ศานนท์มาส่งเก้าที่มหาวิทยาลัย เพื่อให้เวลาตุลย์ได้ล่ำลากับอดีตเพื่อนนานขึ้นหน่อย ก่อนจะตีรถมุ่งหน้าออกสู่จังหวัด N ตามคำขอของร่างโปร่งข้างกาย ถนนในเขตเมืองเต็มไปด้วยรถยนต์ต่อแถวยาวเหยียด จอดรอสัญญาณไฟเขียว แต่พอออกสู่ถนนเส้นนอกสายหลักสี่เลนที่มุ่งหน้าสู่ต่างจังหวัด ซีดานสีดำก็เร่งความเร็วขึ้นไปถึงสิบแปดเพราะสภาพ การจราจรที่โล่งต่างกันโดยสิ้นเชิง
ภาพตึกแถว อาคารพาณิชย์ และร้านอาหารสวยงามเรียงถี่ติดกันตลอดแนวอย่างในเมืองใหญ่ ตอนนี้เหลือเพียงตึก อาคารบ้านเรือนที่ตั้งกระจายตัวห่างกัน มีร้านอาหารบ้างประปราย ตุลย์เหม่อมองสองข้างทางก็เห็นพื้นที่เขียวชอุ่มขึ้นแซมเป็นระยะ ให้ความรู้สึกเป็นอิสระและคุ้นเคยกว่าทุกครั้ง
เหมือนกับถนนที่บ้านเกิดเขาไม่มีผิด… “เมื่อก่อนฉันก็เคยคิดนะว่าอยากเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง เป็นพ่อครัวเอง หรือถ้าทำไม่ไหวก็จ้างคนมาเป็นลูกมือสักโขยงนึง” เสียงของศานนท์เรียกให้ตุลย์เบนความสนใจกลับมา
“คุณทำอาหารอร่อยนี่ ต้องขายดีแน่”
หนุ่มใหญ่เหลือบมองเขาแว่บหนึ่ง จากนั้นใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้ม
“อย่าพูดอย่างนั้น เธอจะยุให้ฉันทำขึ้นมาจริงๆ ...รู้มั้ย ตอนจบใหม่ๆ ฉันอยากทำร้านอาหารมากกว่ากลับมาทำกงสีขายชาที่บ้านอีก”
ศานนท์พูดเหมือนกับว่าธุรกิจชาของเขาเป็นแค่ร้านขายของชำเล็กๆ
“แต่คุณก็ชอบชานี่”
“แต่ชาที่ชอบก็ไม่ใช่ชาที่ฉันทำ”
ได้ยินแล้ว ตุลย์ก็หลุดหัวเราะตาม “...แต่ผมว่าก็ตลกดีนะ ของที่อยากทานไม่ได้ทำ ส่วนของที่ทำไม่อยากทาน...”
แต่ชีวิตมันก็แบบนี้แหละ... ต่อให้มาจากครอบครัวที่รวยล้นฟ้าแบบศานนท์ ก็ใช้ว่าจะควบคุมทุกเรื่องในชีวิตได้เสียเมื่อไหร่ “แล้ว...” วินาทีหนึ่งที่ตุลย์ชั่งใจว่าจะพูดถึงดีหรือไม่ แต่สุดท้ายเขาก็ถาม “ผมยังขอทวงสัญญาเรื่องที่คุณจะทำอาหารให้ทานได้เปล่าครับ? ”
“วันไหนล่ะ” ศานนท์ถามกลับทันที
“เรื่องเวลา ผมต่างหากที่น่าจะต้องถามคุณ เพราะถ้าเป็นคุณ ผมก็สะดวกทุกวันนั่นแหละ...” ท้ายประโยคอ่อนลงมาก
ศานนท์ปรายตามองคนที่พูดจบปุ๊บก็เบนสายตาออกไปนอกหน้าต่างทันที เขาลอบยิ้มบางๆ ก่อนจะหันไปสนใจถนนลาดยางเบื้องหน้า
“งั้นพรุ่งนี้หลังเลิกเรียน ฉันไปรับที่ม. แล้วจากนั้นเราค่อยไปเลือกของกัน...”
