่วงทำนองแว่วหวานผสานสายลมพัดกิ่งไผ่พลิ้วไหว หวังว่าปิงหวนจะทำการสำเร็จก่อนที่ข้าจะต้องกลับลงไปแช่น้ำในสระต่อ เมื่อเล่นผีผาไปได้ชั่วระยะหนึ่ง จู่ๆ แสงจันทร์ก็สาดต้องร่างของคุณชายรองหยางแห่งเทียนซาน ทะยานเหยียบลงบนชานพักของหอเปลื้องอาภรณ์ เขาพูดเสียงต่ำบ่งบอกอารมณ์โกรธว่า

“วางลง”

ข้าทำเป็นหูทวนลมแล้วดีดพิณต่อ

“หูหนวกหรือ”

ข้าแสร้งหลับตาเหมือนกับว่าไม่มีผู้ใดยืนตะคอกอยู่

“ไร้ยางอาย”

ข้าวางผีผาลงทันควัน โกรธพอๆกับอีกฝ่าย

“คำก็ไร้ยางอาย สองคำก็ไร้ยางอาย เรียนถามคุณชายรองหยาง ท่านมิเคยเที่ยวหอคณิกาหรือจึงมิรู้ว่า งานของพวกเรานอกจากรับใช้บนเตียงแล้วยังประกอบด้วยทักษะศิลปะด้านต่างๆ รวมถึงเล่นดนตรี หากการซึ่งข้าพเจ้าดีดผีผาบ่งฟ้องว่าเป็นกิริยาไร้ยางอาย ฉะนั้นข้าพเจ้าคงสรุปได้ว่าท่านคงไม่เคยย่างกรายเข้าหอนางโลมแม้แต่น้อย”

สีหน้าเรียบเฉยแต่ใบหูค่อยระเรื่อแดง ทำให้ข้าคิดว่าเดาถูก หยางเย่ถิงเห็นว่าข้าวางผีผาลงแล้วก็คิดจะจากไป ไม่ประสงค์ต่อปากต่อคำ แต่ข้าหวั่นเกรงว่าปิงหวนยังทำการหลอกเวรยามมิสำเร็จก็ลุกขึ้นคว้าแขนหยางเย่ถิงไว้ เขาสะบัดมือข้าออก ร่างสตรีนี้อ้อนแอ้นไม่แข็งแกร่งเอาซะเลย เพียงแรงชายหนุ่มสะบัดเล็กน้อยก็ส่งให้ข้าล้มลงไปกองอยู่บนพื้น

หยางเย่ถิงมองดูเรือนร่างอรชรของข้า ไร้แววตาสำนึกผิด พลางกล่าวว่า

“เจ้าคงมิใช่นางคณิกาเล่นผีผาธรรมดาเป็นแน่ หยวนอวี้ฟ่าน ถึงได้มีวรยุทธ์ คิดบุกปล้นสำนักพิสูจน์อักษร”

คำพูดหยางเย่ถิงปิดปากข้าราวกับศอกหมัด

“หากมิใช่คำสั่งพี่ใหญ่ให้พาพวกเจ้าหลบหนีมา บัดนี้คงได้เล่นผีผาในคุกหลวงไปแล้ว”

“เจ้า...” ข้ารู้สึกเหมือนลมออกหู

“อย่าได้แตะต้องผีผาเครื่องนี้เป็นอันขาด หากยังขัดขืนคำสั่ง ข้าจะมีวิธีทำให้เจ้าหยุดเล่นอย่างที่คาดไม่ถึง” หยางเย่ถิงพูดจาหนักแน่น

ข้าหวังจะเอาคืนให้หายแค้นจากคำพูดจาดูถูกเมื่อครู่ก็แสร้งร้องว่าเจ็บปวดบริเวณเท้า หยางเย่ถิงทำทีจะทะยานจากก็หันมามองข้าประเมินด้วยสายตาเย็นชา

“เป็นอะไร”

“เป็นนางคณิกา”

“เป็นอะไร”

“เป็น...โอ๊ย...เจ็บข้อเท้า” ข้าถูกความโกรธครอบงำชั่วแล่นก่อนจะสวมรอยตามอุบาย

“ข้าจะไปตามเจิ้งอู๋จิน จงอย่าขยับไปที่ใด” ข้าไม่เคยเจอชายหนุ่มผู้ใดมองข้าด้วยสายตาเหยียดหยามเช่นนี้มาก่อนนับแต่ต้องคำสาปชายสลับหญิง หากเป็นบุรุษปรกติ เพียงแต่สดับนาม หยวนอวี้ฟ่าน ก็พลันตะลึงพรึงเพริดตกอยู่ในห้วงภวังค์ แต่หยางเย่ถิงผู้นี้เป็นชายหนุ่มประเภทไหนกันจึงไม่เห็นใจ หลงใหลในมารยาของข้า หรือข้าเริ่มกลับกลายเป็นร่างบุรุษแล้วหรือไฉน

ขณะนั้นเสียงหัวเราะครื้นเครงก็ดังมาจากทิศทางประตูทางเข้าสระเสี้ยวเบญจมาศ หยางเย่ถิงหันขวับตามเสียงนั้น

“คุณชายรองหยางช่วยข้าพเจ้าด้วย” ข้ากรีดร้องเสียงสนั่น นั่นดึงความสนใจของเขาให้หันกลับมามองข้าได้ทันที สีหน้าชายหนุ่มประดุจเห็นภูตผี เพราะข้าสะบัดเสื้อคลุมนอกออก หลงเหลือเพียงผ้าขาวชั้นในปกปิดเรือนร่างขาวสว่างดุจเกล็ดหิมะสะท้อนแสงจันทร์กระจ่าง

“ข้าสะดุดชายชุด อีกทั้งข้อเท้ายังบาดเจ็บอีก วานท่านช่วยหยิบอาภรณ์ส่งมาให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด”

หยางเย่ถิงยังยืนนิ่งงันประดุจเทวรูป ข้าจึงเล่นละครต่อไปอย่างสาแก่ใจว่า

“ตายจริงครบเวลาซึ่งข้าพเจ้าจะต้องลงไปในสระแล้ว หากคุณชายรองหยางมีน้ำใจอันประเสริฐ วานอุ้มข้าพเจ้าซึ่งมิอาจขยับเดินได้เองนี้ลงไปในสระด้วยเถิดเจ้าค่ะ”

หยางเย่ถิงพิจารณานาฬิกาน้ำแล้วเห็นจริงตามนั้นก็วางกระบี่ หลับตาเข้ามาช้อนร่างข้าด้วยสองแขน ก่อนจะก้าวลงไปในสระน้ำ ค่อยๆหย่อนข้าลงด้วยกิริยานุ่มนวลผิดต่างจากเมื่อครั้งแรก ชุดสีเหลืองอ่อนสลับขาวของหยางเย่ถิงเปียกตามระดับน้ำถึงเอว เมื่อข้าเห็นสภาพเสื้อผ้าอีกฝ่ายเปียกปอนเช่นนั้นก็รู้สึกผิด เขายังคงหลับตาอยู่

“ขอบใจท่านนัก คุณชายรองหยาง เช่นนั้นเชิญท่านปล่อยข้าพเจ้าไว้ลำพังเถิด”

“ข้าจะปล่อยเจ้าไว้ลำพังได้อย่างไร ก็เจ้าเจ็บเท้าอยู่มิใช่หรือ แม่นางหยวน” หยางเย่ถิงยังคงหลับตา มือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือจับยังข้อศอกข้าพยุงไว้

“น้ำในสระเสี้ยวเบญจมาศนี้ช่างมีสรรพคุณล้ำเลิศนัก ไม่เพียงรักษาพิษบาดแผลจิ้งจอกเงิน ยังสามารถเยียวยาอาการเจ็บปวดของข้อเท้าได้เสียด้วย”

“เร็วไป” หยางเย่ถิงหลับตา พูดจาหน้าเฉย

“กระไรเจ้าคะ” ข้าถามกลับ

“หายเร็วเกินไป” บัดนี้หยางเย่ถิงค่อยๆลืมตาแล้วยกยิ้มมุมปาก พิจารณาใบหน้าอันเหยเกของข้าแล้วพูดอธิบายซ้ำว่า “ปกติแล้วอาการปวดเนื่องจากล้มบริเวณข้อเท้านี้ สระเสี้ยวเบญจมาศจะสามารถเยียวยาให้หายขาดได้ภายในหนึ่งชั่วยาม ฉะนั้นจึงเร็วไปที่จะหายได้ในทันทีที่เท้าของแม่นางหยวนสัมผัสน้ำ”

“อ้อ อันที่จริงข้าพเจ้ายังรู้สึกเจ็บอยู่นิดๆเจ้าค่ะ”

ฝากไว้ก่อนเถิด ไอ้คุณชายบ้า

“ข้าจะช่วยพยุงแม่นางไปจนกว่าจะครบหนึ่งชั่วยาม”

นั่นก็พอดีกับยามพระอาทิตย์ขึ้นมิใช่หรือ



********************************

พูดคุย

งานนี้จะโป๊ะแตกไหมนะ อิอิ
คนเขียนก็ลุ้นเหมือนกันครับ 55+

:katai2-1:จะโดนจับได้ไหมนะลุ้นๆ
ฝากเอาใจช่วยประมุขหยวนหลงซานด้วยนะขอรับ ลุ้นๆๆ

รอตอนต่อไปค่ะ
มาแล้วคร้าบบ

รีบมาๆๆๆ
มาแล้วๆๆๆ

:L2: :pig4: :L2:
ขอบคุณขอรับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-03-2020 08:44:44 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
ยังไงละทีเนี่ยยยย

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
งานนี้คุณชายได้ตะลึงแน่ๆเจ้าค่ะ5555

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ 7



ข้าพิจารณาหยางเย่ถิงจากรูปลักษณ์ภายนอก คะเนว่ามีบุคลิกสุขุมเถรตรง ยึดขนบกฎเกณฑ์โดยเคร่งครัด ทั้งสายตาและสีหน้าซ่อนแววอ่อนต่อเชิงโลกีย์ เคยปรากฏให้เห็นคราวข้าทำทีเชื้อเชิญให้ทัศนาเรือนร่างอรชร สตรีชาวถังมิได้ยำเกรงบุรุษและเปิดเผยอารมณ์สวาทได้อย่างเสรี เรื่องพรรค์นี้มีหรือข้าจะยอมถอยโดยง่าย

หากไม่ขับหยางเย่ถิงไปให้พ้นจากอาณาบริเวณสระเสี้ยวเบญจมาศก่อนอรุณรุ่งคงเสียการณ์ คิดซ้ำแล้วก็อาศัยข้อด้อยของหยางเย่ถิงในความอ่อนต่อกามารมณ์ขึ้นเข้าข่ม ข้าจึงทำทีเผยทรวงอกซึ่งเดิมทีซ่อนไว้ใต้วารีขึ้นพอปริ่มน้ำ ดูทีหรือว่าคุณชายรองหยางจะคิดทำประการใด

“รบกวนคุณชายท่านแล้วเป็นธุระช่วยพยุง เวลา 1 เค่อนั้น หากมิคิดเล็กคิดน้อยก็จะพ้นผ่านไปโดยเร็วเพียงมินาน ต่อมาบังเกิดมีชายหนุ่มตระกูลสูงศักดิ์สำแดงน้ำจิตน้ำใจช่วยผยุงกาย ก็ให้รู้สึกเวลาผ่านไปเนิ่นนานนัก ข้านี้มิใช่หญิงพรหมจรรย์ กระนั้นยามได้อยู่สองต่อสองกับคุณชายรองหยางก็อดที่จะกลับไปเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์มิได้”

เดิมทีหยางเย่ถิงไม่คิดจะปล่อยมือจากท่อนแขนข้า ทว่าพอสบเห็นเนินอกของข้าก็เหมือนกับเร่งให้อีกฝ่ายปล่อยมือออกทันควัน ข้ามิได้คาดว่าหยางเย่ถิงจะปลดมือออกรวดเร็วเช่นนั้นก็ทำทีเซซวนให้สมจริงว่าบาดเจ็บ อาศัยแผ่นอกของอีกฝ่ายเป็นที่รองรับ หยางเย่ถิงก็ยืนนิ่งงันเป็นเสาหลักศิลา

ข้าเหยียดยิ้มก่อนแสร้งเบียดเนินอกเปียกน้ำเข้าหาตัวเจ้าคุณชายรองก่อนจะร้องโวยวายว่า

“ไยคุณชายท่านมีน้ำใจช่วยพยุงแล้วมากลับทิ้งขว้างเช่นนี้เล่า”

หากสายตาข้ามิเลอะเลือนก็ราวกับเห็นว่ามีควันออกมาจากลมหายใจของชายหนุ่ม คิดแล้วก็สาแก่ใจจึงตัดพ้อต่อไปเหมือนเร่งให้หยางเย่ถิงทนยืนต่อมิได้

“ก่อนหน้านี้ท่านสำแดงว่าเข้าช่วยข้าพเจ้าพ้นจากสำนักพิสูจน์อักษร เพราะเป็นคำสั่งคุณชายใหญ่แห่งเทียนซาน ก็แลบัดนี้มีผู้ใดสั่งท่านมาอีกชั้นหนึ่งหรือจึงจำใจช่วยพยุงข้าพเจ้าอย่างมิเต็มใจเช่นนี้”

“ไร้ยางอาย”

ดีนัก ดูเหมือนข้าจะก่อกวนอารมณ์หยางเย่ถิงได้ตรงจุดสำคัญเลยทีเดียว

“ในเมื่อคุณชายรองท่านมิได้เต็มใจ อีกทั้งฝืนใจดันทุรังแช่น้ำร่วมหญิงคณิกาชั้นต่ำอย่างข้าพเจ้า โดยหาได้มีความสมัครใจจะช่วย เช่นนั้นก็จงปล่อยข้าพเจ้าไว้ตามลำพังเถิด ความเสื่อมเสียจะตกมาถึงข้าพเจ้านั้นหามีไม่ ทว่าคำครหาใหญ่หลวงจักฝังกายคุณชายรองท่านเสียมากกว่า ที่ต้องมาเกลือกกลั้วพัวพันราคีนางโลมเช่นข้าพเจ้า”

แต่หยางเย่ถิงก็หาได้ขยับหนีอย่างที่ข้าต้องการไม่ จึงเป็นเหตุให้ข้าช้อนสายตาขึ้นมองอีกฝ่าย ซึ่งทำแต่เพียงยืนนิ่งหลับตาทำสมาธิเท่านั้น ได้ เราจะเห็นดีกันว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะในศึกนี้

ข้าเตรียมจะเปลื้องชุดออกให้เปลือยเปล่า แต่ก็ถูกคำพูดหยางเย่ถิงดึงรั้งไว้

“ผีผาและเสื้อผ้าซึ่งเจ้าสวมใส่อยู่เป็นของมารดาผู้ล่วงลับของข้า ท่านมีความสามารถบรรเลงบทเพลงได้ไพเราะและงดงาม ยามเมื่อข้ารู้ความก็จดจำภาพท่านแม่ถือผีผาขับกล่อมได้ชัดเจน”

ข้าหลงลืมแผนการเดิมไปชั่วขณะ ก็ได้แต่ยืนฟังคำพูดเสียงต่ำของหยางเย่ถิงต่อไปราวกับต้องมนตร์สะกด

“แม่ท่านเติบโตมาในตระกูลหวังแห่งสำนัก เหริ่นหลินกวาง

ชื่อสำนักเหริ่นหลินกวางทำเอาข้าได้สติกลับมา

“แม่เจ้าเป็นนางคณิกาหรือ” นอกจากอวี้หงหยวนแล้วสำนักคณิกาลือชื่ออีกแห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงไม่เป็นรองทัดเทียมกันก็คือ เหริ่นหลินกวาง แห่งนั้น

หยางเย่ถิงลืมตาก้มมองข้า เขาพูดต่อไปว่า

“คนตระกูลหวังแห่งเหริ่นหลินกวางเพียงแต่เป็นผู้ควบคุมดูแลกิจการเท่านั้น แต่แม่ข้ามีอุปนิสัยใฝ่รู้และรู้จักมิตรสหายซึ่งล้วนเป็นนางคณิกามากมาย จึงได้พรสวรรค์บรรเลงผีผาติดตัวมา ยามบิดาข้าประสบพบหนแรกก็ต้องใจในอำนาจผีผาและเสน่หาอันงดงามของแม่ท่านทันที”

“เช่นนั้นจึงเป็นเหตุให้คุณชายท่านระงับมิให้ข้าพเจ้าแตะต้องผีผาเครื่องนั้นหรือมิใช่” ข้าซักกลับรวดเร็ว

“มิใช่ทั้งหมด” หยางเย่ถิงยอมตอบหลังจากนิ่งคิดอยู่นาน “แต่เป็นบทเพลงที่เจ้าเล่นต่างหาก ลมพัดพันสาย มิอาจทลายขุนเขา เจ้าเป็นนางคณิกา ไยจึงมีวิชาวรยุทธ์ เรื่องนี้เจ้าไม่ตอบไม่เป็นไร หากแต่บทเพลง ลมพัดพันสาย หากมิใช่สตรีของพรรคคมเบญจมาศย่อมไม่มีทางบรรเลงได้”

ข้ามิได้คิดหน้าคิดหลังในเรื่องนี้ ต่อหยางเย่ถิงชี้จุดสำคัญจึงรับรู้ว่าข้าทำสิ่งผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงยิ่ง อภัยให้ข้าด้วยเถิด ท่านปรมาจารย์เฉียนคง

“ข้า...”

