คาถาที่ 25 : ครึ่งหลังตอนที่ทั้งสองคนลงมาข้างล่างด้วยชุดพร้อมนอน ชายหนุ่มภูมิฐานทั้งรูปร่างและหน้าตาก็นั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารพร้อมกับโรสิตาแล้ว ป้าอุ่น ลุงอ๊อดและน้องแก๊ปกำลังช่วยกันจัดเตรียมอาหารให้กับคุณๆ ของบ้าน เรียวจันทร์ยกมือไหว้ผู้ชายคนนั้นด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อย คนถูกไหว้ยกมือรับไหว้พร้อมกับคลี่ยิ้มบาง แม้จะมีผมสีขาวขึ้นแซมสีดำบ้างประปรายแต่ผู้ชายคนนั้นก็ยังดูดี เมื่อมองสลับกับผู้หญิงอีกคน ไม่แปลกใจเลยถ้าเรียวจันทร์จะเกิดมาหน้าตาดีให้หลงตัวเองอยู่บ่อยๆ
“เห็นแม่บอกว่าเราเพิ่งเลิกกองเหรอ”
“ครับ เลิกเมื่อตอนห้าโมงเย็น” คมเขี้ยวรู้สึกไม่คุ้นหูนิดหน่อยที่ได้ยินเรียวจันทร์พูดครับ แต่คิดว่าคงพูดเฉพาะกับคนที่ไม่ได้สนิทเท่านั้น
“แล้วนั่นใครล่ะ” ชายคนนั้นที่นั่งตรงหัวโต๊ะถามพลางยื่นคางมาทางคมเขี้ยว
“แฟนตาเรียวน่ะค่ะ ไม่รู้ว่าไปคบกันตอนไหน” เรียวจันทร์บิดปากหน้าเซ็งให้กับคนที่ชิงตอบคำถามแทนตัวเอง พ่อของเรียวจันทร์เลิกคิ้วขึ้นหน้าตาฉงนเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็คลี่ยิ้มนิดหน่อย
“เป็นใครมาจากไหนเหรอครับ” แม้ว่าพ่อของตัวเองจะถามด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่เรียวจันทร์ก็ย่นคิ้วฉับ รู้สึกไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ที่อีกฝ่ายมานั่งซักประวัติคมเขี้ยว ไม่ชอบที่อีกฝ่ายทำท่าเหมือนพ่อกำลังสแกนลูกเขยเข้าบ้าน
“เขาชื่อคมเขี้ยว เป็นเจ้าของฟาร์มอรุณพยัคฆ์…” นางเป็นคนตอบแทนเจ้าตัว และเพียงแค่พูดประโยคนั้น พ่อของเรียวจันทร์ก็หันมองคมเขี้ยวด้วยสายตาประหลาดใจปนสนใจในตัวคมเขี้ยว ส่วนโรสิตามองนิ่งสักพักก่อนจะยิ้มเยาะเล็กน้อย
“…คุณคนนี้ชื่อคุณวิโรจน์ เป็น เอ่อ พ่อ ของฉันเองอะ” เรียวจันทร์กระดากปากนิดหน่อยที่ต้องพูดคำนั้นออกมา ไม่ใช่ว่าโกรธเกลียดจนไม่อยากพูด แต่ยี่สิบกว่าปีนางไม่เคยได้เรียกคนๆ นี้ว่าพ่อเลยสักครั้ง แล้วจู่ๆ ก็ต้องมาเรียกคนๆ นึงว่าพ่อทั้งที่นางก็มีพ่อของนางอยู่แล้ว
“ผมรู้จักฟาร์มนั้นนะครับ เป็นที่ล่ำลือในเขาใหญ่มาก” คมเขี้ยวกระตุกยิ้มสั้นๆ กำลังจะอ้าปากพูดแต่เหลือบไปเห็นสายตาดูแคลนเล็กๆ จากแม่เรียวจันทร์ก็ย่นคิ้วนิดหน่อย แต่เขาก็ไม่เก็บมาใส่ใจ
“เคยพาครอบครัวไปเที่ยวอยู่ครั้งนึง ประทับใจมาก”
“ขอบคุณมากครับ” คมเขี้ยวตอบรับเพียงเท่านั้นเพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ก่อนลงมาเรียวจันทร์บอกว่าไม่ต้องพยายามเอาชนะใจใครทั้งนั้น ทั้งสองคนไม่มีสิทธิ์หรือมีความจำเป็นใดๆ ในการตัดสินใจเรื่องความรักของนาง
“เป็น
เจ้าของฟาร์มเองจริงๆ เลยเหรอ” คมเขี้ยวหันไปมองแม่เรียวจันทร์หน้านิ่ง ก่อนตอบตามมารยาท แม้ในใจเขานึกอยากเสียมารยาทใส่ผู้หญิงคนนี้สักนิดสักหน่อย
“อันที่จริง เป็นของพ่อครับ แต่ตอนนี้พ่อยกให้ผมดูแลเองทั้งหมด” โรสิตายกมุมปากซ้ายเชิดขึ้น สีหน้าแววตาดูออกว่ากำลังคิดอะไรไม่ดี แต่คมเขี้ยวไม่ได้สนใจ เพราะดูแล้วผู้หญิงคนนี้คงคิดอะไรดีๆ น้อย เขาหันหน้าหนีไปทางอื่น แต่เป็นเรียวจันทร์ซะอีกที่สนใจสีหน้านั้น
“ถ้าฉีดโบท็อกซ์มากไปจนปากเบี้ยว หน้าเบี้ยวขนาดนั้น แม่ควรหยุดฉีดนะ” โรสิตาที่กำลังทำท่าทำทางอย่างที่เรียวจันทร์ว่าสะดุดกึก แล้วหันไปมองหน้าสวยๆ ของลูกชายตัวเองตาขวาง
“นังเรียว” เรียวจันทร์เลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่งทำหน้าตาประมาณว่า มีอะไร?