ตุลย์พยักหน้า ปล่อยศีรษะพิงกระจก ขณะทอดมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่เคลื่อนตัวผ่านช่องกระจกเล็กๆ อากาศเย็นสบายกับเสียงเพลงคลอเบาๆ จากเพลย์ลิสของเขา ...โดยที่มีคนสำคัญคนนั้นอยู่ข้างๆ
แบบนี้รู้สึกดีจัง… เนื่องจากร้านของบีตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ วนรถหาตามเส้นทางที่เธอคอยบอกผ่านโทรศัพท์เป็นระยะก็พบที่หมายอย่างไม่ยากเย็น ซีดานสีดำหักเลี้ยวเข้ามาในลานจอดรถกว้างเทคอนกรีตที่มีต้นไม้ปลูกเรียงกันเป็นทิวยาวล้อมรอบ มีไม้พุ่มออกดอกสีสดปลูกแซมเป็นครั้งคราว ก่อนที่รถยนต์จะจอดตรงมุมร่มรื่นมุมหนึ่งใกล้กับซุ้มแมกไม้ทางเข้า
มาถึงที่หมาย ผู้มาเยือนทั้งสองก็ลงจากรถ พวกเขาเดินตามทางเท้าอิฐบล็อกผ่านซุ้มแมกไม้เข้ามาลึกอีกหน่อยก็พบอาคารร้านที่ค่อนข้างทันสมัยเน้นโทนสีน้ำตาลเป็นหลัก ตัวอาคารส่วนใหญ่เป็นคอนกรีตที่แต่งทับด้วยอิฐมอญก้อนสี่เหลี่ยมเล็กสีแดงส้ม แต่ก็มีบางส่วนที่ทำจากไม้ ให้กลิ่นอายเหมือนคาเฟ่อยู่ไม่น้อย ตำแหน่งของร้านตั้งอยู่ติดริมน้ำ โดยที่ด้านข้างสร้างเป็นชานไม้เปิดโล่งต่อยาวลงไปในแม่น้ำ มีโต๊ะเก้าอี้ไม้เคลือบเงาสวยตั้งไว้รองรับลูกค้าหลายโต๊ะ แต่เนื่องจากยังเป็นเวลากลางวัน พื้นที่ส่วนนี้จึงร้างคนไม่คึกคักเหมือนอย่างในร้านซึ่งเป็นพื้นที่ปิดติดเครื่องปรับอากาศ
นอกเหนือจากนั้น บียังจัดและตกแต่งสถานที่ไว้ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปอีกหลายจุด ไม่ว่าจะเป็นซุ้มต้นไม้ด้านหน้า ริมระเบียงชานเรือนติดน้ำ หรือแม้แต่บันไดหลอกๆ ที่ต่อขึ้นไปชั้นสองซึ่งปราศจากประตู ไว้สำหรับถ่ายรูปคู่กับชื่อร้านที่เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษพิมพ์สีดำ เรียงห่างๆ กันบนกำแพงอิฐมอญ
แวะชื่นชมบรรยากาศจนพอใจ ทั้งคู่ก็ผลักประตูเข้ามาด้านในร้านซึ่งเป็นห้องแอร์เย็นฉ่ำ เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งเบาๆ เจ้าของร้านสาวสวยวัยยี่สิบห้าในผ้ากันเปื้อนสีดำกับเดรสลูกไม้แขนฟูๆ สีขาวทั้งตัวก็วิ่งแจ้นออกมาพร้อมรองเท้าแตะแฟชั่นคู่สวยของเธอ
“ตุลย์! ” บีเรียกชื่อน้องชาย วิ่งมากอดแน่นจนหายคิดถึง ตุลย์ก็กอดตอบเธอแบบเดียวกัน
ก่อนหญิงสาวจะตกใจเมื่อเห็นผู้ชายท่าทางภูมิฐานในชุดลำลองอีกคนหนึ่งเดินตามหลังเข้ามาด้วย
เธอจำชื่อและหน้าเขาได้แม่นเพราะเคยเจอกันที่คลับแม้จะแค่ครั้งเดียว ทว่าบรรยากาศรอบตัวของศานนท์คราวนี้แตกต่างจากครั้งแรกมาก ไม่เคร่งขรึม คุระอุเหมือนตอนที่เธอยังนั่งข้างธวัตรในฐานะเด็กขาย ระหว่างที่ทั้งคู่ ‘คุยธุระ’ กัน
“ขอบคุณมากๆ ที่ช่วยดูแลตุลย์นะคะ” หญิงสาวพูดอย่างรู้ทัน ถือโอกาสไหว้ทักทายด้วยในตัว “ถึงจะดื้อแล้วก็หัวแข็งไปหน่อย แต่ตุลย์ก็เป็นเด็กดีนะ”
ศานนท์พยักหน้าทีหนึ่ง “แต่ก็ดื้อจริงๆ นั่นแหละ”
“อย่าไปตามใจน้องมันเยอะค่ะ คุณศานนท์ต้องหมั่นคอยเขี้ยวๆ หน่อย” เห็นว่าคู่สนทนาปล่อยตัวสบายๆ หญิงสาวหัวเราะร่า
ฝั่งคนโดนแซวอย่างตุลย์ได้แต่ยืนเกาหัวเก้อ ขณะมองศานนท์กับบีคุยเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยพอพูดถึงเรื่องของเขา ทว่าอยู่คุยได้ไม่นาน บีก็จ้องเชิญพวกเขานั่งที่โต๊ะโซฟานุ่มฝั่งหนึ่งในร้าน วางเมนูรายการทิ้งไว้ ก่อนจะวิ่งกุลีกุจอไปยกอาหารจากในครัวออกมาเสิร์ฟให้ลูกค้าโต๊ะอื่นๆ
