ตอนที่ 9เบสนั่งรอข้าวโพดอยู่ที่โต๊ะใต้อาคารเรียน ท่ามกลางกลุ่มเพื่อน และรุ่นพี่รุ่นน้องเหมือนเคย ทำให้มองเห็นตั้งแต่มอเตอร์ไซค์คันใหญ่เลี้ยวเข้ามา แล้วจอดที่หน้าอาคารเรียน จากนั้นบลูก็ลงจากเบาะนั่งด้านหลัง ส่งหมวกกันน็อคส่งให้คนขับที่สวมแจ็คเก็ตหนังสีดำแล้วเดินนำมาก่อน
ทุกครั้งที่เจอกันบลูมักจะสวมชุดสีขาว แต่วันนี้ชายหนุ่มสวมเสื้อสีฟ้าอ่อนจนเกือบขาว กับกางเกงสีดำ แต่ก็ยังคงมีลักษณะบางอย่างที่ทำให้รู้ว่าเขาแตกต่างจากคนอื่น
คนที่สวมแจ็คเก็ตหนังกับยีนส์สีดำที่เดินตามมานั่นก็เหมือนกัน
“แก พี่บลูมา” บรรดาคณะพรรคพวกใต้ถุนตึกหันมาเม้าท์ทั้ง 2 คนที่กำลังเดินมาทางนี้
“พี่บลูโคตรสวยว่ะแก”
“คนที่มากับพี่เขาก็หล่อ แต่ท่าทางจะเป็นฝรั่ง”
“พูดไทยได้ไหมเนี่ย”
“แกก็ลองทักดูสิ”
เบสไม่อยากให้บลูได้ยินเสียงนินทาเหล่านี้รีบลุกขึ้นยืนจนนานาต้องเตือนให้รักษาฟอร์มไว้บ้าง เบสที่กำลังจะวิ่งไปหาพี่ เลยต้องเปลี่ยนเป็นเดินเข้าไปหาพร้อมยกมือไหว้ทั้ง 2 คน
“พี่สวัสดีฮะ หายไปหลายวันเลย”
บลูจับศีรษะเล็ก ๆ “เป็นไงบ้าง เพื่อนเราดูแลดีไหม”
เบสเก้อเขิน ทั้งเขินพี่ เขินคนที่มากับพี่ และทุกคนที่กำลังมองดูอยู่ “ดีฮะ ไม่ปวดหัว ไม่เพลียแบบนั้นแล้ว”
บลูไม่ได้อยากแนะนำคนที่มาด้วยสักเท่าไหร่ แต่เพราะว่าคนนั้นยืนอยู่ใกล้ขนาดนี้ก็เลยต้องแนะนำ
“นี่คือลุค เขาเป็นมือปราบ จะมาช่วยพวกเรา”
“ขอบคุณนะฮะ แล้วก็ขอโทษที่รบกวน” เบสหันไปยกมือไหว้ขอบคุณ
“เธอไม่ได้รบกวนฉันหรอก” ลุคมองไปที่กลุ่มนักศึกษาที่อยู่ใต้ถุนอาคารเรียน “อีกคนล่ะ”
“อีกคน?”
“เพื่อนเรา เจ้าของรถสีน้ำตาลน่ะ” บลูบอก
“อ๋อ ข้าวโพดหรือฮะ เขาเอาของไปส่งที่ห้องชุมนุม เดี๋ยวก็มา ผมรอเขาอยู่เหมือนกัน” เบสกระตุกแขนเสื้อของบลู “ผมมีเรื่องอยากให้พี่ช่วย แต่รอข้าวโพดมาแล้วค่อยบอกทีเดียวดีกว่า”
บลูเลิกคิ้วสูงแล้วหันไปมองลุค
“มีอะไรหรือฮะ”
“มี แต่เธอจะรอเพื่อนก่อนไม่ใช่หรือ”
“ไม่เข้าไปนั่งข้างในหรือ” ลุคถาม
เบสรีบส่ายหน้า “อย่าเลยฮะ พวกนั้นกำลังนินทาพี่ 2 คนอยู่”
บลูมีรอยยิ้มจาง ขณะที่ลุคหัวเราะเบา ๆ
“ผมโทรไปเร่งข้าวโพดดีกว่า”
แต่ยังไม่ทันที่เบสจะกดโทรศัพท์ ข้าวโพดกับนทีก็ซ้อนมอเตอร์ไซค์เพื่อนมาถึงพอดี
บลูหรี่ตามองข้าวโพดแล้วหันขวับมาหาเบส
“พี่ฮะ คือผม...”
