หายไป 7 วัน ต้องขอโทษด้วยค่า วันนี้จะลงให้ 2 ตอนนะคะ
ตอนที่ 11
“ตาณคะ”
ตาณแอบลอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อเข้ามาที่บริษัทแล้วเจอภาวริน ทั้งที่เขาคิดว่าคุยกับเธอรู้เรื่องไปแล้ว
“มีอะไรหรือเปล่าครับริน”
“รินอยากให้คุณทบทวนดูใหม่อีกครั้ง คิดดีๆเถอะค่ะ การยกเลิกงานแต่งของเรามีแต่เสียกับเสีย”
“ขอโทษด้วยจริงๆครับริน แต่ผมไม่คิดจะเปลี่ยนใจไม่ว่าอย่างไรก็ตาม”
ตอบโดยไม่ต้องหยุดคิดสักนิด ภาวรินกำกระเป๋าแน่นอย่างเจ็บใจ
“แม้ว่าจะต้องมีปัญหากับที่บ้านรินหรือคะ”
ตาณขมวดคิ้ว น้ำเสียงของเธอเป็นไปในทางข่มขู่
“ครับ ผมตัดสินใจไปแล้วและยินดีที่จะรับทุกปัญหาที่เกิดขึ้น”
“ดีค่ะ รินจะไปคุยกับแม่คุณ”
หญิงสาวลุกขึ้นจากเก้าอี้และมองตาณอย่างท้าทาย เธอคิดว่าตาณจะมีปฏิกิริยาอะไรบ้าง แต่ก็เปล่าเลย
“เชิญครับ”
ภาวรินเชิดหน้าเดินออกไปจากห้อง หญิงสาวคิดอย่างเจ็บใจ เธอจะทำให้ตาณได้รับบทเรียน พอกันทีกับการง้องอน มาดหมายไว้ในใจว่าหลังจากนี้เขาต่างหากเล่าที่ต้องง้อเธอ
.............................
วานีเดินเข้ามาในห้องทำงานของลูกชายคนกลางด้วยอารมณ์ไม่สู้ดี เมื่อครู่นี้เองที่ภาวรินคู่หมั้นของลูกชาย...ไม่สิ เธอคงต้องเรียกอีกฝ่ายว่าอดีตคู่หมั้นของลูกชายเธอเข้าไปร้องห่มร้องไห้ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ด้วยอยู่ดีๆตาณก็มาขอยกเลิกงานแต่งและถอนหมั้น ซึ่งวานีไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน จึงต้องรีบมาหาลูกชายเพื่อขอความกระจ่าง
“ตาณ”
“ครับคุณแม่”
ตาณเงยหน้าขึ้นมองมารดา เขารู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องมา จึงไม่ตกใจนัก
“เรื่องหนูรินนี่มันหมายความว่ายังไง”
“คุณแม่นั่งก่อนเถอะครับ”
วานียอมนั่งแต่โดยดี เธอมองลูกชายอย่างกดดัน แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ส่งผลอะไรต่อลูกชายเธอเลย
“ผมบอกแม่ตามตรงว่าผมแต่งงานกับคนอื่นไปแล้ว”
หญิงวัยกลางคนอ้าปากค้าง ก่อนจะหุบฉับเมื่อนึกขึ้นได้ว่ามันเป็นกิริยาที่ไม่ค่อยเหมาะสมนัก
“กับใคร! เมื่อไหร่!”
“ไม่สำคัญหรอกครับ ผมอยากจะบอกแม่เท่านี้เพื่อยืนยันว่าการยกเลิกงานแต่งงานกับภาวรินเป็นเรื่องที่ผมเอาจริง ไม่ใช่การเล่นแง่ใดๆ”
“แกคิดว่าพูดแค่นี้แล้วเรื่องมันจะจบรึไง”
วานีเริ่มโมโห เธอไม่คิดว่าตาณจะพูดอะไรไร้ความรับผิดชอบออกมาได้แบบนี้
“ผมยินดีรับผิดชอบทุกอย่างคนเดียวครับ คุณแม่บอกทางนั้นไปได้เลยว่าตัดผมออกจากกองมรดกหรืออะไรก็ได้”
“นี่แกยอมถึงขนาดนี้...”
