-1-
หลังจากชะลอรถเพื่อหาสถานที่จัดงานแต่งงานอยู่นานสองนาน ในที่สุดก็เจอเสียที โรงแรมนี้แหละมั้งที่จัดงานแต่งงานของไอ้พิวัฒน์ หมอหักพวงมาลัยรถเก๋งเลี้ยวเข้าไปในบริเวณโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง
โชคดีจริงๆ ที่มาถึงโดยไม่หลงทาง! นานแสนนานแล้วที่หมอไม่ได้ขับรถออกไปไหนไกลขนาดนี้ วันๆ วนเวียนอยู่แค่บ้าน โรงพยาบาล และคลินิก แค่นั้นก็แทบจะไม่มีเวลานอนแล้ว นับประสาอะไรกับงานบวชงานแต่งของเพื่อน
“ให้ตายสิหมอ! นึกกว่าจะมาไม่ได้ซะแล้ว!!” เสียงเจ้าบ่าวสุดหล่อร้องทักทันทีที่เจอหน้า ทำให้รอยยิ้มของหมอกร่อยลงทีละน้อยระหว่างเดินไปหาแล้วยื่นกล่องของขวัญให้เพื่อนหน้าห้องจัดเลี้ยง
“รู้หรอกน่า ว่าไม่ค่อยมีเวลาพอจะไปสังสรรค์ได้บ่อยๆ แต่ก็อย่าทักแบบแทงใจดำขนาดนั้นได้ไหม?”
“รู้ไงว่าหมอยุ่ง ถึงจะมาไม่ได้ เพื่อนก็ไม่โกรธหรอก”
“ขอบใจที่เข้าใจ โชคดีหน่อยที่นายแต่งงานช้านะ ถ้าแต่งตอนเอกเทิร์นก็คงมาไม่ได้จริงๆ อ่ะ”
“สามสิบกันแล้วนะหมอ อยากพักแล้วสร้างครอบครัวซะที ว่าแต่หมอเถอะ อยู่คนเดียวไม่เหงาเหรอ?”
“วันๆ อยู่แต่ที่โรงพยาบาล เอาเวลาที่ไหนหาแฟน”
“ถ้าไม่ได้ไปไหนก็จีบพยาบาลไม่ก็คนไข้สิ ง่ายดี!”
หมอยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไร พูดมันก็เหมือนง่าย แต่ปัญหาคือ มีแฟนแล้วจะหาเวลาที่ไหนให้แฟนต่างหากล่ะ
หมอเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ว่างข้างๆ อิฐ เพื่อนสนิทอีกคนที่เพิ่งไปตามหมอที่โรงพยาบาลเมื่อครู่นี้ ที่นั่งข้างๆ อิฐมีชายหนุ่มหน้าขาวคนรักของเขานั่งจิบเครื่องดื่มเงียบๆ ไม่สนใจแขนยาวของอิฐที่โอบไหล่แสดงความเป็นเจ้าของนั้นเลย
“เป็นไงบ้างหมอ ไม่เจอกันนานเลยนะ”
หมอหันไปยิ้มให้เพื่อนคนอื่นๆ ในโต๊ะ อยากจะขอโทษจริงๆ ที่ไม่ว่างมาให้เจอ แต่ถ้าในครอบครัวของใครมีหมอก็คงเข้าใจว่าตารางชีวิตของหมอไม่ได้ว่างมากขนาดนั้น
บางครั้ง ถ้าอยากจะเจอหมอ อาจจะต้องไปหาที่โรงพยาบาล
ซึ่งปกติจะไม่ค่อยมีคนว่างมากขนาดนั้นเช่นกัน ยกเว้น... อิฐ
หมอเผลอเอานิ้วเคาะโต๊ะทำงานเพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเองเมื่อเห็นคนไข้ “หน้าเดิม” เดินเข้าห้องตรวจอีกครั้งในตอนบ่ายวันต่อมา
“วันนี้ เป็นอะไรมาครับ” หมอถามเรียบๆ ในใจพยายามคิดไปในแง่ดีว่า คนไข้อาจจะมีโรคอื่นต้องปรึกษาไม่ใช่โรคเดิม ซึ่งเป็นอีกครั้งที่หมอเดาผิด!