บลูตรงดิ่งไปหาข้าวโพดทันที มือผอม ๆ นั่นผลักอกจนข้าวโพดเซ หากนทีไม่รีบรับไว้คงได้ลงไปนั่งงงอยู่กับพื้น
“พี่ ไม่มีอะไรจริง ๆ นะฮะ” เบสเข้าไปขวางระหว่างบลูกับข้าวโพด
“บลู ใจเย็น ๆ”
“ผมชอบเบส” ข้าวโพดพูดเสียงดัง “ผมชอบเขามาก ผมเลิกชอบเขาไม่ได้ ผมขอโทษ”
บลูก้มลงมองเบสที่ยังยืนขวางอยู่
“พี่...ผมขอโทษ”
เป็นสถานการณ์ที่ทำให้กลุ่มคนที่กำลังแอบฟังเขาคุยกันต้องงุนงงไปทั้งกลุ่ม เพราะเห็น ๆ อยู่ว่าคุยกัน หัวเราะกันดีอยู่แท้ ๆ ไม่ได้ยินว่าเบสจะฟ้องอะไรพี่สักคำ แต่พอข้าวโพดมาถึง ก็ถูกพี่พุ่งเข้าไปผลักอกเสียแล้ว
“ไปหาที่เงียบ ๆคุยกันดีกว่า” ลุคเสนอ
ข้าวโพดหันไปบอกกับนทีและเพื่อน ๆ ว่าให้กลับไปก่อน จากนั้นก็บอกว่า ตรงข้างสระน้ำใกล้สวนเพาะชำเวลานี้ไม่ค่อยมีคนแล้ว ไปคุยที่นั่นก็ได้
“เดี๋ยวฮะ ผมไปเอากระเป๋าก่อน” เบสรีบวิ่งไปเอากระเป๋าเรียน ก้มหน้าก้มตาไม่สบตาใคร แต่รับรู้ความเป็นห่วงของเพื่อน นานาคว้าข้อมือของเบสไว้
“ไม่เป็นไรนะเบส ใจเย็น ๆ ค่อย ๆพูดกับพี่เขา”
ตอนที่เบสเดินออกไป นทีที่เดินเข้ามาหันไปพยักหน้ากับนานาทำให้เพื่อนทั้งกลุ่มหันมาซักถามด้วยความสงสัย
“2 คนนี้รู้อะไรแล้วไม่ยอมบอกเพื่อน”
แต่ทั้ง 2 คนต่างก็ไม่ยอมบอกเกี่ยงให้รอถามจากเบสและข้าวโพดเอาเอง
“อะไรของแกวะ” เพื่อนโวยวาย
“ก็เขาคุยกันอยู่ ไม่เห็นหรือไง” นทีบอกแล้วหันไปหานานา “กลับบ้านกันได้แล้ว”
“เดี๋ยว ๆ นที แกชวนนานากลับบ้านงั้นหรือ” ปายตกใจ “อะไร ยังไงกันวะเนี่ย”
นานาปวดหัว เรื่องนั้นไป เรื่องนี้มา “อย่าเพิ่งสงสัยอะได้ไหม แยกย้ายกันกลับบ้านได้แล้ว ใครจะติดรถไปลงที่ไหน ตามมาเลย”
“แหม เราก็คิดว่าจะมีเซอร์ไพรซ์” แหม่มบ่น แล้วเดินตามมาด้วย “ตกลงข้าวโพดกับเบสนี่ยังไงกันแน่นะ เขาคบกันหรือแค่เพื่อนกัน แล้วทำไมพี่บลูถึงโกรธ ฉันต้องกินแห้วจริง ๆใช่ไหม”
“ไว้ค่อยไลน์ถามข้าวโพดดูก็ได้” ปายแนะนำเพื่อน
แต่ก่อนที่จะแยกกันกลับบ้าน นทีก็หันมาสบตากับนานาอีกรอบ
ที่จริงในใจของเบสมีเรื่องที่อยากถามเกี่ยวกับความลึกลับที่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย แต่ตอนนี้มีเรื่องที่ควรทำความเข้าใจกันก่อน