“ทานอะไรมั้ยครับ” พอเหลือกันอยู่แค่สองคน ตุลย์ก็ส่งเมนูให้หนุ่มใหญ่ “ผมยังไม่ค่อยหิว ว่าจะสั่งเป็นพวกน้ำปั่น”
“ไม่ลองพวกแอพพิไทเซอร์หน่อยเหรอ? ”
ศานนท์วาดปลายนิ้วไล่อ่านชื่อเมนูของทานเล่นค่อนข้างจริงจัง ตุลย์ก็พอเดาได้ว่าหนุ่มใหญ่คงเริ่มหิวแล้ว
ปกติเขาไม่ค่อยทานของว่างระหว่างมื้อเท่าไหร่ แต่ไหนๆ ศานนท์ก็อุตส่าห์ขับรถพาเขาออกมาไกลถึงร้านอาหารของบี จะเว้นไว้สักวันก็แล้วกัน… “คุณเลือกสิครับ เดี๋ยวผมแย่งคุณทานดีกว่า” ตุลย์เผยรอยยิ้มขี้เล่น
หลังรับเมนูอาหารจากพวกเขา บีก็หายไปสักพักใหญ่ๆ แล้วออกมาพร้อมกับอาหารสองจาน จานหนึ่งเป็นสลัดที่ถูกจัดเป็นคำเล็กๆ กะทัดรัด ส่วนอีกจานเป็นกุ้งที่นำไปผัดคลุกเครื่องเทศฝรั่งและน้ำปั่นอีกหนึ่งแก้ว ประจวบเหมาะกับเป็นช่วงที่ลูกค้าเริ่มซาพอดี เธอเลยถือโอกาสลากเก้าอี้มานั่งตัวโต๊ะกับพวกเขา โดยไม่ลืมกวักมือเรียกผู้ชายอีกคนที่อยู่ในครัวด้วย
“นี่แฟนพี่ คบกันมาได้สองเดือนกว่าแล้ว เราเจอกันตอนเริ่มทำร้าน เขาสมัครมาเป็นลูกมือพี่”
เธอเล่าเสียงใสขณะจับมือชายสวมผ้ากันเปื้อนที่อายุอ่อนกว่าหลายปี
“...ไม่มีใครอยากทำอาชีพแบบนี้ไปตลอดชีวิตหรอก คนเรามันต้องเดินหน้า ไม่ใช่จมปลักอยู่กับที่ พี่มีครอบครัวต้องดูแล แล้วก็อยากมีครอบครัวเป็นของตัวเหมือนกัน เมื่อสามเดือนก่อนได้เงินก้อนใหญ่จากลูกค้าพอดี โชคดีว่าไม่ได้มีพันธะอะไรกับที่คลับก็เลยตัดสินใจเลิก พอออกมาก็ใช้เงินที่ได้ทำร้านอาหารใกล้ๆ แหล่งท่องเที่ยว ลูกค้าก็พอมี เงินทุนก็เป็นเงินเย็น ชีวิตใหม่ที่นี่ก็มีความสุขดี แถมยังมีลูกมือน่ารักๆ แบบนี้อีก! ”
บีขยิบตาให้แฟนหนุ่มทีหนึ่ง ก่อนจะถูกขัดความหวาน เมื่อลูกค้าโต๊ะข้างๆ เรียกเช็กบิลล์ เธอเลยจำต้องปล่อยมือให้แฟนไปเก็บค่าอาหารแทน
“แหม ก็กินเด็กน่ะเป็นอมตะ! จริงมั้ยล่ะคะคุณศานนท์? ”
บียักคิ้วพยักพเยิดใส่หนุ่มใหญ่ คนถูกแซวก็หัวเราะขบขัน
“จริงสิ! ” จู่ๆ เจ้าหล่อนก็นึกบางอย่างขึ้นได้ “นายเป็นดาราแล้วนี่ใช่มั้ย ฉันเห็นในโฆษณา แล้วก็พวกคลิปที่ตัดอยู่ในเน็ต แต่ฉันยังไม่ได้ดูซีรีส์ที่เล่นหรอกนะ ยังไม่มีเวลา เดี๋ยวนี้หัวหมุนทั้งวัน”
“โธ่ พี่ต้องดูเยอะๆ เรตติ้งผมจะได้พุ่ง สนับสนุนสิครับ คนกันเอง พี่จะทิ้งน้องนุ่งตาดำๆ ได้ลงคอเชียวเหรอ” ตุลย์กระตุกยิ้มยียวนเธอ
”โอ๊ย ฉันเปิดให้ลูกค้าดูแล้วกัน เผื่อแกได้แฟนคลับเพิ่ม” พูดจบเธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิดแอปพลิเคชันถ่ายรูปคู่ใจ “มามะ ก่อนอื่นมาทำตัวเป็นน้องที่ดี ถ่ายรูปด้วยกันก่อน ฉันจะเอาไปลงโปรโมตร้าน แคปชั่นแบบ ‘ว้ายๆๆ อาหารร้านหนูอร่อยจนดาราต้องมาค่ะ! ’ รับรองขายดิบขายดีแน่นอน”
“ได้สิพี่”
ตุลย์เหยียดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินอ้อมไปเกาะหลังเก้าอี้เธออย่างสนิทสนม ในขณะที่หญิงสาวเอียงหน้าจอเก็บรูปมุมต่างๆ อีกหลายรูป แถมยังให้อ้อนให้แฟนหนุ่มของเธอถ่ายเพิ่มให้อีก
หลังจากแต่งรูป คิดแคปชั่นต่ออีกราวสิบห้านาที เธอก็ตัดสินใจโพสต์ลงหน้าเพจของร้าน จากนั้นก็พลิกจอโทรศัพท์อวดเขาและศานนท์อย่างภูมิอกภูมิใจ
