ตอนที่ 36 อยากกลับ
ตั้งแต่เกิดมา นี่เป็นคืนที่ทรมานที่สุดในชีวิต…
“คราม…หายใจไม่ออก…แฮ่ก….ปวด…ท้อง”
เกือบเที่ยงคืนแล้ว แต่ผมก็ยังนอนไม่หลับ รู้สึกเหมือนในอกกับในท้องมันแน่น มันปวดไปหมดจนหายใจลำบาก ผมอดทนอยู่นาน จนรู้สึกว่าไม่ไหวแล้วจึงต้องปลุกฟ้าครามที่กำลังหลับอยู่บนโซฟาด้านข้าง
“หือ…” มันสะดุ้งตื่นทันทีที่ผมเรียก เหมือนมันหลับไม่ค่อยสนิทอยู่แล้ว
“เป็นอะไรมากหรือเปล่า เกิดอะไรขึ้น” มันรีบลุกขึ้นมาเกาะขอบเตียงผมทันที
ผมลองตีที่ท้องตัวเอง พบว่าท้องอืดมากๆ มีแต่เสียงลม คงเพราะเหตุนี้ที่ทำให้ผมปวดท้องและหายใจไม่ค่อยออก ไม่รู้มันเกี่ยวกันมั้ย
เราตัดสินใจกดปุ่มเรียกพยาบาลเพื่อขอยาธาตุน้ำแดง
หลังจากกินยาแล้วนอนต่อ ผมก็รู้สึกร้อนท้องไปหมด ร้อนราวกับท้องจะไหม้ แต่ก็ยังรู้สึกแน่นๆ และหายใจไม่ออกอยู่ดี กว่าจะข่มตาหลับได้ก็เกือบตีสอง
เกือบๆ ตีสามพยาบาลก็ปลุกผมขึ้นมาเจาะเลือดและวัดไข้อีก ผมรู้สึกหงุดหงิดที่โดนปลุกมาเจาะเข็มเจ็บๆ ทั้งที่เพิ่งจะผล็อยหลับไปได้แค่ครู่เดียว แต่ก็ไม่มีแรงแม้แต่จะชักสีหน้ารำคาญใจ ได้แต่ปล่อยให้เลือดไหลผ่านปลายเข็ม ไม่นานผมก็หลับไปอีกครั้งด้วยความอ่อนเพลียจากพิษไข้
(บทที)
ภูผากับฟ้าคราม…หายไปไหน
ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้นห้อง ยกมือกุมศีรษะ ปวดหัวจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว
จะทำยังไงดี จะไปตามหาสองคนนั้นที่ไหนดี ภูผากับฟ้าครามหายไปไหน พวกนายหายไปไหน
ทำไมต้องทำแบบนี้ ทำไมต้องทำร้ายตัวเอง ทำไมถึงทำร้ายจิตใจคนที่รักและเป็นห่วงพวกนายได้ลงคอ
หายไปตั้งอาทิตย์นึงแล้ว…อาทิตย์นึงเลยนะ ทำไมผมไม่เอะใจอะไรบ้างเลย
สองคนนั้นเคยไปที่ไหนไกลๆ กันเองสองคนที่ไหน ไม่รู้ตอนนี้จะเป็นยังไงกันบ้าง
ผมซบใบหน้าลงกับฝ่ามือ
…เหนื่อย…เหลือเกิน
เรื่องในคราวนี้มันใหญ่เกินกว่าที่ผมจะจัดการด้วยตัวคนเดียวเเล้วจริงๆ
(จบบทที)
(บทภู)
ผมสะพายเป้เดินขึ้นรถไฟ ข้างกายเป็นไอ้ครามที่หน้าตาดูยิ้มแย้ม ตื่นเต้นดีใจที่จะได้กลับบ้านเต็มแก่หลังจากที่เราทั้งคู่ต้องทนอุดอู้อยู่แต่ในรพ.เกือบเป็นอาทิตย์ ในที่สุดผมก็หายดี และวันนี้เราจะกลับบ้านกัน