“ผู้ชายท้องไม่ได้จริงเหรอครับ?” คนไข้ถามซ้ำอย่างจริงจัง
“ใช่ครับ” และหมอก็ตอบอย่างจริงจังเหมือนกัน
“มันต้องมีทางสิ แล้วทำไมทีผู้หญิงยังท้องได้ล่ะ?”
“อย่าให้หมอต้องอธิบาย “how a baby is made” เลยนะ มันจะยาวไป เอาเป็นว่าอย่าเถียงหมอดีกว่าครับ หมอรู้ หมอเรียนมา” หมอเห็นคนไข้ก้มหน้าสลดลงก็เข้าใจว่าเขาจะเข้าใจสิ่งที่หมอพูดแล้วล่ะ เลยคิดว่าคงจะจบการรักษาได้สักที
“หมอคงช่วยอะไรคุณไม่ได้อ่ะครับ ขอโทษด้วยนะ”
แต่ที่ไหนได้เขากลับลุกพรวดพราดลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วส่งสายตาเขียวมายังหมอ
“ผมไม่เชื่อว่าหมอทำไม่ได้ ความจริงหมอทำได้ แต่ไม่อยากทำมากกว่า!”
“ฮะ!”
“ผมไม่ยอมแพ้หรอก แล้วผมจะมาอีก” กล่าวก่อนจะสะบัดหน้าพรืดเดินไปที่ประตูห้อง
คำพูดทิ้งท้ายของคนไข้ทำเอาหมอถึงกับเหวอ
อยากรู้จริงๆ ว่าเค้าไปเอามั่นใจแบบนี้มาจากไหน?
หมอเดินหมุนคอไล่ความเมื่อยขบขณะเดินออกจากโรงพยาบาลตอนสามทุ่มกว่า บ้านหมออยู่ไม่ไกลมากครับ ปั่นจักรยาน 5 นาทีก็ถึงทางเข้าหมู่บ้านของหมอแล้ว ถนนในหมู่บ้านกว้างขวางมีแสงสว่างตลอดทางแต่เงียบ ดังนั้นเมื่อมีเสียงรถขับตามมาจึงทำให้เป็นที่สังเกต
หมอไขกุญแจรั้วบ้านขณะที่รถ 5 ประตูคันหนึ่งจอดติดเครื่องอยู่ห่างๆ และเมื่อเดินเข้าบ้านก็เหลือบเห็นร่างหนึ่งเดินลับๆ ล่อๆ วนอยู่หน้าบ้าน หมอขมวดคิ้วอย่างสงสัยเปลี่ยนใจจากเดินเข้าบ้านเป็นย้อนกลับมาที่ประตูรั้ว มองลอดผ่านออกไปเจอหน้าคนที่ไม่ควรเจออีกครั้ง
“ตามมาทำไม เป็นสโตกเกอร์เหรอไง” หมอถามอย่างข้องใจ ไปยังบุคคลน่าสงสัยที่ยืนยิ้มแหยอยู่หน้าบ้าน
“แหะๆ” เสียงหัวเราะแก้เก้อของคนโรคจิตทำให้หมอถอนใจยาวอย่างระอา
“เอ่อ... นี่บ้านหมอเหรอครับ” คนถูกถามเปลี่ยนเรื่องซะเฉยๆ
“ใช่”
“ทำไมมืดจัง อยู่คนเดียวเหรอครับ”
“ใช่ อยู่คนเดียว” หมอเริ่มทำเสียงแข็งเป็นเชิงว่ารำคาญมากแล้ว
“เอ่อ....”
“กลับบ้านไปซะ หมอจะเข้าบ้านแล้ว”
“หมอครับ คือผม...”
“นี่... รู้ไหมว่าหมอเนี่ยต้องทำงานวันละกี่ชั่วโมง ไม่ใช่ทุกวันหรอกนะที่หมอจะเลิกงานเร็ว และไม่แน่วันที่หมอเลิกงานเร็ว อาจจะมีคนโทรตามอีกก็ได้ เพราะฉะนั้น เวลาที่หมอกลับบ้าน แสดงว่าหมอต้องการพักผ่อนจริงๆ”
ทีแรกก็ไม่อยากจะพูดมากแบบนี้หรอกนะ แต่มันน่าหงุดหงิดจริงๆ ทำงานมาตั้งนานเพิ่งเจอคนไข้ช่างตื๊อ พูดไม่รู้เรื่องขนาดนี้ก็วันนี้แหละ
“นี่ครับ....” เขาก้มหน้าแล้วยื่นถุงบางอย่างมาข้างหน้า ทำเอาหมอผงะ
“อะไร?”