จวบจนกระทั่งทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย ตุลย์ก็ขอตัวกลับ
“เพิ่งบ่ายสามเอง ไม่อยู่ต่ออีกหน่อยล่ะ? ” ศานนท์ถาม ยังเหลือเวลาเหลืออีกหลายชั่วโมงกว่าอาทิตย์จะตกดิน ฝ่ายบีก็พยักหน้าเห็นดีเห็นงามด้วย
“คือว่า... มีอีกที่นึงที่ผมอยากไป”
คำตอบนั้นเรียกให้ศานนท์เลิกคิ้วเล็กน้อย
“มาพรุ่งนี้มั้ย เดี๋ยวฉันขับรถพามาอีกรอบก็ได้” เขาเกลี้ยกล่อมเนื่องจากเกรงว่าจะไม่ทัน ตุลยเผยสีหน้าลังเลอย่างมาก แต่สุดท้ายก็โครงศีรษะเบาๆ
“ผมว่ามันไม่ไกลเท่าไหร่... ขับรถต่ออีกสิบห้านาทีก็น่าจะถึง”
พอบอกชื่อสถานที่หมายให้ฟัง ศานนท์ก็ชะงักเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า
“งั้นไปกันตอนนี้เลยแล้วกัน”
“วันนี้ขอบคุณที่มาเยี่ยมร้านนะ ดูแลตัวเองด้วยนะ”
บีลุกขึ้นกอดลาคนที่เปรียบเสมือนน้องชาย ก่อนจะเดินไปส่งทั้งสองที่ซุ้มไม้หน้าร้าน ลับหลังที่ตุลย์เดินทิ้งห่างออกไปหน่อย เธอก็หันไปหาศานนท์ ฝากฝังใครอีกคนด้วยน้ำเสียงห่วงใยอย่างตั้งใจให้ได้ยินกันแค่ระหว่างกัน
“ฝากดูแลตุลย์ด้วยนะคะ น้องมันตัวคนเดียวไม่มีใคร ทำอะไรงกๆ เงิ่นๆ ตามประสาเด็ก สัญญาได้มั้ยคะ? บีแค่อยากให้น้องมีชีวิตที่ดี…”
“วางใจเถอะครับ ผมจะไม่ปล่อยให้เขากลับไปมีชีวิตแบบนั้นอีกแน่นอน” หนุ่มใหญ่รับปากด้วยสัจวาจา
บียืนส่งทั้งคู่ขึ้นรถด้วยสายตา จวบจนกระทั่งรถซีดานสีดำราคาแพงแล่นจากลานจอดรถกว้างเลี้ยวออกสู่ถนน
ตุลย์ไม่ใช่คนที่ชอบเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟัง แต่ก็มีครั้งหนึ่งที่ฤทธิ์เหล้าทำให้อีกฝ่ายยอมเปิดปากเล่าถึงชีวิตก่อนจะมาลงเอยที่คลับ มันทำให้เธอรู้ว่าตุลย์เอาตัวรอดคนเดียวมาตั้งแต่เด็ก พอจู่ๆ ‘ถูกขาย’ ออกไป เธอจึงนึกเป็นห่วงสวัสดิภาพของเด็กคนนั้นมาโดยตลอด แต่สิ่งที่เห็นวันนี้มันทำให้เธอวางใจ...
...ว่าในที่สุดคนที่ตัวคนเดียวมาตลอดชีวิต ก็มีใครสักคนอยู่ข้างกายเสียที
-------------------------
รถยนต์กลับเข้าสู่ถนนใหญ่อีกครั้ง คราวนี้จุดหมายปลายทางของพวกคือเขตชุนชนเก่าเล็กๆ แห่งหนึ่งในอำเภอเมืองของจังหวัด N ที่ไม่เจริญนัก
ระหว่างทางศานนท์ลอบสังเกตว่าตุลย์ไม่สนใจสองข้างทางเท่าไหร่ จนกระทั่งพวกเขาตามสัญญาณจีพีเอสเลี้ยวเข้าสู่ซอยถนนคอนกรีตเลนส์สวน ที่สองข้างขนาบด้วยอาคารพาณิชย์สองชั้นสลับกับบ้านไม้ติดเหล็กดัดที่ด้านล่างเปิดเป็นร้านขายของชำบ้าง ขายอาหารบ้าง แตกต่างกันไป ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นโครงสร้างเก่าแก่เกินสิบปีทั้งสิ้น จู่ๆ ร่างโปร่งก็เล่าขึ้นมาลอยๆ คล้ายกับถูกทิวทัศน์เหล่านั้นกระตุ้นความทรงจำวัยเด็ก
“...แม่ผมเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ท้องผมตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ อายุเราเลยต่างกันไม่มาก แต่ผมไม่สนิทกับแม่ เพราะแม่ติดเหล้าวันๆ ไม่เอาอะไรเลย ผมไม่ชอบแม่ตอนเมาก็เลยพาลไม่ชอบบ้านไปด้วย ...ตอนประมาณม. 2 ผมออกมาทำงานร้านอาหาร ช่วยขนของบ้าง ไปเป็นเด็กเสิร์ฟให้ร้านอาหารใหญ่ๆ บ้างเพราะอยากย้ายออกมาอยู่ข้างนอก แต่ไม่มีเงิน...”