ก่อนกลับ พวกเราแวะตลาดกิมหยงเพื่อซื้อของฝากกลับไปมากมาย พ่อแม่คงจะโกรธพวกเรามาก ไม่รู้ว่าของฝากพวกนี้จะช่วยลดโทษได้บ้างไหม แต่ถึงไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงก็อยากจะซื้อไปฝากอยู่ดี
พ่อกับแม่ชอบกินอินทผาลัมตากแห้งมาก ส่วนพี่เฟิร์สชอบถั่วแมคคาเดเมีย บ้านพี่ทีชอบกินปลาหมึกแห้ง ทามชอบกินช็อกโกแลต ส่วนพี่ทีชอบกินชาที่ใส่อินทผาลัมลงไปแช่ จำได้ว่าเป็นเมนูที่พิลึกมาก แต่พอได้ลองชิมบ้างก็พบว่ามันอร่อยไม่เลว ชาขมๆ หอมๆ รสชาติตัดกับอินทผาลัมหวานๆ ทำให้กินแล้วไม่เลี่ยน คิดถึงทีไรก็อดยิ้มกับเครื่องดื่มสูตรแปลกของพี่ทีไม่ได้
วิวทิวทัศน์เคลื่อนผ่านสายตาไปเรื่อยๆ น่าแปลก ที่ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันวิ่งเข้าหาผมอีกแล้ว แต่เป็นผมที่วิ่งเข้าหามันต่างหากล่ะ
คิดถึงนะ อยากเจอมากๆ เลย
มีเรื่องอยากจะเล่าให้ฟังเต็มไปหมด
แล้วก็อยากจะขอโทษ
จะกลับตัวกลับใจเป็นคนดี ต่อไปนี้จะเชื่อฟังพ่อแม่กับพวกพี่ๆ ให้มากขึ้น
จะตั้งใจเรียน
จะเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนๆ
เป็นรุ่นน้องที่ดีของพี่ๆ
อยากจะเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นมากกว่านี้ ตั้งแต่หายดีก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมานิดหนึ่ง เหมือนตาสว่าง รู้สึกเหมือนตัวเองมีความอดทน คิดอะไรได้รอบคอบมากขึ้น
พอก้าวขาลงจากรถไฟ ก็เห็นพ่อแม่ พี่เฟิร์ส ยืนรออยู่
เราวิ่งเข้าไปหา แต่พอไปถึงกลับถูกพ่อตบหน้าไปคนละฉาด
ผมกับฟ้าครามตกใจมาก เพราะพ่อไม่เคยตบหน้าพวกเรามาก่อนในชีวิต
พ่อมองเราด้วยสายตาสุดจะทน ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ ความผิดหวัง ส่วนแม่กับพี่เฟิร์สได้แต่ยืนนิ่ง
ผมรู้สึกเจ็บปวด เมื่อถูกทุกคนมองมาด้วยสายตาแบบนั้น
แต่แล้วน้ำตาหยดหนึ่งก็ไหลออกมาจากดวงตาของพ่อ แล้วเราสองคนก็ถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดของครอบครัว
..เราได้รับการให้อภัย
แต่ไม่รู้ทำไม ผมก็ยังรู้สึกเหมือนไม่ถูกเติมเต็ม
ในใจยังคงรู้สึกวูบโหวง คิดถึงใครอีกคน…
มองข้ามไหล่ทุกคนไปก็เห็นพี่ทียืนอยู่ข้างหลัง ระบายยิ้มอ่อนโยนมาให้
ผมเบิกตากว้าง ผละออกจากทุกคน ถลาเข้าสู่อ้อมกอดของคนที่ผมเฝ้าร้องขอความรักอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
