ตอนที่19
ผมโดนลันเทียล้อไม่เลิกมาห้าวันแล้ว!
เจ้าตัวแสบ เห็นหน้าตาบ้องแบ๊วแบบนั้นแต่รู้มากแถมขี้แกล้งสุด ๆ!
คืนนั้นหลังจากท่านเอเทมประกาศกร้าวว่าเขาไม่มีวันแต่งงานกับผมเขาก็ผลักอกผมออกและตะแคงตัวนอนไปอีกทางทั้งอย่างนั้น พวกเราไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลยกระทั่งลันเทียมารับผมในวันถัดมา เจ้าตัวมองเห็นรอยคิสมาร์กบนคอของผมก็ตาลุกวาวยกมืออุดปากกลั้นเสียงกรี๊ดยกใหญ่
แล้วหลังจากนั้นมหกรรมชงให้ผมกับท่านเอเทมได้เสียกันก็ไหล่บ่าออกมาจากริมฝีปากสีแดงของเจ้าลันเทียผู้ไม่น่ารัก!
ห้าวันผ่านไปแล้วลันเทียทั้งชงทั้งล้อผมไม่เลิก เกรงว่าผมจะไม่กล้าสู้หน้าท่านเอเทมก็เพราะไอ้คนหน้าสวยหัวฟ้านี่แหละ
ผมเปลี่ยนสรรพนามให้ลันเทียเป็น’ไอ้’อย่างเกรี้ยวกราด ตัดเจ้าตัวออกจากลิสต์ฮาเร็มรัว ๆ! ชาตินี้อย่างหวังเลยว่าผมจะไปสู่ขอ เหอะ! เสียใจซะสิ! เสียใจหน่อยเห๊อ เสียใจแล้วก็เลิกแซวได้แล้ว เขิน!
“ข้าต้องบอกเจ้ากี่ครั้งว่าท่านเอเทมประกาศชัดเจนว่าเขาไม่มีวันแต่งงานกับข้า”ผมกัดขนมปังซึ่งเป็นอาหารเช้าอย่างหงุดหงิด
“คิก ๆ คร้าบ ๆ ข้าเชื่อท่านเพราะท่านมีหลักฐานเป็นรอยจูบเต็มตัวไปหมด ท่านเอเทมไม่ได้ยอมรับหมั้นท่านสักนิด คิก ๆ”
อ๊ากกกกกกกกก คิดดูนะ ผมทั้งอายทั้งนกในเวลาเดียวกัน ผมต้องรู้สึกยังไงเวลาโดนลันเทียแซว!
“เจ้า! ถ้ายังไม่หยุดพูดถึงเรื่องนั้นล่ะก็ข้าจะเก็บค่าเช่าบ้านเจ้า!!”ผมตัดสินใจงัดไม้เด็ดออกมาทว่าลันเทียกลับหัวเราะเสียงหวาน หากเป็นเมื่อก่อนผมคงหลงรอยยิ้มอันเจิดจ้านี่หัวปักหัวปำแต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนไปแล้ว เพราะเจ้าของรอยยิ้มนี้แซวผมไว้หนักมาก
“ข้าได้เป็นร้อยเอกแล้ว มีเงินจ่ายค่าเช่าท่านสบาย ๆ”ลันเทียตอบพลางยกนมขึ้นจิบอย่างสบายใจเฉิบ
ผมนั่งก้มหน้า อยากร้องไห้ให้น้ำตานอง”เจ้าไม่น่ารักเลย เป็นอัศวินแล้วต้องนิสัยเสียเหรอ”ผมถือโอกาสพาดพิงใครบางคนที่เป็นถึงอัศวินอันดับหนึ่งเสียเลย
“คิก ๆ ท่านพันโทการันต์ อดใจหน่อยน่า วันนี้พวกเราก็จะได้เข้ากองทัพแล้ว ท่านต้องได้เจอท่านแม่ทัพใหญ่แน่นอน”
“ลันเทีย!!”