ข้าวโพดเดินนำไปจนถึงโต๊ะหินอ่อนข้างสระน้ำ เป็นโต๊ะที่แยกเดี่ยวออกมาห่างจากโต๊ะอื่น
บลูที่มีสีหน้าเครียดมากไม่ได้นั่งลง ทำให้ทั้งข้าวโพดและเบสได้แต่วางกระเป๋าเรียนไว้แล้วยืนอยู่ข้างกัน ส่วนลุคนั่งลงที่เก้าอี้หินอ่อนตัวหนึ่ง แต่เพราะขายาวเกินไปทำให้ต้องนั่งหันหลังพิงขอบโต๊ะ คอยดูว่าบลูจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร
“ทำไมพี่รู้” เบสถามขึ้นก่อน
บลูเดาะลิ้น กลอกตามองบน ไม่อยากอธิบายว่าเป็นเพราะเบสมีไอชีวิตเป็นสีชมพูจาง ๆ แบบที่เรียกว่าเครป (crepe) เป็นสัญลักษณ์ที่ติดตัวข้ามภพ ส่วนข้าวโพดมีไอชีวิตเป็นสีส้มแบบที่เรียกว่าน้ำผึ้ง (honey) ตอนที่เห็นเบสหน้าตึกก็มองเห็นไอสีส้มนั้นซ้อนอยู่กับไอชีวิตของเบส ก็นึกสงสัยอยู่ แต่พอข้าวโพดมาแล้วเห็นว่าไอชีวิตของเบสไปซ้อนอยู่กับไอชีวิตของข้าวโพดก็รู้สึกโมโห
เมื่อเห็นว่าบลูไม่ยอมตอบ เบสก็เขย่าแขนเร่ง “พี่”
“ที่ฉันให้ข้าวโพดดูแลเธอ ก็เพราะรู้ว่าเขาชอบเธอ แต่ไม่ได้อนุญาตให้ทำอะไรเธอ”
การที่บลูไม่อธิบายเรื่องไอชีวิตของมนุษย์ไม่ได้เหนือความคาดหมายของลุค แต่การที่พูดตรง ๆเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง 2 คนเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมาก
“พี่...” เบสเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน
“เล่ามาว่าเกิดอะไรขึ้น” บลูถาม
“ผมเริ่มก่อนฮะ” เบสสารภาพ
แต่ข้าวโพดรีบแย้ง “เบสกำลังโมโห แล้วผมก็ฉวยโอกาสเอง”
คราวนี้คนที่อึ้งไปคือบลู
“เราแค่จูบกัน แล้วก็...มือ...” ข้าวโพดก้มหน้าสารภาพ
ได้ยินเสียงหัวเราะของคนที่นั่งอยู่ข้างหลัง ที่ดังขึ้นมาอย่างไม่รู้กาลเทศะ
เมื่อนานมาแล้ว เชสชอบเกรสอย่างแน่นอน และความทรงจำเหล่านั้นก็ติดตามมาจนถึงวันนี้ เมื่อมารวมกับความรู้สึกผิดที่ไม่ได้ช่วยเหลือจนทำให้เกรสต้องตายอย่างทรมาน เชสในวันนี้ถึงได้คอยดูแลและยอมลงให้กับเกรสทุกอย่าง
แต่เพิ่งรู้ว่าเกรสก็มีใจต่อเชส
เกรสที่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมในวันนั้น จากไปด้วยความรู้สึกแบบไหนกันนะ...