“ผมซื้อมาฝากน่ะ เห็นหมอกลับดึกเลยกลัวว่าหมอจะหิว” เขาตอบไม่เต็มเสียงนัก
เฮ้อ...เอากับเขาสิ
“ขอโทษที่รบกวนนะครับ” เสียงหงอยๆ และใบหน้าเศร้านั่นทำให้หมอรู้สึกแย่นิดหน่อยที่มองเขาในแง่ร้าย ความจริงก็ลำบากใจแต่ถ้าไล่กลับไปทันทีก็คงดูใจดำมากไปหน่อย
“เข้ามาก่อนก็ได้”
อีกฝ่ายเงยหน้าแล้วยิ้มปากจะแตก ราวกับถูกรางวัลลอตเตอร์รี่! หมอส่ายหน้าแล้วเปิดประตูให้เขาตามเข้ามา
แก๊ก เพียงดีดสวิตซ์ควบคุมวงจรไฟฟ้าตำแหน่งเดียว ไฟก็สว่างไสวไปทั่วทั้งบ้าน
หมอเดินนำคนไข้เดินตัดห้องรับแขกไปยังห้องครัวเพื่อจัดการ “ของฟรี” ที่แขกซื้อมาฝาก ระหว่างนั้นคนที่เดินตามมาก็หันซ้ายหันขวามองนั่นมองนี่ไปทั่วอย่างตื่นตาตื่นใจ จนไม่ทันระวังชนเข้ากับแผ่นหลังของหมอที่หยุดกะทันหันเมื่อถึงครัว
“ขอโทษครับ” เขาบอก แล้วถอยออกห่าง
“โอวัลตินสักแก้วแล้วกันนะ” หมอบอกแล้วหันไปเสียบกาต้มนำร้อนโดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับและใช้เวลาไม่นาน โอวัลตินร้อนๆ ก็วางลงตรงหน้าเด็กหนุ่ม พร้อมๆ กับอาหารค่ำตรงหน้าหมอ
“กินด้วยกันไหม?” หมอถามตามมารยาทเมื่อจะลงมือทานข้าวผัดอเมริกันนั่น
“ผมทานมาแล้วครับ หมอกินเถอะ”
“อือ...” หมอตอบรับแล้วก้มลงตักข้าว
“หมอโสดเหรอครับ?”
“ใช่ จะให้เอาเวลาที่ไหนหาแฟน เวลาจะนอนยังไม่มีเลย”
“หมอไม่มีวันหยุดเลยเหรอ?”
“หยุดวันพฤหัส”
“ไปเที่ยวสิครับ”
“หมอต้องไปคลินิก”
“อ้าว... ไม่ว่างแล้วเปิดคลินิกให้ลำบากทำไมล่ะครับ”
“เป็นของครอบครัว เลยไม่อยากปิด”
“คลินิกหมออยู่ที่ไหนเหรอครับ” คนไข้เริ่มซักประวัติมากกว่าหมอซะอีก ทำให้ผมเงยหน้าขึ้นส่งสายตาเป็นเชิงดุ แต่ก็เจอรอยยิ้มแหยๆ กลับมา
“แค่ที่โรงพยาบาลยังกวนไม่พอ จะตามไปกวนที่คลินิกอีกเหรอ?”
“เป็นหมอ ก็ไม่ควรปฏิเสธคนไข้นะครับ” เหอะ!
“ถ้าเป็นคนไข้ผู้ชายที่อยากท้องได้เนี่ย หมอสมควรจะส่งไปแผนกจิตเวชนะรู้ไหม?”
“หมอ!! ผมไม่ได้บ้านะ”
“เรียกว่าจินตนาการสูงส่งแทนใช่ไหม?”
