คาถาที่ 26 :: I can't. (ฉันทำ... ไม่ได้) [ครึ่งแรก]เสียงล้อรถบดกับพื้นดินจนน้ำที่ขังบางหย่อมกระจายเมื่อโดนล้อกระแทกใส่ในยามเย็นพระอาทิตย์ใกล้ตก เหล่าคนงานหันไปมองรถยนต์สีฟ้าคุ้นตาของนายแบบหนุ่มที่มาอยู่ฟาร์มนี้ได้สามเดือนแล้ว ทุกคนแค่หันไปมองแล้วก็หันกลับไปสนใจหน้าที่ของตนเองต่อเพราะคิดว่าหนุ่มหน้าหวานกลับมาฟาร์มตามปกติ แต่ใครจะรู้ว่าหนุ่มหน้าหวานยามนี้พกพายุลูกโตมาด้วย
เสียงเบรกรถดังเอี๊ยดตรงหน้าประตูบ้านใหญ่ เรียวจันทร์เปิดประตูรถออกมาสัมผัสกับบรรยากาศเย็นและเฉอะแฉะ ขาวยาวๆ ก้าวออกจากรถแล้วปิดประตูดังปัง ใบหน้าทั้งเสียใจทั้งโกรธปนกันมั่วจนไม่รู้จะเลือกหน้าไหนเป็นสีหน้าหลักของตัวเองในยามนี้ คุณนายเดินลิ่วๆ เข้าไปในบ้านใหญ่ ค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นการเดินที่เร็วมากจนอาจทำให้รันเวย์หักได้หากใช้สเต็ปนี้
ร่างบางโผล่พรวดเข้าไปในบ้าน ไม่มีคนอยู่ทั้งในห้องโถง ห้องครัว ห้องทานข้าวและระเบียงหลังบ้าน นางเลยเดินไปทางห้องนอนคมเขี้ยว แต่เปิดเข้าไปก็พบเจอแต่ความว่างเปล่า เลยรีบเดินออกจากบ้าน ขณะที่กำลังเดินลงบันได เรียวจันทร์ก็มองเห็นดินอยู่นอกรั้วบ้านแว้บๆ
“ดิน!” เจ้าของชื่อหันรีหันขวางมองหาต้นเสียง สักพักก็เห็นขวัญใจตัวเองโผล่ออกมาจากในตัวบ้าน
“อ้าวคุณเรียว”
“พี่ชายดินอยู่ไหนเหรอ” แม้จะใจร้อน แต่เรียวจันทร์ก็ยังมีสติที่จะไม่ใช้น้ำเสียงแว้ดๆ ใส่คนอื่นที่เขาไม่รู้เรื่องด้วย รึอาจจะรู้แต่เขาก็ไม่ใช่เจ้าตัว
“อยู่ข้างฟาร์มนู่นครับ พาไอ้เดือนหงายไปเดินเล่น” ดินชี้ไปที่พื้นที่นอกรั้วฟาร์มที่เป็นทุ่งหญ้ากว้างติดกับภูเขา เรียวจันทร์อยากจะปรี๊ดให้แตกกลางฟาร์ม ในขณะที่นางร้อนใจแทบไฟไหม้ ถ่ายหนังแบบสมาธิมีบ้างไม่มีบ้างจนผู้กำกับเกือบด่าแม่ (ซึ่งนางจะยอมให้ด่าแน่นอน) แต่ไอ้เขี้ยวกุดกลับพาไอ้ม้าตัวดีไปเดินเล่น!