มือผอมของบลูจับที่ศีรษะของเบส “คิดว่าหมอนี่เชื่อใจได้ไหม”
“ไม่แน่ใจ” เบสตอบตามตรง “ข้าวโพดดีกับทุกคน ใคร ๆก็ชอบข้าวโพด”
“รวมเธอด้วยหรือเปล่า”
เบสทำปากยื่น “เปล่า”
“เขาไม่ได้ดีกับเธอหรือ”
“ก็ดี แต่ก็ชอบทำตัวน่ารำคาญ”
เท่าที่ลอบมองมาระยะหนึ่งด้วยสายตาอาฆาต บลูยังไม่เห็นว่าข้าวโพดจะทำตัวน่ารำคาญกับเบส เว้นแต่เราเรียกการตามใจแบบนั้นว่าเป็นการทำตัวน่ารำคาญ
“เขาขัดใจ หรือชอบห้ามเธอทำนั่นนี่หรือไง”
“ไม่นะ”
“ตามใจ”
เบสลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้า
“ทำไมต้องลังเลด้วย”
“ก็ไม่แน่ใจว่าตามใจเพราะว่าเขาอยากทำ หรือเพราะว่าพี่สั่งไว้นี่นา”
“ผมชอบเบสมาตั้งแต่แรก แล้วก็อยากทำอย่างนี้ เป็นมาก่อนที่จะเจอพี่เสียอีก” ข้าวโพดเถียง “บอกว่าชอบไปตั้งหลายครั้ง แต่เบสก็บอกว่าผมพูดเล่น”
“ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกน่ะหรือ” บลูหันไปถาม
“ครับ” ข้าวโพดตอบ “แล้วผมก็ไม่ได้ทำดีกับทุกคนนะ แต่ถ้าเขาไม่ได้หวังร้ายกับผม จะให้ผมปฏิเสธเขาได้ไง”
บลูหันไปหาเบส “แล้วเธอคิดอย่างไร”
“ข้าวโพดเป็นเพื่อน” สำหรับเบสแล้ว เป็นเรื่องยากที่จะยอมรับ ว่าชอบคนที่ดีกับทุกคน “จนเมื่อผมได้พบกับพี่...ผมก็...ผมอยากเจอพี่”
บลูชี้ไปที่คนในชุดดำที่นั่งอยู่ด้านหลัง “ตอนที่เห็นว่ามาด้วยกันคิดว่าไง”
“ก็คิดว่า ดี”
“ดี?” ลุคถาม
เบสหันมาตอบ “ก็ดีน่ะฮะ ไม่รู้จะบอกว่ายังไงเหมือนกัน”
“ฉันชอบพี่ของเธอ และกำลังตามตื้อเขาอยู่ เธอยังคิดว่าฉันดีอยู่ไหม”
เบสหันไปมองบลูที่กำลังขึงตาใส่ลุคแล้วก็หัวเราะออกมา “ผมว่าพี่น่าจะรำคาญคุณ”
“ที่จริงเขาชอบฉัน แต่ชอบกลบเกลื่อนด้วยการทำเป็นดุน่ะ”
“ลุค เมอร์ฟี อย่าพาเสียเรื่อง”
ทั้งเบสและข้าวโพดต่างนิ่งอึ้งไป
“ผมคุ้นกับชื่อ แล้วก็วิธีเรียกแบบนี้ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน” ข้าวโพดบอกแล้วมองหน้าเบส “เบสเดจาวูเหมือนกันไหม”
เบสพยักหน้า
บลูยังไม่อยากรื้อฟื้นความทรงจำของทั้ง 2 คนในเวลานี้ “ตอนที่เห็นคนที่เธอบอกว่าเขาเป็นเพื่อนอยู่กับคนอื่น คิดว่ายังไง”
“ก็ไม่คิดยังไงนี่ฮะ ก็ธรรมดา” เบสเถียง
บลูกอดอก “เธอรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร”
เบสหันหน้าไปทางอื่นไม่ตอบคำถาม ข้าวโพดก็เลยเป็นคนตอบ
“เวลาที่ผมคุยกับคนที่มาชอบผม เบสจะโกรธ แล้วก็ไม่พูดกับผม”
บลูคลี่ยิ้ม “แบบนี้มันก็ชัดอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
“แต่ว่า...”