“คิก ๆ”
วันคืนแห่งความสุขมักผ่านพ้นไปเอย่างรวดเร็ว หลังจากทานมื้อเช้ากันเรียบร้อยผมกับลันเทียก็นั่งรถม้าไปยังกองทัพหลวงด้วยความตื่นเต้นประหนึ่งจะไปเข้าค่ายรับน้องของมหาลัยครั้งแรกก็มิปาน แต่เมื่อย่างกรายเข้ากองทัพด้วยฐานะอัศวินเป็นครั้งแรกผมก็แทบน้ำตานอง
มันหนักหนา มันสาหัส!
ทั้ง ๆที่ผมเป็นถึงพันโทแท้ ๆแต่กลับต้องมาฝึกอบรมพื้นฐานกับพวกลูกกระจ๊อกคนอื่น ๆที่เพิ่งสอบผ่านเข้ามาในปีนี้เกือบพันชีวิต ไอ้อบรมเรื่องระเบียบข้อบังคับและจรรยาบรรณวิชีพซึ่งเป็นวิชาเล็คเชอร์น่ะไม่เท่าไหร่! มันมีพีคตอนฝึกกำลังกาย!!
สืบเนื่องจากผมเป็นผู้ผ่านการสอบด้วยคะแนนสูงสุด มิหนำซ้ำยังได้คะแนนปรี๊ดทะลุเมฆเทียมฟ้าสะท้านแผ่นดิน ผมจึงกลายเป็นที่จับตามองและวาดความหวังเอาไว้ประดุจชาติก่อนผมเป็นเทพสงคราม
แต่พอผมโดนครูฝึกเรียกออกไปข้างหน้าเพื่อแสดงฝีมือดาบเท่านั้นแหละ
“นะ...นี่มัน กากมาก...”เสียงกระซิบเช่นนี้ดังเซ็งแซ่ไปทั่วลานฝึก
สายตาพันคู่ของผู้ผ่านการสอบจ้องมายังผมราวกับเห็นผี แม้กระทั่งครูฝึกหรือพวกอัศวินขามุงคนอื่น ๆที่แอบโดดงานมาชื่นชมฝีมือของผมยังอ้าปากตาค้าง
คู่ต่อสู้ของผมคือคนที่สอบผ่านด้วยแต้มสามพันแต้ม นับว่าสูงแต่เมื่อเทียบกับหกแสนของผมก็ควรมีค่าแค่เศษผง แต่ผลปรากฏว่าเขาแค่วาดดาบใส่ผมทีเดียวก็ผลักผมกระเด็นไปติดกำแพง พอเห็นเขาทำท่าจะเข้ามาซ้ำปากของผมก็ตะโกนคำว่า’ยอมแพ้แล้วจ้า!’ออกไปเพื่อรักษาชีวิต
เป็นการดวลอันน่าอนาถ!
นกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำก็แพ้ซะแล้ว!
ผมก้มเก็บดาบกับเศษหน้าบนพื้นรัว ๆก่อนเดินเอาปี๊ปคลุมหัวออกมานั่งรวมกลุ่มกับลันเทีย
“ต่อไปเจริโก้!”ครูฝึกตะโกนเรียกลูกนายพลออกไปสู้กับนายสามพันแต้มคนนั้น และเจริโก้ก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังอีก เขาสามารถคว่ำนายสามพันได้อย่างสบายใจเฉิบ
ทุกคนปรบมือเปาะแปะ
คราวนี้ครูฝึกเห็นว่ากู้บรรยากาศกระอักกระอ่วนกลับมาได้จึงเผยรอยยิ้มกว้างออกมาก่อนเอ่ยเรียกคนที่ทำคะแนนได้เป็นอันดับสอง”ลันเทีย!!”