ข้าจะตอบประการใดดี เนื่องว่าเคล็ดวิชาพัดเสี้ยวจันทราตอนหนึ่งระบุท่วงทำนอง ลมพัดพันสาย ไว้ชัดเจน กล่าวคือ ผู้ฝึกวิชาพัดเสี้ยวจันทราหากผสมผสานพลังขั้นสูงสุดร่วมกับลมพัดพันสายย่อมจะสร้างอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่มิอาจมีผู้ใดเทียบเทียม เพียงแต่ชั้นแรกข้ามิได้เฉลียวใจว่า ท่วงทำนองลมพัดพันสายจะเกี่ยวโยงกับพรรคคมเบญจมาศ จึงจำไว้ใช้เล่นดนตรีกล่อมแขกข้าราชสำนักชั้นสูง คิดว่าหากบรรลุวิชาพัดเสี้ยวจันทราขั้นเก้าแล้วจะลองผนึกบทเพลงปริศนานี้เข้าไป หวังให้บังเกิดพละกำลังอันอัศจรรย์ กระทั่งบัดนี้ล่วงรู้ความจริงก็นิ่งงันไปชั่วขณะ

“หยวนอวี้ฟ่าน เจ้าเป็นใครกันแน่”

“เป็นนางคณิกาเจ้าค่ะ” ข้ารีบตอบอย่างมีพิรุธทันที

“หากเป็นนางคณิกาธรรมดาก็ดีไป แต่เป็นนางคณิกาที่เล่นเพลง ลมพัดพันสาย ได้ ย่อมมิใช่ธรรมดาเป็นแน่”

ข้าทำได้แต่เพียงหัวเราะเสียงแห้ง

“เจ็ดวันนี้หากข้ายังมิได้ความจริงจากปากเจ้า ก็อย่าเรียกข้าว่าเป็นคนของตระกูลหยางแห่งเทียนซานอีกต่อไป”

หยางเย่ถิงประกาศกร้าวชัดเจนในเจตนา ข้าทำได้แต่เพียงขยิบตาตอบกลับไปเท่านั้น

“เรียนคุณชายรองหยาง ข้าพเจ้ามิล่วงรู้จริงๆ เพียงแต่ได้ยินเพื่อนนางคณิกาเล่นต่อๆกันมาเท่านั้น”

“โกหก”

“มิได้โกหกเจ้าค่ะ”

“บทเพลง ลมพัดพันสาย มิได้รับอนุญาตให้เผยแพร่โดยทั่วไป แม้นแต่มารดาข้าก็เพิ่งจะได้เรียนรู้ในภายหลังเมื่อได้เข้ามาสู่ตระกูลหยาง” หยางเย่ถิงคว้าข้อมือข้าไว้ราวกับเกรงว่าข้าจะหนีหายไปต่อหน้าต่อตา

“ข้าพเจ้าขอนำเรือนร่างเป็นหลักประกัน หากข้าพเจ้าโป้ปดขอให้ข้าพเจ้าตกเป็นสะใภ้ตระกูลหยาง”

ข้าหยวนหลงซานแทบกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ยามเห็นสีหน้าตื่นตกใจของหยางเย่ถิง เจ้าคุณชายรองหน้านิ่งคิดจะปล่อยข้อมือข้าลง แต่ข้าก็ใช้อีกมือหนึ่งยื้อยุดฉุดรั้งไว้ราวกับจะฝากตัวเป็นสะใภ้รองตระกูลหยางเสียให้ได้

“ข้าพเจ้านำตัวเองเดิมพันเช่นนี้แล้ว มาตรว่าไม่ตรงกับความจริง ข้าพเจ้านั้นย่อมมีแต่หนทางเสียเปรียบ ประการหนึ่งข้าพเจ้ามิล่วงรู้มาก่อนว่าบทเพลงนี้เป็นของพรรคคมเบญจมาศ ประการสองหากคุณชายรองสืบสาวว่าข้าพเจ้านำความเท็จมากล่าวก็คงจะต้องจำใจตกแต่งเข้าตระกูลหยาง สิ้นหนทางทำมาหากินโดยสุจริต โทษทันฑ์ข้าพเจ้าลำดับเป็นมาเช่นนี้ยังมิสาสมใจท่านอีกหรือ”

ข้ามิเคยประสงค์หัวเราะเต็มปากมากเท่าสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ฝ่ายหนึ่งเป็นชายหนุ่มองอาจอนาคตไกล ต่อถูกกลนางคณิกาปลอมหลอกล่อฝากตัวก็สิ้นมาดคุณชายตระกูลสูงศักดิ์คิดหาทางแก้มิได้ เป็นเรื่องน่าขบขัน อันจะสามารถนำไปเล่าเป็นเรื่องตลกให้แก่แขกได้ฟังอีกทอดหนึ่ง

“ไร้ยางอาย”

“คำพูดคุณชายรองหยางซึ่งว่า ไร้ยางอาย นั้น เดิมทีข้าพเจ้าฟังแล้วเจ็บปวดนัก ต่อได้ยินซ้ำแลถี่ขึ้นฉะนี้จึงรู้สึกได้ว่าผู้กล่าว พูดในทางขัดเขินเสียมากกว่าสิ่งอื่นใด เมื่อใคร่ครวญตามลำดับแล้วก็ชุ่มชื่นหัวใจเป็นหนักหนา เมตตาคุณชายท่านกล่าวซ้ำอีกเถิดเจ้าค่ะ”

“หยวนอวี้ฟ่าน”

“หยางเย่ถิง” ข้าออกชื่ออีกฝ่ายกลับอย่างชัดถ้อยชัดคำเช่นเดียวกัน


“อภัยเถิด นายหญิง”

ฝ่ายหลี่ปิงหวนครั้นล่อหลอกยามเฝ้าประตูให้ตกอยู่ในฤทธิ์เมรัยสมความคิดแล้วก็แล่นออกไปนอกเขตเฉินชิงหลุน อาศัยนกพิราบสื่อสารจากหอสังเกตการณ์ได้ตัวหนึ่งก่อนจะปล่อยกลับคืนสู่สำนักอวี้หงหยวนทันควัน ต่อกลับมาถึงสระเสี้ยวเบญจมาศ พบนายตัวถูกคุณชายรองหยางจับมือถือแขนแนบชนิดร่วมสระเคียงคู่กระนั้นก็แสร้งร้องร่ำทำกิริยาสตรีตกอกตกใจเป็นการใหญ่

“คุณชายรองหยางจงระงับอารมณ์สักชั่วครู่ชั่วยามเถิด นายหญิงของข้าพเจ้านี้ยังต้องพิษจิ้งจอกเงินขับออกยังมิสิ้น เกรงจะมิอาจรับแขกได้”

หยางเย่ถิงชั้นต้นประสงค์สอบเค้นความจริงจากหยวนอวี้ฟ่าน ต่อมาถูกนางคณิกากล่าววาจาฝากตัวเป็นหลักเป็นฐานโจ่งแจ้ง หนำซ้ำยังมีสาวรับใช้ร้องตะโกนโพทะนาความมิบังควรดังอื้ออึงเช่นนั้น ก็เร่งตีตัวออกห่างทันที

ข้าเห็นกิริยาหยางเย่ถิงสะดุ้งสุดตัวเช่นนั้นก็พลันตีซ้ำด้วยคำพูด หวังให้เย่ถิงหวั่นหวาดและไม่คิดนำตัวมาให้ข้าเกี้ยวพาราสีอีกว่า

“หลี่เม่ยเจ้าทะเล่อทะล่าเข้ามามิร้องแจ้งเตือนเช่นนี้ผิดนัก คุณชายรองหยางเป็นบุรุษหนุ่มตระกูลใหญ่แห่งเทือกเขาเทียนซาน ซึ่งได้ชื่อว่าถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างดี เจ้าร้องป่าวประกาศความผิดอื้ออึงไปทั่วเช่นนี้ ยังจะถูกต้องอยู่หรือ อภัยเถิดคุณชายรองหยาง อย่าถือสาหาความหลี่เม่ย หากคุณชายท่านประสงค์แตะเนื้อต้องตัวข้าพเจ้าเนิ่นนานเท่าใดข้าพเจ้าย่อมมิเกี่ยงงอนรังเกียจ หนำซ้ำจะพึงใจยิ่งขึ้นไปอีกว่า เกิดมาชาติหนึ่งนี้มีบุญถึงขั้นคุณชายรองหยางมีใจประสงค์สัมผัสผิวกายตน”

คำพูดข้าประดุจอาคมหวดเข้าบนหลังมือหยางเย่ถิง เจ้าคุณชายหน้านิ่งทำแต่เพียงถอยห่างออกไปอีก จนกระทั่งก้าวเท้าขึ้นสู่บนบก ชายชุดเปียกปอนไปเสียครึ่งส่วน ข้ารู้สึกเอ็นดูจึงชี้ช่องว่า

“ภายในหอเปลื้องอาภรณ์มีชุดบุรุษอยู่จำนวนหนึ่ง หากคุณชายรองท่านทนความหนาวเย็นมิได้แล้วจงเร่งเข้าไปผลัดเถิด”

“หรือประสงค์ดื่มเมรัยระงับความหนาวเจ้าคะ ข้าพเจ้าจะปรนนิบัติรินสุรารับรองตามทักษะซึ่งได้ร่ำเรียนมา” หลี่ปิงหวนชูขวดสุราขึ้นมาทำท่าจะรินใส่จอกแล้วยื่นให้หยางเย่ถิง

“ไม่จำเป็น”

ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อไยไมตรี ทำทีจะละจากก่อนหันมาพูดใส่หน้าข้าทิ้งท้ายว่า

“สิ่งใดๆในโลกล้วนมิอาจซ่อนเร้นอำพราง ไม่ว่าจะต้องใช้กลวิธีใด ข้าจะต้องสืบให้ได้ความจริงเพื่อตอบต่อหน้าทุกคนในพรรคได้ว่า เหตุใดเฉินชิงหลุนจึงบังเกิดมีเสียงผีผาบรรเลงเพลง ลมพัดพันสาย ดังขึ้นอีกครา”



***************************

พูดคุย

ยังไงละทีเนี่ยยยย
มาแล้วว ขอรับ

:z1:


 :L2: :pig4: :L2:
ขอบคุณครับ

งานนี้คุณชายได้ตะลึงแน่ๆเจ้าค่ะ5555
ตะลึงจนหนีแทบไม่ทัน กลัวจะได้เมีย ถถถ คุณชายรองหยาง 555

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-11-2019 14:51:52 โดย LoveBlueSky2203 »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
กลายเป็นว่าโป๊ะซะเอง555

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ 8



สุราเทียนจื่อซานมีรสชาติหอมดอกเบญจมาศ ชวนลุ่มหลงไม่แพ้ชาอันลือชื่อแห่งสำนักคมเบญจมาศ ข้าดื่มสุราหนึ่งจอกยามใกล้อรุณรุ่งก่อนจะกลับคืนร่างบุรุษ หลี่ปิงหวนเป็นพะวงว่าหัวหน้าสีฝูเหยาจะคุมคนพรรคเสี้ยวจันทราเข้ามาทำการตามแผนมิทันกำหนดเดิมก็ร้อนใจอยู่ พอได้ยินเสียงกลองบ่งบอกเป็นสัญญาณระดมพลเช่นนั้นก็ถอนหายใจโล่งอก

“เรียนประมุข หัวหน้าสีเห็นจะคุมคนทำทีบุกเข้าเขตเฉินชิงหลุนมิผิดแน่ เวรยามตรวจตราเดิมคงหละหลวม ข้าจะรีบลักลอบไปแจ้งข่าวแก่เหลียงจินและเป่าเหอให้รู้ตัวเสียก่อน”

ข้าพยักหน้าเห็นตามคำชี้แนะ แล้วกล่าวสำทับว่า

“อย่าดูแคลนสติปัญญาหยางเย่ถิง คุณชายรองผู้นี้มีไหวพริบเฉลียวฉลาด หัวหน้าสีฝูเหยามีประสบการณ์ไม่เป็นรองผู้ใด กลตบตาบุกทะลวงนี้คงวางใจได้ส่วนหนึ่ง อีกทั้งฤทธิ์บาดแผลจิ้งจอกเงินเริ่มทุเลาลงตามลำดับ หากหยางเย่ถิงเกิดเฉลียวใจในกลของข้า และหันมาเร่งรัดเอาความจริงจากปากเราแล้วคงไม่อาจอยู่ได้ทันครบเจ็ดวัน ฉะนั้นก็ล้างพิษไปได้ไม่มากก็น้อย หลังจากนั้นค่อยหาวิธีชิงยาถอนพิษมาจากเสียนหย่งเฉิงในภายหลัง”

“ขอรับ ประมุขหยวนฟง”

เมื่อหลี่ปิงหวนในร่างบุรุษจากไปแล้ว ข้าพิจารณาเศษซากพัดทองอาวุธประจำกายบนห่อผ้าด้วยความสะทกสะท้านใจ ความผิดก็ก่อตัวขึ้นใหม่ในห้วงจิตวิญญาณ ข้าจะหาอาวุธพัดเพื่อใช้ฝึกวิชาได้คล่องมือจากแหล่งแห่งที่ใดได้อีก เปรียบเหมือนกระบี่ย่อมเลือกเจ้าของ และพัดทองประจำตระกูลหยวนอันพังพินาศนี้มาสู่ข้าตามลิขิตสวรรค์ กระนั้นกลับพังพินาศด้วยอาณัติสวรรค์ดุจเดียวกัน ข้าเบือนหน้าหนีระงับความขมขื่นแล้วจึงเปลื้องชุดออก หย่อนตัวลงสระเสี้ยวเบญจมาศ อาศัยโขดหินและไอน้ำเป็นฉากกำบังกายและใจ

นับแต่จำความได้ข้าเห็นพัดประจำตระกูลอยู่ในกำมือบิดาข้าทุกคราวครั้ง ไม่ว่า หยวนเหวินหยวน จะดำเนินไปที่ใดก็ตาม ภายนอกผู้คนต่างเห็นเป็นเครื่องบำบัดคลายร้อน ทว่าสมาชิกพรรคเสี้ยวจันทราย่อมรับรู้ดีว่าสิ่งนั้นคืออาวุธสำคัญของประมุขพรรคสูงสุด แม้แต่ นางหยวนเกาเถียน ผู้มารดาข้า ก็มิเคยแตะต้องอาวุธสำคัญประจำตระกูลสักคราวครั้ง ยามข้าขึ้นนั่งตำแหน่งประมุขแทนบิดาผู้ล่วงลับ ผู้เชิญพัดประจำตระกูลมอบให้ข้าคือ ปรมาจารย์เฉียนคง

นางหยวนเกาเถียนมารดาม่ายทำแต่เพียงกำชับตามฐานะแม่ว่า

“บัดนี้เจ้าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขพรรคสูงสุดแล้ว จะคิดอ่านกระทำการใดจำเป็นต้องไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนละเอียดลออ จะถือดีเอาความคิดตนเป็นใหญ่นั้นมิได้ จงฟังคำเหล่าที่ปรึกษาอาวุโสทั้งปวงให้รอบด้านก่อนแล้วจึงบัญชาการ อีกทั้งอาวุธประจำตระกูลนี้เป็นของสำคัญสืบทอดต่อกันมา มีก็แต่ประมุขพรรคเสี้ยวจันทราเท่านั้นจึงจะถือครองได้ จงรักษาไว้ยิ่งชีพ เจ้ายังเยาว์วัยนัก แต่สติปัญญาจะยังเยาว์เสมอวัยนั้นมารดาเห็นว่าล้ำวัยไปมาก ไม่น่ากังวล เพียงแต่อุปนิสัยใจร้อน ยอมหักไม่ยอมงอ เทิดทูนศักดิ์ศรีเหนือความไกล่เกลี่ย เป็นสิ่งควรขัดเกลาตามลำดับเวลา เมื่อเจ้าเผชิญเหตุการณ์ในใต้หล้าด้วยตนเองแล้วย่อมจะเรียนรู้ไปเอง”

บัดนี้ข่าวข้าพลาดพลั้งเสียทีต่อหน่วยมือปราบสำนักศาลยุติธรรมคงแพร่สะพัดไปทั่วแล้วภายในพรรค หากนางหยวนเกาเถียนผู้มารดาทราบ ข้าจะมีหน้าไปรับคำตำหนิไหวหรือ ในเมื่อข้าเองมิได้ลดทอนความใจร้อนลงเช่นมารดาทักท้วงแม้แต่น้อยจนก่อความพินาศต่อพัดประจำตระกูลเช่นนี้

น้ำในสระมิได้หนาวเย็นเท่ายามราตรีทว่าอุ่นขึ้นจนก่อละอองไอบดบังทัศนียภาพโดยรอบ ข้ากลบรอยน้ำตาด้วยการดำผุดดำว่ายอยู่ชั่วระยะหนึ่งจึงลบความอ่อนแอลงได้

ดูเหมือนว่าแผนการข้าจะบรรลุผล เนื่องจากไม่มีเวรยามหรือคุณชายรองหยางปรากฏตัวให้เห็นกระทั่งผ่านไปหนึ่งชั่วยาม

หลี่ปิงหวนกลับมารายงานสถานการณ์ว่า หัวหน้าสีฝูเหยาทำการได้สมความตั้งใจของประมุขหยวน ล้วนตกแต่งกายด้วยผ้าสีแดงอีกทั้งบัญชาเหล่ายอดฝีมือระดมจะตีฝ่าประตูทางเข้าทิศตะวันออก หยางเย่ถิงและเจิ้งอู๋จินไม่เป็นการคิดทำสิ่งอื่นใดก็ได้แต่บัญชาคนพรรคคมเบญจมาศออกรับศัตรูด้านนั้น อาศัยหอสังเกตการณ์ระดมยิงเกาทัณฑ์ให้คนพรรคมารปลอมมิอาจก้าวล่วงฝ่าเข้ามาได้

ปิงหวนขอตัวไปสืบข่าวต่อ ข้าจึงคลายใจอาศัยสระเสี้ยวเบญจมาศชำระพิษได้โดยไม่ต้องห่วงพะวง

ข้าเกือบจะเสียท่าหยางเย่ถิงในข้อที่ว่าเผลอเรอเล่นพิณเพลง ลมพัดพันสาย ทว่าก็อาศัยสีข้างไถโขดหินเอาตัวรอดไปได้อย่างชนิดว่าต้องเสียเลือดเนื้อสักสองสามหยดเซ่นคำโป้ปด ไม่นึกว่าบทเพลงนี้จะเป็นของสำคัญซึ่งมีเฉพาะคนในพรรคคมเบญจมาศเท่านั้นที่ล่วงรู้ แล้วไฉนวิชาพัดเสี้ยวจันทราจึงถูกผูกโยงกับเสียงพิณอันเป็นสมบัติประจำตระกูลของพรรคอื่นเช่นนี้ยากจะคาดเดา คนผู้ตอบคำถามนี้ได้คงมีก็แต่อาจารย์เฉียนคงเท่านั้น

ขณะข้าคิดทบทวนอยู่นั้นก็แว่วยินเสียงผีผาดังมาแต่ไกลๆ จับท่วงทำนองได้ก็ตระหนกตกใจด้วยเป็นท่วงทำนอง ลมพัดพันสาย ก็บทเพลงนี้เสมือนหนึ่งคำเชื้อเชิญให้หยางเย่ถิงมาเยี่ยมเยือนราวกับมิได้นัดหมาย ก่อให้ข้าจำต้องเร่งขวนขวายหาต้นตอที่มา พอจับทิศทางได้ก็แหวกว่ายผ่านลำธารอันสายน้ำไหลลงมากองรวมกัน ณ สระเสี้ยวเบญจมาศ

ลำธารสายนี้ลัดเลาะมาจากยอดเขาสูงซึ่งตั้งตระหง่านราวกับเป็นกระบี่เล่มขนาดมหึมาอยู่ ณ ใจกลางของเขตเฉินชิงหลุน มีแนวป่าไผ่ขึ้นแน่นขนัดอยู่โดยรอบ โชคดีที่สายน้ำในลำธารมิได้น้อยกว่าในสระ ทำให้ข้าเหมือนหนึ่งได้รักษาพิษบาดแผลไปในตัวขณะแหวกว่าย กระทั่งสายน้ำเริ่มตื้นเขินอยู่ระดับเพียงขอบเอว จึงจำเป็นต้องเดินอย่างเสียมิได้

เสียงผีผาเริ่มชัดเจนมากขึ้น สำแดงว่าข้าเข้าใกล้แหล่งกำเนิดมากขึ้นทุกขณะ สายน้ำไหลบ่าลงมาจากหน้าผาสูงชันตกกระทบลงกลางโขดหินเป็นม่านวารีขาวกระจ่างสะท้อนแสงสุริยัน โดยรอบมีดอกบัวชูช่อบานสะพรั่ง บรรยากาศราวกับสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน

เพลง ลมพัดพันสาย เห็นได้ชัดว่าดังมาจากหลังม่านน้ำตก ข้าหลบเข้าหลังม่านน้ำก็เห็นว่ามีถ้ำลับอยู่จริง และเสียงเพลงก็ดังมาจากภายใน กางเกงผ้าขาวเปียกชื้นแนบเนื้อข้ายามต้องย่างก้าวเหยียบโขดหินขึ้นบนบก ท่อนบนข้าเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ แม้นยังไม่ครบเวลาหนึ่งเค่อที่ต้องอยู่ในน้ำแต่เรื่องนี้จำเป็นต้องแก้ไขเร่งด่วน ไม่เช่นนั้นหยางเย่ถิงหน้านิ่งเฉยชาคงได้มาปรากฏตัวต่อหน้าข้าเป็นแน่ แล้วความลับที่ข้าถูกคำสาปให้เป็นชายสลับหญิงคงไม่ใช่ความลับอีกต่อไป

ภายในถ้ำปรากฏหินงอกหินย้อย มีทางเดินหินก่อสร้างไว้อย่างดี นำไปสู่แท่นหินกลางห้องโถงอันกว้างขวาง มีลำแสงดวงอาทิตย์ส่องลอดมาตามช่องว่างกระทบลงบนแท่นศิลานั้น เมื่อเท้าข้าเหยียบย่างลงบนอาณาเขตของลานโล่งของโถงถ้ำ เสียงดีดผีผา ลมพัดพันสาย ก็มลายสิ้น คงเหลือเพียงเสียงหยดน้ำกระทบหินและเสียงกระพือปีกบินของค้างคาวเท่านั้น ทว่าสิ่งฉุดรั้งให้ข้าพิศวงยิ่งกว่าเสียงผีผาซึ่งจู่ๆก็เงียบหายไปคือสิ่งของบางอย่างซึ่งจัดวางอยู่บนแท่นศิลารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า

พัดสีทอง วางคู่อยู่กับกระบี่สีเงินเล่มหนึ่ง

ไม่รอช้า ข้าถลาเข้าหาพัดสีทองนั้นหมายใจจะพิจารณาให้ละเอียด ก็ปรากฏเสียงๆหนึ่งพูดขึ้นมาว่า

“ลมพัดพันสาย พัดพรายเพลิง”

ข้าผงะถอยก่อนจะได้สติกลับคืนพิจารณาลวดลายมังกรซึ่งแกะสลักรอบแท่นศิลานั้น จู่ๆก็สามารถขยับตัว เคลื่อนไหว แล้วกล่าวเป็นวาจาภาษามนุษย์ได้ มังกรหินคลายลำตัวออกจากแท่นแล้วจึงลอยตัวอยู่บนอากาศ