“ฉันว่าเธอไม่ใช่คนประเภทที่จะจูบ หรือทำเรื่องแบบนั้นกับคนที่เป็นเพื่อนใช่ไหม”
เบสหันมากอดบลู ซุกหน้ากับไหล่ผอม “พี่ ผมขอโทษ”
ความรู้สึกต่อพี่ที่เคยสับสนมาหลายวัน ชัดเจนก็ในวันนี้
ความคิดถึง ความกังวลทั้งหมดไม่ใช่ในฐานะคนรัก
...และไม่พร้อมที่จะทำความเข้าใจความรู้สึกที่มีต่อข้าวโพด
เวลาที่ข้าวโพดตามใจ หรือเรียกร้องเอาแต่ใจกับข้าวโพด ไม่เคยหยุดคิดแม้แต่วินาทีเดียวว่ามันใช่ไหม ถูกต้องหรือไม่
แต่ในทางกลับกัน หากเป็นความต้องการ หรือความรู้สึกของข้าวโพด เรื่องราวเหล่านั้นจะเป็นเรื่องรอง หรือเรื่องที่คิดว่ารอได้
ไม่ได้ลืม แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงคิดว่าข้าวโพดต้องเข้าใจ และต้องรอได้
แล้วพอได้เจอกับพี่ ก็คิดแต่ว่าอยากเจอและกลัวว่าจะต้องห่างกัน กลัวว่าพี่จะไม่ชอบ ไม่เห็นด้วยกับเรื่องที่ทำ
เบสไม่ใช่เด็ก ๆ ทั้ง 3 คนอธิบายถึงขนาดนี้แล้วย่อมต้องรู้ตัวเอง แต่ไม่พร้อมที่จะทำความเข้าใจและยอมรับ
บลูลูบแผ่นหลังบางด้วยความเข้าใจ “เธอจะค่อย ๆ ศึกษากันไปก็ได้ แต่อย่าเสียเวลามาสับสนเรื่องฉัน”
เบสพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “แล้วผมกลับบ้านได้หรือยัง“
“ยัง”
น้ำเสียงของบลูเปลี่ยนไปเป็นเข้มงวดขึ้นในทันที ลุคจึงช่วยอธิบาย “เราต้องตามหาของบางอย่างในบ้านของเธอ แต่เรายังเข้าไปไม่ได้”
“หาอะไรฮะ ผมกลับบ้านไปเอามาให้” เบสอาสา
ลุคที่เป็นคนรอบคอบระมัดระวังต้องเตือนขึ้นมาก่อน “เรามีเรื่องที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนที่จะเข้าไปเอาของ”
“ให้ผมช่วยนะ ผมอยากช่วย” เบสรีบบอกอีกครั้ง ข้าวโพดก็อาสาอีกคน
“ไม่ได้ ทั้งคู่นั่นแหละ” บลูดุ ทำให้ทั้งคู่เงียบไปทันที
ลุคเป็นฝ่ายปลอบตามเคย “พวกเธอรู้อยู่แล้วว่าเราไม่เหมือนกับพวกเธอ ศัตรูของเราก็...ค่อนข้างจะหลากหลายอยู่เหมือนกัน ที่เราต้องการก็คือ คนที่จะบอกกับเราเวลาที่พบเห็นเรื่องแปลก ๆ” ลุคเน้นย้ำ “บอกว่าเธอเห็นอะไร ไม่ใช่ลงมือทำเอง”
“วิชาการชะมัด” บลูทำปากยื่น
“แบบแจ้งเบาะแสตำรวจน่ะหรือ” เมื่อครู่พี่บอกว่าเขาคือมือปราบนี่นะ เบสหันไปมองหน้าข้าวโพดแล้วหันมาหาบลู “อย่างนั้นก็พอดีเลย เพราะมีเรื่องหนึ่งที่ผมอยากให้พี่ไปดูให้หน่อย”
บลูอยากจัดการเรื่องราวให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ติดที่รู้ทันว่าเบสกำลังคิดอะไรอยู่
หากไม่ตามใจ เบสจะต้องดื้อกลับไปบ้านเพื่อค้นหาของที่พี่กำลังตามหาอยู่แน่ๆ
ลุคเองก็คิดอย่างเดียวกัน
คนที่ยอมถูกเผาทั้งเป็น แต่ไม่ยอมเปิดปากเรื่องของหญิงชราในสวนหลังบ้าน และเก็บซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงมายาวนานถึง 400 ปีจะต้องเป็นคนที่ดื้อรั้น ยึดมั่น และแน่วแน่ขนาดไหนกัน