กอด กอดให้แน่น ให้เหมือนเราจะไม่มีวันแยกจากกันอีกตลอดกาล
พี่ทีกอดตอบ เรากอดกันแน่นมาก…แน่นจนปวดแขน แต่ก็ไม่คิดจะปล่อยเลย
คิดถึงนะ คิดถึงที่สุดเลย…พี่ที
ผมลืมตาตื่นขึ้นมา ความอบอุ่นที่ถูกกอดเมื่อสักครู่ถูกแทนที่ด้วยความว่างเปล่า …กวาดตามองไปรอบตัว ก็เห็นแค่ฟ้าครามที่นอนคู้ตัวอยู่บนโซฟาเก่าๆ สีเขียว
…ผมแค่ฝันไปหรอ…แต่เมื่อกี้รู้สึกเหมือนโดนกอดอยู่จริงๆ ยังรู้สึกอุ่นๆ อยู่เลยด้วยซ้ำ
แค่ฝันจริงๆ น่ะหรอ…
ผมรู้สึกปวดใจจนน้ำตาแทบไหลที่มันไม่ใช่เรื่องจริง เป็นแค่เพียงความฝันของคนป่วยคนหนึ่ง ก็นั่นน่ะสิ เพราะในความจริง พี่ทีทิ้งพวกเราไปแล้ว ไม่มีทางที่จะมายิ้มมากอดผมอีกแล้ว
ผมยังคงอ่อนเพลียแต่ก็แทบไม่มีไข้แล้ว หลังอาหารเช้าที่ผมกินไปได้แค่หนึ่งในสี่ ไม่นานหมอก็เข้ามาตรวจด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ตอนนี้มีอาการยังไงบ้างคะ” หมอหญิงสูงวัยท่าทางใจดีถามอย่างอ่อนโยน
“เมื่อคืนหายใจไม่ออกครับหมอ มันอึดอัดตรงนี้” แล้วผมก็วางมือลงไปบนตำแหน่งที่ปวดแน่นเมื่อคืน
“แล้วก็ท้องอืดด้วยครับ เมื่อวานตีดูเสียงลมเต็มไปหมด ก็เลยขอยาธาตุน้ำแดงจากพยาบาล” ฟ้าครามเสริม
หมอใช้มือกดลงบนตำแหน่งที่ผมชี้
“เป็นอาการข้างเคียงของไข้เลือดออกน่ะ มันทำให้ตับโตเบียดช่องอก ทำให้หายใจลำบาก แต่เดี๋ยวสักพักก็จะดีขึ้นเองแหละจ้ะ”
“แล้วโรคนี้มันมียารักษามั้ยครับ” ฟ้าครามถามอย่างข้องใจ เพราะตั้งแต่อยู่มาวันกว่าๆ ไม่เห็นว่าหมอจะจ่ายยาอะไรให้ผมเลยนอกจากยาลดไข้กับน้ำเกลือแร่
“ไม่มีจ้ะ รักษาตามอาการอย่างเดียว”
“รักษาตามอาการ?” ผมทวนคำถามอย่างสงสัย
“หมายถึง ปวดท้องก็ให้กินยาแก้ปวด เป็นไข้ก็ให้กินยาลดไข้ เป็นอะไรก็รักษาไปตามนั้นไงล่ะ”
หมอตรวจพร้อมกับอธิบายให้ฟังไปด้วย เสร็จแล้วก็ขอตัวออกไปตรวจห้องอื่นๆ ต่อ ใจจริงผมอยากจะรั้งตัวไว้ถามข้อสงสัยอีกนิดหน่อย แต่พอคิดว่ายังมีคนไข้อีกมากมายที่อาจจะกำลังทรมานกว่าผมและกำลังรอให้หมอไปตรวจ ผมก็ไม่ถามอะไรอีกต่อไป