คนน่ารักเดินออกไปข้างหน้า ไอ้พวกอัศวินเดนตายผิวปากแซวกันเป็นพรวน พวกหน้าม่อทั้งหลายยกตำแหน่งดาวรุ่นให้ลันเทียของผมไปแล้วเรียบร้อยแต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาจีบเพราะลันเทียกับผมเกาะกันเป็นตังเม
บารมีหกแสนของผมยังอยู่ แต่คงอยู่ได้ไม่นานหรอก นี่ยังแค่วิชาต่อสู้ระยะประชิด ผมสามารถอ้างว่าถนัดเวทไม่ถนัดกำลังได้ แต่ถ้าถึงวิชาต่อสู้ด้วยเวทเมื่อไหร่ก็อย่าถามหาเศษหน้าของผมอีกเลย แตกยับจนเป็นผุยผงแน่นอน เพราะแม้กระทั่งเวทกรองน้ำฝนง่าย ๆผมยังใช้ไม่ค่อยคล่องเลย
ผมเครียดแล้วก็เครียดแล้วก็เครียด
กระทั่งการฝึกหนึ่งสัปดาห์อันโหดร้ายผ่านพ้นไป
ชื่อเสียงหกแสนป่นปี้เป็นธุลี ฝากทิ้งไว้เพียงตำนานเปิดตัวมาแรงแต่สู้กับลูกเต่ายังพ่ายแพ้
ทักษะร่างกายของผมอ่อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ความรู้เรื่องเวทมนต์ยังแทบจะเท่ากับศูนย์ ไม่ต้องอะไร แค่ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโลกนี้ผมยังแทบไม่มี สุดท้ายผมจึงถูกเพื่อนร่วมรุ่นเรียกว่าไอ้ตุ่น!
“จะดีจะชั่วยังไงข้าก็เป็นถึงพันโทนะ!”ผมวางจานลงกับโต๊ะด้วยความหงุดหงิด
วันนี้เป็นวันแรกที่ผมได้เข้าประจำการในฐานะอัศวินจริง ๆ มันแตกต่างจากหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาซึ่งผมจะวนเวียนอยู่แค่ในค่ายฝึกเท่านั้น ด้วยตำแหน่งพันโททำให้ผมมีห้องทำงานเล็ก ๆส่วนตัวและมีผู้ใต้บังคับบัญชาอีกพันชีวิต แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านั้นได้ยินข่าวลือหนาหูจากค่ายฝึกว่าผมเป็นแค่ลูกเต่าหกแสนแต้มเท่านั้นทำให้ผมแทบไม่เหลืออำนาจบารมีใด ๆ
ลันเทียที่ได้สังกัดอยู่ใต้บังคับบัญชาของผมเดินหัวเราะแห้ง ๆอ้อมมานั่งฝั่งตรงข้ามผม
“กับข้าวก็ห่วยแตก! ที่นี่ไม่มีอะไรดีเลย!”ผมกระแทกช้อนอย่างหงุดหงิด ช่วงเช้าที่ผมได้นั่งเก้าอี้ประจำตำแหน่งพันโทบอกตรง ๆว่าผมแทบร้องไห้ ไม่มีใครฟังคำสั่งผมแถมยังยกยิ้มล้อเลียน นินทาถ่มถุยลับหลังอีก!
และที่น่าเจ็บใจที่สุดก็คือลันเทียก็โดนรุมแจกขนมจีบจนแทบจำทางกลับบ้านไม่ได้!
บารมีหกแสนแต้มของผมพินาศไปแล้วจึงไม่มีใครเกรงใจผมอีก พวกเขาดาหน้าเข้ามาม่อลันเทีย ผมเองก็พยามกางปีกปกป้องสุดชีวิตแต่ก็โดนเขี่ยออกมารัว ๆ
“ป้าคนขายก็ขี้เหนียว! คิดราคาตั้งแพงแต่ยังให้น้อย ตอนขายของก็ทำหน้าไม่เป็นมิตร บัดซบ!”ในเมื่อไม่สามารถระบายอารมณ์กับผู้ใต้บังคับบัญชาได้ผมก็มาลงกับโรงอาหารกลางเนี่ยแหละ
กองทัพหลวงมีขนาดใหญ่ โรงอาหารย่อมมีอยู่หลายจุดแต่ผมอุตส่าห์ดั้นด้นมากินที่โรงอาหารกลาง ส่วนหนึ่งเพราะหลีกเลี่ยงพวกผู้ใต้บังคับบัญชาขี้นินทา อีกส่วนหนึ่งก็เพราะคาดหวังในแง่รสชาติ
“เอาน่า ๆ อีกไม่นานท่านจะต้องเก่งไม่แพ้ใคร ก็จริงที่ตัวท่านในตอนนี้แค่เวทกรองน้ำฝนยังทำแทบไม่เป็นแต่ด้วยพลังแฝงในตัวท่านจะต้องมีพัฒนาการก้าวกระโดด เรื่องฝึกเพลงดาบอาจจะยากเกินกำลังแต่ก็ไม่เห็นมีอะไรน่ากังวล ท่านดูข้าสิ เน้นเวทไม่เน้นดาบ”ลันเทียคนน่ารักพยามปลุกปลอบขวัญของผมอย่างสุดกำลัง
ผมนึกขอบคุณพระเจ้าที่อย่างน้อยก็ประทานลันเทียมาอยู่ข้างกายผม
“กระซิก ๆ”ผมออกอาการงอแงเหมือนเด็ก ๆ
เคยเป็นปะ เวลามีคนมาโอ๋เราก็ยิ่งอยากจะอ้อน
“โอ๊ะ นั่นท่านเอเทมนี่”
พรึ่บ!