“เมื่อเช้ามืดพี่เขี้ยวให้ดินไปรับที่บ้านหลังนึง ไม่รู้ว่าบ้านใครเหมือนกันครับ กลับมาก็นิ่งเงียบ ไม่พูดไม่คุยกับใครเลย” เรียวจันทร์พ่นลมหายใจออกทางจมูกแผ่วเบา พายุที่รอพร้อมถล่มค่อยๆ หมุนช้าลง แต่ถ้าโดนมวลอากาศกดต่ำเกินไปรับรองเลยว่านางฟาดพายุใส่แน่ๆ
“ขอบคุณมากนะดิน” เรียวจันทร์ยกมือตบบ่าหนาของปฐพีไปสองสามที ก้าวเท้าเดินไปตามทางที่พาไปสู่ทุ่งหญ้าข้างฟาร์ม ดินมองตามงงๆ เมื่อเช้าพี่เขี้ยวก็เงียบ ไม่พูดไม่จา ไม่มีแอคชั่นอะไรเลยก็ว่าได้ มาตอนนี้คุณเรียวก็ดูจะพร้อมเหวี่ยงได้ทุกเมื่อ
เรียวจันทร์เดินไปตามถนนดินแฉะๆ อย่างที่ไม่กลัวว่ารองเท้าผ้าใบราคาแพงจะเปื้อน ถึงเปื้อนนางก็ไม่สนใจ ตอนนี้ใจนางอยากจะเคลียร์กับผู้ชายคนนั้นให้รู้เรื่องมากกว่า เดินมายังไม่ทันถึงรั้วที่จะข้ามไปอีกฝั่ง ขาเรียวยาวก็หยุดเดินเพราะเจอเป้าหมายของตัวเองกำลังนั่งอยู่บนหลังม้าสีดำมันวาวที่กำลังเดินมาทางนี้ คมเขี้ยวสบตากับนางนิ่ง เรียวจันทร์ก็ยืนรออีกฝ่ายนิ่งเช่นกัน
“…” ต่างคนต่างเงียบแม้จะอยู่ในระยะใกล้กันแล้ว คมเขี้ยวดึงเชือกให้ม้าสีดำมันเลื่อมตัวใหญ่หยุดเดิน เรียวจันทร์สูดลมหายใจเข้าปอดได้ก็ไม่รีรออะไรทั้งสิ้น
“หนีกลับทำไม จะเอายังไงทำไมไม่พูด ทิ้งฉันอย่างนั้นได้ยังไง หรือต้องการจะบอกว่าพร้อมจะทิ้งฉันแล้ว งั้นก็พูดมาตรงๆ สิ!” เรียวจันทร์มองหน้าคมเขี้ยวด้วยความผิดหวัง เสียใจยังไม่เท่าผิดหวังกับการที่อีกฝ่ายทำแบบนี้
“แล้วถ้าผมบอกว่าเราไม่ต้องยุ่งกันอีกล่ะ” เรียวจันทร์สะดุดกึก น้ำตาคลอเบ้าอย่างไม่ทันห้าม หัวใจกระตุกไปหนึ่งทีแล้วก็เหมือนมันจะไม่เต้นอีก
แต่ถึงอย่างนั้นคุณนายแม่ก็สะกดอารมณ์ข่มความน้อยใจของตัวเองให้มิด เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย
“ถ้านายต้องการอย่างนั้น ฉันก็จะทำตาม” ริมฝีปากชมพูสดขยับพูดเสียงราบเรียบ ดวงตาสุกใสไหวระริก น้ำตาทอประกายเล็กๆ กับแสงแดด
คมเขี้ยวมองร่างบางด้วยสายตาที่เดาไม่ออก จนเรียวจันทร์รู้สึกอึกอัดและพูดออกมาด้วยความหงุดหงิดปนโมโห “จะพูดอะไรก็พูดมา ไม่ต้องมาทำมองนิ่ง ฉันไม่ใช่ลอร์ดโวลเดอร์มอร์ ฉันอ่านใจนายไม่ออกหรอก!”
“ไหนว่ารักผมจริง” คิ้วเรียวสวยขมวดฉับ
“เอ๊ะ?!”