“กระบี่สีเงินมีนามว่า ลมพัดพันสาย” มังกรหินกล่าวดังก้อง “พัดสีทองมีนามว่า พัดพรายเพลิง นอกจากคนตระกูลหยางและหยวนแล้วไม่อาจมีผู้ใดเห็นของสองสิ่งนี้ บัดนี้เจ้าประสงค์ของสิ่งใดจงกล่าววาจา ตามลิขิตชะตาฟ้าดินกำหนดไว้”

ข้าคงไม่ได้ฝันหรือเพ้อเพราะพิษจิ้งจอกเงินเป็นอันขาด ทว่าคำตอบนั้นมีอยู่ในใจข้าอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

“พัดพรายเพลิง”

เจ้ามังกรศิลาขยับหัวแล้วว่า

“จงเป็นเช่นนั้น”

แล้วพัดพรายเพลิงก็พุ่งเข้าหามือขวาของข้าทันควัน บังเกิดลมลึกลับพัดโหมใส่ตัวข้ารวดเร็ว ก่อนที่พัดพรายเพลิงจะคลี่กางออกเองแล้วบินวนรอบกายข้าราวกับจะหยอกล้อเจ้านายใหม่ มันพุ่งไปยังทางออกของปากถ้ำ ข้าเร่งจ้ำฝีเท้าตามติดรวดเร็วเกรงว่าอาวุธใหม่จะหลุดจากมือ

พัดพรายเพลิงร่อนออกจากปากถ้ำเหินลอยลำสู่ท้องนภาราวกับนกกระเรียนโบยบินเริงร่า มันร่อนฉวัดเฉวียนราวกับยินดีปรีดาสนุกสนานอยู่ชั่วขณะแล้วจึงกลับมาบินวนรอบตัวข้าอีกครั้ง ข้ายืนอยู่กลางสระดอกบัวหน้าม่านน้ำตก สุดอัศจรรย์ในสิ่งซึ่งประจักษ์อยู่ พัดพรายเพลิงขยับคลี่เข้าคลี่ออกราวกับจะทักทายข้า

“พัดพรายเพลิง”

พอสิ้นคำพูดข้า พัดพรายเพลิงขยับโบกขึ้นลงแล้วจึงปรากฏเปลวไฟเป็นรูปนกกระเรียนเหินหาวถลาเฉียดผืนน้ำก่อไอฟุ้งรวดเร็วก่อนจะหายไป ข้ามิอาจยับยั้งความดีใจไว้ได้ก็ร่ายรำตามกระบวนวิชาพัดเสี้ยวจันทรา ผืนน้ำโดยรอบแต่เดิมนิ่งสงบกลับค่อยๆจับตัวขึ้นเป็นมัจฉาใหญ่น้อย พัดพรายเพลิงขยับลอยตามท่าร่ายรำสะบัดมือ แล้วจึงเสกภูตพรายนกกระเรียนออกมาละเล่นกับมัจฉาน้ำเป็นที่สนุกสนาน


ฝ่ายหยางเย่ถิงเมื่อหน่วยลาดตระเวนเขตแดนเฉินชิงหลุนแจ้งมาว่าปรากฏมีกลุ่มคนชุดแดงมีท่าทีพิรุธ คิดจะฝ่าด่านค่ายกลอาคมเข้ามาในเฉินชิงหลุนเป็นที่ผิดสังเกต ด้วยเฉินชิงหลุนไม่ใช่สถานที่ที่คนภายนอกจะเห็นได้โดยง่าย อีกทั้งทำเลที่ตั้งอยู่ห่างไกลชุมชนบนเทือกเขาใหญ่ หากมิใช่ผู้มีวิชายุทธ์จะไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ามีสถานที่นี้ซ่อนอยู่ในแมกไม้ป่าเขา อีกทั้งเจิ้งอู๋จินที่ปรึกษาพรรคคมเบญจมาศคนสำคัญได้ลองรอบสังเกตเฝ้าดูศัตรูทั้งนั้นแล้วมีลักษณะคล้ายคนพรรคโคมแดง อีกทั้งมีวิชายุทธ์ไม่ผิดจากพรรคมารร้ายหมายจะจู่โจมเฉินชิงหลุนเป็นแน่ ก็สั่งให้ระดมไพร่พลมาช่วยกันยับยั้งศัตรูมิได้ทำลายค่ายกลได้ ด้วยสถานที่นี้มีความสำคัญต่อพรรคคมเบญมาศ เจิ้งอู๋จินผู้เดียวรู้ว่าไม่เพียงเป็นแหล่งพำนักใกล้เมืองฉางอันเท่านั้น ทว่าภายในถ้ำมังกรศักดิ์สิทธิ์มีสิ่งของสำคัญจำเป็นต้องรักษาไว้

เมื่อมีศัตรูบุกเข้ามาเช่นนี้เจิ้งอู๋จินจึงแนะหยางเย่ถิงให้ทุ่มสรรพกำลังต้านทานไว้สุดความสามารถ ด้านหนึ่งก็เร่งแต่งจดหมายส่งไปยังเทือกเขาเทียนซานโดยเร่งด่วนเพื่อขอกำลังหนุน ครั้นออกรับศัตรูอยู่ชั่วระยะหนึ่ง เจิ้งอู๋จินก็กล่าวอย่างคนมากประสบการณ์ว่า

“พรรคมารโคมแดงนี้มีสมญานามว่า ฆ่าจนตัวตาย ไม่เคยปรากฏว่าจะละเว้นชีวิตผู้ใดมาก่อน ทว่าการณ์วันนี้ยามตัวเป็นต่อแทนที่จะสังหารคนพรรคคมเบญจมาศ กลับปล่อยคืนมาเป็นที่น่าสงสัยประการหนึ่ง ประการสองทั้งที่อีกฝ่ายมีกำลังมากมายปานนั้นก็มิได้คิดจะข้ามเขตอาคมเข้ามา ทำแต่เพียงผลัดกันทำทีจะบุก ต่อฝ่ายเรายิงเกาทัณฑ์โต้กลับก็ถอนออกห่างไปอย่างลิงโลดใจ ประการสามทุกชั่วยามจะมีกองกำลังบุกเข้ายังทิศทางต่างๆ ประกอบด้วยสี่ทิศ ผลัดวนกันไปกระทั่งใกล้พลบค่ำเช่นนี้ ไม่ทราบว่าคุณชายรองยังจะเห็นพ้องสงสัยเช่นเดียวกับข้าพเจ้าหรือไม่”

“ประพฤติพรรคมารมีลับลมคมในเช่นเจิ้งอู๋จินท่านกล่าวชี้แนะทุกประการ ข้าจะกล่าวปรึกษาท่านในข้อนี้อยู่ก็พอดีกับท่านกล่าวขึ้นมาก่อน หรือว่าจะเป็นกลอุบายอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ทราบ” หยางเย่ถิงถามกลับ

เจิ้งอู๋จินก่อนหน้ามิเคยแย้มพรายนับแต่พวกพรรคมารโคมแดงบุกก็คลี่ปากออกแล้วว่า

“ข้าพเจ้าเห็นว่าคุณชายรองควรจะวางใจ และฝากการณ์รับศัตรูไว้ในมือข้าพเจ้าสักชั่วยามก่อนเถิด ด้วยเกรงว่าบัดนี้เหล่านางคณิกาแห่งอวี้หงหยวนทั้งหลายนั้นคงตื่นตกใจเสียงกลองรบไม่มากก็น้อย ข้าพเจ้าขอฝากธุระปลอบขวัญไว้ในมือคุณชายท่าน ไม่ทราบว่าจะทำการได้หรือหาไม่”

“ข้า...”

“นับแต่รุ่งอรุณจวนใกล้พลบค่ำแล้วข้าวปลาสักมือหนึ่งฝ่ายเราก็มิได้จัดหานำส่งแก่นางทั้งนั้น มิคร่ำครวญร่ำร้องทนทรมานอยู่หรือ ก็การณ์ด้านนี้มิได้หนักหนาเช่นเราสองพะวงเช่นแรกต้นแล้วจงวางใจเถิด คุณชายหยางเย่ถิง” เจิ้งอู๋จินพยายามโน้มน้าวจนหยางเย่ถิงยินยอมแล้วไปปฏิบัติตาม

ต่อจัดคนนำข้าวปลาอาหารมาสู่สระเสี้ยวเบญจมาศในยามใกล้ค่ำก็หาปะหยวนอวี้ฟ่านไม่ อีกทั้งสาวใช้คนสนิทนามว่าหลี่เม่ยก็มาหายตัวไปไม่ปรากฏดุจตัวนาย หยางเย่ถิงเห็นความผิดปรกติ จึงสั่งบ่าวไพร่ออกตามหาในบริเวณโดยรอบ หวั่นเกรงภยันตรายไม่คาดคิด กระทั่งหยางเย่ถิงออกตามหามาถึงอาณาเขตสระดอกบัวหน้าม่านน้ำตกในดงป่าไผ่ เวลานั้นใกล้สิ้นแสงพระอาทิตย์ เงากายคนผู้หนึ่งดำผุดดำว่ายอยู่กลางสระ คงไม่พ้นเป็นใครอื่นไปได้นอกจากหยวนอวี้ฟ่าน ชั้นแรกตั้งใจจะตะโกนด่าทอให้อับอายว่า บาดเจ็บอยู่มิเจียมตัวยังแล่นมาที่นี้ ครั้นพิจารณาโดยถี่ถ้วนด้วยสายตา กายนั้นมิได้อรชรเช่นสตรี ทว่าแผ่นหลังกว้างไหล่หนาอุดมกำยำ

“หยางเย่ถิงพี่ท่าน”

คุณชายรองหยางหันขวับตามเสียงเรียกก็ปะเข้ากับสตรีนางหนึ่ง เมื่อจำใบหน้าและทรวดทรงได้ หยางเย่ถิงก็พยักหน้าตอบรับ
“น้องหญิง ไยปรากฏตัวยังเฉินชิงหลุนแห่งนี้ พี่ใหญ่ตามหาเจ้าแทบพลิกแผ่นดินต้าถัง”

หยางกุ้ยเฟยยิ้มเล็กน้อย แล้วว่า

“ท่านพี่มาแอบมองสตรีเล่นน้ำหรือ ช่างน่าประหลาดใจนัก”

เมื่อหยางเย่ถิงหันกลับไปยังสระดอกบัว ผิวกายขาวกระจ่าง ทาบทับด้วยผมยาวสยายนั้น ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากน้องสาวของเจ้าสำนักอวี้หงหยวน หยวนอวี้ฟ่านกำลังเดินขึ้นมาจากสระดอกบัวอย่างไร้ยางอาย

“ท่านมาลักลอบดูเรือนร่างข้าพเจ้าตั้งแต่เมื่อใดหรือเจ้าคะ คุณชายรองหยาง หากข้าเก็บเงินค่ามองก็คงได้เงินทองเป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียวเชียว”


*****************************

พูดคุย

กลายเป็นว่าโป๊ะซะเอง555
เกือบไม่รอด จะโป๊ะ หรือจะ โป๊ เอาดีๆ 55

จับผิดเก่งงง
เรียกว่า กิ่งทองใบหยก เอ้ยๆๆ ไม้เบื่อไม้เมากันเลยทีเดียวสองคนนี้ 555


   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-03-2020 08:53:38 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ไม้เบื่อไม้เมาที่แท้ทรู

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ 9


   
แท้จริงแล้วหยางกุ้ยเฟยทำทีฝากฝังทำงานกับข้า คงหวังจะเข้าไปสืบข่าวคราวภายในสำนักอวี้หงหยวนมิผิดไปจากนี้เป็นแน่ นางไม่เคยพบข้าในสภาพหยวนอวี้ฟ่านมาก่อนจึงทำแต่เพียงปรายตามองแต่เท่านั้น ทั้งนี้แม่นางหยางจะสืบเสาะความลับภายในอวี้หงหยวนมาได้มากเท่าใดมิอาจล่วงรู้ได้

หยางเย่ถิงมองสภาพเนื้อผ้าแนบเรือนร่างข้าเพียงชั่วลมหายใจ สายตาก็บ่งชัดมาคำหนึ่งว่า ไร้ยางอาย อย่างโจ่งแจ้ง ข้าทำได้แต่เพียงแสร้งเอามือป้องปากหัวเราะขบขันในกิริยาคุณชายรองแทนที่จะปิดบังส่วนเร้นลับอื่น หยางกุ้ยเฟยยกยิ้มแต่ไม่ได้ว่ากล่าวสิ่งใดก็ชักชวนพี่รองกลับไปสนทนายังเรือนรับรอง

หลังจากคนทั้งสองลับหายไปแล้ว ข้าจึงเร่งกลับสู่หอเปลื้องอาภรณ์ ปะเข้ากับหลี่ปิงหวนถือโคมไฟหน้าตาแดงก่ำราวกับโกรธแค้นผู้ใดอยู่แต่มิได้ซักอีกฝ่าย ด้วยมีข้อร้อนใจสำคัญยิ่งจำจะต้องแก้ไขโดยฉับพลัน
 
อวี้หงหยวน มองจากสายตาคนนอกไม่ต่างจากสำนักนางโลมลือชื่อ ทว่าทำเลที่ตั้งเหมาะสมสำหรับปกป้องคุ้มกันเมืองหลวงจากภัยพาลอย่างชั้นยอด ไม่ต่างจากฉางอันมีกำแพงเมืองและเหล่าทหารคอยคุ้มกันฝ่ายยุทธศาสตร์ อวี้หงหยวนประดุจหอคอยผู้พิทักษ์ฝ่ายยุทธภพ

การอันหยางกุ้ยเฟยตบตาข้าด้วยคำลวงหมายใจเข้าสู่อวี้หงหยวนนี้ นางคงจะระแคะระคายความไม่ชอบมาพากลมาบ้างเป็นแน่ หาไม่แล้วคงไม่ยินยอมทำทีสมัครใจเข้าทำงานเป็นนางคณิกา ปั้นแต่งวาจาว่าถูกคนพรรคมารล้างผลาญครอบครัว ล้างผลาญประสาอะไรเล่า ไอ้เจ้าหยางเย่ถิงยังดำรงตนก่อกวนอารมณ์ข้าอยู่เช่นนี้ โกหกทั้งเพ ข้าช่างหูเบาประมาทเลินเล่อนัก ข้อควรระวังแม่นางหยางนั้นข้าเฝ้าขบคิดเห็นว่าจะรู้แจ้งได้สามประการ

ประการหนึ่งหากหยางกุ้ยเฟยแจ้งความลับแล้วบอกกล่าวหยางเย่ถิงว่ากองทัพพรรคมารนั้นหาใช่ตัวจริงไม่ เป็นแต่เพียงคนของสำนักอวี้หงหยวนปลอมมาเท่านั้น จงสังเกตดูว่าฝ่ายพรรคคมเบญจมาศไม่คิดออกสู้แล้วให้หัวหน้าสีฝูเหยาล่าถอยกลับไปทันที

ประการสองเว้นแต่หยางกุ้ยเฟยยังสืบเสาะสิ่งใดมิได้ความก็จงดำเนินการโจมตีดึงความสนใจต่อไปตามแผนเดิม

ประการสามหากเป็นกลลวงคือหยางกุ้ยเฟยล่วงรู้ความลับของสำนักอวี้หงหยวน แท้จริงคือที่ทำการพรรคเสี้ยวจันทรา แต่กำชับให้หยางเย่ถิงออกคำสั่งป้องกันอยู่ จงให้หัวหน้าสีคุมคนคุกคามดังเดิม แลข้าจะเชื้อเชิญหยางเย่ถิงมาล้วงความลับด้วยตนเอง

สุดท้ายเหตุการณ์กลับกลายเข้าตามข้อคาดหมายประการสอง แต่มิอาจตัดข้อสงสัยประการสามลงได้ ข้าจึงทำทีให้หลี่ปิงหวนลงไปเชิญหยางเย่ถิงเข้ามาพบ ทว่าจู่ๆเจ้าคุณชายรองผู้นั้นกลับทำเป็นเล่นตัวบอกว่าติดภาระหน้าที่สำคัญคุมคนออกรับพรรคมาร

กระทั่งเหตุการณ์ล่วงผ่านไปในวันที่สาม หลี่ปิงหวนและหวังเป่าเหอในสภาพหญิงคณิกาก็วิ่งกระหืดกระหอบแทบสะดุดชายกระโปรงเข้ามาด้วยหน้าตาตื่น หลังจากแสร้งนำสุราเทียนจื่อซานลงไปปรนเปรอเหล่าผู้มีวิชายุทธ์ที่ต่างคร่ำเคร่งออกรับการก่อกวนของหัวหน้าสีฝูเหยา หวังสืบข่าวคราว

“มิได้การแล้ว ขอรับ ประมุขหยวน” ปิงหวนคำนับแล้วร้องแจ้ง

“เกิดสิ่งใด ปิงหวน” ข้าร้องทักจากสระน้ำสะท้อนแสงจันทรา

“เจิ้งอู๋จินจะขอเข้าพบประมุขท่าน ขณะนี้รั้งรออยู่ที่เชิงบันไดหิน” หวังเป่าเหออธิบายเพิ่มเติม

เหตุใดที่ปรึกษาพรรคคมเบญจมาศจึงบังเกิดมีธุระปะปังสนทนาด้วยข้าในยามนี้ คนที่ข้าประสงค์พบปะหาใช่คนผู้นี้ไม่ หรือความลับทั้งปวงเกิดแตกขึ้นมาแล้ว เจิ้งอู๋จินจึงมาเจรจาความต่อรองเงื่อนไข ด้วยหากมิใช่สาระสำคัญ บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นคงเป็นผู้ช่วยคุมกำลังคนออกรับเหล่าพรรคมารโคมแดงตัวปลอม มากกว่าจะมาเสียเวลาเจรจากับข้า

“หากปฏิเสธไม่ให้เข้าพบจะผิดสังเกตมีพิรุธ ครั้นจะให้ผู้มีวัยวุฒิพ่วงตำแหน่งระดับสูงแห่งพรรคคมเบญจมาศเข้าสนทนาตัวต่อตัว ข้าเกรงจะพลาดพลั้งเผลอสำแดงท่าทีเกินกว่าหญิงคณิกาสามัญ ดุจเดียวกับคราวหยางเย่ถิงจับสังเกตได้ ฉะนั้นจะปัดออกไปก็ไม่มีเหตุผลอื่น ข้าจะขอตัวเจ้าสองคนไว้อยู่ร่วมวงสนทนา หากข้าบังเกิดกล่าวความไม่ควรแพร่งพรายใดจงเร่งขัดโดยทันที ดูทีหรือว่าเจิ้งอู๋จินจะมาด้วยธุระใด ยามนี้ใกล้ครบหนึ่งเค่อแล้วข้าจะขึ้นผลัดผ้า จากนั้นเจ้าจงเชิญเจิ้งอู๋จินเข้ามาเถิด”

หลี่ปิงหวนและหวังเป่าเหอต่างทำหน้าไม่สบายใจ แล้วจึงแล่นลงไปรับเจิ้งอู๋จินขึ้นมา ระหว่างทางก็สนทนาซักถามการข้างออกรับคนพรรคมารไม่ให้การสนทนาเงียบงัน

เจิ้งอู๋จินแสดงท่าทีคำนับข้าแล้วกล่าวว่า

“นับแต่หยวนอวี้ฟ่านท่านถูกช่วยพามารักษาตัวยังเฉินชิงหลุน สักครั้งหนึ่งข้าพเจ้าก็มิได้เยี่ยมเยืยนไต่ถามทุกข์สุขความเป็นอยู่ ว่าจะเดือดเนื้อร้อนใจที่ใดบ้าง”

“ข้าพเจ้าเป็นสุขดี บุญคุณครั้งนี้ข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืม หากสบโอกาสทดแทนคุณได้แล้วจะไม่ประวิงนิ่งเฉยเป็นเด็ดขาด” ข้าตอบด้วยถ้อยคำสำรวม ทว่าสายตาพยายามจับผิดกิริยาอื่นใดอันแอบแฝงไว้ใต้ถ้อยคำทั้งปวง