“พวกเราจะไปดูให้ แต่เธอ 2 คนต้องรับปากว่าจะกลับบ้าน”
“เสร็จเรื่องแล้วจะมาบอกหรือฮะ” เบสดักคอ
“ใช่” บลูตอบ
“แล้วพี่ก็จะหายไปอีกหลายวันหรือเปล่าฮะ”
“มันก็ขึ้นอยู่กับเรื่องที่เธออยากให้เราไปดู มันอาจไม่มีอะไรก็ได้”
เบสทำปากยื่น ไม่มีทางเลือกนอกจากการพาพี่ทั้ง 2 คนไปที่ป้ายประกาศที่ติดกระดาษปริศนาใบนั้น
...คลาสพิเศษการควบคุมจิตใจ เวลาสี่ทุ่ม กับวันที่ที่เปลี่ยนมาเป็นวันนี้
“นั่นไง” เบสชี้ แต่แทนที่จะบอกกับบลู กลับหันไปบอกกับข้าวโพด ทำให้ข้าวโพดต้องหันมาอธิบายกับลุคและบลู
“ข้อความในกระดาษนี้เหมือนเดิมทุกวัน เว้นแต่วันที่ที่จะเปลี่ยนเป็นปัจจุบันตลอด”
คราวนี้เบสหันมาหาบลู “มันผิดปกติใช่ไหมฮะ”
“ผิดปกติแน่นอนอยู่แล้ว” บลูตอบ “คราวนี้ทั้ง 2 คนกลับบ้านกันได้แล้ว”
“อ้าว” เบสดูผิดหวังอย่างชัดเจน
“เธออยากให้มาดู ก็มาดูแล้วไง คราวนี้พวกเธอก็กลับบ้าน”
“แต่พี่ฮะ ป้ายนี้มันผิดปกติ แล้วอาจมีนักศึกษาที่หลงเชื่อแล้วก็ไปตามนี้ก็ได้”
บลูหรี่ตาลง “เธอไปดูคลาสนี้มาแล้วใช่ไหม”
เบสกอดแขนบลูไว้ “แค่ขับรถผ่านหน้าตึก เพราะข้าวโพดไม่ยอมจอดรถให้ลงไปดู”
“เขาทำถูกแล้ว ที่ไม่ตามใจเธอไปหมดทุกอย่าง”
“พี่อ้ะ”
บลูขยี้ผมนิ่มของเบส “กลับบ้าน ฉันกับลุคจะจัดการเรื่องนี้เอง”
ลุคยกมือขวาง เพื่อดันอีก 3 คนให้ถอยออกมาหลายก้าว ขณะที่ตนเองก้าวเข้าไปห่างจากบอร์ดประมาณ 2 ก้าว เมื่อยกมือขึ้นมากระดาษเก่าแผ่นนั้นก็ขยับตัว กะโหลกศีรษะสีขาวผุดขึ้นจากกลางกระดาษ ส่งเสียงกรีดร้องขณะที่พุ่งเข้าหาลุคพร้อมเสียงร้องด้วยความโกรธ
บลูกางแขนทั้ง 2 ข้างกันเบสและข้าวโพดไว้ด้านหลัง ทั้งดันให้ถอยหลังห่างออกมาอีก
ลุคจับกะโหลกศีรษะนั้นด้วยมือเปล่า กะโหลกก็กลายเป็นฝุ่นผง แต่ชายหนุ่มใช้ปลอกข้อมือข้างซ้ายรองรับไว้ทั้งหมด
ลุคหันมาหาทั้ง 2 คนทางด้านหลังของบลู “กลับบ้าน”
“ครับ” ทั้งคู่รับปากทันที
พอเห็นว่าทั้ง 2 คนห่างออกไปแล้ว บลูถึงหันมาถามลุค
“ซอว์นีหรือ”
“ไม่ใช่หรอก แต่ก็เป็นพวกที่เล่นมนต์ดำเหมือนกัน”
“นายไปจัดการสิ” บลูบอก ทั้งหันมองซ้ายขวาเพื่อหาที่นั่งรอ
ลุคหัวเราะให้กับดินฟ้าอากาศ “ต้องรอสี่ทุ่มก่อน ไปตอนนี้ก็ไม่มีอะไร”
“งั้นฉันกลับไปที่ห้องของฉัน สักห้าทุ่มเจอกันที่บ้านของหนุ่มรถสีน้ำตาลนั่นก็แล้วกัน”
“ตอนนี้เขาคือข้าวโพด ชื่อจริงคือ จิรกร คุณสิริกร”
“อยากให้เรียกแบบนั้นหรือ”
“ก็เหมือนกับที่นายเรียกเกรซว่าเบสนั่นแหละ” ลุคนั่งลงที่เก้าอี้ยาว ท่าทางสบายมาก ไม่เหมือนคนที่เมื่อ 5 นาทีก่อนเพิ่งจะเผาเครื่องรางไปชิ้นหนึ่ง
บลูกอดอกยืนมอง “จะรอสี่ทุ่มจริง ๆหรือ”
เจ้าแม่มดดำนั่นหลอกนักศึกษาไปที่ตึกนั้นทำไม และหลอกมาได้กี่คนแล้ว
ทำไมหมอนี่ถึงได้ใจเย็นนักนะ!