“ปากบอกว่ารักผม แต่จะยอมแพ้ เชื่อได้มั้ยว่ารักกันจริง” เรียวจันทร์มองคนที่นั่งอยู่บนม้าด้วยความไม่เข้าใจ
“แล้วนายจะให้ฉันหน้าด้านอยู่ทั้งที่นายเมินเฉยกับฉันเงี้ยเหรอ?!”
“ปกติก็หน้าด้านอยู่แล้ว จะอายอะไร”
“ไอ้เขี้ยวกุด!!” คุณนายสบถออกมาดังลั่นด้วยความโกรธ ดวงตากวางน้อยแปรเปลี่ยนเป็นนางเสือพร้อมตะปบกรงเล็บใส่อีกฝ่าย เสียงนางดังจนม้าขยับเท้ากุบกับๆ ด้วยความตกใจ คนงานในละแวกใกล้เคียงยังหันมามองด้วยสายตาตื่นตระหนกเล็กๆ
“ฉันรักนาย แต่ดูที่นายทำกับฉัน ถ้าจะหนีมาแบบนี้ เมื่อคืนก็น่าจะเอาฉันก่อนก็ได้!” นางว่าทั้งที่น้ำตาไหลแหมะลงบนแก้มนวล ไม่คิดยกมือขึ้นมาเช็ดด้วย ไหลได้ไหลไป
“เอาไม่ลง ไม่มีอารมณ์” คมเขี้ยวว่านิ่งๆ เรียวจันทร์กัดฟันแน่นด้วยความเจ็บใจกับคำว่า เอาไม่ลง
ไอ้บ้านี่ ก่อนหน้าไม่กี่วัน ยังเอาฉันจนหมดแรง พูดอย่างกับฉันเสื่อมสภาพแล้วงั้นแหละ! นางเจ็บใจตรงนี้!
“งั้นนายก็คงไม่มีอารมณ์อยากจะเจอฉันอีก”
“ก็สร้างขึ้นใหม่ ทำได้มั้ย ทำให้เห็นหน่อยว่าจริงใจกับผมจริงๆ ไม่ใช่แค่พูดเอาตัวรอด” เรียวจันทร์มองอย่างสับสนปนโกรธเคือง นึกโมโหอยากด่าให้ไอ้บ้าหน้านิ่งขรึมลงมาคุยกันดีๆ
“เอาตัวรอดอะไร ฉันร่อแร่อยู่เนี่ย!” มาหาว่าเอาตัวรอด รอดอะไรล่ะ เมื่อเช้านางอาการแย่แค่ไหนไอ้เขี้ยวกุดไม่รู้หรอก เมื่อวานเพิ่งหน้าระรื่นอวดผู้ชายในกอง วันนี้หน้าหดเพราะผู้ชายหาย
คมเขี้ยวไม่โต้อะไร ทำเพียงมองหน้าสวยๆ ของเรียวจันทร์แล้วยิ้มหึมุมปากเหมือนเยาะน้อยๆ เรียวจันทร์ตีหน้าเคร่งใส่กับกิริยานั้น
“พี่เขี้ยว!” เสียงของดินดังขึ้นพร้อมกับร่างยักษ์ราวกับหมีป่าวิ่งมาทางที่ทั้งสองคนยืนอยู่
“ว่าไงไอ้ดิน”
“ไอ้คุณจอมทัพมา” เรียวจันทร์ใจหายวาบ ดวงตาเบิกกว้างมองคมเขี้ยวที่ขบกรามแน่น หัวใจเต้นระส่ำด้วยความไม่สบายใจ
“มันอยู่ไหน” เจ้าของฟาร์มถามเสียงนิ่ง
“อยู่ออฟฟิศพี่ พ่อกับแม่กำลังไป” คมเขี้ยวหันไปมองเรียวจันทร์แล้วยิ้มเยาะ
“มันมาถามว่าทำสำเร็จรึเปล่าละมั้ง…” นางล่ะเกลียดการประชดของไอ้เขี้ยวกุดจริงๆ !