เจิ้งอู๋จินยิ้มเพียงเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า

“เรื่องบุญคุณต้องทดแทนนั้น หยวนอวี้ฟ่านท่านอย่าคิดให้เป็นข้อกังวล พวกเราพรรคคมเบญจมาศผดุงคุณธรรม ช่วยเหลือคนอ่อนแอตกทุกข์ได้ยากมามากมาย สักหนหนึ่งจะคิดทวงบุญคุณนั้นไม่เคยพบเหตุเช่นท่านว่ามา เสมอการณ์นี้อย่างเดียวกัน”

“ข้าพเจ้ามิบังอาจ หากฝ่ายพรรคคมเบญจมาศประสงค์ฝีมือข้าพเจ้าแล้ว สุดหล้าฟ้าไกล เว้นแต่ดาวเดือนบนท้องนภา หยวนอวี้ฟ่านจะเร่งดั้นด้นเสาะหาโดยไม่ย่อท้อเด็ดขาด” ข้ารินสุรามอบให้เจิ้งอู๋จิน ที่ยามนี้ยิ้มแย้มอารมณ์ดีจนข้าไม่อาจคาดคะเนความในใจของอีกฝ่ายได้

“เช่นนั้นแม่นางและสาวรับใช้ผู้ติดตามทั้งปวงต่างล้วนมีวรยุทธแน่แท้ไม่จำเป็นต้องสืบหาความ ทว่าแหล่งสำนักปรมาจารย์ใดเป็นสถานฝึกวิชาให้แด่พวกท่านนั้น ข้าเจิ้งอู๋จินขอไม่ละเมิดรบกวนถาม ใต้หล้ามีคนชั่วปะปนอยู่ท่ามกลางคนดี หวังว่าแม่นางหยวนจะร่ำเรียนวิชาเพื่อใช้กำจัดคนชั่วรักษาคุณธรรมให้แผ่นดินต้าถังสงบสุข”

“เจ้าค่ะ” ข้ายกจอกสุราดื่มพร้อมรับคำหนักแน่น

“เหตุข้าขอเข้าพบแม่นางหยวนนั้นลุล่วงไปประการหนึ่งซึ่งข้อซักถามทุกข์สุข ทว่ายังมีเรื่องสำคัญอีกประการ ข้าน้อยพิจารณาบาดแผลพิษจิ้งจอกเงินเห็นว่าปากแผลเริ่มสมานกันดีกว่าเมื่อสามวันก่อนแล้ว ข้าน้อยขอตรวจชีพจรท่านสักชั่วครู่เถิด”

ข้ายื่นข้อมือให้เจิ้งอู๋จิน อีกฝ่ายจับเส้นชีพจรแล้วก็โปรยยิ้มเช่นเคย แล้วว่า

“นับแต่นี้หยวนอวี้ฟ่านท่านสามารถยืดระยะเวลาลงสระเพื่อรักษาตัวจากเวลา 1 เค่อ เป็น 1 ชั่วยาม หลายวันมานี้แม่นางหยวนคงลำบากมิใช่น้อย” ที่ปรึกษาพรรคคมเบญจมาศยอมยกจอกสุราขึ้นดื่ม ข้าเห็นหลี่ปิงหวนอมยิ้มดีใจแทนข้าเช่นนั้นแล้วจึงได้แต่บอกขอบน้ำใจ

“เว้นแต่ธาตุในกายอวี้ฟ่านท่านไม่สมดุลเท่าที่ควร เป็นเหตุมาจากลงรักษาตัวในสระเสี้ยวเบญจมาศติดต่อกันเป็นเวลานาน จนก่อให้ธาตุน้ำมีมากกว่าธาตุอื่นๆ ผู้ใช้สระเสี้ยวเบญจมาศรักษาย่อมจะต้องเผชิญภาวะเช่นนี้เสมอ ข้าพเจ้าพอมีวิชาความรู้ปรับสมดุลธาตุอยู่ ไม่ทราบว่าแม่นางจะยินยอมทำตามหรือไม่”

ปิงหวนและเป่าเหอพยักหน้าให้ข้ารีบรับคำโดยเร็ว ข้าไม่เห็นว่าจะมีหลุมพรางใดแอบแฝง แต่จะรับปากโดยไม่คิดไตร่ตรองถี่ถ้วน เกิดอีกฝ่ายเสนอวิธีพิศดาร ข้าคงไม่อาจถอนคำพูดได้ก็ทำแต่เพียงกล่าวแบ่งรับแบ่งสู้

“อาการพิษจิ้งจอกเงินทุเลาลงนั้นจริงอยู่ แต่ข้าพเจ้าเป็นสตรี ร่างกายมิได้แข็งแกร่งดุดันเท่าบุรุษ หวั่นเกรงจะใช้วิธีปรับสมดุลธาตุเสมอบุรุษนั้นมิได้ ด้วยเดิมทีต้องอาศัยถ่ายทอดลมปราณ โยกย้ายธาตุจากสรรพสิ่งเข้าเสริมทดแทนให้เหมาะสม ข้าพเจ้าเกรงจะมิอาจรับไหว”

“จริงอยู่ว่าท่านเป็นสตรีจึงมิอาจใช้วิถีปรับสมดุลธาตุอย่างบุรุษ ทว่าท่านอาศัยอยู่ในสำนักหอคณิกาอันดับหนึ่งด้วยแล้ว ย่อมจะเคยได้ยินผงชนิดหนึ่ง ซึ่งมีนามว่า ผงราคะไฟ

ข้าแสร้งยกมือป้องปากหัวเราะขำขัน ก่อนจะลักลอบส่งสัญญาณให้หลี่ปิงหวนและหวังเป่าเหอตระเตรียมตัว หากเจิ้งอู๋จินมีท่าทีรู้ฐานะแท้จริงของข้า ก็อย่าได้รอช้าจู่โจมในทันที

“ข้าพเจ้าย่อมจะเคยได้ยินผงชนิดนั้นอยู่บ้าง” ข้าพยักหน้ารับเชื่องช้า

เจิ้งอู๋จินหยิบห่อกระดาษสีขาวผูกเชือกทั้งสี่ด้านวางลงบนโต๊ะระหว่างเราทั้งสอง แล้วว่า

“ข้าพเจ้าพบผงราคะไฟหล่นจากหมู่คนพรรคมารโคมแดงที่คิดจะบุกเข้ามาในเขตเฉินชิงหลุนเมื่อไม่กี่วันก่อน เพียงแต่เปิดดูก็ล่วงรู้ได้ว่าเป็นผงชนิดนั้นโดยไม่จำเป็นต้องใช้วิธีอื่นใดพิสูจน์ ในยุทธภพต่างรู้ดีว่า พรรคมารโคมแดงนิยมใช้ผงราคะไฟบำบัดธาตุทั้งสี่ให้สมดุล การอันข้าพเจ้าพบห่อผงดังกล่าวจึงไม่ได้ผิดไปจากที่คาดการณ์ไว้ หนำซ้ำยิ่งทำให้แน่ใจขึ้นไปอีกว่า ศัตรูซึ่งรบกวนเฉินชิงหลุนอยู่คือเหล่าพรรคมารโคมแดงแน่แท้”

“เช่นนั้นเจิ้งอู๋จินหมายจะให้ข้าพเจ้าอาศัยผงราคะไฟบำบัดธาตุแทนหรือ” ข้าถามกลับราวกับไม่ล่วงรู้เจตนา

“มิได้ ท่านฝึกวิชาวรยุทธย่อมทราบดีว่า การอาศัยผงราคะไฟบำบัดธาตุย่อมจะเปิดโอกาสให้จิตมารเข้าแทรกได้ง่าย ในเมื่อโทษมีมากกว่าคุณเช่นนี้ ข้าน้อยย่อมจะไม่มีทางแนะวิธีนี้ให้ท่านใช้เด็ดขาด”

เมื่อในที่สุดเจิ้งอู๋จินยอมเปิดปาก ข้าจึงไม่แปลกใจเลยว่า เหตุใดนับแต่ที่ปรึกษาพรรคคมเบญจมาศพบหน้าข้าจึงมีสีหน้ายิ้มแย้มเช่นปรากฏอยู่นี้โดยตลอดเวลา

“หากแต่เป็นวิธีปรับหยินด้วยหยาง ควบคุมสมดุลพลังแห่งธรรมชาติ แม่นางหยวนคือตัวแทนหยิน และคุณชายรองยินยอมเป็นตัวแทนหยาง เพื่อช่วยท่านในการนี้”

“ข้าไม่...” ยังไม่ทันปริปากปฏิเสธ สายลมก็พัดพาพร้อมการปรากฏตัวของหยางเย่ถิง ณ ชานพักหอเปลื้องอาภรณ์ ใบหน้าถือดีอย่างคนเหนือกว่า คงคิดว่าข้าไม่กล้ากระทำหรือ ดังนั้นข้าจึงกลืนคำปฏิเสธกลับลงท้องทันที

“ในเมื่อเจิ้งอู๋จินท่านเป็นธุระแจ้งวิธีรักษาธาตุในกายข้าพเจ้าด้วยตนเองเช่นนี้ อีกทั้งคุณชายรองมีน้ำใจยื่นมือเข้าช่วย แม้นเฉินชิงหลุนอยู่ในช่วงเวลาเดือดร้อนก็ตามที ข้าพเจ้านี้มีหรือที่จะกล้าปฏิเสธได้”

 ข้าแสดงกิริยาคำนับอย่างยินดีทว่าภายในพ่ายแพ้สิ้นท่า หากไม่ห่วงว่าจะต้องชิงพัดพรายเพลิงมาให้ได้ก่อน ข้าคงจะออกอาวุธตีฝ่าออกไปให้รู้ดีรู้ชั่วกันในวันนี้เป็นแน่ เพราะว่าวิธีปรับหยินด้วยหยางนั้นมองอย่างไรก็ไม่ใช่แค่การถ่ายทอดพลังลมปราณให้แก่กันเท่านั้นแน่ แต่...

“เรียนถามแม่นางหยวน ท่านกำเนิดภายใต้สำนักอวี้หงหยวน อีกทั้งครองตำแหน่งนางคณิกาโฉมงาม ท่านคงไม่มองว่าข้าน้อยดูหมิ่นท่านให้รักษาธาตุด้วยวิธีนี้ หากแต่มีความหวังดีเป็นที่ตั้ง การปรับพลังหยินหยาง ก็คือ ปรับพลังเพศหญิงด้วยเพศชาย คุณชายรองหยางมีคุณสมบัติรูปงามมิได้ขาดตกบกพร่องแต่ประการใด หากตกลงปลงใจแล้วอวี้ฟ่านท่านอย่าได้นึกโกรธเคือง”

เจิ้งอู๋จินยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งซัดวิชาลึกลับใส่ข้าให้ล้มหงายหลังทั้งยืน ปิงหวนและเป่าเหอแทนที่จะหน้าซีดหวั่นเกรง กลับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เล่นหูเล่นตาใส่หยางเย่ถิงสลับกับเจิ้งอู๋จินเป็นที่เพลิดเพลินตา หากเจาะจงสาระสำคัญอันเจิ้งอู๋จินต้องการจะบอกโดยทางอ้อมนั้น ไม่พ้นว่าข้าจะต้องร่วมสวาทกับหยางเย่ถิงเพื่อบำบัดธาตุในกายให้สมดุล และเจ้าคุณชายรองนั่นก็เห็นดีเห็นงามเสียด้วย

หรือข้าจะตัดใจไม่เอาพัดพรายเพลิงแล้วลักลอบหนีไปก่อนที่จะต้องเสียตัวให้หยางเย่ถิง เพียงแค่สบตาเจ้าคุณชายรองพูดน้อยเย็นชาก็รู้สึกเสียววาบไปทั่วเรือนร่าง

อันที่จริง นี่อาจเป็นวิถีทางเดียวที่ข้าจะได้พัดพรายเพลิงมาครอบครอง ดังเช่นคำมังกรศิลากล่าวไว้ว่า ยามใดหยางและหยวนรวมใจเป็นหนึ่ง ยามนั้นท่านจะได้ทุกสิ่งสมความมุ่งมาดปรารถนา

   
****************************************

พูดคุย

ไม้เบื่อไม้เมาที่แท้ทรู
555+ คู่สร้างคู่สม ฟ้าประทาน เลยทีเดียวเชียว

:3123: :pig4: :3123:
ขอบคุณขอรับ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-03-2020 08:55:02 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ต้องมีฉากอัศจรรย์เป็นแน่แท้ อิอิ

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ Toon_TK

  • เ ด็ ก อ้ ว น
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 742
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
ติดตามค่าาาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ 10



หยวนหลงซานย่อมรู้ดีว่า ยามหวนคืนร่างบุรุษสมดุลธาตุจะกลับสู่ภาวะปกติ หาจำเป็นต้องอาศัยน้ำใจจากหยางเย่ถิงไม่ ทว่าการอันข้ารับคำเจิ้งอู๋จินก็เพราะหวังจะได้ครอบครองพัดพรายเพลิง หลังจากหยางเย่ถิงกลับไปป้องกันการรุกรานของเหล่าพรรคมารปลอมแล้ว ที่ปรึกษาพรรคคมเบญจมาศก็เชื้อเชิญข้าให้เดินสนทนาไปตามทางเดินศิลาเบื้องหลังหอเปลื้องอาภรณ์ โดยร้องขอมิให้ปิงหวนและเป่าเหอติดตามรับใช้ด้วยมีข้อความสำคัญจะว่ากล่าวกับข้าเป็นการส่วนตัว

ข้านึกว่าการอันเจิ้งอู๋จินควรกล่าวเป็นการส่วนตัวนั้นสมควรเป็นเรื่องข้าต้องยอมนอนกับหยางเย่ถิงต่างหากเล่า ทว่าถ้อยความหลังจากเดินคู่เคียงผ่านเงาไม้และคบไฟมาได้สักระยะบ่งบอกว่าสำคัญจริงดังว่า

“ข้าพเจ้าขออภัยแทนคุณหนูกุ้ยเฟย”

ข้าชะลอฝีเท้าแล้วถามกลับว่าหมายถึงเรื่องราวใด เจิ้งอู๋จินละกิริยาคำนับแล้วอธิบายด้วยสีหน้าสำนึกผิด

“การอันคุณหนูกุ้ยเฟยแอบอ้างตบตาพี่ชายท่านเข้าไปทำงานในอวี้หงหยวนนั่นแล้วเป็นความผิดทั้งปวง ทั้งนี้ล้วนเป็นคำสั่งข้าพเจ้าหาใช่ความผิดโดยตรงของคุณหนูไม่”

ข้าบังเกิดโทสะแต่ต้องระงับไว้ ทำทีเป็นสับสนงุนงงประหนึ่งมิได้รู้เรื่องราวตบตาทั้งหลาย

“หลงซานพี่ท่านมิได้ว่ากล่าวสิ่งใดแก่ข้าพเจ้ามาก่อน แต่การเจิ้งอู๋จินยอมรับผิดโดยซึ่งหน้าข้าพเจ้าเช่นนี้ คำขอโทษนั้นข้าพเจ้าจะถือเป็นธุระนำส่งให้ถึงพี่หลงซานเป็นแน่แท้”

“มิได้” เจิ้งอู๋จินส่ายหน้า แล้วกล่าวต่อไปว่า “คำขอโทษต่อพี่ชายท่านนั้นข้าพเจ้าจะต้องว่ากล่าวด้วยลิ้นตัวเองไม่ขอไหว้วานอวี้ฟ่านเป็นทูตปากเอก ประการหนึ่งข้านี้ได้รับมอบหมายจากประมุขหยางให้มาควบคุมดูแลเฉินชิงหลุนสักชั่วระยะหนึ่งได้ ภายหลังจึงทราบว่าเหตุอันประมุขส่งข้าพเจ้ามายังที่แห่งนี้มีความสำคัญอยู่ ครั้นทราบความสำคัญแล้วจึงคิดหาหนทางจะฟื้นฟูยุทธภพให้กลับคืนความสงบดังเดิม แผนการนั้นข้าพเจ้าขอละไว้ไม่ขอแพร่งพรายให้อวี้ฟ่านท่านทราบโดยละเอียด แต่จะขอกล่าวเฉพาะใจความสำคัญอันพัวพันต่อตระกูลหยวน ซึ่งว่าตามตำนานเมื่อเนิ่นนาน ยุทธภพมีสำนักปรมาจารย์ลือชื่ออยู่แห่งหนึ่งนามว่า เฉินชิงหลุน เหล่าตระกูลใหญ่น้อยทั่วแผ่นดินต่างส่งบุตรชายและหญิงเข้าร่วมฝึกวิชาเป็นจำนวนมาก แต่ตระกูลซึ่งปรากฏฝีมือโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์นั้นมีเพียงสองตระกูล วานอวี้ฟ่านท่านลองคาดเดาดูเถิดว่าจะเป็นตระกูลใด”

ข้ามิได้มีนิสัยชอบคิดเข้าข้างตนเอง แต่คำถามของเจิ้งอู๋จินครานี้ข้าขอยึดอุปนิสัยดังว่าตอบเป็นคุณต่อตระกูลหยวนสักคราคงไม่ใช่กิริยาโอ้อวดจนเกินไปแต่อย่างใด

“สกุลหยวนหรือเจ้าคะ”

เจิ้งอู๋จินพยักหน้ายิ้มพอเป็นรางวัลสำหรับคำตอบอันถูกต้องแล้วว่า

“แลอีกชื่อตระกูลหนึ่งนั้นหยวนอวี้ฟ่านท่านย่อมพอจะเดาออกสอดคล้องกับคำข้าพเจ้าว่าคือ ตระกูลหยางแห่งเทียนซาน”
หลังจากการบุกช่วยเหลือข้าจากสำนักพิสูจน์อักษรได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว ก็บ่งบอกแล้วว่าหามีตระกูลหยางแห่งไหนอีกที่จะปรากฏมีฝีมือโดดเด่นเป็นประจักษ์ได้อีกแล้ว ข้าแสร้งทำหน้าประหลาดใจให้คล้ายกับว่าคาดเดาผิดตามประสาสตรีด้อยประสบการณ์

“เรียนถามเจิ้งอู๋จิน ทั่วแผ่นดินต้าถังนี้มีครอบครัวสกุลหยวนไม่อาจนับได้ ข้าพเจ้าอาจเป็นคนตระกูลหยวนที่มิได้มีฝีมือโดดเด่นเช่นแต่ก่อน หนำซ้ำเป็นสตรี โชคดีได้ร่ำเรียนวรยุทธเพียงเล็กน้อยมิได้เชี่ยวชาญ จึงได้เสียทีพลาดพลั้งถูกพิษจิ้งจอกเงินเช่นนี้”
เจิ้งอู๋จินยิ้มแปลกๆอีกครั้งแล้วว่า

“ความอันคุณหนูกุ้ยเฟยรับคำไปทำการนั้นสมใจข้าพเจ้าอยู่ประการหนึ่ง”

ข้าได้แต่เดินไปตามหนทางมีลมพัดยามราตรีเป็นฉากหลัง รอคอยคำพูดอีกฝ่ายจนทุกสรรพสิ่งเงียบงัน หากวันนี้ฐานะแท้จริงของข้าถูกเปิดเผย คงไม่อาจมีหน้าไปพบบิดาและบรรพชนได้เป็นแน่ ประมุขพรรคเสี้ยวจันทราถูกปิดบังเป็นความลับมาหลายชั่วอายุคนจะต้องมาพลาดพลั้งเสียทีแก่สตรีสกุลหยางเพียงคนเดียวนั้นข้าละอายใจนัก

“คุณหนูเล่าว่า ตระกูลหยวนแห่งอวี้หงหยวนนั้นมีหยวนหลงซานพี่ชายท่านดูแลสืบต่อมาหลายชั่วอายุคน บ่งชี้เป็นตระกูลหยวนเก่าแก่ครอบครัวหนึ่ง กิจการหอคณิกานี้มีมาเนิ่นนานนับแต่ก่อตั้งแผ่นดินต้าถัง ฉะนั้นสมัยสำนักเฉินชิงหลุนรุ่งเรืองเป็นสถานฝึกวิชานั้นตระกูลท่านย่อมถือกำเนิดขึ้นแล้ว แลเมื่อมินานนี้หออวี้หงหยวนมีประกาศใจความว่าประสงค์คัดสรรชายหนุ่มดวงชะตาราศีมังกรเข้าร่วมหอลงโรงกับอวี้ฟ่านท่านขึ้นมาอีก เป็นเหตุให้ข้าพเจ้านึกคิดได้ว่า คำประกาศิตแห่งถ้ำมังกรศักดิ์สิทธ์แห่งเฉินชิงหลุนซึ่งสลักไว้เหนือแท่นศิลากลางโถงถ้ำใต้ธารน้ำตกนั้นมีความหมายอย่างใด จึงเร่งใช้ให้คุณหนูกุ้ยเฟยนำไปสืบ และพบว่า...”