วันนี้ห้องผมมีคนไข้อีกคนมานอนด้วยแล้วที่เตียงฝั่งติดหน้าต่าง แกเป็นลุงอายุ 40 ปลายๆ ที่ทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาด เท่าที่คุยกันแกบอกว่าแกความดันขึ้นทะลุสองร้อยกว่าจนวูบ เลยถูกพาตัวมาส่งโรงพยาบาล ลูกชายแกอายุมากกว่าพวกเราสามสี่ปีท่าทางไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ มาถึงก็ด่าพ่อตัวเองเป็นชุดๆ ว่าทำไมไม่รักษาสุขภาพ ดูซิทำให้ต้องลางานมาหา สองพ่อลูกคุยกันเรื่องประกันสังคม เงินค่ารักษาพยาบาล อะไรเทือกๆ นี้ซึ่งพวกผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ รู้แค่ว่าพวกเขาคงกังวลเรื่องเงินกับงานที่ต้องหยุดชั่วคราว
ตอนแรกผมกับไอ้ครามรู้สึกอึดอัดกับการต้องอยู่ร่วมห้องกับคนอื่นมากๆ ทำตัวไม่ถูก ไม่กล้าคุยหรือเปิดทีวีเสียงดังเพราะเกรงใจคนป่วยอีกเตียง ไม่รู้ว่าควรจะเปิดหรือปิดไฟบนเพดานดีเวลาเขานอนแต่ผมยังไม่นอน ไม่แน่ใจว่าแกจะชอบดูทีวีช่องที่ผมเปิดไหม แล้วผมควรจะผลัดให้เขาครองรีโมตบ้างหรือเปล่า ด้วยความที่เราถูกตามใจมาจนเคยชิน บวกกับไม่ค่อยได้ปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นที่ไม่ใช่ญาติเท่าใด ก็เลยไม่แน่ใจว่าควรวางตัวอย่างไรจึงจะถูกมารยาทในสถานการณ์แบบนี้
“ลุงดูมั้ยครับ” ไอ้ครามเดินไปยื่นรีโมตให้ลุงแก
“ไม่เป็นไร เอาเลย” ลุงเขาทำไม้ทำมือประมาณว่าเชิญพวกผมครองรีโมตให้เต็มที่ก่อนจะนอนตะแคงหันหลังให้พวกผม
งั้นก็ไม่เกรงใจล่ะนะ ผมกับไอ้ครามก็เลยครองทีวีเป็นการถาวร อยู่ไปเรื่อยๆ พวกเราก็ค่อยๆ คลายความอึดอัดลงเพราะลุงแกไม่ได้ก่อความเดือดร้อนอะไรให้พวกเราเลย ในขณะที่พวกเราก็พยายามที่จะไม่ทำอะไรรบกวนแกเช่นกัน มีเพียงเรื่องเดียวที่สร้างความหงุดหงิดให้ผมเล็กน้อยนั่นคือโรงพยาบาลจัดห้องยังไงวะ? จับคนเป็นไข้เลือดออกกับคนความดันสูงมาอยู่ด้วยกัน ไอ้เราเป็นไข้เลือดออกก็ร้อนๆ หนาวๆ กลัวอากาศเย็น ส่วนลุงแกเป็นความดันแกก็อยากเปิดแอร์แรงๆ เพราะแกมึนหัว บวกกับแกอยู่ใกล้หน้าต่างมันเลยร้อน เลยยิ่งต้องลดอุณหภูมิ อันที่จริงพวกเราจะเห็นแก่ตัวไม่ลดให้แกก็ได้เพราะรีโมตแอร์อยู่ผนังฝั่งพวกผม แต่พวกเราก็ทำไม่ลง…ไม่รู้สิ มองแผ่นหลังของลุงแกที่นอนห่อไหล่เหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก นอกจากวันแรกแล้วลูกชายแกก็ไม่โผล่หัวมาอีกเลย พวกผมก็รู้สึกว่าแกน่าสงสาร กลัวแกหายช้าต้องนอนโรง’ บาลนานแล้วจะกระทบกับงานของแก ก็เลยยอมลดอุณหภูมิให้แล้วไปขอผ้าห่มมาห่มเพิ่มแทน