สิ้นเสียงของลันเทียไม่ใช่แค่ผมเท่านั้นที่หันไปยังทิศทางที่นิ้วเรียวชี้ พวกอัศวินที่นั่งอยู่โต๊ะอื่นก็หันกันจนคอแทบเคล็ด
พวกเขาไม่ได้ดีใจที่ได้เจอท่านเอเทมเหมือนแฟนคลับเจอดาราหรอก อย่างไรก็ทำงานอยู่ที่เดียวกันพวกเขาย่อมเคยเจอท่านเอเทมในโรงอาหารมาไม่มากก็น้อย
แต่ที่พวกเขาพากันให้ความสนใจจนตาลุกวาวขนาดนี้ก็เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้เข้าซีนเดียวกับท่านเอเทม
“แค่ก!”ผมรีบก้มหน้าลงแทบจะชิดชามข้าว
พวกขาเผือกยังไม่เลิกให้ความสนใจ พวกเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่อยากรู้เบื้องลึกเบื้องหลังเรื่องข่าวหน้าหนึ่งฉบับนั้นที่สุด! พวกเขาอยากรู้ว่าท่านเอเทมตอบตกลงแต่งงานกับผมหรือไม่
โอ้ มาย ก็อด
หลุมเต็มไปหมด
หนทางเบื้องหน้าของผมมีแต่หลุม หลุม หลุม! เรียกว่าเดินไปทางไหนก็มีที่ให้ทิ้งตัวลงนอนได้ทุกเมื่อ ขาดก็แค่เอาแผ่นดินกลบหน้าและแปะป้าย R.I.P.ก็เท่านั้น
เรื่องหกแสนแต้มแต่เสือกกระจอกเป็นลูกเต่าก็ดี
เรื่องประกาศขออัศวินอันดันหนึ่ง แม่ทัพใหญ่แห่งแผ่นดินแต่งงานลงสื่อก็ดี
พินาศกว่าโรมานอสซาร์ก็ผมเนี่ยแหละ!!
“เขาไปหรือยัง”ผมก้มหน้าอยู่ ไม่เห็นการเคลื่อนไหวใด ๆทั้งสิ้นจึงต้องอาศัยถามลันเทียเอา
“เขาเดินไปนั่งอีกมุมแล้ว”เสียงหวานตอบ”ทำไมท่านต้องหลบหน้าเขาด้วยล่ะ ข้าคิดว่าคืนดีกันแล้วเสียอีก”
“พวกเราไม่ได้ทะเลาะกัน”
“แล้วทำไมท่านไม่เข้าไปทักเขาล่ะ”ลันเทียย้อนถาม
“ข้าอาย!”อายในที่นี้ไม่ได้แปลว่าเขิน อายก็คืออาย ผมกลัวว่าจะเดินเด๋อ ๆเข้าไปทักเขาแล้วโดนเขาทำเมินใส่ โดนเมินอย่างเดียวไม่เจ็บเท่าโดนเมินต่อหน้าขาเผือก! ผมจะหน้าแตกมากกว่านี้ไม่ได้ ผมต้องคีพลุคพันโท!