“ผมตัดสินใจแล้วครับ”
มารดานิ่งลงไปเมื่อได้ฟังคำว่าตัดสินใจแล้วของตาณ
“แกแต่งงานกับใคร”
“ผมจะพาไปให้ที่บ้านรู้จักเองครับ แต่ต้องหมดเรื่องภาวรินก่อน”
ตอนนี้แม้ตาณจะบอกเลิกหมั้นเธอไปแล้ว แต่คนที่รู้ก็มีเพียงไม่กี่คน การจะแนะนำอังคารกับครอบครัวจึงถือว่าไม่เหมาะสม
“แกจะให้เขาป่าวประกาศรึไงว่าโดนแกถอนหมั้น”
“ถึงอย่างไรงานแต่งงานก็ต้องยกเลิก”
“ใช้ข้ออ้างว่าเลื่อนไปก็ได้”
“แต่มันจะเป็นการเลื่อนโดยไม่มีทางเกิดขึ้นจริง และผมก็ต้องการถอนหมั้นด้วย”
วานีมองหน้าลูกชาย สบกับดวงตาที่แน่นแน่ก็รู้ว่าไม่มีทางเกลี้ยกล่อมลูกชายให้เปลี่ยนใจ
“ได้ แม่จะจัดการเรื่องนี้เอง แต่จำไว้ว่านี่เป็นสิ่งที่แกเลือกนะ”
“ครับ ผมรู้ตัวเองดี”
“คำถามสุดท้าย คนที่แกแต่งด้วยผู้หญิงหรือผู้ชาย”
ตาณมองหน้ามารดาและตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคงไม่หวั่นไหว
“ผู้ชายครับ”
วานีลุกออกจากห้องไป สิ่งที่เธอกลัวมาตลอดมันได้เกิดขึ้นแล้ว ลูกชายของเธอแต่งงานกับผู้ชายด้วยกัน! เธอตรงไปที่ห้องทำงานของสามีเพราะต้องปรึกษากับสามีให้ถี่ถ้วนเสียก่อนในเรื่องนี้ ความเสียหายที่จะเกิดขึ้น เธอรู้ว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆอย่างแน่นอน
..............................
‘งานแต่งล่ม ฝ่ายชายยืดอกยอมรับผิดเอง ขณะที่ภาวรินปิดปากเงียบ ’
หัวข้อข่าวที่ทำเอาวงการธุรกิจแทบลุกเป็นไฟ เนื่องจากการยกเลิกงานแต่งและถอนหมั้นของตาณ ทำให้ทางบ้านภาวรินซึ่งนับเป็นฝ่ายเสียหายไม่พอใจมาก สัญญาต่างๆอันไหนที่ยกเลิกได้ก็มีการยกเลิก อันไหนที่ยกเลิกไม่ได้ก็ประกาศชัดว่าจะไม่มีการต่อสัญญา แต่งานนี้ดูเหมือนทางภาวรินจะวางหมากผิดพลาด เพราะทันทีที่ประกาศตัวว่าจะไม่ญาติดีกับทางบ้านของตาณอีกต่อไป ทางด้านบ้านของตาณก็ประกาศร่วมหุ้นกับบริษัทห้างสรรพสินค้าคู่แข่งของทางนั้นทันที ส่วนตัวของตาณยังไม่ได้รับผลกระทบมาก เนื่องจากทางตระกูลต้องการรักษาชื่อเสียงเอาไว้ การแตกแยกภายในครอบครัวไม่ใช่ชื่อเสียงทีดีเท่าที่ควร แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าตาณผิด หากพวกเขาก็ยังเลือกจะรักษาชื่อเสียงและผลประโยชน์ของครอบครัวมาก่อนอย่างอื่น
คนที่เจ็บใจมากที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นภาวริน แม้เธอจะไม่ใช่คนตัดสินใจที่จะตัดขาดกับทางบ้านตาณ แต่สาเหตุมันก็มาจากเธอ หลายคนในตระกูลโทษว่าความสูญเสียผลประโยชน์ครั้งที่เป็นเพราะเธอ ทั้งๆที่มันไม่ใช่ความผิดของเธอสักนิดเลยแท้ๆ
“ใจเย็นๆนะริน”
เขมวรรณเอ่ยปลอบคนรักที่น้ำตาคลอด้วยความเจ็บใจยามที่อ่านข่าวเสร็จ
“เขมดูพวกนั้นทำสิ จะไม่ให้รินเจ็บใจได้ยังไง”
“แต่ทางคุณตาณเขาก็ออกมาพูดแล้วนี่ว่าการถอนหมั้นครั้งนี้ความผิดเกิดจากตัวเขาเอง ไม่ใช่เพราะริน”
ตาณให้ข่าวตั้งแต่เรื่องถอนหมั้นรู้ถึงหูสื่อว่าตนเองเป็นฝ่ายผิด หากบ้านภาวรินอยู่เฉยๆอาจจะได้รับความสงสารกว่านี้ แต่การออกมาประกาศตัดความสัมพันธ์กับบ้านตาณทำให้คนที่บ้านตาณอยู่เฉยไม่ได้ พวกเขาอาจจะยอมรับว่าตาณผิด แต่ไม่ว่าจะผิดหรือถูก ธุรกิจก็ยังต้องดำเนินต่อไป
“ออกมาพูดเอาหน้าน่ะสิ คุณไม่เห็นรึไงว่าข่าวไม่ว่าเขาทางไม่ดีเลย”