ลุคพยักหน้า “เรากำลังคุยกันเรื่องชื่อ”
“ฉันอยากถามเรื่องเวลา”
“ก็ได้” ลุคต้องยอมแพ้อยู่แล้ว “ถ้าเวลาที่กำหนดไว้ว่าสี่ทุ่ม ก็แสดงว่านั่นคือช่วงเวลาที่พวกมันเข้มแข็งที่สุด”
“ทำไมไม่ไปตอนที่พวกมันอ่อนแอ”
“เพราะมันจะไม่เอาเครื่องราง หรืออาวุธของมันออกมา”
บลูเดาะลิ้นด้วยความหงุดหงิดใจ
“ขอโทษที่ทำให้เสียเวลานายจะ...”
ลุคพูดยังไม่จบ บลูก็ยกมือห้าม “ฉันเห็นด้วยกับการที่นายรอ”
คนที่ยืนอยู่ กอดอกแน่นเหมือนกำลังหนาวจัด ดวงตาสีฟ้าหันไปมองทางอื่น แต่ใบหน้าที่มักขาวซีดอยู่เสมอมีสีชมพูเจือจาง
...สีชมพูหรือ เขาไม่มีเลือดนะ
ลุคลุกขึ้นยืนยื่นมือจะไปแตะใบหน้า แต่บลูก้าวถอยพลางปัดมือออก
“จะทำอะไร ที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยนะ”
ลุคพลิกมือคว้าข้อมือของบลูไว้
“ใบหน้านายมีสีเลือด”
บลูแตะแก้มตัวเอง “จะมีได้ไง”
“นายจะกลับไปที่ห้องก่อนใช่ไหม นายกลับได้นะ”
“ลุค เมอร์ฟี นายกลัวอะไร”
“ฉัน...”
“ลุค เมอร์ฟี มองตาฉัน แล้วบอกกับฉัน สั้น ๆ ง่าย ๆ ว่านายกลัวอะไร”
“ฉันไม่อยากเสียนายไปอีกครั้ง”
บลูหัวเราะเบา ๆ “นายกำลังสับสนนะ แล้วมันก็ไม่ดีต่อมือปราบอย่างนายด้วย ฉันคือบลู นกฮูกสแกนดิเนเวีย สีขาวที่ครอบครัวไร้ท์เก็บมาเลี้ยง ฉันมองเห็น ฉันได้ยิน ฉันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันรับรู้ความเจ็บปวด และเข้าใจความว่างเปล่าภายในห้องใต้ดินนั้น แต่ฉันไม่ใช่เขา”
ลุคคลายมือออก “เมื่อครู่นายบอกว่าจะกลับไปรอที่ห้องไม่ใช่หรือ”
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว”
“บลู”
“ไปเดินเล่นกันดีกว่า วันก่อนคุยกับเบสเกี่ยวกับวิญญาณในมหาวิทยาลัย ดูเขาค่อนข้างกังวลอยู่”
“บลู”
“จะเรียกอะไรนักหนา” บลูเดินนำไปอีกทางโดยที่ไม่หันมามอง เพราะรู้ว่าลุคจะต้องเดินตามมา
ลุคส่ายหน้าแล้วเดินตามมาจริง ๆ
“บลู”
“อะไร”
“จะฟังกันสักครั้งไม่ได้หรือไง พอฉันบอกให้นายอยู่ นายก็จะกลับ พอฉันบอกให้นายกลับ นายกลับพาเดินเที่ยวในมหาวิทยาลัย”
“ฉันเบื่อที่จะต้องคอยมองจากที่ไกล ๆ”
(มีต่อครับ)