“เห...แต่เขามองมานะ”
“จริงเหรอ!!”ผมตกใจรีบเงยหน้าขึ้นมาถาม
ลันเทียทำหน้าไม่มั่นใจนักก่อนตอบอ้อมแอ้ม”นิ๊ดนึง”
“เขาอาจจะแค่มองทิวทัศน์ด้านหลังเรา”ผมถอนหายใจเซ็ง ๆ
“แต่อย่างไรท่านก็ควรเข้าไปทักเขา ถ้าท่านไม่เข้าไปทักข้าเกรงว่าอัศวินนายอื่นจะปักธงว่าท่านโดนเขาปฏิเสธ”
ก็โดนปฏิเสธมานะเซ่!!
ผมกัดฟันกรอด ๆด้วยความเจ็บปวด เหลียวมองไปยังร่างสูงที่นั่งทานข้าวกลางวันอยู่ในมุมสงบสลับกับกวาดสายตามองพวกขาเผือกที่แม้บัดนี้จะก้มหน้าทำเป็นไม่สนใจแต่ก็แอบชำเลืองมาทางผมเป็นระยะ
“เห้อ...”
เอาวะ ทักก็ทัก!
“เราไปนั่งกินกับเขากันเถอะ”ผมหยิบจานข้าวของตนเองขึ้นก่อนหันไปชวนลันเทียเพื่อนรักด้วยความที่ผมถือคติคนเดียวหัวหายสองคนกอดคอกันตาย
“ท่านไปเถอะ ข้าทานคนเดียวได้”ลันเทียไม่อยากเป็นก้างขวางคอจึงเอ่ยปฏิเสธ
ผมกลอกตาให้ความมีมารยาทแบบไม่ดูกาลเทศะของลันเทีย
“ถ้าเจ้าไม่ไปด้วยข้าก็ไม่ไป”
พวกเราจ้องตากันอย่างเอาเป็นเอาตายสุดท้ายคนตัวเล็กก็แพ้
พวกเราเดินถือจานข้าวไปยังมุมสงบ เจ้ามุมนี้แต่เดิมมันก็แค่ส่วนหนึ่งของโรงอาหาร มีโต๊ะมีเก้าอี้ปกติ แต่เมื่อมีร่างของบุรุษผู้หล่ออันดับหนึ่งของแผ่นดินนั่งอยู่บรรยากาศโดยรอบก็แปรเปลี่ยนเป็นแดนสุขาวดีในพริบตา
ออร่าของมนุษย์เดินดินมีพลานุภาพถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ผมชื่นชมความหล่อของเขาไม่นานก็เดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย เอ่ยปากขอในสิ่งที่พวกขาเผือกทั้งหลายกลั้นใจรอฟังกันมาเนิ่นนาน”ขอนั่งด้วยคนสิ!”ผมฉีกยิ้มกว้าง
“ตรงนั้นก็ว่าง”ท่านเอเทมปรายสายตาไปยังที่นั่งว่าง ๆทั้งหลาย
“ข้าอยากนั่งกับท่าน”ผมยังคงฉีกยิ้มทำเป็นไม่สะทกสะท้านขณะเอ่ยต่อรอง
จุดที่ท่านเอเทมนั่งนั้นห่างไกลจากพวกขาเผือกพอสมควรดังนั้นพวกนั้นจึงไม่ได้ยินว่าผมโดนไล่ไปแล้วหนึ่งรอบ ตราบใดที่ผมยังยืนปั้นหน้าประหนึ่งสุขสันต์ร่าเริงอยู่พวกเขาก็แค่คิดว่าผมกำลังยืนคุยกับท่านเอเทมตามปกติ เพราะต่อให้รำคาญแค่ไหนท่านเอเทมก็แทบไม่แสดงออกทางสีหน้าอยู่แล้ว
นับว่าผมฉลาดมากทีเดียว ท่านเอเทมขมวดคิ้วน้อย ๆอย่างรำคาญใจ แต่มันเล็กน้อยมากจริง ๆ พวกขาเผือกที่อยู่ไกลออกไปไม่มีทางเห็น