“คุณโรส อย่าทำเสียบรรยากาศสิ” เรียวจันทร์ไม่สนใจ ทั้งอาการปรามของพ่อและอาการฮึดฮัดของแม่ จัดการตักโจ๊กกุ้งเข้าปากหนึ่งคำ และหันไปดูแลคมเขี้ยวด้วยการส่งเครื่องปรุงให้
“คุณวิโรจน์นี่ใช่เจ้าสัววิโรจน์รึเปล่าครับ” คมเขี้ยวเอ่ยถามเมื่อบางอย่างในความคิดสะกิดต่อมความทรงจำ ด้วยชื่อที่อาจมีชื่อนี้หลายคน แต่รูปร่างหน้าตาทำให้เขาคุ้นตาอยู่บ้าง แม้จะไม่ชัดเจนแต่ก็ลองถามดูเผื่อจะใช่คนที่เคยผ่านตาผ่านความทรงจำเขาจากข่าวคราวในแวดวงธุรกิจ
“คนเขาก็เรียกไปเรื่อยแหละครับ ผมก็คือวิโรจน์เฉยๆ นี่แหละ” ท่าทางของวิโรจน์นั้นสุภาพกว่าโรสิตาเยอะ แม้จะเพิ่งเจอกันแต่คมเขี้ยวก็รู้สึกดีกับคนๆ นี้มากกว่าคนที่นั่งเยื้องกับเขาซะอีก ริมฝีปากสีแดงคลี่ยิ้มน้อยๆ ในขณะที่เทซอสแม็กกี้ลงในถ้วยข้าวต้มของตัวเอง
“แล้วนี่ ทั้งสองคนไปคบกันได้ยังไงล่ะ” เรื่องสถานะทางเพศของเรียวจันทร์นั้น วิโรจน์ไม่ได้ต่อว่าหรือคิดต่อต้านใดๆ เพราะคงไม่ใช่เรื่องที่พ่ออย่างเขาซึ่งไม่เคยดูแลลูกมาก่อนจะมาห้ามในสิ่งที่ลูกเป็น เพราะถ้าเขาทำแบบนั้นจะกลายเป็นเรียวจันทร์ซะเองที่ต่อต้านเขา ซึ่งวิโรจน์ไม่อยากให้เกิดขึ้น
“เรียวไปทำงานเป็นเลขาผมอยู่ที่ฟาร์มน่ะครับ เลยได้รู้จักกัน” วิโรจน์มองทั้งสองคนอย่างสงสัย และอีกครั้งที่มองด้วยสายตาประหลาดใจปนสนใจ
“เรียวไปเป็นเลขาคุณได้ยังไงล่ะเนี่ย” เรียวจันทร์ตักข้าวต้มเข้าปากเงียบๆ ปล่อยให้คมเขี้ยวเป็นคนตอบ
คมเขี้ยวยิ้มขำน้อยๆ “ถ้าให้เรียบเรียงเรื่องราวมันคงซับซ้อนและยาวน่าดูเลยครับ”
“ว่าไงล่ะเรียว ไม่เล่าให้พ่อฟังหน่อยเหรอ” ต้องยอมรับว่าคุณนายนางรู้สึกแปลกๆ เวลาที่ได้ยินคนๆ นี้เรียกแทนตัวเองว่าพ่อ
“ก็อย่างที่เขี้ยวบอกแหละครับว่าเรื่องมันยาว ตัดจบสั้นๆ ก็ เรียวไปเที่ยวฟาร์มเขา เจอกับพ่อเขาที่เป็นเพื่อนสนิทพ่อเรียว หมายถึง พ่ออาทิตย์น่ะ…” วิโรจน์ชะงักไปนิดหนึ่ง สีหน้าเกือบจะเป็นสลดแต่ก็ปัดทิ้งแล้วปั้นยิ้มขึ้นมาแทน โรสิตาแทบจะควักลูกตาออกจากเบ้าเอามาจ้องเรียวจันทร์ แต่คุณนายนางหาได้แคร์ไม่
“…คุยกันไปคุยกันมา เรียวก็สนใจอยากทำงานที่นั่น ก็เลยไปทำ”
“ไม่ใช่ว่าเข้าไปที่นั่นเพราะเสี่ยจอมทัพสั่งหรอกเหรอ” เรียวจันทร์ตัวชาวาบ ในขณะเดียวกันก็หันไปจ้องแม่ด้วยความไม่พอใจ พอหันไปมองคมเขี้ยวก็เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้างุนงง คิ้วเข้มขมวดเมื่อหันมาสบตาเรียวจันทร์ คุณนายถอนหายใจเบาๆ
“จอมทัพมาเกี่ยวอะไรด้วย” คมเขี้ยวถามเสียงราบเรียบ ซึ่งเป็นเสียงที่เรียวจันทร์ไม่ต้องการในเวลานี้
“อ้าว นี่เธอไม่รู้เหรอว่าเรียวจันทร์…”
“…แม่” เรียวจันทร์พูดสั้นๆ แต่เสียงราบเรียบและหนักแน่น แววตาวาวโรจน์เป็นการบ่งบอกว่าความโกรธเริ่มปะทุขึ้นในใจของนาง โรสิตาสงบปากสงบคำไป สีหน้าไม่พอใจเล็กๆ