อาจจะเพราะตาณยอมรับความผิดเอาไว้คนเดียว ไม่ใช่เหตุผลอย่างเข้ากันไม่ได้ นักข่าวส่วนมากจึงไม่รู้จะเขียนใส่สีอย่างไร
เขมวรรณไม่ได้เอ่ยขัดหรือสนับสนุนความคิดของภาวรินอีก เขาไม่ใช่คนดีขนาดที่จะมองคนอื่นในแง่ดี เขาคิดอยู่เหมือนกันว่าทั้งที่ตาณเป็นฝ่ายผิด ทำไมฝั่งภาวรินกลับกลายเป็นฝ่ายเสียผลประโยชน์ มองอย่างไรก็ไม่ยุติธรรม
“รินต้องเข้าไปคุยกับที่บ้านหน่อย วันนี้คงไม่เข้ามาที่นี่อีก เขมล่ะ”
“ผมก็จะกลับบ้านเหมือนกัน”
ภาวรินพยักหน้า แม้จะแปลกใจที่พักหลังเขมวรรณไม่ค้างที่คอนโดเลยแต่เมื่ออีกฝ่ายบอกว่าเป็นห่วงแม่เธอก็ไม่ขัด
“งั้นไว้เจอกันนะคะ”
เธอจูบริมฝีปากเขาเบาๆก่อนจะลุกออกไป เขมวรรณมองตามเธอไปจนลับสายตาแล้วถอนหายใจออกมา เมื่อไหร่เขาจะตัดใจได้เสียที
...........................
“ท้องเนี่ยนะ”
วานีมองคู่แต่งงานของลูกชายราวกับเป็นตัวประหลาด สมัยนี้การที่ผู้ชายท้องได้อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สำหรับครอบครัวพฤกษาทิวัตถ์แล้ว ผู้ชายที่ท้องได้ก็ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ดัดแปลงในภาพยนตร์
“นี่แกแต่งงานเพราะไปทำเขาท้องหรือ”
อังคารนิ่วหน้า ไม่ค่อยชอบใจสิ่งที่วานีพูดเท่าไหร่ แม้มันจะจริงก็ตาม แต่อังคารก็ไม่ได้ชอบฟังนัก หากเขาก็ยังสงบปากด้วยตาณบอกก่อนหน้านี้แล้วว่าอาจจะต้องเจอกับอะไร
“ผมแต่งงานเพราะอังคือคนที่ผมอยากแต่งด้วย ไม่ใช่ภาวริน ส่วนลูกเป็นผลพลอยได้”
ตาณไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของมารดาตัวเองอยู่แล้ว เขากุมมืออังคารแน่นขึ้นอีกนิดเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังมีเขาอยู่เคียงข้าง ตาณไม่มีทางปล่อยให้อังคารต้องเผชิญหน้ากับครอบครัวของตัวเองเพียงลำพังแน่ๆ
“แกก็รู้ว่าครอบครัวเราไม่เห็นด้วยกับการทำให้ผู้ชายท้องได้”
เป็นโตมร บิดาของตาณที่เอ่ยขึ้นมา
“โลกเปลี่ยนไปทุกวันครับคุณพ่อ เราไม่มีทางจะย่ำอยู่กับที่หรือพอใจอยู่ในครอบของตัวเองได้”
“นี่แกว่าพวกเราเป็นกบในกะลาครอบหรือนายตาณ”
วานีแหวขึ้นมา ตาณยิ้มให้มารดา ไม่กล่าวปฏิเสธเพราะเขาคิดว่าทัศนคติการไม่ยอมรับการคิดค้นทางวิทยาศาสตร์ต่างๆนี้เป็นเรื่องล้าหลังมากจริงๆ
“ผมคิดมาตั้งนานแล้วนะครับ การฝังยีนเพื่อให้ผู้ชายท้องกับการทำกิ๊ฟทำเด็กหลอดแก้วก็ไม่ต่างกันนัก เรื่องพวกนั้นมีมาตั้งแต่สมัยหลายร้อยปีก่อน บางทีบรรพบุรุษเราอาจจะเป็นเด็กหลอดแก้วก็ได้ใครจะรู้”
การพยายามเพื่อให้มีลูกหลานที่สมบูรณ์แข็งแรงเป็นหนึ่งในสัญชาตญาณของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทุกชนิด การพยายามคิดค้นเพื่อให้เด็กที่เกิดมาไม่เป็นโรคแพ้ตัวเองซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปมากมายไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดถึงขนาดต้องต่อต้าน ถ้าหากเป็นการโคลนเพื่อนำอวัยวะมาเปลี่ยนให้ร่างจริงแบบนั้นค่อยเป็นสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่
“มันเป็นเรื่องการพัฒนาทางด้านการแพทย์ ก็เหมือนกับการผ่าตัดเดี๋ยวนี้ที่ไม่ต้องเปิดบาดแผลให้ใหญ่เพราะมีเครื่องมือทันสมัยใช้นั่นแหละครับ”