ข้าทำได้แต่แสร้งยิ้มหน้าชื่นตาบาน ทว่าใจหวั่นหวาดต่อคำพูดของเจิ้งอู๋จินเหลือประมาณ

“หยวนอวี้ฟ่านท่านมิได้ปรากฏอยู่ในรายชื่อนางคณิกาแห่งอวี้หงหยวน”

ข้าตระเตรียมใช้วิชาสะกดจุดให้อีกฝ่ายไม่ทันระมัดระวังตัว ด้วยระยะซึ่งข้าเดินตามหลังเจิ้งอู๋จินเช่นนี้เหมาะสมนัก

“แม่นางอวี้ฟ่านยังเป็นสาวบริสุทธิ์ใช่หรือไม่”

“ข้า...”

“ท่านคงไม่เคยได้ยินประกาศิตแห่งถ้ำมังกรสำนักเฉินชิงหลุนเบื้องล่าง”

ณ เชิงผาจุดซึ่งเราสองชะลอฝีเท้ายืนอยู่แลเห็นสายน้ำตกกระทบลงกลางสระสัตตบงกชชัดเจน

“ข้าพเจ้าขอแจ้งให้แม่นางหยวนทราบใจความถึง หยางและหยวนรวมใจเป็นหนึ่ง เพื่อความสุขสงบของยุทธภพ อีกทั้งช่วยบำบัดธาตุในกายท่านได้ ข้าพเจ้าขอเป็นตัวแทนประมุขพรรคคมเบญจมาศว่ากล่าวขอบน้ำใจและยินดีจะเป็นเถ้าแก่สู่ขอท่านตบแต่งเป็นฮูหยินรองสกุลหยางในคราวเดียวกัน”

สติปัญญาข้าดูราวกับว่าถูกกระทบกระเทือนอย่างสาหัส เพียงการรับคำร่วมรักกับหยางเย่ถิงข้าก็สมยอมไปโดยคิดว่าคงเปลืองตัวแค่หนเดียวแลกกับพัดพรายเพลิง แต่นี่คิดจะขอข้าไปเป็นฮูหยินให้เจ้าคุณชายรองนั่นซ้ำอีก ไยชีวิตข้าช่างบัดซบเช่นนี้


ข้าดื่มสุราหนึ่งจอกก่อนจะกลับคืนเป็นร่างบุรุษยามอรุณรุ่ง ครั้นครบเวลาหนึ่งชั่วยามเพื่อรักษาตัวในสระเสี้ยวเบญจมาศแล้วจึงสั่งความให้ปิงหวนคอยสังเกตการณ์อยู่ ณ หอเปลื้องอาภรณ์ ข้าจึงหวนกลับไปยังถ้ำมังกรศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง และเห็นตัวอักษรจารึกข้อความสำคัญเช่นเจิ้งอู๋จินและมังกรศิลากล่าวไว้บนแท่นนั้น หยางและหยวนรวมใจเป็นหนึ่ง

เรื่องข้าต้องมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับหยางเย่ถิงนั้นพอทำใจได้โดยอาศัยร่างสตรีทำการ ส่วนการถูกสู่ขอไปเป็นฮูหยินของเจ้านั่นย่อมไม่อาจหลับหูหลับตาตอบรับได้โดยง่าย ข้าทำทีเป็นบ่ายเบี่ยงเรื่องนี้โดยยกหน้าที่ให้นางหยวนเกาเถียนเป็นคนตัดสิน เจิ้งอู๋จินดูเหมือนจะพอใจในการคำกล่าวแบ่งรับแบ่งสู้ก่อนจะขอตัวลาไป

พัดพรายเพลิงปรากฏเคียงคู่ดาบลมพัดพันสายชั่วครู่ก่อนจะหายลับไปพร้อมแสงสว่างซึ่งส่องมาตามช่องหิน ข้าคิดใช้พัดพรายเพลิงล้างอายที่ทำอาวุธประจำตระกูลเสียหาย แต่ข้อแลกเปลี่ยนนั้นมีราคาค่างวดสูงส่ง อีกทั้งไม่อาจล่วงรู้ได้ว่า หากข้ามีความสัมพันธ์กับหยางเย่ถิงแล้วจะได้พัดพรายเพลิงมาสู่มือจริงตามถ้อยอักษรหรือไม่ ทุกสิ่งอย่างยังคงเป็นปริศนาและไม่อาจรู้แจ้งเหตุการณ์ภายภาคหน้า

หนทางออกมืดมนนัก ข้าจึงใช้การฝึกกระบวนวิชาพัดเสี้ยวจันทรากลบล้างความทุกข์ในใจ พอฝึกวิชาไปได้ชั่วระยะหนึ่ง เหลียงจินซึ่งข้ามิได้เห็นหน้านับแต่ถูกเกาทัณฑ์ชุบพิษจิ้งจอกเงินก็เดินเข้ามาทางปากถ้ำมังกรศักดิ์สิทธ์ พอข้าเห็นว่าเป็นเจ้าหนุ่มน้อยก็เข้าไปคว้าตัวมากอดไว้พร้อมกับถามอาการทั้งปวง

“ข้าน้อยหายบาดเจ็บเกือบเป็นปกติแล้วขอรับ บัดนี้หลงเหลือเพียงอาการปวดเมื่อยตามร่างกายเพียงเล็กน้อย อีกทั้งปากแผลก็สมานกันดี โทษทัณฑ์ความผิดหนนี้ข้าเหลียงจิน ปิงหวน และเป่าเหอ สมควรที่ประมุขจะต้องลงโทษให้หนักด้วยมิอาจคุ้มกันประมุขท่านให้พ้นภัย หนำซ้ำยังพลาดพลั้งไม่ทันความคิดเสียนหย่งเฉิง กระทั่งถูกพิษร้ายเช่นนี้” เหลียงไถจินคุกเข่ากำหมัดคารวะ ใบหน้ากล้าหาญน้อมรับโทษ ข้าเอ็นดูท่าทีเหลียงจินอยู่จึงแกล้งพูดเสียงแข็งว่า

“เช่นนั้นข้าจะเอาผิดเจ้าให้เล่าประวัติสถานที่เฉินชิงหลุน เหลียงจินเจ้ารอบรู้หมั่นเพียรอ่านหนังสือตำราอยู่เป็นนิตย์ จงว่ากล่าวให้ข้าฟังเป็นการแก้โทษเถิด”

เหลียงจินน้ำตาคลอแล้วพยักหน้ารับ กล่าวว่า

“เดิมทีเฉินชิงหลุนเป็นสำนักปรมาจารย์ฝ่ายคุณธรรมเลื่องลือมีชื่อเสียงขจรไกลมาช้านาน ตระกูลน้อยใหญ่ทั่วทั้งแผ่นดินต่างส่งลูกหลานเข้าฝึกฝนเป็นจำนวนมาก ทว่าสองตระกูลซึ่งโดดเด่นปรากฏฝีมือเหนือสกุลอื่นคือตระกูลหยวนและหยาง เหล่าปรมาจารย์ทั้งหลายในสาขาสรรพวิชาต่างๆพากันยกย่องเชิดชูเหล่าศิษย์สองตระกูลนี้ออกหน้าออกตา กระทั่งก่อความริษยาฝังใจเหล่าตระกูลเล็กๆไม่จางหาย ต่อมาบรรดาสกุลเล็กๆจึงทยอยงดส่งลูกหลานเข้าฝึกฝน หันไปสวามิภักดิ์ศรัทธาในสำนักมารร้ายชั่วช้า ไม่นานศิษย์สำนักพรรคมารจึงเพิ่มจำนวนขึ้นจนก่อความกำเริบเหิมเกริมคิดบุกทำลายเฉินชิงหลุนทวงคืนความอยุติธรรม เหล่าศิษย์ตระกูลหยางและหยวน อีกทั้งตระกูลเล็กๆที่มิได้มีจิตใจริษยาจึงช่วยกันออกรับต้านทานกองกำลังสำนักมาร
ช่วงเวลานั้นปรากฏนามชื่อศิษย์เอกสองบุรุษจากสองตระกูลขึ้นมา คือ หยางจ้าวหลาน และ หยวนอู่ชิง ทั้งสองคือศิษย์เอกลือชื่อ ณ ขณะนั้น ต่างครอบครองอาวุธทรงอานุภาพอันลือลั่นของสำนักไว้ ตามตำนานบันทึกว่า หยางจ้าวหลานครอบครองกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ส่วนหยวนอู่ชิงมีพัดวิเศษ ทั้งสองต่างใช้อาวุธของสำนักออกสู้รบเหล่าสำนักมารอย่างกล้าหาญ แต่อีกฝ่ายที่มีกำลังเหนือกว่าอีกทั้งใช้เล่ห์กลชั่วช้ามากมาย ทำให้ฝ่ายคุณธรรมต้องอ่อนกำลังลงกระทั่งศิษย์เอกเฉินชิงหลุนทั้งสองตัดสินใจใช้วิชาผนึกอาวุธวิเศษทั้งสองเข้าด้วยกันเพื่อซุกซ่อนเฉินชิงหลุนออกจากโลกภายนอก รวมถึงการเสียสละดวงวิญญาณของจ้าวหลานและอู่ชิงให้การผนึกเสร็จสิ้นสมบูรณ์”

เหลียงไถจินถ่ายทอดเรื่องราวของเฉินชิงหลุนพร้อมกับใบหน้าเศร้าหมอง ข้าได้แต่มองผ่านสถานที่เก็บอาวุธศักดิ์สิทธิ์ไว้อย่างสลดใจพอกัน ไม่นึกว่าเฉินชิงหลุนแห่งนี้มีประวัติความเป็นมาเกี่ยวข้องกับตระกูลของข้าอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ข้ามองเห็นพัดพรายเพลิง เพราะบรรพชนเมื่อเนิ่นนานได้มีชีวิตโลดแล่นฝึกวิชาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ทุกฝีก้าวนั่นเอง

“หลังจากเฉินชิงหลุนถูกลบออกจากโลกภายนอก เหล่าพรรคมารจึงพากันล่าถอยกลับไป คิดอาศัยช่วงเวลาฝ่ายคุณธรรมอ่อนแอเข้ายึดครองยุทธภพ เหล่าศิษย์ตระกูลหยวนมิอาจหลบซ่อนอยู่ในเฉินชิงหลุนโดยทำได้แต่เพียงเฝ้ามองแผ่นดินเดือดร้อนลุกเป็นไฟก็คิดละทิ้งเฉินชิงหลุนออกไปกู้แผ่นดิน แต่ฝ่ายตระกูลหยางเห็นต่างยึดเหตุผลว่าควรฟื้นฟูกำลังคนให้พร้อมมากกว่านี้ การอันเหล่าศิษย์ตระกูลหยวนบุ่มบ่ามออกไปเช่นนี้ไม่ต่างจากน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ศิษย์ตระกูลหยวนผิดใจกับตระกูลหยางเป็นครั้งแรก นับจากนั้นเฉินชิงหลุนจึงปราศจากศิษย์ตระกูลหยวนคอยพิทักษ์ เหลือเพียงคนตระกูลหยางเท่านั้น ข้าน้อยคิดว่าบัดนี้อาคมผนึกค่อยๆเสื่อมลงเป็นแน่แท้ เฉินชิงหลุนจึงปรากฏต่อสายตาคนนอกอีกครั้ง”

ข้าพยักหน้าเห็นด้วย แล้วกล่าวเสริมว่า

“นั่นคงเป็นเหตุผลให้เจิ้งอู๋จินส่งหยางกุ้ยเฟยเข้าไปสืบความเคลื่อนไหวในอวี้หงหยวน จากประกาศหาคู่ล้างคำสาปของข้าคงแพร่สะพัดไปทั่วแผ่นดิน เจิ้งอู๋จินคงคาดหวังว่าข้าจะเป็นคนตระกูลหยวนที่เคยเป็นศิษย์เฉินชิงหลุนหรือไม่นั่นเอง”

“คงไม่ผิดไปจากประมุขหยวนท่านวินิจฉัย ขอรับ” เหลียงจินตอบรับเห็นด้วย ก่อนลุกขึ้นยืน “ข้าน้อยได้ยินจากปากปิงหวนและเป่าเหอว่า เจิ้งอู๋จินมาเจรจาความกับประมุขท่านเรื่องสำคัญยิ่งสองประการ นอกจากใช้คุณชายรองหยางช่วยบำบัดธาตุในกายแล้วยังหวังจะผนึกท่านทั้งสองเกี่ยวดองกันอีกครั้ง ใช่หรือไม่ ขอรับ”

“เจ้าเข้าใจถูกแล้ว ชั้นแรกข้าคิดปฏิเสธ แต่เมื่อได้ฟังเรื่องราวความเป็นมาแต่หนหลัง อีกทั้งเวลานี้พรรคมารโคมแดงเถลิงอำนาจขึ้นมาอีกครั้ง พรรคเสี้ยวจันทราเพียงฝ่ายเดียวไหนเลยจะต้านทานหมู่คนชั่วช้าได้ ข้าเคยลั่นวาจาว่าจะไม่ร่วมมือกับพรรคคมเบญจมาศปราบภัยพาล แต่เวลานี้หนทางมืดมนนัก อีกฝ่ายมีกำลังเพิ่มขึ้น ข้าเองก็ต้องยาพิษบาดเจ็บ รวมทั้งต้องมาสูญเสียอาวุธสำคัญประจำตระกูลซ้ำอีก ไมตรีซึ่งเจิ้งอู๋จินหมายใจผสานรอยร้าวของสองตระกูลนั้นข้าเห็นว่ามีคุณมากกว่าโทษ เขาคงสืบรู้มาแล้วว่าตระกูลหยวนแห่งอวี้หงหยวนนั้นเก่าแก่มากพอที่จะเชื่อได้ว่าสืบเชื้อสายมาจากเหล่าศิษย์ตระกูลหยวนแห่งเฉินชิงหลุน”

“แต่ประมุขท่านโดยเนื้อแท้แล้วมิใช่หยวนอวี้ฟ่านนะ ขอรับ” เหลียงไถจินชี้จุดสำคัญของเรื่องราวหนนี้ได้ถูกต้องทีเดียว

“นั่นแหละปัญหาสำคัญ ข้าคือหยวนหลงซาน บุตรชายผู้เดียวของหยวนเหวินหยวนอดีตประมุขพรรคและนางหยวนเกาเถียน หามีน้องสาวไม่ หรือสวรรค์ได้ลิขิตมาแล้วว่าหยางและหยวนมิอาจรวมใจเป็นหนึ่งได้ชั่วกาลนาน”

“อภัยเถิด ขอรับ ประมุขหยวนฟง หากแต่ข้าน้อยคิดเห็นต่าง สวรรค์นั่นแหละได้ลิขิตไว้แล้วให้ท่านต้องคำสาปเป็นชายสลับหญิงเช่นนี้เพื่อทำให้หยางและหยวนรวมใจเป็นหนึ่ง”

ข้ารู้สึกร้อนที่หน้าผ่าวๆชอบกล ก่อนจะรีบปฏิเสธเฉไฉว่า

“อันที่จริง หยางและหยวนรวมใจเป็นหนึ่งอาจมิใช่หมายถึงข้ากับหยางเย่ถิง ทว่าอาจเป็นข้ากับหยางกุ้ยเฟยต่างหากเล่า”

เหลียงไถจินทำเพียงแค่ขมวดคิ้วแล้วสั่นหน้าเล็กน้อยอยู่เบื้องหลังประมุขพรรคเสี้ยวจันทรา
   
   
********************************

พูดคุย

ต้องมีฉากอัศจรรย์เป็นแน่แท้ อิอิ
รอลุ้นฮะ อิอิ

:z1:

 :L2: :pig4: :L2:
ขอบคุณขอรับ

ยังไงละๆ
มาแล้วๆ

ติดตามค่าาาา
ดีใจที่คุณติดตามขอรับ




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-12-2019 15:24:19 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ 11
   


เงาในกระจกสะท้อนภาพหญิงงาม ใบหน้าซึ่งหลงซานพลันตื่นตะลึงหนแรกเมื่อต้องคำสาปชายสลับหญิง ใบหน้าสตรีนางนี้เป็นภาพหลอนฝันร้ายสำหรับข้ามาโดยตลอด ความต้องการทอดทิ้งนางพ้นจากเงาในกระจก ไม่ว่าด้วยวิถีทางใดข้าสู้ทำตามทุกคำชี้แนะ กระทั่งหนทางสำเร็จอยู่ใกล้เพียงเอื้อมถึง ชายผู้มีดวงชะตาราศีมังกรตกฟากยามเฉินเวลาเดียวกับข้าถือกำเนิด คนผู้นั้นจะล้างคำสาปและพาหญิงนางนี้จากไปตลอดกาล

ข้าคิดถูกแล้วใช่หรือไม่

อนึ่งหากจำไม่ผิดหยางซุนกวาน คุณชายใหญ่แห่งเทียนซานหรือมิใช่ที่มีคุณสมบัติตรงตามอย่างนักพรตผู้ชี้แนะว่ากล่าวไว้ บางทีข้าควรออกปากกับเจิ้งอู๋จินว่าประสงค์ซุนกวานมากกว่าเย่ถิง ในเมื่อจะต้องเสียตัวแล้วก็ไยมิอาศัยสู้ถอนคำสาปในคราวเดียวกัน
หรือหยางกุ้ยเฟยจะเป็นตัวเลือกเหมาะสมในการผูกสองตระกูลเข้าด้วยกันเพื่อรวมใจเป็นหนึ่ง ด้วยเนื้อแท้ตัวตนข้าหาใช่อวี้ฟ่านไม่ เป็นแต่ร่างปลอมนามปลอมต้องคำสาปเท่านั้น
 
“ธาตุในกายประมุขท่านยามนี้ผิดประหลาดนัก”

คำปิงหวนพาข้าหลุดห้วงภวังค์ หลังจากใช้นิ้วตรวจชีพจรหยวนฟงประมุขพรรคเสี้ยวจันทรา

หลงซานถามกลับ “เจ้าหมายความประการใด”

“เรียนประมุข เดิมทีธาตุในกายท่านทั้งสี่จะสมดุลยามกลับคืนเป็นชาย ครั้นท่านคืนร่างสตรีกลับพบว่ายังปรากฏธาตุน้ำมากอยู่เช่นเดิมดุจเดียวกับเหลียงจิน ไม่ต่างจากตอนเจิ้งอู๋จินเข้าตรวจสอบ คำข้าน้อยกล่าวว่าผิดประหลาดจึงเป็นมาเช่นนี้ เห็นทีคงไม่พ้นต้องปฏิบัติตามคำที่ปรึกษาพรรคคมเบญจมาศชี้แนะขอรับ”

หลี่ปิงหวนทิ้งท้ายได้ยียวนอารมณ์นัก ข้าชักมือกลับแล้วลุกขึ้น ประจวบกับเหลียงจินและเป่าเหอผลักบานประตูหอเปลื้องอาภรณ์เข้ามาพร้อมตะกร้าบรรจุอาหาร

“พร้อมแล้วขอรับ” เหลียงจินรายงานหน้าตาแจ่มใส ดูกระตือรือร้นยิ่งนัก

เหตุว่าข้าออกคำสั่งให้เจ้าหนุ่มไปจัดเตรียมอาหารเพื่อจะได้เป็นเสบียงนำส่งให้หยางเย่ถิง ทั้งนี้ข้านัดแนะหัวหน้าสีฝูเหยาส่งข่าวคราวภายนอกต่อกันในราตรีนี้จึงคิดข้ออ้างส่งเสบียงขึ้นมา อีกทั้งยังเป็นการแสดงน้ำใจตอบแทนในการที่พรรคคมเบญจมาศเข้าช่วยเหลือและรักษาข้าจนเกือบหายดีอีกวิธีหนึ่ง

“ดูเจ้าจะชอบพอบรรดาคนพรรคคมเบญจมาศนะ เหลียงจิน จึงได้แสดงท่าทีหน้าชื่นแจ่มใส” ข้าอดเย้ามิได้ นั่นเรียกเสียงหัวเราะสตรีจากปิงหวนและเป่าเหอมาสองเสียง