“เอ่อ เปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่า…” วิโรจน์ที่เห็นว่าสถานการณ์ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่เอ่ยชวนเปลี่ยนเรื่อง เรียวจันทร์มองแม่ตาขวางแวบหนึ่ง แล้วก็หันไปมองคมเขี้ยวด้วยสายตาที่อ่อนลง หน้าเข้มของคมเขี้ยวขรึมขึ้น เรียวจันทร์ยื่นมือไปวางบนหน้าตักร่างสูงแล้วบีบเบาๆ ส่งสายตาเป็นเชิงบอกว่าเดี๋ยวเราต้องคุยกัน
คมเขี้ยวเงียบ ความคิดในหัวตีกันวุ่นจนเรียบเรียงไม่ถูกว่าตัวเองกำลังรู้สึกยังไง และกำลังประเมินว่าความคิดตัวเองไปไกลแค่ไหนแล้ว
“…ย่ากับน้องๆ อยากเจอเรานะ” เรียวจันทร์หันกลับไปมองวิโรจน์ที่ตักข้าวเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างสุภาพ
ย่าอยากเจอน่ะไม่เท่าไหร่ แต่พอนึกถึงน้องๆ ที่บอก เรียวจันทร์ก็รู้สึกแขยงยังไงชอบกล พ่อของนางแต่งงานใหม่และมีลูกกับภรรยาใหม่สามคน ลูกชายคนโตหนึ่งคนที่อายุน้อยกว่านางสักสามสี่ปีเห็นจะได้ และมีลูกสาวอีกสองคน ซึ่งนังน้องคนสุดท้องนี่แหละที่นางรู้สึกสยองขวัญเวลานึกถึง อายุสิบแปดแต่เลเวลความแรดสูงกว่าอายุ
“เรียวยังไม่ค่อยว่าง พอว่างก็กลับไปอยู่ที่ฟาร์มตลอด ถ้ายังไงคุณ เอ่อ พ่อลองนัดล่วงหน้ามาก่อนแล้วกันนะครับ” เรียวจันทร์ยิ้มไม่เต็มปาก ยังคงหันไปมองคมเขี้ยวที่นั่งจับช้อนนิ่งไม่กินต่อด้วยความเป็นห่วง
“อ๋อ นี่กลับไปอยู่ที่ฟาร์มตลอดเลยเหรอ” วิโรจน์ถามด้วยความสนใจอีกครั้ง คุณนายหันไปพยักหน้าน้อยๆ ให้กับวิโรจน์
“ดีแล้ว ไปอยู่ซะ จะได้ชิน…” หน้าสวยๆ เบ้ด้วยความเซ็งเมื่อได้ยินเสียงจากผู้หญิงที่นางอยากให้เงียบที่สุดในเวลานี้
“…คุณโรส อะไรนักหนาเนี่ย” คราวนี้วิโรจน์ดูท่าทางจะหงุดหงิดโรสิตาบ้างแล้ว จากที่แค่ตอนแรกปรามตามปกติ แต่ตอนนี้ดูจะมีอาการไม่ค่อยพอใจด้วย
โรสิตาชักสีหน้าแล้วก็นั่งกินข้าวเงียบๆ ต่อไป วิโรจน์ถอนใจและส่ายหัวเบาๆ หันกลับไปหาลูกชายกับคนข้างกายที่นั่งนิ่งหน้าเคร่งไปนานแล้ว
“รึถ้าไม่งั้นพ่ออาจจะพาที่บ้านไปเยี่ยมที่ฟาร์มนะ”
“ถ้าจะมาช่วงนี้อย่าเพิ่งแล้วกันนะครับ ฟาร์มปิดอยู่ เปิดอีกทีตอนต้นฤดูหนาว จะมีประกาศในเพจของฟาร์มอีกที”
“ได้ แล้วพ่อจะโทรไปถามอีกทีนะ…” เรียวจันทร์ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “…พ่อดีใจนะที่ได้มาเจอเรียวอีก”
คนเป็นลูกกระตุกยิ้มมากขึ้นอีกนิดทั้งที่ความคิดของนางนั้นแสนว่างเปล่ากับการมาของผู้ชายคนนี้ นางไม่ได้ตื่นเต้นดีใจใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ได้ต้อนรับหรือขับไล่ คือมาก็มา ไม่ได้ส่งผลดีหรือร้ายต่อชีวิตนาง แค่อย่ามาสร้างความเดือดร้อนให้นางก็พอ เพราะแค่แม่ที่ไม่เคยเลี้ยงดูนางก็สร้างปัญหาให้มากพอแล้ว