อยู่ๆ ผมก็คิดถึงพี่ทีขึ้นมา พี่ทีเป็นภูมิแพ้อากาศเลยค่อนข้างจะเซนซิทีฟกับอากาศเย็นๆ ผมกับฟ้าครามชอบเปิดแอร์เบอร์เย็นสุดและเปิดพัดลมทุกเครื่องที่มีจ่อตัว พวกเราแทบไม่เคยรู้จักคำว่าหนาว มีแต่คำว่าเย็นสบายตัวกับร้อนเท่านั้นที่เรารู้จัก เราคิดว่าพี่ทีอ่ะเว่อร์ เปิดแอร์เปิดพัดลมแค่นี้จะไปหนาวอะไร กลัวเปลืองไฟมากกว่าล่ะสิ เพิ่งจะมารู้เอาวันนี้ว่าเวลาหนาวมันหนาวจริงๆ ยิ่งถ้าเป็นไข้แล้วต้องนอนในห้องหนาวๆ ยิ่งทรมานสุดๆ ไปเลย พี่ทีจะเคยต้องทรมานแบบนั้นตอนนอนกับพวกผมไหมนะ…
เช้าวันต่อมา ผมเรียกเท่าไหร่ฟ้าครามก็ไม่ตื่น จึงลุกจากเตียง เดินเซๆ ลากเสาน้ำเกลือเข้าไปเขย่าๆ ตัวมัน แล้วก็ต้องตกใจที่ผิวของฟ้าครามร้อนราวกับไฟ
แล้วในวันนี้ฟ้าครามก็ถูกแอดมิดเข้าโรงพยาบาลไปอีกคน เราสองคนไม่ได้นอนห้องเดียวกัน ฟ้าครามถูกจัดให้เข้าพักในอีกสองห้องถัดจากห้องของผมไปทางด้านขวามือ
ผมเสียใจมากที่ตัวเองเป็นสาเหตุให้ฟ้าครามต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ ถ้าผมไม่คิดอยากหนีออกมา ฟ้าครามก็คงไม่ต้องตามมาด้วยจนเสียการเรียนแล้วก็มานอนป่วยด้วยกันแบบนี้
ความรู้สึกผิดเกาะกุมจิตใจจนรู้สึกย่ำแย่ไปหมด แล้วพอไม่มีฟ้าครามอยู่เป็นเพื่อน ผมก็ยิ่งรู้สึกเคว้งคว้าง จากที่รู้สึกอ่อนแออยู่แล้วก็ยิ่งอ่อนแอลงไปอีก พอไม่มีฟ้าครามผมก็ยิ่งเหงา ยิ่งคิดถึงบ้าน คิดถึงทุกคนมากขึ้นทุกทีๆ
Rrrrr
เสียงรอสายดังขึ้นแค่ครั้งเดียว คนปลายสายก็กดรับอย่างรวดเร็ว
“ฮัลโหล ภูผาหรอลูก! พวกลูกหายไปอยู่ที่ไหน รู้มั้ยพ่อกับแม่เป็นห่วงมากเลยนะลูก!” เสียงสั่นเครือของแม่ดังมาตามสาย
พอได้ยินเสียงแม่ที่ไม่ได้ยินมาตลอดแปดเก้าวันที่นานเหมือนแปดเก้าปี ความอดทนของผมของพังทลาย
“ฮือๆ ๆ ๆ แม่ครับ …ภูขอโทษ! … ภูก็คิดถึงแม่มากๆ เลย! ฮือๆ ๆ ๆ ๆ … มาหาภูหน่อยนะครับแม่”
-------------------------------------------------------------------------------------
ยินดีที่ได้รู้จักนักอ่านชาวเล้าเป็ดทุกท่านอย่างเป็นทางการนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาติดตามมาอ่านมาเม้นท์ให้กัน เราอ่านครบทุกเม้นท์เเล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่ส่งมาให้นะคะ ชื่นใจจังเลยค่ะ^W^
ติดเเท็ก#เกียร์คู่ หรือจะเเอดเราเป็นเนื้อคู่ด้วยก็ไม่ว่ากัลล คริคริ @candleguard