ปิงหวนรีบเร่งซ้ำว่า “เห็นจะเป็นเพราะเหลียงจินของเราจะได้พบหัวหน้าเสินหวู่เป็นแน่จึงมีอาการเช่นนี้”

พอหลี่ปิงหวนยกนามเสินหวู่ หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนพรรคคมเบญจมาศขึ้นมา ใบหน้าเหลียงจินแต่เดิมเบิกบานก็ระงับไว้แล้วนิ่งอยู่

หัวหน้าเสินหวู่ผู้นี้คือหนึ่งในกลุ่มคนที่เข้าช่วยเหลือพวกเราพ้นจากคมเกาทัณฑ์ของสำนักศาลยุติธรรม เสินหวู่คว้าตัวเหลียงจินไว้ในช่วงเวลาเป็นตาย อีกทั้งเฝ้าคอยติดตามอาการเหลียงจินทุกชั่วยาม หวังเป่าเหอเล่าให้ข้าฟังว่า เสินหวู่นี้ไม่ต่างจากสามีปฏิบัติดูแลภรรยาในยามเจ็บป่วยทุกประการ ข้าไม่แปลกใจหากหัวหน้าเสินจะชอบพอเหลียงจินในร่างหญิง ทั้งรูปโฉมความงาม แม้นยามทำงานอยู่ในอวี้หงหยวน เหลียงจินก็เป็นดาวเด่นเช่นเดียวกับปิงหวน การแสดงรำพัดจีนล่อหลอกบรรดาแขกให้มาติดตามการแสดงของเหลียงจินทุกค่ำคืน

ครั้นเจิ้งอู๋จินว่ากล่าวทาบทามข้าให้เป็นสะใภ้รองตระกูลหยางแล้วยังทิ้งท้ายอีกว่า หัวหน้าเสินหวู่ยินดีจะเป็นผู้ปรับหยินหยางให้แก่เหลียงจิน ทั้งนี้วานข้าให้ว่ากล่าวกับสาวรับใช้คนสนิทด้วยว่าอย่าได้ปฏิเสธ เสินหวู่ครองตัวโสด มิได้รังเกียจในการอันเหลียงจินเป็นนางคณิกาและยินดีจะยกนางเป็นฮูหยินเช่นเดียวกัน

พอข้ากล่าวเรื่องนี้กับเหลียงจิน เจ้าหนุ่มทำได้แต่หน้านิ่งเฉย ตอบว่า “แล้วแต่ประมุขหยวนเห็นสมควรขอรับ”

ถึงแม้เหลียงจินจะมิต้องกังวลการปรับธาตุในร่างกายดุจเดียวกับข้า ยามสลับร่างชายกลายเป็นหญิง ธาตุทั้งสี่ก็จะหวนคืนสมดุลเช่นทุกคราวครั้ง แต่ทว่าจู่ๆธาตุน้ำซึ่งควรลดลงกลับยังมีมากอยู่คงเดิม ไม่แน่น้ำในสระเสี้ยวเบญจมาศนี้มีพลังวิเศษเกินกว่าใช้หลักการเดิมแก้ไขได้
   

ป้อมประตูปราการของเฉินชิงหลุนสร้างด้วยศิลาขนาบข้างด้วยหุบเขาสูงชันทั้งสี่ทิศ โดยมีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นหนาแน่นอำพรางไว้แน่นหนา ก่อนหน้านี้ยามอาคมผนึกยังไม่เสื่อมลงคงซุกซ่อนจากสายตาผู้คนภายนอกได้เหมาะสมนัก ปิงหวนบอกว่าหยางเย่ถิงสั่งการแบ่งกำลังผู้คนเป็นสี่ฝ่ายประจำอยู่ทั้งสี่ประตู ทิศเหนือมอบให้เจิ้งอู๋จิน ทิศตะวันตกเสินหวู่บัญชาการ ทิศตะวันออกเป็นหน้าที่ของเหลียวฟาง หนึ่งในยอดฝีมือผู้คว้าปิงหวนออกจากสำนักพิสูจน์อักษร ส่วนทิศใต้นั้นเป็นหน้าที่ของคุณชายรองตระกูลหยาง ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางในการส่งเสบียงหนนี้

เมื่อข้าย่างก้าวออกจากอาณาเขตสระเสี้ยวเบญจมาศจึงเห็นว่า อาณาบริเวณโดยรอบปรากฏเรือนพักใหญ่น้อยมากมายไม่ต่างจากเมืองน้อยๆเมืองหนึ่ง สำนักเฉินชิงหลุนในอดีตคงพลุกพล่านด้วยศิษย์จากหลากหลายตระกูล เสียงฝึกวิชาคงดังสะท้อนทั่วหุบเขาทั้งกลางวันและกลางคืนเป็นแน่

พอแสงคบไฟประจำป้อมค่ายตกกระทบหมู่หญิงคณิกาทั้งสี่แห่งอวี้หงหยวน บรรดายอดฝีมือซึ่งต่างพักเอาแรงและกำลังแต่งโต๊ะกินอาหารก็พากันลุกยืนส่งเสียงฮือฮา ข้าทำได้แค่โปรยยิ้มบางเบาแล้วก้มหน้า มือหนึ่งถือตระกร้าอาหาร สายตาเสาะหาหยางเย่ถิง ปิงหวนกระซิบว่านัดแนะกับหัวหน้าสีส่งสารเวลาต้นยามซวี*  สีฝูเหยาจะยิงลูกเกาทัณฑ์ผูกหนังสือเข้ามา

ครั้นเสียงบรรดาชายหนุ่มกระซิบกระซาบสะท้อนไปถึงหูผู้บัญชาการประตูทิศใต้ หยางเย่ถิงจึงจำเป็นต้องวางมือจากแผนการรบ ออกมาพบต้นเหตุทั้งปวง

“คุณชายหยางเยวี่ยน”

ข้าร้องทักอีกฝ่ายทันทีเมื่อเห็นหน้า หยางเย่ถิงทำหน้าฉงน กวาดสายตามองข้าและพวกอย่างกับเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาด เขาพูดแค่ว่า

“เข้ามา”

เหลียงจิน ปิงหวน เป่าเหอต่างรู้หน้าที่ตนเองดีก็มิได้ติดตามข้าไปในที่พำนัก ต่างนำตะกร้าอาหารทั้งนั้นแจกจ่ายบรรดายอดฝีมือพรรคคมเบญจมาศซึ่งแวดล้อมอยู่ภายนอก

ข้าจัดแจงแต่งโต๊ะวางอาหารลงบนภาชนะ โดยที่หยางเย่ถิงแทบไม่สนใจข้า เอาแต่จดจ้องแผนที่ผืนใหญ่ ภายในปรากฏมีหยางกุ้ยเฟยรวมถึงหัวหน้าต่างๆคอยฟังอยู่ พอเห็นว่าข้าเข้ามาประดาคนทั้งนั้นต่างแสดงกิริยาคำนับ หลังจากหยางเย่ถิงสั่งความต่างๆเสร็จสิ้นแล้วก็พากันออกไป หยางกุ้ยเฟยชั้นแรกเมื่อเห็นว่าเป็นข้าก็เร่งฝีเท้าเข้าหา คำนับข้าแล้วช่วยจัดแจงแต่งสำรับอาหาร นางกล่าวเป็นทีขอโทษว่า

“อภัยให้ข้าด้วยเถิด พี่อวี้ฟ่าน ท่านคงทราบความผิดทั้งปวงของข้าพเจ้าแล้วที่ลักลอบไปสืบฐานะตระกูลหยวนแห่งอวี้หงหยวนโดยปิดบังอำพรางพี่ชายท่าน ความผิดหนนี้ข้าพเจ้าจะขอใช้ฝีมือตอบแทนให้เต็มกำลังในภายหลัง มิทราบท่านจะคิดโกรธเคืองข้าพเจ้ามากน้อยสักเท่าใด”

หากข้าอยู่ในร่างหยวนหลงซานคงจะว่ากล่าวให้นางรู้คิด รู้สำนึกถูกผิดเป็นแน่ ทว่านางเห็นว่าข้าเป็นหยวนอวี้ฟ่านผู้น้อง ข้าจึงทำได้แต่ปลอบประโลมว่า หลงซานคงมิถือโทษโกรธเคืองมากไปกว่าตน ซ้ำเห็นใจเอ็นดูสู้ทำตามภาระหน้าที่ ตั้งใจจะผสานรอยร้าวในอดีตของตระกูลหยางและหยวน ข้าจึงกล่าวชมเชยนางที่แม้เป็นสตรีแต่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวรับอาสาไปทำการเสี่ยงอันตรายถึงเพียงนั้น และสำทับคำท้ายไว้ว่า หลงซานพี่ท่านคงจะนับถือในความกล้าของนางมากกว่าจะคิดเคืองโกรธ

เมื่อหยางกุ้ยเฟยมีจิตใจผ่องใสขึ้นแล้วก็ดีใจเป็นที่สุด กระโดดกอดหน้ากอดหลังข้าพัลวัน

“กุ้ยเฟย เจ้าจงสำรวมกิริยา” หยางเย่ถิงตำหนิท่าทีน้องสาวเสียงเข้ม

หยางกุ้ยเฟยยกสุราขึ้นดื่มท้าทายอำนาจมืดของพี่รองแล้วหัวเราะ

“ข้าขอยกสุราเทียนจื่อซานดื่มคารวะพี่รองและว่าที่พี่สะใภ้ตามธรรมเนียมปฏิบัติ”

คุณหนูหยางแห่งเทียนซานผู้นี้มีอุปนิสัยเริงร่า หนำซ้ำคลุกคลีอยูด้วยพี่ๆซึ่งเป็นชายด้วยแล้วจึงไม่หลงเหลือท่าทีเนียมอายอย่างสตรีทั่วไป

เย่ถิงเหลือบมองข้าชั่วขณะแต่มิได้ว่ากล่าวประการใด คุณชายรองหยางคงรู้ตัวแล้วว่านอกจากตนเองต้องใช้ตัวบำบัดธาตุในกายข้าแล้วจะต้องตบแต่งข้าเข้าสกุลหยางเป็นฮูหยินอีก เจ้านั่นมิได้มีสีหน้ารังเกียจนอกจากเฉยชาเป็นปกติ ข้าได้แต่นึกขำในใจ ในเมื่ออีกฝ่ายมิได้ทุกข์ร้อนในการรับหญิงปลอมเช่นข้าเป็นภรรยา ข้าก็หาจำเป็นต้องตีโพยตีพายไม่ รังแต่จะตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในหมากล้อมเกมนี้เสียเอง

“ขอบใจคุณหนูกุ้ยเฟย ข้าพเจ้าไม่มีสิ่งใดตอบแทนบุญคุณพรรคคมเบญจมาศ นอกจากร่างกายตัวเองเท่าใด”

ข้าเห็นคิ้วขวาของหยางเยวี่ยนกระตุกไม่ชอบใจ นั่นเรียกรอยยิ้มข้าให้ฉีกกว้างมากกว่าเดิม กุ้ยเฟยแลเห็นสีหน้าพี่รองแล้วได้แต่ยิ้มแห้งก่อนจะขอตัวออกไปปฏิบัติตามคำสั่ง เมื่ออยู่สองต่อสองข้าจึงเชื้อเชิญให้หยางเย่ถิงกินโต๊ะ แต่อีกฝ่ายได้แต่นั่งหลังตรงแน่วมิได้หยิบตะเกียบคีบอาหารแม้แต่น้อย

ครั้นหลงซานได้เห็นเช่นนั้นก็ไม่คิดเซ้าซี้ปรนนิบัติ เลี่ยงไปยังโต๊ะใหญ่ซึ่งกางแผนที่เฉินชิงหลุนไว้ แผนการซึ่งข้ากำชับหัวหน้าสีฝูเหยาให้โจมตีหนักตอนกลางวันและผ่อนปรนกำลังพักผ่อนในตอนกลางคืนนั้นสมใจข้าทุกประการ ยามนี้ต่างฝ่ายจึงได้พักเอาเรี่ยวแรง หยางเย่ถิงเดินถือกระบี่เอามือไพล่หลังเดินมาอยู่คู่เคียงข้า พร้อมกับกล่าววาจาว่า

“ไยเจ้าจึงดำเนินมาที่นี้ ไม่เหมาะสม”

พอปลอดคนก็ได้ทีตำหนิข้าทันควัน ข้าทำเป็นหูทวนลม ยังมิถึงกำหนดนัดหมายส่งสารก็จำต้องทนอยู่ต่อไปแล้วว่า

“ข้าพเจ้าเห็นว่าคุณชายรองท่านตรากตรำกรำศึกมาทั้งวัน อีกทั้งระยะรักษาตัวในสระเสี้ยวเบญจมาศถูกยืดช่วงเวลาออกไปเป็นหนึ่งชั่วยามเช่นนี้ ข้าพเจ้ามิใช่คนไม่รู้คุณคน สิ่งใดซึ่งสามารถกระทำตอบแทนได้แล้วจะนิ่งเฉยอยู่สุขสบายนั้นทำมิได้ จึงชักชวนสาวใช้ถืออาหารมาส่งท่านและไพร่พล”

“ไม่จำเป็น”

ข้าเกียจคร้านจะต่อปากต่อคำ จึงหันเหความสนใจไปยังหุ่นไม้บนแผนที่ซึ่งหยางเย่ถิงวางกำหนดไว้ให้เหล่าหัวหน้าต่างๆกุมกำลังไปรักษาการ นอกจากประตูทั้งสี่แล้วยังปรากฏมีกองกำลังด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ข้าสงสัยจึงชี้แล้วถามเย่ถิงว่าบริเวณนั้นอยู่ในจุดที่จำเป็นต้องสั่งคนซึ่งเดิมทีมีน้อยอยู่แล้วเข้าไปประจำการเชียวหรือ

หยางเย่ถิงมิได้ตอบข้าในทันที ทว่าเอาแต่จดจ้องมองข้าราวกับไม่เคยเห็นข้าใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อน ความมั่นใจในความงามของสตรีซึ่งข้าคิดว่าไม่เป็นสองรองหญิงใดในใต้หล้า ก่อให้ฉุกคิดได้ว่าหรือข้าลงแป้งทาชาดมากเกินพอจึงก่อให้หยางเยวี่ยนเอาแต่จดจ้องไม่วางตา ครั้นจะหากระจกภายในที่ประชุมกำลังพลก็ไม่พบ หรือจะเรียกให้เหลียงจินซึ่งอยู่ภายนอกนำคันฉ่องเข้ามา

“บริเวณนั้นเป็นพื้นที่โล่งเชิงผาลักษณะประกอบด้วยลานหญ้ากว้าง แม้นอยู่สูงเหนือพื้นดินมาก แต่ก็เป็นช่องเปิดกว้างผิดต่างจากด้านอื่นซึ่งมีแนวภูเขาสูงชันกำบัง หากศัตรูมีวรยุทธดุจเดียวกับเจ้าและข้าแล้ว ย่อมจะทะลวงผ่านมาได้ไม่ต่างจากเปิดประตูให้ข้าศึกเข้าโดยง่าย”

ข้าพยักหน้าเข้าใจ หากเป็นพวกพรรคมารโคมแดงตัวจริงแล้วป่านนี้คงบุกเข้าเฉินชิงหลุนได้ง่ายดายโดยผ่านช่องทางจุดอ่อนแห่งนั้นเป็นแน่

“ขอเรียนถามคุณชายรอง ก่อนข้าพเจ้าเข้ามาพบท่าน สังเกตเห็นว่ามียอดฝีมือพรรคคมเบญจมาศทางประตูทิศใต้นี้คะเนด้วยสายตาคงไม่เกินหนึ่งร้อยคน ไม่ทราบว่ากำลังพลซึ่งป้องกันเฉินชิงหลุนมีทั้งหมดเท่าใดหรือเจ้าคะ”

เย่ถิงตอบ “ห้าร้อยคน”

“ขอเดาว่าคุณชายรองคงกะเกณฑ์กำลังไปยังจุดต่างๆแห่งที่ละหนึ่งร้อยใช่หรือไม่”

หยางเย่ถิงมองหน้าข้าอยู่นานจนข้าเริ่มขาดความมั่นใจในการแต่งหน้าของตัวเพิ่มขึ้น กระทั่งอีกฝ่ายละสายตาก้มมองแผนที่ ยอมรับว่าจริงดังคำข้า

“มาตรว่าข้าพเจ้าเป็นผู้บัญชาการจะแบ่งสรรกำลังพลไปยังจุดลานหน้าผาโล่งจำนวนสามร้อยคน ส่วนป้อมประตูทั้งสี่ทิศมีเพียงแค่ห้าสิบก็เหลือกำลังเกินพอ” ข้าออกความเห็นตรงไปตรงมา

หยางเย่ถิงถามกลับโดยเร็วว่า “ไยเจ้าจึงคิดเห็นเช่นนั้น”

“ประการหนึ่งจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเฉินชิงหลุนแห่งนี้มีช่องเขาทางเข้าทั้งสี่ด้าน กั้นขวางด้วยป้อมปราการประตูสูงใหญ่ หากศัตรูจะบุกเข้ามาทางประตูใดจำจะต้องเดินทางมาตามช่องเขาซึ่งแคบและอันตรายกว่ายี่สิบเส้น อาจถูกกับดักซุกซ่อนไว้ตามหนทางได้ทุกเมื่อ เช่นนั้นประตูทั้งสี่จึงแน่นหนามั่นคงอยู่แล้วตามภูมิศาสตร์ ประการสองจุดอ่อนสำคัญคือลานโล่งเชิงหน้าผาทิศตะวันออกเฉียงเหนือนั้นต่างหากเล่า ควรจะแบ่งกำลังออกป้องกันจุดแห่งนั้นไว้ให้มาก และหัวหน้าผู้บัญชาการต้องมีฝีมือชั้นยอด อภัยเถิด ในบรรดายอดฝีมือพรรคคมเบญจมาศนี้ข้าพเจ้าไม่เห็นใครอื่นได้นอกจากคุณชายรองท่านจะต้องเป็นผู้คุมกำลังคน ณ จุดแห่งนั้นด้วยตนเอง”

ไม่รู้ว่าเพราะแสงไฟวูบไหวหรืออย่างไร ข้าจึงเห็นมุมปากของหยางเย่ถิงยกขึ้นคล้ายกับยิ้มพึงพอใจชั่วขณะหนึ่ง พอข้ารู้ตัวว่าพูดมากเกินไปแล้วก็ได้แต่จับหุ่นม้าไม้ยกขึ้นราวกับกำลังพิจารณาฝีมือช่างผู้แกะสลัก จู่ๆ หยางเย่ถิงก็เอื้อมมือตัวเองมาจับมือข้าแล้วปลดม้าไม้ออกไป พร้อมพูดเหมือนกับกำลังสาธยายเรื่องดินฟ้าอากาศ

“คุณสมบัติสตรีที่มารดาของข้าพึงพอใจ มิใช่มีกิริยาเรียบร้อยมากด้วยมารยาท รอบรู้งานบ้านงานเรือนเท่านั้น แต่ต้องมากด้วยสติปัญญา มีวิชาความรู้ประดับตัว มารดาข้าเคยกล่าวว่าไว้ หากสตรีใดมีแต่ความงามเพียงเปลือกนอกจงอย่านำตัวมาสู่สำนักเขาเทียนซานให้เสียเวลา”

หยางเย่ถิงกำลังกวาดกองกำลังทหารม้าทั้งหมดขึ้นไปยังจุดลานหน้าผาตามคำข้ากล่าวทุกประการแล้วพูดทิ้งท้ายว่า

“เจิ้งอู๋จินส่งหนังสือกลับไปยังสำนักคมเบญจมาศแห่งเขาเทียนซานเพื่อแจ้งกำหนดการแต่งงานระหว่างเจ้ากับข้าในอีกสามวันนับจากนี้ บิดาข้าคงต้องมาร่วมงานเป็นแน่แท้ ในเมื่อเจ้าแต่งโต๊ะเรียบร้อยแล้วจงกลับไปเถิด หากถึงเวลาต้องลงสระรักษาตัวจะได้ไม่รีบร้อน”      



*ยามซวี : คือ 19.00 – 20.59 น.