“ผมเคยเรียนมัธยมที่นี่”
ตุลย์ชี้ผ่านกระจกให้ดูตอนที่พวกเขาขับผ่านโรงเรียนขนาดกลางแห่งหนึ่ง หน้าปากทางยังคึกคักด้วยเด็กๆ ในเครื่องแบบนักเรียนโรงเรียนรัฐเพราะเพิ่งเลยเวลาเลิกเรียนไม่เท่าไหร่
“เงินที่ได้จากงานพาร์ทไทม์ ผมเอามาส่งตัวเองเรียนเพราะแม่หมดเงินไปกับค่าเหล้า แล้วก็ไม่ใช่คนที่ผมพึ่งพาได้ สมัยนั้นผมไม่ค่อยเข้าบ้านหรอก จะกลับแค่ตอนหลังสามทุ่ม เพราะผมไม่อยากเห็นแม่เมาแล้วโวยวาย แล้วก็ไม่อยากเป็นที่รองรับอารมณ์แม่ จนอายุสิบหกขึ้นม. ปลาย ผมก็เข้าบ้านแบบนับครั้งได้ ส่วนใหญ่จะนอนค้างบ้านเพื่อนไม่ก็ร้านเกม อยู่ไม่ค่อยเป็นที่เท่าไหร่ จนมาเจอลุงกับป้าเจ้าของร้านค้าหน้าถนน เขาให้ผมพักชั้นบนฟรีแลกกับให้ช่วยเฝ้าร้านขายของหลังเลิกเรียน ...ส่วนตัวผมคิดว่ามันก็ดีนะเพราะใกล้โรงเรียนกว่า แถมมีห้องส่วนตัว มีเวลาอ่านหนังสือสอบ ช่วงนั้นผมกลับบ้านสัปดาห์ละครั้งได้ แต่ไม่ได้กลับไปอยู่หรอก กลับไปขนของย้ายมาห้องใหม่ตอนแม่ออกไปก๊งเหล้ากับเพื่อน ...ผมไม่ชอบบ้านตัวเองเลย”
สีหน้าขณะที่เล่าดูไม่มีความสุขเท่าไหร่ จู่ๆ ก็กระตือรือร้นขึ้นเมื่อพูดถึงมหาวิทยาลัย
“ตอนที่สอบเข้าม. A ได้ ผมดีใจมากเลย มันเหมือนฝันเป็นจริง ติดตรงที่ผมไม่มีเงิน จะกู้เงินเรียนก็ทำเอกสารไม่ทัน แต่ผมก็ไม่เสียใจมากหรอก เพราะถึงกู้ไปวงเงินก็ไม่พอจ่ายค่าเทอมอยู่ดี ผมเลยไปขอกู้กับพวกที่ปล่อยกู้นอกระบบหลายคน แต่เขาไม่ปล่อยให้ผมเพราะยังเด็กเกินไป ดูยังไงก็ไม่น่าหาเงินเจ็ดหมื่นมาคืนได้ แต่มีคนหนึ่งที่แนะนำให้ผมไปหาคุณวัตร ผมเลยใช้เงินเก็บเข้ากรุงเทพไปหาเขา ...ส่วนเรื่องต่อจากนั้นคุณก็คงรู้แล้ว”
ศานนท์พยักหน้าเบาๆ “เธอเลยอยากกลับมาตามหาแม่ใช่มั้ย”
“ครับ แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่ยังอยู่ที่นี่มั้ย... ตั้งแต่ย้ายไปอยู่กรุงเทพผมก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย” เจ้าของประโยคเหม่อมองนอกหน้าต่าง ยังตกอยู่ในภวังค์ความคิด “บางทีเวลาที่เครียดผมก็ฝันถึงแม่นะ... ฝันว่าแม่ด่าผมว่าเนรคุณเพราะเอาตัวรอดคนเดียว แต่ก็คงใช่... เพราะผมก็ทำแบบนั้นที่เธอพูดนั่นแหละ”
น้ำเสียงของตุลย์เจือกระแสความรู้สึกผิดเสียจนศานนท์ต้องเอื้อมมือมาแตะต้นแขนอีกฝ่ายคล้ายเรียกให้หลุดจากห้วงความรู้สึก
“เธอทำดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้แล้ว มันไม่ผิดถ้าเธอจะเลือกอนาคตแล้วเดินออกมา เพราะในสภาพสังคมแบบนั้น เธอช่วยแม่ไม่ได้หรอก”
“ก็จริงของคุณนะ...” ตุลย์ยิ้มเจื่อน “ผมรู้ว่ามันโหดร้าย แต่ถ้าไม่เลือกตัวเอง วันนึงผมก็คงต้องโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ใช้ชีวิตแบบแม่ กินเหล้า เมาหัวราน้ำไปวันๆ ให้ลืมๆ ปัญหาไปซะ ...แต่วันนี้ที่ผมมีทุกอย่างแล้ว บางทีผมก็ยังรู้สึกติดค้าง”
จีพีเอสร้องเตือน ซีดานสีดำก็เลี้ยวเข้าไปจอดรถในเขตของวัดประจำชุมชนซึ่งเป็นที่หมายปลายทาง ก่อนจะดับเครื่องยนต์
ตอนนั้นเองที่ตุลย์หันมาหาคนขับ
“คุณไม่ต้องลงไปก็ได้นะ มันคงไม่ใช่ที่ที่คุณคุ้นเคยเท่าไหร่...”