เรียวจันทร์พาคมเขี้ยวที่นิ่งเงียบตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้กลับขึ้นมาบนห้อง เพราะท้ายที่สุดคุณนายก็ทนความเงียบของคมเขี้ยวไม่ไหว กินได้อีกสามสี่คำก็ขอตัวกลับขึ้นห้องก่อนทั้งที่อาหารยังไม่หมด แต่ในตอนนั้นอารมณ์จะกินมันหมดไปแล้ว มันมีแต่ความกระวนกระวายว่าผู้ชายข้างๆ กำลังมีความคิดอะไรอยู่
“พี่เขี้ยว…” เรียวจันทร์เรียกเสียงอ่อยตอนที่พาคมเขี้ยวเดินมานั่งบนเตียงด้วยกัน อีกฝ่ายเงยหน้าสบตานางนิ่งเฉย จนนางใจคอไม่ดี
“…พี่ฟังหนูก่อนได้มั้ย”
“งั้นพูดมา” น้ำเสียงคล้ายจะดุทำให้เรียวจันทร์แอบขนลุกซู่ด้วยความกลัวเล็กๆ นางสูดลมหายใจเข้าปอดและเรียบเรียงในหัวว่าต้องเริ่มเล่าจากตรงไหนดี นางเม้มปาก ดวงตาสั่นระริกเล็กน้อย มองหน้าคมเข้มของคมเขี้ยวที่ยามนี้กำลังเข้มด้วยความครุกรุ่น
“พี่อย่าทำหน้าดุแบบนี้สิ หนูไม่กล้าพูดเลย” น้องหนูว่าเสียงอ่อยหน้าตาหงอราวกับลูกหมาที่หูลู่ตาตกที่เห็นพี่เขี้ยวทำหน้าเคร่งตาดุมองตัวเองจนเกิดความอึดอัดและใจเต้นตึกๆ
แต่แม้จะอ้อนแล้วก็ตาม พี่เขี้ยวก็ยังคงทำสีหน้าและแววตาดังเดิม น้องหนูของพี่แกเลยก้มหน้าลงนิด ปลายนิ้วทั้งสองมือดึงปล่อยดึงปล่อยผ้าปูเพื่อไม่ให้มือว่าง
“หนูเป็นหนี้เสี่ยจอมทัพ เขาเลยเสนอให้หนูเข้าไปเจรจาเรื่องขายที่ดินกับพี่…” หน้าสวยๆ เงยขึ้นมองหน้าหล่อๆ แว้บหนึ่ง พอเห็นว่ายังทำให้นางกลัวอยู่เลยก้มหน้าลงตามเดิม
“…ในแบบของหนูเอง” หัวใจดวงน้อยที่เต้นตึกๆ แบบเว้นจังหวะ ตอนนี้เริ่มเต้นผิดจังหวะจนต้องบอกตัวเองให้ใจเย็นๆ เหมือนท่องพุทโธๆ
“แบบไหน” คมเขี้ยวถามเสียงห้วน เรียวจันทร์กัดริมฝีปากล่าง เงยหน้าขึ้นมองคมเขี้ยวแล้วน้ำตาก็คลอเบ้าตา ขยับปากอยากพูดต่อแต่เห็นสีหน้าและแววตาของอีกฝ่ายแล้วก็ทำให้ความกล้าฝ่อลงไป
“พูดมา” ยิ่งน้ำเสียงที่เข้มและเน้นย้ำว่าให้พูดก็ยิ่งทำให้ริฝีปากสีชมพูสดยากที่จะปริปากบอกออกไป
“หนู… ตอนนั้นหนูคิดว่า ถ้า… ถ้าทำให้พี่กับหนูเป็น…” เรียวจันทร์กลืนน้ำลายลงคอ น้ำตาหยดลงแก้มเมื่อเห็นว่าคมเขี้ยวขบกรามแน่น คิ้วเข้มตึงแน่นด้วยความเครียด เรียวจันทร์เริ่มรู้สึกอึดอัด เริ่มเครียดว่าจะต้องพูดยังไงดีให้มันไม่รุนแรงและเสียหายทางความรู้สึกมากที่สุด
“…พี่เขี้ยว อย่าดุหนูสิ” เรียวจันทร์ลองอ้อนอีกทีเผื่อคมเขี้ยวจะมีท่าทีอ่อนลงบ้าง คนโดนอ้อนนิ่งไปนิดและพยายามที่จะปรับสีหน้าตัวเองให้เบาลง แต่ก็ทำได้ไม่ดีนัก
“พูดมา อย่าให้ต้องไปถามไอ้จอมทัพเอง” เรียวจันทร์ยกมือซ้ายเช็ดน้ำตาบนแก้ม แต่ในดวงตาก็ยังคลอออกมาเรื่อยๆ
“มันจะง่ายขึ้นถ้าเราคบกัน แล้วหนูอ้อนขอให้พี่ขายที่ให้กับเสี่ยจอมทัพ หนูเลยพยายามที่จะจับพี่เป็นแฟน ถ้าหนูทำให้พี่ขายที่ได้ เขาจะยกหนี้ให้หนู” เรียวจันทร์กลั้นใจพูดเหมือนเด็กที่กลั้นใจกินยาขมๆ สักขวดเพื่อให้มันจบๆ ไป พอพูดจบน้ำตาก็ร่วงเผาะอีกรอบ