“ผมเห็นพาดหัวข่าวเรื่องผู้ชายท้องได้เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง ทำไมหมอต้องโกหกว่ามันเป็นไปไม่ได้ด้วยล่ะ?”
คนไทยอ่านหนังสือไม่เกินปีละเจ็ดบรรทัดนี่คงจริงสินะ!
“ที่อ่านมานั่นน่ะ อ่านแค่พาดหัวข่าวเท่านั้นใช่ไหม ไม่ได้อ่านรายละเอียด?”
“ทำไมล่ะครับ”
“ก็ผู้ชายในข่าวน่ะไม่ใช่ผู้ชายแท้ๆ เป็นแค่ผู้หญิงที่แปลงเพศเป็นผู้ชายเท่านั้นเอง”
“แล้วไงล่ะครับ ถ้าแปลงเพศแล้ว สุดท้ายก็คือผู้ชายอยู่ดีไม่ใช่เหรอ”
“ยังไงก็ไม่เหมือน ตรงที่เค้าไม่ได้ผ่าเอามดลูกออก สรุปว่าไม่ใช่ชายแท้อยู่ดี พอจะเข้าใจที่หมอพูดไหม?”
“.....” เขาเงียบ ทำท่าคิดตาม
เฮ้อ เด็กหนอเด็ก!
“ดื่มหมดหรือยัง? รีบกลับดีกว่านะ ดึกแล้วมันอันตราย ต่อให้เป็นผู้ชายแต่ถ้าหน้าตาดี เดี๋ยวนี้ก็ไว้ใจใครไม่ได้หรอกนะ”
“รวมทั้งหมอด้วยเหรอครับ?” คำถามมีแววหยอกล้อ
“หึ! อย่าทำให้หมอโดนคดีพรากผู้เยาว์เลยครับ ขอร้อง”
“ไม่โดนหรอกครับ ผม 19 แล้วนะ” เขาตอบแล้วยิ้มใส่ตา ทำให้หมอเผลอยกมุมปาก
“นี่เรากำลังให้ท่าหมออยู่นะ รู้หรือเปล่า?” หมอถามกลับ บางครั้งบางคราวหมอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าสรุปคนตรงหน้าต้องการอะไรจากหมอกันแน่
“หมอสน?” ในคำถามมีแววแปลกใจอยู่ในที
“เวลาอื่นอาจจะสน แต่เวลานี้ หมอง่วงมากกว่า” หมอตอบกลับไปเสียงนิ่งๆ เป็นการตัดบทสนทนา และเด็กหนุ่มตรงหน้าก็เหมือนจะเข้าใจว่าถูกไล่!
“โอเค งั้นผมกลับแล้วนะ” หมอพยักหน้ารับหน้านิ่งดังเดิม
“ผมชื่อซูกัส หมอชื่ออะไรเหรอครับ?” คำถามนั้นทำให้หมอชะงัก คุยกันมาตั้งนานแต่หมอไม่ได้นึกถึงการแนะนำตัวเลย
“ว่าน”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับหมอว่าน วันนี้ผมได้ความรู้อะไรดีๆ จากหมอเยอะเลย ขอบคุณนะครับ” เขายิ้มให้ทั้งปากและตาหันมาบอกอย่างอารมณ์ดี “ไว้วันหลังผมมาหาใหม่นะ”
“อย่ามาเลย” หมอตอบกลับไปแทบจะทันที
“อ้าว ทำไมอ่ะครับ?” ซูกัสถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกว่าน้อยใจ
“ถ้าคราวหน้ามาอีก... ไม่ปล่อยให้กลับง่ายๆ แบบนี้แล้วนะ” หมอบอกด้วยเสียงจริงจังเป็นเชิงขู่ แต่แทนที่คนฟังจะกลัว หมอกลับเห็นซูกัสยิ้มตอบ จนหมอเองกลับเป็นฝ่ายที่กลัวซะเอง
ไม่เอาดิหมอ!! ห้ามปิ๊งคนไข้นะ
++++++++++
เรื่องนี้จะลงประมาณ1-2 วัน ตอนนะคะ
ความยาวประมาณ15ตอนจบน่าจะได้
MPREG ที่จะเน้นด้านวิทยาศาสตร์+ โรแมนติกนะคะ ♥