“ไม่” ศานนท์ส่ายหน้า “ฉันจะไปกับเธอนั่นแหละ”
พวกเขาเดินย้อนกลับมายังซอยที่ขับผ่านมาก่อนหน้า จากนั้นก็ข้ามถนนคอนกรีตมายังฝั่งตรงข้ามที่เต็มไปด้วยร้านขายของ ตั้งปะปนกับเรือนไม้เก่าๆ ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของคนในชุมชนเรียงติดๆ กันเป็นแนวยาว ระหว่างทางก็สวนกับรถเข็นขายของกินจุกกินจิกบ้างเป็นระยะ
เดินต่อมาไม่เท่าไหร่ ตุลย์ก็แวะที่หน้าร้านค้าโชห่วยแห่งหนึ่งซึ่งเป็นตึกอาคารพาณิชย์เก่าแก่จนเหลือง เขาตะโกนเรียกชื่อคนด้านใน สักพักก็มีหญิงอายุราวหกสิบคนหนึ่งเดินออกมาช้าๆ สีหน้าของเธอตกใจมากตอนที่เห็นตุลย์ ก่อนจะรีบดึงมือเข้าไปกุม ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบอย่างห่วงใย
“ไม่เห็นหน้ามาจะปีแล้ว อยู่กรุงเทพชีวิตเป็นยังไงมั่งหนู”
“ก็กระท่อนกระแท่นดีครับ... แต่ก็ตอนนี้โอเคขึ้นแล้ว” ตุลย์เปิดกระเป๋าสตางค์ก่อนจะหยิบแบงก์สีเงินจำนวนหนึ่งยัดใส่มือหญิงวัยย่างชรา “ผมอยากคืนค่าเช่าห้องที่ป้าเคยให้ผมอยู่...”
“โอ้ย! ไม่ต้อง ป้าบอกแล้วไงว่าให้อยู่ฟรี เอ็งก็ช่วยงานตลอด” เธอปฏิเสธยิ้มกว้างอย่างใจดี แต่ตุลย์ยังยืนกรานขอร้อง
“รับเถอะครับ ถ้าไม่คืนป้าผมไม่สบายใจ นะครับ... ตอนนี้ผมไม่ได้เดือดร้อนแล้ว...”
ต้องใช้ลูกอ้อนไม้เด็ดอยู่นานกว่าเธอจะยอมรับเงินไป แต่ก็ไม่วายเดินไปหยิบขนมถุงในร้านสองสามห่อซึ่งเป็นขนมพื้นบ้านอย่างพวกเผือกเส้น มันเส้น มายัดใส่มือเขา
ฝ่ายตุลย์ก็ไม่ลืมที่จะขอบคุณเธอเหมือนทุกครั้ง โดยไม่ลืมถามถึงใครอีกคนผู้ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เขากลับมาเยี่ยมเยียน
“ป้าพอรู้มั้ยครับว่าแม่ยังอยู่ที่นี่มั้ย? ”
“ยัยอ่อนเหรอ ไม่รู้ว่ายังอยู่หรือเปล่า ไม่เห็นนานแล้ว ลองไปถามตาเพชรข้างในสิ แกน่าจะรู้นะ เป็นเพื่อนดื่มกันมาตั้งแต่สมัยโน้นแล้วนี่”
ที่จริงเขาไม่ค่อยอยากเข้าไปในเขตชุมชนเท่าไหร่เพราะมีความทรงจำไม่ดีกับสถานที่ ยิ่งกว่านั้น วันนี้เขามีหนุ่มใหญ่มาเป็นเพื่อนด้วย ศานนท์เป็นคนต่างถิ่น ถึงไม่ตั้งใจมองก็ยังดูออกได้ง่ายๆ จากเครื่องแต่งกายและการวางตัว รั้งแต่จะตกเป็นเป้าสนใจของคนข้างในโดยใช้เหตุเปล่าๆ แต่จากคำบอกเล่าของคุณป้า ตุลย์ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากยอมเข้าไป
ทางเข้าสู่ชุมชนเป็นตรอกพื้นคอนกรีตฉาบหยาบๆ แคบๆ ขนาดแค่สองคนสวนกันได้ ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยบ้านที่เรียงตัวติดกันอย่างแออัด สร้างจากไม้บ้างสังกะสีบ้าง บางหลังที่ฐานะดีหน่อยขึ้นโครงด้วยปูน ระหว่างทางที่เดินเท้า บางครั้งก็จะพบสิ่งของตากกระเกะระกะยื่นล้ำจากตัวบ้านออกมา หนักๆ เข้าหน่อยบางบ้านก็จอดจักรยานทั้งคันขวางไว้ ต้องค่อยๆ เบียดตัวเดินเลี่ยงเอา
เดินลึกมาจนถึงจุดหนึ่งก็สิ้นสุดทางเท้าคอนกรีต เปลี่ยนเป็นกระดานไม้ยาวๆ หลายแผ่นเรียงต่อกันแทน เนื่องจากชุมนุมเก่าแห่งนี้ตั้งอยู่ติดกับริมแม่น้ำ บางจุดจึงมีน้ำท่วมขังเจิ่งเวิ้งทำให้เดินลำบาก ตุลย์แวะถามหาคนชื่อ ‘เพชร’ กับบ้านอีกหลายหลัง ก่อนที่คุณยายคนหนึ่งที่เขาคุ้นหน้าจะชี้ให้เดินต่อมาท้ายซอย
ไม่นานก็เห็นจุดสิ้นสุดของทางเดินไม้อยู่ลิบๆ ไกลๆ นั้นคือบ้านไม้ใต้ถุนสูงผุๆ โทรมๆ หากหรี่ตามองดีๆ จะพบว่ามีผู้ชายคนหนึ่งนั่งก๊งเหล้าอยู่บนพื้นกระดานยกสูง ด้านหลังตัวเขามีมุ้งถูกพับตลบ รวมกับข้าวของอื่นๆ ที่จัดกองไว้แค่พอให้มีที่นอนได้
ตุลย์เข้าไปใกล้ๆ ก็พบว่าชายคนนั้นคือ ‘ตาเพชร’ เพื่อนขาดื่มของแม่ที่มักเห็นจนชินตาสมัยเด็ก ที่แปลกไปคือ ชายคนเดิมสภาพผอมลงมากชนิดหนังหุ้มกระดูก ตัวดำคล้ำอย่างคนติดสุราเรื้อรัง...
“ลุงเพชรจำผมได้มั้ย” ตุลย์ตะโกนถาม ชายคนนั้นก็เงียบไปพักหนึ่งคล้ายกำลังประมวลผล
“ห๊ะ? เอ็งลูกใคร? ”
แต่เขารีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นถุงขนมในมือตุลย์
“เออ ข้าขอขนมสักหน่อยสิ จะเอามาแกล้มเหล้า”
ตุลย์ไม่ลังเลที่จะขนมให้อีกฝ่ายทั้งสองถุงเป็นกับแกล้ม จากประสบการณ์ตอนที่แม่ขาดเหล้าจนลงแดง เขาทราบดีว่าคนที่ติดเหล้าระดับนี้ จะให้หย่าขาดจากแอลกอฮอล์ดื้อๆ นั้นอาจถึงตายได้
“ผมตุลย์เอง”
“อ๋อ... ไอ้ตุลย์” ชายร่างผอมเออออ แต่ไม่รู้ว่าจำเขาได้จริงหรือไม่
“ยัยอ่อนยังอยู่ที่นี่มั้ย เพื่อนก๊งเหล้าลุงน่ะ ย้ายไปรึยัง? ”
ได้ยินชื่อแม่ของเขา ชายติดเหล้าก็ร้องอ๋อเสียงดัง “อ๋อ ไอ้ตุนลูกยัยอ่อนเองเรอะ นึกตั้งนาน เห็นแต่แม่เอ็งบ่นถึงไม่ค่อยเห็นหน้าเอ็งเลย โอ๊ย ยัยอ่อนมันไม่อยู่แล้ว! แล้วโน้นใครอีก…? ”
ชายร่างผอมชะโงกตัว มองเลยไปทางศานนท์ที่ยืนเยื้องหลังอยู่ไม่ห่างตัวเขา ตุลย์ก็รีบดึงสติอีกฝ่ายกลับมาที่คำถามเดิม “แม่ไปไหนครับ? ”
“จมน้ำตายไปหลายปีแล้ว”
คำตอบนั้นทำให้ตุลย์ถึงกับนิ่งงัน
“ก็แม่เอ็งเมาแล้วลงไปเล่นน้ำในคลองข้างบ้านคนเดียวเลยจมหายไป กว่าคนจะเจอตัวก็อีกวันแล้วช่วยไม่ทัน” พอเล่าจบก็เปลี่ยนเรื่องทันที “เฮ้ย เอ็งแต่งตัวดีมีตังแล้วนี่หว่า ข้าขอตังหน่อยสิ นี่ข้าต้องเอาเหล้าผสมกะน้ำ เพราะเงินหมด สงเคราะห์ข้าหน่อย ถือว่าทำบุญ”
ไม่ว่าเปล่ายังยกขวดเหล้าสีชาที่เหลือของเหลวแค่ก้นๆ ให้ตุลย์ดู ตุลย์จึงตัดสินใจหยิบแบงก์พันยื่นให้อีกฝ่ายอย่างเวทนา ชายร่างผอมแห้งตาวาวก่อนจะรีบไหว้ขอบคุณเขายกใหญ่ เป็นตุลย์ที่ต้องจับมืออีกฝ่ายไว้ไม่ยอมให้ไหว้อีก
“เอ้อ ถ้าข้าจำไม่ผิด เหมือนชาวบ้านเขาจะเอาแม่เอ็งไปเผาที่วัดโน้นแหนะ”
ตาเพชรชี้ไปทางวัดกลางชุมชนที่พวกเขาจากมา เป็นที่เดียวกับที่เขาแนะนำให้ศานนท์จอดรถทิ้งไว้ก่อนเข้ามาถามหาแม่ในสลัม