คมเขี้ยวนิ่งมึนกับสิ่งที่ได้ยิน มันวิ้งๆ ที่หูทั้งสองข้างเหมือนเขาโดนเรียวจันทร์ใช้สองมือตบเข้าบ้องหูด้วยประโยคเมื่อกี้นี้ เขาจ้องหน้าสวยผ่องที่กำลังร้องไห้ สีหน้าหม่นลง แววตาที่สดใสหายไป เขาจ้องมองคนตรงหน้าตัวเองด้วยความคิดที่หมุนรัวๆ อยู่ในหัวของตัวเอง เหมือนในหัวเขาเป็นที่เก็บเอกสารข้อมูล แต่เรียวจันทร์เข้ามาพังจนเอกสารกระจัดกระจายแล้วต้องจัดเรียงใหม่อีกที
“ยินดีด้วยที่คุณจับผมสำเร็จ” เรียวจันทร์ใจหายวาบกับสรรพนามนั้นและน้ำเสียงอันเหินห่าง ร่างเล็กส่ายหน้าเบาๆ ยื่นมือไปจับมือคมเขี้ยว เจ้าของมือมองนิ่ง เรียวจันทร์มองคมเขี้ยวแววตาเศร้าสักพักก่อนจะหลับตาลง พ่นลมหายใจออกยาวๆ พอลืมตาขึ้นอีกทีแววตาที่หม่นแสงลงไปเมื่อครู่ก็กลับมาตั้งมั่น
“ใช่ ฉันทำสำเร็จ ฉันจับนายได้ แต่ความตั้งใจที่จับไม่ได้เหมือนตอนแรกที่ฉันตั้งใจจะทำ สิ่งที่เกิดขึ้นที่น้ำตก มันเป็นเพราะฉันรู้สึกกับนายแบบนั้นจริงๆ ไม่ใช่เพราะแผนที่ฉันตกลงกับจอมทัพไว้” แม้จะเสียงสั่นไปบ้างแต่เรียวจันทร์ก็ประคองตัวเองพูดจนจบ มองคมเขี้ยวด้วยสายตาแน่วแน่และมั่นคงว่าสิ่งที่พูดนั้นคือเรื่องจริง
“ถ้าแม่คุณไม่หลุดปากออกมาให้ผมสงสัย คุณจะบอกผมมั้ย”
“ก็เรื่องนี้แหละที่ฉันเครียดและเป็นกังวลก่อนที่เราจะลงไปกินข้าว และฉันก็เครียดมาก่อนหน้านั้นหลายวันแล้วด้วย ฉันอยากจะบอก แต่นายนึกออกมั้ย นายเพิ่งส่งคนงานคนนึงเข้าคุกไปทั้งที่เขาอยู่กับนายมานาน เกิดฉันบอกไป ฉันกลัวนายไล่ฉันออกไปจากชีวิต”
“แล้วถ้าจะออกไปจากชีวิตผมมันจะเป็นอะไรล่ะ” เรียวจันทร์ใจหายวาบ ท่าทีของคมเขี้ยวดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลยถ้านางจะหายไปจากชีวิตตัวเอง
“ฉันก็ทรมานไง ฉันรักนายไปแล้วนะ!” เรียวจันทร์อดขึ้นเสียงแหลมไม่ได้
“รัก? รักแล้วเหรอ ทำไมรักผมไวจัง จากคนที่คิดแค่ว่าจะจับผมเพื่อแผนปัญญาอ่อนของตัวเอง ตอนนี้รักผมแล้วเหรอ” คมเขี้ยวถามเสียงเยาะ เรียวจันทร์ที่เพิ่งประคองตัวเองให้กลับมากล้าพูดได้ก็ถึงกับเซไปเหมือนกัน
“รักสิ ไม่งั้นฉันจะฟินเวลานายขย้ำฉันเหรอ ถึงฉันจะคิดว่านายอึดมากไปบ้าง แต่ฉันอิ่มใจกับนายมากนะ” คมเขี้ยวมองหน้าเรียวจันทร์นิ่ง เขาเลือกชูความรู้สึกตอนนี้ของตัวเองไม่ถูกเลยว่าควรจะต้องใช้ความรู้สึกไหนขึ้นนำ
แต่ในที่สุดเขาก็รู้ว่าต้องรู้สึกแบบไหน คมเขี้ยวยิ้มหึ “งั้นถ้าผู้ชายคนไหนทำแบบนั้นกับคุณ คุณก็คงรักผู้ชายคนนั้นง่ายๆ สินะ”
เรียวจันทร์หน้าตื่น สั่นหัวรัวๆ “เปล่านะ! ไม่ใช่แบบนั้น คือว่า…”
ร่างเล็กจิ๊ปาก นึกอยากตบปากตัวเองแรงๆ แต่ก็กลัวปากแตกแล้วเลือดจะกลบปากทำให้ริมฝีปากเป็นแผล เดี๋ยวทาลิปไม่สวย นางเลยตั้งสติ รีบประมวลคำพูดตัวเองใหม่
“ฉันรักก็คือฉันรัก ไม่ใช่รักเพราะมีเซ็กส์กับนาย แต่ฉันรักนายด้วยความรู้สึกฉันจริงๆ นะ!”