“ข้าจะไม่พูดซ้ำ ไปซะ”ร่างสูงเอ่ยเสียงเข้ม แต่ผมก้าวข้ามจุดกลัวรีแอคชั่นเบาะ ๆของเขามานานแล้ว อย่าลืมว่าผมเคยโดนแขนทั้งสองข้างของเขากักไว้กับกำแพงแล้วก็ตะคอกใส่หน้ารัว ๆมาแล้ว ตอนนั้นนับว่าน่ากลัว ส่วนเหตุการณ์ตอนนี้ไม่นับว่าเป็นอะไร
“ความจริงข้าก็ไม่ได้อยากนั่งกินข้าวกับท่านนักหรอก”ผมฉีกยิ้มกว้างขึ้นอีกหน่อย พวกเขาเผือกย่อมนับถือผมที่สามารถคุยกับเทพอัศวินได้เป็นวรรคเป็นเวร
ดวงตาคู่คมเหลือบมองผมอย่างเคลือบแคลง ในใจเขาคงตั้งคำถามว่าถ้าผมไม่อยากนั่งกินข้าวกับเขาแล้วผมจะเดินมาขอนั่งกับเขาทำไร่อ้อยอะไร
ผมไม่ปล่อยให้เขาสงสัยนาน วางจานลงข้าง ๆเขาก่อนถือวิสาสะทิ้งตัวลงนั่ง
“ข้าไม่อยากนั่งกินข้าวกันท่าน ข้าอยากนั่งอยู่ในใจท่านมากกว่า”
ฮิ้ววว
มุกเสี่ยวเกี้ยวสาวถูกงัดออกมาใช้อย่างไม่ดูตาม้าตาเรืออีกครั้ง
ผมพอใจกับผลงานของตัวเองมากทีเดียว เมื่อมองเห็นหางคิ้วของท่านเอเทมกระตุก เส้นเลือดบริเวณขมับของเขาเต้นตุบ ๆ ส่วนผมก็ตักข้าวเข้าปากอย่างสบายอารมณ์”โฮ่! กับข้าวอร่อยขึ้นมาทันทีที่ได้นั่งกินข้างท่านเลยนะนี่!”
ลันเทียเลือกที่จะนั่งลงข้าง ๆผมอีกต่อ ตอนนี้พวกเราสามคนก็เลยนั่งเรียงแผงหน้ากระดาน ดูตลกพิลึกแต่ไม่มีใครกล้าขำเพราะพวกขาเผือกทั้งหลายกำลังอ้าปากตาค้างกันเป็นทิวแถว
พวกเขาคงไม่คาดฝันมาก่อนว่าท่านเอเทมผู้รักสันโดษคนนั้นจะยอมให้คนอื่นร่วมโต๊ะได้ แปลว่าข่าวลื่อที่ว่าท่านเอเทมพาผมไปเที่ยงสองต่อสองหลังสอบเสร็จเป็นความจริง
“คึก ๆ ๆ ๆ”ผมหัวเราะชั่วร้ายออกมาอย่างไม่อาจหักห้าม รู้สึกภาคภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก
“ปกติท่านมาทานข้าวคนเดียวที่นี่ทุกมื้อเลยหรือ”ผมเลยติดใจความรู้สึกยามถือไพ่เหนือกว่าพวกขาเผือกจึงนึกอยากมาซ้ำอีกทว่าท่านเอเทมไม่ตอบ
“ข้าไม่เห็นพวกอัศวินยศนายพลคนอื่น ๆเลยนะ พวกเขามีห้องอาหารที่อื่นรึป่าว”ถ้ามีผมก็คงเข้าไปยุ่มย่ามไม่ได้แล้ว
“ไม่หรอก เจริโก้เคยบอกข้าว่าส่วนใหญ่จะให้แม่บ้านเตรียมอาหารใส่ปิ่นโตมาให้และนั่งทานในห้องเพราะกับข้าวที่โรงอาหารรสชาติไม่ถูกปาก ความจริงข้าก็กะจะเตรียมให้ท่านเช่นกันแต่วันแรกข้ายังปรับตัวไม่ทันก็เลย...”เป็นลันเทียที่เอ่ยอธิบายเสียยืดยาว