“แต่ธรรมชาติสร้างผู้ชายให้เกิดมาคู่กับผู้หญิง”
บิดาของตาณเอ่ยเรียบๆ เขายอมรับว่าสิ่งที่ตาณพูดมาก็ถูก แต่ถึงอย่างไรการที่ผู้ชายรักกันมันก็ผิดธรรมชาติ
“ธรรมชาติไม่ได้บอกนี่ครับ ธรรมชาติไม่ได้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเอาไว้เสียหน่อย มีแต่พวกเรานี่เองแหละครับที่คิดและกำหนดกันเอาเองว่าผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิง แล้วเราก็อ้างว่าธรรมชาติสร้างมาให้เราเป็นแบบนั้น”
“แต่ตามธรรมชาติผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิงถึงจะสามารถดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ได้ นั่นไม่เท่ากับธรรมชาติกำหนดเอาไว้แล้วหรอกหรือ”
“แล้วถ้าที่จริงแล้วธรรมชาติไม่ได้อยากให้เราสืบพันธุ์มากนัก จึงกำหนดให้ผู้ชายบางคนคู่ได้แค่ผู้ชายด้วยกัน และให้ผู้หญิงบางคนคู่ได้แค่ผู้หญิงด้วยกันเล่าครับคุณพ่อ บางทีนี่อาจจะเป็นหนทางที่เอาไว้จำกัดจำนวนประชากรก็ได้ใครจะรู้”
“แต่ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สมควรจะมีลูกกันได้ใช่ไหม”
“ตัวเราเองก็ต้องมีวิวัฒนาการเพื่อความอยู่รอด จะมาคอยนึกถึงแต่สิ่งที่เราเคยเป็นอย่างเดียวไม่ได้หรอกครับ”
“แกคิดว่าพูดแล้วพ่อกับแม่จะยอมรับได้เหรอเจ้าตาณ”
“คุณพ่อคุณแม่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังคงเป็นคุณพ่อคุณแม่ของผม ผมจึงต้องบอกให้รับรู้ ส่วนการยอมรับ ผมอยากให้ยอมรับแน่อยู่แล้ว แต่หากพวกคุณพ่อรับไม่ได้ ผมก็ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆครับ”
“ดี! งั้นแกก็รู้ไว้เถอะว่าพ่อรับไม่ได้ และแม่แกก็ด้วย ใช่ไหมคุณ”
วานีพยักหน้ารับพลางมองหน้าอังคารอย่างเหยียดหยาม
“ตั้งแต่วันนี้แกเลิกไปทำงานที่บริษัทได้เลย ต่อไปถือว่าแกไม่ใช่คนในตระกูลพฤกษาทิวัตถ์อีก ฉันไม่บังคับให้แกเปลี่ยนนามสกุล แต่ถ้าทำได้ก็อย่าบอกใครว่าเป็นลูกฉัน”
“เดี๋ยวสิครับ”
“เธอไม่มีสิทธิ์จะพูด!”
อังคารพยายามจะแย้งแต่วานีกลับหันมาตะคอกใส่เสียก่อน
“จากนี้แกจะเป็นยังไงก็ไม่เกี่ยวกับทางนี้อีก แล้วแกคงรู้นะว่าต้องทำตัวอย่างไร”
“ครับ”
แม้จะรู้สึกใจหาย แต่ตาณคิดเผื่อไว้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้
“ไปกันเถอะครับอัง”
อังคารละล้าละลังแต่ตาณก็ดันเขาออกมาขึ้นรถเสียแล้ว
“จะดีหรือครับ”
มันอดคิดไม่ได้ว่าเพราะตัวเองทำให้ตาณต้องถูกที่บ้านตัดขาด ซึ่งมันคงไม่ใช่เรื่องดี
“ไม่ต้องห่วง ผมไม่ปล่อยให้คุณกับลูกอดตายหรอกน่า”
“ผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นเสียหน่อย”
อังคารพึมพำค้อนๆเมื่อเห็นท่าทีไม่ทุกข์ร้อนของตาณ
“ไม่ต้องคิดมากครับ เดี๋ยวลูกจะพลอยเครียดไปด้วย เอาเป็นว่าทางนี้น่าจะเป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว โดยเฉพาะกับลูกของเรา”
อังคารเม้มปาก ตาณพูดง่ายๆว่าไม่ต้องคิดมาก แต่โดนตัดขาดกับที่บ้านนี่มันไม่ต้องคิดมากได้หรือไง ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด อังคารถอนหายใจ ตาณบอกว่าจัดการได้ เขาก็ควรเชื่อใจอีกฝ่ายสินะ
.......................
มีต่อค่ะ