“คุณเข้าหาผมเพราะคิดจะปลดหนี้เพื่อตัวเอง แล้วตอนนี้คุณกำลังบอกรักผม…” คมเขี้ยวยิ้ม แต่เป็นยิ้มขื่น
“…ถ้าคุณอยากจะกล่อมให้ผมขายที่นะ รีบทำซะ เพราะตอนนี้ผมแม่งโคตรหลงคุณเหมือนไอ้โง่คนนึงเลย!” เรียวจันทร์กัดริมฝีปากล่างด้วยความปวดใจ
“นายไม่ได้โง่!”
“แต่คุณก็ทำให้ผมโง่ไปแล้ว”
“ก็ถ้านายคิดว่าตัวเองโง่ ฉันก็กำลังทำให้นายฉลาดอยู่นี่ไง ฉันไม่เคยคิดว่านายโง่ การกระทำฉันอาจจะทำให้นายรู้สึกแบบนั้น แต่ฉันไม่เคยคิดว่านายโง่เลยนะ!” เรียวจันทร์พูดเสียงดังขึ้นอีกนิด ในใจก็หวาดกลัวไปหมด กลัวว่าคมเขี้ยวจะไม่เข้าใจ
“ชีวิตนี้คุณต้องเล่นละคร วางแผนมากมายเพื่อให้ได้อะไรมาตามที่ใจต้องการขนาดนี้เลยเหรอ” คมเขี้ยวไม่ได้ด่า ไม่ได้ว่า ไม่ได้ตั้งคำถามให้อีกฝ่ายตอบ เหมือนเป็นการรำพึงออกมาด้วยความสงสัยมากกว่า
“เขี้ยว ตอนนี้ฉันไม่มีแผนอะไรในใจทั้งนั้น ฉันมีแค่ความรู้สึกระหว่างเราสองคน” เรียวจันทร์บอกอย่างใจเย็น พยายามที่จะไม่เสียงดัง พยายามที่จะไม่ใจร้อน เพราะสถานะตอนนี้นางคือคนสารภาพผิดอยู่
“คุณยังทำไม่สำเร็จนี่ ผมยังไม่ได้ขายที่ให้ไอ้จอมทัพ แน่ใจแล้วเหรอว่าไม่มีแผนอะไรอีก” คมเขี้ยวพูดนิ่ง ยิ้มเยาะหน่อยๆ ซึ่งรอยยิ้มนั้นทำให้เรียวจันทร์น้ำตาคลอเบ้าทันที จากรอยยิ้มกว้างใจดีที่มีให้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้มันแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่นางเกลียด
“ไม่มี!...” เรียวจันทร์กระแทกเสียงพร้อมกับน้ำตาไหลและเริ่มสะอื้นเล็กๆ
“ไม่มีแผนอะไรทั้งนั้น ฉันอยากอยู่กับนาย ฮึก ฉันไม่คิดจะไปไหน ฉันรักฟาร์มอรุณพยัคฆ์ ฮึกๆ ฉันรักเจ้าของฟาร์ม ฉันรักทุกคนที่นั่นอาจจะเว้นคนสองคน แต่ฉันรู้สึกว่าที่นั่นคือบ้าน…” คมเขี้ยวสะดุดกึกกับประโยคท้าย
ใช่… นั่นคือบ้านของเรียวจันทร์จริงๆ
“…ตอนแรกฉันอาจจะไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น ฮึก แต่พออยู่ไปนานๆ ความรู้สึกมันก็เปลี่ยนไป ฟ้ายังมีหม่น ฝนยังมีวันแล้ง สลากยังมีกินแบ่งเลยอะ แล้วทำไมใจฉันจะรักนายและรักที่นั่นขึ้นมาบ้างไม่ได้ล่ะ ฮือออ” เรียวจันทร์ร้องไห้โฮจากที่ตอนแรกกะว่าต้องเข้มแข็ง ต้องบอกด้วยความตั้งมั่นและมั่นคงเพื่อไม่ให้เหยาะแหยะ แต่เพราะหัวใจมันสั่นไหวมากไปเลยต้านไม่ไหวแล้ว
“รู้มั้ยว่าฉันกลัวจะเสียนายไปมากแค่ไหน แล้วนายยังจะมาพูด…” เสียงเรียวจันทร์ขายหายไปในลำคอเพราะก้อนสะอื้น ใบหน้าสวยเบะปาก เปลือกตาปิดน้ำตาไหลพราก ไม่ห่วงสวยห่วงเป๊ะอะไรอีกแล้ว
“ร้องไห้ทำไม คนที่ต้องเสียใจคือผม” คมเขี้ยวถามกลับ ความโกรธลดลงพอให้ใจเย็นบ้าง เขาก็ไม่อยากถือศักดิ์ศรีอะไรมาก แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียเหลี่ยม
“แล้วคิดว่าฉันไม่เสียใจรึไงเล่า!” เรียวจันทร์กระแทกเสียง ยกสองมือขึ้นเช็ดน้ำตาเหมือนเด็กน้อย ส่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นแบบไม่มีฟอร์มใดๆ ทั้งสิ้น
“เล่นละครอยู่รึเปล่าเนี่ย” อดถามไม่ได้ ไม่ได้ประชดด้วย แม่ตัวดียิ่งแอคติ้งเก่งๆ อยู่
เพี๊ยะ!