“ไปเถอะครับ”
หมดธุระ ตุลย์ก็พยักหน้าให้ชายร่างผอมทีหนึ่ง ก่อนพาศานนท์เดินกลับออกมาเพื่อมุ่งหน้ากลับไปที่วัด ระหว่างทางพวกเขาแทบไม่ได้คุยอะไรกันเลย จวบจนมาถึงที่วัด สิ่งแรกที่ตุลย์ทำคือ ไปที่เจดีย์และสถานที่เก็บอัฐิคนตายใกล้เคียง แล้วค้นหาชื่อแม่
พวกเขาใช้เวลาค้นอยู่นานเกือบครึ่งชั่วโมง แม้ว่าจะมีศานนท์คอยช่วยดูตามแผ่นป้ายหินอ่อน แต่ก็ไม่เจอชื่อหรือรูปใบหน้าของเธอเลย...
“ที่วัดอาจจะไม่ได้เก็บกระดูกแม่ไว้มั้งครับ”
ตุลย์ถอนหายใจหลังล้มเลิกความตั้งใจที่จะหา ฝ่ายศานนท์เอื้อมมือมาลูบสัมผัสแผ่นหลังของเขาเบาๆ คล้ายปลอบประโลม
“ฉันเสียใจด้วยนะ”
แม้จะรู้ว่าคำพูดของเขาคงชดเชยอะไรไม่ได้ แต่ศานนท์ก็ไม่อยากเห็นคนตรงหน้าแบกรับความเสียใจไว้คนเดียว
ตุลย์ยิ้มบางๆ ช้อนตามองคู่สนทนา แต่แววตากลับดูสับสนนิดหน่อย
“คุณว่ามันแปลกมั้ยครับ ถ้าผมจะบอกว่า จริงๆ แล้วผมไม่ได้รู้สึกเสียใจเท่าไหร่... อาจจะเพราะผมแทบไม่รู้จักแม่เลยเพราะแม่ไม่เคยอยู่ หรือไม่ก็อาจเพราะผมเป็นคนแปลกๆ ...”
ศานนท์ส่ายหน้า “คนตายก็คือคนตาย ต่อให้เธอรักให้ตายยังไงเขาก็ฟื้นกลับมาไม่ได้ ฉันว่าดีซะอีกที่เธอไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์มาก”
พูดจบก็เอื้อมมือมาลูบหัวตุลย์เบาๆ
ศานนท์ให้เวลาร่างสูงโปร่งได้พนมมือสวดภาวนาบางอย่างหน้าเจดีย์อัฐิ ก่อนที่ร่างนั้นจะหมุนตัวเดินกลับมาหาเขา
“กลับกันเถอะครับ… ขอบคุณนะครับที่วันนี้อุตส่าห์พาผมโดดเรียนออกมาตั้งไกล” ตุลย์ว่าติดตลก
จากนั้นทั้งคู่ก็มุ่งหน้ากลับมาที่รถซีดานคันเดิม
สำหรับเรื่องบางเรื่อง พอสาย... มันก็ย้อนกลับมาแก้ไขอะไรไม่ได้อีก… การกลับมาตามหาแม่ของเขาในครั้งนี้ ไม่ได้ช่วยลบความรู้สึกผิดที่มีต่อเธอ ความรู้สึกนั้นยังคงอยู่เพียงแต่มันถึงเวลาที่เขาต้องวางภาระอันติดค้างนี้ลง ยอมรับว่าตนเองไม่สามารถแก้ไขผลลัพธ์จากสิ่งที่ได้ตัดสินใจทำไปแล้ว และก้าวต่อไปข้างหน้าเสียที...
[/i]
แม่ไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ให้เขา... เธอจากไปเสมือนกับไม่เคยมีตัวตนอยู่
วันนี้เขายอมรับความจริงว่าเธอได้จากไปแล้ว มันก็คงไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำเพื่อชดเชยให้ หรือมีใครที่ต้องย้อนกลับมาหาอีก…[/i]
นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ตุลย์จะกลับมาเยี่ยมบ้านเกิด ต่อจากนี้เขาคงไม่แวะมาที่นี่อีก คงปล่อยให้มันเป็นเพียงอีกสถานที่ในความทรงจำที่ครั้งหนึ่งเคยมีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้น และต่อจากนี้ เขาจะเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่โดยไม่มีเรื่องใดติดค้างอีก...