************************************

พูดคุย

:pig4:
 o13
ขอบคุณครับ

:3123: :pig4: :3123:
ขอบคุณขอรับ ^^

:hao7:
:pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-12-2019 13:49:41 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
รักนายเอกแล้ว?  เร็วจัง5555

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ 12



ไฉนพักนี้ข้าจึงมักหูฝาดดวงตาเลอะเลือนบ่อยนัก คำหยางเย่ถิงพูดประหนึ่งขอญาติดีต่อกันฉันมิตร วันก่อนยังวางท่าด่าทอข้าว่าไร้ยางอายอยู่เลย หรือข้าแสดงปัญญาคิดป้องกันเฉินชิงหลุนเพียงเล็กน้อยก็ต้องตาต้องใจเจ้าคุณชายรองเสียแล้วหรือ ช่างเป็นบุรุษหัวอ่อนไม่ทันเล่ห์กลเอาเสียเลย สมแล้วที่มิเคยท่องเที่ยวกลางคืนแม้กระทั่งหอคณิกา

“แต่จงรู้ไว้ด้วยว่า ข้ามิได้ปรารถนารักใคร่ในตัวเจ้า ทุกสิ่งอย่างข้าอาสาทำเพื่อพรรคคมเบญจมาศผสานรอยร้าวของสองตระกูลในอดีต อีกทั้งเพื่อพิทักษ์เขตอาคมของเฉินชิงหลุน”

ยังไม่ทันขาดคำ หยางเย่ถิงก็แสดงเจตนาเป็นอริชัดเจนดังเดิม

ข้าเองก็มิได้อยากแต่งงานกับเจ้าเช่นเดียวกัน หากไม่...

“ข้าพเจ้ายังมิได้ออกปากกับเจิ้งอู๋จินสักคำหนึ่งว่าจะแต่งงานกับคุณชายรองท่าน เพียงแต่ขอเวลาคิดสักระยะหนึ่ง อีกทั้งฝ่ายข้าพเจ้าเป็นหญิงมีญาติผู้ใหญ่ต้องรับรู้ การจะออกเรือนได้นอกจากคำตกลงปลงใจจากข้าพเจ้าแล้วนั้น มิพ้นนางหยวนเกาเถียนมารดาข้าพเจ้าเป็นผู้ตัดสินใจ บัดนี้คุณชายรองแจ้งกำหนดส่งตัวในอีกสามวันเบื้องหน้า หากมารดาข้าพเจ้ามิตอบหนังสือกลับมาว่าเห็นชอบทันเวลา ท่านมิเป็นเจ้าบ่าวไร้เจ้าสาวหรือ”

คิ้วขวาของหยางเย่ถิงกระตุกอีกครั้ง

“พูดเล่นลิ้น ไร้สาระ”

ไร้สาระประโยชน์อันใดเล่า คำข้าทุกคำมีสาระครบถ้วนต่างหาก เว้นแต่เจ้ามีจิตใจชิงชังข้าเป็นการส่วนตัวอยู่แล้วต่างหากจึงกล่าวหาคำพูดข้าว่าปลิ้นปล้อน

“ข้าพเจ้ารับคำเฉพาะให้คุณชายรองช่วยบำบัดธาตุในกาย แต่มิได้ปลงใจข้องานมงคลอื่น เช่นนี้จะกล่าวหาข้าพเจ้าว่าพูดจาไร้สาระได้อย่างใดเจ้าคะ”

หยางเยวี่ยนจนแต้มก็ได้แต่ยืนทำหน้าไม่พอใจ ข้าจึงพูดถนอมหน้าอีกฝ่ายไว้ว่า

“ม้าใช้ส่งข่าวเพิ่งออกไปเมื่อวานก่อน ป่านนี้มารดาข้าพเจ้าคงได้รับหนังสือแล้ว คุณชายรองอย่าเพิ่งหน้าซีดใจร้อนว่าจะเป็นเจ้าบ่าวไร้คู่ สิทธิ์ขาดทั้งปวงข้าพเจ้ายกให้แก่มารดาเป็นผู้ตัดสิน หากไม่เกิดงานแต่งงานคุณชายรองท่านอย่าได้คิดโกรธเคืองข้าพเจ้าสืบไป”

ดูเหมือนหยางเยวี่ยนจะมิได้คำนึงถึงในข้อนี้ คงเฝ้าคิดแต่ผสานรอยร้าวของสองตระกูลเพื่อผนึกอาคมแห่งเฉินชิงหลุน โดยหลงลืมว่าหากข้าและมารดามิได้ยินยอมตามแล้วจะเป็นประการใด

นางหยวนเกาเถียนเป็นสตรีหัวโบราณ แข็งนอกอ่อนใน คนผู้รับใช้ใกล้ชิดย่อมรับรู้ในอุปนิสัยนี้ดี หยวนเกาเถียนในอดีตเป็นบุตรสาวจากตระกูลขุนนาง ยามบิดาข้าออกปราบปรามคนชั่วคราวหนึ่งปรากฏมีกลุ่มโจรพันหน้า เที่ยวออกปล้นฆ่าเศรษฐีและข้าราชสำนักไม่เว้นแต่ละเว้น กระทั่งทางการมิอาจติดตามจับตัวได้ หยวนเหวินหยวนมิอาจนิ่งเฉยดูดาย อีกทั้งเป็นหน้าที่ของพรรคเสี้ยวจันทราต้องพิทักษ์รักษาบ้านเมืองให้สงบสุข จึงออกติดตามสืบหาตัวกลุ่มโจรพันหน้า สุดท้ายคิดอาศัยครอบครัวมารดาของข้าเป็นเหยื่อล่อ โดยบิดาวางอุบายปลอมตัวเป็นหญิงรับใช้ อาศัยความมืดปิดบังอำพรางร่างกายอันมิได้สัดส่วนหญิง แฝงยอดฝีมือทั้งหลายไว้ในเรือนของคหบดีแทนสาวรับใช้ตัวจริง

ยามกลุ่มโจรพันหน้าบุกชิงทรัพย์สมบัติจึงพลาดพลั้งถูกกับดักจับตัวนำสู่ห้องขังเป็นจำนวนมาก มารดาข้าพึงใจในฝีมือและความรูปงามของหยวนเหวินหยวน อีกทั้งฝ่ายผู้ใหญ่ทั้งสองต่างเห็นชอบในความพอใจกันของสองหนุ่มสาว จึงตกลงปลงใจในการสู่ขอ

หลังจากนั้นไม่นานข้าจึงถือกำเนิดขึ้นมา ฉะนั้นเรื่องในครอบครัวสิทธิ์ขาดทั้งปวงล้วนอยู่ในกำมือมารดาข้า ส่วนอำนาจภายในพรรคเสี้ยวจันทราเป็นสิ่งซึ่งนางจะไม่แตะต้องเป็นอันขาด ตามข้อตกลงซึ่งต่อมาท่านทราบฐานะของท่านพ่อในภายหลัง นางเกาเถียนเคยกล่าวอบรมไว้ไม่ต่างจากมารดาของหยางเย่ถิงข้อพึงใจหญิงที่จะมาเป็นลูกสะใภ้

เหตุข้าต้องคำสาปมารดาก็ทราบสิ้นแต่มิได้ว่ากล่าวสิ่งใด หนังสืออันข้าส่งกลับไปนอกจากไร้คำขออนุญาตแล้ว เนื้อความส่วนใหญ่ฝากฝังอวี้หงหยวนให้ท่านดูแลสักชั่วระยะนึงก่อน เนื่องจากมีงานสำคัญต้องกระทำนอกนครฉางอัน ดังนั้นจะเฝ้ารอหนังสือตอบกลับมาในสามวันนั้นอย่าคาดหวัง เรื่องข้าจะแต่งงานกับผู้ชายด้วยกันชาตินี้ให้ท่านทราบมิได้เป็นอันขาด

ข้าจำเป็นจะต้องเล่นละครตบตาครั้งใหญ่ในอีกสามวันเบื้องหน้า เพื่อพัดพรายเพลิงและผนึกอาคมเฉินชิงหลุน หยางเย่ถิงเจ้าอย่าได้แค้นเคืองข้าก็แล้วกัน

จู่ๆข้าก็บังเกิดเวียนศีรษะ ครั้นรุนแรงขึ้นจึงเกาะเอาขอบโต๊ะวางแผนที่ไว้ยึดเหนี่ยว หยางเย่ถิงเห็นท่าทีข้าเดิมทีปกติอยู่ต่อมาเซซวนเช่นนั้นก็จับมือข้าไว้ อีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงเหงื่อใต้ฝ่ามือข้า

หยางเยวี่ยนซักความคาดคั้น “เจ้ามีอาการเช่นนี้มานานเท่าใด”

“นับแต่เมื่อเช้า”

คุณชายรองหยางใช้วิชาสะกดธาตุลงใต้ท้องแขนข้ารวดเร็ว พลางบ่นราวกับคนแก่ว่า “ไยจึงมิส่งคนมาแจ้งข้า”

นางคณิกาปลอมชักสีหน้าแล้วแสร้งหัวเราะ “ไฉนข้าพเจ้าจะต้องรายงานคุณชายรองท่านเล่า เราสองคนมิได้มีจิตพิศวาสต่อกัน ข้าพเจ้าจะมีอาการหน้าซีดตัวสั่นประการใด คุณชายท่านไม่จำเป็นต้องรับรู้”

“พูดเพ้อเจ้อ” คำแต่ละคำที่กล่าวออกมา ชาตินี้ทั้งชาติเราสองคนคงไม่อาจญาติดีกันได้

ข้าสะบัดมือออกจากหยางเยวี่ยนแล้วหุนหันจะออกไป ไม่คิดว่าเย่ถิงจะคว้าตัวข้าไว้รวดเร็ว กายสตรีนี้บอบบางอ้อนแอ้นเสียจริง เพียงถูกแรงหยางเย่ถิงถึงรั้งก็ถลาเข้าไปซบอกเจ้านั่นราวกับจับวาง  ช่างบัดซบนัก

“อวดเก่ง”

“รู้ดี”

“พูดมาก”

“ไม่พูด”

“เจ้าเพิ่งพูด”

“ไม่พูดแล้ว”

“พูดมาก”

“เออ ข้าพเจ้ายอมรับว่าพูด พูดมากๆด้วย พอใจหรือยังเจ้าคะ” ข้าเริ่มควบคุมอารมณ์ไม่อยู่จึงเผยท่าทีผิดต่างกุลสตรี หยางเย่ถิงมุ่นคิ้วกล่าวว่า

“อย่าเถียง”

ข้าขยับริมฝีปากชิดกันราวกับถูกวิชาสะกดคำ ทำทีเป็นเมินเฉยเบือนหน้าหนี อีกมือก็ทำทีเป็นผลักไสตัวออกจากอกเย่ถิง แต่กำลังร่างสตรีนั้นอ่อนกำลังกว่าพลังบุรุษ หากเจ้าหยางเยวี่ยนไม่ยอมผ่อนแรงมือจากกายข้า ไหนเลยข้าจักขยับออกห่างได้สมดังใจ

“ธาตุน้ำในกายเจ้ามีมากเกินพอดี จึงปรากฏเป็นหยดเหงื่อใต้ฝ่ามือมากกว่าปกติเช่นนี้”

“...” ข้าหันมามองหน้าหยางเยวี่ยนแล้วเบือนหน้ากลับไปยังทิศเดิม

“เจ้ารู้นามจริงข้าได้อย่างไร” คุณชายรองหยางถามซ้ำก็พบกลับความเงียบงันเช่นเดิม

“หยวน...เฟย”

ข้าปรายตากลับไปมองเพียงเล็กน้อยก็ผสานเข้ากับดวงของชายหนุ่มพอดี จิตใจเดิมทีสั่นไหวด้วยโทสะโมโหก็ถูกสะกดดั่งเจอคำสาปให้เป็นหิน

“เช่นนั้นข้าพเจ้าจำต้องถามกลับคุณชายรองเช่นเดียวกันว่าทราบนามจริงข้าพเจ้าได้อย่างไร ต่อคุณชายรองท่านตอบแล้วข้าพเจ้าจึงจะตอบ”

หยางเย่ถิงมิได้สำแดงสีหน้าอื่นใดนอกจากใบหน้าดังรูปปั้นสักการะ

“กุ้ยเฟยเป็นผู้บอกข้า”

“ส่วนข้าพเจ้านั้นคาดเดาเอาเองตามสติปัญญาอันน้อยนิด” พอเห็นความโกรธผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา ข้าก็เร่งขยายความเพิ่มเติมว่า “ด้วยใบหน้าคุณชายรองรูปงามเช่นนี้ ข้าพเจ้าเคยมีแขกมาติดพันอยู่ระยะหนึ่งมักให้เรียกเขาว่า อาเยวี่ยน คุณชายผู้นั้นเป็นบุตรเศรษฐีคหบดีฐานะร่ำรวยเงินทอง จึงส่งของกำนัลมาให้ข้าพเจ้าไม่เว้นแต่ละวัน ข้าพเจ้านับถือในความมุมานะบากบั่นของอาเยวี่ยนจนเริ่มใจอ่อน คิดยินยอมแต่งงานเป็นฮูหยิน ต่อมาจึงทราบในภายหลังว่า อาเยวี่ยนผู้นั้นมีฮูหยินและอนุภรรยาอยู่เป็นจำนวนมากแล้ว เขาต้องการข้าไปเป็นดอกโบตั๋นดอกใหม่ไว้ประดับเรือนเท่านั้น เจตนาข้ามิได้กล่าวหาคุณชายรองท่านมีอุปนิสัยดังว่า แต่นามนี้ติดฝังใจข้าพเจ้าอยู่ อีกทั้งสกุลท่านแซ่หยาง คล้องจองกับคำว่าเยวี่ยน จึงทึกทักเอาเองตามประสาหญิงด้อยปัญญา”

หยางเยวี่ยนย้อนกลับหน้านิ่ง “หญิงด้อยปัญญางั้นหรือ”

“เป็นข้าพเจ้าเอง”

ข้าเพิ่งเห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของหยางเย่ถิงปรากฏตำตาก็วันนี้เอง พอเจ้านั่นขบขันจนพอใจแล้วจึงพูดว่า

“หญิงด้อยสติปัญญาแบบไหนจึงคิดฝึกวิทยายุทธ”

“ข้าพเจ้านี่แหละเจ้าค่ะ” ข้ายืนกรานหน้าซื่อใจเริ่มเหลว

“อีกทั้งมีฝีมือดีดพิณผีผา ลมพัดพันสาย ได้ซ้ำอีก” หยางเยวี่ยนพูดไปก็เหมือนต้อนข้าจนมุมเข้าไปเรื่อย

“ข้าพเจ้าเคยได้ยินจึงอาศัยฝึกปรือเจ้าค่ะ”

“รวมถึงคิดมาถ่วงเวลาข้าเพื่อทำการบางอย่าง”

“ข้าพเจ้าเองเจ้า...”

ข้าสะดุ้งสุดตัวพยายามกลบสีหน้าอันพิรุธ ข้าไม่ทันคิดหาทางหนีทีไล่ไว้ล่วงหน้าก็ร้องตอบว่า

“ข้าพเจ้ามาเที่ยวตามหาดอกเบญจมาศ”

หยางเยวี่ยนไม่นึกว่าข้าจะตอบเอาตัวรอดได้รวดเร็วเช่นนั้นก็ร้องตะโกนขึ้นมา

“มีใครอยู่ข้างนอกบ้าง”

เหลียงจินผลักบานประตูเข้ามาทันที มีปิงหวนและเป่าเหอติดตามพร้อมด้วยยอดฝีมือหน้าตาดีจำนวนหนึ่ง พอเหลียงไถจินและทุกคนเห็นสภาพข้าอยู่ในอ้อมแขนคุณชายรองหยางเช่นนั้นต่างก็เบือนหน้าหลบสายตายิ้มกริ่ม ข้าผลักอกหยางเย่ถิงออกห่างแล้วกระแอมเตือนทุกคน เหลียงจินจึงหันหน้าแดงซ่านมาสบมองข้า

“นายหญิง”

“ข้าจะกลับแล้ว เจ้าได้ดอกเบญจมาศหรือยัง”

ปิงหวนเข้าใจว่าข้อความดอกเบญจมาศนั้นคงหมายถึงจดหมายลับจากหัวหน้าสีฝูเหยา จึงสวมรอยตอบว่า “เรียนนายหญิง ประตูทิศใต้นี้หาดอกเบญจมาศงามสมบูรณ์ยากนัก ข้าทั้งสามยังเสาะหามิได้”

“เจ้าจะเอาดอกเบญจมาศไปทำสิ่งใด” หยางเย่ถิงซักกลับทันที

ข้าสะบัดมือแล้วจะผละนี้ก็ถูกหยางเยวี่ยนคว้าตัวไว้อีก “ปล่อย”

“พวกเจ้าส่งข่าวไปถึงเจิ้งอู๋จินยังประตูทิศเหนือว่า แม่นางหยวนอวี้ฟ่านมีอาการธาตุน้ำเป็นพิษ จะทำประการใดดี ข้าจะพานางกลับไปคอยที่ลานหน้าผาด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ”

ยอดฝีมือสองคนเบื้องหลังรับคำแล้วจากไปทำการตามคำสั่งทันควัน

“เจ้าจะเอาดอกเบญจมาศไปทำสิ่งใด” ดูเหมือนหยางเยวี่ยนไม่คิดจะปล่อยข้าลอยนวลไปง่ายๆ

ข้าจนสติปัญญาแล้วจึงตอบปัดๆไปว่า “เอาไว้แทนตัวคุณชายรองท่านยามต้องไกลห่าง”

ขณะนั้นดูราวกับสายลมหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ สรรพเสียงอื่นๆก็พลันเงียบสงัด ต่อมาจึงบังเกิดเสียงโห่ร้องยินดีดังต่อไปเป็นทอดๆ พวกที่อยู่ใกล้กว่าก็เล่าให้แก่คนอื่นๆว่า หยวนอวี้ฟ่านว่ากล่าวสิ่งใดต่อหน้าคุณชายรองของพวกเขา

นี่ข้าพูดสิ่งใดออกไปหรือ

หยางเย่ถิงกระซิบให้ได้ยินเพียงเราทั้งสองว่า

“เจ้าพูดเช่นนี้ไม่ต่างจากยอมรับว่าจะแต่งงานกับข้าต่อหน้าคนทั้งปวง หากเจ้าจะคิดกลับคำภายหลังคงต้องคิดหาอุบายให้หนักทีเดียว เตรียมม้า

ข้าอับจนสติปัญญาจะแก้ต่าง จึงร้องบอกความให้พรรคพวกตัวรั้งรอไว้

“จินเหนียง หลี่เม่ย เนี่ยหวัง พวกเจ้าจงคอยเสาะหาดอกเบญจมาศ ณ ประตูทิศใต้นี้ให้จงได้ อย่าได้ติดตามข้าไป” เสียงโห่ร้องดีใจก็ดังซ้ำอีก ใบหน้าหยางเย่ถิงเดิมทีไม่ได้คิดคล้อยตามคำพูดข้าก็เริ่มปรากฏสีแดงแปลกๆ

ต่อเมื่อมีคนจูงม้ามาแล้วหยางเย่ถิงจึงขึ้นนั่ง

“ลานผานั้นเป็นจุดรวมของธาตุดินและธาตุลมสมดุลนัก เจ้าอย่าได้คิดปฏิเสธ”

ข้าโหนตัวขึ้นนั่งบนม้าอีกตัวหนึ่งท้าท้ายคำว่าไม่คิดปฏิเสธ

“ดี ส่วนพวกเจ้าจงส่งสารให้ยอดฝีมือทั้งสี่ประตูจำนวนกึ่งหนึ่งโยกย้ายกำลังพลไปยังจุดลานหน้าผาโดยทันที”
ผู้ส่งสารรับคำแล้วเร่งไปปฏิบัติตามคำสั่ง

“นายหญิงให้ข้าพเจ้าติดตามไปด้วยเถิด” เหลียงจินรบเร้าจะขอตามไป ข้าทำทีเป็นส่ายหน้าซ่อนความนัยว่าจำเป็นจะต้องได้จดหมายของหัวหน้าสี อีกทั้งไม่อาจปล่อยให้ปิงหวนและเป่าเหอทำการอยู่เพียงสองคนได้

“หากได้ดอกเบญจมาศสมดังใจแล้วจงกลับไปคอยยังสระเสี้ยวเบญจมาศทันทีอย่ากังวล”

เหลียงไถจินยอมพยักหน้า แต่แฝงแววตาเป็นห่วงเป็นใยไม่ต่างจากหลี่ปิงหวนและหวังเป่าเหอ

“อาเยวี่ยน”