“อ้าว! ตบอีกละ มันเจ็บนะเนี่ย!” คมเขี้ยวถลึงตาดุใส่เรียวจันทร์ที่ตบแก้มซ้ายเขาเต็มแรง ครั้งก่อนก็แก้มขวา ตบครบสองแก้มแล้วเนี่ย
“กล้าดียังไงมาว่าฉันเล่นละคร! ฉันร้องไห้จริงนะ ไอ้… เขี้ย ฮื่อ! ฮื่อ!” น้ำตาไหลอย่างมิอาจห้ามได้ เสียงสะอื้นหนักขึ้นจนไม่อาจจะพูดอะไรได้อีก
คมเขี้ยวมองคนตรงหน้าที่ยกมือเช็ดน้ำตาสะเปะสะปะและสะอื้นเหมือนใจจะขาดก็ถอนหายใจเบาๆ ดึงร่างเล็กเข้ามากอด เรียวจันทร์ปล่อยโฮกว่าเดิม ซุกหน้าเข้ากับอกคมเขี้ยว สองแขนกอดร่างสูงไว้แน่นราวกับกลัวคมเขี้ยวจะหายไป
“นอนเถอะ” คมเขี้ยวยกมือซ้ายขึ้นลูบหัวเรียวจันทร์เบาๆ ทั้งที่สีหน้าตัวเองก็ยังไม่ได้รู้สึกดีขึ้นสักเท่าไหร่
ร่างสูงพาร่างเล็กนอนบนเตียง วงแขนโอบไหล่ที่สั่นสะท้านเพราะร้องไห้ มือขวายกขึ้นลูบเส้นผมสีโค้กแผ่วเบา ดวงตาคมเหม่มองเพดานไปเรื่อย ปล่อยความคิดให้ไหลวนไปอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด เรียวจันทร์นอนกอดคมเขี้ยวแน่น แก้มซ้ายวางบนอกหนา ปล่อยน้ำตาไหลลงบนเสื้อยืดสีเข้มจนเปียกชุ่ม
“เงียบได้แล้ว”
“โกรธฉันอยู่ใช่มั้ย” คมเขี้ยวนิ่งไปพักใหญ่ ได้ยินเสียงสูดน้ำมูกสลับกับเสียงสะอื้นแล้วก็หลับตาลงก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
“ไม่โกรธ”…แต่จะให้ไม่รู้สึกอะไร ไม่ถือสาใดๆ เลยก็ไม่ได้อีก
เรียวจันทร์แหงนหน้าขึ้นจูบปลายคางคมเขี้ยวเบาๆ และเอาหน้าซุกเข้ากับซอกคออีกฝ่าย และพยายามที่จะหยุดร้องไห้ พยายามที่จะนิ่งไม่ให้ตัวเองงอแงไปมากกว่านี้ คมเขี้ยวถอนหายใจ ลดมือขวาลงไปลูบแขนเรียวจันทร์แทนหัว มือซ้ายยกขึ้นมาจับมือซ้ายของคุณนายไว้ หลับตาลง ปล่อยให้ความหนักหัวหนักใจค่อยๆ เบาลงไปกับการนอน
เปลือกตาร่างบางเปิดขึ้นเพราะได้ยินเสียงปลุกนาฬิกาที่โต๊ะหัวเตียง เรียวจันทร์บิดตัว เอื้อมแขนขวาไปคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาปิดเสียงเตือน พอมองหน้าจอก็เห็นว่าเป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าแล้ว พอหันกลับไปเพื่อจะปลุกคมเขี้ยวก็เห็นแต่ความว่างเปล่า หัวใจนางกระตุกวูบ แต่ก็บอกตัวให้เองให้ใจเย็น ใช้สองแขนดันร่างตัวเองลุกขึ้นและมองไปรอบห้องที่เงียบเชียบ มีเพียงเสียงแอร์ที่ดังแผ่ว
เรียวจันทร์ปลดล็อคมือถือ กดเบอร์คมเขี้ยวแล้วโทรออก แต่ปลายสายติดต่อไม่ได้ นางถลกผัวนวมออกจากตัว เดินเข้าไปดูในห้องน้ำก็ไม่เห็นวี่แวว พอออกมาจากห้องน้ำก็มุ่งตรงไปที่ประตูห้อง จังหวะที่กำลังจะก้าวออกจากห้องนอน สายตาก็เหลือบไปเห็นตะกร้าเสื้อผ้าที่มีเสื้อผ้าชุดที่คมเขี้ยวใส่เมื่อคืนอยู่ข้างใน เรียวจันทร์ทิ้งเสื้อผ้าลงตะกร้า รีบเดินออกจากห้อง วิ่งลงบันไดเข้าไปในครัว เจอป้าอุ่น ลุงอ๊อด ชายชราผมขาวทั้งหัวและหลานชายกำลังช่วยกันทำกับข้าว