“…พาขวัญใจมึงเดินกลับออฟฟิศด้วย” คมเขี้ยวกระตุกเชือก เจ้าม้าสีดำวิ่งเหยาะๆ ผ่านหน้าเรียวจันทร์กับดินไป ทิ้งให้เรียวจันทร์ยืนเป็นกังวล ทิ้งให้ดินยืนงงไม่เข้าใจ
“คุณเรียว…”
“…ไปออฟฟิศกันเถอะดิน” มือบางยกขึ้นปาดน้ำตาบนแก้ม ดินเบิกตากว้างที่เห็นคุณเรียวร้องไห้เลยเดินเข้าไปโอบกอดร่างบาง เรียวจันทร์หันไปมองดิน เม้มปากแล้วน้ำตาก็เอ่ออีกครั้ง
“ขอบใจนะ” เรียวจันทร์ยิ้มทั้งน้ำตา ดินสับสนไม่รู้ว่าต้องทำยังไง เลยได้แต่ลูบไหล่บางไปมาเป็นการปลอบ เรียวจันทร์กลืนน้ำลายลงคอและพ่นลมหายใจออกทางจมูกเบาๆ ยกสองมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากแก้มจนแห้ง
“ไปเถอะ” ใจจริงไอ้ดินก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้จะซื่อแต่ก็ไม่ได้โง่ถึงขั้นเอาเหตุการณ์ตั้งแต่เช้ามืดมาโยงกับเย็นนี้ไม่ได้
ทั้งสองคนเดินกลับมาที่ออฟฟิศ พอเปิดประตูเข้าไปด้านในก็เจอกับบรรยากาศอึมครึมพอๆ กับบรรยากาศด้านนอก ที่สดใสสุดคงจะเป็นรอยยิ้มของเสี่ยจอมทัพที่นั่งวางมาดสมคำนำหน้าว่าเสี่ย บัวบูชานั่งสีหน้าอึดอัดนิดหน่อย เมฆานิ่งแต่ก็สัมผัสได้ว่าพร้อมเหี้ยม ส่วนคมเขี้ยวมองจอมทัพด้วยความไม่ชอบใจอย่างแรง
“อ้าว สุดที่รักของผมมาละ” คุณนายนึกอยากจะตะบันหน้าอีตาเสี่ยแรงๆ ก็วันนี้ เอาแบบแรงกว่าที่เคยคิดก่อนหน้านี้ ไอ้รอยยิ้มทะเล้นไม่เป็นเวลานั่นยิ่งทำให้หน้าเสี่ยกวนตีนเข้าไปอีก
“งั้นก็พูดได้ละว่ามาทำไม” คมเขี้ยวบอกหน้านิ่งเสียงแอบเหี้ยมเล็กๆ จอมทัพยิ้มกริ่ม ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินเข้ามาโอบไหล่เรียวจันทร์ คุณนายขมวดคิ้ว พยายามสะบัดไหล่ออกจากการเกาะกุมแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะจอมทัพบีบจนไหล่แทบร้าวเหมือนเป็นการเตือนว่าถ้ายังพยศอยู่จะโดนหนักกว่านี้
“มาคุยเรื่องที่อีกอะดิ ไม่มีใครขายให้หรอก” ดินว่าอย่างหัวเสียเล็กๆ มองจอมทัพด้วยความไม่ชอบใจเหมือนพี่ชายตัวเอง คนโดนไล่หันไปมองด้วยท่าทีสบายๆ
“อ้าว สรุปคุณทำไม่สำเร็จเหรอที่รัก” หัวใจเรียวจันทร์เต้นแรงขึ้นตอนที่จอมทัพกดหน้าลงมองนางแล้วยิ้มอ่อนให้ นางรีบหันไปมองทุกคนอย่างรวดเร็ว มีคมเขี้ยวคนเดียวที่ทำหน้านิ่ง นอกนั้นมองนางด้วยความงงๆ นิดหน่อย
“ผมให้เวลาคุณตั้งสามเดือน แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความว่างเปล่าซะงั้น” แม้รูปประโยคจะดูดุ แต่สีหน้าและน้ำเสียงของจอมทัพกลับตรงกันข้าม เขายิ้มแย้มท่าทางไม่ขุ่นเคืองใดๆ แต่นั่นแหละที่เรียวจันทร์ไม่ชอบ
“คุณให้หนูเรียวทำอะไร” เมฆาถามอย่างข้องใจ มองหน้าจอมทัพนิ่ง เจ้าตัวกระตุกยิ้ม หันไปมองเรียวจันทร์ที่ทำท่าฮึดฮัดอยากจะออกจากอ้อมแขนตัวเองซะเหลือเกิน
แม้ปากจะยิ้มแต่มือที่บีบไหล่เรียวจันทร์กลับแน่นจนคุณนายนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
“คุณป๋าคะ…”
“…มันให้เรียวจันทร์มาติดต่อเรื่องซื้อที่ดิน” คมเขี้ยวชิงพูดขึ้นมาก่อนที่เรียวจันทร์จะทันได้ตอบ คุณนายหันไปมองคมเขี้ยวด้วยความเซ็งที่แย่งนางพูด
เมฆาและบัวบูชาขมวดคิ้วเข้าหากัน หันมองหน้ากันด้วยความงงงวย “ให้หนูเรียวมาซื้อที่ดิน? คือยังไง ก็ไม่เห็นหนูเรียวพูดอะไรนี่”
“ปกติลูกเพื่อนป๋าพูดมากตลอด แต่เรื่องนี้เขาเลือกจะเงียบ” เรียวจันทร์ถลึงตาใส่คมเขี้ยวและสะบัดจอมทัพออกในที่สุดด้วยความรำคาญ นางหันไปมองจอมทัพที่ปากยิ้มแต่ดวงตาวาววับจนเผลอใจเสียไปวูบหนึ่ง
“ที่เรียวไม่พูดเพราะสิ่งที่คิดไว้ตอนแรกมันกลับตาลปัตรหมด…” เรียวจันทร์หลับตา นึกคำพูดในหัวว่าควรใช้คำไหนยังไงดี
“…เรียวมาที่นี่เพราะเรื่องที่ดินจริง แต่นั่นคือความรู้สึกในตอนแรก แต่ความรู้สึกช่วงหลังๆ อาจจะ… หยุดเลยไอ้เขี้ยวกุด อย่าพูดแทรกนะ!” เรียวจันทร์ขู่ฟ่อเมื่อเห็นคมเขี้ยวยกมือขึ้นเบรกไม่ให้นางพูดต่อ แต่เจ้าของฟาร์มกลับไม่สนใจคำขู่นั้น
“จะมาพูดอะไรตอนนี้ ทีเรื่องอื่นล่ะพูดได้ แต่พอเป็นความผิดตัวเองกลับเก็บเงียบ” คมเขี้ยวว่าหน้าดุเสียงเข้ม เรียวจันทร์ทำสีหน้าหงุดหงิดใส่
“เขี้ยวจะขัดน้องทำไมล่ะ” บัวบูชาปรามเล็กๆ คมเขี้ยวมองเรียวจันทร์หน้าบึ้งหน่อยๆ คุณนายหน้านิ่วคิ้วขมวดกับท่าทีของพ่อแฟนตัวดี
“มีอะไรก็พูดมาเถอะจ้ะหนูเรียว” บัวบูชาหันมาบอกร่างเล็กอย่างใจดี เรียวจันทร์นึกหวาดกลัวในใจว่าถ้าบอกไปความใจดีที่มีให้นางจะยังอยู่มั้ย ไหนจะคุณป๋าที่ยังมีสีหน้าเคร่งเครียดนั่นอีก