“อ๋อ...”ผมพยักหน้าหงึกหงักก่อนหันไปถามคนที่นั่งเงียบอยู่นานว่า”แล้วทำไมท่านไม่ให้คนรับใช้ทำให้ล่ะ ท่านบอกข้าว่าท่านจ้างแม่ครัวไว้คนหนึ่งนี่ หรือว่านางเข้าไปทำอาหารแค่มื้อเย็นเท่านั้น? นั่นแย่เลยนะ”
“กับข้าวพวกนี้ข้ากินได้ ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า”
“มันไม่อร่อยเลยนะ ท่านดูซุปครีมนี่สิ ใสจนไม่เหลือเค้าความเป็นซอสครีมอยู่เลย! รสชาติก็จืดชืดอย่างกับน้ำล้างเท้า มันไม่คู่ควรกับลิ้นของอัศวินอันดับหนึ่งแม้แต่น้อย”ผมแทบจะลุกขึ้นตบโต๊ะ ส่วนหนึ่งก็เพราะคับแค้นกับรสชาติอาหารเป็นการส่วนตัวด้วยเลยอินสุด ๆ
“อัศวินคือผู้ฝึกตน ยามออกศึกไม่ได้มีเสต็กมาประเคนให้ทุกมื้อ ยามจำเป็นแม้แต่ดินหรือหญ้าก็ต้องกินเพื่ออยู่รอด”
“อั่กกก...”ผมกระอักเลือกทันทีที่เจอคำเทศนาที่ดูไกลตัวนั่น
“ขอประทานโทษ พอดีที่ที่ข้าอยู่มาไม่มีใครเขากินหญ้ากัน”ผมจิ๊ปากเถียง
“แต่บังเอิญว่าที่ที่ข้าจากมาแม้แต่หญ้าก็ยังไม่มีให้กิน!”
“!!?”ผมตกใจหันขวับไปมองหน้าคนพูดแต่ใบหน้าของท่านเอเทมยังคงเป็นปกติผมจึงคิดว่าเขาแค่ยกตัวอย่างเพื่อเสริมความโอเวอร์ให้ผมกลัว แต่พอผมหันกลับมามองหน้าลันเทีย คนตัวเล็กของผมกลับนั่งน้ำตาคลอ
“เห้ย! เจ้าร้องไห้ทำไม!!”พอผมหันไปแตกตื่นกับน้ำตาของลันเทียท่านเอเทมก็อาศัยจังหวะนี้ลุกพรวดพราดเดินจากไป ผมเองก็ไม่คิดตามแล้วเพราะลันเทียที่มักมีรอยยิ้มปรากฏอยู่บนหน้าเสมอคนนั้นบัดนี้กลับเบะปากน้ำตาไหลหยดแหมะ ๆ
“เจ้า...เป็นอะไร ข้าพูดอะไรผิดไปเหรอ”ผมถามเสียงสั่น
คนตัวเล็กส่ายหน้าพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาป้อย ๆ”ข้าก็แค่คิดถึงท่านแม่ ตอนที่พวกเราหนีออกมาจากโรมานอสซาร์ ฮึก ไม่มีอะไรให้กินเลย...มันทั้งหนาวแล้วก็หิว ข้างหน้าพวกเราคือทุ่งหิมะที่ไม่สิ้นสุด ไม่มีสิ่งมีชีวิต แม้แต่หญ้าสักต้นก็ไม่มี ฮึก...ก่อนจะมาถึงอัสโตเรีย ท่านแม่ก็ ฮึก...”
โรมานอสซาร์
ชื่อนี้อีกแล้ว
ผมผู้มีความรู้ติดตัวน้อยนิดพลันตั้งคำถามขึ้นในใจคำถามใหญ่
ราชอาณาจักรแห่งนี้พังพินาศได้อย่างไร?
----------------------------
จะว่าไปก็เหมือนไม่เคยบอกอายุท่านเอเทมเลยนะ!!
บอกตรงนี้เลยละกันว่าท่านเอเทมอายุ 26-27ปี จ้า ส่วนหนูการันต์เพิ่งขึ้นปีหนึ่งก็แปลว่าอายุแค่18ปี
แบบนี้นับเป็นแนวกินเด็กได้มั้ย ชูการ์แดดดี๊ที่เขานิยมกันน่ะ ถถถถถถถ