“ป้าอุ่น เห็นคมเขี้ยวมั้ย” คนถูกถามทำหน้างงแปบหนึ่ง ก่อนที่หลานชายจะเป็นคนตอบ
“อ๋อ พี่เขาออกไปข้างนอกตั้งแต่ตีห้าแล้วครับพี่เรียว” ริมฝีปากสีชมพูเผยอขึ้นด้วยอาการใจหายวาบ
“ไปไหน เขาบอกรึเปล่าว่าไปไหน” แก๊ปขมวดคิ้วแล้วส่ายหัว
“ไม่ได้บอกอะพี่เรียว แก๊ปตื่นมาก็เห็นเขาเดินพรวดๆ ไปขึ้นรถกระบะที่หน้าบ้านแล้ว” เรียวจันทร์เบิกตากว้างขึ้นอีกนิดด้วยความตกใจ
“มีรถมารับเขาเหรอ”
“ครับ รถกระบะสีดำคันใหญ่ พอขึ้นรถได้ก็ออกไปเลย” เรียวจันทร์รู้สึกตัวชา น้ำตาตั้งท่าจะเอ่อเต็มขอบตา
“มีอะไรรึเปล่าครับคุณหนูเรียว” ลุงอ๊อดถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นสีหน้าซีดๆ ของเจ้านายตนเอง คนถูกถามสั่นหัวเบาๆ แต่สีหน้าอย่างกับคนไร้สติ ก่อนที่จะหมุนตัววิ่งกลับขึ้นไปบนบ้าน ทิ้งความงงและสงสัยไว้ให้สามคนที่เหลือ
กรี๊ดดดด ขุ่นแม่ >__< ผัวหนีอะ
ตอนแรกจะอัพตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นๆ แล้วค่ะ แต่ติดแพ็คหนังสือ ทำกับน้องสองคนเลยช้าเชียว ลากยาวมาจนถึงเดอะเฟซ กำลังตรวจหาคำผิด เพลิงพระนางก็มาละ 555555 ไม่ได้พัก แต่สุดท้ายวันนี้ก็มาแล้นน้าาาา
กลับมาที่ขุ่นแม่เรียว ในที่สุดก็ได้สารภาพกับสามี แม้จะเป็นในจังหวะที่แสนจะบีบหัวใจตัวนางและไม่ใช่จังหวะที่หวังไว้ ดันมีคนชิงตัดหน้าบอกก่อน ซึ่งคือใครคะ แม่ของแม่ เจ๋ออีกแล้วววว เขาตั้งใจจะบอกกันอยู่แล้วย่ะ นี่แม่แม่เรียวจริงมั้ย ขุ่นแม่ร้องไห้น้ำตานองหน้าไปหมด ตื่นมาผัวหายอีก เหยเหยอีแม่เหย รีบวิ่งไปตามผัวแปบ
เอาจริงๆ ตอนตอมเขียนตัวละครโรสิตา หรือแม่ของเรียวจันทร์ขึ้นมา ตอมคิดหนักตรงที่ว่า เฮ้ย จะมีแม่แบบนี้อยู่มั้นยนสังคม แต่หลายๆ ครั้งเราก็เห็นจากข่าวเรื่องแม่และลูกในหลายๆ ประเด็นที่ไม่ใช่ประเด็นดีๆ ตอนที่เขียนความรู้สึกคมเขี้ยวว่า ตัวเขามีแม่ที่ดี พอมาเจอแม่เรียวจันทร์เหมือนได้เปิดโลกใหม่เลย ตอมเป็นอย่างนั้นตอนที่เราโตขึ้น ได้เสพข่าวมากขึ้น หรือเสพความจริงรอบตัวมากขึ้น ว่าเออ ผู้หญิงบางคนแค่ตั้งท้องแล้วคลอดเด็กออกมาเท่านั้นแหละ แต่ในฐานะแม่คุณแย่มากจริงๆ ปลิงตัวนี้ใหญ่มากและเกาะแน่นมากจริงๆ ค่ะ
แล้วเขาจะอย่างไรกันต่อนั้น เราก็ต้องมาตามกันต่อในตอนถัดไปค่ะ ครุคริๆ พี่เขี้ยวหนีไปแบบนี้ ขุ่นแม่ต้องตามหาโวยๆ นะคะแม่ / ไปหอคำ!
เป็นกำลังใจให้ขุ่นแม่เรียวในการชิงบัลลังก์ตั่งทองกลับมาด้วยนะคะ