“ตอนแรกเลยเรียวมาที่นี่ด้วยเรื่องที่ดิน เรียวเป็นหนี้คุณจอมทัพ เขาเลยเสนอว่าให้เรียวมาเกลี้ยกล่อมเจ้าของฟาร์มนี้ขายที่ให้ได้…”
“…อันที่จริงผมไม่ได้จะให้เรียวจันทร์มาเกลี้ยกล่อมหรอกครับ” เรียวจันทร์ที่กำลังขยับปากชะงักกึก หันไปมองจอมทัพที่ยิ้มละมุน และเดินกลับเข้ามาโอบไหล่นางไว้ตามเดิม นางหันไปมองคนอื่นๆ ทุกคนยกเว้นคมเขี้ยวที่มองด้วยความสงสัย พ่อเครางามขบกรามแน่นมองจอมทัพอย่างไม่พอใจ
แม้จะอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด แต่คุณนายแกก็แอบดีใจที่สัมผัสได้ว่าพ่อเขี้ยวกุดหึง
“อะไรของคุณ?” ร่างบางหันไปถามอย่างไม่เข้าใจและพยายามยกมือขึ้นแกะมือใหญ่หนาของจอมทัพออก แต่เจ้าของมือกลับบีบแน่นขึ้นและคราวนี้ไม่มีรอยยิ้ม มีเพียงใบหน้านิ่งและสายตาที่สื่อว่ารำคาญกับกิริยาสะดีดสะดิ้งนี้แล้ว เรียวจันทร์เลยเลือกยืนนิ่งๆ สร้างความพึงพอใจให้จอมทัพได้บ้าง
“ผมส่งเขามา กะให้มาเตือนความจำพวกคุณ” เรียวจันทร์หน้างงสักแปบก่อนที่จะขมวดคิ้วฉับ หันไปมองจอมทัพที่ยิ้มกริ่มไปให้ทางครอบครัวพยัคฆ์เกรียงไกร
“เตือนความจำ? ความจำอะไร?” เรียวจันทร์ถามด้วยความไม่เข้าใจ สี่คนที่เหลือก็ทำหน้าไม่เข้าใจ แต่ในขณะเดียวกัน เมฆาก็กำลังครุ่นคิดทบทวนคำพูดนั้นอยู่
“เตือนว่าควรคืนที่ดินให้เจ้าของตัวจริงได้แล้ว” และนั่นเองที่ทำให้เมฆากระจ่างว่าจอมทัพต้องการสื่ออะไร ทั้งสองมองสบตากันนิ่ง จอมทัพกระตุกยิ้มมุมปาก เมฆาผ่อนลมหายใจแผ่วเบา บัวบูชาหันไปมองสามีอย่างตระหนกเล็กๆ หน้าตึงๆ ของคมเขี้ยวคลายลงเพราะเข้าใจเช่นกันว่าจอมทัพพูดถึงอะไร คงมีแต่ดินกับเรียวจันทร์ที่ยังงงอยู่
“เก็บไว้กับตัวนานไป จนบางทีอาจเผลอคิดว่าเป็นของตัวเอง ผมเลยมาเตือน แต่ขนาดเจ้าของเขามาอยู่กับคุณถึงที่ ก็ยังนิ่งเงียบ” จอมทัพกล่าวนิ่งสงบเยือกเย็น ท่าทางก็ใจเย็นไม่รีบไม่ร้อน
“ช่วยแปลความหมายหน่อยได้มั้ย ฉันงง” เรียวจันทร์ว่าด้วยความหงุดหงิด เพราะนางแกทแพทเชื่อมโยงไม่ได้เลย รุ่นนางสอบโอเน็ตเอเน็ตนะยะ!
“คุณอาจจะคิดว่าผมกล้ามากที่มาเหยียบที่นี่ทั้งที่ผมเพิ่งทำเรื่องไม่ดีกับฟาร์มนี้ไป” พอเจ้าตัวพูดขึ้นมา เรียวจันทร์เลยนึกขึ้นได้ นางเบิกตากว้าง หันไปมองจอมทัพอย่างขุ่นเคือง แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกรุนแรง กลัวอีกฝ่ายจะสั่งลูกน้องที่รออยู่ด้านนอกทำอะไรฟาร์ม
“แต่ตราบใดที่มีเพียงคำพูด ไม่มีหลักฐานมัดตัวผมแน่ชัด ผมก็ยังมีสิทธิสู้คดีอยู่ จริงมั้ยครับ…” จอมทัพหันไปยิ้มอ่อนกับคมเขี้ยวที่ขบฟันและกำหมัดแน่น
“…วันนี้ผมแค่จะมารับตัวเรียวจันทร์กลับบ้าน พร้อมกับของๆ เขา”
“ไม่! ฉันไม่กลับ หนี้สินทุกอย่างฉันจะทำงานหามาใช้ให้เอง!” เรียวจันทร์หันไปตะเบ็งเสียงใส่คนข้างกายทันที แต่จอมทัพไม่สนใจ หันไปพูดกับครอบครัวพยัคฆ์เกรียงไกรต่ออย่างราบเรียบ
“ว่ายังไงครับ คืนให้เจ้าของเขาได้รึยัง…” เรียวจันทร์ขมวดคิ้วหงุดหงิด ไม่เข้าใจว่าใครเป็นเจ้าของอะไร พูดในสิ่งที่นางไม่เข้าใจอยู่ได้
“…คุณไม่ต้องทำงานหรอก แค่ให้ในสิ่งที่ผมอยากได้ก็พอ” จอมทัพหันหน้ากลับมาพูดกับนาง
“อะไรเนี่ย?! ให้อะไร ฉันไม่มีอะไรจะให้!” คุณนายพูดเสียงเหวี่ยงหน้าเหวี่ยงไม่แพ้เสียง
“ก็ที่ดินที่นี่ไง ที่ดินที่เป็นของคุณ” เรียวจันทร์ขมวดคิ้ว อ้าปากค้าง พอๆ กับดินที่อ้าปากหวอสีหน้ามึนงง
“อะไร? ที่ดินไหนเป็นของฉัน บ้ารึเปล่า ฉันไม่มีที่ดินอะไรทั้งนั้นแหละ” ที่ดินที่เดียวที่นางมีก็บ้านนางนั่นไง
“มีสิหนูเรียว” เรียวจันทร์หันไปมองเมฆาสีหน้าสับสน
“ในที่สุดก็บอกสักทีนะครับ” จอมทัพยิ้มอ่อน เมฆาถอนหายใจแผ่วเบา แล้วว่าเสียงเรียบ
“ไอ้อาทิตย์เป็นเจ้าของที่ดินตรงนี้ทั้งหมด และทั้งหมดนี้ มันยกให้หนูคนเดียว” เมื่อกี้ว่าเหวอแล้ว ตอนนี้นางเหวอยิ่งกว่าเดิม เพิ่มเติมคือความมึนเข้าไปอีกระดับ
“อะไรนะคะ ที่ดิน? หมายถึงที่ฟาร์มเนี้ยอะเหรอ” เมฆากดหน้าลงหนึ่งทีเป็นการยืนยัน แม้จะมึนงงสับสนไม่เข้าใจเต็มที่ แต่ก็เริ่มจับใจความได้คร่าวๆ แล้วว่าเรื่องราวมันออกมาในรูปแบบไหน
“จากยาจก ไม่สิ ต่ำไป จากคนที่ทำงานหาเช้ากินค่ำ หาค่ำกินเช้าบ้างอย่างเรียวกลายเป็นทายาทที่ดินราคาร้อยล้านงั้นเหรอ?” คุณนายอึ้งไปนิดกับชีวิตตัวเอง ที่ตอนนี้ทำท่าจะพลิกไปในทางที่ดีเกินคาดซะเหลือเกิน
“มากกว่าร้อยล้านอีก” จอมทัพแก้ให้กับราคาที่ดินของเรียวจันทร์ เจ้าของที่ดินที่เพิ่งรู้ตัวว่ามีมรดกตกทอดมาถึงตัวเองเบิกตากว้างขึ้นอีกนิด
“ป๋าขอโทษนะที่ไม่ได้บอก แต่ป๋าไม่เคยคิดจะฮุบเป็นของตัวเอง” เรียวจันทร์ที่ตั้งสติกับเรื่องราคาที่ดินที่มากกว่าร้อนล้านได้แล้วหันไปหาคนพูด
“เรียวก็ไม่คิดแบบนั้นค่ะ อันที่จริงตอนนี้เรียวยังคิดอะไรเป็นจริงเป็นจังไม่ได้เลย…” นางตวัดตาไปมองคมเขี้ยวที่มองกลับมาด้วยสายตาอ่อนล้าเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปมองจอมทัพ
“…งั้นถ้าฉันเป็นเจ้าของ ฉันก็มีสิทธิที่จะขายหรือไม่ขายให้กับใครก็ได้ และฉันไม่ขายให้คุณ” เอาเป็นว่ารายละเอียดใดๆ นางยังไม่คิดถาม แต่ขอเล่นประเด็นที่ต้องตัดจบให้รู้เรื่องที่สุดก่อน
จอมทัพหรี่ตามองเรียวจันทร์ ใบหน้ามีแววเหี้ยม “คุณแน่ใจนะที่พูดแบบนั้น”
เกิดความรู้สึกสะอึกในอกของคุณนาย นางรู้สึกผวากับน้ำเสียงและสีหน้าแสนเยือกเย็นของจอมทัพที่กำลังแสดงออกอยู่ในตอนนี้ มันไม่ใช่แค่ความเยือกเย็น แต่นางรู้สึกถึงความเลือดเย็นเลยต่างหาก
เม้าท์เม้าท์เม้าท์กะขุ่นเจ้
แอร๊ยยยย พี่เขี้ยวทำไมหนีมาแบบเน้ ขุ่นแม่แย่เลยนะคะ แต่เอาจริง ขุ่นแม่ก็แย่เพราะมุบมิบอุ๊บอิ๊บไว้เองอะน้าาาา
แต่กรี๊ดดดด เสี่ยมาค่าาา >O< ยังไงคะ จะบรรลัยมั้ยงานนี้ อีรุงตุงนังมั่วซั่วไปหมด คุณแม่รู้ความจริง และอีเสี่ยก็ขู่เข็ญจะเอาที่ดิน
หมดสิ้นผืนแผ่นดินนนน ต้องพลาดพลั้งหมดทางงง เพราะเพลิงงง พระนางงง ครองจิตใจจจจ
ใจเต้นตุบๆ รู้สึกผวาไปกับขุ่นแม่ค่ะ เสี่ยไม่ได้มาในมาดบนเตียงที่อ้อล้อ หยอกเอินขุ่นแม่อีกแล้ว
พี่เขี้ยวก็ยังเคืองไม่หาย เรียกได้ว่าความเขี้ยวไม่ทันหาย ความทัพก็เข้ามาแทรกอีก อีแม่เรียวใจบ่อดีเลยค่ะลูกว่า
อย่างไรเสีย พวกเจ้าจงเป็นกำลังใจให้แม่ด้วย ให้แม่ฝ่าฟัน ผ่านพ้นวันอีรุงตุงนังนี้ไปให้ได้
เจอกันอีกครึ่งที่เหลือนะเจ้าคะพระนางเจ้า
แท็ก #WorksTheMagic หรือ #คมเขี้ยวเรียวจันทร์