คำร้องดังขึ้นมาจากหญิงผู้ควบม้าเข้ามายังบริเวณค่ายประตูทิศใต้ ชั้นแรกเงาราตรีโถมทับปิดบังใบหน้าแม่นางผู้นั้น ครั้นแสงคบไฟสะท้อนตกต้องความงามผนวกความน่าเอ็นดู สตรีวัยแรกสาวนางนั้นแต่งกายรัดกุม ถือกระบี่มือหนึ่งอีกมือก็โบกไม้โบกมือมาทางหยางเย่ถิง

รอยยิ้มจริงใจปรากฏบนใบหน้าหยางเยวี่ยน เต็มเปี่ยมด้วยความสุดยินดี เจ้าคุณชายรองมองผ่านข้าเลยไปถึงแม่นางผู้ออกนามชื่อ แล้วร้องตอบอีกฝ่ายว่า

“เตียวหง”


*****************************

พูดคุย

รักนายเอกแล้ว?  เร็วจัง5555
คงจะยังไม่รักกันง่ายๆแน่ๆฮะ ดูแล้วน่าจะทะเลาะกันไปจนจบเรื่อง 555


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-03-2020 09:03:35 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ทะเลาะได้ทุกครั้งที่เจอจริงๆ

ออฟไลน์ LoveBlueSky2203

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 187
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-2
    • ข้ามพิภพ
บทที่ 13



แม่นางเตียวหงเป็นหญิงสาวมีเสน่ห์ แม้นมิช่างเจรจาเท่าหยางกุ้ยเฟย ทว่าวาจามีคารมคมคาย พูดน้อยแต่รื่นหูผู้ฟังมาก เตียวหงมิได้แต่งเครื่องประทินโฉมใดๆ ดูสะอาดผ่องใสตามวัยแรกสาว ท่วงท่าทะมัดทะแมงไม่ต่างจากหญิงมีวรยุทธ ขณะหนึ่งงดงามอรชร ประเดี๋ยวหนึ่งขึงขังองอาจ น่าชวนมองยิ่งนัก

นับแต่แม่นางเตียวหงปรากฏตัว ข้ามิเคยเห็นหยางเย่ถิงจะวางตาไว้ที่ใดนอกจากบนใบหน้าของหญิงผู้นี้

“ประมุขหยางได้รับหนังสือระบุภัยอันตรายของเฉินชิงหลุน จึงเกณฑ์ยอดฝีมือจำนวนสามร้อยคนให้ข้าเป็นผู้นำมาคุ้มครองในทันที ไม่ทราบสถานการณ์ตอนนี้เป็นประการใดหรือ อาเยวี่ยน”

หยางเย่ถิงตอบนิ่งๆ “ยังพอรับมือได้”

พวกเราสามคนต่างนั่งม้าสนทนาไปตามถนนเพื่อย่ำสู่ลานเชิงผาด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

“ชั้นแรกข้าคิดโยกย้ายผู้คนไปรวมพลยังจุดเชิงผา ทว่ามีกำลังเสริมเช่นนี้เห็นว่าจำจะต้องคงยอดฝีมือไว้ดังเดิม แล้วอาศัยบรรดาคนที่มาใหม่เข้าทดแทนเพียงกึ่งหนึ่งก่อน” เย่ถิงพูดไปพลางก็ยิ้มไปพลาง น่าหมั่นไส้เหลือประมาณ “ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นจงผลัดเวรกันพักผ่อนเอาแรงเสียก่อน หนทางจากเขาเทียนซานมาถึงทิศเหนือเขตด่านกวนจง* นี้มิใช่ระยะใกล้คงเหน็ดเหนื่อยมิใช่น้อย”

“ขอบคุณเจ้ามาก อาเยวี่ยน แล้วแม่นางผู้นี้เป็น...”

ในที่สุดก็ดูเหมือนว่าทั้งสองคนเริ่มเห็นว่าข้ามีตัวตนนั่งม้าอยู่รั้งท้าย บทบาทของข้าจึงเริ่มมีขึ้นหลังจากนิ่งฟังชายหนุ่มหญิงสาวสนทนาต่อกันเป็นระยะเวลานานพอดู

“ข้าพเจ้ามีนามว่าหยวนอวี้ฟ่านเจ้าค่ะ”

ยังไม่ทันหยางเย่ถิงจะเปิดปาก ข้าก็ออกนามแนะชื่อตัวด้วยเสียงสตรีอันคิดว่าสุดจะไพเราะที่สุดแล้วฉีกยิ้มกว้าง

“คารวะแม่นางหยวน” เตียวหงทักทาย ข้าก็เร่งสาธยายชีวประวัติครอบครัวตนเองทันทีโดยหามีผู้ใดจำเป็นต้องออกปากซักถามไม่

“ข้าพเจ้าเป็นบุตรสาวคนรองของตระกูลหยวน บิดามีนามว่านายหยวนเหวินหยวน มารดานามว่านางหยวนเกาเถียน มีพี่ชายนามว่า หยวนหลงซาน อาศัยอยู่ในสำนักอวี้หงหยวนแห่งฉางอัน หากแม่นางเตียวหงเป็นผู้รอบรู้ในใต้หล้าย่อมจะทราบดีว่าสถานที่อันข้าพเจ้าพำนักนั้นมีชื่อเสียงกระฉ่อนในเรื่องใด”

หยางเย่ถิงทำหน้าตำหนิข้าชัดเจน เพียงครู่ก่อนยังยิ้มปากแทบจะฉีกถึงใบหู แล้วไยพอหันมามองข้าถึงได้กลับจากหน้ามือเป็นหลังเช่นนี้ ช่างสองมาตรฐานนักเจ้าคุณชายรอง

“ข้าพเจ้าเคยได้ยินกิตติศัพท์ว่าเป็นหอคณิกาอันดับหนึ่ง หรือแม่นางหยวน...”

“ถูกแล้ว ข้าพเจ้าเป็นนางคณิกา”

หยางเย่ถิงไม่ทันขัดขวางคำข้าก็ทำหน้าไม่พอใจยิ่งขึ้นไปอีก แล้วว่า

“เตียวหง จงอย่าได้ใส่ใจคำพูดของแม่นางผู้นี้ ภายนอกแม้นครองรูปโฉมงดงาม ทว่าคำพูดนั้นหาสาระมิได้”

เตียวหงหันมามองข้า หวังให้ข้าแก้ต่าง “...”

“ข้าพเจ้าเป็นนางคณิกาชั้นเอก ออกรับแขกแต่เฉพาะข้าราชสำนักชั้นสูงหรือผู้มีเงินทองพอที่จะจ่ายให้ข้าพเจ้าตามร้องขอนั่นแล้วจึงได้เห็นโฉมหน้าข้าพเจ้า หากแม่นางเตียวจะมิเคยได้ยินว่ามีนางคณิกานามชื่อลือกระฉ่อนนั้นย่อมจะหาความผิดมิได้ ชื่อข้าพเจ้าแพร่หลายในหมู่บรรดาหนุ่มๆชาวฉางอัน แต่กลับเป็นอริต่อหญิงด้วยกันนั้นย่อมมิอาจหักห้ามให้เกิดขึ้นได้”

“พูดจาไร้สาระ” หยางเย่ถิงตวาดกลับ

เตียวหงพลันหัวเราะแล้วถามกลับว่า

“ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายให้เข้ามาทำธุระในฉางอันบ่อยครั้ง เรื่องราวใดเป็นที่สนทนากันในหมู่ผู้คนทั้งหญิงและชายแล้วข้าพเจ้าย่อมจะเคยได้ยินมา เช่นว่า หอคณิกาอวี้หงหยวนนั้นมีสตรีงดงามนามว่า หยวนอวี้ฟ่าน ปรากฏเล่าลืออยู่”

ข้ายักคิ้วใส่หยางเย่ถิงอย่างผู้ชนะ นามข้ามิใช่ใครที่ไหนจะมองข้ามได้ เรื่องข้าบริสุทธิ์นั้นจริงอยู่เพราะอาศัยผงราคะไฟมอมเมาแขก แต่เมื่อแม่นางเตียวขยี้ซ้ำในเรื่องกิตติศัพท์ชื่อเสียงข้าเช่นนี้ด้วยแล้ว เห็นทีเจ้าคงต้องคิดหนักแล้วสิว่าจะแต่งงานกับข้าหรือไม่ ด้วยข้ามิได้กล่าวยอมรับกับเจิ้งอู๋จินโดยซึ่งหน้าว่าไม่เคยตกเป็นของใครด้วยอีก ย่อมจะทำให้คุณชายรองหยางตระหนกมิใช่น้อย

“ทว่าคนทั้งหลายต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หยวนอวี้ฟ่านผู้นั้น หาได้ออกปฏิบัติรับแขกเป็นนางคณิกาชั้นเอกดังคำแม่นางว่าก็หาไม่ หนำซ้ำยังถูกพี่ชายนามหยวนหลงซาน คุ้มครองดูแลราวกับหงส์ในกรงทอง แม้นสักปลายเล็บน้อยหนึ่งนั้นบรรดาชายหนุ่มทั่วทั้งแผ่นดินต้าถังจักได้สัมผัสเพียงเศษเสี้ยว ก็ปรากฏว่าไม่เคยมีใครทำได้”

บัดซบ ข้าอยากจะร้องไห้เป็นสายเลือด ไยแม่นางเตียวจึงพูดเช่นนั้นเล่า เรื่องที่ข้าสู้ปั้นแต่งขึ้นมาล้มพังไม่เหลือซาก

“เรื่องแม่นางอวี้ฟ่านมีชื่อเสียงในฉางอัน ข้าพเจ้าไม่ขอปฏิเสธ แต่เรื่องที่อาเยวี่ยนกับท่านจะแต่งงานกัน ทั่วทั้งยุทธภพลือกระฉ่อนยิ่งนัก ไม่ทราบว่าจะจริงเท็จประการใด” เตียวหงถามหน้าตายิ้มแย้ม

หยางเย่ถิงกระแอมเตือนให้ข้าสงบปาก แล้วตอบเองว่า

“เป็นเช่นนั้น”

สีหน้าเตียวหงพลันวูบไหวเศร้าหมองชั่วขณะ ต่อมาจึงยิ้มแย้มแจ่มใสเช่นเดิม

“อาเยวี่ยนของเราเป็นบุรุษพูดน้อย สุขุมเยือกเย็น แม่นางอวี้ฟ่านอย่าได้เก็บกิริยาเมินเฉยไว้ใส่ใจ ข้าพเจ้าเองเมื่อแรกพบเขาเข้ามาฝึกวิชาในสำนักคมเบญจมาศครั้งวัยเด็ก ก็ประสบกิริยาเย็นชาของอาเยวี่ยนอยู่เป็นนิตย์”

ข้ามิอาจกลั้นเสียงหัวเราะไว้ได้ก็ปล่อยขำขันให้สาแก่ใจ มองดูหยางเย่ถิงพลันสีหน้าไม่ชอบใจก็หัวเราะดังลั่นกว่าเดิม

“รักษามารยาท”

ข้าไม่ขอรักษากิริยาใดๆทั้งนั้น เหอะ ยังไม่ทันไรก็คิดออกคำสั่งบงการชีวิตข้า หากข้าแต่งเข้าสกุลหยางจริงๆขึ้นมา ข้าหยวนหลงซานมิกลายเป็นบ้าไปก่อนหรือ

“แม่นางอวี้ฟ่านจงเข้าใจ กฎระเบียบสำนักคมเบญจมาศเคร่งครัดนัก คุณชายรองหยางถูกอบรมเลี้ยงดูมาในขนบมากมาย ต่อไปภายหน้า หากอาเยวี่ยนพูดสิ่งใดกระทบจิตใจท่าน เมตตาอย่าถือสาหาความ”

“ศิษย์พี่” หยางเย่ถิงร้องเรียกเตียวหง

“พอเถอะ อาเยวี่ยน อย่าได้ตำหนิแม่นางอวี้ฟ่านสืบไปเลย”

คนสองคนนี้คงเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องนับถือกันมาแต่เล็กแต่น้อย ท่ามกลางผู้ฝึกยุทธจำนวนมากที่หลายตระกูลส่งมาฝึกวิชายังสำนักคมเบญจมาศแห่งเทียนซาน เตียวหงคงมีฝีมือโดดเด่นและมากวัยกว่าหยางเย่ถิงเป็นแน่ กระบี่เงินซึ่งนางถือครอบครองอยู่นั้นไม่รู้ซ่อนวิชาอันพิศดารพันลึกไว้มากน้อยแค่ไหน หากอยู่ในร่างปรกติข้าคงจะคิดขอลองวิชาให้ได้ประจักษ์สักหนเป็นแน่

ขณะนั้นเส้นทางเป็นเนินขึ้นเขาสูงชันน่าหวาดเสียวเป็นหนทางระยะสั้น จำเป็นจะต้องลงจากหลังม้าจูงลากไปเรียงคู่ เบื้องล่างเป็นหุบเหวแลเห็นแสงไฟจากเรือนพักทั้งหลายในเฉินชิงหลุนวับแวมในเงามืด หยางเย่ถิงออกนำเคียงคู่เตียวหง สั่งให้ข้าติดตามอย่าประมาทพูดเพ้อเจ้อ ส่วนเตียวหงเฉลียวใจอยู่ก็หันมามองในจังหวะที่ลมเหนือยอดเขาสูงชันพัดไหวรุนแรงกว่าพื้นราบ หากอยู่ในภาวะสมดุลธาตุปกติข้าคงจะต้านทานกำลังลมอันแรงกล้านั้นได้ราวกับหินผา ทว่าเมื่อถูกลมวูบหนึ่งพัดใส่เข้ามา ดูราวกับตัวข้าเป็นกิ่งหลิวพลัดปลิวตกจากลำต้น

เตียวหงเห็นหยวนอวี้ฟ่านเซซวนแล้วเซจะตกหน้าผาก็ทะยานคว้ามือไว้ ร่างนางคณิกาปลอมก็แกว่งไกวน่าหวาดเสียวเป็นล้นพ้น ครั้นธรรมชาติโกรธเกรี้ยวมากกว่าเดิมก็เสริมกำลังลมพัดเข้ามาซ้ำอีก หยางเย่ถิงถลาช่วยไว้อีกมือหนึ่ง พอพ้นระยะอันตรายแล้วจึงตวาดว่า

 “ไยจึงไม่ระวัง”

พอได้ทีก็ตวาดดุเอาให้สาสมใจ ข้าตระหนกเกินกว่าจะพูดโต้ตอบก็ได้แต่หายใจเข้าออกถี่กระชั้น

“แม่นางหยวนเป็นเช่นไรบ้าง”

“ข้าพเจ้า...สบายดี”

“อาเยวี่ยน เจ้าใช้วิชาตัวเบาพาแม่นางอวี้ฟ่านขึ้นไปเถิด ข้าจับชีพจรซ้ำเห็นเหงื่อซึมใต้ฝ่ามือนาง คงมีอาการธาตุน้ำเป็นพิษ จึงเป็นเหตุให้เจ้าพานางขึ้นมาบนลานหน้าผาหรือมิใช่ จงเร่งไปอย่ารั้งรอ ข้าจะจัดการม้าทั้งสามตัวนี้เอง”

“ขอบน้ำใจ ศิษย์พี่”

ครั้นแล้วหยางเย่ถิงจึงคว้าตัวข้าไว้ในอ้อมแขน ใช้วิชาตัวเบาเหาะเหินขึ้นไปยังลานหน้าผา ท้องทุ่งหญ้าเขียวขจีโบกไสวยามต้องสายลม ปรากฏศาลาทรงแปดเหลี่ยมก่อผนังฝังหน้าต่างวงกลมไว้อยู่หลังหนึ่ง เบื้องหน้านั้นปรากฏมีเจิ้งอู๋จินรอคอย พอเห็นว่าหยางเย่ถิงอุ้มข้ามาในอ้อมแขน จึงออกปากซักถามทันที

“อาการแม่นางหยวนทรุดลงหรือ คุณชายรอง”

“ขอรับ นางเกือบถูกลมพัดตกเหว เป็นความผิดข้าเองที่หลงลืมเลินเล่อ ปล่อยให้นางเดินผ่านทางเรียบหุบเหวตัวคนเดียว”

เจิ้งอู๋จินผลักประตูด้านหน้าเข้าไป ภายในปรากฏสระน้ำทรงแปดเหลี่ยมบ่อหนึ่ง แล้วว่า

“แม่นางอวี้ฟ่านอย่าได้วิตก วิธีแก้ซึ่งข้าพเจ้าว่ากล่าวไว้ให้คุณชายรองช่วยปรับสมดุลธาตุด้วยวิธีหยินหยางนั้น คงจะต้องเร่งดำเนินการในทันทีมิอาจรั้งรอถึงวันงานมงคล ไม่เช่นนั้นจะเป็นภัยต่อชีวิตแม่นางเอง”
 
ข้ามิได้เตรียมตัวเตรียมใจมาเสียตัวให้หยางเย่ถิงถึงบนภูเขาสูงเช่นนี้ก็หน้าซีดตัวสั่น แต่อาการมีเหงื่อซึมใต้ฝ่ามือลุกลามไปทั่วเรือนร่างเช่นนี้บ่งบอกว่าธาตุน้ำเป็นพิษจริงดังว่า

“ข้าพเจ้า...”

ไม่รู้ว่าข้ากลัวความตาย หรือกลัวเสียตัวให้หยางเย่ถิงกันแน่ ทำให้ไม่อาจตกปากรับคำหนักแน่นสมใจที่ปรึกษาพรรคคมเบญจมาศให้แน่ถนัดชัดลงไปได้

“แม่นางหยวนรับปากข้าพเจ้าแล้ว หากไม่ยินยอมทำตาม ข้าพเจ้าจะมีหน้าเข้าพบคุณชายหลงซานได้ประการใด  ด้วยมิอาจรักษาชีวิตแม่นางอวี้ฟ่านได้ วานท่านอย่าคิดน้อยใจว่าเป็นลูกไก่ในกำมือผู้อื่น จะคิดหักหาญน้ำใจประการใดก็ย่อมได้นั้นอย่าขุ่นเคือง หากมีวิถีทางแก้อื่นแล้วไฉนข้าพเจ้าจะมิแจ้งให้ท่านทราบ ทว่าบัดนี้สิ้นหนทางจึงจำเป็นต้องกระทำ หลักประกันต่อจากนี้คือการรับผิดชอบแต่งงาน อวี้ฟ่านท่านจะไม่มีวันเสียชื่อเสียงเป็นแน่ ข้าพเจ้ารับรอง”

ไม่มีคำพูดใดๆจากหยางเย่ถิงแม้ครึ่งคำนอกจากคำพูดเจิ้งอู๋จิน

หากเจ้าคุณชายรองว่ากล่าวยินดีสักน้อยหนึ่ง

หรือหากแม่นางเตียวหงปรากฏตัวช้ากว่านี้สักน้อยหนึ่ง

ข้าคงจะสมยอมปฏิบัติตามคำขอของเจิ้งอู๋จินโดยง่าย แต่ในเมื่อข้าได้เห็นแววตาของหยางเย่ถิงมองแม่นางเตียวหง และเห็นประกายตาหม่นหมองของเตียวหงยามล่วงรู้ว่าหยางเย่ถิงกำลังจะแต่งงานซ้ำอีก ข้าจึงทำได้แต่ใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่สะบัดตัวออกจากการโอบอุ้มของหยางเย่ถิง แล้วพูดว่า

“ข้าพเจ้าคิดทบทวนแล้ว มิอาจปฏิบัติตามคำขอของเจิ้งอู๋จินท่านได้ ข้าพเจ้า...ขอลา”



*กวนจง : ดินแดนบริเวณภาคกลางทางตอนใต้ของแม่น้ำฮวงโห และเหนือแม่น้ำแยงซีเกียง ประกอบด้วยมณฑลยงจิ๋วบางส่วน และเขตปกครองสือลี่ตะวันตก ขึ้นตรงกับส่วนกลางที่เมืองเตียงอั๋นหรือเมืองฉางอัน

************************************

พูดคุย

ทะเลาะได้ทุกครั้งที่เจอจริงๆ
คุยดีได้สองประโยคที่เหลือชวนทะเลาะกันละ 55 สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าครับ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-03-2020 09:05:56 โดย LoveBlueSky2203 »

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ยอมถอยเพื่อให้เขาได้รักกัน  เนี่ย!!!!ชอบคิดไปเอง
อาจจะไม่มีอะไรก้ได้

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด