พิมพ์หน้านี้ - เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม5[24\3\63]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: candleguard ที่ 17-02-2018 20:16:23

หัวข้อ: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม5[24\3\63]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 17-02-2018 20:16:23
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


----------------------------------------------------------------------------------------------------------------





ว่ากันว่า ในประวัติศาสตร์ตั้งเเต่ก่อตั้งคณะขึ้นมานั้น มีนิสิตเพียงคนเดียวที่จบด้วยเกรด4.00 
เเละเพราะความที่ลำคอของเขาห้อยเกียร์ไว้ถึงสองอัน
ทุกคนจึงตั้งสมญานามให้เขาว่า ' เกียร์คู่ในตำนาน  '





                                                                       ตอนที่ 1 ปิดเทอมของที
 






สวัสดีคร้าบบบบ ! ในที่สุดผมคนนี้ก็มีเรื่องเป็นของตัวเองเสียที หลังจากเป็นตัวประกอบแสนจืดจางมาเนิ่นนานTvT ก็จะให้ทำไงได้ ในกลุ่มผมมันดันมีแต่พวกหล่อ รวย มีแต่ผมแหละที่ดูเป็นสามัญชนคนธรรมดาที่สุด หน้าตาพอไปวัดไปวา ฐานะพอมีพอกิน มีเพียงสิ่งเดียวที่ผมพอจะใช้เชิดหน้าชูตาได้นั่นก็คือ ‘ผลการเรียน’





ก็ไม่อยากจะโม้หรอกนะ แต่ผมสอบตรงเข้ามาด้วยคะแนนอันดับหนึ่ง และ ได้ทุนให้เปล่าจากบริษัทวิริยะคอนสตรัคชั่นด้วย นี่จึงเป็นเหตุให้ผมได้มารู้จักกลุ่มไอ้โซล จำได้ว่าตอนเข้าปีหนึ่งมาใหม่ๆ ไอ้โซล ไอ้แท็ค ไอ้ก้อย ก็เดินเข้ามาหาผม ตอนแรกผมนึกว่าตัวเองเผลอไปทำอะไรผิดไว้รึเปล่า คือหน้าตาไอ้โซลตอนนั้นมันดูหาเรื่องมากอ่ะครับ



‘มึงชื่อ ทวีเดช ที่ได้ทุน v group รึเปล่า’ ตอนนั้นผมนั่งอยู่ในโรงอาหาร กำลังนั่งอ่านการ์ตูนอยู่ ผมเงยหน้าขึ้นมองคนสามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วก็ผงะ ใครฟะ-*-



‘หน้าตาโง่เง่าชะมัด…เสียอารมณ์ว่ะ’ ไอ้หน้าหาเรื่องที่ดูเหมือนจะชื่อโซลหันไปพูดกับเพื่อนมันได้ยินอย่างนั้นผมก็ขึ้นสิครับ เกือบได้ชกกันแล้ว ดีที่สองคนนั้นมาขวางผมกับไอ้โซลเอาไว้ ไม่งั้นได้เด่นกันตั้งแต่วันเปิดเทอมแน่



ผมเพิ่งมารู้ภายหลังจากไอ้แท็คว่าสาเหตุที่ไอ้โซลมันเดินมาดูหน้าแล้วทำท่าหงุดหงิดใส่ผมวันนั้นเป็นเพราะ ผมดันไปแย่งทุนมัน มันคิดจะชิงทุนบริษัทตัวเอง ผมก็งงนะว่ามันจะสอบชิงทุนที่บริษัทตัวเองให้คณะมาทำติ่งไรวะ รวยก็รวยยังจะมาแย่งชาวบ้านเค้าอีก ไอ้แท็คบอกว่ามันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี ไอ้โซลมันกะอวดพ่อแม่ปู่ย่าตายายว่า มันเจ๋ง มันเก่ง แค่นั้น!! แล้วผมดันสอบได้คะแนนมากกว่ามัน มันเลยหงุดหงิดต้องมาเห็นให้ได้ว่าหน้าแบบไหนวะบังอาจมาทำลายแผนโชว์เมพของมัน นั่นล่ะครับเหตุผล…ปัญญาอ่อนชิบหาย



เหตุการณ์วันนั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้รู้จัก และ กลายมาเป็นเพื่อนกลุ่มนี้ในที่สุด คือผมก็งงเหมือนกันว่าสุดท้ายมันกลายเป็นแบบนี้ได้เยี่ยงไร แต่รู้ตัวอีกทีผมก็กลายมาเป็นสมาชิกกลุ่มนี้แถมอยู่ด้วยกันมาย่างเข้าปีที่สามแล้วอีกต่างหาก =_=;;



ออกนอกเรื่องซะนาน กลับมาครับ กลับมา มาสู่ช่วงเวลาปัจจุบันกัน



ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ หลังพวกเราชาววิศวะกลับมาจากค่ายอาสาก็แยกย้ายกันไปที่ชอบๆ ของตัวเองหลังจากเหนื่อยกับการเรียนและกิจกรรมมาตลอดปีสอง ไอ้แท็คบินไปเยี่ยมญาติที่จีนกับครอบครัว ไอ้โซลลากน้องเพย์ไปกบดานที่ไหนกันสองคนก็ไม่รู้ ไอ้ป๊อกก็โดนคุณหญิงแม่เรียกกลับบ้าน เมื่อวานมันโทรมาฟูมฟายกับผมใหญ่เลยว่าคุณหญิงแม่จะจับมันแปลงโฉม…เออ ดีแล้ว จะได้กลับมาเป็นคนกับเค้าซะที ส่วนไอ้สกายก็ไปเป็นอาสาตามโรงพยาบาล และ บ้านพักคนชรากับเพื่อนๆ ที่คณะพยาบาล ส่วนผมนายทวีเดชผู้ครองทุนฟรีสองปีซ้อนย่อมต้องทำกิจกรรมที่แส๊นนนนประเทืองปัญญากว่าใคร…อ่านหนังสือ...การ์ตูน



“ฮ่าๆ ๆ ๆ ….คิกๆ …..ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ” โอ๊ย! ฮาว่ะแต่ละมุกคิดได้ไงวะ ผมนอนกลิ้งเกลือกอยู่บนเตียง เหมือนควายจมปลัก อ่านการ์ตูนตลกอย่างแสนสุขี ปิดเทอมนี่มันดีจริงๆ ไม่ต้องเรียน ไม่ต้องทำกิจกรรม ไม่ต้องทำห่าอะไรทั้งนั้น กูช้บบบบชอบบบ คอยดูนะ กูจะอ่านการ์ตูนที่หมกไว้ให้จบเลย ไหนจะอนิเมะอีก คิดแล้วฟินนนนนน



Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr



ใครโทรมาขัดความสุขกรูวะ เดี๋ยวให้ท่านซากาโมโตะ (พระเอกในการ์ตูน) ไปจัดการซะเลยนี่ = =’ ’



อาแอ๋ม



…รับดีมั้ยวะ…ทำไมกูรู้สึกเหมือนงานกำลังจะเข้า



ผมนอนจ้องโทรศัพท์สามซุง เสียงเรียกเข้าสุดโปรดดังอยู่ครู่หนึ่งก็ดับไป ก่อนจะดังขึ้นมาใหม่อยู่แบบนี้สามรอบ โอเค กูเห็นแก่ความพยายาม ขืนไม่รับเดี๋ยวก็โทรเข้าเบอร์บ้าน…



Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr



กู-ว่า-แล้ว-ไง!!!



“พี่ที อาแอ๋มโทรมา!” น้องสาวผมวิ่งทั่กๆ หยิบโทรศัพท์บ้านแบบไร้สายขึ้นมาให้



ผมกลอกตาไปมา ไม่อยากรับว่ะ โอ๊ย! ไอ้ทามน้องสาวผมทำหน้าล้อเลียนประมาณว่างานเข้าแน่ มันยัดเยียดโทรศัพท์ใส่มือผมแล้วเดินไปนั่งเล่นบนเก้าอี้ที่โต๊ะทำการบ้านของผมเหมือนกำลังรอดูเรื่องสนุก



“หวัดดีครับอาแอ๋ม”



ผมขออธิบายก่อนนะครับจะได้ไม่งง อาแอ๋มเป็นน้องสาวของพ่อผม มีลูกชายคนโตที่ทำงานแล้วกับลูกชายฝาแฝดคู่หนึ่งซึ่งเด็กกว่าผมสองปีชื่อภูผา กับ ฟ้าคราม บ้านเธอมีฐานะดีมากๆ เพราะอาแอ๋มได้สามีรวย บ้านผมกับบ้านอาแอ๋มค่อนข้างสนิทกันเพราะมักไปมาหาสู่กันอย่างสม่ำเสมอ



อาแอ๋มเป็นผู้หญิงสวย คล่องแคล่ว พูดเก่ง มีน้ำใจ ใครๆ ก็ชอบเธอ ผมยังชอบอาแอ๋มเลยเพราะตรุษจีนอาแอ๋มให้แต๊ะเอียเยอะ แถมยังชอบซื้อของดีๆ แพงๆ ทำอาหารอร่อยๆ มาฝากอีกต่างหาก แต่พักหลังๆ พอขึ้นม.ปลายผมเริ่มจะไม่อยากยุ่งกับเธอแล้ว เพราะเธอชอบขอให้ผมไปติวให้เจ้าแฝดมหาภัยซึ่งมันเป็นอะไรที่เหนื่อยสุดๆ อ่ะ (เหนื่อยในหลายๆ เรื่อง=_=;;;) เอาเป็นว่าผมไม่อยากสอนเลยพยายามหลีกเลี่ยงโทรศัพท์กับเตี๊ยมไม่ให้พ่อแม่หลุดปากว่าผมว่างให้อาแกได้ยินเด็ดขาด อ้อ! ผมลืมบอกไป อาแกตื๊อเก่งสุดยอดเลยด้วยครับ!



‘ทีเหรอลูก เป็นไงบ้าง ปิดเทอมใหญ่แล้วสิเรา’ น่ะ มาละ เกริ่นนำ



“…ครับอา ทีเพิ่งกลับมาจากค่ายอาสา เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไปหมด นี่ก็นอนพักอยู่”



‘เหรอ ค่ายอะไร ไปมากี่วันจ๊ะ มหา’ ลัยจัดหรอ สนุกมั้ย?’ แล้วจากนั้นเราก็คุยเรื่องค่ายที่ผมไปมาอยู่พักหนึ่ง ผมได้แต่ภาวนาในใจขอให้เป็นแค่การโทรมาถามสารทุกข์สุกดิบ



‘อย่างนี้เราก็หยุดยาวสามเดือนเลยใช่มั้ย’ สังเกตดูดีๆ นะครับ เธอค่อยๆ ตะล่อมผมแล้ว



“…อ่า…ครับ…แต่อาจจะไปเที่ยวกับเพื่อนบ้างไรบ้างยังไม่ได้นัดกัน” ผมพูดแบบหาทางให้ตัวเองพอดิ้นได้



‘เหรอ อืมๆ จริงสิ เรารู้หรือยังว่าน้องจบม.ปลายแล้ว…เนี่ย อามีเรื่องจะปรึกษาเราหน่อย…’



อาแอ๋มเล่าว่าเจ้าแฝดนั่นจะสอบเข้าวิศวะยานยนต์ของมหา’ ลัยเอกชน WC แต่ที่แล้วๆ มาไปลองสนามสอบมอรัฐบาลไม่ว่าจะกี่ที่ก็ไม่เคยติด แถมคะแนนแกทแพทรอบแรกยังต่ำเตี้ยเรี่ยดินทั้งๆ ที่ส่งไปเรียนพิเศษก็แล้ว จ้างครูมาสอนที่บ้านก็แล้ว มันสองตัวก็ไม่ตั้งใจเรียน ส่งไปเรียนก็ไปเที่ยวเล่น จ้างครูมาสอน ครูก็ทนไม่ไหวลาออกไปทุกราย



ฟังจากชื่อมหา’ ลัยแล้วผมรู้เลยว่าถึงจะเป็นเอกชนแต่ก็ไม่ง่าย ผมเคยไปลองสอบที่นี่เล่นๆ เหมือนกัน ก็ปรากฏว่าติดนะ แต่ผมไม่เอา ผมรู้ว่าที่นี่ไม่มีระบบเส้นสาย หรือต่อให้มีก็ต้องเส้นใหญ่เป้งๆ ประมาณบ้านไอ้โซล ข้อสอบสำหรับผมไม่ยาก แต่ถ้าสำหรับเจ้าสองคนนั้นผมว่าก็ยากเอาการเพราะผมเคยติวสอบเข้ามอปลายให้พวกมัน ผมรู้ระดับสมอง และ นิสัยสองคนนั้นดี



หลังจากคุยกันไปสองชั่วโมงเต็มๆ ผมพยายามบ่ายเบี่ยงซ้ายขวา แต่ก็โดนต้อนจนมุมทุกเหตุผล บวกกับขี้เกียจฟังอาแกพูดจาหว่านล้อมต่อเป็นชั่วโมงที่สามผมเลยต้องตอบตกลง ไม่งั้นชีวิตปิดเทอมผมคงไม่สงบสุขแน่ๆ



เจ้าแฝดนั่นจะสอบตรงมหา’ ลัยเอกชน WC สิ้นเดือนนี้ นั่นหมายความว่าเหลือเวลาติวอีก ประมาณยี่สิบกว่าวัน วิชาที่จะใช้สอบมีแค่สามวิชาคือ ฟิสิกส์ คณิต อังกฤษ ถ้าตั้งใจจริงๆ ยี่สิบวันนี้น่าจะช่วยให้ติดเข้าไปได้





‘งั้นเริ่มติววันไหนกันดี’ ผมมองปฎิทิน ใจจริงอยากจะยืดไปอาทิตย์หน้า แต่จิตฝ่ายดีก็รั้งไว้ ไหนๆ ก็จะติวให้แล้ว ผมน่าจะทุ่มให้เต็มที่เอาให้น้องติดไปเลย ก็แค่ยี่สิบกว่าวัน กับทั้งชีวิตของคนสองคน …เอาวะ ไหนๆ ก็จะช่วยแล้ว



“มะรืนแล้วกันอา”



‘ได้จ้ะ ขอบใจมากนะที เดี๋ยวมะรืนนี้อาขับรถไปรับ จัดกระเป๋า จัดหนังสือรอไว้เลยนะ’ เฮ้ยๆ ๆ! ผมยังไม่ได้บอกซักคำว่าจะไปค้างบ้านนู้นอ่ะ!



“เดี๋ยวๆ ๆ อาแอ๋ม ทีไม่ได้จะไปนอนบ้านอาแอ๋มนะ ทีจะให้ไอ่แฝดมันมานอนบ้านทีต่างหาก” ใครจะไปค้างบ้านมันอย่างครั้งแล้วๆ วะ ทั้งบ้านมีแต่พวกมัน ผมอึดอัด รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลยพับผ่า! ถึงจะเป็นญาติสนิทกันแค่ไหน แต่ผมก็ไม่ชอบไปนอนค้างบ้านคนอื่นนานๆ อยู่ดี อยู่ที่ไหนไม่สุขใจเท่าบ้านเรา (ถึงบ้านมันจะสวย ใหญ่ และ มีคนใช้ก็เถอะ)



หลังจากถกเถียงกันอีกร่วมครึ่งชั่วโมง คราวนี้ผมชนะ ด้วยเหตุผลที่ว่า ถึงบ้านผมจะไม่สะดวกสบายเท่าบ้านอา แต่การให้มันสองคนมาอยู่บ้านผม มันน่าจะเกรงใจพ่อแม่ผมบ้าง ไม่กล้าทำตัวตามสบายเหลวไหลเหมือนตอนอยู่บ้านตัวเอง แล้วเวลาผมอยู่ในถิ่นตัวเองผมจะได้ข่ม เอ๊ย! ควบคุมมันได้เต็มที่





และแล้ววันนี้ก็มาถึง…



“โอ๊ย! จะให้ภูนอนพื้นเนี่ยนะแม่” เจ้าแฝดพี่ ‘ภูผา’ กอดอกทำหน้าหงิกขณะมองคนใช้ที่พามาช่วยปูฟูกบางๆ ให้บนพื้น



“ห้องกระติ๊ดเดียว อัดกันเข้าไปตั้งสามคน ทำไมครามต้องนอนหลืบด้วยอ่ะแม่ เหมือนเป็นคนใช้เลย” แฝดน้อง ‘ฟ้าคราม’ ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เกือบเท่าตู้เสื้อผ้าเข้ามาวางข้างเตียงผม



หลืบบ้านมึงดิ เค้าเรียกพื้นข้างเตียง อีกอย่างมันก็กว้างพอสำหรับควายสองตัวอย่างพวกมึงล่ะน่า!



ผมนั่งมองอา คนใช้ และไอ้ฝาแฝดจัดข้าวของสำหรับอยู่ที่นี่อาทิตย์นึง อ่านไม่ผิดหรอกครับ ไม่ใช่ยี่สิบวัน แต่เป็นอาทิตย์นึง พวกมันต่อรองว่าขอมาอยู่อาทิตย์นึงก่อน แล้วขอกลับไปพักทบทวนหนังสือเองที่บ้านมันสามวัน หลังจากนั้นค่อยกลับมาอยู่กับผมจนถึงวันสอบ



อาแอ๋มเอาขนมกรุบกรอบถุงเบ้อเริ่มไปวางไว้มุมห้อง หยิบหนังสือติวสอบเป็นสิบเล่มมากองเป็นตั้งๆ ผมปล่อยให้สามแม่ลูกจัดของกันไป แล้วลงมานั่งเล่นด้านล่าง



เปิดตู้เย็นออกมาผมก็ต้องตกใจ ตู้เย็นผมอัดแน่นไปด้วยเครื่องดื่มบำรุงสมอง รังนก ซุปไก่ ช็อกโกแลตห่อทองยี่ห้อดัง ขนมนมเนย อาหารแช่แข็ง ไอศกรีมอีกห้าควอตซ์ แบบเยอะอ่ะ นี่อาแอ๋มคิดว่าบ้านกูอดอยากขนาดต้องแบกทุกอย่างมาเองเลยหรอวะ-*- ตั้งแต่ไอ้ชุดเครื่องนอน ขนม ยันกระดาษทิชชู



ผมกลับขึ้นไปบนห้องอีกครั้ง แล้วก็แทบจะอยากอุทานว่า อุต๊ะ! ห้องกูเปลี๋ยนไป๋ ห้องผมที่เรียบๆ มีข้าวของน้อยชิ้นตอนนี้มันเต็มไปด้วยข้าวของมากมายของสมาชิกใหม่อีกสองคน บนตู้หนังสือมีตำรากวดวิชาวางเต็มพรืด บนโต๊ะทำงานผมมีแม็คบุ๊ควางอยู่สองเครื่อง ข้างเตียงผมมีที่นอนสองที่ปูอยู่บนพื้น แล้วดูมันดินอนหมอนคนละสามใบ จะหนุนสูงไปไหน ที่ราวมีผ้าเช็ดตัวสีน้ำเงินสองผืนเพิ่มเข้ามา



ผมกางโต๊ะญี่ปุ่นเล็กๆ ไว้ข้างเตียงอีกด้าน ตอนนี้ได้เวลาอาแอ๋มสั่งลาลูกชายยอดเลิฟแล้ว



“ตั้งใจเรียนนะลูก อย่าดื้อกับพี่ทีนะครับ”



เจ้าแฝดพยักหน้าหงึกหงักรับคำมารดาบังเกิดเกล้าทุกอย่าง



“ตื่นแต่เช้า ช่วยกวาดถูห้องพี่เขาด้วย กินข้าวเสร็จต้องช่วยล้างจาน อย่าดื้อกับพี่เขาเข้าใจมั้ย พี่เขาพูดอะไรต้องฟังนะลูก” จากนั้นอาแอ๋มก็หันมาพูดกับผม



“ที อาฝากเจ้าแฝดมันด้วย ถ้ามันดื้ออาอนุญาตให้จัดการได้เต็มที่เลย ขนมนมเนยอะไรของน้องกินได้หมดนะ เจ็ดวันนี้อาขอฝากด้วยนะจ๊ะ” ถ้าไม่มีประโยคสุดท้ายผมคงนึกว่าอาแอ๋มกำลังฝากฝังลูกสาวเธอกับสามีที่เพิ่งแต่งงานมาอยู่กินกัน



“ได้ครับ อาไม่ต้องห่วง ผมจะดูแลน้องสองคนให้ดีที่สุด” อาแอ๋มพยักหน้าพออกพอใจ



“ภูผา ฟ้าคราม มานี่ลูก” อาแอ๋มเรียกให้มันสองคนเข้ามานั่งใกล้ๆ ผมบนพื้นห้อง แล้วยื่นแบงค์พันให้มันคนละใบ อะไรวะ ให้ค่าขนมหรอ-_-



“เอาตังค์ให้พี่เขาสิลูก”



ห๊ะ!! ว่าไงนะ เอาตังค์ให้กูงั้นหรอ



“เฮ้ย! ไม่ต้องๆ อาแอ๋ม ทีไม่เอา เราเป็นพี่น้องกัน ผมติวให้ฟรี” ผมปฏิเสธเป็นพัลวัน แม้ในใจจะรู้สึกลิงโลดอย่างบอกไม่ถูก เก็บอาการไว้มึง เก็บอาการไว้



“ไม่ได้ๆ นี่ไม่ใช่ค่าจ้างนะ เค้าเรียกทำพิธีขึ้นครูต่างหาก น้องสองคนมันจะได้เรียนเก่งๆ รับวิชาที่ถ่ายทอดจากเรามาได้เต็มที่” อ๋อ มีเล่นของด้วยเว้ยเฮ้ย!



“แม่ ขึ้นครูมันใช้กับเวลาเรียนรำไม่ใช่หรอ” ภูผาว่า



“เตรง เตร๊ง เตร็ง แต็ง แต่ง แต็งงงง” ผมทำหน้าตายจีบนิ้วฟ้อนรำ สามคนนั้นเลยหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง… กูรับมุกเก่งมั้ยล่ะ



“เอาน่ะ อย่าขัดอาเลย รับไปเถอะนะลูก เจ้าภู เจ้าคราม ไหว้ฝากตัวกับพี่เค้าสิลูก” มันสองคนนั่งพับเพียบกับพื้นถือแบงก์พันมองหน้าผมตาปริ๊บๆ แล้วประนมมือไหว้มาที่ไหล่ผมคนละด้าน เฮ้ยๆ ท่านี้มันท่าเมียฝากตัวกับผัวคืนเข้าหอไม่ใช่เรอะ!



ผมทั้งเขินทั้งทำตัวไม่ถูก จู่ๆ แม่งก็มีผู้ชายตัวเท่าควายสองคน (ถึงจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกันก็เถอะ) มาไหว้ซบอกยื่นแบงก์พันค่าขึ้นครูให้ ผมทั้งอยากได้ตังค์ ทั้งเกรงใจน้า อีกใจก็รู้สึกแปลกๆ หวิวๆ ชอบกล เหมือนเป็นลางบอกเหตุอะไรสักอย่าง =_=;;;



ผมลูบหัวมันสองตัวเบาๆ อวยพรให้มันสอบติด ให้มันความจำดี ดวงเฮงๆ เดาถูกมั่วถูก ก่อนจะรับเอาแบงก์พันสองใบนั้นมา วางไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียงแล้วเอาขวดยาหม่องทับไว้ ทำท่าประมาณว่าไม่ได้อยากได้นะ แต่ถ้าอยากให้ก็จะรับไว้ก็ได้ อะไรประมาณนี้ เหอๆ ๆ



อาแอ๋มอยู่รอจนพ่อแม่ผมกลับจากที่ทำงาน หลังจากพูดคุยตามประสาผู้ใหญ่แล้วเธอก็กลับไป เอาล่ะ ตอนนี้ลูกชายสองคนของเธอถือเป็นกรรมสิทธิ์ของผมแล้ว



ผมหยิบแว่นขึ้นมาสวมอย่างมีมาดเต็มที่ “เอาล่ะ งั้นมาเริ่มติวกันเลย”









“พี่ที ข้อแปดได้ห้าป๊ะ?” ฟ้าครามเงยหน้าขึ้นมาถาม



“ผิด ลองทำใหม่ก่อน”



“พี่ที แก้แล้วก็ยังได้ห้าอ่ะ” ฟ้าครามเงยหน้าขึ้นมาอีก



“ได้สิบเจ็ดป่ะพี่” ภูผาเงยหน้าขึ้นมาบอก



“ถูกต้อง” ผมยิ้มบางๆ เจ้าแฝดพี่ทำท่าเยส แล้วหันไปมองกระดาษทดของฟ้าคราม



“ตรงนี้มึงทำผิดเว่ย มึงต้องทำอย่างงี้ๆ ” ไอ้ภูหันไปสอนไอ้คราม เห้ย! กูเพิ่งบอกไปหยกๆ ว่าให้ครามมันแก้เอง มึงไปสอนมันทำไม่เล่า แล้วเวลาสอบไอ้ครามมันจะทำได้มั้ย-*-



“ข้อเก้าตอบหนึ่ง?” ภูผาถามผมที่นั่งอ่านการ์ตูนรอ ผมเหล่มองเฉลยก่อนจะพยักหน้าให้



“ช้าว่ะไอ้คราม โง่จริงๆ เลยมึง” แน่ะๆ มีหน้าไปด่าแฝดตัวเองอีก



วันนี้เราติวคณิตจบกันไปสองเรื่อง บ่องตง กูเหนื่อยสุดๆ ไม่ใช่ว่าเป็นคนติวแล้วจะสบายนะ ไอ้สองคนเนี้ยมันพูดเร็วชิบหาย เวลามันพูดทีผมต้องถามมันว่าฮะ อะไรนะ พูดช้าๆ ดิ๊ แล้วเวลาติวผมจะบอกให้ต่างคนต่างทำ บอกจนปากจะฉีกถึงหูแล้วแม่งก็ยังมาช่วยกันทำอีก… มึงผิดตรงนี้ ต้องแก้ตรงโน้น ไอ้ห่าใครให้มึงแทนสูตรนั้น… กูอยากจะถามจริงๆ เวลาสอบเขาจะให้มึงมาช่วยกันทำมั้ย แม่งดื้อด้านชิบหาย ผมได้แต่ข่มความไม่พอใจที่พวกมันไม่เชื่อฟังเอาไว้ภายใต้รอยยิ้มราคาสองพัน



หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จยังดีที่มันยังมาช่วยล้างจาน พวกเรากลับขึ้นมาบนห้อง สองคนนั้นคุ้ยเสื้อผ้าเครื่องอาบน้ำออกมาแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปพร้อมกันท่ามกลางความประหลาดใจของผม



“พี่ที เวลาอาบน้ำพี่ใช้น้ำในแทงค์หรือฝักบัวอ่ะ” เจ้าแฝดใส่ชุดนอนเหมือนกันนั่งลงบนเตียงผม



“ใช้น้ำในแทงค์ ฝักบัวมันไม่ค่อยดีอ่ะ”



“หยี! ใช้เข้าไปได้ไง ครามเห็นลูกน้ำเต้นกังนัมยั้วเยี้ยเลย!” เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าลูกน้ำบ้านกูสัญชาติเกาหลี…



“ก็ตักตรงที่มันไม่มีลูกน้ำดิ”



“ไม่เอาอ่ะใช้ไม่ลง ภูกับครามเลยใช้ฝักบัวแทน แล้วรู้ป่ะ ฝักบัวมันหลุดออกมาด้วย ภูต้องให้ไอ้ครามมันช่วยจับเวลาจะอาบ กลัวฝักบัวมันหลุดกระเด็นมาโดนหน้า” ดูมันพูด พูดเหมือนบ้านกูมันซอมซ่อซะเหลือเกิน กูฟังแล้วรู้สึกว่ามันบรรยายเกินจริงไปหน่อย ใครใช้ให้มันเปิดน้ำแรงๆ ล่ะ ถ้าเปิดเบาๆ มันก็ไม่หลุดออกมาหรอกโว้ย



“นี่เราสองคนอาบด้วยกันหรอ โตเป็นควายแล้วเนี่ยนะ ไม่อายกันหรือไงวะ” ผมถาม



“ก็อาบด้วยกันทุกวัน ไม่เห็นจะอายเลย เห็นแม่งมาตั้งแต่เกิดอ่ะ มีเหมือนๆ กันจะอายอะไร” ฟ้าครามว่า ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยแก้ผ้าอาบน้ำกับเพื่อนหรอกนะ แต่ไม่ได้บ่อยขนาดมัน แถมถ้าไม่จำเป็นผมก็ไม่ชอบอาบกับใคร ถึงผมจะเป็นผู้ชาย แต่ผมก็อายเป็นนะ



“โอ๊ย! พื้นแข็งชะมัดเลย”



“โอ๊ย! ซี่โครงทิ่มพื้น”



“ร้อนอ่ะพี่ที เปิดแอร์นะ”



“พี่ทีมีปลั๊กพ่วงป่ะ จะเปิดแม็คบุ๊ค”



“พี่ทีเอานมอุ่นป่ะ จะไปทำมาให้”



“กินข้าวเย็นไม่อิ่มหรือไงเจ้าแฝด?” ผมอดถามไม่ได้ ตอนเย็นผมเห็นสองคนนั้นฟาดข้าวไปคนละสองจาน แล้วนี่ยังจะไปทำนมอุ่นกินอีกหรอวะ



“ก็กินทุกวัน ไม่กินแล้วนอนไม่หลับ” เออ ก็ยังดีกว่าแดกเหล้าล่ะวะ



“ไม่ล่ะ ขอบใจนะ อยากกินก็ไปทำกินกันเองเหอะ อย่าทำหกในห้องพี่ละกัน”



“พี่ที ร้อนอ่ะ ขอเพิ่มแอร์ได้มั้ย” นี่มึงยังจะบอกว่าร้อนอีกหรอ แอร์ก็เปิด แถมเปิดพัดลมจ่อเบอร์แรงสุดไม่พอยังเปิดพัดลมบนเพดานจ่อกบาลมึงอีกตัว ขนาดผมนั่งไม่โดนพัดลมผมยังหนาวแอร์ที่มันเปิดเลยนะ!



เดือนนี้บ้านกูค่าไฟขึ้นแน่นอน…เผลอๆ อาจจะแพงกว่าไอ้สองพันนั่นด้วยซ้ำ อยากจะกระอักเลือดแทนพ่อแม่ T T



“ภูผา ฟ้าคราม พี่นอนก่อนนะ ถ้าเราจะนอนแล้วปิดไฟกับแอร์ด้วยล่ะ” มันสองคนหันมาพยักหน้าอือๆ ออๆ แล้วกลับไปสอนใจจอคอมต่อ ผมดึงผ้าห่มชิดอกหลับตาลง ผ่านไปครู่ใหญ่ผมก็กรนออกมาเบาๆ



“ภู พี่เค้าหลับไปยังวะ” ฟ้าครามถามแฝดตนเบาๆ



“หลับแล้ว กูได้ยินเสียงกรน”



“เฮ้ย สองพันบนโต๊ะข้างเตียงยังอยู่ป่ะวะ”



“หึ ไม่อยู่แล้วว่ะ” หลังจากนั้นสองคนนั้นก็นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยไม่นานก็ปิดไฟนอน ผมลืมตาขึ้นในความมืด ทุกบทสนทนาผมได้ยินชัดเจน รู้สึกแย่มากๆ ที่เหมือนโดนน้องมองว่าเห็นแก่เงิน ต่อหน้าทำเป็นปฏิเสธแต่ลับหลังพอได้เงินแล้วรีบเอาไปเก็บทันที ถึงน้องจะเข้าใจถูก แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกแย่ โอเคผมยอมรับว่าผมอยากได้เงินที่อาแอ๋มหยิบยื่นให้เป็นสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ แต่แรกเริ่มเดิมทีแล้วผมตั้งใจที่จะติวให้น้องจริงๆ โดยไม่ได้คิดถึงเรื่องเงินเลย ผมรู้สึกไม่ดี รู้สึกเหมือนทำให้น้องขาดศรัทธาในตัวผม เป็นแค่คนที่แม่เค้าจ้างมาติวให้ ไม่ใช่พี่ชายที่เอื้อเฟื้อสอนให้ด้วยความมีน้ำใจ ผมนอนลืมตาในความมืด ณ ห้องนอนที่หนาวเหน็บ ถามตัวเองว่าคิดถูกหรือเปล่าที่รับเงินมา คิดถูกหรือเปล่าที่รับปากจะติวให้ คิดถูกหรือเปล่าที่ให้พวกมันมาค้างบ้านผม มาทำให้ผมไม่สบายใจอยู่แบบนี้





ผมนับถอยหลังอยู่ในใจ อีกหกวัน ทนหน่อยละกันนะเรา …ที่เหลือค่อยว่ากัน









-------------------------------------------------------------------

สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักทุกๆคนนะคะ เรียกเราว่าเเคน เเคนเดิลการ์ด เทียน หรืออะไรก็ได้ค่ะ^^ นิยายเรื่องนี้เป็นผลงานเรื่องเเรกที่ลงในเล้า หากว่าเราทำผิดกติกาอะไรหรือมีคำผิดก็รบกวนช่วยบอกกล่าวตักเตือนหน่อยนะคะ

ยินดีน้อมรับทุกความคิดเห็นค่ะ เขียนกันมาเยอะๆน้าเราชอบอ่าน><

หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 17-02-2018 20:20:13
                                                                 

                                                             ตอนที่ 2 อึดอัดใจชิบหายเลยโว้ย!







ผมตื่นขึ้นมาตอนแปดโมงเช้าด้วยอาการคัดจมูกฟุดฟิด เจ้าแฝดนั่นไม่ยอมปิดแอร์ตามที่สั่งไว้ทำให้ผมซึ่งไวต่ออากาศเย็นเพราะเป็นโรคภูมิแพ้เกิดอาการแบบนี้



ผมมองดูภูผา และ ฟ้าครามที่นอนก่ายกันอยู่บนพื้น สองคนนี้โตขึ้นมากจริงๆ ล่าสุดเจอกันเมื่อสองปีที่แล้วเรายังสูงพอๆ กัน แต่มาวันนี้มันสูงเลยผม ตัวใหญ่กว่าผมแล้ว



ภูผา กับ ฟ้าครามหน้าเหมือนกันมาก ผมต้องยอมรับเลยว่ามันสองคนหล่อจริงๆ ผิวมันขาวเพราะมีเชื้อสายจีนจากฝั่งอาแอ๋ม แต่ได้ตาโตๆ คมๆ จมูกโด่งๆ และ คิ้วเข้มๆ มาจากฝั่งพ่อที่เป็นคนไทย เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ผมต้องใช้วิธีมองปานที่หลังมือเพื่อแยกสองคนนี้ออกจากกัน ภูผามีปานเล็กๆ ที่ข้อมือซ้าย แต่พอโตขึ้นผมไม่จำเป็นต้องมานั่งมองหาแล้ว ใช้เซ้นส์ล้วนๆ เลย ผมรู้สึกว่าฟ้าครามจะใจร้อนกว่าภูผานิดหน่อย ส่วนภูผาที่เป็นแฝดพี่ก็ชอบใช้ฟ้าครามทำนู่นทำนี่ ไอ้ฟ้าครามมักจะบ่น แต่ก็ทำให้ นอกจากนี้เวลาคุยกันฟ้าครามจะชอบจ้องตาผมมากกว่าภูผา



ผมมองมันสองคนหลับอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกไปอาบน้ำ กว่าพวกเราจะจัดการตัวเองเสร็จก็เก้าโมงกว่า พวกเราลงมานั่งกินข้าวเช้าที่แม่เตรียมไว้ให้ในฝาชีก่อนออกไปทำงาน



“เป็นไง เมื่อคืนหลับสบายดีมั้ย” ผมถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มบางๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของผม ไม่ว่าผมจะรู้สึกอะไร ผมก็มักมีรอยยิ้มเพื่อใช้กลบเกลื่อนความรู้สึกเสมอ ตอนนี้ก็เช่นกัน เรื่องที่ได้ยินสองคนนี้คุยกันเมื่อคืนทำให้ผมไม่สบายใจมาก แต่ก็เอาเถอะ น้องจะคิดยังไงก็ช่าง ผมรู้อยู่แก่ใจว่าเหนือสิ่งอื่นใดแล้วผมเจตนาดีกับพวกเขาสองคนเสมอแม้สองคนนี้จะทำตัวเรื่องมาก น่ารำคาญ รบกวนความเป็นส่วนตัวและชีวิตอันสงบสุขของผมแค่ไหนก็ตาม ในสายตาผม น้องก็ยังเป็นน้อง ผมอยากให้น้องสอบติด มีอนาคตที่ดี เป็นความภาคภูมิใจของน้าแอ๋ม เท่านี้ก็พอแล้ว



“โอ๊ยพี่! มานอนพื้นมั่งมั้ยล่ะ โคตรแข็งเลย ขนาดปูผ้ารองสองชั้นแล้วนะ เนี่ยเจ็บตูดชิบหาย พื้นมันแข็งอ่ะ” ฟ้าครามบ่นทันที



“ใช่ๆ นอนไม่ค่อยหลับเลย เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไปหมด คิดถึงบ้าน อยากกลับไปนอนเตียงใหญ่ๆ ฟูกนุ่มๆ เฮ้อออออ” ภูผาเสริม ผมไม่ได้โง่ ที่จะไม่รู้ความหมายแฝงของคำพูดนั้น ภูผากำลังบอกผมทางอ้อมว่าเป็นเพราะผมที่ทำให้พวกมันสองคนต้องมาลำบาก แทนที่ผมจะเป็นฝ่ายไปอยู่บ้านมัน แต่ผมกลับเอาแต่ใจจะให้พวกมันเป็นฝ่ายมาอยู่กับผมแทน แล้วมันผิดตรงไหนที่ผมจะอยากอยู่บ้านของผมเอง ผมอุตส่าห์ยอมติวให้นะ ก็ควรจะให้ผมเป็นคนเลือกที่ติวไม่ใช่หรอ?



“เอาน่า เป็นลูกผู้ชายต้องอดทนสิ เขาชนไก่ยังผ่านมาได้เลยไม่ใช่หรอ” สองแฝดยังคงบ่นงึมงำนู่นนี่นั่นไม่หยุด ผมขี้เกียจฟังเลยรีบกินรีบขึ้นข้างบน เข้าไปในห้องเก็บของ เปิดตู้หาผ้านวมหนาๆ ที่จำได้ว่าเมื่อก่อนเคยเห็นแม่พับใส่ถุงสุญญากาศเก็บไว้ ผมนำผ้านวมสองผืนนั้นมาปูเพิ่มให้สองแฝดก่อนจะเอาผ้าผืนเดิมที่มันเคยนอนเมื่อคืนวางทับลงบนผ้านวม จัดหมอนผ้าห่มให้เหมือนเดิม แล้วมานั่งรอที่โต๊ะญี่ปุ่น



ผมเริ่มต้นการติวด้วยการให้น้องสองคนท่องศัพท์ที่มักออกข้อสอบบ่อยๆ และก็เป็นอีกครั้งที่ผมต้องเก็บความหงุดหงิดเอาไว้ในใจเมื่อภูผาและฟ้าครามยังคงฝ่าฝืนคำสั่งผมที่ไม่ให้มันช่วยกัน พอผมถามศัพท์ภูผาแล้วภูผาตอบไม่ได้ มันก็จะชำเลืองมองฟ้าคราม ฟ้าครามจะทำท่าทำทางบอกใบ้ บางทีก็ตอบแทนภูผาเลยก็มี และ ภูผาก็จะช่วยฟ้าครามแบบนี้เช่นเดียวกัน สุดท้ายคำที่แต่ละคนไม่ได้มันก็ไม่ได้อยู่อย่างนั้นเพราะแฝดอีกคนช่วยตอบช่วยใบ้แทนให้เสมอ ผมบอกมันเกือบสามสิบครั้งได้แล้วมั้งว่าถ้าหวังดีก็อย่าช่วยกัน เพราะเวลาสอบมันช่วยกันไม่ได้ แต่สองคนนั้นก็ไม่ฟัง



“เดี๋ยวพี่มา เราทำโจทย์กันไปก่อนเลยนะ” ผมทิ้งโจทย์คณิตไว้ให้สองคนนั้นทำ ส่วนตัวเองลงไปเอาน้ำขึ้นมาให้ดื่มเพราะเห็นว่าน่าจะคอแห้งกันแล้ว



“อ่ะ น้ำ” ผมยื่นแก้วใส่น้ำเย็นให้ทั้งสองคน มันพึมพำขอบคุณเบาๆ แล้วดื่มกันไปคนละอึก



“ไม่เห็นเย็นเลย ไม่กินแล้ว” ฟ้าคราม กับ ภูผาวางแก้วน้ำที่แทบไม่พร่องลงบนโต๊ะทำงานของผมที่ทำจากไม้ ผมต้องรีบหาผ้ามาเช็ดหยดน้ำข้างแก้วที่เปียกโต๊ะผม เอาผ้าวางรองแล้วค่อยวางแก้วลงไปใหม่ มันไม่รู้หรือไงว่าไม้โดนน้ำแล้วมันจะพองน่ะ!



“โอ๊ย! ร้อนอ่ะ เปิดแอร์นะ”



“เปิดพัดลมตั้งสามตัวแล้วยังไม่พออีกหรอฮึ” ปกติผมไม่เคยเปิดแอร์ตอนกลางวันเลยจะเปิดก็เฉพาะตอนก่อนนอนเท่านั้น ตอนกลางวันแค่พัดลมตัวเดียวผมก็อยู่ได้แล้ว ไอ้โซล ไอ้แท็คที่ว่าโคตรคุณชาย มานอนค้างบ้านผมก็ไม่เคยบ่นร้อนสักแอะ แล้วทำไมสองคนนี้มันเรื่องเยอะแบบนี้วะ อาแอ๋มเลี้ยงพวกมันมายังไงเนี่ย



“นะๆ ๆ แป๊บเดียวก็ได้ หายร้อนแล้วค่อยปิด” สุดท้ายผมก็ต้องยอมให้มันเปิดแอร์จนได้ ทั้งๆ ที่ไม่อยากให้เปิดเลยเพราะบ้านผมเป็นอาคารพาณิชย์ ค่าไฟจะแพงกว่าบ้านพักตากอากาศ และ ตึกธรรมดา โดยเฉพาะถ้าเปิดตอนกลางวันนี่ยิ่งซดไฟหนักเลย



ผมสลับสอนสามวิชาไปตลอดทั้งวัน จนตอนเย็นถึงเลิกสอน ปล่อยให้พักผ่อนกันตามอัธยาศัย วันนี้ผมก็เหนื่อยอีกแล้ว… เหนื่อยมากๆ …สองคนนี้ไม่ค่อยเชื่อฟังผม สอนแบบนี้ก็จะทำอีกแบบ บอกให้คิดวิธีตรง ข้าก็จะคิดวิธีลัด แล้วก็ลัดแบบผิดๆ สุดท้ายคำตอบออกมาก็ไม่ถูก บางทีขึ้นเรื่องใหม่กำลังจะสรุปให้ฟัง พวกมันก็ขัดขึ้นว่า ‘รู้แล้วๆ ๆ ไม่ต้องสอน’ ด้วยท่าทางแสนอวดดี แล้วพอผมให้ลองทำโจทย์มันก็ทำกันไม่ได้ สุดท้ายผมก็ต้องมานั่งสอนมันใหม่อยู่ดี ผมล่ะโคตรเกลียดเลยไอ้พวกอวดว่าตัวเองรู้ทั้งที่ไม่รู้จริง หรือ ความรู้ไม่แน่นเนี่ย ถ้าพวกมึงทำได้แล้วทำไมไม่เห็นสอบติดสักที่วะ ผมอยากจะตอกหน้ามันกลับไปแบบนี้ แต่ก็ไม่ทำเพราะผมเตือนตัวเองว่าผมเป็นพี่ ผมไม่ควรพูดจาแบบนั้น ใส่น้อง ถึงมันจะเป็นความจริงก็เถอะ



ผมพยายามคิดในแง่ดีว่าถึงน้องจะอายุสิบแปดแล้ว แต่ก็ยังถือเป็นวัยรุ่น ก็ต้องมีบ้างที่นิสัยใจร้อน วู่วามพูดไม่คิด แต่บางครั้งผมก็อดที่จะเปรียบเทียบเจ้าทามน้องสาวผมกับสองคนนี้ไม่ได้จริงๆ ทามเด็กกว่าสองคนนี้สองปี ถึงนิสัยจะกวนบ้างซนบ้าง แต่เวลามาขอให้ผมติวให้ ไม่ว่าผมจะสอนหรือสั่งให้ทำแบบไหนอย่างไร น้องผมไม่เคยทำนอกคำสั่ง สั่งให้ท่องอะไรก็ท่อง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้น้องสาวผมสอบได้อันดับต้นๆ ของชั้นเรียน



“เตียงพี่ทีนุ่มว่ะ สบายจังเลย” ฟ้าครามที่อาบน้ำเสร็จแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงของผมซึ่งเป็นเตียงเดี่ยวนอนได้แค่คนเดียว



“เออจริงด้วยว่ะ ดีกว่านอนพื้นเป็นกองเลย” แล้วพวกมันก็พยายามนอนเบียดกันบนเตียงผมเพียงเพราะอยากจะนอนบนฟูกนุ่มๆ



“หมอนหอมอ่ะ ชอบกลิ่นนี้ เหมือนกลิ่นเสื้อพี่เลย ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นอะไรอ่ะ” ภูผานอนเอาหน้าซุกหมอนทำหน้าตาเคลิบเคลิ้ม ผมที่คุยเฟสกับแท็คอยู่ที่โต๊ะทำงานเลยหันกลับมามอง



“ไม่รู้สิ ผ้าทั้งหมดในบ้านพี่ส่งซักรีดน่ะ”





“ภู คราม ลงไปได้แล้ว พี่จะนอนแล้ว” ผมบอกพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้มแบบพี่ชายใจดีที่ทำอยู่ประจำ บางครั้งผมก็เฟค แต่บางครั้งผมก็อยากจะยิ้มแบบนี้จริงๆ ใครๆ จึงมักจะคิดว่าผมใจเย็น นิสัยอ่อนโยนเพราะมีรอยยิ้มอยู่บนหน้าเสมอ แต่เวลาอยู่กับกลุ่มไอ้แท็ค ผมจะเป็นตัวของตัวเอง ไม่อยากยิ้มก็ไม่ยิ้ม เห็นตับไตไส้พุงกันมาหมดแล้ว



“ไม่อยากกลับไปนอนพื้นเลยยยยย” ภูผาจิกผ้าปูเตียงแน่น



“นอนด้วยกันสามคนบนเตียงได้มั้ย?” ฟ้าครามทำตาปิ๊งๆ อ้อนวอน กูไม่ใจอ่อนหรอกโว้ย!



“ฮะๆ บ้าเหรอ พี่นอนคนเดียวก็เต็มแล้ว” บางครั้งสองคนนี้ก็ทำให้ผมขำได้เหมือนกัน



“ก็นอนแบบนี้ไง” ผมกอดอกรอดูว่ามันจะนอนท่าไหน อย่าบอกนะว่าจะให้นอนซ้อนๆ กันเป็นแซนวิชน่ะ



ภูผา กับ ฟ้าคราม เปลี่ยนไปนอนในแนวขวางเตียง แน่นอนว่าแนวขวางมันยาวไม่พอความสูงของพวกมันแน่ๆ ภาพที่ผมเห็นจึงเป็นภาพที่ตลกมาก มันสองคนนอนขวางเตียงแล้วงอเข่ายกขาที่เลยออกไปขึ้นมาวางบนเตียงเหมือนท่าคนท้องขึ้นนอนบนขาหยั่ง ผมนับถือในความครีเอทของมันนะ นี่มันอยากนอนบนเตียงถึงขนาดจะยอมนอนชันเข่าทั้งคืนเลยจริงดิ?!



“อุ๊บ…ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ตลกว่ะ เหมือนคนขึ้นขาหยั่งเลย” ผมหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง ภูผา และ ฟ้าครามดูเหมือนจะเพิ่งตระหนักได้ว่าท่านี้มันเหมือนจริงๆ จึงนอนฮาก๊ากกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงสองคน



คืนนี้สองคนนั้นก็ขอเปิดแอร์นอนตลอดทั้งคืน ตอนแรกผมจะไม่ให้แต่มันบอกว่ามันจะนอนไม่หลับถ้าไม่ได้เปิดแอร์ สุดท้ายผมเลยต้องยอมให้ อีกแค่ห้าวัน…ทนแค่นี้เอง







วันต่อมาผมถามสองคนนั้นว่านอนหลับสนิทไหม มันบอกว่านอนหลับสนิทดีกว่าคืนแรกเยอะเลย แต่ก็ยังปวดหลัง ปวดตูดอะไรของมันเหมือนเดิม นี่ขนาดผมปูผ้าให้มันอีกสองชั้น รวมของเดิมก็เป็นสี่ชั้นแล้วนะ มึงยังจะมาบ่นอีกหรอ



พฤติกรรมของสองคนนี้ยังเหมือนวันที่แล้วมา คือไม่ค่อยเชื่อฟัง ชอบช่วยกัน ชอบอวดฉลาด ผมก็ได้แต่เก็บความหงุดหงิดที่นับวันจะยิ่งพอกพูนไว้ในใจเหมือนเดิม ความเรื่องมากต่างๆ ในการกินอยู่ที่บ้านผมก็ยังคงไม่ลดน้อยถอยลง วันนี้ผมเหนื่อยมาก (อีกแล้ว) หลังจากติวเสร็จแทนที่จะได้พักก็ต้องสอนการบ้านให้ทามที่ไปเรียนซัมเมอร์ที่โรงเรียนอีก วันนี้ผมพูดจนแทบไม่มีเสียง รู้สึกแสบคอนิดๆ แถมอาการคัดจมูกน้ำมูกไหลก็ดูเหมือนจะยิ่งหนักขึ้น



ไม่เป็นไรหรอก เหลืออีกแค่สี่วันเอง…แค่นี้ทำไมผมจะทนไม่ได้ล่ะ









รุ่งเช้าวันที่สี่ ผมตื่นขึ้นมาด้วยเสียงนาฬิกาปลุกตอนแปดโมงเหมือนเช่นเคย แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกไม่สดชื่นนัก หัวสมองมันมึนตื้อไปหมด คอก็เจ็บ น้ำมูกก็ไหล ผมจับหน้าผากตัวเอง โชคดีที่ไม่เป็นไข้ แต่ก็คงใกล้เป็นเต็มที ผมฝืนลุกขึ้นเดินโซเซไปอาบน้ำ แต่งตัว แล้วกลับเข้ามาปลุกภูผากับฟ้าครามไปอาบบ้าง



ผมรู้ตัวดีว่ากำลังจะไม่สบายก็เลยกินยาดักเอาไว้ เลือกยาแก้หวัดชนิดที่ไม่ทำให้ง่วง และ ยาแก้เจ็บคอ ผมเดินไปซื้อลูกอมมาสองแผงไว้อมทุเลาอาการ อย่างน้อยถ้าจะล้มป่วย ผมก็อยากจะยื้อไปป่วยตอนที่น้องสองคนกลับไปอยู่บ้านสามวันหลังจบการติวสัปดาห์นี้ ผมรู้ดีว่าทุกๆ วัน และทุกๆ วินาทีของน้องมีค่าแค่ไหน ต่อให้ผมป่วยผมก็จะสอน เพราะเวลามันเหลือไม่มากแล้ว และ พื้นฐานสิ่งที่น้องควรรู้เพื่อเอาไปใช้สอบผมก็ยังปูให้ไม่หมดเลย



วันนี้ผมเร่งอัดเนื้อหาให้น้องอย่างหนัก มันสองคนพากันโอดครวญว่าผมสอนมากเกินไปแล้ว หัวมันจะระเบิดแล้วบ้างล่ะ ผมไม่สนใจ แกล้งทำหูทวนลมไปซะ ที่จริงถ้าไม่เจ็บคอก็อยากจะอธิบายให้ฟังว่าที่ผมเร่งอัดเนื้อหาแบบสรุปให้เพราะอยากให้น้องมันมีเวลาฝึกโจทย์เยอะๆ



โชคดีที่วันนี้ตอนกลางวันฝนตก ผมเลยมีข้ออ้างที่จะไม่ให้สองคนนั้นเปิดแอร์ แต่พอตกกลางคืนอากาศกลับร้อนอบอ้าวจนภูผากับฟ้าครามใช้เป็นข้ออ้างขอเปิดแอร์อีกจนได้ แต่ตอนนี้ผมเริ่มไม่ไหวแล้ว หนาว ผมหนาวมากๆ ถ้าร่างกายผมปกติก็คงพอจะทนได้ แต่นี่ผมรู้ตัวแล้วว่าไม่สบาย ตัวเริ่มจะรุมๆ ยิ่งมาเจอแอร์แบบนี้ผมยิ่งอาการแย่เข้าไปอีก ผมหนาวจนทนไม่ไหว สุดท้ายเลยต้องขอให้น้องเพิ่มแอร์จาก 19 องศา เป็น 26 องศา โดยบอกไปแค่ว่าผมนอนแอร์หนาวๆ ติดๆ กันหลายวันไม่ได้ภูมิแพ้มันกำเริบ



คืนนี้ผมหลับไปด้วยฤทธิ์ยาแต่หัวค่ำ บอกกับตัวเองว่าพรุ่งนี้คงหาย เพราะเดิมทีผมเป็นคนแข็งแรง ขอแค่ได้นอนพักอย่างเพียงพอในสภาวะที่เหมาะสม เช้าวันต่อมาผมก็จะดีขึ้น แต่ผมไม่รู้เลยว่าพอตัวเองหลับไปแล้ว เจ้าเด็กแฝดนั่นก็ลดแอร์กลับมาที่ 19 องศาตามเดิม…









เช้าวันที่ห้า …ผมป่วย



อาการของผมหนักขึ้นกว่าสองวันก่อนมากๆ ตอนนี้ผมมีไข้อ่อนๆ คออักเสบกลืนน้ำลายแต่ละทีโคตรทรมาน น้ำมูกไหล จนต้องไปซื้อยาห้ามน้ำมูกมากิน ผมโกรธมากที่ตื่นขึ้นมาแล้วเห็นเลของศาเป็น 19 แทนที่จะเป็น 26 ทั้งๆ ที่ผมก็บอกก็อธิบายด้วยเหตุผลแล้วว่าช่วยเพิ่มองศานะเพราะพี่ทนหนาวไม่ไหว ภูมิแพ้จะกำเริบ แต่มันสองคนก็ไม่ฟัง



เวลาที่ผมไม่สบาย จิตใจของผมจะอ่อนแอไปด้วย ความสามารถในการควบคุมสติและอารมณ์ของผมจะต่ำลง รวมถึงมักจะชอบคิดในแง่ร้าย ตอนนี้ก็ด้วย ผมนอนมองนาฬิกาที่ชี้บอกเวลาแปดโมงครึ่ง แต่ผมลุกไม่ขึ้น จิตฝ่ายชั่วเริ่มเข้ามามีอิทธิพลกับผมแล้ว ผมเริ่มรู้สึกเสียใจที่ตกปากรับคำติวให้เจ้าแฝดนรกนี่ เสียใจที่ไปสัญญากับน้าแอ๋มว่าจะดูแลน้องให้ดีๆ แต่ดูพฤติกรรมต่างๆ ที่มันทำกับผมสิ ทั้งเรื่องมาก เอาแต่ใจ ไม่เชื่อฟัง ทำให้ผมลำบากใจ ทำให้ผมหงุดหงิด ทำให้ผมไม่สบาย ทำให้ผมต้องสูญเสียเวลาที่ควรจะได้นอนพักผ่อน ได้ทำสิ่งที่ชอบให้สมกับเป็นปิดเทอม ผมไม่เห็นจะได้อะไรเลย แล้วทำไมผมต้องเสียสละขนาดนี้เพียงเพื่อคนอื่นที่ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ ด้วย



ผมเริ่มโทษตัวเอง โทษทุกคน อดนึกโกรธอาแอ๋มที่ยัดเยียดสองคนนี้มาให้ผมไม่ได้ ความคิดด้านลบเต็มหัวผมไปหมดแล้ว จิตชั่วบอกตัวผมว่าจบสัปดาห์นี้แล้วก็ทำเป็นยุ่งจนไม่มีเวลาติวให้อีกก็ได้นี่ ไม่ก็ไปนอนค้างบ้านเพื่อนแล้วอ้างว่ามีงานที่อาจารย์สั่งให้ทำช่วงซัมเมอร์ ไม่จำเป็นที่ผมจะต้องทรมานตนเองเพื่อคนที่ทำไม่ดีกับเรา ในเมื่อมันทำตัวแย่ๆ กับผม ผมก็ไม่ควรจะไปทำดีกับมันอีก ปล่อยพวกมันไปตามเวรตามกรรมซะ บ้านรวยไม่ใช่หรอ ก็ไปจ้างครูสอนพิเศษมาติวให้แทนก็แล้วกัน ดูซิว่าใครเค้าจะทนนิสัยเหี้ยๆ อย่างนี้ได้ ขี้คร้านเดี๋ยวก็ลาออกไปเหมือนเดิม จะสอบติดหรือไม่ก็เรื่องของมัน ผมไม่เดือดร้อนอะไรด้วยเสียหน่อย จะไปตายห่าที่ไหนก็ไป ผมตัดสินใจแล้วว่าจะไม่มีทางติวให้พวกมันอีก ถึงต่อไปจะมองหน้ากันไม่ติดผมก็ไม่สน เพราะคนแบบนี้ผมไม่อยากคบด้วยหรอก เงินสองพันก็จะคืนให้ จะได้ไม่ติดค้างอะไรกันอีก !



ถึงในใจผมจะคิดแบบนี้ แต่จิตฝ่ายดีของผมก็ยังพอมีอยู่บ้าง อย่างน้อยผมก็จะติวให้มันจนครบอาทิตย์ จะอัดเนื้อหาให้มากที่สุดเท่าที่มันจะรับกันไหว หลังจากนั้นก็ลากันที ไปดิ้นรนต่อเอาเองก็แล้วกัน ผมเชื่อว่าตัวเองจะสามารถหาข้ออ้างดีๆ ที่ดูน่าเชื่อถือมาตอบปฏิเสธการติวในวันที่เหลือได้แน่



ผมบอกตัวเองให้กัดฟันทน ถ้าไม่รวมวันนี้ก็เหลืออีกแค่สองวันเท่านั้น ผมเคยป่วยหนักกว่านี้ยังไปเรียนไปสอบได้เลย



ผมกัดฟันลุกไปเข้าห้องน้ำ แต่ไม่ราดน้ำลงบนตัว ใช้แค่ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดตัวเอง แล้วเดินไปปลุกสองแฝด ข้าวผัดในกระทะที่แม่ทำเอาไว้หน้าตาน่ากินมาก เสียแต่ตอนนี้ผมกินไม่ลง ไม่ใช่ว่าไม่หิว แต่ผมเจ็บคอเกินกว่าจะกินของพวกนั้น เลยต้มโจ๊กซองกินเป็นอาหารเช้าแล้วกินยาตาม



--------------------------------------------------





หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 17-02-2018 20:21:34
                                                               ตอนที่ 3 ถ้าคิดว่าเก่งแล้วก็ไสหัวกลับไป!




ผม : เร่งความเร็ว

ภูผา : accelerate , expedite

ผม : สะกด accelerate

ภูผา : a-c-c-e-l-e-r-a-t-e

ผม : ทำให้โกรธ

ภูผา : aggravate , exasperate

ผม : เหมาะสม

ภูผา : appropriate , suitable ,….แป๊บนะ… อะไรวะ ขอนึกก่อน

ผม : …………… (ถือชีตตั้งใจรอ )

ฟ้าคราม : โอ๊ย วันนี้เสื้อฟิตจังเล้ยยยย

ภูผา : อ๋อ!!! Fitting

ผม : ภูผา ฟ้าคราม พี่บอกแล้วใช่มั้ยว่าห้ามช่วยกัน ( ถอนหายใจอย่างระอาเต็มทน ) ภูผาคัด fitting ห้าจบเดี๋ยวนี้

แม้ผมจะมีบทลงโทษของการช่วยกันตอบด้วยการให้คัด แต่สองคนนี้ก็ไม่เคยเลิกช่วยกัน ผมเบื่อ ผมเซ็ง ผมเอือมระอา … แค่ฟังและทำตามคำสั่งผมมันจะตายหรือไง นี่หวังดีนะ ทำไมไม่เข้าใจกันบ้างวะ?

ผม : …..มา …ตาฟ้าครามบ้าง… เทียม / ปลอม

ฟ้าคราม : articial , copied , duplicated

ผม : สะสม

ฟ้าคราม : accumulate , collect สะสม

ผม : ประกาศ

ฟ้าคราม : declare , ………..

ผม : declare แล้วอะไร อีกคำเจอในข้อสอบบ่อยมากเลยนะ ต้องจำให้ได้

ฟ้าคราม : อะ…อะ…อะไรวะ (เกาหัว เหลือบมองภูผาที่นอนท่องศัพท์ชุดใหม่อยู่บนเตียง)

ผม : ภูผา ห้ามช่วยฟ้าคราม ให้ฟ้าครามคิดเอง

ภูผา : ปลาร้าเหม็นอะไร

ผม : ภู-ผา ( เสียงเย็น พยายามกดความโมโหไว้ )

ฟ้าคราม : เหม็น …เหม็นเน่า! announce! (อะเน๊าซ์ )

ผม : คัด announce ห้าจบ….ภูผา พี่บอกแล้วไงว่าไม่ให้ช่วย ในห้องสอบเขาไม่ได้ให้สิทธิ์พิเศษฝาแฝดช่วยกันทำนะ

ภูผา : (ทำเป็นตั้งใจท่องศัพท์ )

ผม : …………………….. (ทำเป็นยิ้มอย่างอ่อนใจ ทั้งที่ความจริงแล้วอยากจะลุกขึ้นมาชกหน้ามันสองคนซะจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกูนะ ได้มีซัดกันซักยกสองยกล่ะ ไอ้สัส ไอ้ควาย ไอ้เด็กเวร นรกส่งพวกมึงมาเกิดใช่มั้ยถึงได้ดื้อด้านกวนตีนฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องแบบนี้! )



นี่แค่ตัวอย่างบทสนทนาบางส่วนที่ผมยกมาให้ฟังนะ ที่จริงมันมีเยอะกว่านี้ มีการช่วยกันมากกว่านี้ ใบ้ชัดจนดูน่าเกลียดกว่านี้ แถมบางทีก็ตอบให้กันไปเลย เป็นอย่างนี้มาตลอดห้าวัน ทุกเช้าทุกเย็นที่ผมสอบศัพท์ และทุกครั้งที่ผมลองย้อนกลับไปถามคำเก่าๆ ภูผา และ ฟ้าครามก็จะผิดคำเดิมซ้ำๆ ที่แฝดตนคอยช่วย ผมเบื่อ ผมระอา อยากจะโทรไปบอกอาแอ๋มว่ามารับพวกมันกลับไปตอนนี้ทีเถอะ ก่อนที่ผมจะวิสามัญฆาตกรรมลูกของเธอ



ช่วงสองสามวันแรกสองคนนี้ก็ดูมีไฟดีอยู่หรอก แต่หลังจากนั้นไฟก็ค่อยๆ มอดลงเรื่อยๆ วันแรกๆ ให้ทำโจทย์ แก้สมการ จดสรุปเนื้อหาอะไรแม่งก็ทำหมด วันหลังๆ นี่เริ่มมีอิดออด บ่นนู่นบ่นนี่ แล้วถ้าผมให้ทำโจทย์มากๆ เข้าก็ชักสีหน้าใส่เลยก็มี แต่ถึงจะชักสีหน้า มันก็ยอมทำอย่างเสียมิได้ นับว่าก็ยังดีกว่าชักสีหน้าแล้วไม่ยอมทำ



ผมเองก็เหนื่อยไม่ใช่ไม่เหนื่อย ผ่านมาแค่สี่วันกว่าแต่ผมกลับรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปสักสี่ปี ผมไม่เคยซาบซึ้งในจิตวิญญาณความเป็นครูเท่าวันนี้เลย ผมสอนตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงหกโมงเย็น พักกินข้าวกลางวันหนึ่งชั่วโมง หมายความว่าผมพูดสอนไม่ได้หยุดเป็นเวลาเจ็ดชั่วโมงต่อวัน ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่สาหัสมากสำหรับผมที่ปกติเป็นคนไม่ค่อยพูด ผมนึกถึงครูที่โรงเรียน ที่ต้องยืนสอนวันละแปดชั่วโมง ถ้าไม่มีสปิริตจริงๆ คงทำไม่ได้ขนาดนั้น แล้วก็ไม่ใช่แค่สอนชั่วคราวแบบผม ครูบางคนทำแบบนั้นเป็นสิบ ยี่สิบปี หรืออาจจะ…ชั่วชีวิต



เวลาที่ผมมีความคิดอยากจะเลิกสอนพวกมัน ผมก็จะนึกถึงเรื่องนี้เป็นการให้กำลังใจตัวเองเสมอ อีกสองวันเอง ทนหน่อย หลังจากนั้นผมก็จะหาข้ออ้างว่าไม่ว่างแล้วยกเลิกการติวนี้เสียที



อีกเรื่องที่ผมต้องอดทนก็คือการใช้ชีวิตร่วมกับพวกมัน นอกจากการสอนที่แสนเหน็ดเหนื่อยในแต่ละวันแล้ว ผมยังต้องทนกับความเอาแต่ใจ เรื่องมาก จุกจิกยิบย่อยของพวกมัน ต้องทนนอนห้องเดียวกัน ต้องถูกทำลายความเป็นส่วนตัว บอกตามตรง ผมอึดอัด! ผมหงุดหงิด ! ผมรำคาญ ! มาอยู่ให้เขาติวแล้วยังจะทำตัวเรื่องมากกินยากอยู่ยากอีก



ผมเบื่อ ผมอยากพัก ตั้งแต่ปิดเทอมมาผมยังไม่ได้พักเลย สอบปลายภาคเสร็จก็ไปออกค่าย กลับจากค่ายได้วันเดียวอาแอ๋มก็โทรมาขอให้ติวเจ้าพวกนี้ ถ้ามันสองคนตั้งใจเรียน ทำตัวดีๆ ผมคงไม่เหนื่อยจนวางแผนจะเลิกสอนแบบนี้ ผมรู้เลยว่าที่จริงน้องไม่ได้อยากมาติว แต่คงถูกอาแอ๋มบังคับให้มา คนเต็มใจรับความรู้ กับคนไม่เต็มใจแต่มาอย่างเสียมิได้ ทำไมผมจะดูไม่ออก



ถัดจากการท่องศัพท์และทำโจทย์วิชาภาษาอังกฤษ ผมก็สอนวิชาฟิสิกส์เรื่องโมเมนตัมต่อจากเมื่อวาน ปิดท้ายด้วยวิชาคณิตศาสตร์เหมือนเดิมในแต่ละวัน



“ฝาแฝด จำสูตรเรื่องการสมมูลได้มั้ย ” บางครั้งผมก็จะเรียกสองคนนี้รวมกันไปเลย



“จำไม่ได้เลยคร้าบ ไม่รู้ด้วยว่าสมมูลมันคืออะไร เรียนตั้งแต่มอสี่ ลืมไปแล้ว ”



“โอเค การสมมูล คือการที่ประพจน์สองประพจน์มีค่าความจริงตรงกันทั้งหมด มีวิธีตรวจสอบสองแบบ วิธีที่หนึ่งคือการสร้างตารางหาค่าความจริงแบบนี้… ซึ่งมันเสียเวลามาก เราจึงใช้วิธีที่สอง คือใช้สูตรในการตรวจสอบ ที่จริงสูตรมันมีเยอะมาก แต่พี่จะให้ท่องแค่เจ็ดสูตรนี้ สูตรที่เหลือไม่ต้องไปจำ มัน make sense อยู่แล้ว ”



ภูผา และ ฟ้าครามรับหนังสือไปตั้งหน้าตั้งตาท่อง ผมไม่ปล่อยเวลาว่างของตัวเองให้เสียเปล่า หยิบหนังสือติวสอบวิชาภาษาอังกฤษขึ้นมาเพื่อเตรียมเนื้อหาที่จะติววันพรุ่งนี้…ทั้งสองคนทำ part error คะแนนต่ำมากเลย ที่ wc ออกพาร์ทนี้เยอะด้วยสิ งั้นพรุ่งนี้สอนวิธีทำ error ก็แล้วกัน พาร์ท conversation ก็ง่าย ฟ้าครามทำได้ดี แต่ภูผายังใช้ไม่ได้ ผมคงต้องเน้นเรื่องนี้เพิ่มให้เสียแล้ว



พอเห็นสองคนนี้ตั้งใจท่องสูตรที่ผมให้ ความโกรธที่สะสมมาตั้งแต่เช้าก็เริ่มคลายลง ถ้าน้องตั้งใจแบบนี้จนจบวัน ผมจะยอมล้มเลิกแผนยุติการติว และสอนให้จนครบยี่สิบวันก็ได้ ใช่ว่าผมจะเป็นคนใจร้ายใจดำ คนที่สนิทกับผมจริงๆ จะรู้ว่าผมขี้ใจอ่อนแค่ไหน ผมมักจะให้โอกาสคนที่ทำผิดพลาดได้แก้ตัวเสมอ ผมนั่งจิบยาน้ำแก้ไอตราเสือเหยียบกระทิง อมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางขะมักเขม้นของทั้งคู่



“ท่องได้แล้วหรอ?” ผมถามเมื่อฟ้าครามกับภูผาเงยหน้าขึ้น



“จำได้แล้ว แต่ถ้าสอบเขียนพี่ให้ท่อนหน้ามาได้มั้ย แล้วพวกเราจะต่อเอง ”



“ไม่ได้ๆ ถ้าโจทย์เค้าให้ท่อนหลังมาแล้วเราจะเปลี่ยนกลับมาเป็นท่อนหน้าได้ไงถ้าไม่ท่อง ”



“โอ๊ย! เดี๋ยวพอเห็นในโจทย์พวกเราก็ทำได้เองแหละ พี่ทีเข้าใจป่ะว่าท่องได้ แต่จะให้เขียนออกมาเลยบางทีมันนึกออกมาไม่ครบทุกสูตร ”



“ท่องไปเถอะ มันไม่ได้ยากอะไรเลยนะ แค่เจ็ดสูตรเอง สมัยพี่เรียนอยู่ อาจารย์สอบเขียนตั้งสิบห้าสูตร ไม่ขึ้นข้างหน้าให้ด้วย พี่ยังทำได้เลย เราก็มีหนึ่งสมองสองมือเหมือนกับพี่ ทำไมจะท่องไม่ได้ เอ้า ท่องๆ ” ผมดันหนังสือกลับไปตรงหน้าสองแฝดอีกครั้ง



ท่องเถอะ ตั้งใจเรียน เชื่อฟังพี่ แล้วพี่สัญญาว่าจะติว จะสอน จะทุ่มเท จะเดินไปด้วยกันกับพวกนายจนถึงที่สุด และ จะรอดูวันที่พวกนายประสบความสำเร็จ



อย่าทำให้พี่ผิดหวังจากเดิมพันในใจเลย…ภูผา ฟ้าคราม



อย่าให้พี่ต้องกลายเป็นคนใจร้ายเลย…



“โอ๊ย ! ได้แล้วหน่า ไม่ต้องท่องแล้ว ” ฟ้าครามชักสีหน้า



“ใช่ๆ ทำโจทย์เลย ” ภูผาพูดด้วยท่าทางอวดดี ประมาณว่ากูเก่งนักเก่งหนา



“มาเลย เอาโจทย์มาทำเลย พี่จะได้รู้สักทีว่าพวกเราทำได้แล้ว ท่องอะไรกันนักกันหนา” พวกมันมองหน้าผมเหมือนผมเป็นตัวน่ารำคาญ อาการชักสีหน้า และ ใบหน้ามั่นอกมั่นใจของสองคนนี้ทำให้ความอดทนของผมหมดลง



“ ได้!!! อยากทำโจทย์นักก็จะให้ทำ ! ” รอยยิ้มที่มีบนใบหน้าจางหายไป เห็นกูยิ้มๆ แต่เวลากูโกรธขึ้นมาทีอย่าคิดว่าใครจะหยุดกูได้เลย



ผมเปิดหนังสือ เลือกข้อที่ต้องใช้วิธีกลับสูตรจากหลังมาหน้าแล้ววางกระแทกลงบนโต๊ะ พวกมันสองคนมีสีหน้าตกใจ เพราะตั้งแต่เด็กจนโตผมไม่เคยทำสีหน้าท่าทางแบบนี้ให้มันเห็นมาก่อน มันคงคิดว่าผมยิ้มเป็นอย่างเดียว โกรธไม่เป็นสินะ มึงคิดผิดแล้ว ไอ้แฝดนรก!!



“ทำ!! ถ้าพวกมึงทำข้อนี้ไม่ได้ กู-เลิก-สอน ! ” เริ่มขึ้นกูขึ้นมึง ไม่มีพี่มีน้องละทีนี้



พวกมันสองคนก้มหน้ามองโจทย์แล้วนิ่งไป



“ทำดิ ! ทำ! มึงทำกันได้ไม่ใช้หรอ นี่กูเลือกข้อง่ายให้พวกมึงเลยนะ แทนสูตรจบเลย… ทำเซ่! นิ่งทำหอกอะไร !” เป็นความจริงที่ผมบอกว่าเลือกข้อง่ายให้ แต่อย่างที่บอกมันต้องทำย้อนกลับ ในเมื่อมันสองตัวท่องย้อนกลับไปข้างหน้าไม่ได้ แล้วจะทำได้ไง?



มันสองตัวก้มหน้าก้มตาขีดๆ เขียนๆ ผมดูก็รู้ว่าพวกมันทำไม่ได้ แต่ทำเป็นทำได้



ผมกอดอกมองชายหนุ่มร่างสูงสองคนที่นั่งหน้าจ๋อยไม่กล้าสบตาผม เป็นไงคราวนี้ยังจะกล้าอวดดื้อถือดีกับผมต่ออีกมั้ย



ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนออกมาเพื่อระงับอารมณ์โกรธของตัวเองไม่ให้เดือดพล่านมากไปกว่านี้ ตอนนี้ผมมึนหัวตุบๆ รู้สึกตัวลอยๆ แสบคอจนคิดว่าที่ตะคอกไปเมื่อกี้จะทำให้เสมหะออกมาเป็นสีเลือดหรือเปล่า



ไม่ไหวแล้ว พอกันที ผมเหนื่อยไปหมด ทั้งกายทั้งใจ คงถึงเวลาแล้วที่ผมต้องพัก



ผมปิดหนังสือ แล้วลุกขึ้นยืน



“พรุ่งนี้กลับไปเลยนะ พี่ไม่ติวแล้ว …ไม่ต้องกลัวว่าอาแอ๋มจะว่า เดี๋ยวพี่จะโทรไปบอกว่าเพื่อนนัดไปทำงานกลุ่ม เลยไม่ว่างติวแล้ว ” ผมเดินออกไปจากห้อง ตรงไปยังห้องน้ำ อยากจะล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย รู้สึกไม่สบายตัวเอาซะเลย



ผมใช้เวลาล้างหน้าล้างตา บ้วนเสลด อยู่ครู่หนึ่ง พอเดินออกมาภูผา กับ ฟ้าครามก็ยืนทำหน้าจ๋อยรออยู่หน้าห้องน้ำ ในมือถือกระดาษสองแผ่นที่คัดสูตรเสร็จยื่นมาให้ผม



“พี่…ท่องได้แล้ว …ถ้าไม่เชื่อจะให้คัดให้ดูใหม่ก็ได้ ” มันสองคนทำท่าจะลงไปนั่งคัดกับพื้นให้ผมเห็นอีกรอบ แต่ผมไม่สนใจ เดินผ่านสองคนนั้นเข้าไปในห้อง หยิบกระเป๋าเป้ออกมา มันเป็นเป้ที่ผมใช้ตอนไปค่าย ยังไม่ได้เคลียร์ของเอาเสื้อผ้าไปซักเลย ผมเปิดตู้เสื้อผ้ายัดชุดใหม่ลงไปอีกสองสามชุด หยิบกระเป๋าตังค์ มือถือ



“พี่ที…จะไปไหนอ่ะ ” มันถามเสียงแผ่ว หงอกันสุดๆ ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตามันสองคนอีกครั้ง



“ทั้งๆ ที่พี่ตั้งใจทำเพื่อเราขนาดนี้ ทุ่มเทให้ขนาดนี้ ถามหน่อยว่าที่จ้ำจี้จ้ำไชเราสองคนพี่ได้อะไรมั้ย …ก็ไม่ได้…คนที่ได้คือพวกนาย …พี่สอนเราเพราะอยากให้เราสอบติด อยากให้มีอนาคตที่ดี แล้วดูเราทำกับพี่สิ พวกนายตอบแทนพี่ได้เจ็บแสบมาก ขอบใจนะ ” พูดจบผมก็จ้ำไปที่ประตู ก่อนออกไปก็หันไปทิ้งท้ายอีกว่า



“อ้อ คืนนี้ถ้าเมื่อยหลัง ทนนอนพื้นไม่ไหว จะขึ้นมานอนบนเตียงพี่ก็ได้นะ แค่นี้ล่ะ ”



ผมทิ้งสองแฝดที่ยืนก้มหน้านิ่งไว้ในห้อง ออกไปยืนหน้าบ้านรอรถแท็กซี่



“ พี่ที ! เดี๋ยวก่อน ! ครามขอโทษ !”



“พี่ที อย่าไปนะ พวกเราผิดไปแล้ว ! ต่อไปนี้จะเชื่อฟัง ไม่เอาแต่ใจแล้ว!” สองคนนั้นวิ่งออกมาจากบ้าน พยายามจะวิ่งเข้ามารั้งผมไว้



ผมกลัวว่าจะสู้แรงฉุดของสองคนนั้นไม่ไหว เลยตัดสินใจโบกรถสองแถวที่วิ่งมาพอดี กระโดดขึ้นไป ก่อนที่สองคนนั้นจะเข้าถึงตัวผม



ผมไม่รู้ว่าสองคนนั้นกำลังมองตามผมมาด้วยสายตาแบบไหน เพราะไม่คิดจะหันกลับไปมอง หยิบมือถือขึ้นมากดโทรออก สัมผัสเย็นเฉียบจากผิวโลหะทำให้รู้ตัวว่าตอนนี้ผมตัวร้อนแค่ไหน



“…ฮัลโหล …สกายหรอ กูขอไปนอนหอมึงหน่อยนะ ”



หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 17-02-2018 20:22:47

                                                                       ตอนที่4 ผลของการกระทำ






คืนนั้นผมไข้ขึ้นสูงถึง 39.3 องศา ไอ้สกายเพื่อนแสนดีว่าที่บุรุษพยาบาลคอยดูแลเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ผมตลอดทั้งคืนจนอาการทุเลาลงในตอนเช้า เมื่อคืนมือถือผมดังไม่หยุด รำคาญจนต้องปิดทิ้ง



ไอ้สกายอดหลับอดนอนคอยดูแลผมทั้งคืนแต่กลับไม่มีท่าทางเหนื่อยล้าง่วงเหงาหาวนอนเลยสักนิด มันเป็นผู้ชายที่ร่าเริง แข็งแรง กระปรี้กระเปร่าอยู่ตลอดเวลา ผมคิดว่าอดนอนคืนเดียว สำหรับมันคงเป็นเรื่องจิ๊บๆ



หลังจากตื่นขึ้นมากินโจ๊กกับสารพัดยาแล้วผมก็ล้มตัวลงนอนอีกรอบ ไม่นานก็หลับไปอีกเพราะพิษไข้ ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนบ่ายๆ สกายช่วยผมเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า ต้มข้าวต้มโรยหมูหย็องให้กิน แม้ผมจะเจ็บคอจนไม่อยากกลืนอะไรทั้งนั้น แต่เพราะเห็นแก่น้ำใจของเพื่อนที่อุตส่าห์ทำมาให้ ผมเลยกินไปครึ่งชาม



ไอ้สกายผู้หวังดีกับเพื่อนตลอด เห็นผมนอนไม่หลับเพราะนอนมาหลายชั่วโมง เลยหยิบกีตาร์เก่าๆ ตัวหนึ่งที่ผมจำได้ว่ามันใช้เล่นตอนขึ้นประกวดเดือนมหา’ ลัย เมื่อปีที่แล้วขึ้นมาจะร้องเพลงกล่อมผม ถ้ามันเป็นผู้หญิง ผมคงหลงมันหัวปักหัวปำ ขอมันแต่งงานไปแล้วล่ะ



“เอาเพลงไรดี รีเควสต์มาได้เลยครับพ้ม” มันส่งยิ้มสว่างไสวมาให้ผม เวลาอยู่กับมัน ผมรู้สึกสบายใจจริงๆ



“เล่นเป็นอยู่เพลงเดียวยังจะกล้าให้กูรีเควสต์อีกนะ ฮะๆ ” ไอ้สกายทำหน้างอ ผมอดหัวเราะไม่ได้ ก็มันจริงนี่หว่า สกายมันไม่มีความสามารถพิเศษอะไรจะขึ้นไปโชว์เลยนอกจากหนังหน้า พวกรุ่นพี่คณะมันก็เลยหาคนมาสอนมันเล่นกีตาร์ สอนเท่าไหร่ก็เล่นไม่ได้ สุดท้ายพี่แกเลยให้มันจำมือเอา ไม่ต้องเข้าใจคอร์ดอะไรทั้งนั้น ฝึกกันอยู่นานเป็นเดือนกว่าจะเล่นได้…ตั้งเพลงนึง =_=



“มั่ว …ได้สองเพลงแล้วเหอะ ส่งต่อความรัก (pass the love forward) กับ หน้าจริง”



“อ้อใช่ๆ กูลืมไป งั้นเอาเพลงแรกละกัน กูชอบฟังว่ะ ปีที่แล้วกูฟังมึงร้องแล้วขนลุกเลย” ลืมไป เพลงหน้าจริงมันใช้ตอนประกวดดาวเดือน จากนั้นมันก็ได้เป็นแอมบาสซาเดอร์ของคณะ ก็เลยต้องฝึกเพลงส่งต่อความรักเพิ่มอีกเพลง



สกายวางมือลงบนสายกีตาร์ ยิ้มให้ผม



“เพลงที่เธอกำลังได้ยินอยู่ โปรดฟังดูให้ดี

และเมื่อไรที่พบใครเศร้าใจอยู่

ฝากเพลงนี้ให้เขาฟัง … สักที ……….”





ผมหลับตาลง สกายร้องเพลงนี้ซ้ำไปซ้ำมาด้วยเสียงนุ่มหู ไม่รู้เหมือนกันว่าผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าผมคงจะฝันดี หลังผ่านคืนวันอันแสนเหน็ดเหนื่อยกับเจ้าแฝดมหาประลัยไทรโยคนั่นมา



หลังจากได้พักผ่อนหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ผมก็หายดี บอกแล้วว่าผมน่ะฟื้นตัวเร็ว ห้องไอ้สกายมีแต่พัดลม ช่างเหมาะกับการเป็นหลุมหลบภัยชั่วคราวของผมจริงๆ



ถึงจะหายแล้ว แต่ผมก็ยังอยู่กับมันต่อ ไม่อยากกลับบ้าน กลัวไอ้แฝดมาตื๊อขอโทษ กลัวโดนพ่อกับแม่ว่าที่เลิกสอนน้องกลางคัน แต่ในที่สุดผมก็ตัดสินใจที่จะโทรไปหาอาแอ๋มตามที่สัญญากับไอ้แฝดมันไว้ว่าจะไม่ให้มันโดนแม่ด่า เบื่อตัวเองเหมือนกัน ขนาดโกรธมันอยู่ผมยังอุตส่าห์ห่วงว่ามันจะโดนด่า ทำไมกูต้องขี้ใจอ่อนแบบนี้ด้วย เฮ้อ



“ฮัลโหล อาแอ๋มหรอครับ ทีเองนะ …ขอโทษนะครับที่ให้น้องกลับบ้านไปทั้งที่เพิ่งจะมาติวได้ไม่กี่วัน พอดีเพื่อนโทรมาตามให้ไปช่วยทำงานกลุ่มตอนซัมเมอร์น่ะครับ ขอโทษจริงๆ นะครับ เดี๋ยวทีจะซีร็อกซ์สรุปเนื้อหาฝากไอ้ทามไปให้นะครับ”



‘… ทีไม่ต้องขอโทษน้าหรอก อารู้ดีว่าลูกอามันเป็นคนยังไง ทีทนน้องไม่ไหวใช่มั้ยลูก อาขอโทษนะ น้องคงจะดื้อกับเรามากเลยล่ะสิ อาผิดเองที่เลี้ยงมันมาแบบตามใจมากเกินไปจนกลายเป็นแบบนี้’ ผมตกใจ ไม่คิดว่าอาแอ๋มจะรู้ว่าผมโกหก แต่ก็ดีที่เธอยอมเข้าใจ แสดงว่าเธอคงคาดไว้แล้วว่าอาจเป็นอย่างนี้



“ก็ใครจะไปทนนิสัยมันสองคนไหวล่ะครับ พวกมันน่ะ บลาๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ” ไหนๆ ก็รู้แล้ว งั้นกูฟ้องเลยละกัน ขอระบายหน่อยเหอะ ไม่ไหวแล้วโว้ย อกอีแป้นจะแตก ผมเล่าเรื่องตั้งแต่วันแรกยันวันสุดท้ายให้อาแอ๋มฟัง ละเอียดชัดเจนไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่ฉากเดียว อาแอ๋มฟังแล้วก็ผสมโรง ช่วยผมด่าพวกไอ้แฝดไม่หยุด ผมสะใจสุดๆ รู้งี้โทรมาฟ้องอาแอ๋มซะแต่แรกก็ดีหรอก!



‘เนี่ยรู้มั้ย ก่อนอาจะส่งมันไปอยู่กับทีนะ อาสั่งให้มันอ่านมันติว มันก็ทำอิดออดต่อรองจะเอานั่นเอานี่ พอไปตื๊อให้มันอ่านหนังสือมากๆ เข้า มันก็ชักสีหน้าใส่น้า โดยเฉพาะไอ้เจ้าฟ้าครามนะ ตัวดีเลย ไม่ใช่แค่ชอบชักสีหน้านะ ปากเสียด้วย อาจะด่ามันเหมือนที่เคยทำก็ไม่ได้ เดี๋ยวมันเครียด พาลไม่ยอมไปสอบล่ะยุ่งเลย หน็อย สอบเสร็จก่อนเถอะ จะให้มันอดข้าวลงโทษซะให้เข็ด ทำตัวชั่วดีนัก เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ!’ …เอ่อ ดูท่าอาแอ๋มจะเคียดแค้นลูกตัวเองมากกว่าผมซะอีกนะ -_-;;



“อ้าว ผมนึกว่ามันไม่ฟังแค่ผมซะอีก นี่มันก็ไม่ฟังอาเหมือนกันหรอ?”



‘โอ๊ย! มันไม่ฟังใครหรอกที ขนาดอาเป็นแม่แท้ๆ บางทีมันยังไม่ยอมฟังเลย อาถึงไม่แปลกใจไงที่ทีส่งมันกลับมา …. แต่ไม่รู้เป็นอะไร ตั้งแต่กลับมาเจ้าแฝดมันก็ซึมไปเลย ปกติต้องทำเสียงดังลั่นบ้านแท้ๆ มันคงซึมที่โดนเราด่ามาล่ะมั้ง ดี สมน้ำหน้า โดนซะมั่งจะได้เข็ด’ อาแอ๋มดูสะใจที่ผมช่วยดัดนิสัยลูกของเธอ …แต่ไม่รู้ทำไม จู่ๆ ผมก็รู้สึกเป็นห่วงพวกมันขึ้นมาอีก



“อาแอ๋มครับ อย่างงี้ถ้าน้องสอบไม่ติดจะทำยังไง จะให้ซิ่วหรอ”



‘ไม่ให้ซิ่วหรอก เสียเวลา ถ้าไม่ติดอาจะส่งมันไปเรียนเทคนิคแล้ว พอกันที เอือมระอา’



“ไม่ได้นะครับ! มันอันตรายนะอาแอ๋ม” ประเดี๋ยวจะได้กลายเป็นผีแฝดเฝ้าโรงเรียนก่อนจะเรียนจบน่ะสิ ไม่อยากจะคิด คงเฮี้ยนน่าดู =_=;;;



‘ขนาดมันยังไม่ห่วงตัวเองเลย แล้วทีจะห่วงมันไปทำไมอีก อาเองยังเอือมระอาเลย หรือไม่อีกที อาอาจจะให้มันเรียนบริหารไป’



ผมคุยกับอาแอ๋มอีกสักพักก็วางสาย ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่



คนอย่างผม … ไม่เคยให้โอกาสใครเป็นครั้งที่สาม



“…ช่างมันเถอะ…มันจะเป็นตายร้ายดียังไง….ก็เรื่องของมัน…”









ฝั่งภูผา ฟ้าคราม เมื่อโดนผัว เอ๊ย! พี่ไล่กลับบ้านแล้ว ก็ได้แต่ซึมไปตามๆ กัน ทั้งสองช่วยกันเคลียร์ข้าวของออกจากกระเป๋าเดินทางที่แพ็คไปนอนค้างบ้านที



ภูผารูดซิปหน้าเพื่อหยิบบรรดาที่ชาร์จแบตทั้งหลายออกมา ขณะที่ล้วงมือกวาดตรวจทานอีกรอบว่ายังหลงเหลืออะไรอยู่อีกมั้ย ก็สัมผัสเข้ากับซองอะไรสักอย่าง ภูผาหยิบสิ่งนั้นออกมา



…ซองจดหมาย…



สองแฝดมองหน้ากันอย่างมีความหวัง บางทีพี่เขาอาจจะเขียนข้อความอะไรประมาณว่ายกโทษให้แล้วก็ได้ ภูผา ฟ้าครามพากันคิดเข้าข้างตัวเอง



“มึงเปิดเร็วๆ ซิ!” ฟ้าครามเร่ง ภูผาค่อยๆ แงะแถบกาวออก แล้วก็พบกับ….!



…เงินสองพัน



ยิ่งเห็นธนบัตรสองใบนี้ ทั้งสองยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่ เห็นนิ่งๆ ยิ้มๆ แบบนั้น ไม่คิดเลยว่าจะโมโหได้น่ากลัว และ เอาคืนด้วยวิธีเรียบง่าย แต่เจ็บแสบได้ขนาดนี้ ทั้งเรื่องอนุญาตให้นอนเตียง และ เรื่องคืนเงินกลับมา … เป็นการแก้แค้นอย่างคนมีสมอง เพียงแค่นี้ สองแฝดก็รู้สึกผิดจนแทบจะคว้านท้องใช้โทษให้แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าแค่โดนด่าไม่กี่ประโยค สองแฝดเจ็บยิ่งกว่าโดนแม่ด่าสามวันสามคืนเสียอีก



พวกเขาจะจำไว้จนวันตายเลยว่าคนเงียบๆ ยิ้มๆ แบบนี้เป็นบุคคลที่อันตรายยิ่งกว่าพวกเอะอะโวยวายเสียอีก แค่ทีหุบยิ้ม มองมาที่พวกเขานิ่งๆ ภูผา กับ ฟ้าครามก็แทบแข็งเป็นหินแล้ว



สองแฝดเข้าใจความหมายโดยนัยที่แฝงมากับคำพูดของที



“อ้อ คืนนี้ถ้าเมื่อยหลัง ทนนอนพื้นไม่ไหว จะขึ้นมานอนบนเตียงพี่ก็ได้นะ แค่นี้ล่ะ”



ประโยคนี้แฝงคำด่าพวกเขาอย่างแยบคายว่า ฉันทนนิสัยพวกแกไม่ไหวแล้ว เรื่องมาก กินอยู่ยากกันเหลือเกิน !



ส่วนเงินที่คืนกลับมาหมายความว่า ฉันไม่ติวให้แล้วโว้ย เอาเงินพวกมึงคืนไป พวกมึงขึ้นครูกูได้ กูก็ปีนลงมาเองได้เหมือนกัน !



ภูผาและฟ้าครามนั่งไหล่ตกซึมกะทือกันไปพักใหญ่ ในที่สุดภูผาก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับฟ้าครามโดยไม่ได้นัดหมาย



“ไอ้ภูผา!”



“ไอ้ฟ้าคราม!”



ทั้งสองประสานมือสูงระดับอก มองตากันอย่างจริงจัง แล้วพยักหน้า



เพื่อเป็นการไถ่โทษ พวกเขาจะต้องสอบ wc ให้ติด แล้วไปขอให้พี่ทียอมยกโทษให้ได้!!!



นับตั้งแต่วันนั้น ภูผากับฟ้าครามก็ตั้งใจอ่านหนังสือกันเป็นบ้าเป็นหลัง รบเร้าขอให้แม่จ้างครูพิเศษมาติวเพิ่มให้ที่บ้าน น่าแปลกที่คราวนี้ครูพิเศษไม่ลาออกไปเหมือนเคย แถมยังเอ่ยชมให้แม่ของสองแฝดฟังไม่หยุดปากว่าสองแฝดน่ารักมาก ว่านอนสอนง่าย หัวไวดีเหลือเกิน



ผนังห้องนอนของทั้งคู่เต็มไปด้วยคำศัพท์ และ สูตรฟิสิกส์มากมายไม่เว้นแม้แต่บนโต๊ะกินข้าว พ่อแม่และพี่ชายคนโตมองสองแฝดอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ภูผาและฟ้าครามนั่งตรงข้าม ผลัดกันถามสูตรถามศัพท์กัน ถ้าตอบได้ถึงจะตักข้าวกินได้หนึ่งคำ นอกจากนี้ยังอ่านหนังสือ ฝึกทำโจทย์กันดึกดื่นทุกวัน จนพื้นห้องเต็มไปด้วยกระดาษทด อาแอ๋มปลาบปลื้มพฤติกรรมในช่วงนี้ของสองแฝดมากจนต้องโทรมาเล่าให้ทีที่กลับมาอยู่ที่บ้านแล้วฟัง แถมยังมิวายขอบคุณแล้วขอบคุณอีกจนทีชักจะเขิน เพราะ ทีรู้สึกว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเลยสักหน่อย



หึ…ถ้าจะทำ ก็ทำได้หนิ .. ทีคิดในใจ



ยี่สิบวันผ่านไปไวเหมือนโกหก สองแฝดเดินเข้าห้องสอบอย่างองอาจ และ กลับออกมาด้วยสีหน้ามั่นใจเต็มร้อย ทีปลอมตัวมาแอบดูทั้งคู่ ทั้งๆ ที่คิดว่าจะไม่สนใจแล้วนะ แต่ก็อดจะเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี พอเห็นทั้งสองคนออกมาจากห้องสอบ แล้วเดินยิ้มเข้าไปคุยโวกับอาแอ๋มเป็นตุเป็นตะว่าโจทย์ง่าย หลับตายังทำถูก นี่ใช่ข้อสอบเข้ามหา’ ลัยแน่หรอ นึกว่าข้อสอบม.ต้น



ได้ยินได้เห็นอย่างนั้นทีก็รู้สึกสบายใจ จึงกลับบ้านไปรอดูประกาศผลสอบอย่างเป็นทางการของทั้งคู่ในอีกอาทิตย์ข้างหน้า



ก็บอกแล้วว่าข้อสอบของ wc มันไม่ยากมาก ถ้าตั้งใจจริงๆ ก็ทำได้… ทีส่ายหัวแล้วยิ้มบางๆ สงสัยต้องเตรียมตัวพาไปเลี้ยงแสดงความยินดีแล้วสิเนี่ย













‘… เจ้าแฝดสอบไม่ติด’





“ฮ๊า!? ว่าไงนะครับอาแอ๋ม ก็ไหนอาเล่าว่าน้องทำได้ทั้งคู่เลยไง … มหา’ ลัยตรวจข้อสอบผิดแน่ๆ ผมจะไปทำเรื่องขอตรวจกระดาษคำตอบให้!”



‘อาไปทำเรื่องขอดูกระดาษคำตอบมาแล้ว มหา’ ลัยไม่ได้ตรวจผิดหรอก … ไอ้ลูกโง่ของอามันโง่เอง!! เจ้าภูผาการันข้อ ส่วนเจ้าฟ้าครามขาดอีกสองคะแนนก็จะติดแล้วเชียว อาโกรธจนแทบจะพ่นไฟได้อยู่แล้ว!’



“….. แล้วตอนนี้…น้องเป็นยังไงบ้างอ่ะครับ”



หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 17-02-2018 20:23:57

                                                              ตอนที่ 5 การต่อสู้ของจิตใจ




วันที่สงบสุขของผมกลับคืนมาแล้ว



ผมนอนมองเพดานว่างเปล่าที่มีร่องรอยของการฉาบปูนไม่เรียบ หลายครั้งก็จินตนาการร่องรอยเหล่านั้นเป็นภาพต่างๆ มองเป็นรูปจระเข้บ้างล่ะ ผืนนาบ้างล่ะ นี่เป็นครั้งที่ร้อยกว่าเข้าไปแล้วมั้งที่ผมคิดอยากจะทำอะไรสักอย่างกับเจ้าเพดานว่างเปล่านี้ เพ้นท์เป็นรูปปลาวาฬดีไหม ไหนๆ ห้องก็ทาสีเทอร์ควอยซ์อยู่แล้ว จริงสิ ถ้าจะเพ้นท์ ผมเพ้นท์ฝูงปลาเข้าไปด้วยดีกว่า วาดให้รอบห้องเลย คงรู้สึกเหมือนนอนอยู่ใต้น้ำ ผมคิดเรื่อยเปื่อย แต่ก็รู้ดีว่าตนเองขี้เกียจเกินกว่าจะลงมือทำ ความคิดจึงเป็นได้เพียงความคิดเท่านั้น



“พี่ที ช่วยทามทำการบ้านหน่อยดิ” เสียงแจ๋วๆ ของน้องสาวดังขึ้นพร้อมเสียงก๊อกแก๊กที่ประตู น้องสาวผมไม่ชอบเคาะประตูก่อนเข้าห้องคนอื่น พ่อแม่ก็ด้วย ผมเลยมักจะล็อกประตูห้องเสมอ ไม่ใช่ว่ารังเกียจหรือปิดกั้นคนในครอบครัว แต่ผมต้องการความเป็นส่วนตัว และ อีกเหตุผลคือ ท่านอนอ่านการ์ตูนของผมมันค่อนข้างอุบาทว์ ผมไม่อยากให้ใครมาเห็น = =



ก๊อกๆ ๆ ๆ



“ตัวเองงง เปิดประตูหน่อย”



“งานของตัวเองก็ทำเองสิ” ผมตอบกลับไป



“นี่วิชาศิลปะอ่า ช่วยทำหน่อย นะๆ ๆ ๆ ”



สุดท้ายผมก็ต้องไปเปิดประตูเพราะทนลูกตื๊อน้องสาวไม่ไหว มันทรุดตัวลงนั่งตรงโต๊ะญี่ปุ่น ผมเดินไปหยิบเบาะรองนั่งจากเก้าอี้หน้าคอมโยนใส่หัวมัน ส่วนตัวเองยอมนั่งพื้นแข็งๆ แทน



เราพี่น้องนั่งทำงานไปคุยกันไปอย่างสนุกสนาน คุยกันเรื่องการ์ตูน อนิเมะออกใหม่ เรื่องเพื่อนที่โรงเรียนไอ้ทามท้อง เรื่องไอ้โซลโดนหลอกว่าไปเมาปล้ำผู้ชาย เรื่องประกวดดาวเดือนของมหา’ ลัยครั้งล่าสุด และอีกเยอะแยะมากมาย ผมกับน้องสาวห่างกันสี่ปี แต่เราสนิทกันมากๆ คุยกันได้แทบทุกเรื่องไม่เว้นแม้แต่เรื่องใต้เข็มขัด



มีอยู่ครั้งหนึ่ง ไอ้ทามเกิดอยากทาสีห้องใหม่ เพราะ ห้องสีครีมที่ทามาตั้งแต่เมื่อครั้งพ่อผมยังเด็กมันเริ่มกระดำกระด่างแล้ว พ่อกับแม่เลยจ้างช่างมาทาสีห้องให้มันเป็นของขวัญวันเกิด ทามเลยต้องมานอนกับผม



ตอนนั้นผมกับทามยังไม่ได้ตัวใหญ่เท่าวันนี้ เราเลยนอนรวมกันบนเตียงของผม แต่เช้าวันต่อมา ผมกลับไม่เห็นน้องสาวนอนอยู่ข้างๆ แล้ว



บางทีมันอาจจะเบียด เลยไปขอนอนกับพ่อแม่แล้วมั้ง ผมคิดแล้วหลับต่อ



วันนั้นทั้งวัน ไอ้ทามไม่มองหน้าผม แถมยังทำตัวหลุกหลิกแปลกๆ จะคุยกับผมก็อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่รู้มันเป็นอะไรของมัน



ในที่สุด ไอ้ทามก็ทนอึดอัดไม่ไหว มันทนไม่คุยกับผมไม่ได้เพราะโดยนิสัยไอ้ทามมันเกิดมาเพื่อคุยแท้ๆ และคนที่มันคุยถูกคอที่สุดก็คือผม มันเล่าให้ฟังว่า ตอนตีสองตีสามมันนอนๆ อยู่ก็รู้สึกเหมือนเตียงขย่มๆ เลยตื่น แล้วเห็นผมนอนล้วงมือเข้าไปในกางเกงบอล ทำเสียงอือๆ อาๆ มันก็แบบ ช็อก ! รีบเผ่นออกมาเลย



พอฟังจบ ผมทั้งงง ทั้งอาย ทั้งไม่อยากจะเชื่อ กูเนี่ยนะจะว่าวตอนน้องสาวมานอนด้วย ตอนนั้นได้แต่เถียงหัวชนฝาหาว่ามันแต่งเรื่องมาแกล้งผม แต่อีกใจผมก็ชักไม่มั่นใจว่าตัวเองทำอะไรแบบนั้นตอนหลับไปจริงๆ หรือเปล่า เพราะ ตอนไปค่ายลูกเสือเพื่อนก็เคยบอกว่าผมนอนละเมอคุยกับใครไม่รู้เหมือนกัน มันบอกว่าผมพูดว่า ‘อืมๆ ครับๆ ได้ครับ ….อ๋อ …จริงหรอครับ’ เพื่อนเกือบทั้งห้องที่นอนรวมกันในห้องนอนรวมไม่มีใครนอนหลับอีกเลยเมื่อได้ยินเสียงผมที่ชิงหลับก่อนใครละเมอแบบนั้น = =



หลังจากนั้นผมก็หลีกเลี่ยงไม่นอนร่วมกับใครถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เพราะกลัวจะไปละเมอทำอะไรแปลกๆ อีก จนทุกวันนี้ผมก็ยังกังขาตัวเองอยู่ว่า ผมนอนละเมอจริงหรือเปล่า ทำไมผมไม่เห็นรู้ตัวอะไรเลยวะ



แต่เรื่องเจ้าแฝดคงเป็นกรณียกเว้น เพราะ ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องนอนกับพวกมันอยู่ดี ก็บ้านผมมีห้องผมห้องเดียวที่กว้างพอจะรับรองแขกได้ และก็อย่างที่บอกว่าผมไม่ชอบนอนบ้านคนอื่นยิ่งกว่าการนอนร่วมห้องกับคนอื่นเสียอีก ผมเลยไม่ไปนอนบ้านไอ้แฝด แม้บ้านสองคนนั้นจะมีห้องนอนแขกก็เถอะ ผมยอมละเมอชักว่าวให้พวกมันดูยังจะดีเสียกว่าต้องไปนอนที่ที่ไม่ใช่บ้านของผม



แย่ล่ะ…..ผมเผลอคิดถึงเรื่องสองคนนั้นอีกแล้ว



“พี่ที ห้องพี่ทีกลิ่นแปลกไปป่ะ….นิดนึงอ่ะ” ยัยน้องสาวจอมจุ้นทำจมูกฟุดฟิด



“กลิ่น? กลิ่นอะไร เหม็นหรือหอม พี่ไม่เห็นรู้สึกเลย” ผมขมวดคิ้ว ลองดมดู … ก็ปกติดี



“พี่เดินออกไปนอกห้อง นับหนึ่งถึงสิบแล้วเข้ามาใหม่ดิ”



ผมทำตาม พอเปิดประตูเข้ามาอีกที ถึงรู้สึกว่าห้องผมมีกลิ่นแปลกไปจริงๆ จากที่เคยมีกลิ่นหอมเย็นจางๆ แต่มันเหมือนมีกลิ่นหอมละมุนบางเบาสอดประสานอยู่ด้วย



… กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ไม่ใช่ของผม กลิ่นแป้งที่ไม่ใช่ของผม กลิ่น ที่ผมรู้ดีว่าเป็นกลิ่นประจำที่คนบ้านนั้นชอบใช้ … กลิ่นของภูผา ฟ้าคราม ที่แม้จะผ่านไปสามอาทิตย์แล้ว แต่ก็ยังคงหลงเหลือกลิ่นอายจางๆ ในห้องที่ปิดทึบ ไม่เปิดแม้กระทั่งหน้าต่างอย่างห้องผม



ผมจำกลิ่นนี้ได้ เพราะตอนเด็กๆ เคยไปค้างบ้านนั้น เสื้อผ้าทั้งหมดถูกนำไปซักรีดอย่างดี และใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นเดียวกับพวกเขา



“ได้กลิ่นป่ะพี่… อ๋อ! นั่นไง กลิ่นผ้าห่มพี่แฝดป๊ะ” ทามชี้ไปที่ผ้านวมสีน้ำตาลใต้เตียงผม สงสัยสองคนนั้นจะลืมไว้



“อืม” หลังจากนั้นทามก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น ผมเหลือบมองผ้านวมผืนนั้น แล้วสลัดมันออกไปจากหัว ไว้ถึงวันไหว้บรรพบุรุษคราวหน้าค่อยคืนให้ก็ได้



พอทามออกไป ห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ผมเดินไปล็อกประตู เปิดตู้ค้นการ์ตูนมานอนอ่าน แต่กลับอ่านไม่รู้เรื่อง อ่านสลับช่องมั่วซั่วไปหมด เหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เลยตัดสินใจเลิกอ่าน นอนมองเพดานเฉยๆ



นี่ไง … สิ่งที่ผมต้องการ… ความเป็นส่วนตัว… เป็นเอกเทศ … ไม่ต้องคอยดูแลใคร ไม่ต้องมานั่งเหนื่อยใจ ไม่ต้องทำอะไรเพื่อคนอื่น ไม่ต้องแสร้งยิ้ม ไม่ต้องแสร้งเป็นคนดี ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น



ผมหยิบหมอนขึ้นมาปิดหน้า ไม่อยากเห็นอะไรแล้ว ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น แต่พอหยิบหมอนขึ้นมา ผมก็นึกถึงตอนที่ภูผา กับ ฟ้าครามนอนหนุนหมอนคนละสามใบ…..



….หึ ….แปลกคนชะมัด …. ผมอดที่จะยิ้มมุมปาก ส่ายหัวเบาๆ ไม่ได้



พอกลับมาลองคิดดูดีๆแล้ว ผมก็มีส่วนผิดเหมือนกันที่อาจจะเข้มงวดกับน้องมากเกินไป คนเราแต่ละคนมีลิมิตไม่เหมือนกัน ผมจะยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางไม่ได้ ในความคิดผม ผมอาจจะคิดว่ามันไม่หนัก แต่ผมอาจลืมนึกไป ว่าต้นทุนความรู้ ความอดทน ของคนเรามันมีมาไม่เท่ากัน



ส่วนเรื่องที่น้องเรื่องมาก นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่เอา ชอบเปิดแอร์สิ้นเปลือง ต้องกินน้ำเย็นจัดๆ ไม่ยอมอาบน้ำแท็งค์ ก่อนนอนต้องกินนมอุ่นๆ ชอบเลือกนอนที่นุ่มๆ ก็ไม่ใช่ความผิดน้องทั้งหมด มันเกิดจากความเคยชินที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบนั้นตั้งแต่เด็กด้วย



แต่คนเรา อายุตั้งสิบแปดปีเข้าไปแล้ว ก็ต้องรู้จักหัดปรับตัวไม่ใช่หรือไง มันควรจะสำนึกบ้างว่ามาอยู่บ้านคนอื่นควรจะทำตัวแบบไหน ต่อให้เป็นญาติกันก็เถอะ แต่ก็ต้องมีความเกรงอกเกรงใจกันบ้าง มีที่ไหน ให้นอนพื้นก็บ่นๆ ๆ น้ำไม่เย็นก็ไม่กิน ให้ท่องสูตรก็ชักสีหน้า บ่นทุกอย่างเกี่ยวกับบ้านให้ผมฟังอย่างไม่ไว้หน้า ตั้งแต่เกิดมาผมก็เพิ่งเคยเจอแขกแบบนี้นี่แหละ



ขนาดคุณชายตระกูลใหญ่อย่างไอ้โซลไอ้แท็คเพื่อนผมมันยังนอนพื้นกันได้ อาบน้ำแท็งค์ได้ กินน้ำเปล่าไม่ใส่น้ำแข็งได้ และไม่ปริปากบ่นอะไรให้ผมหน้าเสียสักนิด แล้วพวกมันเป็นญาติ แถมยังมีศักดิ์เป็นน้องผมอีกต่างหาก ควรแล้วหรือที่จะติติงบ้านของคนที่มีสายเลือดเดียวกับตัวเอง บางทีผมก็อดรู้สึกหมั่นไส้พวกมันไม่ได้ที่ทำตัวคุณหนูกันซะเหลือเกิน อีกใจก็อายบ้านตัวเองที่แม้จะไม่ถึงกับซอมซ่อ แต่ก็เก่าซีดไปตามเวลา พวกมันไม่ควรทำให้เจ้าบ้านรู้สึกแบบนี้ ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่ก็ตาม



เรื่องเรียนก็เหมือนกัน ต้นทุนมาไม่เท่ากันแล้วยังไง ห้าวันนั้นผมก็กำลังปูพื้นฐานเพื่อให้ไม่ใช่หรอ แล้วเวลาก็เหลืออีกแค่ยี่สิบกว่าวัน จะให้มาค่อยๆ สอน เรียนไปพักไปได้ไง ที่ต้องเร่งสอนก็เพราะต้องการให้เก็บเนื้อหาทันสอบไม่ใช่หรอ ถ้ายี่สิบวันยังทนไม่ได้ ก็ไม่มีคุณสมบัติจะเรียนมหา’ ลัยแล้ว ดูซิ ทั้งๆ ที่หวังดีคอยจ้ำจี้จ้ำไช เหนื่อยแค่ไหนก็ฝืนทนยิ้มเหมือนเป็นเรื่องสบายๆ ยังจะมาทำตัวแบบนี้ใส่ผมอีก … กูนี่ทำดีกับคนไม่ขึ้นเลยจริงๆ ว่ะ



สมน้ำหน้า อยากหัวเราะให้ฟันร่วง สะใจ…สะใจชะมัด



แล้วผมก็ต้องมานั่งเสียใจ พ่อแม่จะต้องผิดหวังแน่ๆ ถ้าหากรู้ว่ามีลูกชายหน้าซื่อใจคดแบบผม ผมเกลียดตัวเองที่ชอบคิดอะไรชั่วๆ อย่างเช่น ชอบสมน้ำหน้าคนอื่น สะใจเมื่อเห็นคนอื่นเป็นทุกข์ มีความสุขเมื่อตัวเองเหนือกว่าคนอื่น อิจฉาเมื่อเห็นคนอื่นดีกว่าตัวเอง หรือแม้แต่ตอนที่อากงเป็นอัมพาตแวบหนึ่งผมก็เคยคิดอยากให้ท่านตายๆ ไปซะ เปลืองค่ารักษา เป็นภาระต้องมาคอยดูแลเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวป้อนข้าวป้อนน้ำ เพราะไม่มีเงินพอจะให้นอนโรงพยาบาลต่อเลยต้องรับกลับมาดูแลกันเองที่บ้าน จำได้ว่าตอนนั้นพ่อแม่เสียเงินค่ารักษาพยาบาลไปเยอะมากจนต้องไปถอนเงินจากธนาคารมาจ่ายค่ารักษา ท่านสองคนปรึกษากันเรื่องค่าใช้จ่ายอย่างเเสนเป็นทุกข์ ช่วงนั้นอาเเอ๋มทะเลาะกับสามีเลยยื่นมือมาช่วยเรื่องเงินไม่ได้เพราะสามีเป็นผู้ถือเงิน ผมสงสารพ่อเเม่จับใจ รู้สึกเหมือนอากงกำลังสูบชีวิตพ่อเเม่ผมมาต่อชีวิตตัวเอง



แล้วผมก็ต้องมานั่งเสียใจอีกที่รู้ว่าตัวเองคิดแบบนี้ อากงรักผมมาก ไม่ว่าผมจะอยากได้อะไรก็ไม่เคยขัด กุลีกุจอสรรหามาให้เสมอ สอนผมท่องสูตรคูณ มีพระคุณกับผมมากจนบรรยายไม่หมด เเต่ยามเมื่อท่านล้มป่วยผมกลับคิดเเบบนี้ ผมเสียใจ ผมเกลียดตัวเองที่เผลอไปคิดเเบบนั้น จนอยากจะตายไปซะให้รู้เเล้วรู้รอด ผมไม่ได้อยากคิดอย่างนั้น! แต่มันหยุดตัวเองไม่ได้จริงๆ ผมมักจะทรมานกับความขัดแย้งสับสนในตัวเองอยู่เสมอ ภายใต้รอยยิ้มของผม จะมีใครรู้บ้างว่าสีขาวและดำมันต่อสู้กันรุนแรงเพียงใด



แต่ไม่ใช่ว่าผมจะคิดแต่เรื่องชั่วๆ เสียทีเดียว ผมก็คิดเรื่องดีๆ เป็นเหมือนกัน ผมรักพ่อแม่ ผมรักน้องสาว เวลาผมจะทำอะไรผมก็จะนึกถึงพ่อแม่เสมอว่าหากผมทำสิ่งนี้ท่านจะดีใจมั้ย จะต้องไม่ทำสิ่งนั้นเพราะจะทำให้พวกท่านผิดหวัง ผมจะต้องเป็นลูกที่ดี เป็นพี่ชายที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นผู้ชายที่อบอุ่น เป็นที่พึ่งให้กับทุกคนได้ เป็นลูกที่พ่อแม่สามารถเอาไปอวดใครต่อใครได้อย่างภาคภูมิใจ จะต้องเรียนให้เก่ง ต้องหางานดีๆ เงินเยอะๆ ทำให้ได้ จะต้องเลี้ยงพ่อแม่ให้สุขสบาย จะส่งน้องสาวเรียนให้สูงๆ



แล้วผมก็กดดันตัวเองไปโดยไม่รู้ตัว … รู้สึกตัวอีกที ตัวตนจริงๆ ของผมก็หายไปแล้ว



ผมไม่รู้ ว่าทีคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ คือ ' ที ' ที่เป็น ' ที ' จริงๆ หรือเปล่า



ผมเกลียดตัวเองที่เป็นคนดีได้แค่เพียงเปลือกนอก แต่อย่างน้อยผมก็ยังภูมิใจ ที่ไม่ปล่อยตัวเองให้ทำตามความคิดชั่วๆ เหล่านั้น



ผมหวังว่าสักวัน เวลาจะเปลี่ยนแปลง ‘ผม’ ให้เป็น ‘ผม’ ที่ดีขึ้นกว่า ‘ผม’ ในวันนี้



ผมอยากจะเป็นคนดี….ที่มีความสุข ….จากใจจริงๆ ….สักวันหนึ่ง









ผมนั่งมองอาแอ๋ม และคนใช้ช่วยกันปูที่นอนให้ภูผา กับ ฟ้าครามอยู่บนพื้น แล้วถามตัวเองเป็นครั้งที่สิบเจ็ดว่าผมทำถูกต้องแล้วใช่หรือเปล่า



ทำถูกแล้วใช่มั้ย ที่แหกกฎของตัวเอง … ให้โอกาสคนอื่น…..เป็นครั้งที่สาม











หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 17-02-2018 20:25:22
                                                       ตอนที่ 6 เปิดใจให้กันสักหน่อยไหม




ไม่มีคำขอโทษใดๆ หลุดออกมาจากปากสองคนนั้น ผมนอนอ่านทบทวนเนื้อหาม.ปลายเงียบๆ อยู่บนเตียง อาแอ๋มและสาวใช้กำลังช่วยกันทำความสะอาดห้อง จัดที่หลับที่นอนให้ภูผา ฟ้าคราม



ผมรู้ว่าสองคนนั้นคงทำตัวไม่ถูก บอกตามตรงผมเองก็เช่นกัน ไม่คิดว่าห่างกันไปแค่สามสัปดาห์ การเจอหน้ากันจะทำให้ผมรู้สึกประดักประเดิดถึงเพียงนี้ แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกดีเมื่อไม่เห็นท่าทางเศร้าสร้อยเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก ไม่ยอมกินข้าวกินปลา ตามที่อาแอ๋มเล่าให้ฟัง ใบหน้าขาวสะอาด รับกับคิ้วสีดำเข้มและดวงตาคมๆ นั้นฉายประกายแห่งความหวัง ความโล่งใจ ความขัดเขิน ความรู้สึกต่างๆ มากมายอัดแน่นกันอยู่ในดวงตาสองคู่นั้นที่แอบเหลือบมองมาที่ผมเป็นระยะๆ



วันนี้อาแอ๋มท่าทางจะมีธุระต้องไปทำต่อ แต่ถึงกระนั้นก่อนจะไปเธอก็สั่งเสียเจ้าสองคนนั้นอยู่นานมาก ปิดท้ายด้วยการหันมากล่าวขอบคุณผมแล้วขอบคุณผมอีก ที่เข้าไปเช็คข่าวในเว็บของ wc จนรู้ว่ามีการเปิดรับรอบสอง เนื่องจากมีคนสละสิทธิ์ออกไปเยอะ นี่ถ้าผมไม่เข้าไปเช็กให้ สองคนนี้รวมถึงอาแอ๋มก็คงจะนั่งเศร้ากันอีกนาน ก็เข้าใจนะว่าคนผิดหวังคงไม่มีกะจิตกะใจจะมานั่งเช็กข่าวสารอะไรหรอก และที่สำคัญข่าวการรับตรงรอบสองนี้ก็ไม่ได้ประกาศออกไปภายนอก หากอยากรู้ก็ต้องเข้ามาติดตามในหน้าเว็บของมหา’ ลัยเอาเอง



พออาแอ๋มกลับไปแล้ว ห้องก็เงียบลงไปถนัดตา ผมนอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ส่วนภูผา และ ฟ้าคราม ยืนเก้ๆ กังๆ อย่างไม่รู้จะทำตัวอย่างไรอยู่กลางห้อง



ที่จริงผมไม่ได้อ่านหนังสือหรอก ผมแค่กำลังเตรียมตัวเตรียมใจต่างหาก …



ปับบบ



ผมปิดหนังสือ ลุกจากเตียงลงมานั่งบนพื้น วางหนังสือติวสอบและอุปกรณ์เครื่องเขียนอันประกอบด้วยปากกาแดง ดินสอไม้ ยางลบ และ กบเหลาลงบนโต๊ะญี่ปุ่น



“นั่งลงสิ …” ผมเงยหน้ามองสองคนนั้นนิ่งๆ รู้สึกไม่มีอารมณ์จะยิ้ม แต่พอเห็นสองคนนั้นทำหน้าตาเหมือนลำบากใจอยู่ คาดว่าคงจะเป็นเพราะหน้านิ่งๆ ของผม ผมไม่ได้โกรธอะไรแล้ว ก็แค่ไม่อยากยิ้ม แต่เอาเถอะ ถ้ามันจะทำให้สองคนนี้สบายใจขึ้น ผมก็จะยิ้ม…



“… พี่ …จะไม่ซ้ำเติมพวกผมหน่อยหรือไง” ภูผาพูดขึ้นอย่างแปลกใจ ตอนแรกสองแฝดคิดว่าพอแม่กลับไปแล้ว พี่ทีก็คงจะพูดกระแนะกระแหนสมน้ำหน้าพวกเขา ประมาณว่า ‘เป็นยังไงล่ะ บอกแล้วก็ไม่เชื่อ แล้วดูซิ สอบติดมั้ยล่ะ?’ ไม่ก็ ‘ทำตัวเองทั้งนั้น สมน้ำหน้าว่ะ แล้วเป็นไง สอบไม่ติด น่าสมเพช’ เดิมทีภูผาและฟ้าครามไม่คาดหวังเลยว่าจะได้รับโอกาสครั้งใหม่แบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรับตรงรอบสอง หรือ เรื่องที่พี่ทีให้โอกาสมาเรียนด้วยอีกครั้ง



อุตส่าห์ทำใจได้แล้วเชียว ว่าคงต้องไปเรียนบริหาร ไม่ก็ไปเรียนเทคนิคแล้ว เพราะลำพังคะแนนแกทแพทอุบาทว์ๆ ของพวกเขาไม่มีทางจะแอดติดมหา’ ลัยรัฐได้แน่ๆ แต่พี่ทีก็จุดความหวังให้กับพวกเขาอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ครั้งล่าสุดจากกันอย่างไม่น่าประทับใจเท่าไหร่นัก พวกเขาไม่รู้ว่าพี่ทีคิดอะไรอยู่ อยากจะช่วย หรืออยากจะเรียกพวกเขามาสมน้ำหน้ากันแน่ แต่ทั้งคู่ก็ได้แต่คิดไปในทางร้ายไว้ก่อน ด้วยไม่เห็นว่าจะมีทางใดเลยที่พี่ทีที่โกรธขนาดนั้นจะหายโกรธพวกเขาได้ง่ายๆ



แต่ทำไม ไม่มีคำต่อว่าซ้ำเติมให้ได้เจ็บช้ำสักคำหลุดออกมาจากปากคนตรงหน้า ทั้งๆ ที่หากจะทำก็ทำได้ และ ตอนนี้พวกเขาก็อยู่ในสถานะที่คงได้แต่ก้มหน้ายอมรับคำเย้ยหยาม โดยไม่สามารถแก้ตัวหรืองัดอะไรมาแย้งได้เลย ทั้งๆ ที่พี่ทีทำได้ … แต่พี่ทีก็ไม่ทำ … เขายิ้ม … ให้พวกผม….



“พี่จะไปซ้ำเติมเราอีกทำไม แค่นี้เราก็เสียใจกันพอแล้วไม่ใช่หรอ” ผมยิ้มอย่างที่คิดว่าน่าจะอ่อนโยนที่สุดเพื่อปลอบโยนทั้งสองคน



ภูผา และ ฟ้าครามทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้ พวกเขาทรุดตัวลงนั่ง ประนมมือไหว้ลงบนอกผมคนละข้าง เหมือนวันแรกที่มาขอฝากเนื้อฝากตัวกับผมไม่มีผิด แต่วันนี้มันต่างกันออกไป เพราะ ทั้งสองคนกำลังไหว้เพื่อขอโทษในสิ่งที่ได้ทำผิดเอาไว้ จรดมือและศีรษะแนบลงบนอก ที่ซึ่งมีหัวใจเต้นอยู่ในนั้น … ราวกับอยากส่งคำขอโทษไปให้ถึงใจของผม



“ พี่ครับ …. พวกเราขอโทษ ”



“อืม ... อโหสิให้ ไม่มีอะไรติดค้างต่อกัน” ผมลูบหัวทั้งสองคนเบาๆ นึกดีใจที่ตัวเองเลือกทำแบบนี้ … เลือกทำ…ในสิ่งที่ถูกต้อง









กำหนดการติวครั้งนี้คือ 29 วัน ก่อนที่จะถึงการรับตรงรอบสอง เรียกได้ว่าตอนนี้ต้องเค้นแรงเฮือกสุดท้ายมาติวกันแล้ว แถมคราวนี้การสอบไม่ง่ายเลย เพราะไม่ได้สอบกันแค่สามวิชาเหมือนคราวที่แล้ว แต่สอบทั้งหมด 5 วิชา คือ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คณิต อังกฤษ



ตอนที่ผมบอกว่าสอบทั้งหมดห้าวิชา ทั้งสองคนก็แทบจะเป็นลมกันเลยทีเดียว ผมก็ได้แต่ปลอบใจว่าไม่เป็นไรหรอก คนเก่งๆ คงติดรอบแรกไปกันหมดแล้ว รอบสองคงไม่น่ายาก แค่เพิ่มจำนวนวิชามาตัดกำลังใจกันเฉยๆ แต่ก็ต้องไม่ประมาท มีเท่าไหร่ ต้องทุ่มให้สุดตัว ไม่มีเวลามาท้อ เพราะเป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว !



“พี่ที ว่าแต่รอบนี้เค้ารับกี่คนอ่ะ” ฟ้าครามเงยหน้าจากโจทย์ขึ้นมาถาม พอผมยกโทษให้ สองคนนี้ก็ทำตัวปกติเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลยได้อย่างรวดเร็ว ผมชะงักไป



“อืม ไม่มั่นใจว่ะ รอบแรกรับห้าสิบคนใช่ป่ะ รอบสองก็น่าจะประมาณนั้นแหละ พี่จำไม่ได้แล้ว”



“เหรอ อืมๆ ”







สองสามวันมานี้ภูผา ฟ้าครามทำตัวสงบเสงี่ยมขึ้นกว่าเมื่อครั้งก่อนเล็กน้อย เวลาให้ทำอะไรก็ไม่ปริปากบ่น ได้แต่ก้มหน้าทำๆ ไปให้จบ ผมเพิ่งรู้เคล็ดลับอีกอย่างจากอาแอ๋ม สองคนนี้มันชอบให้คนชม = = มีอะไรให้ชมมันไว้ก่อน รับรองมันยิ้มหน้าบาน ยอมทำทุกอย่างที่สั่งแน่ๆ



“พี่ที ข้อสามตอบ 1” ภูผาเงยหน้าจากกระดาษทดขึ้นมาตอบ



“ถูก! เก่งนี่นาไอ่ภู” ภูผายิ้มกว้าง หันไปด่าแฝดตัวเองที่ยังทำไม่เสร็จ



“มึงนี่โง่ว่ะคราม ฮ่าๆ ๆ ” ภูผาชะโงกหน้าไปใกล้ๆ ฟ้าคราม มองดูกระดาษทดของแฝดตน



“หุบปากเว้ย … พี่ที ตอบ 1” ฟ้าครามดันหน้าภูผาออกไป มืออีกข้างก็คิดเลขยิกๆ ก่อนจะเงยหน้าตอบบ้าง



“ถูก … เก่งนี่ ข้อนี้ค่อนข้างยากเลยนะ” ยออีกสักหน่อย แล้วก็เป็นไปตามที่คาด ทั้งสองคนดูท่าทางภูมิอกภูมิใจกันมาก



ภูผา และ ฟ้าครามสลับกันตอบก่อนบ้าง ตอบหลังบ้าง คนทำเสร็จก่อนก็จะหันไปเยาะอีกคน ตอนแรกผมอดกลัวเดี๋ยวเยาะกันไปเย้ยกันมาจะทะเลาะกันเข้าจริงๆ แต่ก็เปล่า สองคนนี้ด่ากันไปด่ากันมาเป็นนิสัยอยู่แล้ว ไม่มีใครถือสากัน ตั้งแต่เกิดมาผมก็เพิ่งเคยเจอฝาแฝดที่ตัวติดกันสุดๆ แถมบุคลิกก็คล้ายกันมากขนาดนี้ แม้อายุจะปาเข้าไปสิบแปดย่างสิบเก้าปี แต่สองคนนี้ก็ไม่ยอมแยกจากกันสักที



… น่ารักดี … ชั่ววูบหนึ่งผมคิดแบบนั้น









เข้าสู่วันที่สี่ของการติว ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า ทำไมบรรยากาศมันอึมครึมจังวะ

ผม : รบกวน , ตามรังควาน

ภูผา : annoy , harass

ผม : การใช้เครื่องจักร

ภูผา : automation

ผม : น่าหัวเราะเยาะ

ภูผา : ridiculous , ab ….ab…

ผม : แอ๊บอะไร

ภูผา : แป๊บนึง นึกไม่ออก

ฟ้าคราม : (นอนท่องศัพท์อยู่บนเตียง หันมามอง)

ภูผา : ab …. (เหล่มองฟ้าคราม)

ฟ้าคราม : เวลาถามข้อมูลจากอากู๋มึงเรียกว่าอะไรล่ะ …อะไรกับข้อมูล

ผม : ฟ้า – คราม .. อย่าช่วย

ภูผา : เสิร์ช! absurd

ผม : (หงุดหงิดนิดๆ) สะกด

ภูผา : a-b-s-u-r-d

ผม : คัดห้าครั้ง … เดี๋ยวอย่าเพิ่ง ไว้รอคัดพร้อมคำอื่นทีเดียว ติ๊กไว้ก่อน …ต่อไป เปรียบเทียบสิ่งเหมือน

ภูผา : compare , …

ผม : มีอีกคำ

ภูผา : (มองฟ้าคราม แต่ฟ้าครามไม่มองตอบ เลยหันมามองหน้าผม แล้วส่ายหน้า)

ผม : ติ๊ก (ขีดเครื่องหมายลงบนศัพท์คำนั้นในชีต)

ผม : เปรียบเทียบสิ่งต่าง

ภูผา : contrast , differention …. differential …เอ่อ …

ผม : ไม่ใช่ (ส่ายหน้า)

ฟ้าคราม : โรคร้ายแรงอ่ะ โรคอะไร

ภูผา : อีโบล่า?

ผม : (นิ่ง เออ ดูซิมันจะใบ้ยังไงต่อ)

ฟ้าคราม : โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สิวะ

ภูผา : เอดส์! differentiate

ผม : (ถอนหายใจ รู้สึกหงุดหงิด ทำไมกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ววะ) การหยุด

ภูผา : stop

ผม : อีกคำ?

ภูผา : (ขมวดคิ้ว พยายามนึกให้ออก)

ฟ้าคราม : เซสอะไรภู

ผม : (เหนื่อยใจ จะทำยังไงกับพวกมันดี นี่มันไม่ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีตเลยใช่มั้ย)

ภูผา : (ส่ายหน้า) ข้าม

ผม : cessation c-e-s-s-a-t-i-o-n ติ๊ก คัดนะ

ภูผา : (พยักหน้าส่งๆ)



ผมถามศัพท์ภูผาอีกหลายคำ มีทั้งคำใหม่ที่เพิ่งให้ท่อง และคำเก่าๆ ที่เคยท่องไปเมื่อครั้งที่แล้ว แต่ไม่รู้วันนี้ภูผาเป็นอะไร ถามก็ตอบไม่ค่อยได้ ทั้งๆ ที่ผมก็ให้เวลาทบทวนก่อนตั้งครึ่งชั่วโมง ทั้งๆ ที่ปกติภูผาความจำดีกว่าฟ้าคราม แต่วันนี้ขนาดถามคำเก่าๆ ที่เคยท่องได้ ภูผายังนึกไม่ออก ไม่ก็ตอบผิดเลย ผมถึงขนาดยอมให้ฟ้าครามช่วยใบ้ รวมถึงตัวผมเองก็ยอมใบ้ให้ด้วย ภูผาก็ยังท่องไม่ได้



ไม่รู้วันนี้ภูผาเป็นอะไร ไม่ค่อยจะยิ้ม ถึงจะไม่ได้ทำหน้าบึ้ง แต่ก็ดูขรึมลงจนจับสังเกตได้



ผม : (มองดูชีตที่มีรอยติ๊กเกือบเต็มหน้า) ภูผา เอากลับไปท่องใหม่ก่อนละกัน พี่ไม่อยากให้เราคัดเยอะ



ภูผา : ถามมาเหอะ คัดก็คัด



แล้วภูผาก็ได้กลับไปคัดศัพท์เกือบห้าสิบคำ คำละห้าจบ มันรับชีตคืนกลับไปนิ่งๆ เดินไปนั่งที่โต๊ะคอม หยิบหูฟังขึ้นมาใส่ ตกอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง



ทำไมภูผาเป็นแบบนี้ นี่ผมทำอะไรผิดไปรึเปล่า หรือว่าผมสอนหนักเกินไป แต่ผมก็บอกน้องไปแล้วนี่ว่าถ้าไม่ไหวให้บอกได้เลยไม่ต้องเกรงใจ แล้วทำไมวันนี้ภูผาถึงทำหน้าตึงๆ เหมือนไม่เต็มใจท่องศัพท์กับผม มันเกิดอะไรขึ้นอีกละเนี่ย



เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกอึดอัดคับข้องในใจ นี่ตกลงกูผิดใช่มั้ยที่เรียกมึงกลับมาติวเนี่ย เพิ่งจะยกโทษให้ไม่กี่วัน เอาสันดานเดิมกลับมาใช้อีกแล้วนะ!



ผมนึกเสียใจ … ผมไม่แน่แหกกฎตัวเองเลย ไม่น่าหาเรื่องให้ตัวเองต้องมาหงุดหงิด มานั่งเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจทำลงไปเลย



ผม : มา…ฟ้าครามบ้าง



ฟ้าคราม : คร้าบบบบบ พร้อมแล้ว



ฟ้าครามยิ้มแย้มแจ่มใส ตอบศัพท์ได้ฉะฉานแทบทุกคำ ผมคอยเหลือบมองภูผาเป็นระยะๆ ฟ้าครามเหมือนจะรู้แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา



ฟ้าครามใช้เวลาท่องนานกว่าภูผา แต่ก็ผิดน้อยกว่ามาก จนแทบไม่ต้องคัด มีบ้างบางคำที่หลงลืมไป แต่ก็ไม่มาก ผมปล่อยให้สองคนนี้นั่งคัดไปเรื่อยๆ มือก็หยิบหนังสือเล่มอื่นๆ มาเปิดดูคร่าวๆ



ภูผาลุกขึ้น ดึงหูฟังออก



“ภูไปเข้าห้องน้ำนะ”



พอภูผาออกจากห้องไป ผมก็สบโอกาสหันไปถามฟ้าครามที่นั่งฟังเพลงไป คัดศัพท์ไปทันที



“ฟ้าคราม วันนี้ทำไมภูผามันทำท่าบึ้งๆ แปลกๆ วะ” ฟ้าครามเงยหน้าขึ้นมาตอบผมยิ้มๆ



“ไม่รู้ดิ มันคงเหนื่อยมั้งพี่ ช่างมันเถอะ อย่าไปสนใจเลย …ว่าแต่ ขอเปิดแอร์ได้ป่ะพี่ วันนี้มันร้อนจริงๆ เลยอ่ะ” ผมพยักหน้าให้ เอาเหอะ เปิดแป๊บเดียว เอาให้ห้องเย็นแล้วค่อยปิดก็ได้



ภูผาเดินเข้ามาในห้อง ตรงไปนั่งที่เดิม หยิบหูฟังขึ้นมาใส่อีกครั้ง ผมกับฟ้าครามหยุดพูดกันไปโดยปริยาย



“เดี๋ยวพี่มานะ คอแห้ง จะไปหาน้ำกิน”



พอผมกลับขึ้นมาอีกครั้ง ภูผาก็หมุนเก้าอี้หันมายิ้มให้ผม ฟ้าครามเงยหน้าจากโต๊ะญี่ปุ่น



“ไอ้ภูมันบอกว่าพอได้ฟังเพลงแล้ว มันอารมณ์ดีขึ้นเยอะเลย” ฟ้าครามว่า ไม่รู้ว่าระหว่างที่ผมลงไปเอาน้ำ ฟ้าครามได้ไปพูดอะไรกับภูผาหรือเปล่า แต่เอาเถอะ ภูผากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ก็ดีแล้ว



“อ่ะ น้ำ”



“ไม่เย็นแน่เลย”



“เรื่องมากว่ะ กินดู” ผมพูดยิ้มๆ ทั้งสองคนรับแก้วไปดื่ม



“เย็นสะใจมั้ย” ผมถาม สองคนน้ำพยักหน้าหงึกหงัก ทำหน้าตาชื่นอกชื่นใจสุดๆ



“ฮ๊าาาาาา เย็นจริงๆ ด้วย สดชื่นนนน” พอเห็นน้องสองคนทำหน้าแบบนั้น ผมก็รู้สึกดีใจ ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์ข้ามไปซื้อน้ำแข็งยูนิตที่เซเว่นมา



บรรยากาศในห้องดูเหมือนจะดีขึ้นกว่าเดิมมากจนน่าแปลกใจ ตอนนี้ในห้องเปิดแอร์เย็นฉ่ำ และ เปิดเพลงเกาหลีวงผู้หญิงชื่ออะไรสักอย่างคลอไปด้วย บรรยากาศในห้องดูผ่อนคลาย ภูผาและฟ้าครามโยกหัวตามเพลง มือก็คัดไปด้วย ส่วนผมลุกขึ้นมานั่งจัดหนังสือหนังหาที่อาแอ๋มขนซื้อมาให้สองแฝด เอามาเปิดดูว่าจะเลือกเล่มไหน จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี วางแผนว่าวันนี้จะติวถึงแค่ไหนในใจ อะไรประมาณนี้



“อาแอ๋มซื้อหนังสือติวสอบมาเยอะจังเลยเนอะ” ผมเปรย หยิบแต่ละเล่มมาพลิกดูอย่างรอบคอบ หนังสือพวกนี้ทั้งใหม่ ทั้งแพง มีทั้งที่ซื้อมาปกละสองเล่ม และปกละเล่มเดียว เธอคงกลัวว่าซื้อมาแล้วลูกจะไม่ทำเลยไม่ได้ซื้อมาอย่างละสองเล่มหมด หนังสือเหล่านี้ เท่าที่ดูแล้วมีทั้งคุณภาพดีและไม่ดี บางเล่มมีแต่เฉลยหยาบ ไม่มีเฉลยละเอียด บางเล่มก็เฉลยผิด ผมเข้าใจดี อาแอ๋มคงเลือกไม่เป็น



อาแอ๋มไม่ได้เรียนสูง เพราะ อากงอาม่าผมเป็นคนหัวโบราณ พวกท่านเห็นว่าผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเรียนสูง เปลืองเงินเปล่าๆ สู้อยู่บ้าน หัดงานบ้านงานเรือนดีกว่า อีกหน่อยก็ต้องแต่งออกไปอยู่ดี



“ฝาแฝด พวกเรารู้มั้ย ว่าแม่เราน่ะ รักพวกเรามากเลยนะ” ผมกำลังพูดถึงอาแอ๋มอยู่นะ ไม่ใช่แม่ผม



ผมลูบปกหนังสือแล้วยิ้มบางๆ สัมผัสได้ถึงความพยายามของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ทำทุกอย่างได้เพื่อลูกของเธอ ถึงปากจะบ่นว่าเอือมระอา แต่การกระทำกลับตรงกันข้าม เธอทำเพื่อสองคนนี้จนถึงกับต้องพยายามโทรมาขอร้องผมหลายต่อหลายครั้งกว่าผมจะใจอ่อน พยายามเลือกหนังสือให้ลูกตัวเองที่ไม่เคยสนใจจะหยิบขึ้นมาอ่าน ที่หลับที่นอน ขนมนมเนย ทุกสิ่งทุกอย่างก็เตรียมให้หมด ไม่มีขาดตกบกพร่อง แถมเธอยังลงมือช่วยคนใช้ถูพื้นห้องผม เพื่อให้ลูกของเธอได้อยู่ได้นอนในห้องสะอาดๆ



“เอาจริงๆ ป๊ะ ที่จริงแล้วพี่ไม่ได้อยากติวให้พวกนายเลยว่ะ ” ผมหันกลับไปบอกสองคนนั้นด้วยรอยยิ้ม



สองแฝดหันมามองหน้าผมแบบเหวอๆ



ผมตัดสินใจเเล้วที่จะหงายไพ่ของตัวเองขึ้น ให้คนอื่นได้รู้สิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่ บางทีมันอาจจะทำให้ผมคลายความอึดอัดในใจลงไปได้บ้าง
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 17-02-2018 20:26:40
                                                                 ตอนที่ 7 แบไพ่ในมือคุณ




“เอาจริงๆ ป๊ะ ที่จริงแล้วพี่ไม่ได้อยากติวให้พวกนายเลยว่ะ” ผมหันกลับไปบอกสองคนนั้นด้วยรอยยิ้ม



สองแฝดหันมามองหน้าผมอย่างเหวอๆ



ผมกลับมาทรุดตัวลงนั่งบนพื้นตรงโต๊ะญี่ปุ่นที่ฟ้าครามนั่งอยู่ ภูผาลุกจากเก้าอี้ที่โต๊ะทำงานมาหาผม ยื่นกระดาษที่คัดศัพท์ให้ แล้วนั่งลงใกล้ๆ กัน



“พูดตรงๆ นะ พี่อ่ะเข้าใจเราโคตรๆ เลยแหละ พี่รู้ว่าไม่มีใครชอบอ่านหนังสือเรียนหรอก แม่งน่าเบื่อ เป็นพี่พี่ก็ขี้เกียจ ไม่อยากอ่านแล้ว สอบอะไรนักหนาใช่ป่ะวะสมัยนี้ สอบตรง สอบวิชาสามัญ สอบโอเน็ต แกทแพท เยอะแยะไปหมด … พี่เข้าใจเว่ย เพราะพี่ก็เคยเป็นมาก่อน” น้องตั้งใจฟังที่ผมพูดตาปริบๆ ผมไม่รู้ว่าน้องจะรู้สึกอย่างไร แต่ในเมื่อพูดออกไปแล้วผมก็จะพูดให้มันจบ



“ขนาดพี่เองยังขี้เกียจสอนเลย พี่น่ะนะอุตส่าห์วางแผนซะดิบดี ว่าเออ กลับมาจากค่ายนะ จะนอนให้ฉ่ำปอดไปเลย จะอ่านการ์ตูนที่ซื้อมาดองไว้ให้จบ แต่อาแอ๋มก็โทรมาขอให้ติวให้ภูกับครามซะก่อน ตอนแรกพี่กะจะหาทางปฏิเสธ แต่รู้มั้ย ที่พี่ยอมมาสอนเราน่ะ เป็นเพราะเห็นแก่ความพยายามในการตื๊อของอาแอ๋มนะ” ผมเล่าความจริงทั้งหมดให้ฟัง



“เอ้า! จริงเหรอ พวกเราก็เหมือนกัน แม่น่ะบังคับให้มาติวกับพี่ พอไม่มาก็ทำหน้าเศร้าบ้างล่ะ ด่าบ้างล่ะ พวกเราทนไม่ไหวก็เลยต้องตามใจแม่ … ก็เสียใจอยู่หรอกนะที่สอบรอบแรกไม่ติด ก็ รู้ว่าทำตัวเอง ทำใจอยู่ตั้งนานแน่ะ เนอะ ไอ้ภู” ฟ้าครามหันไปหาแนวร่วม



“ใช่ๆ พอทำใจได้ว่าจะเข้าบริหารแล้วช่ะ พวกเราก็รู้สึกโคตรชิลอ่ะ นอนอ่านการ์ตูน เล่นคอม โคตรมีความสุข แต่อยู่ดีๆ แม่ก็มาบอกให้มาติวสอบรอบสองอีก คือ…มันรู้สึกหลายอารมณ์มากอ่ะ ทั้งงง ทั้งอึ้ง จะว่าดีใจก็ไม่ใช่ เสียใจก็ไม่เชิง …คืออุตส่าห์ตัดใจได้แล้วอ่ะพี่ เข้าใจป๊ะ แล้วพี่ก็มาให้ความหวังอีก เราก็เลยมีความหวัง แต่พอคิดว่าจะต้องอ่านหนังสืออีกครั้ง ผมก็ถอดใจแล้ว ใจมันก็คิดว่าถ้าอ่านอีกแล้วรอบนี้ยังไม่ติดอีกผมก็เหนื่อยฟรีน่ะสิ มันเหนื่อยจริงๆ นะเว่ยพี่ พี่เข้าใจฟีลพวกผมใช่ป๊ะ?”



“เออ เข้าใจ … เพราะงั้น คราวนี้ถ้าพวกนายไม่ไหว พี่สอนหนักไป เหนื่อย อยากพัก ก็บอกได้ ไม่ว่ากัน โอเคป่าว ทำไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก ไม่ต้องเครียด เหลือเวลาอีก 25 วัน เอาให้เต็มที่ หลังจากนี้ก็หยุดยาวหลายเดือนแล้ว จะนอนอ่านการ์ตูน เล่นคอมยันตีหนึ่งก็จัดไปเลย เดี๋ยวบอกอาแอ๋มให้ ไม่ต้องห้าม”



“ภูอยากสอบมันพรุ่งนี้เลยว่ะพี่ บ่องตรง”



“ความรู้พร้อมไปประชันกับชาวบ้านเขารึยังเหอะ” ผมใช้นิ้วชี้ดันศีรษะภูผา ทำหน้าสบประมาทมันขำๆ



“ก็นี่ไง ถึงต้องมาให้พี่ติวให้ …. เอาวะ 25 วันเอง กระพริบตาก็ถึงแล้ว”



“เออ! ลูกผู้ชายมันต้องใจเด็ดแบบนี้สิวะ” ผมตบหลังทั้งสองคน



“พี่ที ที่คอห้อยไรอ่ะ” ภูผาเหลือบไปเห็นสร้อยของผมที่หลุดออกมาจากคอเสื้อยืด มันถือวิสาสะหยิบขึ้นมาดู ฟ้าครามยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีกคน เพราะอยากจะดูด้วย กลายเป็นว่าตอนนี้เราสามคนหน้าแทบจะติดกันอยู่แล้ว



“อ๋อ ผ้ายันต์ของซักป๋อเซียนอ่ะ แม่พี่เอามาบังคับให้ใส่ เห็นว่าได้มาตอนไปช่วยล้างป่าช้า พ่อพี่บอกว่าภูตผีปีศาจกลัวเซียนองค์นี้สุดๆ ” ได้ทีก็อวดของวิเศษซะหน่อย



“นี่ๆ ๆ ภูกับครามก็มีของวิเศษเหมือนกัน ยันต์เกราะเพชร กับ หลวงพ่อโต แม่บอกว่าปีนี้ปีชงของพวกเรา ต้องใส่ยันต์เกราะเพชรคุ้มภัยรอบทิศ กับ เจ้าแม่กวนอิม เพราะแม่บอกว่า ก่อนจะท้องพวกเรา ท่านไปขอกับเจ้าแม่” ภูผาพูด … อ๋อ มิน่าล่ะ พวกมึงถึงซนเป็นลิง ไม่รู้ว่าท่านส่งนาจา หรือ ซุนหงอคงมาให้อาแอ๋ม มันสองคนถึงฤทธิ์เดชเหลือร้ายขนาดนี้ =_=



“ส่วนพี่เฟิร์สแม่บังคับให้ห้อยพระเจ้าเสือเพราะเกิดปีกุน ของพ่อให้ห้อยพระสีวลี กับ พระสังกัจจายน์ จะได้ทำมาค้าขายรุ่งๆ คือทุกอย่างแม่พวกเราจัดการหมดอ่ะ ขนาดเสื้อผ้าภูกับครามยังไม่เคยซื้อเองเลย แม่ซื้อให้ตลอด แล้วก็ชอบซื้อมาเหมือนๆ กัน คือบางทีเราก็อยากมีสไตล์การแต่งตัวเป็นของตัวเองบ้าง” ฟ้าครามพูด



หลังจากนั้นเราก็นั่งคุยกันอีกหลายเรื่อง ผลัดกันเล่า ผลัดกันฟัง ช่วยกันผสมโรงบ้าง บางเรื่องก็ฮาจนทนไม่ไหว พวกผมหัวเราะกันจนปวดท้องเรื่องวันเกิดสองแฝดเมื่อปีที่แล้ว อาแอ๋มจองห้องส่วนตัวในภัตตาคารเจ้าประจำไม่ทัน เลยต้องนั่งกินกันด้านนอก พอพนักงานยกเค้กเข้ามาให้ มันสองคนก็ช่วยกันร้องเพลงเบาๆ แต่พ่อกับแม่มันดันร้องเพลงแฮ๊ปปี้เบิร์ดเดย์กันดังลั่นร้าน มันสองคนอายจนแทบมุดหน้าลงหม้อสุกี้ อุตส่าห์กระซิบให้พ่อแม่ร้องเบาๆ หน่อย อายโต๊ะอื่นเค้า แต่พี่เฟิร์สพี่ชายคนโตที่ตามมาทีหลังจนทันร้องรอบสองกลับปรบมือร้องเพลงดังลั่นกว่าพ่อกับแม่ซะอีก วันนั้นพวกมันสองคนอายจนแทบกินข้าวไม่ลง





ผมเองก็เล่าเรื่องตอนม.ปลายไปกินข้าวที่ร้านอาหารเพื่อสุขภาพกับไอ้ทาม กินเสร็จก็ลุกไปเข้าห้องน้ำพร้อมกัน ทีนี้ผมทำธุระเสร็จก่อนเลยกลับมาก่อน ร้านนี้มีลักษณะเหมือนเป็นบ้านสวนเล็กๆ มีโต๊ะเก้าอี้เหล็กดัดอยู่ไม่กี่ชุด พอผมเดินออกมาปุ๊บ ไม่เห็นไอ้ทามเลยนั่งรอที่โต๊ะเดิม หยิบน้ำขึ้นมาดื่มรอ แต่พอไอ้ทามเดินกลับมามันก็ทำหน้าตกใจ บอกผมว่า ผมนั่งผิดโต๊ะ….ผมมองโต๊ะที่ถัดออกไปอีกหน่อย… เออว่ะ…กูนั่งผิดโต๊ะ… แล้วน้ำในแก้วที่เหลือนี่ กูแดกของใครไป? อ้วกกก!!



เผลอแป๊บเดียวเราก็คุยไปเกือบจะชั่วโมงครึ่งแน่ะ นานแล้วนะที่ผมไม่ได้หัวเราะมากขนาดนี้หลังจากกลับมาจากค่าย



ผมรู้สึกว่าคิดไม่ผิดเลยจริงๆ ที่เปิดใจคุยกับน้อง รู้สึกยังไง ก็บอกไปยังงั้น แค่ไม่พูดให้มันแรงเกินจนดูหักหาญน้ำใจกัน มันก็โอเคนะที่จะเปิดเผยความในใจด้านไม่ดีของเราออกไปให้คนอื่นรู้บ้าง



วันนี้เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ผมรู้สึกได้ว่าน้องเชื่อฟังและยอมรับผมอย่างเต็มหัวใจ ผมเองก็รู้สึกชอบ และคุยถูกคอกับพวกมันมากๆ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าผมกับพวกมันจะมีเรื่องให้คุยกันได้มากมายขนาดนี้ รู้งี้ตอนติวกันครั้งแรกผมยอมสละเวลาสักสองสามชั่วโมงนั่งเม้าธ์กับพวกมันเพื่อสร้างความสนิทสนมก่อนก็ดีหรอก



ผมอดนึกถึงหนังสือจิตวิทยาเล่มหนึ่งที่เคยอ่านไม่ได้ หนังสือเล่มนั้นกล่าวถึงเรื่องการพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้อื่น … มีเนื้อหาตอนหนึ่งกล่าวถึงเรื่อง ‘ความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน’ หากเราทำให้คนอื่นเกิดความรู้สึกที่ว่าเราเป็นพวกเดียวกับเขาได้ เขาก็จะยอมรับ และฟังเรา

โดยวิธีการทำให้คนอื่นเกิดความรู้สึกว่าเราเป็นพวกเดียวกันกับเขานั้นมีมากมายหลากหลายวิธี วิธีที่ง่ายที่สุดคือการแสดงออกว่ารู้สึก ‘เหมือนกัน’ เช่น ถ้าผมบอกว่าชอบการ์ตูนเรื่องนารูโตะมากเลย แล้วมีใครสักคนบอกว่า เราก็ชอบเหมือนกัน แน่นอนว่าผมย่อมจะแสดงความเป็นมิตร และพูดคุยกับเขาได้ง่ายกว่าคนอื่นๆ เพราะความรู้สึกที่เห็นคนคนนั้นเป็น ‘พวกเดียวกัน’



ผมเพิ่งจะสังเกต ว่าเมื่อครู่นี้ ผมเผลอใช้เทคนิคนี้ไปโดยไม่รู้ตัว ผมรู้ว่าน้องขี้เกียจ น้องเหนื่อย ไม่อยากเรียน แล้วผมก็แสดงความเป็นพวกเดียวกันกับน้องด้วยการเปิดเผยสิ่งที่ตัวเองคิดซึ่งก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีในการสร้างความสนิทสนม ในขณะเดียวกันผมก็แสดงให้พวกเขาเห็นว่าผมเป็นพวกเดียวกัน มีความรู้สึกเดียวกันกับพวกเขา ด้วยคำพูดที่ว่า ‘พี่ก็ขี้เกียจเหมือนกัน’



ผมมีความสุขมาก เหมือนได้ล้างบาปที่มีในใจที่เคยโมโห เคยโกรธ เคยเกลียดน้อง ได้ระบายความอัดอั้นต่างๆ และได้รู้สิ่งที่น้องคิด บางทีการที่เราหงุดหงิด เคลือบแคลงสงสัยในกันและกันก็อาจจะเป็นเพราะเราไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ และความเคลือบแคลงระแวงกันมันจะหายไปก็ต่อเมื่อเราแสดงความจริงใจให้คนอื่นได้รู้ เปิดเผยสิ่งที่คิด โชว์สิ่งที่ปกปิดเอาไว้ ให้คนอื่นได้รู้ ได้เห็น ได้เข้าใจ สิ่งที่เราเป็น



ผม กับ สองแฝดต่างก็ได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากกันและกัน ผมได้เรียนรู้วิธีที่จะทำตัวเองให้เป็นที่ยอมรับของคนอื่น ได้เรียนรู้ว่าบางครั้งเราก็ควรจะบอกในสิ่งที่เราคิดออกไปให้อีกฝ่ายรู้บ้าง ส่วนสองคนนั้นก็คงจะได้รู้ว่าที่จริงแล้วผมก็ไม่ใช่คนเข้าถึงยาก อ่านใจไม่ออก ได้เห็นในอีกแง่มุมหนึ่งที่ก็มีขี้เกียจ มีซุ่มซ่าม มีขายขี้หน้า เหมือนคนทั่วๆ ไป ไม่ได้เก่ง ไม่ได้เพอร์เฟ็คมาตั้งแต่ต้น



วันนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้สึกประสบความสำเร็จในการสอนที่สุด ผมเอาชนะใจลูกศิษย์ของผมได้ ผมมีความสุขที่เห็นสองคนนั้นเชื่อฟังผมจริงๆ ยอมทำตามที่ผมบอกจากใจไม่ใช่ทำไปตามหน้าที่หรือมารยาท



วันนี้ภูผากับฟ้าครามดูสดใสยิ่งกว่าวันไหนๆ ที่เราอยู่ด้วยกันมา ดูกระตือรือร้นผิดหูผิดตา ตั้งใจทำโจทย์ วิชาชีวะก็ติวจบสามบทได้ในวันเดียว สอบศัพท์ก็ท่องไป ขำไป เวลาโดนผมด่า ตอนนี้ผมเปลี่ยนวิธีใหม่แล้ว เวลาสอบศัพท์จะให้อีกคนไปนั่งนอกห้อง คราวนี้พวกมันก็ช่วยกันไม่ได้แล้ว นอกจากจะส่งโทรจิตหากันเอาอ่ะนะ ฮ่าๆ ๆ ทำไมกูไม่ทำแบบนี้ตั้งแต่แรกวะ โง่อยู่ได้ตั้งนาน



พอหกโมงเย็น การติวทั้งหมดสิ้นสุด ผมเอนหลังลงบนเตียงนุ่มสบาย สองข้างมีเจ้าเด็กตัวใหญ่หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบนอนขนาบ ทำเสียงเฮ้ออออ ฮ่าาาาา หน้าตาฟินกันสุดๆ เราสามคนนอนขวางเตียงห้อยขาเรียงกันเหมือนปลาหมึกตากแห้ง ใช้หมอนข้างหนึ่งอันเป็นหมอนของเราสามคน ภูผานอนเล่นไอโฟนอยู่ทางขวา ฟ้าครามนอนอ่านการ์ตูนของผมอยู่ทางซ้าย ส่วนตัวผมนอนไลน์คุยกับเพื่อนในกลุ่ม



บางที การมีสองคนนี้มาอยู่ด้วยช่วงปิดเทอมก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดแฮะ J





หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 17-02-2018 20:27:48
                                                                      ตอนที่ 8 คุยเล่น






-----เหลืออีก 18 วันจะถึงวันสอบ-----



“เฮ้ย เดี๋ยวนี้อังกฤษพัฒนาขึ้นนี่หว่า” ผมชมเมื่อเห็นคะแนนของทั้งคู่ หลังจากสั่งให้มันสองคนทำข้อสอบไปคนละร้อยข้อ เห็นได้ชัดเลยเมื่อเทียบกับอาทิตย์ก่อนว่าคะแนนสองคนนี้พุ่งขึ้นมากจริงๆ



“เคมีก็ด้วย ทำได้ดีนะ หรือว่าพวกนายมีพื้นฐานจากที่โรงเรียนมาดีอยู่แล้ว” ผมถามอย่างสงสัย จำได้ว่าวิชาเคมีผมไม่ได้สอนเข้มมากนัก เพราะมันเป็นวิชาที่ผมไม่ถนัดพอๆ กับชีวะเลย



“ไม่อ่ะพี่ ตอนอยู่โรงเรียนก็แค่พอถูไถ ถึงจะได้เกรด 3.7 กว่าวิชานี้ก็เถอะ แต่ที่ได้เกรดดีก็เพราะครูบอกว่าออกสอบหน้าไหนข้อไหนบ้างต่างหาก” ฟ้าครามเงยหน้าจากแบบฝึกหัดวิชาชีวะขึ้นมาตอบ



“ใช่ โดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษนะ มิสเอาศัพท์ที่จะออกใน unseen มาให้ท่องเลย พอเข้าไปปุ๊บก็เลยทำได้ แต่พอไปสอบแข่งขันข้างนอก……” ภูผาซี๊ดปาก ทำท่าเอานิ้วปาดคอ ผมหัวเราะหึๆ ขำท่ามันอ่ะครับ



“เออ สมัยเรียนพี่ก็เคยเป็น… วิชาฟิสิกส์ กับ คณิต อาจารย์เอาข้อสอบเปลี่ยนตัวเลข มาให้ทำก่อนสอบเล่นเอาเกือบเต็มยกชั้น แล้ววิชาภาษาจีนนะเหล่าซือมีการมาบอกด้วยว่าออกศัพท์คำไหนๆ รู้ป๊ะ พี่สอบได้ร้อยเต็มเลยอ่ะ” ไม่อยากจะอวด แต่ก็ขอนิดนึงเหอะ ฮ่าๆ



“ไหนๆ ๆ พิสูจน์ซิ พูดคำว่า กินข้าวหรือยัง ให้ฟังหน่อย” ไอ้ฟ้าครามเริ่มลองของ



“จบมาตั้งสองปีแล้ว ใครจะไปจำได้วะ …จำได้แต่ ป้าปะ ม่าหมะ นี่หนิ เก้อเกอะ”



“ฮ่าๆ ๆ …ได้แค่เนี๊ยะ” ภูผาหลิ่วตาล้อเลียน



“อ้อๆ ๆ แล้วก็ยังมีคำว่า หม่าย ที่แปลว่าซื้อ กับม่าย แปลว่าขาย มียัยหม่าลี่ กับ นายไม่เค่อ”



“หม่าลี่ กับ ไม่เค่อ?” ฟ้าครามทวน



“แมรี่ กับ ไมเคิล นักเรียนชาวต่างชาติที่มาแลกเปลี่ยน เป็นตัวละครในหนังสือที่พี่เรียน”



“จริงดิ! ตลกว่ะ หม่าลี่ กับ ไม่เค่อ ฮ่าๆ ๆ แล้วถ้าของพวกผมอ่ะ ภู่ผ้า กับ ฝ่าตี้น ป๊ะ? ก๊ากๆ ๆ” ฝ่าตี้นกับฟ้าครามมันใกล้เคียงกันตรงไหนวะ หรือที่ตรงคำว่า ฝ่า กับ ฟ้า? ผมนั่งคิดไปขำไป



“ฝ่าตี้นบ้านมึงสิ ไอ้จั๊ดง่าว!” ฟ้าครามถีบภูผาไปทีนึง ภูผาไม่สนใจ นอนหัวเราะดิ้นไปดิ้นมาปากก็พูดว่า ‘ภู่ผา กับ ฝ่าตี้น’ ไม่หยุด พูดเองก็หัวเราะเอง



“บ้านกูก็บ้านเดียวกับบ้านมึงอ่ะแหละ ฝ่าตี้นน้องรัก!”



โอ๊ย ! ไม่ไหวแล้ว กูฮาว่ะ ฮ่าๆ ๆ



“ฮ่าๆ …คิก…เฮ้ย! มัวแต่คุย ทำโจทย์ดิทำโจทย์” ผมเก๊กมาดเข้ม เตือนสติให้มันกลับมา



“อะไรๆ พี่ทีแหละตัวเริ่มชวนคุย”



แหน่ะ =_= กล้าย้อนกูนะเดี๋ยวนี้



“เออๆ ๆ ทำไปได้แล้ว ไม่เสร็จไม่ต้องกินข้าวกลางวันนะบอกไว้ก่อน”



“ก๊าบบบลูกพี่”







พอออกไปล่าเหยื่อ (หาของกิน) กันเสร็จ พวกเราก็กลับมานอนแผ่สองสลึงบนห้อง วันนี้ร้อนจริงๆ ร้อนจนผมจะเป็นลมอยู่แล้ว เลยอนุญาตให้เปิดแอร์ได้ ผมนอนแผ่อยู่บนเตียง ภูผาและฟ้าครามนอนจ่อพัดลมอยู่บนที่นอนแสนสุข (?) บนพื้นติดกับเตียงของผม คือถ้าผมนอนตะแคงหันไปทางขวาก็จะเห็นพะยูนสองตัว เอ๊ย! คนสองคนนอนเกยตื้นอยู่ด้านล่าง



หนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน ขี้เกียจอ่ะ ขอแผ่อีกสักพักจะได้ไหม น้องมันจะหาว่าเราอู้หรือเปล่าวะ แต่ตอนนี้ฟีลมันไม่อยากลุกจริงๆ อ่ะ T^T



“พี่ที ครามขออีกสิบนาทีนะ” ผมหยักหน้าส่งๆ ให้ เออดี ท่าทางมันสองคนก็ดูเนือยๆ เพลียๆ เหมือนกับผม มีพวกแล้วกู



ผมนอนตาปรือๆ อยู่บนเตียง ไม่ถึงกับง่วงอ่ะ ก็แค่เพลีย ผมมองนาฬิกา ยังไม่สิบนาที เปิดเพลงฟังเล่นดีกว่า





Notice me, take my hand

Why are we strangers when

Our love is strong

Why carry on without me ……





“ของใครอ่ะ”



“ Britney Spears ….พี่โคตรชอบเพลงนี้เลย” ผมเนี่ยแฟนตัวยงของเธอเลยนะ เพลงที่เธอร้องเพราะแทบทุกเพลงเลย ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องหน้าตานักร้องหรอก ขอแค่ร้องเพราะ จะหน้าเหียกแค่ไหนผมก็ชอบ



“นี่ๆ พี่ชอบท่อนนี้

Everytime I try to fly, I fall

Without my wings, I feel so small ….. โอ๊ย ฟังแล้วพี่โคตรปวดใจเลยว่ะ ต้องดูเอ็มวีแล้วจะรู้สึกเหมือนพี่” ผมร้องท่อนที่ผมชอบคลอไปกับเพลง ถ้าเป็นเรื่องที่ผมชอบแล้วล่ะก็ จะพูดได้น้ำไหลไฟดับเลยล่ะ อย่างเรื่องนักร้องคนโปรดเป็นต้น



ผมยื่นมือถือไปให้มันดูเอ็มวี มันสองคนนอนดูครู่เดียวก็หันไปสนใจมือถือตัวเองต่อ ผมยักไหล่ ไม่ได้ว่าอะไรที่มันดูไม่ค่อยสนใจ คนเราแต่ละคนมีความชอบไม่เหมือนกัน ผมรู้ว่ามันชอบฟังเพลงเกาหลีของวงที่มีผู้หญิงเต้นกันเยอะๆ ผมก็ฟังนะ แต่ไม่ถึงกับชอบ แค่ชอบดูเวลาเขาเต้นพร้อมๆ กัน มันสวยดี เพลงเกาหลีผมจะฟังแต่เฉพาะเพลงที่มีทำนองสบายๆ ผมชอบฟังเพลงไทยกับอังกฤษมากกว่า ไม่ใช่อะไรหรอก ผมฟังภาษาเกาหลีไม่ออกก็เลยไม่อยากฟัง เคยเป็นมั้ย เจอเพลงที่โดนใจมากๆ แต่ฟังไม่ออกนี่มันหงุดหงิดมากเลยนะเว้ยถึงจะมีแปลไทยให้อ่านก็เถอะ แต่มันสู้ฟังเองรู้เรื่องทุกคำไม่ได้อ่ะ !



“พี่ชอบฟังเพลงฝรั่งหรอ เหมือนพี่เฟิร์สเลยอ่ะ แล้วรู้จักเพลง dark horse มั้ย พี่เฟิร์สแม่งโคตรชอบเพลงนั้น” ฟ้าครามถาม



“อ๋อ ที่เอ็มวีเป็นแนวอียิปต์ เคธี่ แพร์รี่ ฟีตกับ จุยซ์ซี่ เจ ป่ะ” ผมตอบทั้งๆ ที่ตายังมองหน้าจออยู่



“เฮ้ย เป๊ะว่ะ แล้วๆ ๆ รู้จัก บรูโน มาร์ส ป่ะ” ภูผาเอาบ้าง



“โอ๊ย ใครไม่รู้จักก็บ้าแล้ว lazy song” ผมลุกขึ้นมานั่งร้องให้ฟังมันเลยว่ากูรู้จริงนะเว้ย สองคนนั้นก็รับมุกทำตัวเป็นกอริลล่า ผงกหัว ส่ายหัว เป็นจังหวะเหมือนในเอ็มวีเปี๊ยบ ตลกดีว่ะ สองคนนี้ทำโคตรพร้อมกันเลย ผมรู้สึกเหมือนกำลังเล่นเอ็มวีเป็นบรูโน มาร์สเลยว่ะตอนนี้



“เคยฟังเพลงนี้ป่าวพี่ blank space” ฟ้าครามถามอีก



“เดี๋ยวนะ คุ้นๆ ว่ะ แต่จำไม่ได้ ต้องฟังดูถึงจะบอกได้อ่ะ” ผมพิมพ์ชื่อเพลงลงในยูทูป แล้วกดฟัง



“อ๋อ จำได้แล้ว เคยได้ยิน ของเทย์เลอร์ สวิฟนี่ … พี่ไม่ใช่สาวกอ่ะ” สาวกเทย์เลอร์ตัวจริงน่ะมันต้องไอ้ก้อยเพื่อนผม กับ ไอ้ทาม



“พี่นึกว่าเราจะฟังแต่เพลงเกาหลีอย่างเดียวซะอีก” ผมแปลกใจ เพราะทุกครั้งที่พวกมันเปิดเพลง จะเป็นเพลงเกาหลีทั้งหมด



“ภู กับ ครามก็ฟังได้ทุกแนวแหละ รู้จักหมด maroon 5 เอย one direction เอย scorpions ก็รู้จัก ... เออ แล้วพี่เคยสอบร้องเพลงภาษาอังกฤษตอนเรียนมั้ย”



ผมเหลือบมองนาฬิกา นี่มันเลยสิบนาทีมาแล้วนะ แต่เอาเหอะ ทำเป็นไม่เห็นละกัน ผมยังไม่อยากลุก แล้วนอนคุยกันแบบนี้มันก็สนุกดียังไม่อยากหยุด แหะๆ เอาน่ะ ขยันมาทุกวันแล้ว วันนี้จะหย่อนยานไปบ้างก็ช่างมันเถอะ



“เคย! ตอน ป.6 อาจารย์ให้เลือกเพลงเอง พ่อเลยเลือกเพลง my love ของ westlife ให้พี่ แล้ว westlife ก็กลายเป็นวงโปรดของพี่ตั้งแต่ตอนนั้นแหละ นี่ที่ตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษก็เพราะอยากฟังเพลงเขาออกทุกเพลง พี่โคตรอยากขอบคุณ westlife เลยที่ทำให้พี่สอบวิชาภาษาอังกฤษได้ท็อปตลอด” ผมเล่ายิ้มๆ จำได้ว่าตอนนั้นชอบมากถึงขนาดขอแม่ไปเรียนพิเศษภาษาอังกฤษตั้งสองที่ เพราะอยากจะเป็นเร็วๆ



“แล้วภู กับ คราม มีสอบเหมือนพี่มั้ย?”



“เคยพี่ ตอนอยู่ม.ต้นมั้ง ภูร้องเพลง criminal ของบริทนี่เนี่ยเหละ แม่คะ! หนูหลงรักอาชญากร >3<” ภูผาทำเสียงเล็กเสียงน้อยที่ประโยคหลัง



“คิดไงเลือกเพลงนั้น …มันเร็วนะ ร้องทันหรอ” ตอนนั้นผมไม่กล้าเลือกเพลงเร็วไปสอบเลย จำได้ กลัวร้องผิด - -;;



“ก็ภูชอบเพลงเร็วอ่ะ อีกอย่างถ้าฟังดีๆ เพลงนี้ศัพท์มันง่าย คำซ้ำเยอะ bum bum bum gun gun gun ง๊ายง่าย”



“ครามร้อง imagine ของ John Lennon”



“เพลงมึงฟังแล้วโคตรน่านอนเลย กูฟังมึงซ้อมร้องแล้วง่วงแทนว่ะ ฮ่าๆ ”



“พี่ทีรู้ปะ ไอ้ภูนะแหกปากซ้อมร้องเช้าเย็น จนโดนพ่อด่าเลย ว่าน่ารำคาญ แหกปากอยู่ได้ เหอะๆ ๆ ”



เรานอนคุยกันอย่างนั้นหนึ่งชั่วโมง ก่อนที่ภูผาจะเป็นฝ่ายบอกให้ทุกคนลุกขึ้นมาติวกันต่อ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ



ผมขุดหนังสือทุกเล่มขึ้นมาให้ภูผากับฟ้าครามทำกันจนจะหมดแล้ว ผ่านไปแค่สิบวันเองนะเนี่ย ผมเป็นปลื้มแทนอาแอ๋มจนต้องแอบโทรไปรายงาน อาแอ๋มขอบอกขอบใจผมใหญ่ (อีกแล้ว) ผมเขียนชื่อหนังสือเป็นลิสต์เอาไว้ บอกให้อาแอ๋มจดตาม แล้วไปซื้อมาให้เพิ่ม



“ภู คราม ทำคณิตชุดสุดท้ายของบทนี้ กับ เคมีชุดสุดท้ายเล่มฟ้า เสร็จแล้วพักได้เลยนะ”



“ทำแค่นี้แล้วหมดแล้วใช่มั้ย?” ฟ้าครามเปิดย้อนไปดูหน้าก่อนๆ และ หนังสือเล่มอื่นๆ ที่ทำมา



“เหลือแค่นี้ … ถ้าทำเสร็จก็เท่ากับพวกนายทำครบทุกเล่มที่อาแอ๋มซื้อมาแล้ว ดีใจด้วย”



“เย้! หมดซะที เป็นไทแล้วโว้ย!” สองคนนั้นดีใจกันยกใหญ่ ผมได้แต่มองน้องสองคนที่ดูกระตือรือล้น นั่งทำข้อสอบกันใหญ่ เพราะคิดว่าเป็นข้อสอบสองชุดสุดท้ายแล้ว …



หึๆ ๆ เดี๋ยวก็รู้ ว่าจะเป็นทาส หรือ จะเป็นไท



“ภูผา ฟ้าคราม พรุ่งนี้พี่ไม่อยู่บ้านนะ จะไปเที่ยวกับเพื่อน” ผมบอก ขณะที่สองแฝดกำลังนอนอ่านการ์ตูนอยู่บนเตียงผม



“พรุ่งนี้…อ๋อ วันเสาร์ …งั้นภูกับครามกลับไปอยู่บ้านเสาร์อาทิตย์นี้ได้มั้ยพี่ แล้ววันจันทร์ค่อยกลับมาติวต่อ”



“เอางั้นก็ได้ เจอกันวันจันทร์นะ” เออ ก็ดีเหมือนกัน ผมจะได้มีเวลาพักผ่อนบ้าง เกือบลืมไปแล้วนะเนี่ยว่าคำว่าสงบสุขสะกดว่าอย่างไร คอผมก็เริ่มจะแสบนิดๆ แล้วสิ ใช้เสียงมาหลายวัน ดีที่เดี๋ยวนี้เหมือนอากาศจะร้อนมากๆ พอสองคนนั้นเปิดแอร์หนาวจัดตอนกลางคืนผมเลยพอนอนได้ แต่ก็ต้องทำข้อตกลงกันว่าไม่ให้ปรับอุณหภูมิต่ำไปกว่า 22 องศาเด็ดขาด



ผมโทรไปบอกอาแอ๋มให้เอาหนังสือที่ผมบอกให้ซื้อ มาให้สองคนนี้ทำช่วงหยุดสองวันด้วย ผมกำหนดจำนวนแบบฝึกหัดที่น้องต้องทำฝากฝังอาแอ๋มเอาไว้เรียบร้อย แล้วก็เข้านอนแต่หัวค่ำ



เปรี้ยวปากมานาน อยากออกไปท่องราตรี พร้อมนารี(?) และ สุรา จะตายแล้วโว้ยยยยย !







---------------------------------------------------------------------------



หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 17-02-2018 20:29:02
                                                                ตอนที่ 9  วันธรรมดาๆ







(บทฟ้าคราม)



‘ภู คราม ไม่ต้องกลับมานะลูก บ้านน้ำไม่ไหล ข้างบ้านต่อเติมบ้านแล้วทำท่อส่งน้ำแตก’ เสียงแม่ดังมาตามสาย พวกผมนี่งิดเลย=_= สรุปคือพวกเรายังต้องนอนพื้นต่อไปสินะ อุตส่าห์หวังว่าจะได้กลับไปนอนเตียงนุ่มๆ แล้วแท้ๆ เชียวTwT



พอคุยโทรศัพท์กับแม่เสร็จพวกเราก็ได้แต่ถอนหายใจ วันนี้เป็นวันเสาร์ พี่ทีออกไปไหนกับเพื่อนไม่รู้ตั้งแต่ก่อนพวกเราจะตื่นซะอีก



ผมลุกจากพื้นขึ้นมานอนกลิ้งบนเตียง ไอ้ภูก็ด้วย เราสองคนนอนเบียดๆ กันอยู่บนเตียงที่มีกลิ่นหอมเย็นๆ เหมือนกลิ่นมิ้นท์ มันเป็นกลิ่นที่จางมาก แต่พวกผมก็ชอบ เวลาได้กลิ่นนี้ทีไรรู้สึกใจมันสงบขึ้นยังไงไม่รู้ คงเพราะว่ามันเป็นกลิ่นประจำตัวพี่ทีล่ะมั้ง



ผมนอนคว่ำหน้า สูดกลิ่นหอมๆ จากหมอน กลิ่นมันจางมาก ก็เลยต้องเอาจมูกไปชิดๆ สูดให้แรงๆ …เฮ้ย ทำไมกรูดูโรคจิตยังไงชอบกลวะ=_=;;



ไอ้ภูนอนดูหนังจากในไอโฟนอยู่ข้างๆ ผม เราใช้เวลาแทบจะตลอดช่วงเช้าหมดไปกับการนอน เล่นคอม ดูหนัง แทนที่จะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านทบทวน ก็ทำไงได้ มันไม่มีอารมณ์นี่หว่า พอไม่มีคนคุมพวกผมก็เหลวกันแบบนี้แหละ



“เบื่อว่ะ…” ไอ้ครามพูดขึ้นหลังจากดูหนังจบไปสามเรื่อง และผมหลับไปสามตื่น



“…เหมือนกัน” 99 เปอร์เซ็นต์ ผมรู้สึกยังไง มันจะรู้สึกยังงั้นด้วยตลอด นี่สินะสายใยของฝาแฝด



เราสองคนลุกขึ้นมาเดินไปมารอบๆ ห้อง ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่พวกผมยังไม่ได้สำรวจห้องนี้ดีๆ เลย เอาวะ ไหนๆ เจ้าของห้องก็ไม่อยู่แล้ว ขอดูนิดดูหน่อยพี่ทีคงไม่หวงหรอกน่า



“ชิ! โน๊ตบุ๊คล็อกรหัส” ไอ้ภูจิ๊ปากอย่างขัดใจ มันถือวิสาสะเปิดโน๊ตบุ๊คของพี่ทีครับ อืม เป็นความคิดที่ดีนะมึง ส่วนใหญ่ความลับของผู้ชายมักอยู่ในมือถือกับคอมทั้งนั้นแหละ!



ไอ้ภูพยายามกดรหัสมั่วๆ ไปสี่ห้าที พอไม่ได้มันก็ปิดไปอย่างเซ็งๆ ผมเลิกสนใจมัน หันกลับไปเปิดตู้ไม้ขวามือที่พี่ทีชอบเปิดหยิบหนังสือออกมาบ่อยๆ ดูบ้าง แหยะ มีแต่หนังสือเรียนทั้งนั้นเลย มีชีตตั้งแต่ม.ปลายเก็บไว้ด้วย ผมปิดตู้ทันที พอดีเป็นโรคบิ๊บิโอโฟเบียน่ะ เห็นหนังสือแล้วขยะแขยง



“โห…เฮ้ย คราม มึงดู” ผมหันกลับไปตามเสียงเรียก ไอ้ภูเปิดตู้เสื้อผ้าพี่ทีออก ในนั้นเสื้อผ้ามีแต่สีซ้ำๆ กันทั้งนั้น โทนดำ เทา ขาว น้ำเงิน โดยเฉพาะเสื้อสีดำนี่มีเยอะมาก ผมว่าพี่เค้าน่าจะใส่อะไรที่มันดูสดใสกว่านี้หน่อยนะ …อ๊ะ มีนี่ เสื้อค่ายสีอย่างสดเชียว โห กางเกงเลทุกสีมีเป็นตั้งเลยนี่หว่า



ผมเปิดลิ้นชักตู้เสื้อผ้าดู เผื่อจะเจอถุงยงถุงยางอะไรบ้าง แต่ก็ไม่มี ทำไมผมต้องรู้สึกโล่งใจแปลกๆ ด้วยวะที่ไม่เจอถุงยางพี่เขา เอาเหอะ รื้อต่อ …ว้า ไรเนี่ย มีแต่กางเกงใน บ๊อกเซอร์ ถุงเท้า



ต่อไปก็เป็นโต๊ะทำงาน ไอ้ภูหยิบถ้วยสีทองสามถ้วยขึ้นมาดู อื้อหือ ไปแข่งได้ถ้วยกลับมาด้วย เก่งว่ะ พี่ใครวะ …ปฏิทินตั้งโต๊ะที่จดวันเกิดคนสำคัญเอาไว้ จดงาน จดนัดต่างๆ ก็ไม่มีอะไร แต่เปิดๆ ไปผมก็สะดุดเข้ากับวลีสั้นๆ วลีหนึ่ง ‘วันเกิดก้อย’ ตั้งแต่เปิดมา มีแต่ชื่อเพื่อนผู้ชายทั้งนั้น ก้อยนี่ใครวะ?



ผมหันไปสบตากับไอ้ภูอย่างรู้กัน พวกเรารู้สึกไม่ชอบใจเอาเสียเลย ไม่รู้ทำไมต้องไม่พอใจ บางทีอาจจะเป็นเพราะเราอยู่ด้วยกันมาหลายอาทิตย์พวกผมก็เลยเกิดความผูกพันจนรู้สึกหวงพี่เขาล่ะมั้ง แต่กับพี่เฟิร์สพวกเราไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะ พี่แกจะไปทำอะไรยังไงกับใครมีแฟนกี่คน เราไม่เคยไม่พอใจเหมือนที่เป็นอยู่ในตอนนี้เลย



พวกเราได้แต่เก็บความสงสัยปนหงุดหงิดไว้ในใจแล้วเริ่มต้นเล่นเกมสำรวจห้องกันต่อ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว มีแต่ชีต รายงาน หนังสือเรียน แค่นั้นจริงๆ ให้ตายเหอะ ทำไมเป็นห้องที่ไม่มีความเร้าใจเอาซะเลยวะ นี่ใช่ห้องผู้ชายจริงๆ ป่ะเนี่ย หนังสือโป๊ก็ไม่มี จะค้นดูคลิปในโน๊ตบุ๊คก็ติดรหัส



กึกๆ ๆ



ไอ้ภูพยายามเปิดตู้เหล็กริมหน้าต่างที่พี่ทีไม่เคยเปิดให้พวกผมเห็นเลย



“โอ๊ย! ล็อกอีกแล้วว่ะแม่ง ต้องมีความลับอะไรซ่อนไว้แน่ๆ มึงว่ามั้ย”



“พี่ทีฉลาดว่ะ ล้วงความลับอะไรไม่ได้สักอย่าง” ผมนั่งลงบนขอบเตียง มองไอ้ภูพยายามงัดแงะตู้เหล็กหลังนั้น พอไม่สำเร็จ มันก็เดินกลับมานอนข้างๆ ผม



“โคตรรอบคอบเลย” เออ กูก็ว่างั้นแหละ นี่คงเริ่มล็อกตั้งแต่พวกผมมาอยู่ด้วยสินะ โอ๊ย ให้ตายเหอะ พี่มีความลับไรวะ พวกผมอยากรู้นะเว้ย! ยิ่งล็อกกูยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่



สุดท้ายพวกเราก็มาจบลงด้วยการนอนกลางวันบนเตียงนุ่มๆ เปิดแอร์เย็นๆ เฮ้อ สบายจริงๆ



แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนมันขาดอะไรสักอย่างไป อาจจะเป็นเพราะขาดผู้ชายตัวผอมสูง ใส่แว่น ยิ้มอบอุ่นมีกลิ่นหอมเย็นๆ ติดตัวคนนั้นก็ได้



เมื่อไหร่จะกลับมาสักที…คงไม่ใช่ว่าออกไปกับผู้หญิงที่ชื่อก้อยหรอกนะ







พี่ทีกลับมาที่บ้านในวันต่อมาซึ่งเป็นวันอาทิตย์ตอนสายๆ เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นเราสองคนนั่งตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือกันอยู่ที่โต๊ะญี่ปุ่น หลังจากได้รู้เรื่องราวต่างๆ ว่าทำไมเรายังอยู่ที่นี่ พี่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่ถามว่าอยู่บ้านอ่านหนังสือไปถึงไหนแล้วก็เท่านั้น



ที่จริงเราสองคนเพิ่งจะมานั่งทำท่าอ่านหนังสือกันก็ตอนที่ได้ยินเสียงเปิดประตูบ้านนั่นแหละ เจ้าเล่ห์ปะล่ะ พี่ทีเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบกางเกงเลสีเขียวกับเสื้อยืดสีส้มโยนลงบนเตียง แล้วถอดเสื้อยืดกับกางเกงยีนที่สวมอยู่ออกจนเหลือแต่บ๊อกเซอร์เดินโทงๆ เตรียมหยิบผ้าเช็ดตัวไปอาบน้ำ



ผมกับครามมองไปยังแผ่นหลังขาวๆ นั้นแล้วกลืนน้ำลายพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เฮ้ยๆ ๆ ! อย่าหันมาสิพี่ อร๊ากก หะ…หัวนมชมพู อึก! ...น่าเลียชิบ…เอ๊ย! ..น่ากัด…เฮ้ยไม่ใช่แล้วโว้ย= [] =;;;!



จู่ๆ พวกเราก็รู้สึกขัดเขินขึ้นมาอย่างไม่รู้เหตุผล หรือเพราะว่าหนังโป๊ที่เพิ่งโหลดมาดูเมื่อคืนวะ เลยทำให้อารมณ์มันขึ้นง่ายกว่าที่เคย แต่…เย้ย! นี่มันผู้ชายนะ กูจะไปมีอารมณ์เพราะเห็นหัวนมชายชาตรีได้ยังไง!



“พี่ที ไปถอดในหะ…” ไปถอดในห้องน้ำไม่ได้เหรอไง…ใจผมอยากจะบอกแบบนี้ คือไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นผู้ชายด้วยกันแก้ผ้า เคยขนาดเล่นเอาไอ้นั่นมาฟาดฟันกันเป็นดาบกับเพื่อนสมัยเข้าค่ายก็เคยมาแล้ว แต่กับพี่ที …ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงดีอ่า



“พี่ที! ครามอาบด้วย” ไอ้ครามพูดทับประโยคผมเสียฉิบ ผมมองหน้ามันอย่างตกใจ มันคิดอะไรของมัน อาบไปตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วไม่ใช่หรอวะ แล้วทำไมต้องไปอาบพร้อมกัน ทำไมมึงไม่รออาบทีหลัง ทำไมๆ ๆ -*-



“นี่เรายังไม่ได้อาบน้ำอีกหรอ ปกติเห็นอาบแต่เช้าแล้วนี่” พี่ทีเลิกคิ้ว



“อาบแล้ว แต่อากาศมันร้อน ก็เลยจะอาบอีก”



“งั้นรอแปบ พี่อาบเดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้ว”



“โอ๊ย! เสียเวลาจะตาย อาบพร้อมกันก็ได้พี่ ไม่เปลืองน้ำดี พี่อาบน้ำมันก็กระเด็นมาโดนผมด้วย อีกอย่างรีบอาบจะได้รีบกลับมาอ่านหนังสือไงพี่”



“…เอางั้นก็ได้ งั้นภูอ่านชีวะรอไปนะ” พี่ทียิ้มให้ผมบางๆ ก่อนจะออกจากห้องไปพร้อมกับไอ้คราม มันให้พี่ทีเดินนำไปแล้วมันเดินรั้งท้าย มันหันหน้ามาทำมือซ้ายเป็นรูปตัวโอ มือขวาชูนิ้วกลางขึ้นมาจิ้มตรงกลางตัวโอ พลางทำหน้าตาเจ้าเล่ห์



ขณะที่ผมได้แต่อ้าปากพะงาบๆ สองคนนั้นก็หายเข้าไปในห้องน้ำแล้ว มีเสียงหัวเราะ เสียงพูดคุยดังออกมาจากในห้องน้ำตลอดเวลา ให้ตาย! ทำไมกูต้องหงุดหงิดด้วยวะ



ปังๆ ๆ ๆ !!



“เปิดประตูหน่อยยยยย!”



“มีไรฮึภูผา” เสียงพี่ทีดังลอดออกมา



“ปวดฉี่ครับพี่”



“ไปฉี่ส้วมข้างล่างดิไป” เออ กูลืมไปได้ยังไงว่าชั้นล่างมีห้องน้ำที่เอาไว้ปลดทุกข์อย่างเดียวอยู่ด้วย



“…” เฮ้อ เออ ไม่ฉ่งไม่ฉี่มันแล้ว ช่างแม่ง!





ตกกลางคืนหลังหกโมงเย็นเราก็ยุติการติว พี่ทีปล่อยให้พวกเราพักผ่อนกันตามอัธยาศัย ผมขึ้นไปนอนเบียดอ่านการ์ตูนบนเตียงกับพี่ทีที่ก็อุตส่าห์ใจดีแบ่งที่ให้ผมได้ขึ้นไปนอนด้วยชั่วคราว เราสองคนนอนเบียดจนไหล่ติดกัน แต่ก็ไม่ได้อึดอัดจนเกินไปนัก ผมได้กลิ่นคล้ายๆ พวกเมนทอลจากผมพี่เขา คงจะเป็นกลิ่นของไอ้ยาสระผมขวดฟ้าที่โฆษณาว่าใช้แล้วเย็นจนเกล็ดน้ำแข็งเกาะหนังกบาลนั่นล่ะมั้ง หอมดี ไม่ฉุนด้วย ดมแล้วสดชื่น



ส่วนไอ้ครามก็นั่งดูซีรี่ส์สืบสวนของมันไป เราสามคนทำในสิ่งที่ตนเองชอบอยู่ในห้องเดียวกันไปเงียบๆ เป็นความสงบที่ผมนึกชอบขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ต้องคุย ไม่ต้องหยอกล้อกันก็ได้ แค่ใช้เวลาอยู่ร่วมกันเงียบๆ ทำกิจกรรมที่ตนเองชอบแต่ในขณะเดียวกันก็มองเห็นกันและกันอยู่ในคลองสายตาก็มีความสุขแล้ว



แล้วความสุขเล็กๆ นี้ จะดำเนินไปได้อีกนานแค่ไหนกันนะ…บางทีมันอาจจะจบลงในไม่ช้าแล้วล่ะ



แค่คิด ผมก็ใจหายแล้ว…









เช้าวันจันทร์ผมกับครามตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเอื่อยๆ ขี้เกียจยังไงไม่รู้ ไม่อยากทำไรเลย อยากนอนต่อ แต่ก็นอนไม่ลงเพราะพี่แกเล่นปิดแอร์แต่เช้ามืดพวกผมจะลุกขึ้นมาเปิดก็ไม่กล้า กลัวโดนด่า เลยได้แต่นอนทนร้อนเหงื่อแตกซ่ก ในที่สุดก็ทนนอนต่อไม่ไหวต้องฝืนใจตื่นขึ้นมาอาบน้ำ



พี่ทีหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เก็บเตียงเรียบร้อยเชียว คงลุกออกไปนานแล้วล่ะ พวกเราเดินตามหา เปิดห้องนู้นห้องนี้ก็ไม่เจอ



ขณะที่ผมกำลังจะปิดผ้าม่านลงเพราะแดดแยงตา ก็เห็นพี่ทียืนถือถุงจากร้านสะดวกซื้ออยู่ที่ฝั่งตรงข้ามกับบ้าน ผมรีบลากไอ้ครามที่กำลังจะเดินเข้าห้องน้ำให้ข้ามไปเป็นเพื่อน พี่ทีเลิกคิ้วมองเราอย่างแปลกใจ



“อ้าว ไมตื่นเช้ากันจัง เห็นปกติตื่นกันเก้าโมงไม่ใช่หรอ” ก็วันนี้มันไม่ปกติเพราะพี่เล่นปิดแอร์แต่เช้ามืดไง ใครจะไปหลับลง ร้อนตับแตก จะกลายเป็นไก่แฝดแดดเผาอยู่แล้ว-*-



“แล้วพี่มาทำอะไร ปกติก็นอนตื่นสายพอๆ กับภูครามไม่ใช่หรอ”



“พี่ตื่นมาใส่บาตรให้อากง เมื่อก่อนตอนอากงยังไม่เสีย อากงชอบตื่นมาใส่บาตรให้อาม่าทุกวันพระ ตอนนี้กงไม่อยู่แล้ว พี่เลยตื่นมาใส่แทน”







(กลับมาสู่บทของที)



“พวกเราใส่ด้วยนะ” ผมเลิกคิ้ว



“อยากใส่ก็ใส่ดิ จะมาขอพี่เพื่อ?”



เจ้าสองแฝดลากผมกลับเข้าไปในร้านอีกครั้ง เพื่อเลือกซื้อของมาตักบาตรพระ



“ของตักบาตรต้องมีอะไรบ้างอ่ะพี่” ฟ้าครามถามขณะที่พวกเราเข้ามายืนอยู่กลางร้าน



“ไม่รู้ดิ ชอบกินอะไรก็ใส่อันนั้นไปแค่นั้นแหละ” ผมตอบ อันที่จริงเวลาใส่บาตรมันต้องมีข้าว กับข้าว น้ำ ของหวาน แล้วก็ดอกไม้สักช่อใช่ไหมครับ แต่ผมเห็นว่ามีคนใส่แบบนั้นเยอะแล้ว ผมเลยเลือกที่จะใส่บาตรสิ่งที่ผมชอบให้พระท่านฉันดีกว่า



แต่ดูเหมือนว่าผมจะให้คำแนะนำพลาดๆ ไปแล้วแฮะ…=_=;;;



“กูชอบกินเลย์รสนี้ ใส่ไปสามถุงเลยดีกว่า ตายไปกูจะได้มีเลย์กิน” ไอ้ครามหยิบเลย์รสโนริสาหร่าย ใส่ตะกร้าไปสามถุง



“งั้นกูซื้อนี่ใส่บ้างดีกว่า ตายไปกูจะได้มีกิน” ภูผาหยิบช็อกโกแลตห่อทองซองละหกลูกใส่ตะกร้าไปสองซอง



“เฮ้ยๆ ๆ มาม่ารสนี้อร่อย กูชอบ” แล้วก็หยิบใส่ตะกร้า จึ๊บบบ



“ใส่น้ำแป๊บซี่ไปด้วยดีกว่า เผื่อบนสวรรค์ไม่มีให้กูกิน…”



“มึงๆ ๆ ซื้อน้ำแข็งยูนิตอีกถุงด้วย เดี๋ยวตายไปได้กินแต่แป๊บซี่ไม่เย็นนะเว้ย!”



“เออจริงด้วย! กูพลาดไปได้ยังไง….”



….ผมชักสงสารพระรูปที่จะต้องรับบาตรไอ้สองตัวนี้แล้วสิ อโหสิให้ผมด้วยนะครับหลวงพี่ ผมไม่ได้ตั้งใจT_T ผมบอกให้มันเอาถุงน้ำแข็งยูนิตออกแล้วแต่มันไม่ฟัง เถียงขาดใจว่าถ้าตายไปแล้วมันไม่ได้กินน้ำเย็นมันจะมาหลอกหลอนผม =_=’ ’’







ผมนั่งเท้าคางมองคนหน้าตาเหมือนกันสองคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำโจทย์อยู่ด้านข้าง และ ตรงข้ามผม เราสามคนนั่งล้อมโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กๆ ติวหนังสือกันเหมือนทุกวันที่ผ่านมา ไม่น่าเชื่อว่าอีกสิบกว่าวันน้องก็จะสอบรอบสองแล้ว ตอนนี้เนื้อหาทุกวิชาเก็บครบเรียบร้อย ผมมีหน้าที่แค่นั่งคุมให้สองคนนี้ทำข้อสอบ กับเฉลยคำตอบ เลยว่างสุดๆ ผมลุกขึ้นไปนอนอ่านการ์ตูนบนเตียง โคตรฟินเลย เปิดแอร์เย็นๆ หนุนหมอนนุ่มๆ อ่านหนังสือที่ชอบ เฮ้อ นี่แหละสิ่งที่เรียกว่าปิดเทอม



“พี่ที นอนด้วย ปวดหลัง” ภูผาหยิบหนังสือกับดินสอขึ้นมาล้มตัวนอนลงข้างๆ ผมเขยิบที่ให้มันขึ้นมานอนด้วย ภูผานอนติ๊กคำตอบอยู่ข้างๆ ผม ห้องเงียบจนได้ยินกระทั่งเสียงนาฬิกาเดิน แต่แปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกอึดอัดเหมือนช่วงแรกๆ ยอมรับเลยว่าตอนนั้นเซ็ง หงุดหงิด อึดอัดมาก ไม่ชอบเลยไอ้การให้ใครมาแชร์ห้องด้วยเนี่ย แต่ตอนนี้เริ่มชินแล้วกับการใช้ชีวิตอยู่กับเจ้าแฝดยี่สิบสี่ชั่วโมง กินข้าวและเข้านอนพร้อมกัน



แรกๆ ไม่ชอบเลยนะเวลาน้องขึ้นมานอนเบียด รำคาญ อึดอัด อยากจะด่าแม่งให้กลับลงไปนอนด้านล่างเตียง แต่ตอนนี้น่ะเหรอมึงอยากจะนอนก็นอนไปเหอะ นอนเบียดๆ กันก็ดี อุ่นดี แล้วไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่านะว่ายิ่งสองคนนั้นขึ้นมานอนเบียดกับผมบ่อยเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกสนิทกับพวกมันมากขึ้นเท่านั้น พวกนั้นเองก็ดูจะสงบเสงี่ยมว่านอนสอนง่ายดีเวลานอนข้างผม ใช้มันลุกไปทำอะไรมันทำหมดอ่ะ ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกนี้ยังไง แต่เหมือนเราใกล้กันมากกว่าเดิมล่ะมั้ง



“วันเสาร์ไปไหนมาอ่ะ” ภูผาถามขึ้นทำลายความเงียบ



“ไปเที่ยวกับเพื่อนไงบอกไปแล้วนี่” ผมตอบ ยังคงไม่ละสายตาไปจากหนังสือในมือ



“เที่ยวไหนอ่อ?” คราวนี้ฟ้าครามที่นั่งอยู่ด้านล่างถามขึ้นบ้าง



“ทำโจทย์ไปๆ อย่ามาชวนคุยน่า รู้ทันนะว่าจะอู้” ผมยิ้มขณะที่ตายังคงไม่ละไปจากหนังสือการ์ตูนเช่นเดิม



“ไม่ได้จะอู้ ครามก็แค่ถามเฉยๆ ”



“ทำโจทย์เสร็จก่อนแล้วจะบอก”



“ไม่เอาอ่ะ อยากรู้ตอนนี้” ภูผาที่นอนข้างๆ เซ้าซี้



“รู้แล้วพวกมึงจะได้อะไรวะ” ผมตอบเสียงเรียบๆ ชักรำคาญว่ะ กูจะไปไหน ทำอะไร ทำไมต้องบอกพวกมึงด้วย เป็นแม่กูหรอฮะ



“ก็แค่ตอบมาคำเดียวก็จบว่าไปไหนมา พวกผมก็ไม่ถามต่อแล้ว แล้วทำไมพี่ต้องทำท่าหงุดหงิดด้วย”



“พี่ไปทำท่าหงุดหงิดตอนไหน?” ผมวางการ์ตูนในมือลง ลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนเตียง อะไรของมันวะ กูนอนอ่านการ์ตูนของกูดีๆ ทำไมต้องมาหาเรื่องด้วย หรืออ่านหนังสือแล้วเครียดเลยมาลงที่กู?



“ก็พี่ขึ้นมึงกูกับพวกภูนี่หว่า” ภูผาลุกขึ้นมานั่งบ้าง



“…คือแค่ขึ้นมึงกูมันไม่ได้หมายความว่าพี่จะโกรธสักหน่อย” ผมพยายามตอบอย่างใจเย็น



“เนี่ยๆ ๆ เวลาพี่อารมณ์ปกติพี่จะแทนตัวเองว่าพี่แบบเมื่อกี้นี้” ครามชี้นิ้วมาที่ผม



“คราม อย่าชี้หน้าคนอื่นแบบนี้ มันไม่สุภาพ”



“งั้นแบบนี้สุภาพป่ะพี่” ครามใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางชี้มาที่ผมแทนการชี้ด้วยนิ้วชี้นิ้วเดียวเหมือนเมื่อสักครู่นี้



“โอ๊ย! ยิงพี่ทำไม อะเฮือกกกก” ผมแกล้งทำเป็นจับอกด้านซ้าย กระตุกทีนึง แล้วล้มตึงลงไปบนเตียง ไอ้แฝดนรกสตั๊นไปสามวิกว่าจะเก็ทมุกผมแล้วหัวเราะออกมา



“เอ้าๆ หมดเวลาเล่นแล้ว อ่านหนังสือๆ ” ผมกลับมานอนท่าเดิม หยิบการ์ตูนขึ้นมาอ่านอีกครั้ง สองคนนั้นยอมกลับไปตั้งใจทำข้อสอบแต่โดยดีหลังจากหัวเราะกันเสร็จแล้ว



สองแฝดลืมไปเสียสนิทว่ายังไม่ได้รับคำตอบเรื่องไปไหนมาจากผมเลย





หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 17-02-2018 20:37:31
                                                                  ตอนที่ 10  Goodbye bro



อีกเจ็ดวันกว่าจะถึงวันสอบ





“พี่ที กลางวันนี้เราทำไรกินกันเองมั้ย เบื่อข้าวแกงแถวนี้แล้วอ่ะ” ฟ้าครามเสนอขึ้นหลังจากเพิ่งตรวจแบบทดสอบฟิสิกส์เสร็จ



“ทำเป็นหรือไง” ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ



“เป็นๆ เดี๋ยววันนี้ภูกับครามจะโชว์ฝีมือทำอาหารญี่ปุ่นให้กินเอาป่ะ”



“มาม่าอ่ะหรอ มุกนี้เก่าแล้วนะ วันหลังไปคิดมาใหม่ไป”



“ให้เดานะ ครามว่าพี่ทีต้องเป็นตัวตัดมุกประจำกลุ่มแน่เลย!” ผมคิดตามที่ไอ้ครามมันพูด เออ ก็จริง ไอ้ป๊อกเป็นตัวชงมุกประจำกลุ่ม แล้วผมเนี่ยแหละชอบตัดมุกมันประจำล่ะ เหอๆ ๆ



สุดท้ายมื้อกลางวันเราก็มาจบกันที่มาม่าใส่ไข่กับหมูสับจนได้



“พี่ทีภูมีไรจะบอก”



“ว่า?”



“ภูกับครามจะกลับบ้านพรุ่งนี้นะ”



“อ้าว เฮ้ย อีกแค่อาทิตย์เดียวเอง จะกลับไปทำไมตอนนี้” ผมถามอย่างตกใจ มือที่กำลังคีบเส้นร้อนๆ หอมกรุ่นชะงักไปทันที



“ก็ครามเห็นว่าเราติวเนื้อหาจบไปหมดแล้ว ที่เหลือตอนนี้มันก็แค่ทำโจทย์ กลับไปทำเองที่บ้านก็ได้”



ผมเริ่มคิดหนัก พยายามตีความว่าสิ่งที่ไอ้ครามพูดมามันเป็นความคิดของมันจริงๆ หรือมีเหตุผลอื่นแอบแฝงกันแน่ อยู่กิน เอ๊ย! อยู่กันมาได้ตั้งเป็นเดือนๆ อยู่ต่ออีกแค่อาทิตย์เดียวมันจะตายหรือไงฟะ



“มีอะไรรึเปล่าเนี่ย ทำไมจู่ๆ รีบกลับกันจัง” ผมหรี่ตามองสองคนที่นั่งตรงข้าม ก่อนจะรู้สึกเหมือนจับพิรุธได้ รู้สึกเหมือนภูผาทำหน้านิ่งแปลกๆ ทั้งที่ปกติผมไม่ค่อยจะเห็นมันทำหน้าแบบนี้ยกเว้นตอนอ่านหนังสือกับอารมณ์ไม่ดี ส่วนฟ้าครามก็ทำตาหลุกหลิกไปหน่อย ถึงปกติจะดูไฮเปอร์อยู่แล้ว แต่วันนี้มันดูแปลกจริงๆ เมื่อวานตอนที่ผมออกไปซื้อของที่ห้างให้แม่ตอนเย็นๆ ไอ้สองคนนั้นมันแอบก่อเรื่องอะไรหรือเปล่าวะ



“ก็อาทิตย์สุดท้ายแล้ว ภูกับครามเลยอยากจะกลับไปอ่านที่บ้านตัวเองบ้างไรบ้าง แบบว่า คิดถึงพ่อแม่อ่ะ ไม่ได้เจอมาหลายอาทิตย์แล้วด้วย อีกอย่างเดี๋ยวพี่ทีก็ต้องไปเรียนซัมเมอร์แล้วใช่ป่ะ ครามก็เลยไม่อยากรบกวนเวลาพี่ทีไปมากกว่านี้”



“…หรอ เดี๋ยวพี่กินเสร็จแล้วขอโทรคุยกับอาแอ๋มก่อนแล้วกันนะ”









น้ำเสียงอาแอ๋มดูแปลกๆ ไปเล็กน้อย ท่าทางอึกอักเหมือนมีอะไรอยู่ในใจ ผมไม่กล้าถามซอกแซกว่าเป็นอะไร มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่บ้านนั้นรึเปล่า เพราะมันไม่ใช่นิสัยผม เราคุยกันแค่สั้นๆ อาแอ๋มรู้อยู่แล้วว่าสองคนนั้นจะกลับบ้านพรุ่งนี้เพราะภูผาโทรไปบอกเธอตั้งแต่เมื่อคืน เอาเถอะ อยากกลับก็กลับ ผมไม่ได้แคร์อะไรอยู่แล้ว อาจจะรู้สึกโหวงๆ ไปบ้าง แต่เดี๋ยวก็คงกลับมาชินกับการนอนคนเดียวเหมือนเดิม



ใจนึงก็ห่วงน้อง ไม่รู้อยู่บ้านตัวเองมันจะยอมอ่านหนังสือหรือเปล่า แต่อีกใจก็บอกว่าช่างแม่งเหอะ ผมส่งมันถึงฝั่งตั้งแต่ติวสรุปเนื้อหาจบแล้ว ที่เหลือเป็นหน้าที่ของมันแล้วที่จะต้องไปฝึกฝนเอาเอง ที่ฟ้าครามพูดมันก็จริง อีกไม่นานผมก็ต้องไปเรียนซัมเมอร์ที่มหา’ ลัย สู้ใช้เวลาว่างทำสิ่งที่ตัวเองชอบดีกว่ามานั่งติวงกๆ



สุดท้าย ความรักสบายก็เข้าครอบงำการตัดสินใจ ผมเลยยอมให้พวกมันกลับไปโดยไม่ทักท้วงอะไรอีก วันนี้หลังจากติวเสร็จ สองคนนั้นแทนที่จะต่างคนต่างไปทำกิจกรรมของตัวเองกลับลากผมมานอนดูหนังด้วยกัน เป็นหนังดังที่เพิ่งออกจากโรง พวกผมใช้เก้าอี้เป็นที่วางแม็คบุ๊คชั่วคราว เราสามคนนอนเรียงกันบนพื้น ปิดไฟ เปิดแอร์ ให้อารมณ์เหมือนอยู่โรงหนังมาก ดูไปไม่นานหนังตาก็ชักจะหนักอึ้ง ไม่รู้เมื่อไหร่ที่ผมเผลอหลับไปทั้งๆ ที่ยังนอนอยู่บนที่นอนของสองคนนั้น…







คืนนั้น ผมฝันว่าตัวเองกำลังเดินอยู่กับพวกไอ้โซล แล้วจู่ๆ ผมก็ล้ม ทุกคนหันมามองผมอย่างตื่นตกใจกว่าปกติ ผมมองตามสายตาพวกมันที่จ้องมาที่ผมตาแทบถลน ก่อนจะเห็นงูสองตัวเลื้อยรัดขึ้นมาตามขาทั้งสองข้าง ผมแหกปากร้องสุดเสียงอย่างหวาดกลัวสุดชีวิต พอเงยหน้าขึ้นจะขอความช่วยเหลือจากเพื่อน ทุกคนก็ถูกงูพันรอบคนละตัว ไอ้แท็คนี่ยิ่งกว่าผมอีกมันโดนงูตัวที่ใหญ่เหมือนล้อรถสิบล้อรัดจนแน่นิ่งไปแล้ว ไอ้ป๊อกกำลังดิ้นพราดๆ หนีจากงูเผือกที่พันรอบเอว มีแค่ไอ้ก้อยคนเดียวที่ไม่โดนงูรัดเหมือนคนอื่นๆ



“ก้อยยยยยยยยยยยย ช่วยกูด้วยยยยย!!!!!” ผมร้องสุดเสียง ก่อนจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับเหงื่อที่แตกโซมกาย ก่อนจะพบว่าตัวเองขึ้นมานอนบนเตียงเมื่อไหร่ไม่รู้ ภูผากับฟ้าครามที่กำลังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าหันมามองผมด้วยหน้าตาตกอกตกใจ



“ฝันร้ายหรอพี่ ฝันว่าไรเนี่ย ร้องซะลั่นเลย” ฟ้าครามถาม มือก็พับเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า ตาก็มองมาที่ผมด้วยแววตาประหลาดๆ



ผมลูบหน้าลูบตา ก่อนจะรู้สึกโล่งใจที่มันเป็นแค่ความฝัน ตลบผ้าห่มมองขาตัวเองดูก็ไม่มีตัวอะไรพันอยู่ เฮ้อ โล่งอกๆ



“เออ โคตรฝันร้ายเลย…” ผมตอบก่อนจะลุกขึ้นหยิบผ้าเช็ดตัวเดินออกไปอาบน้ำ ทำให้ผมไม่มีโอกาสได้เห็นภูผาและฟ้าครามมองหน้ากันอย่างมีนัยอะไรบางอย่าง







และแล้วความสงบสุขก็กลับมาเยือนชีวิตผมอีกครั้ง



สองคนนั้นหอบข้าวของกลับบ้านพร้อมอาแอ๋มไปแล้ว จบสิ้นกันเสียที เฮ้อออออ ผมถอดเสื้อยืดคอกลมที่ใส่อยู่ออก เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าว่าจะหยิบเสื้อกล้ามมาใส่แทนสักหน่อย อันที่จริงแล้วผมชอบใส่เสื้อกล้ามอยู่บ้าน แต่ตั้งแต่สองคนนั้นมาอยู่ด้วยผมก็เปลี่ยนมาใส่เสื้อยืดแทนเพราะถึงเราจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ผมว่ามันก็ดูไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ที่จะแต่งตัวอย่างนั้นนั่งสอนน้อง อีกอย่างไอ้แฝดหิมะนั่นก็เปิดแอร์หนาวมาก ขืนใส่เสื้อกล้ามมีหวังไม่สบายกันพอดี (นี่ขนาดใส่เสื้อยืดแล้วยังป่วยเลยนะช่วงอาทิตย์แรกๆ จำได้ไหม)



ขณะที่ผมกำลังจะหยิบเสื้อกล้ามขึ้นมาสวม ผมก็ต้องชะงัก



…มีคนมายุ่งกับตู้เสื้อผ้าของผม



ต้องมีคนมายุ่งกับตู้ของผมแน่ๆ เพราะแถวเสื้อกล้ามมันโย้ไปทางซ้ายนิดนึง ถึงจะแค่เล็กน้อย แต่ผมก็สังเกตเห็นเพราะผมเป็นคนที่มีระเบียบในการจัดข้าวของมาก หนังสือต้องเรียงตามความสูง เสื้อผ้าต้องแขวนไล่โทน กางเกงต้องพับตั้งเป็นกองตรงแน่วเช่นเดียวกับเสื้อกล้ามและชุดอื่นๆ ที่ใช้พับแทนการแขวน ผมเริ่มรู้สึกร้อนรนเพราะว่าใต้กองเสื้อกล้ามมันมีตู้ซ่อนเล็กๆอยู่ เป็นที่ที่ผมใช้ซ่อนของสำคัญหรือของที่ไม่อยากให้ใครเห็น



หนึ่งในนั้นที่ผมโคตรหวงคือไดอารี่ที่เขียนหมดเล่มแล้ว กับ ผลสอบตรงที่ต้องการเก็บไว้ดูเป็นที่ระลึกแต่ไม่ต้องการให้ใครเห็น



เวลาจะเปิดตู้นี้ต้องยกกองเสื้อกล้ามออกก่อนแล้วค่อยเปิด ถ้าคนใจร้อนก็จะเปิดโดยไม่ยกกองเสื้อกล้ามออกทำให้แถวมันโย้เย้



ผมหยิบไดอารี่เล่มบนสุดขึ้นมาดู มันเป็นไดอารี่ล็อกได้ที่มีขายทั่วไป แต่ประสิทธิภาพในการป้องกันช่างห่วยแตกสุดๆ คือมีหรือไม่มีก็เหมือนกันอ่ะแหละ ผมมองที่รูกุญแจ มันมีรอยเหมือนโดนอะไรแข็งๆ งัด ทั้งๆ ที่มันไม่เคยมีรอยนี้มาก่อน ผมวางมันลงที่เดิม แค่นี้ก็รู้แล้วว่าทำไมสองคนนั้นถึงต้องรีบกลับกันขนาดนี้ และไม่แน่ว่าอาแอ๋มก็อาจจะรู้ด้วยว่าสองคนนี้ทำอะไรลงไป แต่ก็ยังช่วยกันปกปิด….



ตอนนี้ผมโกรธจนพูดไม่ออกแล้ว โกรธจนไม่รู้จะว่ายังไง รู้สึกเหมือนคนทำคุณบูชาโทษยังไงยังงั้น แม่งไอ้แฝดเลว! ไอ้แฝดนรก! ไอ้ห่า สัตว์นรก ไอ้งูเห่าแว้งกัด ไอ้ๆ ๆ …มึงทำแบบนี้ฆ่ากูเลยดีกว่าไหม! ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยรู้สึกโกรธขนาดนี้เลย



วันนี้! ตอนนี้! กูโกรธ!! โกรธมาก!! ทั้งอับอาย ทั้งกังวล อายที่ไม่รู้ว่ามันอ่านมันรู้อะไรที่ผมเขียนไว้บ้าง กังวลว่ามันจะเอาความลับเรื่องผลการสอบนั่นไปบอกคนอื่นเช่นอาแอ๋ม หรือพ่อแม่ผม แต่ผมว่าเรื่องผลสอบนั่นมันคงบอกอาแอ๋มไปแล้วล่ะ ไม่งั้นตอนโทรคุยกัน กับตอนที่เธอมารับลูกกลับคงไม่ทำหน้าเหมือนมีคำถามกับผมหรอก



ผมรู้สึกเสียดายเวลากว่าหนึ่งเดือนที่ทุ่มเทให้สองคนนั้นขึ้นมาอย่างรุนแรง ผมทั้งด่า ทั้งสาปส่งพวกมันอยู่คนเดียวในห้องเป็นชั่วโมงๆ ความยินดีในตอนแรกที่จะได้กลับมามีชีวิตสงบสุขหายไปในพริบตา แทนที่ด้วยความกังวล และไฟแค้นที่มันสุมทรวง



ตอนนี้ผมโกรธมันสองคนเอามากๆ ต่อไปนี้ผมจะไม่คุย ไม่มองหน้า ไม่ยุ่งเกี่ยวกับมันอีกแล้ว ตัดพี่ตัดน้องแม่งเลย จะไปตายที่ไหนก็ไป เชี่ยเอ๊ย! กูเกลียดพวกมึง!



หลังจากผมก่นด่าพวกมันอยู่พักใหญ่จนคอแห้ง ผมก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง กลิ่นของพวกมันสองคนยังติดอยู่เลย ยิ่งได้กลิ่นยิ่งเจ็บใจ ผมเลยดึงมันออกมาแล้วเอาไปโยนลงเครื่องซักผ้า ตามด้วยปลอกหมอน และทุกอย่างบนเตียงนอน



ผมทรุดตัวลงนั่งพิงเครื่องซักผ้า ชันเข่าขึ้นมาซบหน้าลงไปอย่างเหน็ดเหนื่อย นึกเสียใจกับการตัดสินใจที่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในอกมันปวดหนึบไปหมด ...





หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 9
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 17-02-2018 20:45:03
                                                          ตอนที่ 11 กูจะสมน้ำหน้าพวกมึง!!




ความโกรธที่ผมมีต่อพวกมันจนตอนนี้ก็ยังไม่จางหายไป แต่ผมก็พอจะโล่งใจขึ้นมาหน่อยที่พ่อแม่ดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องผลสอบนั้นของผม แสดงว่าอาแอ๋มไม่ได้ไปบอก หรือไม่สองคนนั้นก็อาจจะไม่ได้บอกอาแอ๋มไปตั้งแต่แรก แต่ถ้าไม่ได้บอกอะไรแล้วทำไมวันนั้นอาแอ๋มต้องทำตัวแปลกๆ ด้วย? หรือว่ารู้เรื่องอื่น? โอ๊ย!! ปวดหัว ช่างแม่งแล้วโว้ย!!



คนที่ทำให้ผมโกรธได้บอกเลยว่ามันเก่งมาก สุดยอดเหี้ยๆ ทำได้ยังไงเนี่ยอยากจะชมเชย ปกติผมเป็นคนที่โกรธยากหายง่ายและไม่เคยจะผูกใจเจ็บกับใครหรอกนะ แต่ไอ้สองคนนั้นมันสุดเขตเสลดเป็ดจริงๆ ด้วยอารมณ์และสภาพจิตใจที่ไม่มั่นคงในตอนนี้ทำให้ผมเริ่มขุดเรื่องเก่าๆ ที่พวกมันเคยทำไว้ในอดีตขึ้นมาอีก เอามารวมกับเรื่องในปัจจุบัน เลยกลายเป็นว่าผมยิ่งเกลียดมันมากขึ้น ยิ่งอยากฉีกทึ้งพวกมันเป็นชิ้นๆ ยิ่งกว่าเดิม



รู้งี้ไม่ติวให้พวกมันก็ดีหรอก ปล่อยแม่งให้ไปเรียนช่างกลแล้วโดนรุมกระทืบตายห่าตายโหงไปเลยก็ดีสมน้ำหน้า อยู่ไปก็หนักโลก



ตลอดอาทิตย์ผมหมดไปกับการนั่งแช่งชักหักกระดูกพวกมัน หมดไปกับการไล่เช็กไดอารี่ทุกเล่มว่ามันอ่านเล่มไหนไปบ้าง เล่มไหนโดนแงะบ้าง แล้วเล่มที่โดนแงะอ่านผมได้เขียนความลับสำคัญหรือเรื่องน่าอายอะไรไว้มากน้อยแค่ไหนอย่างคนวิตกจริต ไดอารี่เป็นเหมือนห้องสารภาพบาปของผม นอกจากจะเขียนเรื่องในชีวิตประจำวันแล้วผมยังใช้มันเป็นที่ระบายความในใจต่างๆ ด้วย เรื่องที่ผมเคยอยากให้อากงตายผมก็เขียนลงไปเพราะรู้สึกอึดอัดและผิดบาปที่คิดอย่างนั้นทั้งที่ไม่อยากคิดแต่มันก็คิดอยู่ร่ำไป ยิ่งคิดผมก็ยิ่งรู้สึกผิด จึงใช้ไดอารี่ช่วยกักเก็บความคิดชั่วๆ นี้ของผมแทน การได้เขียนไดอารี่สำหรับผมก็คือการสารภาพบาปดีๆ นี่เอง ผมจึงต้องซ่อนมันเอาไว้ไม่ให้ใครหยิบเอาไปอ่านได้เด็ดขาด



แต่ตอนนี้มันไม่เหลือแล้ว ไดอารี่ทุกเล่มโดนแงะ …นั่นหมายความว่าความลับของผมจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป ตัวตนอีกตัวตนหนึ่งที่ผมพยายามซ่อนไว้อย่างมิดชิดภาพใต้หน้ากากที่แต่งแต้มรอยยิ้มอยู่เสมอ ถูกคนสองคนค้นพบเข้าซะแล้ว



ผมเฝ้ารอวันประกาศผลสอบตรงรอบสองของWCอย่างใจจดใจจ่อ ผลสอบจะถูกประกาศลงหน้าเว็บอย่างเป็นทางการอีกหนึ่งอาทิตย์หลังการสอบตรง ผมเฝ้าภาวนาทุกวันขอให้มันสอบไม่ติด ให้มันเสียใจ ให้มันไม่มีที่เรียน ให้มันโดนทุกคนรุมประณาม ให้มันได้แต่ก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้และจนตรอกจนถึงที่สุด ให้มันไม่มีอนาคต ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ผมจะสะใจมาก!



ผมเฝ้าจินตนาการวันที่จะได้เห็นว่าในรายชื่อคนสอบติดไม่มีชื่อพวกมันสองคนอยู่ในนั้น ผมจะไปหามันถึงบ้าน หัวเราะเยาะเย้ยพวกมัน เหยียบย่ำกระทืบซ้ำตอกย้ำความพ่ายแพ้และไม่เอาไหนของพวกมันให้ถึงที่สุด คอยดูสิ!!



ไหนๆ พวกมึงก็รู้อีกตัวตนนึงของกูแล้ว คงไม่จำเป็นต้องมานั่งเฟคกันแล้วสินะ เหอะ!



วันนี้ผมตื่นแต่เช้ามานั่งหน้าจอคอมอย่างใจจดใจจ่อ แต่พอกดเข้าไปในหน้าเว็บของมหา’ ลัยกลับปรากฏว่าผลการคัดเลือกจะแจ้งตอนบ่ายสามโมง



ผมพับจอโน๊ตบุ๊คเก็บอย่างอารมณ์เสีย



วันนี้ทั้งวันผมแทบไม่เป็นอันทำอะไรเลย ได้แต่เปิดๆ ปิดๆ คอม กดรีเฟลชอยู่อย่างนั้นเผื่อประกาศจะออกมาเร็วกว่ากำหนด แต่แล้วก็ไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะจนแล้วจนรอดประกาศก็ออกมาตอนบ่ายสามโมงเป๊ะอยู่ดี



ผมคลิกเข้าไปดูด้วยใจอันลุ้นระทึก









…..ไม่มี…









…ไม่มีชื่อของสองคนนั้น ทั้งตัวจริงและตัวสำรอง









ผมรู้สึกเหมือนถูกหินหนักๆ หล่นทับ ความรู้สึกหลายๆ อย่างมันประเดประดังเข้ามาพร้อมกัน ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผมต้องรู้สึกใจหายแบบนี้ด้วย ทั้งๆ ที่ผมควรจะสะอกสะใจ แต่ทำไมผมกลับรู้สึกแย่แบบนี้ หรือที่รู้สึกแย่จะเป็นเพราะคิดว่าตัวเองติวไม่เก่งพอน้องเลยสอบไม่ติด หรือจริงๆ แล้วต่อให้โกรธเกลียดมากแค่ไหน แต่ยังไงผมก็ยังรักยังห่วงพวกมันอยู่ดี



ทั้งๆ ที่ผมควรจะสะใจ รีบนั่งรถไปสมน้ำหน้าพวกมันถึงบ้าน แต่ผมกลับไม่มีกะจิตกะใจจะทำแบบนั้น ไม่เข้าใจตัวเองเลย ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทำไมมนุษย์ถึงได้มีความรู้สึกซับซ้อนได้ขนาดนี้นะ?



ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยความลังเล แต่จนแล้วจนรอดก็อดไม่ไหวต้องโทรไปหาอยู่ดี



“ฮัลโหล อาแอ๋มหรอครับ …ทีเสียใจด้วยนะ อย่าไปว่าน้องนะครับ น้องทำดีที่สุดแล้ว” ไม่รู้ทำไมผมจะต้องแก้ตัวแทนสองคนนั้นทุกที ทั้งที่ตอนนี้เกลียดจนหน้าก็ไม่อยากจะเห็นแล้วแท้ๆ ไม่เข้าใจตัวเองเลย บางทีผมอาจจะเป็นโรคสองบุคลิกจริงๆ ล่ะมั้ง เฮ้อ



‘ทำดีที่สุด? ทีรู้รึเปล่าว่าเจ้าน้องชายตัวดีของทีมันทำอะไรเอาไว้!’ เสียงอาแอ๋มที่ดังมาตามสายเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ท่าทางจะโมโหมากที่มันสองคนสอบไม่ติด



“ทำ? มีเรื่องอะไรหรอครับ?? อย่าบอกนะว่ากลับไปไม่ยอมอ่านหนังสือน่ะ”



‘อ่านน่ะอ่าน แต่มันสองคนไม่ยอมเข้าสอบ! อาเพิ่งจะโทรไปยื่นคำร้องขอตรวจกระดาษคำตอบ แล้วเขาบอกว่าไม่มีชื่อมันสองคนในรายชื่อผู้เข้าสอบ อานะโมโหจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว! ถ้าไปสอบแล้วสอบไม่ติดยังพอว่าใช่ไหมที แต่นี่ไม่แม้กระทั่งเข้าสอบด้วยซ้ำ ทีบอกอาหน่อยซิว่าอาควรจะทำยังไงกับลูกทรพีสองตัวนี้ดี’ ท้ายประโยคอาแอ๋มพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ



“อาแอ๋ม…อย่าร้องไห้เลย…ให้ทีคุยกับฝาแฝดหน่อยได้มั้ย”



‘โทรเข้าเบอร์พวกมันเองแล้วกันนะที ตอนนี้หน้ามันสองตัวอาก็ไม่อยากจะมองแล้ว มันเสียความรู้สึก แค่นี้นะลูก ตู้ดๆ ๆ ๆ’



หลังจากถูกตัดสายผมก็ไล่หาเบอร์โทรของสองแฝดนั่นอย่างโมโห พอเห็นชื่อภูผาผมก็กดโทรออกทันที รอไม่นานอีกฝ่ายก็รับสาย



‘หวัดดีครับพี่ที’ น้ำเสียงที่ราวกับไม่รู้สึกรู้สาอะไรของภูผาทำให้ผมอดจะโกรธแทนอาแอ๋มไม่ได้



“ทำไมพวกมึงไม่ไปสอบ!!! กูอุตส่าห์ติวให้ขนาดนี้ ทำไมทำแบบนี้ฮะ มีหัวคิดบ้างมั้ย!?”



‘…รู้แล้วพี่จะได้อะไรล่ะครับ มันไม่เกี่ยวกับพี่สักหน่อย ชีวิตก็ชีวิตพวกผม พี่จะเดือดร้อนอะไรนักหนา’ เสียงฟ้าครามตอบกลับมาอย่างกวนๆ แสดงว่าสองคนนี้เปิดลำโพงคุยกับผม ฟังจากน้ำเสียงแล้วพวกมันไม่แคร์เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองจะไม่มีที่เรียน



“….” ผมอึ้งไปเมื่อโดนตอกหน้ากลับมาแบบนั้น ไม่คิดว่าน้องที่อยู่ด้วยกันมาเป็นเดือนๆ หัวอ่อนและค่อนข้างเชื่อฟังจะกล้าพูดใส่ผมแบบนี้



‘พวกผมมีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้เกี่ยวกับอนาคตตัวเอง ผมจะไปสอบ หรือไม่ไปมันหนักหัวพี่หรือไง ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะกำหนดอนาคตตัวเอง เหมือนพี่นั่นแหละ จริงมั้ย…อดีตว่าที่คุณหมอ’ ภูผาพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ น่าแปลกที่ผมแยกออกว่าเสียงใครเป็นเสียงใครทั้งที่มันเหมือนกันขนาดนี้ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นสาดหน้าไม่มีผิด ภูผากำลังพูดถึงความลับที่ผมเก็บซ่อนไว้มาโดยตลอด ความลับเมื่อสองปีที่แล้ว



“……………”



‘อ้าว เงียบ …เงียบเบยยยย’



“ตู๊ดๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ”



ผมตัดสายทิ้ง เพราะไม่สามารถทนคุยกับพวกมันได้อีกต่อไป ผมกลัวว่ามันจะขุดเอาความลับของผมมาล้อให้ได้อับอาย กลัวว่าสองคนนั้นจะเอาความลับต่างๆ ของผมไปโพนทะนา ทำยังไงดี จะทำยังไงให้สองคนนั้นปิดปากให้สนิท ผมไม่อยากจะเชื่อว่าคนแบบสองคนนั้นจะเก็บความลับอยู่ ผมควรทำยังไง?



ทำไมภูผากับฟ้าครามต้องทำแบบนี้กับผมด้วย ทั้งๆ ที่ก็ดูเหมือนว่าพวกเราสนิทสนมกันดีแล้ว แต่มาวันนี้ทำไมมันสองคนเหมือนจะกลับไปเป็นอย่างตอนแรกๆ อีกแล้วล่ะ หรือไอ้พฤติกรรมโอนอ่อนที่มีให้ผมหลังเหตุการณ์ที่ผมตะคอกใส่มันวันนั้นจะเป็นแค่ภาพลวงตาที่พวกมันสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกให้ผมตายใจ หรือเพราะว่าสองคนนั้นรู้ว่าได้กุมความลับของผมเอาไว้เลยกลับมาทำนิสัยเดิมเพราะคิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า



ผมควรจะทำยังไงดี….











สองเดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก อีกหนึ่งอาทิตย์ผมก็ต้องไปเรียนซัมเมอร์แล้ว ตลอดสองเดือนมานี้ผมไม่ได้ติดต่อกับอาแอ๋มหรือเจ้าแฝดนรกนั่นเลย ยอมรับว่าตอนแรกๆ ผมเครียดและคิดมากจนนอนแทบไม่หลับเรื่องที่ภูผาและฟ้าครามรู้ความลับของผม ทั้งเรื่องที่สอบหมอ ทั้งเรื่องต่างๆ ในไดอารี่ ทุกวันของผมเต็มไปด้วยความกังวลกลัวว่าสักวันหนึ่งพ่อแม่หรือทามจะรู้และเดินเข้ามาถามเอาความจริงกับผม กลัวว่าทุกคนจะผิดหวังและมองมาที่ผมด้วยสายตารังเกียจรังชัง แต่ดูเหมือนผมจะคิดมากไปเอง เพราะสองเดือนที่ผ่านมาไม่ได้มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นเลยแม้แต่อย่างเดียว นั่นทำให้ผมเริ่มสบายใจ และคิดว่าเจ้าแฝดนั่นก็เป็นคนดีอยู่เหมือนกันที่ไม่เอาความลับของผมไปเปิดเผย



“โซลมึงเคยมีความลับอะไรที่บอกคนอื่นไม่ได้ไหมวะ” วันนี้ผมไปซื้อหนังสือสำหรับอ่านล่วงหน้ากับไอ้โซลและผองเพื่อน ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปหาหนังสือที่ตัวเองสนใจจนเหลือแค่ผมกับไอ้โซลที่ยืนอยู่ด้วยกันที่มุมหนังสือเกี่ยวกับธรณีวิทยา



มันที่กำลังเปิดหนังสือผ่านๆ เหลือบตามองผมนิดหนึ่งก่อนจะเก็บหนังสือในมือกลับเข้าชั้น



“อยู่ๆ ทำไมมึงถามเรื่องนี้วะ ทำไม? มึงไปทำอะไรมา? มีอะไรปิดบังพวกกูอยู่รึไง? หรือใครไปรู้ความลับอะไรของมึงเข้า? นี่กูคิดไปเองรึเปล่าว่าวันนี้มึงดูเหมือนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา” เชี่ยละ กูไม่น่าถามเรื่องแบบนี้กับไอ้โซลเลย ไอ้นี่มันจับผิดคนเก่ง กูลืมไปได้ยังไง



“เปล่าเว้ย ก็แค่ถามเฉยๆ ถามเล่นๆ ไม่มีอะไรจะคุยไง” โซลมองหน้าผม กระตุกยิ้มมุมปาก หัวเราะหึๆ ในลำคอ



“นี่ไง มึงกำลังมีความลับ” มันชี้มาที่ผม ก่อนจะโยนหนังสือสองสามเล่มลงในตะกร้า



“กูไม่รู้หรอกนะว่าทำไมจู่ๆ มึงถึงมาถามอะไรที่มันดูติงต๊องๆ เป็นนามธรรมกับกู แต่กูจะแนะนำอะไรให้สักอย่างก็แล้วกัน” มันชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ แล้วพูดเบาๆ ที่ข้างหูผมด้วยน้ำเสียงร้ายๆ





“Two persons can keep a secret if one of them is dead ”





ไอ้เชี่ยยยยยย มึงจะให้กูไปฆ่าปิดปากไอ้ภูกับไอ้ครามหรือไงวะ! แล้วมันรู้ได้ไงว่าผมกำลังกังวลเรื่องที่มีคนมารู้ความลับที่บอกคนอื่นไม่ได้ของตัวเอง



“หน้ามึงตอนนี้อย่างตลกอ่ะ แสดงว่าที่กูเดาไว้มันถูกสินะ” ไอ้โซลหัวเราะ ก่อนจะเดินไปเลือกหนังสือบล็อกอื่น



….ผมตัดสินใจแล้วว่าชาตินี้จะไม่ขอรู้ความลับอะไรของมันแม้แต่อย่างเดียว









พอจ่ายตังค์เรียบร้อยพวกเราก็กลับคณะกัน อย่าคิดว่าพวกเราจะรักเรียนขนาดเจาะจงนัดกันมาซื้อหนังสืออ่านนอกเวลาโดยเฉพาะ มันไม่ใช่ครับ วันนี้มีประชุมเรื่องรับน้องวันแรกพบกับพวกปีสอง พวกผมเลยถือโอกาสไปซื้อหนังสือฆ่าเวลารอไอ้พวกที่ยังมาไม่ครบกันน่ะแหละ



ปีสามอย่างพวกผมแทบไม่ต้องทำอะไรมาก เพราะหน้าที่ส่วนใหญ่เป็นของพวกปีสองที่ต้องรับผิดชอบกิจกรรมพวกนี้ พวกผมมีหน้าที่แค่มาฟังแผนงาน ติชม แนะนำบางเรื่องให้กับพวกปีสอง ปีสามอย่างพวกผมมีหน้าที่เป็นสต๊าฟนำทางน้องสู่ลานกิจกรรมและคอยช่วยพวกปีสองดูแลความเรียบร้อยอีกทีหนึ่ง ส่วนปีสี่มีหน้าที่แนะนำคณะและการเรียนในชั้นปีต่างๆ



กว่าจะประชุมกันเสร็จก็ปาเข้าไปดึกดื่น ผมติดรถไอ้แท็คกลับบ้าน พอถึงเตียงผมก็ล้มตัวลงนอนอย่างหมดสภาพ วางหนังสือที่ซื้อมาไว้ข้างๆ กะว่าแค่จะพักสายตาแป๊บเดียวแล้วจะลุกไปอาบน้ำ แต่ผมกลับหลับยาวไปจนถึงเช้า



วันต่อมาในขณะที่ผมกำลังนั่งอ่านหนังสือที่เพิ่งซื้อมาเมื่อวานอยู่ที่โต๊ะทำงาน เสียงมือถือก็ดังขึ้น ผมละสายตาจากหนังสือหันไปมองว่าใครโทรเข้ามา



อาแอ๋มอีกละ…=_= ผมควรจะรับดีมั้ย รับสายอาแกทีไร กูงานเข้าทุกที



ผมปล่อยให้มันดังแล้วก็ดับไปอีกสามรอบ ตัดสินใจรับในครั้งที่สี่ก่อนที่อาแกจะโทรเข้าเบอร์บ้านแทน



“หวัดดีครับอาแอ๋ม…” ขณะที่ผมกำลังจะถามว่าโทรมาด้วยเรื่องอะไร เสียงสดใสมีชีวิตชีวาของเธอก็ดังขึ้นซะก่อน











‘ที! น้องติดมหา’ ลัยเดียวกับทีนะลูก’









ฮะ!! เมื่อกี๊ว่าอะไรนะ!!!!!!!!!!! OoO

หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่11
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 17-02-2018 21:18:27
เด็กๆจะรุกแล้วสินะ  ปรับความเข้าใจกันเถอะนะ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่11
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 17-02-2018 22:20:05
เพลินดีชอบๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่11
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 17-02-2018 22:25:16
โอ้ยย ตามมมม
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่11
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 17-02-2018 22:47:00


                                                             ตอนที่ 12 ประเด็นบนโต๊ะอาหาร



“เอ้า! ฉลอง!!!” ผมชูแก้วน้ำมะพร้าวปั่นในมือพร้อมกับสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ ไปอย่างแกนๆ ก่อนจะลดมือลงวางแก้วน้ำทรงสูงนั้นไว้ที่เดิม



“กินให้เต็มที่เลยนะที งานนี้อาถือว่าเป็นการเลี้ยงขอบคุณเรา แล้วก็ฉลองให้เจ้าแฝดไปด้วยเลยอยากกินอะไรสั่งเลยนะ ทามด้วยนะ” อาเขยพูดกับผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ก่อนจะหันไปบอกทามอีกคน



“แหม ที่จริงไม่เห็นต้องพามาเลี้ยงขอบคงขอบคุณอะไรแพงๆ เลย พี่น้องกันยังไงก็ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้ว จริงมั้ยเจ้าที” แม่พูดด้วยน้ำเสียงแสดงความเกรงอกเกรงใจพอเป็นพิธี เพราะรู้อยู่แล้วว่าถึงจะปฏิเสธยังไง บ้านฝั่งภูผาและฟ้าครามก็จะต้องคะยั้นคะยอให้มาเลี้ยงฉลองจนได้



“ไม่เอาหน่าพี่สา วันนี้บอกไว้ก่อนนะว่าห้ามแย่งจ่าย ไม่งั้นแอ๋มโกรธจริงๆ ด้วย” อาแอ๋มพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มปากแทบจะฉีกถึงหูอยู่แล้ว วันนี้ผมยังไม่เห็นอาแอ๋มหุบยิ้มเลย ไม่เมื่อยบ้างหรือไง=_=;;



ผมปล่อยให้พวกผู้ใหญ่คุยกันไปอย่างถูกคอ ก็นานๆ ทีจะว่างตรงกันนี่นะ ผมตักทอดมันปลาคังใส่จาน ค่อยๆ ใช้ช้อนตัดมันเป็นชิ้นพอดีคำส่งเข้าปาก ปกติเวลากินผมไม่นั่งประดิดประดอยแบบนี้หรอก แต่วันนี้มันต่างออกไป ผมพยายามหาอะไรทำเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเงยหน้าไปสบตาไอ้ภูกับไอ้ครามที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ไม่รู้จะจ้องอะไรผมนักหนา โคตรอึดอัดเลย





“เฮ้ย ไอ้ทีกินเยอะๆ สิวะ กับข้าวไม่ยุบเลย เอ้านี่ กุ้งแม่น้ำ ที่นี่เขาขึ้นชื่อมากนะ ไม่กินแล้วจะเสียใจ” พี่เฟิร์สหมุนจานกุ้งแม่น้ำมาตรงหน้าผม ลืมบอกไปว่าเรากินแบบโต๊ะจีนในห้องส่วนตัว แต่อาหารเป็นอาหารไทย



“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มบางๆ ให้พี่เฟิร์ส ก่อนจะตักกุ้งมาหนึ่งตัวไม่ให้เสียน้ำใจพี่แก อาหารทะเลที่นี่อร่อยสมคำร่ำลือจริงๆ แหละ กุ้งแม่น้ำที่เป็นเมนูขึ้นชื่อก็ตัวใหญ่มาก ใหญ่เท่าจานผมเลย



ปกติผมไม่ค่อยชอบกินกุ้งเท่าไหร่เพราะขี้เกียจแกะ แต่ตอนนี้ผมโคตรอยากขอบคุณพี่เฟิร์สที่ส่งเมนูนี้มาให้ผม ผมเลยเปลี่ยนจากนั่งหั่นทอดมันมาก้มหน้าก้มตาแกะกุ้งแทน



“อ่ะทาม” ผมแกะกินเองส่วนนึง แต่ส่วนใหญ่จะแกะแล้ววางลงในจานให้ทามมากกว่า เพราะผมรู้ดีว่าทามก็ไม่ชอบแกะกุ้งกินเองเหมือนกัน



ยัยทามตักเนื้อกุ้งมันเยิ้มใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ เห็นน้องชอบ น้องอร่อย ผมก็พลอยมีความสุขไปด้วย ว่าจะแกะให้พ่อกับแม่สักหน่อย พวกท่านก็แกะกินเองไปแล้ว แกะเก่งด้วยนะ ใช้แค่ช้อนกับส้อมไม่ต้องใช้มือช่วยแบบผม





เมื่อวานเป็นวันประกาศผลแอดมิชชันที่ผมไม่รู้เลยเพราะไม่ได้ติดตามข่าว อาแอ๋มเล่าให้ฟังอย่างแสนปลาบปลื้มว่าสองคนนั้นสอบได้วิศวะเครื่องกลภาคพิเศษของมหา’ ลัยผม ยอมรับเลยว่าผมตกใจมาก นึกว่าอาแอ๋มโทรมาอำกันเล่น มหา’ ลัยผมใครๆ ก็รู้ว่าโดดเด่นด้านวิศวะและเข้ายากมากแค่ไหน ถึงจะเป็นภาคพิเศษแต่ก็ต้องยอมรับเลยว่าภาคพิเศษของที่นี่ก็คะแนนสูงพอๆ กับวิศวะภาคปกติของมหา’ ลัยอื่นเลยทีเดียว





ที่แท้สองคนนั้นก็วางแผนเอาไว้แล้ว ต้องยอมรับเลยว่าใจเด็ดมากที่ไม่ไปสอบwcเพื่อกั๊กที่นั่งไว้ก่อน แต่เลือกที่จะลงสอบสนามใหญ่เลย มันแน่มาก แต่ก็ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเกิดมันหลุดแอดขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น ทำอะไรบ้าบิ่นชะมัด เล่นเอาคนอื่นเค้าเป็นห่วงกันไปหมด



“เออใช่ แล้วทุกวันนี้ทีไปเรียนยังไงล่ะ อยู่หอ หรือไปกลับ” อาเขยถาม ผมเลยจำต้องเงยหน้าจากหอยแครงขึ้นมาตอบ



“ไปกลับบ้านครับ นั่งสองแถวต่อรถเมล์ก็ถึงเลย”



“เออ ดีเนอะ สะดวกดี อากำลังกลุ้มใจอยู่เนี่ยว่าจะให้เจ้าแฝดมันเดินทางยังไง เพราะบ้านอามันไกลจากมหา’ ลัยมาก จะให้มันสองคนไปอยู่หอก็กลัวว่าจะพากันทำตัวเหลวไหล” อาเขยทำหน้าคิดหนัก



“ก็ให้มาอยู่ที่บ้านพี่เลยสิสินธุ์ ห้องเจ้าทีออกจะกว้าง เพิ่มเตียงเข้าไปอีกสองหลังได้สบายๆ มาอยู่ด้วยกันจะได้ให้ทีมันคอยดูแล ไปกลับก็ไปพร้อมกัน แอ๋มกับสินธุ์ก็จะได้ไม่ต้องคอยเป็นห่วง” พ่อเสนอ ผมหันไปมองพ่อทันทีพยายามสบตาพ่อเพื่อสื่อให้รู้ว่าผมไม่เห็นด้วย แต่พ่อไม่ได้มองมาทางผมเลย จะใช้เท้าสะกิดใต้โต๊ะก็ไม่ได้ บาปกรรมอีก เอาตีนสะกิดพ่อแม่=_=



ไม่เอานะ! ผมไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามในอาณาเขตของผม แค่เดือนนั้นที่ต้องอยู่กับพวกมันสองคนแทบจะตลอดเวลา ผมก็อึดอัดเต็มทนแล้ว นี่พ่อยังจะเสนอให้มันมาอยู่บ้านเราตลอดสี่ปีอีกหรอ แล้วยังจะฝากฝังให้ผมดูแลพวกมันอีกอ่ะนะ เคยถามผมสักคำมั้ยว่าผมเต็มใจจะให้มันมานอนกับผม เต็มใจจะดูแลพวกมันรึเปล่า ทำไมไม่ถามความเห็นผมเลยว่าผมเห็นด้วยมั้ย!?





ตอนนี้ในใจผมเหมือนมีภูเขาไฟที่กำลังปะทุลาวาร้อนฉ่าออกมาเต็มไปหมด มันรู้สึกร้อนรน โมโห อึดอัด อยากจะคัดค้าน อยากจะพูดอะไรสักอย่างที่จะกันสองคนนั้นออกไปจากชีวิตของผมไม่ให้ต้องมาข้องเกี่ยวกันอีก แต่ผมควรจะพูดยังไง จะเอาอะไรมาแย้ง ถ้าแย้งไปพ่อกับแม่จะเสียหน้ามั้ย แล้วอาสินธุ์กับอาแอ๋มจะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่ผมทำเหมือนรังเกียจไม่อยากดูแลน้องสองคนหรือเปล่า





เกลียดตัวเองว่ะ ขนาดตอนกำลังโกรธผมยังมานั่งห่วงความรู้สึกคนอื่นอีก บางทีผมก็อยากเป็นอย่างไอ้โซลนะ คิดอะไรก็ทำอย่างนั้น ไม่ต้องมานั่งแคร์ความรู้สึกใคร…แต่ผมทำไม่ได้หรอก เพราะผมไม่ได้ใจแข็งพอจะมองข้ามความรู้สึกคนอื่นได้อย่างมันนี่นา เฮ้อ



“โอ๊ย อย่าเลยพี่ ไอ้สองตัวนี้มันตัวยุ่ง ทีจะรำคาญมันซะเปล่าๆ แค่ให้มาอยู่ด้วยเดือนเดียวทีก็คงปวดหัวแย่แล้ว” อาแอ๋มว่า แล้วอย่างนี้ผมจะพูดว่าไงล่ะ พูดว่า “ใช่เลย! เห็นด้วยจ้า!” หรอ ต่อหน้าทุกคนเนี่ยนะ ไม่ดีม้างT-T



“ภูกับครามก็ไม่ได้ดื้ออะไรหรอกครับ หัวก็ไว แถมยังช่วยทำงานบ้านอีกต่างหาก ตอนน้องมาอยู่ด้วยนะทีไม่ได้แตะไม้กวาดแตะฟองน้ำล้างจานเลย น้องทำแทนตลอด” ผมพูดความเท็จผสมความจริงเพื่อรักษามารยาทด้วยใบหน้ายิ้มๆ ข้อดีเพียงอย่างเดียวของมันสองตัวเห็นจะเป็นเรื่องความรักสะอาดเนี่ยแหละ เหอะๆ -_-



“เฟิร์สว่าให้ไอ้แฝดมันอยู่หอไปเหอะแม่ บ้านลุงเดชมีลูกสาวคนเดียว แถมลุงกับป้าก็งานยุ่งบางทีก็ไม่ได้กลับบ้านด้วย ให้ทามอยู่กับผู้ชายสามคนตามลำพังมันดูไม่เหมาะ ถึงจะเป็นญาติพี่น้องกันก็เถอะ เกิดวันดีคืนดีเจ้าแฝดรับน้องกินเหล้าเมากลับมา เดินเข้าผิดห้องนี่เป็นเรื่องเลยนะ” บร๊ะเจ้า! กูอยากลุกไปกราบขอบคุณพี่เฟิร์สแกจริงๆ เลยว่ะ! พี่แกคิดเหตุผลนี้ขึ้นมาได้ไงวะ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ



“อยู่หอ? แกก็รู้ว่านิสัยน้องแกมันเป็นยังไง นี่ขนาดอยู่บ้านยังขนาดนี้ ออกไปอยู่กันเองไม่มีคนคอยคุมมันจะขนาดไหน” อาสินธุ์ค้านหัวชนฝา ให้ตายยังไงก็จะไม่ยอมให้ภูผากับฟ้าครามอยู่หอเด็ดขาด เพราะพวกมันประวัติดี๊ดีเกินไป นี่ประชดนะ รู้มั้ยเนี่ย-_-



“ก็ให้อยู่หอในสิ” พ่อผมเสนอแนวทาง



“โอ๊ย สมัยเฟิร์สอยู่มหา’ ลัยนะลุงเดช เพื่อนเฟิร์สมันตบตาพ่อแม่ว่าอยู่หอในที่พ่อแม่จองให้ แต่ที่จริงมันไปนอนกับแฟนที่หอนอก ถ้าคนมันคิดจะเหลวไหลจริงๆ อยู่หอในหรือหอนอกก็ไม่ต่างกันหรอกลุงเดช มันอยู่ที่ตัวบุคคลต่างหาก ทีว่าพี่พูดถูกป้ะ” เอ๊ะ ตกลงพี่จะเชียร์ให้มันได้อยู่หอหรือไม่เชียร์กันแน่วะ



“แล้วเฟิร์สดูสิว่าน้องเราสองคนมันจะรับผิดชอบตัวเองได้เหรอ เดี๋ยวก็ไปเหลวไหล ต่อให้ไปอยู่หอในก็ไม่ช่วยอะไรหรอก” อาแอ๋มว่า



“โหยยยย แม่ อย่าบอกนะว่าจะให้ภูกับครามไปกลับน่ะ แม่ก็รู้นี่ว่ามันไกล แถมสี่แยกแถวบ้านเราตอนเช้าก็รถโคตรติด…..” ฟ้าครามเว้นวรรคให้ภูผาพูดต่อ



“….ถ้าภูกับครามไปสายแล้วเข้าเรียนไม่ทัน เรียนไม่รู้เรื่อง ติดเอฟ โดนไทร์ ก็เป็นความผิดพ่อกับแม่นะ พวกเราไม่ผิด” ดู๊ ดูพวกมันสิครับ ต่อหน้าพ่อแม่ผมมันยังย้อนพ่อแม่มันโชว์ออฟได้ไม่อายเล้ย



“เอาอย่างนี้มั้ยล่ะ ถ้าภูกับครามอยากอยู่หอไม่อยากไปกลับ งั้นก็ให้พี่ทีไปอยู่เป็นเพื่อน จะได้สบายใจกันทุกฝ่าย” แม่เสนอทางเลือกใหม่ให้



“แม่ครับ คือหอในมันอยู่ได้ห้องละสองคน…” ผมพยายามหาทางหนีให้ตัวเอง



“ถ้าทีจะไปอยู่ด้วยอาจะเช่าหอนอกให้แฝดมันไปเลย จะได้ไปอยู่กันสามคน อีกอย่างสองคนนี้มันเรื่องมาก หอในโทรมๆ มันไม่อยากอยู่หรอก อารู้นิสัยลูกอาดี” อาสินธุ์เสนออย่างกระตือรือร้น



“แม่ว่าอยู่หอก็ดีนะที จะได้ไม่ต้องมานั่งแหกขี้ตาตื่นแต่เช้า โหนรถเมล์ไปเรียนทุกวัน ยิ่งตอนนี้อยู่ปีสูงๆ เรียนก็หนักขึ้น อยู่หอไปเลยดีกว่าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยเดินทางไปกลับ”



“แม่ครับ ทีไปกลับทุกวันก็ไม่ได้ลำบากลำบนอะไร วันไหนติดโปรเจ็คต้องอยู่ดึกทีก็ค้างกับเพื่อน อีกอย่างทีว่าน้องสองคนก็โตพอแล้วที่จะรับผิดชอบตัวเอง ทุกคนเป็นห่วงกันมากเกินไปรึเปล่า อย่าไปคิดแทนสิครับว่าน้องจะอยู่ไม่ได้ ลูกผู้ชายน่ะถ้ามัวแต่โดนปกป้องแล้วเมื่อไหร่จะเข้มแข็งล่ะ ทีเชื่อนะว่ามันสองคนน่ะอยู่กันเองได้ ไม่เหลวไหลหรอก สอบติดมาได้นี่ก็ถือว่ามีวินัยในการอ่านพอตัวอยู่นะ” ผมพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ พยายามให้ดูน่าเชื่อถือที่สุด ภูผาและฟ้าครามมองมาที่ผมโดยไม่พูดอะไร ที่กูพูดชมพวกมึงนี่ไม่ได้หมายความว่าหายโกรธนะ โกรธหลบในอยู่ แต่ตอนนี้ต้องแก้สถานการณ์ตรงหน้าก่อน เรื่องอื่นเดี๋ยวต้องมาเคลียร์กันนอกรอบแน่ๆ



“ไม่ได้หรอกที ต่อให้มันไม่ทำตัวเหลวไหลจริงอย่างที่เราว่า แต่อาก็ห่วงมันอยู่ดี ขนาดเฟิร์สอายังไม่ให้มันไปอยู่หอเลย”



“หัวอกคนเป็นแม่น่ะยังไงก็มองว่าลูกเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำแหละที” แม่ลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน



“ทีไปอยู่เป็นเพื่อนน้องหน่อยนะลูกนะ แค่สองปีเองลูกก็เรียนจบแล้ว ถึงตอนนั้นน้องก็อยู่กันเองได้แล้วล่ะ ตอนนี้ก็ช่วยสอนช่วยดูๆ น้องหน่อย ไหนๆ ก็เป็นศิษย์ร่วมสถาบันเดียวกันแล้ว” อยากจะเถียง อยากจะแย้ง อยากจะปฏิเสธเหลือเกิน แต่สายตาของทุกคนที่มองมาที่ผมเป็นตาเดียวก็ทำให้ผมตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก



คุณเข้าใจหรือเปล่าว่าถ้าผมยังอ้างนั่นอ้างนี่ต่อ ถึงจะพูดด้วยท่าทางดูดีมีเหตุผลแค่ไหนมันก็จะเริ่มน่าเกลียดแล้ว เพราะผู้ใหญ่เขาจะรู้สึกแล้วไงว่าที่เราพูดนั่นพูดนี่เยอะๆ เนี่ยมันสื่อความหมายได้ว่าจริงๆ แล้วไม่อยากไปอยู่ด้วย ถ้าผมยังอยากรักษามารยาทผมต้องหยุดแล้ว



ผมรู้สึกอยากร้องไห้มันรู้สึกคับแค้นแน่นใจไปหมด เพราะโต้แย้งอะไรไม่ได้ เถียงก็ไม่ได้ พูดตรงๆ ก็ไม่ได้ ขัดความต้องการของพวกผู้ใหญ่ไม่ได้เลย ผมรู้สึกเหมือนโดนกดให้จมน้ำ ต่อให้อ้าปากพูดก็คงไม่มีใครได้ยิน



ผมรู้ว่าถ้าผมพูดออกไปตรงๆ ว่า “ไม่อยากไปอยู่หอกับน้อง เลิกเอาผมไปผูกติดกับพวกมันสักที!” แน่นอนทุกคนอาจจะตกใจและคงไม่มีใครบังคับฝืนใจผมต่ออีก แต่ผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไง ทุกคนบนโต๊ะนี้เป็นสายเลือดเดียวกันกับผม เป็นญาติที่ตามนิยามก็ควรจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แล้วในสายตาทุกคนก็มองว่าผมเป็นคนที่ดูพึ่งพาได้ เป็นพี่ที่นิสัยสุขุมเยือกเย็น เป็นแม่งทุกอย่างที่จำกัดความได้ว่าดีงาม ผมจะทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้ เพราะสายตาที่ทุกคนมองมายังผมนั้นประเมินผมว่าต้องเป็น ‘คนดีที่ไม่มีที่ติ’ ผมทำไม่ได้ที่จะทำลายความคาดหวังเหล่านั้นของพ่อแม่และทุกๆ คน



ดังนั้น ผมที่เป็นผมอยู่ทุกวันนี้ คือทีในแบบที่ทุกคนอยากให้เป็นยังไงล่ะ…







“โอ้โห มหา’ ลัยใหญ่ชะมัดเลย” ฟ้าครามมองซ้ายมองขวาสอดส่ายสายตาไปทั่วอย่างตื่นตาตื่นใจ



“กว้างโคตร กูว่าไม่น่าเรียกมหา’ ลัยแล้ว เรียกอาณาจักรน่าจะเหมาะกว่า”



“อย่ามัวแต่มองซ้ายมองขวาได้มั้ย เดินตามมาไวๆ ได้คิวหลังๆ ไม่รู้ด้วยนะ” ผมพูดนิ่งๆ ไม่ยิ้มและไม่ได้ทำหน้าบึ้ง ใจจริงผมไม่ได้อยากจะพูดแบบนี้หรอกมันดูดีเกินไป อยากจะบอกว่าหุบปากแล้วเดินตามมาเงียบๆ ได้มั้ย อย่าทำท่าทางเหมือนพวกบ้านนอกเข้ากรุงกูเดินด้วยแล้วอาย



วันนี้เป็นวันที่เจ้าแฝดนรกต้องมาสัมภาษณ์ที่คณะ ผมเองก็ต้องมาเป็นสต๊าฟช่วยน้องปีสองเหมือนกัน หน้าที่ที่ผมรับผิดชอบก็คือนำทางน้องไปยังสถานที่ดำเนินการเรื่องเอกสารและบัตรคิวเข้าสอบสัมภาษณ์ซึ่งจะมีน้องปีสองมารับช่วงต่อไปดูแลอีกทีนึง ไอ้โซลโดนส่งไปยืนหน้าบูดถือป้ายคณะที่ปากประตูมหาลัยกับพวกดาวเดือนเป็นหน้าเป็นตาให้คณะ ไอ้ก้อยไอ้แท็คโดนอาจารย์เรียกเข้าไปช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ปกครองในหอประชุม ส่วนไอ้ป๊อกมีหน้าที่ไปเต้นแร้งเต้นกาบ้าๆ บอๆ รวมกับกองสันหน้าคณะสร้างความครื้นเครงให้เหล่าน้องใหม่ที่มาสัมภาษณ์กันในวันนี้





“อ้าวที นำน้องหรอวะ” พี่ปีสี่ที่เดินสวนมาเอ่ยทักผมยิ้มๆ ผมยกมือไหว้เพราะความเคยชินตอนปีหนึ่งที่ถูกลงระเบียบให้ไหว้รุ่นพี่ทุกคนจนติดเป็นนิสัย เพื่อนๆ ผมส่วนใหญ่ก็เป็นเหมือนกัน เห็นรุ่นพี่ทีไรมือมันไปเองทุกที ขนาดไอ้โซลที่ว่าแน่ยังต้องยกมือไหว้รุ่นพี่อ่ะคิดดู ถึงมันจะแก้ตัวว่าไม่ได้กลัวแค่ขี้เกียจมีปัญหาก็เถอะ ก็นับว่ายังดีที่มันยังรู้จักอินดี้อย่างมีขอบเขต



“ครับพี่อาร์ม แล้วนี่พี่ไม่เข้าหอประชุมหรอ”



“เนี่ยกำลังจะไป แล้วเจอกัน” พี่แกตบหลังผมเบาๆ ยิ้มให้ไอ้แฝดหนึ่งทีก่อนจะผละจากไป



“คนเมื่อกี๊ใครน่ะ” ฟ้าครามเร่งฝีเท้ามาเดินขนาบผม เช่นเดียวกับภูผาที่เดินขึ้นมาอีกข้าง



“ปีสี่” ผมตอบเรียบๆ ก่อนจะสาวเท้าเดินให้เร็วขึ้น รู้สึกอึดอัดชะมัดเวลาอยู่กับสองคนนี้ รีบๆ ไปส่งมันให้จบๆ ดีกว่า



“เดินช้าๆ หน่อยไม่ได้หรอพี่ ห้องสัมภาษณ์มันไม่หนีไปไหนหรอก” ฟ้าครามพูดก่อนจะก้าวยาวๆ ขึ้นมาประกบผมพร้อมกับภูผา ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแซนด์วิชเลย เพราะมันสองคนเล่นเดินชิดผมแบบไหล่ชนไหล่ แต่ละคนก็ไม่ได้ตัวเล็กๆ ออกไปเดินห่างๆ ไม่ได้หรือไงมันอึดอัดนะเว้ย!



ผมหยุดเดิน รู้สึกหงุดหงิดพวกมันอย่างไม่มีเหตุผล ไม่สิ มี มีมากด้วย หลายเรื่องเลยล่ะ ผมกลอกตาไปมาอย่างอารมณ์บ่จอย ตั้งแต่สองคนนี้เข้ามาวุ่นวายในชีวิตผมแทบไม่มีวันไหนเลยที่ผมจะไม่รำคาญพวกมัน !



“ภู คราม……เดี๋ยวเข้าหอเมื่อไหร่ เรามีเรื่องต้องเคลียร์กันหน่อยนะ….” ผมตัดสินใจบอกออกไป มันสองคนมองหน้าผมนิ่งๆ เราคงจะได้ยืนจ้องกันไปจ้องกันมาอีกนานถ้าไอ้โซลไม่เดินเข้ามาขัดซะก่อน



“มีเรื่องอะไรกัน?” มันเลิกคิ้วถาม ด้านหลังมันมีน้องใหม่ใส่ชุดนักเรียนเดินตามต้อยๆ เหมือนลูกเป็ดตามแม่เป็ดมาอีกห้าคน พอคิดว่าไอ้โซลดูเหมือนแม่เป็ดแล้วผมก็หลุดยิ้มขำออกมาทันที



“เปล่านี่ แค่หยุดคุยกับน้องเฉยๆ …แล้วนี่น้องมาครบแล้วหรอมึงถึงเข้ามา” ผมพูดยิ้มๆ เหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น



“อืม ก็ขาดอีกสองสามคน ไอ้พีทโทรตามแล้วกำลังมา นี่ก็น้องกลุ่มสุดท้ายแล้วกูเลยพามาเอง” มันว่าพลางชูกระดานเช็กชื่อในมือมันให้ผมดูประกอบ



“เออดีงั้นไปพร้อมกันเลย” ผมรีบไปเดินตีคู่กับไอ้โซล ปล่อยให้ไอ้แฝดมันเดินตามหลังรวมกับคนอื่นๆ ค่อยยังชั่ว ดีที่ไอ้โซลเข้ามาขัดจังหวะ นานๆ ทีจะทำตัวมีประโยชน์กับกูนะมึง



พวกน้องปีสองแล้วก็เพื่อนๆ ผมดูจะตื่นตาตื่นใจกันใหญ่ที่ปีนี้มีฝาแฝดเข้ามาเป็นเฟรชชี่ แถมยังหน้าตาหล่ออีกต่างหาก (ไม่อยากจะชม แต่ก็ต้องยอมรับว่าพวกมันหน้าตาดีจริงๆ ชิ) พวกมันสองคนโดนรุมปรนนิบัติพัดวีอย่างดีจนน่าหมั่นไส้จากพวกผู้หญิง ส่วนพวกผู้ชายก็ไม่ได้อะไรกับพวกมันเท่าไหร่ แค่ดูจะสนใจที่มันเป็นแฝดที่หน้าตาเหมือนกันมากๆ เท่านั้น



พอเสร็จภารกิจผมก็ปลีกตัวออกมาทันที ว่าจะเดินกลับไปหน้าคณะอีกรอบ ดูว่ามีอะไรให้ช่วยอีกมั้ย



พวกกองสันเก็บข้าวเก็บของกันเสร็จเรียบร้อยแล้วกำลังจะกลับเข้าไปรวมกับพวกปีสองที่ดูแลน้องอยู่ ขณะที่กำลังจะตามไอ้ป๊อกกลับเข้าตึกไอ้พีทที่ทำหน้าที่เช็คชื่อน้องก็เรียกผมเอาไว้



“เฮ้ยๆ ที มึงไปยืนเฝ้าหน้าตึกแทนกูหน่อย กูจะออกไปเดินหาน้องว่ะ หายไปคนนึง กูโทรเข้าเบอร์มือถือก็ไม่ติด โทรเบอร์บ้านคนที่บ้านก็บอกว่าออกมานานแล้ว ไม่รู้ไปหลงอยู่ที่ไหนป่าวเนี่ย”



“เฮ้ย กูไปช่วยหามั้ย”



“ไม่ต้องๆ เดี๋ยวกูไปกับพวกไอ้กั๊ก มึงไปยืนดักหน้าตึกให้หน่อย เผื่อเจอน้องแล้วโทรบอกกูด้วย” พูดจบมันก็วิ่งออกไปเลย คณะผมถึงจะขึ้นชื่อเรื่องความเถื่อน รับน้องหนัก แต่เราดูแลน้องทุกคนดีมากนะครับ น้องหายไปคนเดียวนี่ถือเป็นเรื่องใหญ่ของพวกผมเลยแหละ



ผมยืนเตะฝุ่นรออยู่หน้าคณะที่เริ่มจะเงียบ เพราะน้องที่มาสอบสัมภาษณ์คณะต่างๆ ก็เข้าตึกไปกันหมดแล้ว



“อ้าว! หวัดดีครับอาจารย์” ผมรีบยกมือไหว้เมื่ออาจารย์ปกรณ์ขาโหดที่วันนี้มาในลุคแปลกตาด้วยเสื้อยืดมหา’ ลัยที่พวกนักศึกษาชอบทำมาขาย เดินเข้ามาพร้อมกับเด็กนักเรียนคนหนึ่งถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเครื่องแบบของโรงเรียน RKT



เอ๊ะ! RKT หรอ ….ผมก้มมองกระดานเช็กชื่อที่ไอ้พีทยัดใส่มือมา จริงๆ ด้วย นี่มันน้องคนสุดท้ายที่หลงทางจนไอ้พีทต้องออกไปวิ่งหานี่หว่า! แล้วทำอีท่าไหนถึงมากับอาจารย์ได้ล่ะเนี่ย



น้องคนนั้นมองอาจารย์ปกรณ์อึ้งๆ หลังจากผมยกมือไหว้ก่อนจะหันกลับมามองหน้าผมสลับกันไปมา เพิ่งสังเกตว่าน้องคนนี้หน้าใสมากน่ารักพอๆ กับน้องไอ้โซลเลยว่ะ



“ผมเอาน้องคุณมาส่ง ฝากดูแลต่อด้วย” อาจารย์แกอมยิ้มมุมปากเล็กน้อยเหมือนขำอะไรสักอย่าง เป็นภาพที่นานๆ ผมจะเห็นซักที ก็ปกติแกชอบเล่นมุกหน้าตายกับนิสิตตลอด



“พะ…พี่ครับ คนเมื่อกี๊มะ..ไม่ใช่พี่บัณฑิตหรอกหรอครับ” น้องครับ อย่าทำหน้าตลกอย่างนั้น เดี๋ยวพี่หลุดขำจะมาหาว่าพี่เสียมารยาทไม่ได้นะ



“พี่บัณฑิต? คนเมื่อกี้เขาเป็นอาจารย์ครับน้อง เห็นหน้าตาหนุ่มๆ แบบนั้นแต่จบดอกเตอร์แล้วนะ…อืม จะว่าไปจารย์เค้าก็จบจากที่นี่จะเรียกว่าเป็นพี่บัณฑิตก็ไม่ผิดหรอก… แป๊บนะ พี่โทรบอกเพื่อนก่อนว่าน้องมาแล้ว” ผมรีบโทรไปบอกพวกไอ้พีท พอวางสายแล้วก็หันมายิ้มให้น้องอย่างเป็นกันเอง



“ป่ะ เดี๋ยวพี่พาไปตรวจเอกสารนะครับ^^”



ถ้าให้เดาจากปฏิกิริยาของน้องนะ ผมว่าแม่งต้องโดนดอกเตอร์แกหลอกว่าเป็นรุ่นพี่ที่คณะแน่ๆ เลย สงสารน้องว่ะ … อาจารย์นะอาจารย์ แกล้งเข้าไปได้ ..



หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่11
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 17-02-2018 22:49:21

                                                            ตอนที่ 13  ความพยายาม (ภูผาxฟ้าคราม)



(บทภูผา)



“ภู คราม พี่จะไปห้างซื้อของให้แม่ เราจะฝากซื้ออะไรรึเปล่า” พี่ทีเอ่ยถามพวกเราที่ยืนล้างจานกันอยู่ในครัว



“ไม่อ่ะ เดี๋ยวพี่หนัก ไปเหอะคร้าบ” ผมตอบ ไอ้ครามที่อ้าปากกำลังจะฝากซื้อไอติมเลยรีบหุบแทบไม่ทัน พี่ทีที่ตอนแรกถามด้วยสีหน้าเฉยๆ พอได้ยินคำตอบของผมก็แย้มรอยยิ้มแสนอบอุ่นออกมาทำเอาใจผมกระตุกไปวูบหนึ่ง ดวงตาที่ไร้กรอบแว่นปิดกั้นมองมาที่ผมอย่างเอ็นดู



“…งั้นเดี๋ยวซื้อไอติมมาฝากละกัน เป็นรางวัลให้คนขยันช่วยพี่ล้างจาน” พี่ทีเดินออกจากห้องครัวไป ฟ้าครามหันมาสบตาผมอย่างอึ้งๆ



“พี่เค้ารู้ได้ไงวะว่ากูอยากกินไอติม กูยังไม่ทันบอกเลย…” ฟ้าครามถามอย่างประหลาดใจ



“ไม่รู้ดิ สงสัยเห็นไอติมในช่องฟรีซมันหมดมั้ง” ผมเดาส่งๆ ไป จะด้วยความบังเอิญ หรือเพราะพี่เค้าใส่ใจ ไอ้ครามก็ปลื้มไปแล้ว ต่อให้มันไม่พูดผมก็รู้ดีว่ามันรู้สึกยังไงที่พี่เค้าดูเหมือนจะรู้ใจมัน



ผมกับครามรู้ตัวว่าพวกเราทั้งคู่ชอบพี่ทีมากแค่ไหน ความรู้สึกชอบมันก่อตัวมานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ บางทีอาจจะตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าใต้ที่นอนมีผ้านวมเพิ่มมาอีกสองผืน อาจจะเป็นตอนที่เรานอนหัวเราะด้วยกันบนเตียง หรือจะเป็นตอนที่เราไหว้ขอโทษแล้วพี่เขาอโหสิฯ ให้ ไม่รู้เลยว่าชอบไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีความรู้สึกอบอุ่นนุ่มนวลของการได้ชอบใครสักคนมันก็ก่อตัวขึ้นในใจพวกเราแล้ว



ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้ความรู้สึกชอบนี้มันเป็นความชอบในลักษณะไหน รู้แค่ว่าชอบ ชอบทุกอย่างที่เขาเป็น ชอบที่อ่อนโยนใจดีแต่ก็เข้มแข็ง ชอบที่พี่ทียิ้มเก่ง ชอบที่พี่เขาเป็นคนใจเย็น ชอบที่พี่เขาทนพวกเราได้ ชอบที่เป็นคนทำดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง ชอบที่เป็นคนไม่เหยียบย่ำซ้ำเติมใคร ชอบที่ใส่ใจพวกเราเสมอ ชอบที่เป็นคนดูเหมือนไม่มีอะไรแต่ก็มี ชอบที่พี่ทีอ่อนโยนกับน้องสาวอย่างทาม ชอบที่พี่ทีพูดเพราะกับพ่อแม่ ชอบที่ใจบุญสุนทานลุกขึ้นมาตักบาตรแต่เช้า ชอบที่เป็นคนมีอารมณ์ขัน ….ชอบ…ชอบจนบรรยายสิ่งที่ชอบออกมาได้ไม่หมด …



ไม่รู้จะทำยังไงกับความรู้สึกนี้ดี มันทั้งมีความสุข ทั้งกลัวในเวลาเดียวกัน… มีความสุขที่ได้รู้สึกชอบใครสักคน แต่ก็กลัวว่าความรู้สึกนี้จะจางหายไปเมื่อถึงวันที่ต้องลาจาก







ผมยืนมองปฏิทิน อีกอาทิตย์เดียวทุกอย่างก็จะจบลงแล้ว เราจะต้องไปสอบ จากนั้นก็กลับบ้าน และคงอีกนานกว่าจะได้กลับมาเยี่ยมเยียนที่นี่อีก



“ภู กูเจ็บปากว่ะ เผลอกัดกระพุ้งแก้มตอนเคี้ยวหมากฝรั่ง มึงดูให้กูหน่อยดิ๊ว่าแม่เตรียมยาทาแผลในปากมาให้มั้ย” ไอ้ครามยืนอ้าปากอยู่หน้ากระจก ผมเดินไปคุ้ยๆ ของในกระเป๋าก็ไม่เจอ เออ! จริงสิ วันนั้นที่ไอ้ครามถูกกระดาษบาดผมเห็นพี่ทีหยิบปลาสเตอร์ออกมาจากกล่องในตู้เสื้อผ้านี่หว่านั่นน่าจะเป็นกล่องยานะ



ผมเดินไปเปิดตู้อย่างถือวิสาสะ เอาเหอะ พี่เขาไม่รู้หรอกน่า แล้วถึงรู้ก็คงไม่น่าจะโกรธ แค่ขอยืมยาเอง



ไอ้ครามเดินมาช่วยผมหาอีกแรง แล้วก็เจอกล่องสีขาวใบเล็กๆ น่าผิดหวังที่มันไม่มียาที่ไอ้ครามต้องการ ดูเหมือนว่าของในกล่องนี้จะเน้นไปทางอุปกรณ์ทำแผลจำพวกเบตาดีน ปลาสเตอร์ สำลี กับยาทาแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมากกว่า



“ช่างมันเถอะว่ะคราม พรุ่งนี้ค่อยไปซื้อก็ได้”



“เฮ้ย ภู มึงดูนี่ดิ มีตู้ซ่อนอยู่ตรงนี้ด้วย” ไอ้ครามชี้ไปที่ใต้กองเสื้อกล้าม รูกุญแจที่เหมือนมีชิ้นส่วนกุญแจหักคาอยู่โผล่ออกมาจากใต้กองเสื้อกล้ามเล็กน้อย ถ้าไม่สังเกตดีๆ จะไม่เห็นเลยว่ามีรูกุญแจอยู่ตรงนี้



ไอ้ครามเปิดมันขึ้นมาทันที น่าแปลกใจที่มันไม่ได้ถูกล็อกทั้งที่ดูเหมือนมันเป็นช่องลับที่พี่เค้าควรจะรักษาความปลอดภัยเอาไว้แน่นหนา แต่คิดดูอีกที ที่มันไม่ได้ล็อกอาจจะเป็นเพราะชิ้นส่วนกุญแจที่หักคารูเอาไม่ออกนั่นก็ได้



ในช่องนั้นมีสมุดอยู่สี่เล่ม กับกระดาษแผ่นนึงที่พับสี่ทบ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นผมเลยหยิบกระดาษใบนั้นมาคลี่ดู



มันเป็นกระดาษรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าสอบสัมภาษณ์เข้าคณะแพทย์ของมหา’ ลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ผมกับครามกวาดตามองรายชื่อเหล่านั้นก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจ เมื่อเห็นชื่อพี่ทีเป็นหนึ่งในนั้นด้วย



ก็ไหนตอนนั้นแม่ผมเล่าให้ฟังว่าพี่ทีสอบตรงกสพท.ไม่ติดไง?



ผมกับครามมองหน้ากัน รู้เลยว่ามันต้องกำลังคิดเหมือนผมอยู่แน่ๆ ต้องโทรไปถามแม่แล้วแฮะ!



โอเค เรื่องนี้เก็บไว้ก่อน ผมพับกระดาษแผ่นนั้นวางไว้ที่เดิม แล้วหยิบสมุดบันทึกสี่เล่มนั้นออกมาดู หน้าปกมันเขียนว่า ‘my diary’



คุณเคยเป็นมั้ยเวลาเจอไดอารี่คนอื่นความรู้สึกอยากแอบอ่านมันจะพุ่งกระฉูดเลย แล้วยิ่งเป็นผมกับไอ้ครามแล้วด้วย ไม่อยากจะบอกว่าพวกเราอ่ะเสือกเรื่องชาวบ้านเก่งมาตั้งแต่เด็กแล้ว และไอ้ไดอารี่พวกนี้มันก็สะกิดต่อมเสือกพวกผมอย่างจัง!!



“เฮ้ย…ล็อกว่ะ” ผมพยายามจะเปิดอ่านแต่ติดที่มันมีล็อกกุญแจติดอยู่นี่ดิ



“ก็งัดเอาดิวะไอ้โง่!” ไอ้ครามเดินวนรอบๆ ห้อง ได้มีดคัตเตอร์กับกรรไกรมาอย่างละอัน



“เฮ้ย!! ครามๆ กูว่าอย่าเลยว่ะ” จู่ๆ ภาพพี่ทีที่ยิ้มอย่างอบอุ่นให้ผมเมื่อตอนเย็นก็ผุดขึ้นมาในหัว ผมเลยรู้สึกไม่ค่อยดีที่จะทำแบบนี้สักเท่าไหร่ เหมือนกำลังหักหลังพี่เค้าอยู่ยังไงยังงั้น



“… กูเปิดได้แล้ว มึงจะไม่อ่านใช่มั้ย”



(จบบทภูผา)









(บทฟ้าคราม)



เรื่องราวที่พวกเราได้รับรู้จากสมุดบันทึกพวกนี้ไม่ได้ทำให้รู้สึกตกใจหรือประหลาดใจอย่างที่ควรเป็น เนื้อหาในบันทึกส่วนใหญ่จะเน้นไปทางสารภาพบาปในใจ บันทึกพวกนี้ลงวันที่ห่างกันมาก แสดงว่าพี่เขาจะเขียนเฉพาะวันที่มีเรื่องทุกข์ใจเท่านั้น ทุกๆ หน้าในบันทึกมักเขียนสิ่งที่พี่ทีคิดลงไปและลงท้ายด้วยการต่อว่าตัวเองอย่างหนักก่อนจบบันทึกในแต่ละวัน



ผมว่าพี่ทีน่ะคิดมาก เพราะพี่เขาแคร์คนรอบข้างมากเกินไปไงเลยเป็นทุกข์แบบนี้ ผมไม่เข้าใจเลยกะอีแค่เผลอคิดเรื่องไม่ดีทำไมพี่เขาจะต้องต่อว่าตัวเองขนาดนั้น เหมือนพี่เค้ากำลังพยายามทำตัวเองให้เป็นคนเพอร์เฟ็คทั้งภายนอกทั้งภายในอยู่หรือเปล่า พอภายนอกทำดีได้ แต่ภายในไม่ได้คิดดีอย่างนั้น พี่เขาเลยรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเลวที่กำลังแสร้งใช่มั้ย?



ยิ่งอ่านไดอารี่พวกนี้ แทนที่พวกผมจะคิดว่าพี่เขาเป็นคนไม่ดีกลับกลายเป็นว่ายิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกว่าพี่เค้าเป็นคนดีมาก ในโลกนี้จะหาแบบพี่ทีได้สักกี่คนกัน คนที่รู้สึกผิดเพียงแค่รู้ว่าตัวเองคิดไม่ดีกับคนอื่น



น่าแปลกใจที่ในบันทึกพวกนี้ไม่มีเรื่องของพวกเราอยู่เลย ทั้งที่ผมกับภูรู้อยู่แก่ใจว่าทำตัวกวนโมโหพี่เค้าแค่ไหน แต่มานึกดูอีกที พี่ทีจะเอาเวลาที่ไหนไปเขียน ก็พวกผมเล่นขลุกอยู่ด้วยตลอดเวลานี่หน่า



เล่มหลังๆ พวกผมก็แค่เปิดมองผ่านๆ ไม่ได้สนใจอะไรแล้ว เพราะรู้ดีว่าเนื้อหามันก็มีแต่เรื่องซ้ำๆ ซากๆ สารภาพผิด…แล้วก็ด่าตัวเองปิดท้าย เป็นอย่างนี้ทุกหน้า เฮ้อออออ



“เฮ้ย! ครามมึงดูดิ มันเห็นรอยแงะเนี่ย พี่เค้าจะจับได้ก็เพราะตรงนี้อ่ะแหละ ทำไมตอนแงะไม่แงะให้มันดีๆ หน่อยวะ!” ไอ้ภูที่ปิดไดอารี่สังเกตเห็นว่าตรงรูกุญแจร่องมันบิ่นไปนึดหน่อย เอาแล้วไง ไม่น่าสะเพร่าเลยผม



“โอ๊ย บิ่นนิดเดียวเองน่า พี่เค้าไม่ทันสังเกตเห็นหรอก อีกอย่างมันก็เก็บไว้ซะมิดชิดขนาดนี้ แถมเขียนหมดเล่มไปแล้วด้วย พี่เค้าอาจจะเก็บจนลืมไปแล้วก็ได้ คิดมากว่ะ”



ถึงปากจะพูดไปแบบนั้น แต่เป็นผมเองที่ชักจะเริ่มกังวล เคยเป็นมั้ยก่อนทำอ่ะไม่คิด พอทำไปแล้วถึงได้รู้สึกตัวว่าไม่น่าทำเลย แต่ก็สายไปเสียแล้ว



ตอนนี้ผมกับไอ้ภูรู้สึกเหมือนคนมีชนักติดหลัง ทั้งๆ ที่บอกว่าพี่เค้าคงไม่สังเกตเห็นหรอก แต่ในใจกลับคิดตรงกันข้าม ความรู้สึกมันบอกว่าพี่เค้าต้องรู้แน่ๆ เอาไงดี ไม่น่าเลย แต่จะให้ทำไงได้ ก็มันอยากรู้นี่ !



โชคดีที่พี่ทีกลับดึกพวกเราเลยมีเวลาวางแผนกันว่าจะเอาไงต่อ ไอ้ภูทำหน้าตาไม่สบายใจมาก ผมเองก็รู้สึกเหมือนกัน พวกเราเลยตัดสินใจโทรหาแม่เพื่อขอกลับไปอยู่บ้าน พวกเราโดนซักไซ้เสียละเอียดยิบว่าอีกแค่อาทิตย์เดียวจะกลับมาทำไม ไอ้ภูอึกๆ อักๆ ผมอยากจะช่วยพูดก็คิดไม่ออกว่าจะพูดอะไรดี เลยต้องยอมเล่าให้แม่ฟัง โดยเล่าให้ฟังแค่เรื่องแอบอ่านไดอารี่พี่ที ไม่ได้บอกแม่สักคำเรื่องเนื้อหาในนั้น



แม่ด่าเราซะยกใหญ่ แถมยังจะบังคับให้เรารีบไปขอโทษพี่ทีอีก ที่แม่พูดมามันอาจจะง่าย แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นเพราะแม่ไม่รู้ว่าเนื้อหาในไดอารี่มันเป็นยังไงถ้าแม่รู้คงจะไม่พูดอย่างนี้



ตอนนี้ถึงผมกับภูอยากจะไปขอโทษก็คงทำไม่ได้หรอก เพราะเนื้อหาในไดอารี่ที่พวกเราอ่านไป…มัน…ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะให้คนอื่นรู้นอกจากตัวพี่ทีคนเดียว



ผมแย่งมือถือมาคุยเอง พยายามอธิบายให้แม่ฟังว่าพี่เค้าไม่รู้หรอกน่าว่าโดนแอบอ่าน แต่พวกผมแค่รู้สึกไม่ดีที่ขาดสติทำลงไป จะให้อยู่บ้านพี่ทีต่อก็มองหน้าพี่เค้าลำบาก มันเหมือนมีอะไรติดอยู่ในใจ คงอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง แล้วอีกอย่างเนื้อหาที่ต้องรู้ก็เก็บครบแล้ว ที่เหลือกลับมาทำโจทย์เองที่บ้านก็ได้ ผมโต้เถียงกับแม่อยู่นาน จนในที่สุดแม่ก็ยอมให้กลับบ้าน แต่พวกผมต้องสัญญาว่าหลังจากสอบเสร็จจะต้องไปขอโทษพี่ที พวกผมก็รับปากส่งๆ ไป



วันต่อมาพวกเราพยายามทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชวนพี่เค้าคุยเล่นตามปกติ หลังจากบอกไปว่าพรุ่งนี้จะกลับบ้าน พี่เค้าทำหน้าตกใจเล็กน้อย มองมาที่พวกผมเหมือนจะจับผิด ผมกับไอ้ภูเกร็งกันแทบตาย คืนนั้นเราดึงพี่เขาลงมานอนดูหนังด้วยกันบนพื้น อุตส่าห์ให้นอนที่วีไอพีเลยนะตรงกลางเนี่ย



ผมเคยบอกไปรึยังว่าผมกับภูไม่ชอบให้ใครมายืน เดิน นั่ง นอน แทรกกลางเพราะผมกับไอ้ภูจะรู้สึกอึดอัด ปกติเราสองคนจะตัวติดกันมาก คุยกันแทบจะตลอด เราจะรำคาญมากๆ เวลามีอะไรหรือใครมาคั่นกลาง ยกเว้นพ่อแม่แล้วก็พี่เฟิร์สที่พวกผมพอจะอะลุ่มอล่วยได้ ตอนเรียนเพื่อนผู้หญิงบางคนเวลาเดินคุยกับพวกเรา นางชอบมายืนตรงกลางระหว่างเรา นางคงอยากมีโมเมนต์ถูกหนุ่มหล่อขนาบซ้ายขวาล่ะมั้ง เหอะๆ แน่นอนว่าผมกับไอ้ครามก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อขจัดหล่อนออกไปจากที่ตรงกลางอย่างเนียนๆ



…แต่พี่ทีเป็นกรณีพิเศษ เพราะเขาทำให้พวกเรารู้สึกอยากเก็บเขาไว้ให้เป็นสมบัติของเราเท่านั้น นี่เรียกว่าอาการติดพี่ชายหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจนัก รู้แต่ว่าผมไม่เคยมีอาการติดเฟิร์สก็แล้วกัน



ผมกับภูนอนมองซีกหน้าคนละด้านของพี่ทีที่สะท้อนกับแสงไฟจากแม็คบุ๊คพอให้เห็นได้เลือนราง ผมสบตากับภูก่อนที่ไอ้ภูจะหลบตาผมแล้วบอกให้ช่วยกันอุ้มพี่เค้าขึ้นเตียง







หลังจากกลับมาที่บ้านพวกเราก็นั่งเงียบบนโต๊ะทำงานที่ตั้งอยู่ข้างกันในห้องนอน ผมรู้สึกสับสนกับความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ ไม่รู้ทำไมเหมือนมันมีก้อนขยุกขยุยอัดแน่นอยู่ในอกรู้สึกคันยุบยิบไปหมด ผมถอนหายใจเอ่ยชวนพี่ชายฝาแฝดอ่านหนังสือกันต่อโดยไม่มีพี่ทีนั่งคุมอีกแล้ว



ผ่านไปสองสามวันนับจากที่เรากลับมาอยู่บ้านพี่ทีไม่โทรมาคุยด้วยเลย ขนาดแอบหลอกถามว่าพี่ทีโทรหาแม่บ้างรึเปล่าแม่ก็ยังบอกว่าเปล่า ทั้งที่ปกติแม่กับพี่ทีมักจะโทรติดต่อกันบ่อยๆ แท้ๆ นั่นยิ่งทำให้เราไม่สบายใจ พวกผมค่อนข้างมั่นใจว่าพี่เค้ารู้แล้วว่าเราสร้างวีรกรรมอะไรไว้ ถ้าจะถามว่ารู้ได้ยังไง ก็ไม่รู้สิ …ความรู้สึกมันบอกแบบนั้น วิเคราะห์ตามพื้นฐานนิสัยช่างสังเกตของพี่เค้าด้วย



ความจริงแล้วผมกับครามไม่ได้อยากเรียนวิศวะ พวกเราไม่มีสายอาชีพในฝัน เราแค่อยากอยู่สบายๆ ไม่ต้องทำอะไรไปตลอดชาติก็แค่นั้น พ่อแม่ก็เลยช่วยคิดให้พวกเราแทนสุดท้ายก็ได้ข้อสรุปที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอกชน WC เหมือนพี่เฟิร์ส



พี่ทีต้องโกรธพวกเรามากแน่ๆ เล่นไม่โทรหาเลย ปกติน่าจะโทรมาเช็กความคืบหน้าของเราบ้าง แต่นี่ไม่มีเลย ผมทนกับความรู้สึกหน่วงเหนื่อยแปลกๆ ในใจไม่ไหวรู้สึกกายใจมันเหนื่อยล้าไปหมดจนต้องฟุบหน้าลงกับโต๊ะ



“คราม เป็นไร?” ไอ้ภูถามเมื่อเห็นผมฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ผมได้แต่ส่ายหน้าทั้งที่ยังฟุบอยู่



ไอ้ภูไม่ได้ถามอะไรอีก มันปล่อยให้ผมฟุบต่อไป ผมได้ยินเสียงมันเปิดหนังสือพึ่บพั่บกับเสียงดินสอขีดๆ เขียนๆ จากฝั่งที่ไอ้ภูนั่งอยู่ ผ่านไปพักใหญ่ผมถึงเงยหน้าขึ้นสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนออกยาวๆ รู้สึกโล่งขึ้นมานิดหนึ่งเมื่อได้สูดอากาศเต็มปอด



“ภู …มะรืนนี้กูคิดว่ากูจะไม่ไปสอบกับมึงนะ”



ภูผามองผมด้วยแววตาประหลาดใจเล็กน้อย แล้วก็เริ่มซักถามเหตุผล ผมอธิบายให้มันฟังว่าผมคิดว่าตอนนี้ตัวเองน่าจะมีความสามารถเพียงพอที่จะสอบแกทแพทรอบสุดท้ายเพื่อเอาคะแนนไปยื่นแอดฯ มอรัฐได้หลังจากลองประเมินตัวเองผ่านการฝึกทำข้อสอบเก่าและแนวข้อสอบแกทแพทมาจากบ้านพี่ทีแล้วคะแนนก็อยู่ในระดับดี บอกตามตรงเมื่อก่อนผมไม่แคร์ว่าจะต้องเรียนที่ไหนขอแค่มีที่เรียนก็พอ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว…ผมรู้สึกว่าตัวเองมีเป้าหมาย และอยากจะลองทุ่มเทกับมันสักตั้งเพื่อให้ฝันนั้นกลายเป็นจริง



ผมอยากเรียนที่เดียวกับพี่ที….



สำหรับผมตอนนี้ หากไม่ได้เข้าที่นั่น ผมก็คงไม่อยากเรียนอะไรอีกต่อไปแล้ว ต่อให้ติดที่WCผมก็ไม่มีกะจิตกะใจจะเรียนหรอกหากที่นั่นไม่มีคนที่ผมอยากเจออยู่





….ผมขอเดิมพันกับความพยายามครั้งสุดท้ายนี้ด้วยความตั้งใจทั้งหมดที่มี…เพื่อคนคนนั้นเพียงคนเดียว….





คนอ่านอาจจะสงสัยว่าภูกับครามก็ดูจะชอบพี่ทีขนาดนั้นแล้วทำไมยังกวนตีนใส่ตอนเขาโทรมาถามว่าทำไมไม่ไปสอบอีก คือสองคนนี้เขาไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองมีแผนการจะสอบเข้ามอรัฐไง กะจะเซอร์ไพรซ์ตอนแอดฯ ติดทีเดียว (ถ้าแอดฯ ไม่ติดนี่ชีวิตจบเลย55) ก็เลยต้องแกล้งเนียนกวนตีนเบี่ยงประเด็นเพื่อให้ทีเลิกซักไซ้

หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่11
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 17-02-2018 22:51:03
                                                         

                                                         ตอนพิเศษ งานเเรกพบ & เพื่อนคนเเรก





และแล้วงานวันแรกพบนิสิตใหม่ก็มาถึง…



(บทภู)



“แม่ๆ นั่นไงพี่คณะภู” เมื่อเดินผ่านประตูมหา’ ลัยเข้าไปพวกผมก็พบรุ่นพี่มากมายในชุดหลากสียืนถือป้ายร้องเรียกน้องๆ คณะตัวเองเจี๊ยวจ๊าวไปหมด เสียงกลองเสียงเพลงต่างๆ ดังกระหึ่มจัดเต็ม พอผมหันไปทางคณะที่เสียงดังสะดุดหูที่สุดก็เจอพอดี…คณะวิศวะ



แม่ส่งพวกผมต่อให้รุ่นพี่หนวดเฟิ้มที่ไหว้แม่มือไม้อ่อนและแทบจะช้อนพวกผมอุ้มไปส่งที่คณะ แต่พอลับหลังแม่ พี่แกก็เปลี่ยนท่าทางเป็นกวนตีนทันที กวนแบบขำๆ อ่ะนะ



“พี่ชื่อป๊อกนะครับ เราสองคนชื่ออะไรเอ่ย?” พี่ป๊อกหน้าหนวดชวนคุยขณะพาเราเดินไปที่ซุ้มคณะ



“ผมภูผา นี่ฟ้าคราม มาจากโรงเรียนxxxครับ”



พี่ป๊อกชวนเราคุยเรื่อยๆ ไม่คิดเลยว่าหน้าโหดๆ จะคุยสนุกแถมฮาขนาดนี้ พี่แกเล่าเรื่องต่างๆ ในมหา’ ลัยให้ฟัง ก่อนจะมาพวกเราไปลงทะเบียนรับป้ายชื่อห้อยคอ



พวกเราถูกพาไปนั่งรวมกับเพื่อนคนอื่นๆ ในคณะ เพื่อนหลายคนเข้ามาชวนพวกเราคุยอย่างสนอกสนใจ ไม่เข้าใจว่าแค่เป็นแฝดกันมันน่าสนใจตรงไหน แล้วผมก็เบื่อจริงๆ ไอ้คำถามที่ว่ามีจุดไหนในร่างกายที่ช่วยให้แยกออกได้บ้างมั้ย ฮึ! จ้างให้ก็ไม่บอก



พอน้องทุกคนมาครบ รุ่นพี่ก็ตีวงโอบล้อมแล้วบูมให้พวกเรา ผมกับครามพยายามมองหาพี่ทีแต่ก็ไม่เจอ หรือคนมันเยอะเกินไปจนมองไม่เห็นผมก็ไม่แน่ใจ



สิ่งต่างๆ ที่พี่ปีสองพูดแทบจะไม่เข้าหูผมเลยเพราะผมมัวแต่สอดส่ายสายตาหาพี่ทีอยู่ พี่ๆ ให้เราเล่นเกมเยอะแยะไปหมด กะหล่ำปลีเอย ส่งหนังยางผ่านหลอดเอย ไฟฟ้าช็อตเอย เต้นเอย สลับกับการแนะนำกิจกรรมต่างๆ ในมหา’ ลัย คือพวกพี่ๆ ในคณะเขาจะให้เล่นเกมรอจนกว่าพวกกลุ่มชุมนุมต่างๆ เขาจะมาโปรโมตกิจกรรมตามซุ้มแต่ละคณะ ทั้งกลุ่มสันทนาการมหา’ ลัย วงดนตรีมหา’ ลัย ชุมนุมบำเพ็ญประโยชน์ กลุ่มเชียร์ลีดเดอร์ กลุ่มอัญเชิญตรามหา’ ลัย ชุมนุมคอรัส ชุมนุมละครมหา’ ลัย ฯลฯ วันนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือวันแนะนำชุมนุมให้เข้าร่วม กับนัดหมายกำหนดการต่างๆ



หลังกองสันทนาการมหา’ ลัยออกจากซุ้มวิศวะไป พี่ปีสองก็เริ่มขุดเกมมาให้พวกเราเล่นต่อ โอ๊ย! กูไม่อยากเล่น กูอยากกลับบ้าน แดดก็แรง น้ำที่ใส่กระติกมาให้ก็ไม่เย็น (นี่ใส่น้ำแข็งแล้วใช่ป่ะ!?) หลอดนี่ดูดกันไปกี่ร้อยปากแล้วก็ไม่รู้ ของว่างก็แค่ขนมปังปี๊ป หยี! กินไม่ลง พื้นแม่งก็แข็ง ปวดตูดไปหมดแล้วเนี่ย!



“เอาล่ะครับน้อง ต่อไปเราจะมาเล่นฉุบวิวัฒนาการกันนะ…ไหนใครเคยเล่นบ้างงงง…ไม่มีหรอ….โอเค…งั้นขอพี่สาธิตหน่อยยยยย!!!”



“พี่สาธิต! พี่สาธิต! พี่สาธิต! …เอ้า….พี่สาธิต! พี่สาธิต! พี่สาธิต! ” เสียงกลองและเสียงร้องเรียกคนมาสาธิตการเล่นดังกระหึ่ม



“น้องเล่นเป่ายิ้งฉุบเป็นใช่มั้ย พี่จะอธิบายกติกาเกมนี้ให้ฟังคร่าวๆ นะ ก่อนอื่นเราจะเริ่มจากยูกลีนาก่อน ยูกลีนาทำท่านี้นะครับ” แล้วพี่เฮนรี่ที่เป็นพิธีกรก็ชี้ไปที่รุ่นพี่คนแรกสุด พี่เค้าชูนิ้วชี้ชูขึ้นเหนือหัวกระดิกไปมา เอวก็ส่ายไปด้วย แหยะ! ท่าอุบาทว์แบบนี้ใครจะไปทำลง={}=;;;



“เอ้าต่อไปๆ ๆ ยูกลีนาแล้วกลายเป็นปลาหมึก! ” เอิ่ม นี่ก็ไม่ไหว ทำไปได้ไง …อายแทน



“ปลาหมึกแล้วๆ ต่อไปเป็นปลาโลมา! ” พี่ที่ถักเดทร็อกเต้นท่าโลมาแบบโปงลางสะอื้น เล่นเอาพวกพวกผมสะอึกด้วยความสะพรึงไปตามๆ กัน



“จากปลาโลมาเป็นลิง!”



“จากลิงเป็นคน”



“แล้วสุดท้ายเป็นเทวดาคร้าบบบ ใครเป็นเทวดาแล้วให้มายืนด้านหน้าเลยนะ สิบคนสุดท้ายโดนลงโทษนะครับ”



เมื่อทุกคนเข้าใจกติกาแล้วพี่เฮนรี่ก็ให้เวลาเป่ายิ้งฉุบภายในสามเพลง พวกผมรีบลุกขึ้นยืนเมื่อเพลงเริ่ม ผมก็จำใจทำท่ายูกลีนาหันไปฉุบกับไอ้คราม



“เป่ายิ้งฉุบ! ฉุบ! ฉุบ! ฉุบ! ฉุบ! ฉุบ! ฉุบ! ฉุบ! ฉุบ!” เชี่ยละ เริ่มมาก็เจอศึกหนักเลย ทำไมมึงต้องออกเหมือนกูตลอดเลยวะ=_=***



ผมเสียเวลาฉุบกับไอ้ครามจนจบเพลงแรก สุดท้ายด้วยความเป็นพี่ผมเลยยอมให้มันชนะไปแม้ว่าเราจะออกเหมือนๆ กัน ผมเดินตามหาเพื่อนยูกลีนาที่จะมาฉุบด้วยซึ่งเหลือน้อยเต็มที ผมไม่น่ามาเสียเวลาฉุบกับไอ้ครามเลยว่ะ ดูซิคนอื่นเค้าเป็นโลมาเป็นลิงกันไปหมดแล้วผมยังเป็นยูกลีนาอยู่เลยTvT



และแล้วผมก็กลายเป็นสมาชิกสิบคนสุดท้ายที่ยังไม่ได้วิวัฒนาการเป็นเทวดา



“เอ้า พวกน้องมานั่งตรงนี้ก่อน สภานิสิตมาแล้ว” พี่สต๊าฟเรียกพวกเราสิบคนไปนั่งด้านข้างเมื่อขบวนนิสิตเดินเข้ามาในซุ้มคณะเรา



ผมเงยหน้าขึ้นไปมองบุคคลเหล่านั้นแล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นพี่ทีเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนั้น



วันนี้พี่ทีแต่งตัวเนี๊ยบที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นเลย พี่เขาใส่ชุดนักศึกษาเต็มยศ ติดกระดุมชิดคอ รองเท้าหนังมันปลาบ ผูกเนกไทกลัดเข็มตรามหา’ ลัย เซตผมเสยไปด้านหลังเผยให้เห็นหน้าผากขาวสะอาด ยิ่งสวมแว่นตากรอบดำก็ยิ่งขับให้ดูขาวแถมดูทรงภูมิมากขึ้นไปด้วย…



โคตรเท่อ่ะสาดดดดดด!!!



พี่เฮนรี่ส่งไมค์ให้พี่ที่ยืนอยู่หัวแถว



“สวัสดีครับน้องๆ พวกเราคือสภานิสิตแห่งมหาวิทยาลัยXXX พี่ชื่อสนุกอยู่ปีสามคณะนิติศาสตร์เป็นประธานสภานิสิตครับผม ….” พี่สนุกแต่หน้าตาไม่สนุกพล่ามเรื่องหน้าที่ของสภานิสิตที่ดูไม่น่าจะสนุกซะยืดยาวเหมือนกล่าวสุนทรพจน์ก่อนจะยอมส่งไมล์ต่อ พี่แต่ละคนแนะนำตัวพร้อมตำแหน่งหน้าที่ที่รับผิดชอบในสภา บางคนก็อธิบายลักษณะงานที่รับผิดชอบด้วย จนมาถึงคนสุดท้าย…



“สวัสดีครับน้องๆ พี่ชื่อที อยู่ปีสาม วิศวะโยธา เป็นหัวหน้าฝ่ายกฎระเบียบ ใครมีข้อข้องใจหรือสงสัยเกี่ยวกับกฎระเบียบต่างๆ ของมหา’ ลัย การแต่งกาย การโอนหน่วยกิต การขอผ่อนผันค่าใช้จ่าย การขอดร็อป ฯลฯ หรือถูกกดขี่ข่มเหงอย่างไม่เป็นธรรมในมหา’ ลัย โดนรุ่นพี่รับน้องเกินกว่าเหตุ โดนระบบโซตัส ก็สามารถร้องเรียนได้ที่ผมโดยตรงหรือจะแจ้งผ่านทางเฟซบุ๊คของสภาเราก็ได้ครับ พี่จะรับผิดชอบประสานงานให้ ไม่ต้องห่วงนะครับ เพราะข้อมูลของน้องจะถูกเก็บเป็นความลับ” พูดจบพี่ทีก็ส่งไมค์กลับไปให้พี่สนุกที่หน้าตาไม่ค่อยสนุกอีกครั้ง



“ครับ…พี่ๆ ก็หวังว่าจะได้ร่วมงานกับน้องๆ นะครับ ใครสนใจเข้าร่วมสภานิสิตสามารถสมัครด้วยตนเองได้ที่ห้องสภาเลยนะครับ แล้วเจอกันครับ” พวกสภานิสิตเดินออกไปจากซุ้ม ผมมองตามหลังพี่ทีไปจนลับสายตา ผมพยายามจะสบตากับพี่เค้านะ แต่พี่เค้าไม่หันมาทางผมเลย พูดๆ ๆ แล้วก็ไป…



พี่เฮนรี่กลับไปยืนด้านหน้าอีกครั้ง



“เอาล่ะครับ ถ้าใครสนใจก็อย่าลืมไปสมัครเข้าสภานิสิตกันนะ เห็นมั้ย คณะเราก็มีรุ่นพี่ทำงานอยู่สภานิสิตเหมือนกัน พี่ก็หวังว่าน้องจะไปสมัครกันเยอะๆ เนอะ…เอาล่ะครับ เมื่อกี้เรายังไม่ได้ลงโทษคนแพ้กันเลย เอ้าสิบคนนั้นลุกขึ้นนนนน”



เราสิบคนถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มผู้หญิง และ กลุ่มผู้ชาย ผู้หญิงสองคนที่แพ้โดนสั่งให้เต้นมัดหมี่ก่อนจะได้กลับไปนั่ง ส่วนผู้ชายอีกแปดคนอยู่ต่อ ไอ้พี่เฮนรี่แม่งยิ้มมีเลศนัย มันต้องให้ทำอะไรแผลงๆ แน่เลย



“สำหรับผู้ชาย…เราไม่ให้เต้นครับ มันธรรมดาไป ขอเสียงพี่ปีสามช่วยโหวตหน่อยครับว่าจะให้น้องๆ เค้าทำอะไรกันดี” พี่เฮนรี่ทำท่าชูไมค์ไปรอบๆ ได้ยินเสียงตะโกนมาแว่วๆ ว่า…เล่นแมงมุม



มันเล่นยังไงวะ?



“ฮ่าๆ ๆ โอเค …มีเสียงบอกมาว่าเต้นแมงมุมนะ พวกน้องยืนชิดริมก่อนนะครับ เอ้า! ขอพี่สาธิตหน่อย! ”



“พี่สาธิต! พี่สาธิต! พี่สาธิต! …เอ้า….พี่สาธิต! พี่สาธิต! พี่สาธิต! ” เสียงกลองและเสียงร้องเรียกคนมาสาธิตการเล่นดังกระหึ่มอีกครั้ง



“มาๆ ๆ พี่เองไอ่น้อง” พี่ปีสามที่ชื่อป๊อกอาสามาสาธิต พี่แกทำท่าถกแขนเสื้ออย่างกระเหี้ยนกระหือรือ พวกน้องๆ ในคณะหัวเราะกันใหญ่



“เดี๋ยวผมหาคู่ให้มั้ยลูกพี่” พี่เฮนรี่หันไปถามพี่ป๊อกยิ้มๆ



“เฮ้ยไม่ต้องๆ เดี๋ยวไม่ถูกใจ พี่หาเอง … ไอ้แท็ค! มานี่ดิ๊ มาเต้นกับกูหน่อยเมียจ๋า” พี่ป๊อกหนวดเฟิ้มกวักมือเรียกพี่แท็คที่นั่งดื่มน้ำอยู่บนกล่องน้ำแข็ง พวกผมหันไปมองพี่ที่ชื่อแท็คพ่นน้ำหันมามองอย่างตกใจเรียกเสียงหัวเราะดังลั่นซุ้มเลยทีเดียว พี่ป๊อกพี่แท็คโคตรฮาอ่ะ



“สัส! ใครเมียมึง!!” พี่แท็คหยิบขนมปังปี๊บปาใส่หัวพี่ป๊อก เรียกเสียงหัวเราะอีกครืน แต่ก็ยอมเดินออกมายืนข้างหน้าแต่โดยดี



พี่เฮนรี่ยืนคั่นกลางระหว่างพี่แท็คกับพี่ป๊อก



“พี่แท็คครับ พี่จะเป็นแมงมุมตัวผู้หรือตัวเมียครับ?” พี่เฮนรี่ยื่นไมค์ไปจ่อปากพี่แท็ค โอ๊ย! ขำว่ะ มีให้เลือกเพศก่อนด้วย



“ตัวผู้ครับ” พี่แท็คตอบยิ้มๆ มีเสียงกรี๊ดดังมาจากกลุ่มผู้หญิง



“โอเค้ กูเป็นตัวเมียก็ได้” พี่ป๊อกว่าขำๆ



“งั้นแมงมุมตัวผู้กับแมงมุมตัวเมียเข้าประจำที่เลยครับ”



พี่แท็คลงไปทำท่ากึ่งคลานแต่โด่งก้นขึ้น พวกผู้หญิงกรี๊ดกันใหญ่ ส่วนพวกผู้ชายก็ส่งเสียงเชียร์อย่างดัง



พี่ป๊อกลงไปทำท่าคลานแบบหงายตัวขึ้น พี่แกทำท่ากัดปากกระดิกนิ้วเรียกพี่แท็คด้วย =_= เสื่อมมากกกกกกก แต่ไม่เข้าใจ ทำไมทุกคนดูชอบกันนัก เสียงดังจนซุ้มข้างๆ หันมามองเลย



“แมงมุมมันมีแปดขา เดินไปเดินมา ขยุ้มๆ … แมงมุมมันมีแปดขา เดินไปเดินมา ขยุ้มๆ … แมงมุมมันมีแปดขา เดินไปเดินมา ขยุ้มๆ … แมงมุมมันมีแปดขา เดินไปเดินมา ขยุ้มๆ! แมงมุมมันมีแปดขา เดินไปเดินมา ขยุ้มๆ!! ”



เสียงฮือฮาปรบมือชอบอกชอบใจดังลั่นเลยคราวนี้ โอ๊ย ! พวกพี่เค้าทำท่าแบบนั้นเข้าไปได้ยังไง ผมเห็นแล้วยังอายแทน คือพี่แท็คกับพี่ป๊อกต้องค่อยๆ กระเถิบเข้าไปหากันเรื่อยๆ พอลงคำว่า ขยุ้มๆ ก็เด้งเป้าสองทีทั้งคู่ ยิ่งเข้าใกล้กันเพลงมันก็จะยิ่งเร่งจังหวะเร็วขึ้น จนสองคนนั้นขึ้นไปคร่อมกัน แล้วทำท่าเหมือนคนมีเซ็กซ์กัน พี่แท็คจับขาพี่ป๊อกมาพาดบ่า ส่วนพี่ป๊อกก็ไม่น้อยหน้าร่อนสะโพกแถมยังจับหัวพี่แท็คซุกอกอีกต่างหาก โอ๊ย! ไม่ไหวแล้ว ผมทนมองไม่ได้อ่ะ มันเขินแทนอ่าครับ อ๊ากกกก!



“เฮ้ยๆ ๆ พอแล้ว ไปต่อกันที่อื่นไป๊” พี่คนนึงเดินเข้ามาแยกพี่แท็คกับพี่ป๊อกออกจากกัน สองคนนั้นค่อยยอมเดินไปยืนด้านข้างในที่สุด



“เอาล่ะครับ ต่อไปตาพวกน้องทำนะ อ่ะ จับคู่กันเลย …เริ่มที่คู่น้องละกัน” พี่เฮนรี่ดึงผมกับเพื่อนที่หัวเหมือนขวดมายืนคู่กัน เย้ย! พี่! ผมยังไม่พร้อม = [] = ;;;;



“น้องยูโรครับ เมื่อกี้พี่ทีกับพี่ป๊อกเต้นเด็ดมั้ยครับ” พี่เฮนรี่สัมภาษณ์ไอ้หัวขวด อ่อ มันชื่อยูโรนี่เองลืมอ่านป้ายชื่อ



“ไม่เด็ดครับ คู่ผมเด็ดกว่าแน่นอน ” ผมหันขวับไปมองมันตาแทบถลน ไอ้หัวขวดชั่วช้า! มึงพูดอะไรออกไปรู้ตัวบ้างม้ายย!!! ถ้าผมพ่นไฟได้ป่านนี้ไอ้ยูโรมันคงไหม้เป็นตอตะโกไปแล้ว ผมเห็นไอ้ครามกุมท้องหัวเราะจนหน้าดำหน้าแดง หน็อยแน่มึง!



“โอ้โห มั่นใจขนาดนี้ พี่แท็คพี่ป๊อกรอดูเลยนะครับ ฮ่าๆ ๆ …น้องยูโรจะเป็นตัวผู้หรือตัวเมียครับ”



“ตัวเมียครับ” เหยดโด้! มันอยากเป็นรับ =O=!!



“โอเค เข้าประจำที่เลยครับ” ผมมองไอ้ยูโรที่ลงไปโพสต์ท่าแมงมุมตัวเมียเรียกเสียงฮือฮาจากรุ่นพี่และรุ่นเดียวกันเกรียวกราว มันทำไปได้ยังไง เล่นแหกขาแหงนคอไปด้านหลังจนแทบหักแบบนั้น ดีนะที่แม่งเป็นผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิงนี่ไม่อยากจะคิดเลย=///=



“อ้าววว เห็นตัวเมียแล้วขาสั่นเลยหรอครับน้องภูผา ใจเย็นครับใจเย็น เดี๋ยวได้แน่นอน ฮ่าๆ ๆ ” เฮ้ยยยย มันไม่ใช่อย่างน้านนนนนน ผมขนลุกเว้ยพี่! ไม่ใช่อยากได้มัน! ={}=;;;;;



“แมงมุมมันมีแปดขา เดินไปเดินมา ขยุ้มๆ … แมงมุมมันมีแปดขา เดินไปเดินมา ขยุ้มๆ … แมงมุมมันมีแปดขา เดินไปเดินมา ขยุ้มๆ ….. ”



“เฮ้ยๆ ตัวผู้จะคลานหนีตัวเมียทำไมครับ รุกสิน้อง รุกเข้าไป อย่าให้เสียสถาบันแมงมุมตัวผู้” โอ๊ย! แค่เห็นหน้าไอ้ยูโรผมก็อยากคลานหนีแล้วพี่ หยึย ขนลุก ไอ้นี่แม่งก็เป็นตัวเมียประสาอะไรวะคลานโคตรเร็วจะรุกกูอยู่นั่นแหละ



“ฮ่าๆ ๆ ตัวเมียแม่งน่ากลัวว่ะ ตั้งแต่อยู่มากูเพิ่งเคยเห็นตัวผู้คลานหนีตัวเมีย น้องยูโรเค้าเด็ดจริงๆ เว้ยเฮ้ย” พี่ๆ หัวเราะกันใหญ่



ในที่สุดผมก็ต้องกล้ำกลืนฝืนใจโหย่งตัวเข้าหาไอ้ยูโร เพราะถ้ามัวแต่คลานหนีสงสัยคงไม่ได้ซ่ำ เอ๊ย! จบกันซักที ในที่สุดผมก็ขึ้นไปคร่อมอยู่บนตัวมัน คือกูยังไม่ได้ทำไรเลย มันเด้งเป้าใส่ผมทำเสียงอืออาอะฮ๊าอะฮี๊อยู่คนเดียว …นี่สินะที่เค้าเรียกว่าคนเดียวก็เสียวได้ เอิ่ม =_=;



“… แมงมุมมันมีแปดขา เดินไปเดินมา ขยุ้มๆ! แมงมุมมันมีแปดขา เดินไปเดินมา ขยุ้มๆ!!” พอเพลงเร่งจังหวะใกล้จบไอ้ยูโรก็ทำสิ่งที่ไม่คาดฝัน มันเอาขาขึ้นมาเกี่ยวเอวผมทั้งสองข้าง ผมตกใจเลยล้มลงไปทับมัน มันก็เลยกอดผมนัวเนียกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น



กรี๊ดดดดดดดดด !!!!



พวกผู้หญิงกรี๊ดกร๊าดหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายกันใหญ่ พวกผู้ชายก็ส่งเสียงฮือฮาอย่างบ้าคลั่ง พอเพลงจบผมนี่แทบแทรกแผ่นดินหนี ไอ้ยูโรลุกขึ้นมาโค้งให้ทุกคนหน้าตาย เชี่ยยยยย มึงไม่อายแต่กูอายนะไอ่สาดดดดดด





และแล้วผมก็ได้เพื่อนคนแรกในรั้วมหา’ ลัย… ยอดชายนายยูโร!



บุรุษหัวขวดผู้ไล่ปล้ำกูในวันแรกพบ!!









ท่าเต้นแมงมุมก็ประมาณนี้ 55 https://www.youtube.com/watch?v=m5BJBErH4gc



หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่11
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 17-02-2018 22:52:01


                                                                  ตอนที่ 14  เข้าหอ



ผมกำลังทำสงครามเย็นกับพ่อแม่อยู่



อันที่จริงมันก็ไม่เชิงว่าเป็นสงครามเย็นหรอก เพราะผมไม่ได้ทะเลาะอะไรกับพวกท่าน ผมก็แค่หงุดหงิดที่พ่อแม่จะให้ผมไปอยู่กับไอ้แฝด แต่ถึงไม่พูดพ่อแม่ก็คงดูออกว่าตอนนี้ผมอารมณ์ไม่ดีแค่ไหน สังเกตได้จากใบหน้าที่ไม่มีรอยยิ้มของผม บางทีผมก็มีโมเมนต์ที่ยิ้มไม่ออกเหมือนกันนะ อย่างช่วงนี้ไงโคตรหงุดหงิดเห็นอะไรก็รกหูรกตาไปหมด



เสร็จจากงานแรกพบ ผมก็ต้องเตรียมตัวเก็บข้าวของย้ายไปอยู่คอนโดแถวมหา’ ลัยกับพวกไอ้แฝด วันนี้เป็นวันอาทิตย์ พ่อกับแม่ว่างตรงกันพอดีเลยมาช่วยผมขนของย้ายเข้าคอนโด



“ที เอากล่องนี้ไปด้วยมั้ย!” พ่อตะโกนถาม ผมถอนหายใจหันไปมองนิ่งๆ นั่นกล่องใส่ชีทเรียน ต้องเอาไปสิ ผมพยักหน้าให้พ่อส่งๆ พ่อเลยเอากล่องนั้นไปใส่หลังรถ



“ทีเอายาแก้แพ้อากาศไปรึยังลูก อย่าลืมเสื้อกันหนาวกับถุงเท้าด้วยนะ”



“แม่ถามทีเรื่องนี้มาสามรอบแล้วนะครับ ก็บอกแล้วไงว่าเอาไปแล้วๆ ” ผมตอบไปอย่างรำคาญ แล้วก็มารู้สึกแย่หลังจากพูดออกไปแล้ว …ผมไม่น่าไปรำคาญแม่เลย แม่คอยเตือนเรื่องยาเรื่องเสื้อก็เพราะเป็นห่วงผมแท้ๆ … แม่ง! แต่ผมก็ยังหงุดหงิดอยู่ดี ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ผมก็คงไม่ต้องเอาชีวิตไปผูกติดกับฝาแฝดเวรๆ สองตัวนั่นหรอก!



นานๆ ทีขอผมโกรธมั่งก็แล้วกัน จะได้รู้ว่าผมยังเป็นคนอยู่ไม่ใช่เทวดา ผมอยากให้พ่อกับแม่รู้บ้างว่าถึงผมจะค่อนข้างหัวอ่อนยอมตามใจท่าน แต่มันก็ไม่ใช่สำหรับทุกเรื่อง



“ตรวจเช็กเรียบร้อยแล้วนะ ไม่ลืมอะไรใช่มั้ยลูก” พ่อหันมาถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง



“ครบครับ” ผมตอบสั้นๆ ก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ



พ่อกับแม่นั่งคู่กันบนเบาะหน้า ส่วนผมนั่งเบาะหลังคู่กับบรรดาสัมภาระ ยิ่งรถแล่นห่างออกจากบ้านเท่าไหร่ผมก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเท่านั้น



พ่อแม่ที่นั่งคู่กันด้านหน้าคุยเรื่องสัพเพเหระกันสนุกสนาน ในขณะที่ผมรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นตามลำดับ ตัวเองอารมณ์ดีคุยกันกะหนุงกะหนิง มีแต่ผมที่นั่งเป็นทุกข์อยู่คนเดียว มันยุติธรรมตรงไหน



“ที ไปอยู่นู่นแล้วอย่าลืมปลุกน้องไปเรียนด้วยล่ะ แล้วพวกกับข้าวน่ะหาให้น้องกินด้วยนะ อย่าเอาแต่กินมาม่ากันเข้าใจมั้ย” แม่ว่า



“ก่อนเปิดเรียนอย่าลืมพาน้องไปเซอร์เวย์รอบๆ มหา’ ลัยด้วยนะ ตึกมันเยอะเดี๋ยวน้องหาห้องเรียนไม่เจอ” พ่อสั่ง



“….”



“ที?”



“ครับ รู้แล้วครับ”



“อย่าลืมโทรเตือนอาแอ๋มด้วยว่าให้จ่ายค่าเทอมวันไหน เออใช่ สอนน้องใช้บัตรนิสิตด้วยนะ ลูก เห็นว่าเติมเงินเข้าไปได้ด้วยนี่”



“เดี๋ยวพี่ปีสองเขาก็สอนเองแหละพ่อ”



“เออ อาแอ๋มฝากบอกให้ช่วยคุมน้องหน่อยนะ อย่าให้โดดเรียน”



“เดี๋ยวทีปริ้นท์ตารางเรียนน้องมาแปะไว้หน้าตู้เย็นเลยละกัน…”



“แล้วก็….”



ผมจิ๊ปาก แม่เลยมองผมผ่านกระจกมองหลัง



“เป็นอะไรที ปั้นปึ่งมาตั้งหลายวันแล้วนะ” แม่พูดด้วยน้ำเสียงดูไม่ค่อยพอใจนิดๆ



“เปล่าครับ” ผมตอบเสียงสะบัดๆ เสมองไปด้านนอก



“เปล่าแล้วทำไมหลายวันมานี้ไม่ยิ้มเลยล่ะลูก ตั้งแต่ตอนไปกินข้าวกับอาแอ๋มละ มีอะไรไม่พอใจก็บอกมาตรงๆ สิ มาทำหน้าเง้าหน้างอเป็นผู้หญิงไปได้” พ่อขับรถไปบ่นผมไป



“…เปล่าครับ ไม่มีอะไร” ผมถอนหายใจ บอกไปแล้วจะได้อะไร ในเมื่อยังไงก็ต้องย้ายไปอยู่ดี กลับคำไม่ได้นี่นา



“ทีไม่อยากไปอยู่กับน้องก็บอกแม่มาตรงๆ ไม่ใช่มานั่งทำหน้าบึ้งหน้าบูดใส่พ่อใส่แม่แบบนี้… พี่เดชเลี้ยวรถกลับเถอะ อย่าไปฝืนใจทีเขาเลย”



“...ไม่ต้องพ่อ! ขับไปเลย ใกล้ถึงแล้วจะเลี้ยวรถกลับทำไม”



“ก็ลูกไม่อยากอยู่กับน้อง พ่อกับแม่ก็ไม่อยากฝืนใจ ถึงจะรับปากอาแอ๋มไปแล้วก็ช่างมันเถอะ แลกกับการไม่ต้องเห็นหน้าบึ้งๆ ของลูก แม่ยอมเสียสัจจะยังจะดีซะกว่า”



ผมเม้มปากจนเป็นเส้นตรง แบบนี้มันประชดกันเห็นๆ เลยนี่



“ทีไม่ได้บอกสักคำว่าไม่อยากอยู่กับน้อง …”



“แล้วทำหน้าบึ้งทำไม?”



“แค่ไม่ยิ้มนี่เรียกทำหน้าบึ้งหรอครับแม่?”



“แล้วปกติลูกทำหน้าแบบไหนล่ะ”



“คือทีไม่ได้เป็นคนบ้านะจะได้ยิ้มตลอดเวลา”



“แต่แม่รู้ก็แล้วกันน่ะว่าเรากำลังไม่พอใจพ่อกับแม่อยู่!” แม่เริ่มขึ้นเสียงใส่ผม



“ไม่ได้ไม่พอใจอะไรทั้งนั้นแหละครับ! ผมเหนื่อย ก็เลยไม่ยิ้ม แค่นั้น จบมั้ย”



“เหนื่อย? เหนื่อยอะไรนักหนายังไม่ทันจะเปิดเทอมเลย”



“ตกลงจะให้เอายังไง ยูเทิร์นอยู่ข้างหน้าแล้วนะ จะให้เลี้ยวกลับมั้ย” พ่อถามแทรก



“ขับไปคอนโดเลยครับพ่อ”



“ยูเทิร์นไปเลยคุณ ชั้นขี้เกียจเห็นลูกทำหน้าเง้าหน้างอใส่แล้ว”



“แม่ครับ คือทีก็ยอมไปแล้วไง แม่จะเอาอะไรอีก!?”



“ถ้าไม่เต็มใจก็ไม่ต้องไป!”



“ทีเต็มใจก็ได้! …พ่อครับ ขับไปเลย …แม่ ทีขอโทษ อย่าโกรธทีเลยนะแม่ …แม่ครับ” พ่อขับเลยจุดยูเทิร์นไปแล้ว ผมเขย่าแขนแม่เมื่อเห็นแม่กอดอกทำหน้านิ่ง ผมง้อแม่ด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ แย่จริงผมลืมตัวเถียงแม่เข้าไปได้ยังไง …ผมมันเลว ผมมันคนอกตัญญู



แม่ไม่พูดกับผมอีกเลยตลอดทางไปจนถึงคอนโด แต่พอขึ้นไปเจอพวกอาแอ๋มที่มาช่วยเจ้าแฝดจัดข้าวของ แม่ก็สับสวิตซ์เปลี่ยนจากโหมดโกรธผมเป็นโหมดยิ้มแย้มเม้าท์กระจายกับอาแอ๋มได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ



ผมรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยเมื่อพบว่าที่นี่มีสองห้องนอนและผมจะได้นอนคนเดียว นับว่ายังดีที่ไม่ต้องนอนรวมกับสองคนนั้น



“มีอะไรให้ครามช่วยมั้ยพี่ที ครามจัดของครามเสร็จแล้ว” ฟ้าครามโผล่หน้าเข้ามาในห้องที่พ่อกับผมช่วยกันจัดของอยู่



“กะ …ไม่มีหรอก พี่ของไม่เยอะ จะเสร็จแล้วด้วย” ผมกลืนคำว่า ‘เกะกะ’ ลงคอเมื่อระลึกได้ว่าพ่อยังอยู่ในห้องด้วย



“งั้นครามไปเรียกพี่แววมากวาดฝุ่นให้นะ” โดยไม่รอให้ผมตอบรับฟ้าครามก็วิ่งออกไปส่งเสียงเรียกคนใช้ให้มาช่วยเก็บกวาดฝุ่นจากการจัดข้าวของ พ่อกับผมเข้าไปล้างมือแล้วออกมานั่งที่ห้องนั่งเล่นรวมกับคนอื่นๆ ปล่อยให้พี่แววกวาดถูห้องให้อีกรอบ ถึงตอนมาอาแอ๋มจะให้พี่แววทำความสะอาดรอไปแล้วรอบนึงก็เถอะ



กว่าทุกอย่างในห้องจะเรียบร้อยก็เย็น พวกเราเลยออกไปกินข้าวด้วยกันแถวๆ มอ ตั้งแต่เจออาแอ๋มกับพวกแฝดผมเองก็ทำตัวเหมือนสับสวิตซ์ได้ ผมยิ้มแย้มพูดคุยกับทุกคนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยกเว้นแม่ที่แม้ผมจะพยายามขุดเรื่องขึ้นมาชวนคุยแค่ไหนแม่ก็ดูจะไม่สนใจผมเท่าที่ควร นั่นทำให้ผมรู้สึกแย่มากๆ ได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น



หลังจากฝากฝังล่ำลากันเนิ่นนานราวกับจะพรากจากกันไปตลอดกาล ในที่สุดพวกแม่กับอาแอ๋มก็กลับไป ทิ้งผมไว้กับภูผาและฟ้าคราม



เมื่อประตูปิดลง ผมก็หันหลังเดินเข้าห้องตัวเองทันที



ผมทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะทำงาน เหม่อมองออกไปยังทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากตึกและท้องฟ้าดำมืดประดับด้วยดาวไม่กี่ดวง



ความรู้สึกผิดที่เถียงแม่ไปเมื่อตอนกลางวันหวนกลับมาเกาะกุมจิตใจผมอีกครั้งเมื่ออยู่คนเดียว ถึงแม่จะผิดที่มาฝืนใจผม แต่ผมก็ไม่ควรไปต่อล้อต่อเถียงกับท่านอยู่ดี ยังไงแม่ก็เป็นแม่ จะผิดจะถูกยังไงก็คือแม่ และสำหรับผม แม่ถูกเสมอ



ผมพยายามโทรหาแม่หลายครั้ง แต่แม่ก็ไม่รับสาย นานมากแล้วที่ผมไม่ได้ถูกแม่งอนแบบนี้ แต่ผมจำได้ฝังใจเลย…เวลาแม่งอน…ง้อยากมาก





ก๊อกๆ ๆ



ผมหันไปมองทางประตู ยังไม่ทันจะพูดอนุญาต ภูผากับฟ้าครามที่อยู่ในชุดนอนทั้งคู่ก็เดินเข้ามาในห้อง



“อะไร?” ผมถามเมื่อฟ้าครามกับภูผาวางสมุดเล่มหนาสองเล่มลงบนโต๊ะผม



“พี่ที..ภูกับครามขอโทษที่แอบอ่านไดอารี่ของพี่ แล้วก็ทำตัวไม่น่ารักกับพี่ก่อนหน้านี้นะครับ” ภูผากับฟ้าครามลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นเพื่อให้อยู่ต่ำกว่าผม ก่อนจะยกมือไหว้ …อีกแล้ว



ผมเบือนหน้าหนี บอกตามตรงว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังโกรธจนไม่อยากจะมองหน้าพวกมันอยู่ แต่หลังจากทะเลาะกับแม่ ผมรู้สึกอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงไปหมด อยากตวาด อยากด่า อยากยกขาขึ้นมาถีบให้พวกมันหงายหลังล้มไปทั้งคู่ให้สาสมกับความโกรธที่มีมาก่อนหน้านี้ของผม แต่ตอนนี้ไม่มีกะจิตกะใจจะทำเลย…



“อืม” ผมพูดได้แค่นั้น ไม่ยิ้ม ไม่อะไรทั้งสิ้น ผมเหนื่อยกาย และเหนื่อยใจ ตอนนี้อยากอยู่คนเดียวจริงๆ



แต่ท่าทางของผมคงทำให้สองคนนั้นคิดว่าผมยังคงโกรธอยู่ ซึ่งมันก็ถูกแหละ... ภูผากับฟ้าครามก็เลยหยิบสมุดเมื่อกี้ขึ้นมาคนละเล่มแล้วยื่นให้ผม



“อะไร?” คราวนี้ผมถามพร้อมขมวดคิ้วอย่างเริ่มรำคาญ เมื่อกี้ก็บอกว่าอืมแล้วไง ทำไมยังไม่ออกไปซะทีวะ



“ก็สองเดือนก่อนภูกับครามแอบอ่านไดอารี่พี่ที…พวกเราเลยเอาไดอารี่มาให้พี่ทีอ่านคืนไง จะได้หายกัน ..นะ? ดีกันนะพี่? ดีกันนะคร้าบบบบบ” สองคนนั้นชูนิ้วก้อยนั่งช้อนตาทำน้ำเสียงออดอ้อนขอให้ผมยกโทษให้



ถ้าเป็นปกติผมคงจะใจอ่อนตามนิสัยเดิม แต่ไม่ใช่กับตอนนี้ที่ผมกำลังเฟลแบบสุดๆ



“ไม่ล่ะ…พอดีไม่ชอบเสือกเรื่องชาวบ้าน” ผมดันหนังสือสองเล่มนั้นคืนกลับไป ลุกขึ้นไปหยิบผ้าเช็ดตัวเดินสวนกับภูผาและฟ้าครามที่เบิกตากว้างเหมือนจะช็อกกับคำด่าอ้อมๆ ของผม









พอผมออกมาจากห้องน้ำก็พบกับห้องนั่งเล่นที่ปิดไฟมืด สงสัยสองคนนั้นคงเข้านอนแล้ว ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก ตอนนี้ผมยังไม่มีอารมณ์จะต่อกรกับพวกมันหรอกนะ ทันทีที่ไฟในห้องนอนสว่างขึ้นผมก็พบว่าสมุดไดอารี่สองเล่มนั้นยังวางอยู่บนโต๊ะทำงานของผม มีกระดาษโพสต์อิตสีเขียวและเหลืองติดอยู่ที่หน้าปกแต่ละเล่ม เขียนด้วยลายมือหวัดๆ ว่า ‘read me please!’ กับภาพวาดตลกๆ โดเรมอนหัวเบี้ยวๆ นี่ต้องเป็นฝีมือฟ้าครามแน่ๆ เลย ผมจำได้ว่ามันชอบโดเรมอนมาก



ผมอดส่ายหัวให้กับความคิดแบบเด็กๆ ของสองคนนั้นไม่ได้ พวกนั้นคงใช้ตรรกะเด็กประถม ที่ว่าถ้าโดนตีแล้วได้ตีคืนถือว่าหายกัน ก็เลยเอาไดอารี่ตัวเองมาให้ผมอ่านคืนจะได้หายกันสินะ ?



…ติงต๊องว่ะ



แต่ไม่รู้ทำไมมุมปากมันคลี่ยิ้มออกมาเอง พอผมได้สตินึกขึ้นได้ว่ากำลังยิ้มอยู่ก็รีบเอามือปิดปากตัวเองทันที … นี่ผมเป็นอะไร แค่โดนง้อด้วยวิธีเด็กๆ ผมก็จะหายโกรธแล้วหรอ?



ไม่มีทางซะล่ะ ผมไม่ยอมยกโทษให้ง่ายๆ หรอก ขอดูหน่อยละกันว่าพวกนั้นจะงัดวิธีแบบไหนขึ้นมาง้อผมอีก ก็ผมไม่ยกโทษให้ซะอย่างอ่ะ ใครจะทำไม



หึหึ เห็นยิ้มๆ แบบนี้ แต่เวลาโกรธขึ้นมาทีก็หายยากนะบอกไว้ก่อน…



เอ๊ะ…ทำไมผมรู้สึกเหมือนตัวเองนิสัยเหมือนใครบางคนนะ … เอ ใครหว่า -_-?



หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่14 เข้าหอ
เริ่มหัวข้อโดย: catka12 ที่ 17-02-2018 23:01:01
 o13 ติดตามค่ะ....
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่14 เข้าหอ
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 17-02-2018 23:05:18
เป็นนิยายสีเทามากๆ มันไม่ดาร์กสุด ไม่ตลกสุด ไม่มุ้งมิ้งสุด มันเทามากมาก
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่14 เข้าหอ
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 17-02-2018 23:22:55
 :katai1:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่14 เข้าหอ
เริ่มหัวข้อโดย: duck-ya ที่ 18-02-2018 01:04:49
ฮือออ คืออ่านแล้วเห็นตัวเองอาจจะไม่ได้เป็นเหมือนกันหมดแต่เวลาที่หงุดหงินหรือมีอะไรในใจแล้วไม่ชอบพูดเหมือนกันเลย บางทีก็แบบโอ้ยยหงุดหงินตัวเอง หงุดหงิดทุกคนบนโลกแต่ไม่พูด
รออ่านต่อค่าา
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่14 เข้าหอ
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 18-02-2018 01:09:54
แต่ทำไมเราอ่านไปแล้วยิ้มไปหัวเราะไป
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่14 เข้าหอ
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-02-2018 02:46:56
ไม่ชอบนิสัยแฝดนรกนี้เลยพับผ่าสิ  :katai1:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่14 เข้าหอ
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-02-2018 03:31:13
อะไรจะเกิดขึ้นอีกเนี่ย จะเอาความลับของทีมาคอยแบล็กเมลหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่14 เข้าหอ
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-02-2018 04:12:10
เพิ่งอ่านตอนที่เหลือจบ แบบว่าถ้าเราเป็นทีคงได้ระเบิดแตกสักวันแน่ๆ เพราะทุกอย่างถูกกักเก็บไว้ข้างในหมดเลย เต็มจนล้นเมื่อไรล่ะงานหนักแน่ๆ ส่วนอีกสองคนนั้น บอกตรงๆเราไม่ชอบนิสัยแบบนี้เลย บางอย่างก็ทำน่าเกลียดมาก คือเราก็เป็นไงแบบว่าซ่อนความลับไว้ไม่อยากให้ใครเจอ แต่แบบว่าค้นเอาออกมาแบบนี้แล้วยังลอยหน้าลอยตาใส่ทั้งแม่ลูกเนี่ย  :z6:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่14 เข้าหอ
เริ่มหัวข้อโดย: pktherabbit ที่ 18-02-2018 08:02:16
สนุกมาก อ่านรวดเดียว14ตอนเลย ไม่เคยอ่านภาคก่อนหน้านี้เลย ทำให้อยากไปหาอ่าน รอตอนต่อไปอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่14 เข้าหอ
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 18-02-2018 09:08:21
ทีนิสัยเหมือนใครน๊า~
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่14 เข้าหอ
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 18-02-2018 10:12:37
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่14 เข้าหอ
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 18-02-2018 10:34:11
เขาเข้าหอกันแล้วววววว
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่14 เข้าหอ
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 18-02-2018 10:38:26
                                              ตอนที่ 15 You make me wanna be a better man .


“พี่ที อ่านไดอารี่ของภูรึยางคร้าฟฟฟฟฟฟ” ยัง-_-



“พี่ทีไม่อ่านของไอ้ภูก็ไม่เป็นไร อ่านของครามคนเดียวก็ได้ ครามวาดรูปประกอบด้วยนะ รับรองอ่านแล้วสนุกโคตรๆ ” ตกลงเอ็งเขียนไดอารี่หรือเขียนการ์ตูน=_=?



“พี่ทีหายโกรธเถอะนะ พี่ไม่คุยกับเรามาอาทิตย์นึงแล้วอ่า ภูจะจำเสียงพี่ไม่ได้อยู่แล้วเนี่ย … ขอเสียงหน่อยยยยย” ภูผายื่นช้อนมาตรงหน้าผม ทำเหมือนนักร้องขอเสียงแฟนคลับงั้นแหละ ผมควรจะทำไงดี? กรี๊ดให้มันไปสักทีดีไหม สนองนี๊ดมันหน่อย



“เพื่อนเล่นหรอ?”



“อุ้ย! …เปล่าครับ……” ภูผาหน้าจ๋อยไปทันที แต่ช่างเถอะ ไม่เกินห้านาทีเดี๋ยวมันก็เอาใหม่



“เฮ้ย! พี่ทีพูดกับพวกเราแล้วภู มึงได้ยินมั้ยเมื่อกี้อ่ะ” ไอ้ครามทำท่าดีอกดีใจโอเวอร์มาก มันหันไปเขย่าตัวไอ้ภู ก่อนที่ไอ้ภูจะเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านี่เป็นครั้งแรกในรอบเจ็ดวันที่ผมเปิดปากพูดด้วย มันเงยหน้ามองผมด้วยท่าทางดีอกดีใจ



ผมเก๊กหน้าขรึม อันที่จริงผมคิดว่าจะไม่พูดด้วยไปจนกว่าจะเปิดเทอม แต่วันนี้ไม่พูดด้วยคงไม่ได้เพราะ…



“ล้างจานเสร็จแล้วรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า วันนี้จะพาไปซื้อชุดนิสิต” พูดจบ ผมก็เดินเอาจานไปเก็บในครัว ปล่อยให้พวกมันล้างให้ ส่วนตัวผมกลับเข้าห้องไปหยิบกระเป๋าตังค์



อาแอ๋มให้ผมเป็นคนจัดการค่าใช้จ่ายทั้งหมดของสองแฝด นอกจากค่าเทอมที่อาแอ๋มจ่ายไปแล้ว ค่าใช้จ่ายจิปาถะทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นค่าชุด ค่าหนังสือ ค่าชีท ค่าขนม ฯลฯ อาแอ๋มให้ผมเป็นคนจัดการให้สองคนนั้นตามสมควร มีการแอบกระซิบด้วยว่าถ้าน้องดื้อก็หักค่าขนมเข้ากระเป๋าตัวเองไปเลยไม่ว่ากัน







สองคนนี้มันคิดอะไรอยู่กันแน่ ?



ผมมองทั้งภูผากับฟ้าครามที่แต่งตัวอย่างกับจะไปเดินแบบ ใส่เดฟสีสนิมเหล็ก คาดเข็มขัดหัวโตสีดำนุ่งทับเสื้อยืดลายไฟสีแดง ทับด้วยเสื้อมีฮู้ดสีเหลืองอีกชั้น ปิดท้ายด้วยหมวกกับแว่นกันแดด เจริญเถอะ



“ไปเปลี่ยนกางเกง” ผมกอดอกพูดด้วยหน้านิ่งๆ พวกมันทำหน้าเหลอหลาก้มมองกางเกงตัวเองทันที



“ทำไมหรอพี่ มีอะไรหรอ?” มันสองคนหมุนหน้าหมุนหลังเหมือนหมาที่ชอบวิ่งไล่กัดหางตัวเอง สำรวจกันยกใหญ่ว่ามีอะไรผิดปกติบนกางเกงตรงไหน



“เดี๋ยวตอนลองกางเกงมันจะถอดไม่สะดวก ไปเปลี่ยนเป็นขาสั้นถอดง่ายๆ มา ส่วนเสื้อจะเปลี่ยนก็ได้ ..ใส่เป็นเสื้อมีกระดุมก็ดีจะได้ไม่ต้องถอดเข้าถอดออกทางหัว ฮู้ดก็ไม่ต้องใส่ไป ร้อนขนาดนี้จะใส่ทำติ่งอะไร แว่นกับหมวกเอาไปเก็บซะเดี๋ยวหาย” ผมถอนหายใจ พวกมันไม่รู้เลยหรือไงว่าเวลาไปซื้อเสื้อผ้าควรแต่งตัวให้ถอดง่ายๆ น่ะ เพลียใจจริงๆ เฮ้อออ



สองคนนั้นกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างว่าง่าย ออกมาอีกทีค่อยเข้าท่าหน่อย ภูผากับฟ้าครามใส่เสื้อกล้ามสีขาวทับด้วยเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีดำเล่นลายหมากรุกที่ปก ไม่ติดกระดุม กางเกงก็เป็นกางเกงขาสั้นเท่าเข่าสีน้ำตาล เข้าใจคิดแฮะเวลาลองเสื้อก็แค่ถอดเสื้อนอกออกแล้วลองได้เลย ดีกว่าไอ้ที่แต่งเยอะๆ เมื่อกี้เป็นกอง









(บทฟ้าคราม)



ผมกับภูเดินตามหลังพี่ทีต้อยๆ โดยไม่ได้คุยกันแม้แต่คำเดียว ถึงพี่เค้าจะยอมคุยกับพวกผมแล้ว แต่ก็คุยแค่เฉพาะธุระต่างๆ ไม่ยอมคุยเรื่องสัพเพเหระ



พี่ทีพาเราไปที่ศูนย์หนังสือของมหา’ ลัย ที่นั่นผมกับภูได้แต่ยืนมองพี่เขาเลือกเนกไท หัวเข็มขัด กระดุมข้อมือ และอื่นๆ อีกมากมายอย่างชำนาญ ถึงพี่เค้าดูจะยังโกรธพวกเราอยู่ แต่ก็เลือกอุปกรณ์แต่งกายให้อย่างตั้งอกตั้งใจ หลายครั้งที่พี่ทีหยิบเข็มขัดสองเส้นขึ้นมาพิจารณา ผมมองแล้วก็ไม่เห็นว่ามันจะต่างกันตรงไหนเลย แต่พี่แกก็หยิบแล้วเปลี่ยนๆ อยู่นั่นแหละ ผมลองหยิบเส้นที่พี่เขาวางลงไปขึ้นมาเทียบกับอีกเส้นดู ทั้งเพ่งทั้งจับแทบตายกว่าจะรู้ว่าที่ไม่เลือกก็เพราะที่ร้อยเข็มขัดมันฝืดเกินไป



…พี่ทีใส่ใจทุกรายละเอียดจริงๆ



แล้วอย่างนี้จะไม่ให้พวกผมหลงจนตามง้อกันหูดับตับไหม้ได้ยังไง ก็คิดดูดิขนาดโกรธกันอยู่ยังมานั่งเลือกนู่นเลือกนี่ให้เป็นชั่วโมง เป็นผมคงทำไม่ได้อย่างพี่เขา เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอคนที่ตั้งใจเลือกเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายให้คนที่ตัวเองโกรธได้หน้าตาเฉยแบบนี้แหละ



“เฮ่ย!!!!! ” ผมกับภูสะดุ้งโหยงทันทีที่มือปริศนาตบลงกลางหลังพร้อมกับเสียง ‘เฮ่ย!’ ในขณะที่กำลังมองพี่ทีเลือกของให้อย่างเคลิบเคลิ้ม ผมกับภูหันขวับไปด้านหลังทันทีอย่างตกใจ



“ไอ้ยูโร! / ไอ้ยูโร!” ผมกันไอ้ภูอุทานพร้อมกัน เมื่อเห็นเพื่อนร่างผอมยืนอยู่ด้านหลัง พวกผมรู้จักกับมันตอนงานแรกพบ เรามีความเห็นตรงกันว่าไอ้นี่มันรูปร่างเหมือนขวดสปาย เพราะมันผอมมากกกกก ตัวมันสูง แขนขายาวเก้งก้างไปนิดไม่ถึงกับน่าเกลียด คอมันก็ยาว หน้ามันก็ทรงยาวๆ เหมือนขวดสปายเลย กร๊ากๆ ๆ อยากถามมันดูเหมือนกันว่าบ้านมันขายขวดหรือเปล่า ลูกชายเลยออกมาทั้งหัวทั้งตัวเหมือนขวดขนาดนี้ หรือชาติที่แล้วมันทำบุญด้วยขวดวะ



“โอ้...มาซื้อของหรอ” มันมองพวกผมด้วยตาหรี่ๆ เหมือนคนเพิ่งตื่น เออ…หรือว่ามันเพิ่งตื่นจริงๆ วะ เสื้อผ้าที่ใส่นี่อย่างเน่าอ่ะ มันกล้าออกมาทั้งชุดนี้ได้ยังไง



“เออ มาซื้อชุดกับพี่ แล้วมึงอ่ะ มาซื้อชุดเหมือนกันหรอวะ” ผมพยักพเยิดไปทางพี่ทีที่ยังคงยืนเฟ้นหาหัวเข็มขัดที่ดีที่สุด (เพื่อพวกเรา) อย่างเอาเป็นเอาตาย น่ารักจริงพี่ใครวะ>_<



“ชุดกูมีแล้ว กูแค่มายืนอ่านหนังสือฟรีเฉยๆ ” มันพูดไปก็ล้วงมือเข้าไปเกาพุงแกรกๆ ไอ้ภูไปคว้าไอ้นี่มาทำเพื่อนได้ไงวะ โสโครกจริงๆ …เออลืมไป ไอ้ภูไม่ได้ไปคว้ามันมาแต่มันมาของมันเอง=_=;;



ไม่ทันที่พวกผมจะได้เสวนากับไอ้ขวดต่อพี่ทีก็เดินมาหาพวกผมพร้อมกับยื่นตะกร้าที่ใส่อุปกรณ์ทุกชิ้นอย่างละสองมาให้ไอ้ภูถือ



“เพื่อนหรอ?” พี่ทีชะงักไปเมื่อเห็นไอ้ยูโรยืนอยู่กับพวกผม พอไอ้ยูโรหันไปเจอพี่ทีสองคนนั้นก็เหมือนจะมองหน้ากันแปลกๆ อยู่แว้บนึง ไม่รู้ผมตาฝาดไปเองหรือเปล่า บางทีพี่ทีอาจจะตกใจก็ได้ที่พวกผมมีเพื่อนเหมือนขวดขนาดนี้ ฮ่าๆ ๆ



“พี่ทีครับ นี่ไอ้ยูโร เพื่อนภูกับคราม … ไอ้โร นี่พี่ทีลูกพี่ลูกน้องพวกกู อยู่ปีสามโยธา ไหว้สิมึง” ไอ้ภูแนะนำไอ้ยูโรให้พี่ทีรู้จัก



“หวัดดีครับพี่ที ผมชื่อยูโรนะครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วย” ยูโรยกมือไหว้พี่ทีแบบมึนๆ



“อืม ฝากดูแลน้องพี่ด้วยนะ” พี่ทียิ้มบางๆ ให้ไอ้ยูโร หน็อย! อิจฉาโว้ยยยย! ผมไม่ได้เห็นพี่ทียิ้มมาเป็นสัปดาห์แล้วนะ แต่ไอ้ยูโรมาแป๊บเดียวพี่ทียิ้มให้มันเฉยเลย ความยุติธรรมอยู่ที่หนายยยย



หลังจากมันสบตาปิ๊งปั๊งกับพี่ทีอีกสิบวิ ไอ้ยูโรก็ขอตัวล่องลอยจากไปหาที่ชอบที่ชอบของมัน เออ ไปซะได้ก็ดี ยืนมองพี่กูอยู่ได้ จะสบตากันให้ท้องไปเลยหรือไง เห็นแล้วหงุดหงิดจริงเชียว



หลังจากนั้นพี่ทีก็พาเราออกจากศูนย์หนังสือไปย่านที่ขายชุดนักศึกษาโดยเฉพาะ พวกผมอยากจะเดินขึ้นไปขนาบพี่เขานะแต่ทำไม่ได้ ที่นี่ถนนแคบเกินไป



มาถึงร้านร้านนึงพี่ทีก็เดินนำพวกเราเข้าไป



“ใครสวมคะเนี่ย? เอาเสื้อไซส์อะไรดีคะ?” เจ้าของร้านร่างท้วมเดินเข้ามาถามอย่างกระตือรือร้น



“สองคนนี้ครับ ขอไซส์ L กับ XL มาลองหน่อย”



“เชิญทางนี้เลยค่ะ”



ผมกับภูช่วยกันลองคนละไซส์



“เป็นไงบ้าง” พี่ทีถามหน้านิ่ง เฮ้อ เมื่อไหร่จะเลิกทำหน้าแบบนี้สักทีนะ



“ใส่ได้พอดีเลยพี่ที” ไอ้ภูที่ใส่ L ตอบ



“ครามก็ใส่ได้” อืม XL ผมก็ใส่ได้ไม่น่าเกลียดนะ



พี่ทีถอยหลังไปยืนมองห่างๆ



“ยกแขนขึ้นทั้งคู่เลย ตึงมั้ยภูผา”



“เออ ยกแขนแล้วตึงอ่ะพี่ …ครามมึงโอเคช่ะ”



“โอเคว่ะ เสื้อหลวมนิดนึงกำลังใส่สบาย กูว่า L ของมึงมันรัดตัวไปหน่อยป่าววะ”



“เออ กูก็ว่างั้น …พี่ทีครับ เอา XL นะครับ”



พี่ทีพยักหน้ารับนิ่งๆ ก่อนจะหันไปสั่งเสื้อไซส์นี้ 10 ตัว ตามที่แม่บอกให้ซื้อครบทุกวันไปเลย



“ป้าหนึ่งครับ ขอแบบที่เนื้อผ้าหนาหน่อยนะครับ อันที่ให้มาลองบางไปหน่อย” พี่ทีตะโกนไล่หลังไป



“จ้า เดี๋ยวป้าหยิบให้”



เมื่อได้เสื้อมาปุ๊บ พี่ทีก็หยิบออกมาเช็กทุกตัว จับเนื้อผ้า หยิบขึ้นมาส่องความหนาบาง จับปกเสื้อว่าแข็งพอมั้ย เข้ารูปหรือเปล่า ฝีเย็บใช้ได้ไหม งานชุ่ยไปหรือเปล่า ตอนแรกผมก็ไม่รู้ว่าพี่เค้าดูอะไรนักหนา ไม่เห็นจะมีอะไรต้องดู ซื้อๆ ไปก็จบ



สงสัยพี่ทีคงจะสังเกตเห็นว่าเราสองคนทำหน้าเบื่อหน่าย เค้าก็เลยอธิบายเบาๆ พอให้ได้ยินกันสามคนว่าเสื้อผ้าต้องเลือกยังไง ต้องพิจารณาอย่างไรบ้าง นั่นทำให้ผมประหลาดใจเพราะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเสื้อนักศึกษาจะมีรายละเอียดมากขนาดนี้ บางทีเห็นตัวนึงถู๊กถูก แต่อีกตัวโคตรแพง มองภายนอกก็ไม่เห็นมันจะต่างกันตรงไหน พี่ทีก็อธิบายว่ามันต่างกันที่เนื้อผ้า ความหนาบาง ฝีเย็บ ตัวที่ถูกๆ บางครั้งซักไม่กี่ทีก็เหลืองแล้ว ไม่ก็ผ้าบางจนขาดง่าย



พอได้เสื้อจากร้านนี้ พี่ทีก็พาไปซื้อกางเกงกับอีกร้านนึง



“ทำไมเราไม่ซื้อกางเกงร้านเดียวกันไปเลยล่ะพี่” ผมถามอย่างสงสัย พี่ทีตอบโดยไม่หันกลับมามอง



“กางเกงร้านนั้นผ้าหนักเกินไป ใส่แล้วจะร้อน”



โอ้โฮ สมแล้วที่เป็นหัวหน้าฝ่ายกฎระเบียบ แม้แต่เรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายยังรู้เลยว่าร้านไหนดีไม่ดี ถูกระเบียบหรือไม่ โคตรเทพ



ผมกับภูเดินตามพี่ทีจนขาลาก พอได้กางเกงก็ต้องไปหาซื้อรองเท้าถุงเท้า ซื้อชุดพิธีการอีก แล้วแต่ละอย่างพี่แกก็เลือกนานมากกกกก แต่แปลกที่ผมไม่รู้สึกเบื่อที่จะรออีกแล้ว เพราะรู้ว่าพี่เขาไม่ได้เรื่องมากแต่มันจำเป็นที่จะต้องเลือกให้ดีเพราะต้องใส่ไปจนเรียนจบ พี่เค้าแค่กำลังเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเรา แล้วผมจะไปเบื่อไปรำคาญกับการรอพี่เค้าได้ยังไง เนรคุณแย่เลย



“พี่ที น้ำครับ” ไอ้ภูที่หายไปไหนไม่รู้ กลับมาพร้อมน้ำมะพร้าวปั่นกับโกโก้อย่างละแก้ว



ตอนแรกผมนึกว่าพี่เค้าจะไม่ยอมกินเสียอีก แต่ก็ยอม คงจะเหนื่อยและหิวน้ำมาก วันนี้อากาศร้อนจริงๆ พึ่งรู้ตัวว่าผมก็เริ่มคอแห้งเหมือนกัน



พี่ทีรับน้ำมะพร้าวปั่นไปถือดื่มเอง มืออีกข้างที่ว่างก็หยิบๆ จับๆ เนื้อผ้าชิ้นนู้นชิ้นนี้ไปเรื่อย ผมรู้สึกนะว่าพี่เค้าเริ่มจะดีๆ กับพวกเราบ้างแล้ว ไม่เหมือนเมื่อหลายวันก่อนที่แม้แต่หน้าก็ยังไม่มอง ทอดไข่เผื่อยังไม่กินเลย แต่วันนี้ยอมคุยด้วย แล้วก็ยอมดื่มน้ำ นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีทีเดียว



เมื่อได้ของครบแล้วพวกเราก็กลับคอนโดกัน พอถึงห้องแต่ละคนนี่แทบสลบไสล พี่ทีเดินสะโหลสะเหลกลับเข้าห้องตัวเองไป ส่วนพวกผมนอนสลบกันอยู่บนพรมในห้องนั่งเล่น



หลังจากนอนแผ่หลาอยู่พักใหญ่ ผมก็ลุกขึ้นนั่งบนพื้น ส่วนไอ้ครามปีนขึ้นไปนอนบนโซฟาหลับไปเรียบร้อยแล้ว ผมหยิบบรรดาข้าวของต่างๆ ที่ซื้อวันนี้ขึ้นมาดู ลูบไล้ตราสถาบันอันทรงเกียรติที่ผมไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้ใส่ ความรู้สึกภาคภูมิใจมันล้นปรี่อยู่ในอก ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ วันที่ได้เข้าเรียนในสถาบันที่มีชื่อเสียง วันที่ทำให้พ่อแม่ภาคภูมิใจ วันที่ได้อยู่ร่วมห้องกับคนที่ชอบแสนชอบและคนคนนั้นยังเป็นคนเลือกเสื้อผ้าให้อีกด้วย



ผมลูบเสื้อในมือ รับรู้ได้ถึงเนื้อผ้าอ่อนนุ่มที่หนากำลังพอดี กระดุมทุกเม็ดเย็บติดแน่นกับสาบเสื้อ ตามชายเสื้อไม่มีเส้นด้ายสักเส้นหลุดออกมาให้เห็น ผมสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของคนที่เลือกมันมาให้



ผมมีความสุขมากจริงๆ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีความสุขขนาดนี้มาก่อน มันเป็นความสุขที่เกิดจากหลายๆ เรื่องหลอมรวมเข้าด้วยกัน ไม่ใช่ความสุขที่เกิดจากสิ่งหวือหวา หรือการออกไปเที่ยวเล่นชั่วครั้งชั่วคราว แต่มันเป็นความสุขที่เกิดขึ้นจากภายในจิตใจ



ผมรู้สึกเหมือนใจผมกำลังถูกห่อหุ้มด้วยความอ่อนโยนละเมียดละไม เป็นความอ่อนโยนที่ต่างไปจากที่ได้รับจากพ่อแม่ เพราะความอ่อนโยนนี้มันทำให้ผมรู้สึกวาบหวามอุ่นร้อนไปทั้งอก



ผมกอดเสื้อที่พี่ทีเลือกให้ผมไว้แนบอก ในใจก็บอกกับตัวเองว่าผมอยากจะเป็นคนที่ดีกว่านี้ อยากจะทำตัวเองให้คู่ควรกับชุดที่คนคนนี้เลือกให้ใส่



ผมเดินกลับเข้าไปในห้อง ลงมือเขียนบันทึกประจำวันที่เพิ่งจะมาเริ่มเขียนเมื่อสองเดือนก่อน เล่มนี้เป็นเล่มใหม่ เล่มเก่าให้พี่ทีไปแล้ว ผมเขียนบรรยายทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ เขียนทุกความรู้สึกที่มีใส่ลงไปในสมุด อยากให้พี่ทีได้อ่านมันและรับรู้ถึงความในใจของผมสักที











                                     P’ T , You make me wanna be a better man .



                                                                                                             จบบันทึก

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



ฟ้าคราม นายเริ่มมีความคิดความอ่านโตขึ้นทีละนิดแล้วนะ ^^



ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ ดีใจจังมีคนมาเม้นท์ให้ด้วย>< ชอบไม่ชอบ รู้สึกยังไง ระบายกันมาได้เต็มที่เลยนะคะ
สำหรับคอมเม้นท์ที่บอกว่านี่มันนิยายสีเทาชัดๆ โง้ยย เดจาวูมากๆ มีคนเคยบอกอย่างงี้หลายคนเเล้วทั้งๆที่เราไม่ได้ตั้งใจเลยค่ะ เราไม่ใช่สายดราม่านะเออ;-;


หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่14 เข้าหอ
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 18-02-2018 10:45:44

                                                                 ตอนที่ 16  ละอายใจ



วันนี้ผมตื่นสายกว่าทุกวันเพราะเมื่อวานเหนื่อยกับการเดินซื้อเสื้อผ้ากับไอ้เจ้าแฝด สิบโมงแล้วหรอเนี่ย ผมเงยหน้ามองปฎิทินตั้งโต๊ะหัวเตียงเพื่อเช็กกำหนดการในแต่ละวัน เย้! วันนี้ว่าง แต่…เฮ้อ แต่มะรืนผมเปิดเรียนแล้ว มีประชุมสภานิสิต ต้องขึ้นพูดวันปฐมนิเทศมหา’ ลัย เตรียมงานรับน้องอีก ผมตัดสินใจหยุดสายตาไว้แค่นั้น เดี๋ยวเห็นงานทั้งเดือนแล้วจะพาลอยากหลับไม่ตื่น เซ็งๆ ๆ อาบน้ำดีกว่า



ผมหยิบผ้าขนหนูเปิดประตูเดินออกจากห้องอย่างงัวเงียเล็กน้อย แต่แล้วก็ต้องผงะถอยอย่างตกใจเมื่อเห็นนิสิตสองคนยืนอยู่ตรงหน้า



“พี่ที! ครามหล่อมั้ย” ฟ้าครามที่สวมชุดนิสิตหมุนรอบตัวให้ผมดูสองรอบ ไม่เข้าใจว่าจะหมุนทำไมสองครั้ง ครั้งเดียวก็พอแล้วโว้ย



“พี่ทีๆ ภูเท่อ้ะป่าวววว” ภูผาทำท่าเสยผม มืออีกข้างก็เท้าเอว เต๊ะท่าเหมือนเป็นนายแบบ



ไม่ค่อยจะเห่อเลยว่ะน้องตู =_=



พอตั้งสติได้ผมก็กอดอกมองสองคนนั้นอย่างพิจารณา มองตั้งแต่กบาลจรดตีน ตีนกลับขึ้นไปบนกบาล รู้สึกพออกพอใจอย่างประหลาดที่สองคนนี้ใส่ออกมาแล้วดูดีสุดๆ พอเจ้าตัวป่วนสองคนใส่ชุดนิสิตแบบนี้แล้วเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนดูสง่าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเป็นกอง อุแหม่ ผมนี่ตาแหลมจริงๆ



สองคนนั้นมองหน้าผมอย่างลุ้นระทึก ผมอ่านสายตาสองคนนั้นออก มันกำลังบอกผมว่า ‘ชมผมสิๆ ’



เกือบอ้าปากชมไปแล้วว่าดูดีมาก แต่งับปากไว้ทัน ไม่ได้เว้ยไม่ได้! ผมโกรธมันอยู่นะ ถ้าไม่ใช่เรื่องจำเป็นผมต้องไม่คุยกับมันเด็ดขาด!



ผมสบตาสองคนนั้นก่อนจะยักไหล่เดินเข้าห้องน้ำไป นี่เป็นวันที่เก้าแล้วที่ผมแทบไม่คุยกับพวกมันเลยหากไม่จำเป็น ผมอาบน้ำไปก็ครุ่นคิดไปว่ามะรืนนี้ที่ผมเปิดเทอมผมจะยกโทษให้มันดีมั้ย เหนื่อยนะไม่ใช่ไม่เหนื่อยไอ้การโกรธใครสักคนเนี่ย



เอาจริงๆ ผมค่อนข้างงงกับตัวเองนะว่าทำไมพอมาอยู่ด้วยกันแล้วผมไม่รู้สึกโกรธเท่ากับเมื่อสองเดือน ตอนนั้นจำได้ว่าโกรธจัดจนถ้าฆ่าคนแล้วไม่ผิดกฎหมายมันคงกลายเป็นผีแฝดไปแล้ว ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอ้โง่ที่โดนกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่สุดท้ายก็ยอมยกโทษให้พวกมันทุกครั้ง ไม่รู้ว่าอย่างผมนี่เรียกว่าพี่ที่แสนดีหรือเป็นพี่ที่โง่เง่ากันแน่



บางทีที่ผมไม่โกรธมันเท่าสองเดือนก่อนอาจจะเป็นเพราะทิ้งช่วงนานเกินไป ไฟโทสะที่มีมันก็ค่อยๆ มอดลงซึ่งนั่นอาจจะเป็นเพราะสองคนนั้นไม่ได้เอาเรื่องผมไปโพนทะนาแล้วผมก็ไม่ได้เจอหน้าอ้อนตีนของพวกมันนานไปหน่อยก็เลยเผลอลืมๆ เลือนๆ ไป บวกกับนิสัยผมไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นเลยยิ่งลืมง่ายเข้าไปใหญ่



แต่เชื่อเถอะว่าถ้าไอ้แฝดเอาเรื่องผมไปแฉจริงแล้วคนในครอบครัวมองผมเหมือนตัวประหลาด วันนี้เราคงไม่มีทางมาอยู่ร่วมห้องกันอย่างสันติหรอก ผมคงจะอาละวาดคว้าหม้อต้มยำสาดหน้าพวกมันตั้งแต่วันที่เลี้ยงฉลองไปแล้ว



แล้วตั้งแต่อยู่ด้วยกันมันสองคนก็ไม่เคยพูดเรื่องในไดอารี่ของผมออกมาเลย ภูผากับฟ้าครามทำเหมือนไม่เคยอ่านไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ทำเหมือนเหตุการณ์นั้นไม่เคยเกิดขึ้น จนผมรู้สึกเบาใจ แต่ถึงผมจะไม่ได้โกรธอะไรแล้ว ผมก็จำเป็นต้องแกล้งทำเป็นโกรธภูกับคราม เพราะถ้าผมไม่ลงโทษสองคนนั้นให้เข็ดซะบ้างเดี๋ยวแม่งก็เอาอีก



คนที่ยิ้มแย้มได้ทั้งวันอย่างผม จู่ๆ ต้องมานั่งเก๊กหน้านิ่งเป็นอาทิตย์ มันไม่ใช่ตัวผมเลยจริงๆ



ผมคิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะแกล้งทำเป็นโกรธต่อเพราะสองคนนั้นก็ดูเหมือนจะสำนึกผิดแล้ว อันที่จริงผมก็อยากคุยกับน้องด้วยแหละ มันสองคนคุยสนุกจะตาย ผมเองก็เบื่อเหมือนกันที่ต้องเห็นหน้าจ๋อยๆ ของภูกับคราม



ผมเดินออกจากห้องน้ำเห็นภูผากับฟ้าครามที่เปลี่ยนกลับมาใส่ชุดอยู่บ้านนั่งดูข่าวกันเงียบๆ พอเห็นผมเดินผ่านก็มองผมแบบหงอๆ จ๋อยๆ เมื่อกี้ยังร่าเริงอยู่เลย แค่โดนเมินก็จ๋อยซะแล้วหรออ่อนว่ะ ผมอยากจะยิ้มขำแต่ก็ต้องกลั้นไว้แล้วเร่งฝีเท้าเดินเข้าห้องไป



ขณะที่กำลังจะออกไปหาอะไรกินผมก็เหลือบไปเห็นสมุดสองเล่มที่แปะโพสต์อิตสีสดไว้ มันยังคงวางอยู่ตรงนั้นตั้งแต่วันแรกที่ได้รับมาโดยที่ผมไม่ได้แตะต้องเลยสักนิด



‘Read me please! ’







ทันทีที่อ่านไดอารี่สองเล่มที่ภูผากับฟ้าครามใช้เวลาเขียนสองเดือนจบลงผมก็ได้แต่นั่งนิ่งด้วยความรู้สึกต่างๆ ที่ประเดประดังกันเข้ามาเหมือนน้ำป่าไหลหลาก



เพราะผมหรอน้องถึงอยากสอบติดที่เดียวกับผม



เพราะผมหรอน้องถึงอ่านหนังสือกันได้ถึงวันละ 12 ชั่วโมง ไปเอาแรงกายแรงใจขนาดนั้นมาจากไหน?



เพราะผมหรอน้องถึงอ่านหนังสือเป็นบ้าเป็นหลัง…จนอาทิตย์สุดท้ายก่อนสอบฟ้าครามเครียดจัดจนอ้วกทุกคืน



เพราะผมหรอที่ทำให้น้องเริ่มเขียนไดอารี่ทั้งที่ไม่เคยเขียนมาก่อนในชีวิต



ทำไมสองคนนั้นถึงได้ใสซื่อขนาดนี้นะ ยิ่งอ่านผมก็ยิ่งรู้สึกว่าภูผากับฟ้าครามนั้นช่างเป็นเด็กที่บริสุทธิ์เหลือเกิน เป็นผมเองต่างหากที่สกปรกโสโครกมองคนอื่นในแง่ร้ายได้ตลอดเวลา



ผมคิดไปเองว่าน้องคงจะรังเกียจและคิดว่าผมเป็นคนเลวมาก แต่เปล่าเลยทุกบรรทัดที่อ่านไม่มีแม้แต่ข้อความเดียวที่จะเขียนถึงผมในแง่ร้าย กลับกัน สองคนนั้นเขียนถึงผมในแง่ดีทุกอย่างแถมยังบอกอีกว่าการที่ผมคิดไม่ดีบ้างมันก็เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์และเพราะผมเป็นคนดีผมจึงเป็นทุกข์เพียงแค่เผลอคิดไม่ดี



ผมคิดไปเองว่าน้องคงจะเอาเรื่องของผมไปโพนทะนาหรือไม่ก็เอามาไว้แบล็กเมล์ แต่กลับกลายเป็นว่าสองคนนั้นไม่ได้มีความคิดแบบนั้นสักนิดเดียว มีแต่ข้อความที่สื่อว่ารู้สึกผิด อยากขอโทษ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะไม่ทำอย่างนั้นเด็ดขาด



ผมคิดว่าน้องจงใจไม่ไปสอบWCเพื่อประชดผม แต่กลับกลายเป็นว่าที่ไม่ไปสอบเพราะไม่อยากกั๊กที่ชาวบ้าน และอยากสอบเข้าที่เดียวกับผมให้ได้ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเสี่ยงมากถ้าเกิดแอดฯ ไม่ติด แต่น้องก็ยังทำ



ผมรำคาญที่ต้องมาอยู่กับน้อง ในขณะที่น้องดีใจที่รู้ว่าจะได้อยู่กับผม



…..



….



ผมมันเลว ผมแม่งเลวจริงๆ



ทำไมผมต้องมองคนอื่นในแง่ร้ายอยู่เรื่อยเลย หรือเพราะกมลสันดานของผมมันเป็นคนไม่ดี เลยทำให้ผมชอบมองคนในแง่ร้ายไว้ก่อน? ใช่ มันต้องใช่แน่ๆ ผมชอบมองน้องในแง่ร้ายเพียงเพราะต้องฝืนใจติวให้กันตั้งแต่แรก ความอึดอัดรำคาญใจที่ต้องเสียสละเวลาพักผ่อนของตัวเองบวกกับความเหนื่อยล้า ความไม่เข้าใจกัน มันผลักดันให้ผมมองน้องไปในทางที่ไม่ดี



ผมรู้ว่าน้องก็มีส่วนผิด แต่ผมคิดว่าตัวผมเองต่างหากที่ผิดมากกว่า น้องยังเด็ก เพิ่งออกจากรั้วโรงเรียนมาหมาดๆ น้องอาจจะซนบ้าง อยากรู้อยากเห็นบ้างมันก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรอ ผมสิน่าตำหนิตัวเอง เป็นพี่แท้ๆ กลับไปถือสาน้องได้ แถมยังไปโกรธไปแค้นน้องอีก ผมมันไม่สมควรให้ใครนับถือเป็นพี่เลยจริงๆ



ก๊อกๆ ๆ



ผมสะดุ้งรีบเก็บไดอารี่สองเล่มนั้นใส่ลิ้นชัก



“พี่ที จะไม่ออกมากินข้าวเช้าหรอ นี่มันจะเลยไปมื้อกลางวันแล้วนะ ภูทำแซนด์วิชไว้ให้ ออกมากินหน่อยเถอะ เดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะมันไม่คุ้มกันนะพี่” ภูผาตะโกนเข้ามา



“ที ไปอยู่นู่นแล้วอย่าลืมปลุกน้องไปเรียนด้วยล่ะ แล้วพวกกับข้าวน่ะหาให้น้องกินด้วยนะ อย่าเอาแต่กินมาม่ากันเข้าใจมั้ย”



เสียงที่แม่เคยย้ำเตือนดังขึ้นในหัว



ผมได้แต่ยิ้มขื่น เก้าวันที่อยู่ด้วยกัน น้องตื่นกันเอง แถมยังเป็นคนหาให้ผมกินทุกมื้ออีกต่างหาก แล้วผมมันก็เลว เดินเอาส่วนของตัวเองลงไปเทให้หมากินต่อหน้าต่อตาสองคนนั้น



นอกจากจะทำไม่ดีกับน้องแล้ว ผมยังผิดสัญญากับแม่ ผิดสัญญากับอาแอ๋มที่บอกว่าจะช่วยดูแลน้องให้ดีอีกด้วย



…. แล้วอย่างนี้ผมจะมีหน้าไปมองน้องยังไง แค่เห็นหน้าน้องผมก็รู้สึกละอายใจแล้ว



ก๊อกๆ ๆ



“พี่ที! ฟังอยู่ป่าวววว ออกมากินหน่อยนะๆ ๆ ”



“…พี่รู้แล้วคราม เดี๋ยวออกไป!” ผมตะโกนตอบ เสียงจากนอกประตูเงียบลง ผมนั่งลูบหน้าลูบตาตัวเองอยู่บนเตียง ก่อนจะตัดสินใจยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออก



“ฮัลโหล ป๊อกหรอ… มึงมีเบอร์ไอ้ไก่มั้ย…เออ...กูขอหน่อย…”









(ภูผา)



ผมว่าช่วงนี้พี่ทีดูแปลกๆ ไป…



ผมกับครามยืนมองกับข้าวบนโต๊ะที่พี่ทีเตรียมไว้ให้ก่อนไปมหา’ ลัย (พี่เค้าเปิดเทอมก่อนเราสองอาทิตย์) แล้วหันมามองหน้ากัน เหมือนว่าพี่เค้าจะหายโกรธพวกเราแล้วเพราะพี่ทีกลับมาคุยและยิ้มให้พวกผมเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เราสองคนก็ดีใจนะ แต่ไม่รู้ทำไมรู้สึกเหมือนพี่เค้าชอบหลบตาพวกเรา แถมช่วงนี้ยังไม่ค่อยได้เจอกันเลยทั้งที่อยู่ห้องเดียวกันแท้ๆ พี่ทีออกไปก่อนที่พวกเราจะตื่นแล้วก็กลับหลังจากที่พวกเราเข้านอนแล้วแทบจะทุกวัน บางวันก็โทรมาบอกว่าไปทำงานบ้านเพื่อนแล้วค้างที่นั่นเลยก็มี ไม่รู้ผมคิดไปเองรึเปล่า เหมือนพี่ทีกำลังหลบหน้าพวกเราอยู่เลย









และแล้ววันปฐมนิเทศนิสิตใหม่ก็มาถึง



วันนี้ผมกับครามตื่นเช้ากว่าทุกวันเพราะต้องแต่งชุดนิสิตอย่างเป็นทางการครั้งแรกเลยออกจะตื่นเต้นเล็กน้อย แถมยังต้องไปรอลงทะเบียนเข้าหอประชุมแต่เช้าด้วย



พอผมกับครามเดินออกมาจากห้องนอนก็เห็นพี่ทีกำลังแกะกับข้าวเทใส่จาน พี่ทีแต่งตัวเนี้ยบเหมือนที่แต่งในวันแรกพบ ผมที่เคยปรกหน้าถูกเปิดเสยให้เห็นหน้าผากขาวผ่องตัดกับกรอบแว่นสีดำสนิท ทำไมผมถึงรู้สึกว่าพี่ทีดูมีเสน่ห์เวลาใส่ของสีเข้มที่มันตัดกับสีผิวขาวสะอาดนั่นจัง



“พี่ว่าจะไปปลุกเราอยู่พอดีเชียว ไป รีบไปอาบน้ำแล้วจะได้มากินข้าว วันนี้ต้องรีบไปลงทะเบียนอีกเดี๋ยวคนเยอะ” พี่ทีพูดรัวเร็วก่อนจะเดินกลับเข้าไปในครัว



พอผมกับครามออกจากห้องน้ำพี่ทีก็รวบช้อนกินข้าวเสร็จพอดี ผมเกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาวูบหนึ่ง…ทำไมไม่รอกินพร้อมกันเหมือนเมื่อก่อน



ไอ้ครามมองหน้าผมด้วยแววตาที่บอกความรู้สึกแบบเดียวกัน…ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมพี่ทีต้องทำเหมือนอยากหลบหน้าพวกเราด้วย



“เฮ้ย! คราม มึงผูกได้ยังวะ มาสอนกูดิ๊” ผมถามน้องชาย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้ผูกเนกไท ที่จริงผมว่าจะให้พี่ทีสอนผูกตั้งแต่วันที่ซ้อมใส่ชุดแล้วแต่ดันโดนเมินเลยไม่กล้าขอให้สอน



ไอ้ครามหันมามองผมพร้อมกับเนกไทรูปร่างประหลาดๆ บนคอ จอแม็คบุ๊คยังคงฉายวิดีโอยูทูปที่สอนผูกเนกไทอยู่ แต่ดูเหมือนว่าไอ้ครามที่กรอแล้วกรออีกทำตามแล้วทำตามอีกจะไม่ประสบความสำเร็จเหมือนในยูทูป มันขยี้หัวทำหน้าหงุดหงิด



“ไม่ผ่งไม่ผูกแม่งแล่ว!” มันกระชากเนกไทออกจากคอ ไหนเมื่อกี้มันยังด่าผมว่ากระจอกที่ผูกได้ไม่เหมือนในยูทูปอยู่หยกๆ เป็นไงล่ะว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง เหอะๆ



ก๊อกๆ ๆ



“ภู คราม แต่งตัวเสร็จรึยัง ออกมากินข้าวได้แล้ว”



ผมเดินไปเปิดประตูห้องให้พี่ทีเข้ามา อันที่จริงพวกเราไม่ได้ล็อกห้อง แต่ผมก็ยังอยากเดินมาเปิดประตูให้พี่เค้าอยู่ดี



“อ้าว ครามเป็นอะไร ทำไมนั่งหน้าหงิกหน้างอ?” พี่ทีกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่บนหน้าจอแม็คบุ๊คก็ถึงบางอ้อ พี่ทียิ้มขำก่อนจะเดินเข้าไปหาไอ้ครามที่นั่งหน้าบึ้งอยู่บนเตียง



“ผูกไม่เป็นทำไมไม่บอกล่ะ มา เดี๋ยวพี่สอนให้” ผมขยับเข้าไปนั่งข้างๆ ไอ้คราม มองพี่ทีสอนผูกเนกไทช้าๆ เราสองคนพยายามผูกตามแต่ก็ออกมาเบี้ยวๆ บูดๆ ฝึกอยู่นานจนพี่ทีมองนาฬิกา



“เอางี้ พี่ผูกสำเร็จให้เลยละกัน แล้วภูกับครามก็ใช้ไปเลยไม่ต้องแก้ออกนะ เดือนนึงแก้ออกมาซักครั้งเดียวก็พอ” ผมมองริมฝีปากบางเฉียบที่ขยับพูดอยู่ใกล้ๆ อย่างเผลอไผล พี่ทีโน้มใบหน้าลงมาเพื่อผูกเนกไทให้ผม ใบหน้าที่อยู่ใกล้แค่คืบทำให้ผมเห็นดวงตาหลังกรอบแว่นดำที่หลุบมองมือตัวเองที่กำลังผูกไทอย่างตั้งอกตั้งใจ ใบหน้าของผมรู้สึกร้อนผ่าวเมื่อลมหายใจอุ่นๆ หอมกลิ่นมิ้นท์จางๆ เป่าลงมาแผ่วเบาบนใบหน้า เหลือบไปข้างๆ ก็เห็นไอ้ครามกำลังจ้องผมเขม็ง



เมื่อผูกให้ผมเสร็จพี่ทีก็หันไปผูกให้ไอ้ครามต่อ ไอ้ครามมองพี่ทีตาไม่กะพริบ สายตาไอ้ครามดูแปลกๆ มันจ้องหน้าพี่ทีที่เอาแต่สนใจอยู่กับการผูกเนกไท ก่อนจะเหลือบมองมาทางผมด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออก



“เอ้า เสร็จแล้ว” พี่ทียิ้มบางๆ กำลังจะยืดตัวขึ้น แต่แล้วไอ้ครามก็ทำในสิ่งที่ผมไม่คิดว่ามันจะกล้าทำ มันคว้าเนกไทพี่ทีดึงเข้าหาตัว จนพี่ทีที่กำลังจะเงยหน้าขึ้นโดนกระชากให้ก้มลงไปหาไอ้ครามอีกครั้ง ไอ้ครามอาศัยจังหวะนั้นจูบลงบนปากพี่ที!!!







“ขอบคุณที่ช่วยผูกเนกไทให้นะครับ”

หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่16 ละอายใจ 18/2/61
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-02-2018 11:57:39
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่16 ละอายใจ 18/2/61
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 18-02-2018 12:48:37
ที... เก็บกดแน่ๆ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่16 ละอายใจ 18/2/61
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-02-2018 13:38:23
เดี๋ยวก็โดนเมินอีกหรอก
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่16 ละอายใจ 18/2/61
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 18-02-2018 13:51:29
มีโกรธต่อแน่ๆงานนี้
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่16 ละอายใจ 18/2/61
เริ่มหัวข้อโดย: Noi ที่ 18-02-2018 14:03:50
จะโกรธมั๊ยถ้าจะบอกว่าไม่ชอบนิสัยที ไม่พอใจอะไรทำไมไม่พูด แบบนี้มันอึดอัดนะ พ่อแม่ทีก็เหมือนกันรู้ว่าหวังดีกับลูกหลานแต่ถามเจ้าตัวสักคำมัยว่าต้องการ อย่าเอาความหวังดีความคิดว่าดของตัวเองมาทำร้ายจิตใจกัน
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่16 ละอายใจ 18/2/61
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 18-02-2018 18:12:10
ร้ายกาจมากๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่16 ละอายใจ 18/2/61
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 18-02-2018 18:39:05
ตายแล้ววว น้องครามทำอะไรลงไป
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่16 ละอายใจ 18/2/61
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 18-02-2018 19:16:56

                                                           ตอนที่ 17  แค่จูบ…แล้วไง?



ผมยืนมองไปยังฟ้าครามด้วยอาการเหวอแบบสุดๆ



เมื่อกี้…มันจูบผมใช่มั้ยวะ



แค่จะขอบคุณต้องถึงกับจูบเลยหรอ มันมากไปหน่อยหรือเปล่า?



เราสามคนยืนนิ่งอยู่ในห้อง มีเพียงเสียงจากเครื่องปรับอากาศเท่านั้นที่ดังแทรกความเงียบ



ตอนนี้…ผม…รู้สึก…











งง??????







งงอ่ะ… มันทำไรของมันวะ? แม่งจะเล่นอะไรแผลงๆ กับผมอีกเนี่ย บ่องตงมามุกจูบนี่กูไปไม่เป็นเลยนะ หรือมันคิดจะแกล้งให้ผมขยะแขยงร้องโวยวายเป็นผู้หญิงเสียจูบแรกไรงี้ แต่ถ้าพวกมันคิดว่าผมจะทำอย่างนั้นจริงก็คิดผิดแล้วล่ะ เพราะตอนรับน้องผมจูบกับเพื่อนผู้ชายมาเกินยี่สิบครั้งได้แล้วมั้ง นอกจากจูบแล้วยังกินลูกอมเม็ดเดียวกัน แดกน้ำขวดเดียวกัน ถอดเสื้อนอนกอดกันตอนเมาก็ยังเคย จูบน่ะสำหรับผมมันเรื่องจิ๊บๆ แค่ผิวเนื้อบริเวณปากแตะกันเองไม่เห็นจะมีอะไรให้ขยะแขยง ก็เหมือนแขนไปชนเพื่อนอ่ะแหละนั่นก็เนื้อแตะเนื้อเหมือนกัน



สรุปคือผมไม่คิดอะไรเรื่องจูบ แต่ที่ยืนนิ่งอยู่นี่คือกำลังงง …อะไรของมัน วันนี้มาแปลกนะมึงไอ้ฟ้าคราม



“เล่นไรวะ ติงต๊อง” ผมผลักหัวไอ้ครามไปทีนึงก่อนจะเดินออกมาจากห้องสองแฝด เอ หรือที่น้องมันจูบผมอาจจะเพราะอยากตีซี้ให้มากขึ้นหรือเปล่า เหมือนอย่างไอ้ป๊อกเพื่อนผมไงเวลามันอยากสนิทกับใครมันชอบเล่นถึงเนื้อถึงตัว จำได้ว่าตอนเข้าแก๊งไอ้โซลใหม่ๆ ป๊อกมันพยายามตีซี้ผมด้วยการแกล้งบีบนมกับแอบจิ้มตูด ไอ้ผมก็โวยวายไล่เตะมัน ไปๆ มาๆ สนิทกันเฉยเลย งงตัวเองจริงๆ



ผมว่าทฤษฎีนี้น่าจะเป็นไปได้ … ถ้าน้องมันคิดจะตีสนิทผมด้วยวิธีถึงเนื้อถึงตัวแบบไอ้ป๊อกผมก็พอรับได้นะถ้ามันจะทำมากสุดแค่จูบไม่ได้มาไล่บีบนมจิ้มตูดผมน่ะ



หรือไม่…น้องมันก็อาจจะอยากขอบคุณจริงๆ ก็ได้ ผมเคยเห็นภูผากับฟ้าครามจูบอาแอ๋มบ่อยไปทั้งที่แก้มทั้งที่ปากเลย การจูบของน้องนี่หมายถึงการแสดงความรักความสนิทสนมเหมือนคนในครอบครัวใช่มั้ยนะ



ผมนั่งรอสองแฝดที่โซฟาพลางครุ่นคิดเรื่องจูบของฟ้าครามไปด้วย หลังจากนั่งคิดไปสักครู่ผมก็ได้เพิ่งนึกขึ้นได้



…แค่จูบ...จะมานั่งตีความหาความหมายอะไรนักหนาวะไอ้ที คิดมากทุกเรื่องอ่ะกู โว๊ะ!



ไม่เอาๆ ! เลิกคิด คิดไปก็ปวดหัว ผมจะมองว่ามันคงเป็นจูบแนวเดียวกับที่มันจูบอาแอ๋มก็แล้วกัน



พอสองคนนั้นออกมา มันก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนการที่จูบผมไปเมื่อตะกี้เป็นเรื่องธรรมดาๆ จนผมชักจะมั่นใจว่ามันคงคิดกับผมเหมือนอาแอ๋มนั่นแหละ พอหาข้อสรุปได้แล้วผมก็สบายใจ คุยกับพวกมันได้เป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน



ไว้ว่างๆ โทรไปถามพี่เฟิร์สดูดีกว่าว่าภูผากับฟ้าครามจูบพี่แกบ้างรึเปล่า… (ไหนบอกจะเลิกคิด-_-?)



“โย่ ….หวัดดีครับพี่ที มาส่งไอ้แฝดหรอครับ” น้องปีหนึ่งที่ชื่อยูโรโผล่เข้ามาทักเมื่อผมพาภูผากับฟ้าครามเดินเข้ามาในคณะ ผมรับไหว้ก่อนจะชวนคุยด้วยครู่หนึ่ง



“งั้นพี่ส่งแค่นี้ละกัน ภูกับครามอยู่กับเพื่อนนะ …ยูโร ฝากดูไอ้แฝดมันด้วยนะ”



“ครัช” มันพยักหน้าตอบมึนๆ



“งั้นผมพาเพื่อนไปลงทะเบียนนะ บายครับพี่ที” พูดจบยูโรก็ลากภูผากับฟ้าครามไปทันที สองคนนั้นพยายามดีดดิ้นเหมือนยังมีอะไรจะคุยกับผมต่อ แต่ยูโรที่ตัวผอมอย่างกับขวดสปายกลับลากพวกมันที่ตัวอย่างกับหมีไปได้ง่ายๆ ไม่ธรรมดาเลย สมแล้วที่ผมไว้ใจฝากให้ช่วยดูแล เยี่ยมๆ -v- ไว้พี่จะซื้อหนมมาเลี้ยงนะไอ่น้อง





(บทยูโร)



“ไอ้ภูมึงเกิดก่อนไอ้ครามกี่นาทีวะ” ผมหันไปชวนไอ้ภูคุยอย่างไม่รู้จะทำอะไรในขณะที่นั่งฟังอธิการบดีโม้เรื่องน่าเบื่อ ผมนั่งติดกับไอ้ภูแล้วถัดจากไอ้ภูก็เป็นไอ้ครามที่นั่งสัปหงกอยู่



“ถ้าเอาตามใบเกิด ครามเกิดก่อนกูสามนาที แต่กูได้เป็นพี่เพราะบ้านกูถือว่าไอ้ครามได้ออกมาก่อนเพราะกูเสียสละ” ไอ้ภูตอบ



“อ้าว งั้นตกลงจริงๆ มึงเป็นน้องอ่ะดิ?”



“กูเป็นพี่เว้ย” ไอ้ภูเถียง



“กูหมายถึงว่าตามใบเกิดเว้ย” ผมว่าไอ้ภูมันฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องว่ะ



“ก็นั่นแหละ กูเป็นพี่ ยังไงกูก็พี่อ่ะ!”



“เฮ้ยๆ อย่าไปเถียงเรื่องใครพี่ใครน้องกับไอ้ภูมันเลยปวดหัวเปล่าๆ ” ฟ้าครามตื่นขึ้นมาร่วมวงสนทนาด้วยอีกคน ผมยักไหล่ก่อนจะยอมเปลี่ยนเรื่อง



“มึงสองคนแฝดแท้ป๊ะ หน้าโคตรเหมือนกันเลยว่ะ มีตรงไหนที่ต่างกันมั่งไหมวะ อย่างปานรูปหัวใจที่แก้มก้นซ้ายไรงี้” ผมเองก็เคยมีเพื่อนแฝดที่โรงเรียนเก่านะ แต่ไม่เห็นมันจะหน้าเหมือนกันขนาดไอ้สองตัวนี้เลย ลายมือสองคนนี้ก็เหมือนกันอีกต่างหาก ถ้าบอกว่ามันสองคนโคลนนิ่งกันมาผมก็เชื่อวะ แม่งมองไม่ออกเลยว่ามันสองคนต่างกันยังไง



“เทียม…กูกับไอ้ครามไข่คนละใบ หน้าเหมือนกันตรงไหนไม่เห็นจะเหมือนเลย” มันสองคนมองหน้ากันเองก่อนจะหันมาหาผม ผมมองเทียบหน้ามันสองคน เฮ่ย! มองยังไงก็คนเดียวกันชัดๆ ถ้าไม่ดูป้ายชื่อที่ห้อยคอนี่ไม่รู้จริงๆ ว่าใคร



“เหมือนจะตายไอ้สัส นี่โกหกกูป่ะเนี่ย กูว่ามึงเหมือนแฝดแท้มากกว่า”



“มึงดูยังไงว่าเหมือน กูหล่อกว่าไอ้ครามตั้งเยอะ”



“เชี่ยภู! มึงอ่ะหน้าปลวก อย่ามาเทียบกะกูนะไอ้แมงกินฟัน”



ผมมองมันสองตัวเถียงกันไปมาว่าใครหล่อกว่ากันแล้วก็มึน มันจะเถียงกันทำด๋อยไรวะ หน้าเหมือนกันอย่างกับส่องกระจก =_=



“แล้วตกลงพวกมึงมีตำหนิอะไรที่ต่างกันมั่งมั้ยวะ”



“กูอยากให้มึงลองคบพวกกูไปเรื่อยๆ ก่อน กูก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามึงจะแยกพวกกูออกมั้ย แต่ถ้าไม่ออกจริงๆ ไว้พวกกูจะเฉลย” ไอ้ครามพูด



“เหอะ กูไม่มีทางแยกพวกมึงออกแน่ๆ ว่ะ มีเพื่อนคนไหนแยกมึงสองคนออกบ้างมั้ยล่ะ”



“ตั้งแต่เกิดมาไม่มีซักคนเลยว่ะ นอกจากพ่อแม่แล้วก็พี่ชายกูอ่ะนะ”



“พี่ชาย? …พี่ทีอ่ะหรอ?”



“เปล่า พี่ทีเป็นลูกพี่ลูกน้องอยู่กันคนละบ้าน แต่เค้าก็แยกพวกกูออกนะเว้ย เก่งป่ะล่ะ” พอพูดถึงพี่ทีไอ้ครามก็ยิ้มไม่หุบ มันเอามือจับเนกไทแล้วนั่งบิดไปมา ผมว่าผู้หญิงทำท่านี้มันน่ารักนะ แต่ผู้ชายทำท่านี้แล้วมันน่าเกลียด=_=’ ’’



หลังจบพิธีปฐมนิเทศ พวกรุ่นพี่ก็พาพวกเรากลับมานั่งที่คณะ ให้พวกเราเล่นเกมละลายพฤติกรรมต่างๆ ก่อนจะมาจบที่การอธิบายกำหนดการต่างๆ ให้ฟังก่อนปล่อยกลับบ้าน



หลังจากนี้อีกหนึ่งอาทิตย์จะมีการจัดค่ายรับน้องที่จังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ กินเวลาทั้งสิ้นห้าวันสี่คืน อันที่จริงค่ายนี้ก็ไม่เชิงเป็นค่ายรับน้องซะทีเดียวเพราะมันเป็นค่ายอาสาขึ้นไปซ่อมแซมโรงเรียนชาวเขา มหา’ ลัยผมยกเลิกระบบโซตัส กับระบบรับน้องแรงๆ มาหลายปีแล้ว การรับน้องก็เปลี่ยนเป็นรับน้องสร้างสรรค์ แทนที่จะว๊ากกดดันให้น้องกลัวหัวหดแล้วมาทำซึ้งทีหลัง สู้พาน้องไปออกค่ายทำงานด้วยกันไปเลยดีกว่า ผมว่ารับน้องแบบนี้ดีกว่าเยอะ ทำให้รุ่นพี่ได้ใกล้ชิดรุ่นน้องจริงๆ แถมยังสร้างประโยชน์ให้สังคมด้วย ทุกคนคงกำลังทึ่งที่คนอย่างผมคิดได้อย่างนี้ใช่ไหม เปล่าหรอก ผมลอกคำพูดพี่ทีที่ถือไมโครโฟนแจกแจงรายละเอียดอยู่ด้านหน้าสุดมาอีกทีนึง



“และอย่างที่บอกไปว่านี่เป็นค่ายอาสาของคณะที่รวบการรับน้องไว้ด้วยกัน ดังนั้นจึงถือเป็นกิจกรรมบังคับของนักศึกษาปีหนึ่งคณะเรา ใครไม่ไปจะถือว่าขาดคะแนนกิจกรรม… เดี๋ยวพวกพี่จะแจกเอกสารขออนุญาตให้น้องๆ เอาไปให้ผู้ปกครองเซ็น ถ้าใครไปไม่ได้จริงๆ ให้มาบอกพี่ พี่จะพาไปติดต่ออาจารย์ประจำค่ายเพื่อพิจารณาให้น้องได้ทำกิจกรรมซ่อมอื่นๆ แทนเป็นกรณีไปครับ” พี่ทีพูดจบก็ส่งไมค์ให้พี่ผู้หญิงขึ้นมาพูดเรื่องการเตรียมตัวในการไปค่าย



ผมหาวแล้วหาวอีก ไม่ไหวละ ง่วงฉิบหาย จะพูดอะไรนักหนาวะ มองไปข้างๆ ก็เห็นไอ้แฝดนรกนั่งพิงกันหลับไปแล้ว



ผมนั่งสัปหงกของผมไป พอคอตกทีผมก็สะดุ้งขึ้นมานั่งตัวตรงใหม่ที เป็นอย่างนี้อยู่สิบกว่ารอบ ในที่สุดผมก็ฝืนไม่ไหวอีกต่อไป พิงไอ้คนข้างหลังนี่ล่ะวะ จะใครก็ช่างเหอะ กูยืมตักหน่อยละกัน



คิดได้ดังนั้นผมก็ตกอยู่ในสภาวะทิ้งตัวทันที ดีที่พวกผมนั่งอยู่หลังๆ พวกรุ่นพี่ไม่น่าจะเห็น ฮ่าาาา สบายยยย ตักใครวะนุ่มจริงๆ กูไม่สนละขอนอนสักงีบเหอะ คร่อกกกก



(จบบทยูโร)







(บทฟ้าคราม)



“ฮัลโหล พี่ทีหรอ อ๋อ รออยู่หน้าป้ายคณะอ่ะ …อืมๆ รีบมานะพี่ ตุ๊ด” ตอนนี้ผม ไอ้ภู แล้วก็ไอ้ยูโรกำลังยืนรอพี่ทีอยู่หน้าป้ายคณะหลังจากเสร็จกิจกรรมในวันนี้ เมื่อกี้พี่ทีโทรมาบอกว่ากำลังออกมาแล้ว



“ไง รอนานมั้ย” พี่ทีโบกมือให้มาแต่ไกล หน้าขาวๆ ที่ตัดกับกรอบแว่นสีดำนั้นช่างดูน่ามองอะไรอย่างนี้ ให้ตายสิทำไมพี่กูเซ็กซี่เป็นบ้า!



“ไม่นานครับ เออพี่ ไอ้ขวดไปด้วยนะ หอมันอยู่ทางเดียวกับคอนโดเรา” ไอ้ครามตอบไป พี่ทีขำเล็กน้อยกับฉายาของไอ้ยูโร พยักหน้ารับรู้ก่อนจะออกเดินนำ ตลอดทางไอ้ขวดผูกขาดบทสนทนากับพี่ทีแต่เพียงผู้เดียว มันขึ้นไปเดินตีคู่กับพี่ทีแล้วทิ้งให้พวกผมสองคนเดินตามหลังต้อยๆ หาจังหวะแทรกไม่ได้เลยเพราะสองคนนี้คุยอะไรกันก็ไม่รู้ฟังแล้วงงฉิบหาย เวลาไอ้ขวดมันอยู่กับพวกผมหน้าตามันดูมึนๆ เหมือนคนซื่อบื้อๆ แต่เวลามันคุยกับพี่ทีทำไมหน้ามันดูเหมือนคนฉลาดขึ้นมายังไงไม่รู้วะ หรือความฉลาดจากพี่ทีมันออสโมซิสไปถึงคู่สนทนาได้





“ฮ่าๆ ๆ งั้นหรอ…” พี่ทีหลุดเสียงหัวเราะเป็นพักๆ ไม่รู้คุยไรกัน ทำไมยิ่งเดินสองคนนั้นยิ่งห่างออกไปวะ มีเรื่องอะไรปิดบังพวกผมหรือเปล่าเนี่ย ดูสิ มีการหันกลับมามองผมพวกผมเป็นพักๆ ด้วย





ในที่สุดก็เดินมาถึงคอนโด พอไอ้ขวดแยกออกไปพี่ทีก็หันกลับมาหาพวกผม





“อ้าว! พี่เพิ่งสังเกตแฮะ นี่ภูกับครามสลับป้ายชื่อกันหรอ”





ไอ้ขวดที่เพิ่งเดินออกไปไม่กี่ก้าวหันขวับกลับมาทันที ว้า ความแตกแล้วอ่ะ:P





“อื้มมม ก็สลับเล่นๆ ฟังเพื่อนเรียกสลับกันแล้วฮาดี” ดูหน้าไอ้ขวดสิครับโคตรสาปส่งพวกผมเลย ก๊ากๆ ๆ สรุปคือทั้งวันมันเข้าใจผิดว่าผมเป็นไอ้ภู แล้วไอ้ภูก็เป็นผมเพราะป้ายชื่อห้อยคอเนี่ยแหละ



ไอ้ขวดทำท่าจะเดินกลับมาด่าพวกผม แต่จู่ๆ โทรศัพท์ก็ดัง มันชูนิ้วกลางให้ก่อนจะรับโทรศัพท์แล้วเดินจากไปอย่างรีบเร่ง



สรุปคือวันนี้ทั้งวันไอ้ยูโรโดนพวกผมต้มซะเปื่อย กลายเป็นไอ้โง่ให้พวกผมฮาในใจตลอดทั้งวัน



พี่ทีมองหน้าพวกผม ยิ้มเหมือนคนรู้ทันแต่ก็ยักไหล่แล้วเดินเข้าตึกไป



(จบบทฟ้าคราม)







สองวันต่อมา…





“พี่ที…อ่ะ” ผมละสายตาจากข่าวในโทรทัศน์หันไปมองภูผาที่ยื่นสมุดปกแข็งสีดำเล่มหนึ่งมาให้



“อะไรน่ะ?” ผมรับมาถือไว้ พอเปิดดูก็เห็นว่าเป็นบันทึกประจำวันของสัปดาห์นี้ทั้งหมด ผมอดยิ้มขำออกมาไม่ได้



“ส่งการบ้านคุณครู” ภูผายิ้มเขินๆ เอามือเกาหัวเกาแก้มยกใหญ่ เอ่อ..เป็นอะไรมากมั้ยเนี่ย-_-;;



“พี่ก็หายโกรธเราแล้วไง ไม่ต้องเอามาให้อ่านแล้ว” ผมยื่นคืนให้ภูผาแต่ภูผาก็พยายามยัดเยียดใส่มือผมอีก



“โห่พี่ ภูอุตส่าห์เขียนทุกวันเลย พี่ทีอ่านหน่อยดิ นะๆ ๆ ” เกิดมาผมก็เพิ่งเคยเจอคนมาบังคับให้อ่านไดอารี่ของตัวเองเนี่ยแหละ แถมไม่ได้เจอคนเดียวนะ มาพร้อมกันสองคนเลย



“งั้นรอแป๊บนึงละกัน พี่ขออ่านของฟ้าครามก่อนนะ” ผมว่าก่อนจะก้มลงอ่านไดอารี่ที่ฟ้าครามเพิ่งเอามายัดเยียดให้ผมอ่านตอนเพิ่งกลับจากเรียนภาคเช้า



“ฮะ!? ไอ้ครามก็เอามาให้พี่ทีอ่านหรอ” ภูผาทำหน้าตาเหมือนหงุดหงิดอะไรสักอย่าง ตอนแรกผมนึกว่าภูผาจะพูดประมาณว่า ‘อ่านของผมก่อน!’ ซะอีก แต่ก็ไม่ ยิ่งอยู่ด้วยกันผมก็ยิ่งพบความต่างของสองคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ภูผาดูจะใจเย็นกว่าฟ้าครามนิดหน่อย เก็บอารมณ์เก่งกว่า ดูมีความเป็นผู้นำสูงกว่า ซึ่งบางทีอาจจะเป็นเพราะภูผาอยู่ในฐานะของพี่ชายก็เป็นได้ ในขณะที่ฟ้าครามจะเอาแต่ใจมากกว่า เป็นคนไม่ค่อยคิดเล็กคิดน้อย คิดอะไรก็แสดงออกทางสีหน้าหมด เทียบกันแล้วอ่านง่ายกว่าภูผาเยอะ



ผมไม่เข้าใจการกระทำของสองคนนี้สักเท่าไหร่ เหมือนระหว่างผมกับพวกนั้นดูจะมีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป มันไม่ใช่ความรู้สึกเดียวกับตอนที่อยู่ด้วยกันในบ้านของผม มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก รู้แต่ว่าไม่เหมือนเดิม …แล้วไม่เหมือนเดิมอะไร? ...ได้แต่ถามคำถามนี้กับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า



ภูผาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผมบนโซฟา เอาหัวขึ้นมาหนุนตักผม ผมยกแขนขึ้นให้ภูผาหนุนศีรษะได้สะดวกๆ พอเข้าที่เข้าทางแล้วภูผาก็นอนตะแคงดูทีวีไป ส่วนผมเท้าแขนลงบนตัวภูผาแล้วอ่านไดอารี่ของฟ้าครามต่อ หูก็คอยฟังข่าวไปด้วย บางทีผมก็แอบเหลือบมองภูผาเป็นพักๆ สลับกับมองหนังสือและทีวี



นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ไม่เหมือนเดิมที่ผมสังเกตเห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนที่สุด ภูผากับฟ้าครามมีพฤติกรรม ‘นัวเนีย’ มากขึ้น เดี๋ยวนี้ภูผากับฟ้าครามชอบเอาตัวมาอยู่ใกล้ๆ ผม มานั่งเบียดกันทั้งๆ ที่มีที่ว่างตั้งมากมายบ้างล่ะ มานั่งซบแขนบ้างล่ะ มานอนหนุนตักบ้างล่ะ เวลาเดินก็ชอบมาขนาบข้างทำให้ผมรู้สึกอึดอัดบ้างล่ะ แล้วพอผมมองหน้าก็ชอบมองผมด้วยสายตาแปลกๆ แบบที่ทำให้ผมทนมองตอบไม่ไหวต้องเสมองไปทางอื่น



ไม่ชอบเลยความรู้สึกแบบนี้ มันไม่ใช่ความทุกข์ ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรมากมาย มันแค่เหมือนรอบตัวผมปกคลุมไปด้วยกลุ่มหมอกคลุมเครือสับสนแต่ในขณะเดียวกันก็สงบเยือกเย็น เจือด้วยกลิ่นหอมจางๆ คุณเข้าใจความรู้สึกที่ผมต้องการจะสื่อมั้ย? ถ้าไม่…ก็ช่างมันเถอะ เพราะขนาดผมเองก็ยังไม่เข้าใจเลย



“…เหมือนฟ้าครามกำลังมีความรักเลยนะ” ผมพูดเบาๆ กับตัวเองเมื่ออ่านจบ



ผมวางไดอารี่ของฟ้าครามลง หยิบของภูผาขึ้นมาอ่านบ้าง ภูผาพลิกตัวนอนหงายจ้องหน้าผม ผมมองตอบ สายตาแบบนั้นอีกแล้ว…



“มีอะไรจะบอกพี่หรือเปล่า ทำหน้าเหมือนมีอะไรอยากพูดแต่ก็ไม่พูด” ผมถาม ภูผาเม้มปาก ขมวดคิ้วน้อยๆ ต้องยอมรับว่าในระยะใกล้แบบนี้ ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นว่าภูผาหน้าตาดีแค่ไหน



“…เปล่า…ไม่มี…อ่า…จะว่ามีมันก็….ภูยังไม่แน่ใจแต่อันที่จริงก็ค่อนข้างมั่นใจอยู่…แต่มันก็…เฮ้อ….” ภูผาท่าทางร้อนรนขึ้นมาผิดปกติ ผมแค่ถามคำถามทั่วไปง่ายๆ เองนะ -_-



“จริงสิ นี่มันก็เย็นแล้ว เดี๋ยวพี่ไปโทรถามครามก่อนนะว่าอยู่ไหน” ฟ้าครามบอกผมว่าจะไปซื้อของตั้งแต่บ่าย นี่จะหกโมงเย็นแล้วยังไม่กลับมาเลย ไปซื้อของที่ไหนของมันวะ



ผมทำท่าจะลุกขึ้นแต่ภูผาก็คว้าเอวผมไว้ ผมได้แต่มองภูผาที่ซุกหน้าลงกับท้องผมอย่างงงๆ



“ภูผา?”



ผมรู้สึกเหมือนภูผากำลังพูดอะไรบางอย่างเพราะปากของภูผาที่แนบอยู่กับหน้าท้องผมมันขยับ ผมไม่ได้ยินสิ่งที่ภูผาพูด ผมรู้แค่ว่าภูผาพูดอะไรสักอย่างที่ยาวมาก ผมได้แต่นั่งนิ่งปล่อยให้ภูผาพูดอยู่แบบนั้น ผมไม่รู้ว่าภูผาเป็นอะไร ทำไมถึงทำแบบนี้ มีเรื่องอะไรคับข้องใจอยากบอกอยากระบายหรือเปล่านะ



ภูผาหยุดพูดกับหน้าท้องผม เงยหน้าที่แดงก่ำขึ้นมาสบตา แล้วก้มลงไปเอาหน้าแนบท้องผมต่อ ผมรับรู้ได้ว่าภูผากดปากแนบลงไปมากกว่าเดิม ขยับปากพูดเป็นคำสามคำ ที่ผมรู้ว่าสามคำก็เพราะภูผาขยับปากช้ามาก



พูดเสร็จภูผาก็ไม่เงยหน้าขึ้นมาอีกเลย เอาแต่ซุกหน้ากับท้องผมแล้วเอื้อมมือกอดเอวซะแน่น เห็นได้แค่ใบหูที่แดงก่ำเท่านั้น





ถึงภูผาจะไม่พูดออกเสียง แต่ก็ใช่ว่าผมจะโง่ ไม่รับรู้ถึงสิ่งที่น้องต้องการจะบอกนะ





ถึงสิ่งนั้นมันจะทำให้ผมตกใจมากก็เถอะ …







ผมลูบหัวภูผาเบาๆ















“พี่รับรู้แล้ว …ขอบใจนะ”



หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่17 [18/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jinutlove ที่ 18-02-2018 20:10:41
 :pig4: :L1: :-[ :mew1:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่17 [18/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 18-02-2018 20:37:59
อะไรของเด็กสองคนนี้จะกลายเป็นรัก สามเศร้าป่าวว ไม่นะ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่17 [18/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-02-2018 21:01:09
ทีรับรู้ แต่คนแก่ไม่รู้อ่ะ บอกหน่อยจิ  :mew2:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่17 [18/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 18-02-2018 21:04:54
เค้าบอกอะไรกัน
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่17 [18/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 18-02-2018 21:42:20
มันอะไรกันคะะะะ อยากรู้ด้วยยยยยยยย :serius2:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่17 [18/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 18-02-2018 22:40:41
รออ่านมาตลอด ชอบบบบบบบ   :katai2-1:
❤️  ดีใจ  มาลงใหม่  :mew1: :mew1: :mew1:

ที รู้แล้วสิว่า ภูผา พูดอะไร ใช่ "ภู ❤️ชอบ❤️ พี่ " หรือเปล่า
ภู -----> ที <----- ฟ้า  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่17 [18/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 18-02-2018 23:12:37
เขาบอกว่าอะไรคะคุณกิตติ555
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่17 [18/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-02-2018 03:29:03
อะไร บอกรักหรือ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่17 [18/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 19-02-2018 06:31:27
น้องพูดอะไร.. อ่ะ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่17 [18/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 19-02-2018 07:09:56
น้องจะบอกรักแล้วหรอ ดีจัง
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่17 [18/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 19-02-2018 10:18:41
สนุกดี
เนื้อหาแน่น
สองแฝดทำเหมืนตัวเองโต แต่จริงๆแล้วเด็กมาก มีมุมน่ารักๆเยอะเลย
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่17 [18/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 19-02-2018 11:12:50
รออ่านนนนน
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่17 [18/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 19-02-2018 12:22:45
โอ้ย .. ชอบที่ทีมีสติ แต่ไอ้สองแฝดนี่มันงุ้งงิ้งเหลือเกิน หมั่นเขี้ยวโว้ย
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่18 [19/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 19-02-2018 16:52:14
                                               
                                                         ตอนที่ 18 ปรัชญาความเท่ากัน


“มีอะไรจะบอกพี่หรือเปล่า ทำหน้าเหมือนมีอะไรอยากพูดแต่ก็ไม่พูด”



“…เปล่า…ไม่มี…อ่า…จะว่ามีมันก็….ภูยังไม่แน่ใจแต่อันที่จริงก็ค่อนข้างมั่นใจอยู่…แต่มันก็…เฮ้อ….”



“จริงสิ นี่มันก็เย็นแล้วนะ เดี๋ยวพี่ไปโทรถามครามก่อนแล้วกันว่าถึงไหนแล้ว นี่ก็มืดแล้วยังไม่กลับมาอีก”



พอพี่ทีทำท่าจะผละออกไปผมก็รีบกอดเอวอีกฝ่ายไว้ทันที ไม่ให้ไป ไม่ให้ไปไหนทั้งนั้น อย่าไปหาฟ้าคราม อย่าเอาแต่สนใจมันคนเดียวได้ไหม มองมาที่ผมบ้าง ผมก็ชอบพี่เหมือนกันนะ!



ชอบ…เราชอบพี่ทีหรอ? ชอบแบบไหน…แบบไหนล่ะ?



“ภูผา?”



ผมกดหน้าลงบนหน้าท้องอุ่นนุ่มของพี่ที สูงกลิ่นหอมจางๆ จากน้ำยาปรับผ้านุ่มและกลิ่นสบู่หอมเย็นจากตัวอีกฝ่าย ความอึดอัดในหน้าอกทำให้ผมรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก นึกถึงเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่ผ่านมา ทั้งตอนที่ฟ้าครามขอพี่ทีเข้าไปอาบน้ำด้วย ตอนที่ฟ้าครามกล้าดึงพี่ทีเข้ามาจูบ ในขณะที่ผมไม่กล้าทำอะไรซักอย่าง ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ผมจะกลายเป็นส่วนเกินหรือเปล่า อีกหน่อยพี่ทีจะยังคงให้ความสนใจกับผมเท่ากับที่ให้ไอ้ครามไหม



ผมตัดสินใจระบายความอัดอั้นออกมาอย่างเงียบเชียบกับร่างกายของคนตรงหน้า ไม่กล้าพูดออกเสียง เพราะกลัวว่าทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่อีกใจลึกๆ ก็หวังอยากจะให้พี่ทีรับรู้และยอมรับความรู้สึกในตอนนี้ของผม



‘ตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยกลัวว่าจะได้อะไรไม่เท่ากันกับไอ้ครามเลย เพราะผมรักมันมากพอๆ กับที่รักตัวเอง มันกับผมก็เหมือนเป็นคนคนเดียวกัน อะไรที่เป็นของผมก็จะเป็นของมัน อะไรที่เป็นของมันก็จะเป็นของผมด้วย ไม่มีสักครั้งที่ผมจะอิจฉาน้องชาย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าผมกับไอ้ครามไม่ใช่คนคนเดียวกันอีกแล้ว เพราะฟ้าครามกำลังทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะเสียสิ่งสำคัญไป



ถ้าหากว่าผมชอบพี่ทีแบบพี่น้องผมคงจะไม่รู้สึกอิจฉาฟ้าครามแบบนี้ใช่มั้ย…



ผม…กำลังชอบพี่แบบคนรักอยู่ใช่มั้ย…’



ผมเงยหน้าสบตาพี่ที สายตาหลังกรอบแว่นที่มักจะทอดมองมายังพวกผมอย่างอ่อนโยนเสมอทำให้ผมใจเต้นแรง ไม่ไหวแล้ว ทนเก็บความรู้สึกต่อไปไม่ไหวแล้ว…ถ้าไม่พูดออกไปตอนนี้ก็ไม่รู้จะหาจังหวะดีๆ พูดอีกตอนไหน



ผมกดหน้าลงกับร่างของพี่ทีอีกครั้ง ขยับปากช้าๆ ชัดๆ เป็นคำสามคำที่ผมอยากจะบอกมาตั้งแต่หลายเดือนก่อนแล้ว แต่ก็ยังไม่แน่ใจจนกระทั่งวันนี้




 
‘ภู ชอบ พี่’





เขินจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นแล้ว ร้อนไปทั้งหูทั้งหน้าทั้งคอ ผมซุกหน้าอยู่แบบนั้น จนกระทั่งฝ่ามืออุ่นลูบลงบนศีรษะผมแผ่วเบา





“พี่รับรู้แล้ว…ขอบใจนะ”





ผมไม่รู้ว่าพี่ทีรับรู้ในสิ่งที่ผมต้องการจะบอกจริงๆ หรือเปล่า แต่ผมจะขอคิดเข้าข้างตัวเองก็แล้วกันว่าพี่ทีรับรู้แล้วว่าผมชอบพี่เขา ดีใจจังที่พี่ทีไม่ได้แสดงท่าทางรังเกียจอะไรออกมาแถมยังยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนมากๆ อีกด้วย อยากจะกระโดดให้ตัวลอยหัวเราะดังๆ แล้วทำท่าชักศอกใส่ตัวพร้อมกับพูดว่า ‘เยส!!!’ แต่ในความเป็นจริงคือผมได้แต่เก็บอาการดีใจออกนอกหน้านั้นไว้ด้วยการซุกหน้าลงกับท้องพี่ทีแล้วยิ้มกว้างเหมือนคนบ้า

[/i]






“ต่อจากครั้งที่แล้วนะ ผมขอย้อนความนิดนึง ผมพูดไปแล้วใช่ไหมว่ากลุ่มของนักอภิปรัชญาแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือพวกที่แบ่งสิ่งต่างๆ เป็น ‘สิ่งเฉพาะ’ กับ ‘สิ่งสากล’ ส่วนกลุ่มที่สองคือพวกที่แบ่งสิ่งต่างๆ เป็น ‘สิ่ง’ กับ ‘คุณสมบัติ’ ครั้งที่แล้วผมจบกลุ่มที่หนึ่งไป วันนี้เรามาขึ้นกลุ่มที่สองกัน …”



ผมหันไปมองข้างตัว เหล่าผองเพื่อนกำลังเรียนทางลัดด้วยการเข้าฌานไปคุยกับโสเครตีส เพลโต และอาริสโตเติลโดยตรง ไอ้แท็คนั่งกอดอกสัปหงกทำความเคารพอาจารย์ ไอ้ป๊อกนอนกรนเสียงดังไม่เกรงใจใครดีที่นั่งหลังๆ ไม่งั้นโดนอาจารย์เล่นแน่ ไอ้โซลแหงนหน้าร่นตัวพิงเบาะหลับสบายเหมือนอยู่ในโรงหนัง ไอ้ก้อยฟุบหลับไปกับโต๊ะเรียบร้อยโรงเรียนปรัชญา ส่วนผมมีหน้าที่ถ่างตาฟังเพื่อจดเลกเชอร์ให้พวกมันยืมถ่ายรูป-_-; ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทางมหา’ ลัยต้องบังคับให้นิสิตทุกคณะลงเรียนปรัชญาด้วยทั้งๆ ที่มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสาขาวิศวะของพวกผมเลย



“นักปรัชญากลุ่มที่ 2 ได้แบ่ง ‘สิ่ง’ ออกเป็นสามสิ่งย่อยๆ อีก คือ สิ่งนามธรรม สิ่งกายภาพ และ สิ่งทางจิต …สิ่งนามธรรมคือสิ่งที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ ยกตัวอย่างเช่น จำนวน หรือ นัมเบอร์ ถือว่าเป็นนามธรรม แต่ตัวเลขนั้นไม่ถือเป็นนามธรรมเพราะเป็นสัญลักษณ์ที่มนุษย์กำหนดขึ้น นอกจากนี้ก็ยังมีเซต (Set) แรง (force) ความยุติธรรม และ ความเท่ากัน…”



ผมตั้งใจฟังและพยายามคิดตามไปด้วย อืม บางทีผมว่าเรียนปรัชญาก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ อย่างน้อยก็ทำให้มองอะไรได้ลึกซึ้งขึ้น



อาจารย์หยิบปากกาขึ้นมาสองแท่ง



“ปากกาสองแท่งนี้ ผลิตในปีเดียวกัน จากโรงงานเดียวกัน รุ่นเดียวกัน นิสิตว่าปากกาสองแท่งนี้ต่างกันตรงไหน”



“ปากกาแท่งนึงอาจารย์ใช้ไปแล้ว อีกแท่งยังไม่ได้ใช้ครับ” หนุ่มคณะแพทย์ด้านหน้าสุดยกมือตอบ



“ผิดครับ”



“ต่างกันตรงที่แท่งนึงอยู่ทางซ้าย อีกแท่งอยู่ทางขวาค่ะ” สาวคณะบัญชีตอบบ้าง แต่อาจารย์ก็ยังส่ายหน้า



ผมเพ่งมองปากกาสองแท่งที่ฉายอยู่บนสไลด์ ปากกาสองแท่งนี้ไม่ต่างกันเลย ไม่ว่าจะมองยังไงก็เหมือนกันหมดทุกประการ แล้วอะไรคือจุดที่ทำให้มัน ‘ต่าง’ กันล่ะ? ก็ในเมื่อเหมือนกันขนาดนี้แท้ๆ



“งั้นผมถามใหม่ละกัน พวกคุณว่าปากกาสองแท่งนี้เหมือนกันใช่ไหม” พวกนิสิตพากันพยักหน้าหงึกหงัก



“พวกคุณจะบอกว่าแท่งนี้ เท่ากับ แท่งนี้ใช่มั้ย?” ผมพยักหน้าตอบ ในเมื่อมันเหมือนกันทุกประการ ในทางคณิตศาสตร์ก็ถือว่าเท่ากันไม่ใช่หรอ



“ผมจะบอกให้ว่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เหมือนกันทุกประการหรอก แม้แต่แฝดที่เกิดมาก็ไม่มีอะไรที่จะเหมือนกันทุกอย่างราวกับเป็นคนคนเดียวกัน เช่นเดียวกับปากกาสองด้ามนี้ มองภายนอกพวกคุณอาจจะเห็นว่ามันเหมือนกันทุกประการ มองว่ามันเท่ากันหมด แต่ที่จริงมันต่างกันตรงไหนคุณรู้ไหม…”



อาจารย์เว้นวรรคไปชั่วอึดใจ ผมขมวดคิ้ว คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ยิ่งฟังก็ยิ่งอยากรู้คำตอบว่าตกลงไอ้ปากกาสองแท่งนั้นมันต่างกันยังไง



“...สิ่งสองสิ่งจะเท่ากันก็ต่อเมื่อ คุณสมบัติของสิ่งที่หนึ่ง เป็นทุกคุณสมบัติของอีกสิ่งหนึ่ง ที่ปากกาสองแท่งนี้มันต่างกันก็เพราะมันครอบครองพื้นที่คนละพื้นที่กัน ถ้าเปรียบกับคนก็จะหมายถึงการมีตัวตนยืนอยู่บนพื้นโลกคนละจุดกัน …ถ้าหากปากกาสองแท่งนี้จะเท่ากันทุกประการจริงๆ มันต้องวางทับที่เดียวกันผสานเป็นเนื้อเดียวกันได้ สรุปก็คือในโลกใบนี้สิ่งที่จะเท่ากันมีเพียงแค่ตัวของมันเองเท่านั้น เข้าใจหรือยัง”



ในโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เหมือนกันทุกประการ…แม้แต่ปากกาสองแท่งนั้นก็ยังต่างกันงั้นหรอ



ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ผมก็เผลอนึกไปถึงภูผาและฟ้าคราม คนสองคนที่ภายนอกเหมือนราวกับเป็นคนคนเดียวกัน แต่หากมองดูจริงๆ แล้วจะพบว่าสองคนนี้มีส่วนที่แตกต่างกันอยู่มากมาย



ภาพฟ้าครามที่ดึงผมเข้าไปจูบยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำเช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เมื่อวาน ภาพที่ภูผานอนซุกท้องผม ทำหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่พอพูดออกมากลับไม่มีเสียง แถมยังสบตาผมด้วยดวงตาคาดหวังว่าผมจะเข้าใจในสิ่งที่ตนพูดทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ออกเสียงให้ได้ยิน



ผมไม่รู้ว่าน้องต้องการจะบอกอะไรกับผมกันแน่…อันที่จริงเเล้วผมพอจะเข้าใจในสิ่งที่ภูผาต้องการจะบอกแต่ในใจลึกๆ ของผมมันปฏิเสธด้วยสองเหตุผล หนึ่งคือผมอาจจะเข้าใจผิดไปเองเรื่องแบบนั้นไม่น่าจะมีทางเกิดขึ้นได้เพราะเราเป็นผู้ชายทั้งคู่แถมยังเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน สองคือหากเป็นอย่างที่ผมเข้าใจจริงๆ ผมคงรู้สึกแปลกๆ และคงไม่สบายใจที่จะอยู่กับภูผาอีกต่อไป





ไม่หรอก มันต้องไม่เป็นแบบนั้น ผมไม่รู้ว่าน้องต้องการบอกอะไรกับผม ไม่รู้ ผมไม่รู้ …





เอาเป็นว่าสามคำนั้นของภูผา ผมจะตีความแค่ว่ามันน่าจะเป็นคำพูดในแง่ดีที่มีต่อผมก็แล้วกัน





ผมขอรับรู้เท่านี้พอ






--------------------------------------------------------------------------------------------



หลังไมค์ถามมาว่าตกลงภูผากับฟ้าครามใครเป็นพี่เป็นน้องกันเเน่??



ถ้าตามสูติบัตร ฟ้าคราม (นาย จารุวิทย์) เป็นพี่ เเต่ในทางปฏิบัติเเล้ว ทุกคนยกให้ภูผา (นายจารุวัฒน์) เป็นพี่ค่ะ


ขอบคุณที่ติดตามกันมานะคะ ไม่น่าเชื่อว่ายังมีคนจำได้ว่าเรื่องนี้เคยมาลงที่นี่เเล้ว เเต่โดนลบไปค่ะเพราะเราลืมมาลงนานเกิน555นึกขึ้นได้อีกทีก็โดนลบไปเเล้วค่ะ ดีใจจังมีคนจำได้ด้วยย เขิลลล :-[

หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่18 [19/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 19-02-2018 17:12:26
ดราม่าจะบังเกิดไหม
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่18 [19/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 19-02-2018 17:49:09
ความรู้สึกนึ้ เอาไงต่อดีนะะ :katai1: สู้ๆนะคะะะ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่18 [19/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: duck-ya ที่ 19-02-2018 18:07:55
แต่ทีเองก็ไม่ได้รังเกียจน้องนี่นาา ให้โอกาสน้องให้โอกาสตัวเองดูน้าาา
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่18 [19/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 19-02-2018 20:02:48
สัปดาห์นี้เจ้าแฝดและผมแยกย้ายกันกลับบ้านในวันเสาร์อาทิตย์ครับ



ผมทิ้งตัวลงบนเตียงของตัวเองในห้องนอนแสนสุขที่ไม่ต้องแชร์ร่วมกับใคร นานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้กลับมาห้องนี้..สักสามอาทิตย์ได้หรือเปล่า?



วันนี้เป็นวันเสาร์ไม่มีใครอยู่บ้านสักคน ทามไปเรียนพิเศษ พ่อกับแม่ก็มีงานวันเสาร์กลายเป็นว่าผมกลับมาคนเดียว แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวตอนเย็นก็ได้เจอกันแล้ว

                                              ตอนที่ 19    สับสนๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ!!

ผมนอนมองเพดานห้องที่ไม่ได้เห็นซะนาน จินตนาการรอยฉาบปูนบนเพดานที่ไม่เรียบเป็นรูปต่างๆ อย่างที่ชอบทำเวลาคิดอะไรเรื่อยเปื่อย รู้สึกเลยว่านี่แหละคือที่ของผม นี่แหละคือบ้านของผม ห้องนี้คือโลกของผมเพียงคนเดียว ไม่ต้องแคร์ใคร ไม่ต้องทนอึดอัดใจอยู่ร่วมกับคนอื่น



พอคิดถึงช่วงเวลาตั้งแต่สองคนนั้นเข้ามายุ่มย่ามในชีวิตผมแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่



กูทนไปได้ยังไงวะ…



ถามว่าสามสัปดาห์ที่อยู่ด้วยกันที่คอนโดผมรู้สึกยังไงก็คงต้องบอกว่า สับสน และ เหนื่อยมาก ล่ะมั้ง ไม่รู้สิ มันเหนื่อยใจแบบแปลกๆ บางทีก็สนุกสนาน บางทีก็รำคาญ บางทีก็มีความสุขจนต้องแอบไปยิ้มอยู่คนเดียว บางทีก็อึดอัดมากจนเหมือนจะหายใจไม่ออก บางทีก็หงุดหงิด บางทีก็อิ่มเอมใจ ผมซ่อนความรู้สึกทั้งหลายเหล่านี้ไว้เบื้องหลังรอยยิ้มบางๆ ผมไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ภูผากับฟ้าครามทำให้โลกที่แสนสงบของผมเปลี่ยนไป ยิ่งอยู่ด้วยกันนานเท่าไหร่ภายในใจของผมมันก็มีแต่ความสับสน เหนื่อยหน่าย และอึดอัดมากขึ้นทุกทีๆ ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ …



…นายไม่รู้จริงๆ หรือที…



ไม่… ไม่รู้ ไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง



แน่ใจหรือว่าไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง



ไม่รู้ ไม่รู้เลยจริงๆ



ตั้งแต่เกิดมานายเข้าใจและหาที่มาของความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้มาตลอดไม่ใช่หรือ



….



ที่อึดอัดและเหนื่อยคงไม่ใช่เพราะเกลียดใช่ไหม



…ไม่…ไม่เลย ไม่เคยจะเกลียดลงเลยสักครั้ง



ฉันรู้ว่าทำไมนายถึงรู้สึกอึดอัดแล้วก็เหนื่อยใจแบบนี้…



…!!



ก็เพราะนายน่ะ….





ไม่ !!!!



ผมลุกพรวดขึ้นจากเตียง สะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป ผมมองภาพถ่ายครอบครัวที่ตั้งอยู่บนหัวเตียง เป็นภาพที่ถ่ายกันในวันรับรางวัลเรียนดีม.ปลาย พ่อกับแม่ดูปลื้มอกปลื้มใจมาก ทามก็ยิ้มแย้มร่าเริงแจ่มใส ส่วนผมยืนอยู่ตรงกลางถือเกียรติบัตรอย่างภาคภูมิใจ อีกรูปเป็นภาพที่ถ่ายตอนบวชสามเณรใจเพชร ผมประคองเจดีย์แก้วที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเอาไว้ ภาพนี้แม่ดูจะยิ้มกว้างมากเป็นพิเศษเพราะดีใจที่ผมได้รับรางวัลขวัญใจพระพี่เลี้ยง



ผมเป็นความภาคภูมิใจของครอบครัว



ผมเป็นลูกที่พ่อแม่หวังจะพึ่งพา



ผมต้องเป็นพี่ชายที่ดี



ผมต้องเรียนให้เก่ง



ผมต้องเป็นแบบอย่างให้ทุกคน



ผมต้องเป็นคนดี



ผมต้อง…



ผมดำรงชีวิตอยู่ในกรอบที่ตัวเองขีดขึ้นจากความคาดหวังของคนรอบข้างมาโดยตลอด อันที่จริงไม่จำเป็นต้องสนใจคนอื่นก็ได้ แต่ผมคงอ่อนไหวและหัวอ่อนเกินไปจึงถูกชักนำจากความคาดหวังของคนรอบข้างได้ง่ายเหลือเกิน



ผมสะดุ้งในใจ…นี่เรากดดันตัวเองอีกแล้วนะ



แล้วผมก็ต้องประหลาดใจ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้คิดเรื่องความเพอร์เฟ็คอะไรนี่มานานมากแล้ว ทั้งๆ ที่ปกติพออยู่คนเดียวเมื่อไหร่ก็จะคิดถึงเรื่องพวกนี้แล้วก็ขุดเอาข้อบกพร่องของตัวเองขึ้นมาประณามซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอรู้สึกว่าตัวเองเลวไม่มีอะไรดีสักอย่างจนสาแก่ใจแล้วถึงจะหยุด



เกลียดตัวเองตรงที่เวลาอยู่คนเดียวแล้วชอบทำให้ตัวเองกดดัน ไม่มีความสุข



เกลียดตัวเองที่ชอบคิดมาก คิดมันทุกเรื่อง อยากหยุดแต่ก็หยุดไม่ได้ ยิ่งหยุดไม่ได้ก็ยิ่งหงุดหงิด



ผมนอนมองเพดานห้องที่ว่างเปล่า จู่ๆ ก็รู้สึกโหวงเหวงขึ้นมา ห้องที่นอนมาเป็นสิบๆ ปีวันนี้เป็นครั้งแรกที่คิดว่ามันกว้างเกินไป เงียบเกินไป



ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ



พอผมจัดกระเป๋าไปค่ายเสร็จพ่อกับแม่ที่แวะรับทามมาด้วยก็กลับมาถึงพอดี เป็นครั้งแรกในรอบเดือนที่เราได้กินข้าวกันพร้อมหน้า ยัยทามพูดไม่หยุดจนแม่ต้องเอาทอดมันยัดปากท่าทางตอนผมไม่อยู่ยัยทามคงจะเฉาปากน่าดู



“แล้วอยู่กับน้องเป็นยังไงบ้างล่ะ ดื้อมั้ยที” แม่ถามพร้อมกับตักไข่เจียวหมูสับของโปรดใส่จานผม



“ดื้อมากกกกกกกกก” ผมลากเสียงยาว แต่ใบหน้าระบายไปด้วยรอยยิ้ม ทำให้แม่รู้ว่าผมไม่ได้พูดจริงจัง แล้วบทสนทนาก็พวกเราก็กลายเป็นเรื่องวีรกรรมของเจ้าแฝดไปซะอย่างนั้น



“สองสามวันก่อนตอนรับน้อง ปีสองมันให้ปีหนึ่งอมลูกอมต่อกันใช่ป่ะทาม ทีนี้ก่อนจะให้อมเค้าก็จะถามว่าใครเป็นโรคติดต่ออะไรมั้ย แล้วไอ้แฝดมันยกมือด้วยแหละ …” ผมเล่าไปขำไป



“พี่แฝดไม่สบายหรอ?” ทามถาม



“คนไม่สบายที่ไหนมันตื่นขึ้นมายกเวทแต่เช้าได้ล่ะ ถามจริง” ผมหัวเราะหึหึ



“ไอ้แฝดมันบอกพวกปีสองว่ามันสองคนเป็นหวัด คงคิดว่าพี่เขาจะให้มันออกจากเกม แต่เปล่าเลย ปีสองมันรู้ทันบอกให้สองคนนั้นไปนั่งท้ายแถวจะได้อมคนสุดท้ายไม่เอาโรคไปติดชาวบ้าน คือแบบ …ฮ่าๆ ๆ …หน้าไอ้ภูไอ้ครามตอนนั้นฮามากอ่ะพ่อ” ผมเป็นพวกเล่าเรื่องตลกแล้วชอบขำเองครับ ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนผมหรือเปล่านะ ฮ่าๆ ๆ



ผมยืนล้างจานคู่กับทามในครัว รู้สึกเหมือนไม่ได้ล้างจานมานานมากๆ เพราะภูผากับฟ้าครามทำให้ตลอด…ป่านนี้ภูผากับฟ้าครามจะกำลังทำอะไรอยู่นะ



“ทีเขยิบออกไปหน่อยซิลูก ที่มีตั้งเยอะแยะมานั่งเบียดแม่ทำไมฮึ” แม่พูดขึ้นขณะที่เราทุกคนนั่งดูทีวีด้วยกันในห้องนั่งเล่น



“อะไร เบียดอะไรแม่ ทีก็นั่งของทีปกตินี่” ผมขมวดคิ้วสงสัย



“ปกติพี่ชอบนั่งโซฟาเดี่ยวไม่ใช่หรอ ทำไมวันนี้ไปนั่งคั่นกลางพ่อกับแม่ล่ะ นั่นแน่ ขาดความอบอุ่นหรอ คริๆ ๆ ” ดูไอ้ทามมันแซวผมสิครับ=*=



“พ่อๆ เปลี่ยนไปช่อง ppp หน่อยครับ” ผมบอกพ่อที่ครองรีโมตไว้เมื่อเหลือบมองนาฬิกาแล้วพบว่ารายการโปรดของผมกำลังจะมา แทนที่พ่อจะเปลี่ยนให้กลับยื่นรีโมตให้ผมเลย



“เดี๋ยวนี้ดูเกมโชว์เกาหลีด้วยหรอพี่ที ว้ายติ่งๆ ๆ!”



“ติ่งบ้านเอ็งดิ” ผมเอื้อมมือไปตบหัวทามที่นั่งอยู่บนพรมเบาๆ ทีนึง แต่ยัยน้องสาวตัวดีดันร้องโอดโอยเสียโอเวอร์ราวกับผมเอาค้อนไปทุบหัวมัน



ตอนแรกผมก็ไม่ดูรายการพวกนี้หรอกครับ ปกติดูแต่พวกสารคดีสัตว์โลกน่ารัก ปลากระเบน แพนด้า ไฮยีน่า ปลวก เป็ด อะไรพวกนั้น แต่พอไปอยู่กับไอ้สองตัวนั้นผมแพ้เสียงข้างมากเลยต้องยอมดูเกมโชว์ ดูไปดูมามันก็สนุกดี รู้ตัวอีกทีก็ติดงอมแงม…



ก็บอกแล้วไง ผมมันพวกถูกคนรอบข้างชักจูงได้ง่าย -_-;







“โอ๊ย เมื่อไหร่ห้องเชียร์จะจบซักทีวะ น่าเบื่อ” ฟ้าครามบ่นเป็นหมีกินผึ้งขณะถอดเนกไทโยนลงบนโต๊ะ



“นั่นดิ ไหนว่าไม่มีว๊ากไงพี่ที นี่อะไรก็ไม่รู้กดดันฉิบหาย… ร้องเพลงสิครับน้อง กินแรงเพื่อนอิ่มมั้ยครับ พูดอยู่ได้ไอ้คำนี้” ภูผาบ่นบ้างขณะเปิดพัดลมจ่อตัวทั้งที่ก็เปิดแอร์แรงอยู่แล้ว



“เอ้า ก็ไม่ได้ว๊ากจริงๆ นี่ เค้าเรียกสอนน้องร้องเพลง ภูกับครามเห็นพี่เขาตะคอกใส่ซักครั้งมั้ยล่ะ… ก็เปล่า” ผมพูดขณะพลิกเอกสารค่ายดูไปด้วย ที่ภูผากับฟ้าครามเจอมันก็แค่ต้องไปฝึกร้องเพลงของมหา’ ลัยหลังเลิกเรียนวันละสามชั่วโมงเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์จนกว่าจะถึงวันออกค่ายอาสา ในห้องสอนร้องเพลงพี่ปีสามจะยืนล้อมรอบห้องทำหน้านิ่งๆ แต่ว่าเจ็บๆ เวลาน้องร้องเบา หรือไม่ตั้งใจร้อง ส่วนปีสองมีหน้าที่สอนร้องเพลง



“เราน่ะได้นั่งกันสบายๆ ปีพี่เค้าให้ยืนร้องนะจะบอกให้”



“แต่ภูว่ามันเวอร์ไปป่ะพี่ จะทำอะไรก็ต้องยกมือขออนุญาตตลอด”



“ก็เขาฝึกให้มีมารยาทไง...” ผมตอบ แต่ตาไม่ได้ละไปจากเอกสารในมือแม้แต่น้อย เลยดูเหมือนว่าผมไม่ได้ให้ความสนใจสองคนนั้นเท่าไหร่



“พี่ทีอ่านอะไรอ่ะ” ฟ้าครามถาม



“เอกสารค่าย” ผมชักรู้สึกอ่านไม่ค่อยรู้เรื่องเลยตัดสินใจลุกจากโซฟาเดินกลับไปอ่านในห้องตัวเอง แต่ภูผากับฟ้าครามกลับตามเข้ามาในห้องผมด้วย



“มีอะไรอีกล่ะฮึ ถึงจะตามมาบ่นให้พี่ฟัง พี่ก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ” ผมยิ้มบางๆ พลางดันแว่นตาที่ตกลงมาที่ปลายจมูกกลับขึ้นไป แต่ในใจกลับคิดว่าน่ารำคาญชะมัด อุตส่าห์เดินหนีออกมาแล้วยังจะตามมาอีก



ภูผากับฟ้าครามไม่ได้พูดอะไร แค่เดินเข้ามาใกล้ผมที่นั่งอ่านเอกสารอยู่บนขอบเตียง เงาดำที่บดบังแสงไฟทำให้ผมอ่านไม่ถนัดนัก พอจะเงยหน้าขึ้นมาบอกว่าอย่าบังแสงฟ้าครามกับภูผาก็วางมือลงบนหน้าอกผมคนละข้าง ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับทั้งสองคน ไม่เข้าใจว่าจะทำอะไร แต่ก็ไม่ได้คิดจะขัดขืนเมื่อภูผากับฟ้าครามดันให้ผมเอนหลังลงไปบนเตียง สองคนนั้นไม่ได้ดันแรงๆ หรือออกแรงกด ก็แค่ออกแรงผลักเบาๆ ส่วนผมก็ยอมทิ้งตัวลงไปอย่างว่าง่าย จะดูซิว่าจะเล่นอะไร



“…” ผมสบตาภูผา แล้วก็ได้แต่สะท้านเยือกอยู่ในใจ มันไม่ใช่สายตาปกติที่น้องชอบมองผม มันเป็นสายตาแบบเดียวกับที่โซฟาในวันนั้น



ผมรู้สึกทำตัวไม่ถูกเอาซะดื้อๆ จู่ๆ ก็รู้สึกลนลานขึ้นมาแปลกๆ สายตาพยายามหาจุดเบี่ยงเบนความสนใจ แล้วผมก็สบตากับฟ้าครามเข้า ปกติฟ้าครามจะมองผมด้วยแววตาขี้เล่น แต่วันนี้มันกลับเปลี่ยนไป มันดูแฝงความต้องการอะไรบางอย่างเอาไว้ ความต้องการที่ผมไม่คิดอยากรู้ว่ามันคืออะไร



“อะไร จะปล้ำพี่หรือไง ฮะๆ ๆ ” ผมจับมือทั้งสองข้างที่ยังคงดันร่างผมให้ติดกับเตียงเอาไว้แล้วพยายามดันมันออกอย่างเนียนๆ เมื่อชักจะเริ่มรู้สึกแปลกๆ



“พี่ที…พี่รู้ใช่มั้ยว่าพวกเราคิดยังไงกับพี่” ฟ้าครามพูดเสียงเรียบไม่มีแววล้อเล่นอยู่ในนั้น



“…” ผมขมวดคิ้ว พยายามแสดงออกให้รู้ว่าผมไม่เข้าใจในสิ่งที่ฟ้าครามพูดทั้งที่ในอกกลับรู้สึกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบเอาไว้จนปวดระบม มันทั้งตื่นเต้น ทั้งหวาดกลัว ทั้งดีใจ ทั้งรู้สึกไม่อยากยอมรับ รู้สึกรังเกียจตัวเองที่ดีใจทั้งที่ไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น มันผิด มันวิปริต ไม่ได้…ไม่ควร!



อย่านะ อย่าพูดออกมานะ ไม่อย่างนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป…



“ผมระ…” ฟ้าครามพูดแต่ผมรีบขัดขึ้น



“หยุดนะ!”



“พี่ทีผม…”



“ไม่! ไม่ต้องพูด”



“ไหนวันนั้นพี่บอกผมว่าพี่รับรู้แล้วไง” ภูผามองผมด้วยสายตาตัดพ้อ



“… พี่รู้แค่ว่าเรามีความรู้สึกที่ดีให้กับพี่”



“พี่จะหนีความจริงไปทำไม ผมรู้ว่าพี่รู้นะว่าพวกเรารู้สึกยังไง แต่ถ้าพี่ยังยืนยันว่าไม่รู้จริงๆ อยู่ล่ะก็ ผมจะพูดใหม่อีกครั้งก็ได้ คราวนี้เอาให้มันชัดเจนกันไปเลย!”



“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ!!!!! ”



ผมตะโกนสุดเสียงก่อนจะลุกพรวดขึ้นมา แล้วก็พบว่าตอนนี้ผมอยู่บนเตียงที่บ้านของตัวเอง ไม่มีร่างของสองแฝดนั่นคร่อมอยู่เหมือนที่เห็นไปเมื่อสักครู่



ผมหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย รู้สึกโล่งใจอย่างประหลาดที่มันเป็นแค่ความฝัน ใช่ ก็แค่ความฝัน มันไม่ได้เป็นความจริง



แต่ถึงอย่างนั้นความฝันเมื่อคืนก็ทำให้ผมได้แต่เก็บตัวอยู่ในห้องตลอดวันอาทิตย์ โผล่หน้าลงไปกินข้าวแล้วก็กลับขึ้นมาหมกตัวอยู่แต่ในห้อง ครุ่นคิดเรื่องของภูผาฟ้าครามซ้ำไปซ้ำมาเหมือนคนบ้าทั้งที่มันก็ไม่ได้มีอะไรเลย ผมอาจจะคิดไปเองคนเดียวก็ได้ ทำไมไม่บอกให้มันชัดเจนกว่านี้วะ ถ้าผมเข้าใจผิดผมก็กลุ้มใจฟรีน่ะสิ โอ๊ย ! ให้ตายเถอะ ทำไมผมต้องมาจมอยู่กับความรู้สึกแบบนี้ทั้งวันด้วยเนี่ย เพราะไอ้เเฝดนรกคู่นั้นเเท้ๆ เลย



ผมหยิบหมอนขึ้นมาทุบหัวตัวเองอย่างบ้าคลั่ง ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรต่อไปดี



โอ๊ยยยยยย ! ทำไมถึงสับสนขนาดนี้วะ…ไม่ไหวแล้วจริงๆ



ผมคว้ามือถือขึ้นมา ชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะกดโทรออก



“ฮัลโหล อาจารย์ปกรณ์หรอครับ …. ครับ ผมทวีเดชนะครับ …อาจารย์ครับ ช่วยนัดจิตแพทย์ให้ผมที…”







- พี่ทีเริ่มสับสนแล้ว 555 นับว่าก้าวหน้า (?) นะจากแต่ก่อนที่ไม่ได้คิดอะไรเลย



- ไม่รู้จะมีใครเข้าใจความสับสนของพี่ทีรึเปล่านะ แต่เราเขียนตอนนี้ขึ้นมาเพราะครั้งหนึ่งเราเคยรู้สึกแบบนี้จริงๆ สับสนแบบมีความสุขปนทุกข์อ่ะ งงมั้ย^^;;



- มหา’ ลัยพี่ทีมีโรงพยาบาลนะคะ สามารถรักษาได้ฟรี แต่ในกรณีต้องการเข้าพบจิตแพทย์ต้องให้อาจารย์ที่ปรึกษาของตัวเองเป็นคนนัดให้ค่ะ



- เราเคยคิดขำๆ นะว่าถ้าพี่ทีไม่เคยบวชเรียน อาจจะคิดมากจนเป็นบ้าไปนานแล้วก็ได้ 555



เรื่องนี้แทบไม่ค่อยมีมือที่สองมือที่สามหรืออุปสรรคอะไรหรอกค่ะ เพราะตัวอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในเรื่องก็ตัวพี่ทีเองอ่ะแหละ กร๊ากกก บอกแล้วว่าไม่ดราม่า แต่อาจจะช้าสักหน่อยเพราะพี่แกไม่เอาน้องเลยจริงๆ ปฏิเสธท่าเดียว
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่19 [19/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 19-02-2018 20:26:51
ถึงกับต้องหาจิตแพตย์ดลยหรออออออออ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่19 [19/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 19-02-2018 20:32:20
ก็ดีนะที่หาจิตแพทย์เพราะพี่แกควรได้รับคำปรึกษาดีๆน่ะ
คนเราคิดเองมันคิดไม่ตกหรอก
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่19 [19/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-02-2018 20:51:34
แฝดรุกเร็วไปแล้ว พี่ทีเขาตามความคิดหลานไม่ทัน เห็นใจพี่เขาหน่อยนะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่19 [19/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 19-02-2018 21:00:24
 :z3:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่19 [19/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-02-2018 22:07:47
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่19 [19/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-02-2018 22:26:39
ที จะเป็นแบบ จริงๆชอบแฝด
แต่คิดว่าไม่ถูกต้อง
เลยพยายามไม่รับรู้ที่แฝดชอบตัวเอง
และไม่รับรู้ว่าตนเองชอบด้วย
เพราะที เป็นคนที่ทำทุกอย่าง ต้องให้ถูกต้อง 
เป็นที่เชิดหน้าชูตาแก่วงศ์ตระกูล ครอบครัว
จะรู้สึกผิดมากๆ ถ้าทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ถึงกับสารภาพบาปลงสมุดไดอารี่ ที่แฝดเคยขโมยอ่าน
        :L1: :L1: :L1:
   :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่19 [19/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 19-02-2018 22:29:49
พี่ทีแค่สับสัน
สองคนเป็นน้อง
สองคนเป็นผู้ชาย
้เราเป็นญาติกัน

หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่19 [19/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 19-02-2018 23:52:43
ทีแค่ยังตั้งรับไม่ทัน
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่19 [19/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 20-02-2018 02:07:58
 :mew1: :mew2:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่19 [19/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: kataiyai ที่ 20-02-2018 05:41:25
พี่ทีจะเครียดไปทำไม. มนุษย์เพอร์เฟคไม่มีในโลก เพราะตายหมดแล้ว
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่19.5 [20/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 20-02-2018 07:16:46

                                                     ตอนที่ 19.5  อ้อมกอดของภูผาเเละฟ้าคราม


หลังจากการทนนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่บนรถทัวร์เจ็ดแปดชั่วโมง ตอนนี้พวกเราชาววิศวะก็มาถึงจุดหมายซึ่งอยู่บนดอยแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคเหนือเรียบร้อย ผมเป็นคนนั่งรถทางไกลไม่ได้ชอบเมาจนอ้วกทุกที เพื่อนๆ เห็นอกเห็นใจเลยส่งผมกับรุ่นน้องที่เมารถไปนั่งกับอาจารย์ปกรณ์ในรถบรรทุกสัมภาระที่ไม่มีเสียงร้องรำทำเพลงเหมือนคันอื่นๆ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังนั่งหน้าซีดจนอาจารย์ต้องคอยหยิบยื่นยาหม่องยาดมให้ไปตลอดทาง



“กอบกุล พาทวีเดชไปพักก่อนไป อาการไม่ดีเลย” อาจารย์ปกรณ์บอกกับพวกเพื่อนๆ ผมที่เดินมาหาด้วยความเป็นห่วง ไอ้โซลกับไอ้แท็คเข้ามาช่วยกันหิ้วปีกผมคนละข้าง ส่วนป๊อกถือสัมภาระของผมตามมา บอกตามตรงตอนนี้แค่จะเดินผมยังเดินไม่ตรงทางเสียด้วยซ้ำ เป็นอย่างนี้ทุกครั้งเวลาออกค่ายไกลๆ



เพื่อนผมกับรุ่นน้องอีกสี่ห้าคนยืนโก่งคออาเจียนมีเพื่อนลูบหลังอยู่แถวๆ พุ่มไม้ พอล้างหน้าล้างตาเสร็จก็ถูกเพื่อนๆ หิ้วปีกตามผมมาเหมือนกัน



สถานที่เรามาขออาศัยพักแรมห้าวันสี่คืนในครั้งนี้คือวัดแห่งหนึ่ง เพื่อนๆ พาผมมายังศาลาโล่งๆ ที่ลมโกรกพัดเย็นสบายติดจะหนาวนิดๆ เพราะอยู่ในช่วงปลายฝนต้นหนาว ผมถูกพยุงนอนลงบนเสื่อหนุนหมอนสี่เหลี่ยมแข็งๆ ก้อยเอาผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดตาให้จนรู้สึกดีขึ้นถึงได้บอกให้เพื่อนๆ ไปช่วยปีสองจัดกิจกรรมส่วนผมดูแลตัวเองได้ นอนพักสักครู่ก็คงดีขึ้นเหมือนครั้งก่อนๆ



“มีอะไรก็โทรตามนะมึง” ไอ้ป๊อกทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไป บนศาลานี้ยังมีเพื่อนๆ และรุ่นน้องผมอีกหลายชีวิตที่นอนแผ่หน้าซีดหมดเรี่ยวแรงไปตามๆ กัน ผมนอนดมยาดมอยู่อย่างนั้นจนรู้สึกดีขึ้นเลยลุกออกมาเดินยืดเส้นยืดสาย



ผมพบว่าวัดแห่งนี้น่าอยู่มากเลยทีเดียว เพราะล้อมรอบไปด้วยป่าไม้และภูเขา ได้ยินเสียงน้ำตกดังมาจากที่ไกลๆ ผมสูดอากาศเย็นสดชื่นเข้าจนเต็มปอดความรู้สึกพะอืดพะอมที่มีเหมือนจะหายไปแล้ว ผมลองเดินสุ่มๆ ไปทางด้านข้างที่เห็นเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีประตูเยอะๆ คาดว่าน่าจะเป็นห้องน้ำ แล้วก็ใช่จริงๆ ผมตักน้ำล้างหน้าบ้วนปาก น้ำเย็นฉ่ำทำให้ตื่นเต็มตา ผมเดินสำรวจไปรอบๆ ผ่านโรงครัว ไปจนถึงลานกว้างๆ ที่อยู่กลางวัดก็เห็นพวกรุ่นพี่กำลังแจกข้าวกล่องให้น้องๆ กินกันอยู่



“ดีขึ้นแล้วหรอพี่ ผมกำลังจะเอาข้าวไปให้พวกที่ศาลาพอดีเลย” รุ่นน้องคนหนึ่งร้องทัก ผมพยัก หน้าส่งยิ้มบางๆ ไปให้ก่อนจะพยักพเยิดให้น้องคนนั้นหอบหิ้วข้าวกล่องเอาไปให้พวกที่ยังสลบกันอยู่บนศาลา



ผมกวาดตามองพวกรุ่นน้องหลายร้อยชีวิตที่นั่งกินข้าวกันอยู่บนพื้นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วก็สบตากับภูผาฟ้าครามเข้า สองคนนั้นทำท่าจะลุกขึ้นมาแต่ไอ้โซลที่เป็นพี่ระเบียบก็สั่งให้พวกมันนั่งลงไป ฟ้าครามชักสีหน้าเลยโดนไอ้โซลโบกกบาลไปหนึ่งที



ผมเดินไปรับข้าวกล่องจากน้องปีสองแล้วเดินไปนั่งกับเพื่อนปีสามด้วยกัน พวกเราแบ่งงานกันอย่างชัดเจน ปีสองทำหน้าดูแลปีหนึ่งและจัดกิจกรรมนันทนาการต่างๆ ส่วนปีสามเป็นหัวแรงหลักในการบูรณะซ่อมแซมโรงเรียนชาวเขากับสร้างโรงเลี้ยงไก่จุดประสงค์หลักของการมาออกค่ายในครั้งนี้



กำหนดการในวันนี้ยังไม่มีอะไรเพราะกว่าพวกเราจะถึงที่นี่ก็ปาเข้าไปบ่ายสามแล้ว พวกปีสองก็เลยจัดกิจกรรมรับน้องกันเป็นที่สนุกสนานมีปีสามไปแจมบ้างเล็กน้อย ปีสามส่วนใหญ่จะลงเขาไปติดต่อเรื่องวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างที่สั่งเอาไว้ บางส่วนก็ตามอาจารย์ปกรณ์ไปพบผู้ใหญ่บ้าน ไปดูสถานที่จริง



“อ่ะ ของมึง” แท็คยื่นว.แดงมาให้ผม ปกติเวลาออกค่ายหัวหน้าฝ่ายต่างๆ จะมีติดตัวไว้คนละเครื่อง ผมเป็นหัวหน้าฝ่ายบุคคลของคณะต้องคอยกำกับดูแลพวกปีสองอีกทีเลยต้องมีติดตัวไว้เหมือนกัน เวลาไปออกค่ายบางที่ก็ไม่มีคลื่นโทรศัพท์การใช้วอจึงสะดวกกว่ามาก



ได้มาปุ๊บก็ขอทดสอบเลยละกัน



“ปีใหม่วอสองครับ” (ปีใหม่ทราบแล้วตอบกลับด้วย) ผมกดปุ่มพูดแล้วลองส่งรหัสเรียกประธานรุ่นปีสอง



“…สองครับ” (ได้ยินแล้วครับ)



“วอสิบหก” (ทดสอบสัญญาณ)



“วอสิบหก ห้า ครับ” (ได้ยินชัดเจนดีมากครับ)



“รายงานสถานการณ์ปัจจุบันครับ”



“ขณะนี้ปีสองทั้งหมดกำลังพาน้องปีหนึ่งไปร่วมกิจกรรมที่ลานวัดครับ ปีสามกลุ่มบีลงเขาไปติดต่อเรื่องวัสดุ ปีสามกลุ่มซีตามศูนย์ศูนย์ไปครับ” ศูนย์ศูนย์เป็นรหัสที่ไว้ใช้เรียกผู้มีอำนาจสูงสุดในค่าย ในที่นี้คืออาจารย์ปกรณ์



“ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม มีใครไม่สบายเป็นอะไรอีกหรือเปล่า”



“ไม่มีครับ”



“ดี เดี๋ยวผมจะลงไปดู”



“สองแปด และ แปดแปดครับ” (รับทราบ จุ๊บๆ) ผมได้ยินเสียงหัวเราะของหัวหน้าฝ่ายคนอื่นๆ ที่จงใจกดปุ่มส่งเสียงหัวเราะมาให้ได้ยิน ตอนแรกไอ้ปีใหม่ก็คุยเป็นการเป็นงานดีอยู่หรอก แต่หลังๆ นี่ไม่ไหวว่ะ



เพื่อนๆ กลุ่มผมต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ตามทีมตัวเองหมดแล้ว ไอ้แท็คกับไอ้โซลอยู่ทีมบีเมื่อกี้เพิ่งลงเขาไปจัดการเรื่องอุปกรณ์ก่อสร้าง ไอ้ป๊อกอยู่กองสันต้องไปช่วยน้องปีสองจัดกิจกรรมที่ลานวัด ก้อยกับพวกผู้หญิงปีสามทำหน้าที่จัดการเรื่องข้าวปลาอาหารกับการปฐมพยาบาลมีไอ้มิ้นท์ปีสามเป็นหัวหน้าฝ่ายนี้ ส่วนผมกับไอ้พีทประธานปีสามทำงานฝ่ายบุคคลช่วยกันดูแลความสงบเรียบร้อยภายในค่ายทุกอย่าง ทั้งเรื่องข้าวปลาอาหารว่าขาดเหลือมั้ย น้องคนไหนมีปัญหาอะไรหรือเปล่า กิจกรรมมีปัญหาไหม สถานที่เพียงพอหรือไม่ รวมถึงติดต่อประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ และผู้หลักผู้ใหญ่ ฟังดูเหมือนเป็นงานสบาย แต่เปล่าเลย เพราะนอกจากงานพวกนี้แล้วพวกผมก็ยังต้องไปช่วยเพื่อนๆ ตอกตะปูทาสีเหมือนกัน ไม่ได้มีอภิสิทธิ์พิเศษอะไร



กว่าผมกับไอ้พีทจะตรวจดูทุกอย่างเสร็จก็ปาเข้าไปห้าโมงเย็น ที่นอนหมอนมุ้งโอเค อาหารที่เตรียมมาก็พรั่งพร้อมไม่มีอะไรเน่าเสีย ร้านขายวัสดุก่อสร้างจะเอารถขนของขึ้นมาส่งให้พรุ่งนี้เช้า ทางฝั่งอาจารย์ปกรณ์ก็เรียบร้อยดีไม่มีปัญหา



พอพระอาทิตย์ตกดินอากาศก็หนาวจัด ที่นี่พอมืดแล้วคือมืดจริงๆ แม้แต่มือตัวเองยังมองไม่เห็นเลย ผมต้องใช้ไฟฉายส่องเพื่อนำทางเพื่อนๆ ไปรวมกับปีสองและปีหนึ่งที่ลานวัด



น้องแต่ละคนอยู่ในสภาพที่ดูไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ เห็นแล้วฮาดีไม่หยอก บางคนก็โดนเขียนหน้าเป็นโจรสลัดมีแผลบาก บางคนโดนผูกจุกทั้งหัวเหมือนหนามทุเรียน บางคนโดนทาแป้งขาวจั๊วะแล้วทาปากแดงเป็นจุดเหมือนเกอิชา บางคนก็โดนแต่งหน้าเป็นแม็คโดนัล แถมบางคนยังมีออปชั่นเสริมเป็นพวกมงกุฎ แหวน กำไล โบ ถุงน่อง สายสะพาย ยกทรง สไบ กางเกงในที่ใส่ข้างนอกเหมือนซูเปอร์แมน พอมายืนรวมกันแล้วเหมือนดงคนบ้าดีๆ นี่เอง



เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังขึ้นอีกครั้งเมื่อพวกปีหนึ่งเห็นพวกผู้หญิงและพี่ปีสามช่วยกันหิ้วข้าวกล่องมาส่งให้



“อ้าวเงียบๆ กันหน่อย รู้แล้วว่าหิว ปีหนึ่งนั่งตรง!” ไอ้ปีใหม่ถือโทรโข่งยืนคุมอยู่หน้าสุด



“เฮ่!!!!” เมื่อได้ยินคำว่านั่งตรง อสุรกายน้อยทั้งหลายก็ตบเข่าฉาดพร้อมกัน



“ทำความเคารพพี่ปีสาม ปฏิบัติ!”



“สวัสดีครับ/ค่ะ!!” พวกปีสามและปีสองเข้าไปยืนล้อมรุ่นน้องเป็นวงกลม ปีใหม่ส่งโทรโข่งให้ยัยมิ้นท์



“สวัสดีค่ะน้องๆ หิวกันหรือยังคะ?”



“หิวครับ / หิวค่ะ!!”



“งั้นพวกพี่จะแจกข้าวให้นะคะ ได้แล้วถือไว้ก่อนอย่าเพิ่งกินนะ น้องคนไหนเป็นมังสวิรัติยกมือขึ้น…”



เมื่อทุกคนได้อาหารกันครบแล้วพวกปีสองก็นำท่องบทอะไรสักอย่าง ผมจำชื่อไม่ได้ รู้แต่มันท่องขึ้นต้นว่า…ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่าง อย่ากินทิ้งขว้าง…อะไรประมาณนั้น



ผมมองไปทางที่ภูผากับฟ้าครามนั่งอยู่ ภูผาโดนจับใส่หมวกบานๆ แบบที่เอาไว้ให้เด็กใส่เวลาสระผมกันฟองไหลเข้าตา มีผ้าขาวม้ากระโจมอกแฟบๆ ไว้ หน้าเน่อโดนประแป้งซะขาววอกสงสัยคงอยู่กลุ่ม ‘เทค อะ บาร์ท’ ส่วนฟ้าครามโดนจับใส่วิ๊กบ๊อบเทสีทองอร่าม ใส่เกาะอกที่ทำจากเชือกฟาง แขนสองข้างเต็มไปด้วยกำไลที่ทำมาจากไอ้แท่งเรืองแสงที่ไว้โบกในคอนเสิร์ต ไม่ต้องเดาเลยว่าต้องอยู่กลุ่ม ‘mi mi mi’ แน่ๆ ยูโรนั่งกินข้าวใกล้ๆ กัน คาดว่าน่าจะได้อยู่กลุ่มเดียวกับฟ้าครามเพราะยูโรใส่วิ๊กผมสีชมพู ห่มสไบเขียว นิ้วทั้งสิบใส่แหวนที่มันกะพริบแสงได้ มองไปนี่เห็นมือก่อนเลย



ผมไม่ได้เดินเข้าไปหาสามคนนั้น แต่ไปช่วยปีสามเตรียมงานสำหรับวันพรุ่งนี้ ปล่อยให้ปีสองพาน้องไปอาบน้ำเข้านอน พวกเราปีสามประชุมเรื่องงานกันจนถึงเที่ยงคืนจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน วัดนี้แม้จะมีพื้นที่มากมายแต่ศาลาที่พักกลับมีน้อยเพราะเป็นวัดป่าที่เน้นความสมถะ ปีหนึ่งทุกคนเลยต้องเบียดๆ กันนอนบนศาลากับในโบสถ์โดยมีพี่ปีสองบางส่วนขึ้นไปนอนเฝ้า บางส่วนก็ผลัดกันเดินเวรดูแลข้าวของให้น้อง คอยเป็นเพื่อนน้องไปห้องน้ำตอนกลางคืน ปีสองปีสามที่เหลือก็กางเต็นท์ที่เอามากันเองนอนล้อมศาลาอีกที ส่วนพวกผู้หญิงทุกชั้นปีได้ไปนอนในโรงแรมราคาประหยัดแถบชานเมือง



อากาศตอนกลางคืนที่นี่ค่อนข้างหนาวเย็น ผมที่ไวต่ออากาศที่เปลี่ยนแปลงจึงมีอาการคัดจมูกขึ้นมาทันทีตามประสาคนเป็นภูมิแพ้ ดีที่ผมเตรียมยามาด้วย หลังกินยาแล้วผมก็ล้มตัวลงนอน ทั้งๆ ที่วันนี้ก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว แต่ผมกลับข่มตาหลับไม่ลงได้แต่นอนพลิกไปพลิกมาอยู่อย่างนั้น เหลือบมองนาฬิกาก็เห็นว่าปาเข้าไปตีหนึ่งกว่าแล้ว นี่ผมนอนพลิกไปพลิกมาเป็นชั่วโมงเลยหรอเนี่ย ในที่สุดผมก็ทนอึดอัดกับการพยายามข่มตาให้หลับไม่ไหว เออ ไม่อยากนอนก็ไม่ฝืนละ ออกไปเดินเล่นข้างนอกดีกว่า



ผมสวมเสื้อกันหนาวแล้วรูดซิปเปิดเต็นท์ คว้าไฟฉายขึ้นมาแล้วส่องหารองเท้าที่ถอดวางไว้ด้านนอก ก่อนจะย่างเท้าแผ่วเบาออกมาจากบริเวณที่พัก



ผมส่องไฟฉายเดินไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำ ระหว่างทางก็ทักทายพวกปีสองที่พาน้องไปเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนเป็นระยะๆ



ยิ่งล้างหน้าก็ยิ่งหายง่วงเข้าไปใหญ่ ผมชักกลุ้มใจ ถ้าวันนี้ผมนอนไม่พอแล้วพรุ่งนี้ผมจะมีแรงทำงานไหมเนี่ย แต่กลุ้มไปก็เท่านั้น เพราะคนมันไม่ง่วงจะทำยังไงก็นอนไม่หลับอยู่ดี



ผมถือไฟฉายเดินไปเรื่อยๆ ผ่านวงเวียนที่อยู่กลางวัดเดินต่อไปก็ถึงโบสถ์ ผมไม่อยากรบกวนพวกปีหนึ่งปีสองที่นอนอยู่ในนั้นเลยพยายามเดินห่างออกมา ผมเดินไปยังทางลงเขาซึ่งเป็นทางลาดชัน กำลังคิดอยู่ว่าจะลองเดินลงไปดีไหม แต่อีกใจก็นึกค้านเพราะตอนนี้มันดึกเกินไป เกิดเดินตกเขาหรือเจอสัตว์ป่าลากไปกินคงดับอนาถ



ผมทรุดตัวลงนั่งที่ป้ายชื่อวัดตรงทางลงเขานั้นเอง เอนหลังพิงเสาโลหะเย็นเฉียบ ถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางสูดน้ำมูกที่เริ่มจะไหลออกมาให้รำคาญ ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งเย็นลงเรื่อยๆ น้ำมูกเริ่มไหลไม่หยุดจนผมตัดสินใจแหงนหน้าขึ้นเพื่อไม่ให้มันไหลออกมาอีก



ภาพท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวมากมายราวกับผืนผ้าใบสีดำที่ถูกศิลปินมือฉมังสลัดสีขาวใส่เป็นจุดเล็กๆ ระยิบระยับปรากฏอยู่ตรงหน้า มันสวยงามและใกล้มากเสียจนผมรู้สึกราวกับจะเอื้อมมือคว้ามันเอาไว้ได้



เสียงหินที่โรยพื้นถนนกระทบกันทำให้ผมรู้ว่าใครบางคนกำลังตรงมายังที่ที่ผมนั่งอยู่ พอหันไปก็พบว่าเป็นอาจารย์ปกรณ์ที่ฉายไฟฉายมาที่ผมอย่างแปลกใจ



“อ้าว ทวีเดช มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ นอนไม่หลับหรอ”



“ครับ สงสัยเมื่อเช้าผมคงนอนในรถมากไป ตอนนี้ข่มตายังไงมันก็นอนไม่หลับ”



อาจารย์ปกรณ์ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นข้างๆ ผม



“ผมก็เหมือนกัน แปลกที่ทีไรนอนไม่หลับทุกที” ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะแหงนมองท้องฟ้าแล้วชี้ชวนให้อาจารย์หันไปดู



“ที่นี่ดาวสวยดีนะครับอาจารย์ ใกล้จนเหมือนจะจับได้เลย” อาจารย์ปกรณ์มองตามแล้วพยักหน้าเห็นด้วย



“นั่นดาวนายพราน” อาจารย์ปกรณ์ชี้ขึ้นไปบนตำแหน่งหนึ่งในท้องฟ้า



“อาจารย์ดูดาวเป็นด้วยหรอครับ?” ผมถามอย่างสงสัย ไม่คิดว่าอาจารย์คณะวิศวะจะสนใจเรื่องการดูดาวด้วย



“ผมดูเป็นอยู่กลุ่มดาวเดียว เพราะในกรุงเทพมันเป็นกลุ่มดาวที่ผมเห็นชัดที่สุด …คุณเห็นดาวสามดวงที่เรียงเป็นเส้นตรงนั่นมั้ย นั่นคือเข็มขัดนายพราน ส่วนดาวที่อยู่สี่มุมนั่นเป็นแขนขา” ผมนั่งฟังอาจารย์เลกเชอร์นอกห้องเรียนอย่างเพลิดเพลิน นานๆ ทีได้มีโอกาสมานั่งเล่นชิวๆ บนภูเขาแล้วคุยเรื่องสบายๆ กับใครสักคนที่เรานับถือก็ดีไม่น้อย



“… ไปพบจิตแพทย์แล้วรู้สึกดีขึ้นไหมทวีเดช” อาจารย์ถามขึ้นหลังจากที่เราต่างคนต่างนั่งมองดาวและจมอยู่ในความคิดของตัวเองกันอยู่พักใหญ่ ผมรู้สึกได้เลยว่าไม่ได้มีแต่ผมหรอกที่มีเรื่องให้คิดมาก อาจารย์เองก็คงมีเหมือนกัน ผมรู้สึกได้



ผมนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อสามวันก่อนที่ผมไปพบจิตแพทย์ตามที่อาจารย์นัดให้ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ



“…ก็ดีครับอาจารย์” ผมจำได้ว่าตอนที่เดินเข้าไปในห้อง มีหมอผู้ชายแก่ๆ คนหนึ่งนั่งอยู่ คุณหมอทักทายผมอย่างอัธยาศัยดี ชวนผมคุยเรื่องทั่วๆ ไปประมาณว่าผมเรียนอยู่ปีไหนคณะอะไร ครอบครัวเป็นยังไงบ้าง มีพี่น้องกี่คน ชอบเล่นกีฬาไหม มีเรื่องอะไรอยากเล่าให้หมอฟังหรือเปล่า เครียดเรื่องเรียนหรือเรื่องอะไรก็ปรึกษาได้เลย หมอยินดีรับฟัง



พอเอาเข้าจริงๆ ผมก็ไม่กล้าพูดเรื่องกลุ้มใจที่มีสาเหตุมาจากภูผาและฟ้าครามให้หมอฟัง ถึงคุณหมอจะใจดีและดูน่าเชื่อถือมากแค่ไหน แต่จู่ๆ ผมกลับไม่อยากเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับลูกพี่ลูกน้องสองคนที่ทำให้ผมเหนื่อยจิตเหนื่อยใจให้หมอฟังขึ้นมาซะเฉยๆ ผมรู้สึกว่าทำไมผมต้องเอาปัญหาของตัวเองมาให้คนอื่นช่วยแก้ด้วย แค่นี้ไม่มีปัญญาแก้เองหรือไง เล่าไปก็อายหมอเปล่าๆ ซึ่งความคิดในวันที่ไปพบหมอกับความคิดในวันที่ผมตัดสินใจโทรบอกอาจารย์ปกรณ์ให้นัดหมอให้มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง สุดท้ายกลายเป็นว่าผมไม่ได้ปรึกษาหมอเรื่องภูผาฟ้าคราม แต่ดันไปปรึกษาเรื่องอาการที่เหมือนมีสองบุคลิกอยู่ในตัวแทน





เหมือนคุณหมอท่านจะมองออกว่าผมหลีกเลี่ยงที่จะเล่าเรื่องที่กลุ้มใจจริงๆ ให้ฟังแต่ก็ไม่ได้ซักไซ้ไต่ถามให้ผมต้องลำบากใจ พอผมเล่าเรื่องความขัดแย้งในตัวเองให้หมอฟังจบ ท่านก็ยิ้มแล้วอธิบายให้ฟังเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ หลักการทำงานของจิต ศีลธรรมกับความคิด และสรุปตอนสุดท้ายว่าผมไม่ได้ผิดปกติหรือเป็นคนสองบุคลิก แต่เป็นคนอ่อนไหวง่ายไม่ค่อยจะมีจุดยืนของตัวเอง วิธีแก้คือให้หัดมองโลกในแง่ดี อย่าคิดเยอะ อะไรที่ปล่อยผ่านไปได้ก็ปล่อยๆ ไปบ้าง รักตัวเองให้มากกว่านี้หน่อย ส่วนที่ชอบมองว่าตัวเองไม่มีอะไรดีก็ให้หาสมุดโน้ตเล็กๆ มาเขียนข้อดีของตัวเองลงไปทุกวัน อย่างน้อยวันละข้อ ทำแบบนี้ไปนานๆ หมอบอกว่าจะช่วยให้ผมค่อยๆ ดีขึ้นเอง



ถึงการไปพบจิตแพทย์ในครั้งนี้จะไม่ได้ช่วยให้ผมแก้ไขเรื่องกลุ้มใจเกี่ยวกับสองแฝดนั่นได้ แต่ก็นับว่าเป็นการไปที่คุ้มค่า เพราะอย่างน้อยผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นเพราะได้มีโอกาสเล่าเรื่องกลุ้มใจรองๆ ลงมาให้หมอฟัง นึกเสียดายอยู่เหมือนกันว่าทำไมผมไม่มาปรึกษาหมอตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน แต่คิดไปคิดมาอาจเป็นเพราะในตอนนั้นผมยังรู้สึกว่าพอทนไหวอยู่ล่ะมั้ง



อาจารย์ปกรณ์ไม่ได้ถามรายละเอียดเรื่องการไปพบจิตแพทย์ของผมอีก คงเพราะไม่อยากละลาบละล้วงเรื่องของลูกศิษย์ เพียงแต่ยิ้มให้ผมแล้วบอกว่าดีแล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรอีกก็ให้มาปรึกษาอาจารย์ได้ จากนั้นอาจารย์ก็ขอตัวไปนอนตอนประมาณตีสี่กว่าๆ



ผมหลับๆ ตื่นๆ อยู่จนเกือบเช้า ท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนจากสีดำเป็นสีน้ำเงินเข้มและในที่สุดก็กลายเป็นสีฟ้าครามเมื่อใกล้เช้าเข้าไปทุกที



ผมได้ยินเสียงไก่ที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ขัน หลังจากเสียงไก่ตัวแรก ไม่นานก็ได้ยินเสียงไก่ตัวอื่นๆ ขันรับกันเป็นทอดๆ



หมอกยามเช้าทำให้ทิวทัศน์หุบเขาเบื้องหน้าราวกับภาพในความฝัน ผมกระชับเสื้อกันหนาวเพื่อเพิ่มไออุ่นให้แก่ตัวเอง สูดหายใจเข้าลึกเอาอากาศบริสุทธิ์เย็นฉ่ำเข้าไปในปอดโดยไม่สำนึกเลยว่าตัวเองแพ้อากาศเย็น



ผมพอจะเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมอาแอ๋มถึงตั้งชื่อลูกแฝดของเธอว่า ภูผา ฟ้าคราม





ก็เพราะ ‘ภูผา’ กับ ‘ฟ้าคราม’ ที่โอบกอดผมไว้ในตอนนี้มันช่างงดงามเหลือเกิน…







---------------------------------------------------



ตอนที่ 19.5 เขียนเพราะอยากเขียน ไม่มีอะไรเลยจริงๆ 555
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่20 [20/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 20-02-2018 07:18:35

                                                                    ตอนที่ 20 ก่อเรื่อง




วันที่สองของการออกค่าย





(บทฟ้าคราม)



เหนื่อย!! ร้อน!! เมื่อย!!



ผมยกมือขึ้นปาดเหงื่อเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้จำไม่ได้ ก่อนจะกระพือเสื้อให้ลมพัดเข้าไปดับความร้อนในร่างกาย กูว่านี่มันไม่ใช่ค่ายอาสาแล้วแต่เป็นค่ายใช้แรงงานทาสชัดๆ! พวกเราปีหนึ่งถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ กลุ่มหนึ่งไปสร้างโรงเลี้ยงไก่กับโรงเพาะชำเห็ด อีกกลุ่มซึ่งก็คือกลุ่มที่ผม ไอ้ภูแล้วก็ไอ้ขวดอยู่ทำหน้าที่รื้อซากโรงเรียนที่ถูกน้ำป่าถล่มจนพังไปครึ่งแถบแล้วแบกขึ้นเนินไปประกอบใหม่ ไม้อันไหนที่ใช้ไม่ได้ก็เก็บไว้ใช้ตากแดดทำฟืน ผมก็สงสัยนะว่าไหนๆ จะสร้างใหม่แล้ว ทำไมไม่ใช้ปูนไปเลยวะ ก่อนจะได้คำตอบจากพี่คนนึงว่าเรามาคราวนี้แค่จะสร้างไว้ชั่วคราวให้เด็กมีที่เรียนไปก่อน เพราะงบสร้างโรงเรียนจริงๆ จะมาปีหน้าซึ่งไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ อาจจะสิ้นปี หรือต้นปีหน้าหน้าก็ได้



ผมเดินแบกไม้ขึ้นเนินตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ที่เป็นเวลาบ่ายสองกว่าๆแล้ว ตอนแรกมันก็สนุกดีอยู่หรอกเพราะได้ทำไปคุยไปกับเพื่อนๆ แต่ไปๆ มาๆ ชักจะไม่สนุกแล้วเพราะอากาศมันร้อนขึ้นเรื่อยๆ บวกกับความเมื่อยล้าที่สะสม ทำให้พวกเราแทบไม่อยากปริปากคุยกันอีกเลยเพราะมันจะยิ่งทำให้เหนื่อยกว่าเดิม



ผมกับไอ้ภูช่วยกันแบกไม้ขึ้นมาเป็นกองสุดท้ายก่อนจะนั่งลงพักเหนื่อยตามพวกเพื่อนๆ ที่นั่งแผ่อยู่บนพื้นอย่างหมดแรง พวกผู้หญิงคอยเอาน้ำมาเสิร์ฟให้เรื่อยๆ ผมกินไปสามแก้ว นี่ใส่น้ำแข็งแล้วหรอวะ ไม่เย็นเลยอ่ะ… แต่ก็ต้องกิน-*-



พวกปีสองกับปีสามนี่อึดชะมัด ตั้งแต่เช้ายังไม่พักกันเลย แต่ละคนช่วยกันตอกตะปูคนละไม้คนละมือ ผู้หญิงบางคนก็ช่วยจับไม้ให้เพื่อนตอกง่ายๆ บางคนก็ช่วยจับขาบันไดไม่ให้ล้ม ผมเห็นพี่ทีใส่เสื้อยืดสีดำกับกางเกงเลสีเขียวเข้มม้วนขาขึ้นนั่งตอกไม้ฝากระดานเข้ากับเสาโดยมีพี่ปีใหม่ช่วยตอกแผ่นไม้อีกด้าน ข้างล่างมีพี่ผู้หญิงคนนึงคอยจับขาบันไดให้ พอพี่ทีตอกเสร็จพี่ปีสองอีกคนก็จะยกแผ่นไม้กระดานขึ้นไปให้



ผมดื่มน้ำหวานไปนั่งมองพี่ทีไป จะมองกี่ครั้งก็ไม่เคยเบื่อเลย ผมชอบดวงตาหลังกรอบแว่นสีดำที่ดูจดจ่อกับการตอกไม้กระดานนั่นจัง ถ้าพี่เค้ามองมาที่ผมด้วยสายตาแน่วแน่แบบนั้นบ้างก็คงจะดี หรือไม่ก็จูบผมด้วยริมฝีปากบางๆ ที่คาบตะปูอยู่นั่นก็ได้…โอ๊วววว แค่คิดก็ฟินแล้ว! >.,,<



“ไอ้แฝด สายตาพวกมึงน่ากลัวมาก” ผมหันขวับไปมองไอ้หัวขวด



“อะไร? มึงพูดอะไรวะขวด”



“พวกมึงจ้องพี่ทีอย่างกับจะกลืนกินแน่ะ ไม่รู้ตัวกันหรอวะ” มันมองหน้าพวกผมแล้วเลิกคิ้ว



“…”



“กูถามจริงเหอะ พวกมึงไม่ได้คิดอะไรกับพี่เค้าใช่ป่ะ” มันถามผมพลางแคะขี้เล็บไปด้วย



“ถ้ากูตอบแล้วมึงจะช่วยอะไรพวกกูอย่างได้ป่ะล่ะ” ไอ้ภูถามพลางทำหน้าเจ้าเล่ห์



“ทำไมกูต้องช่วยพวกมึงด้วย แม่ง ต้องให้กูช่วยอะไรที่มันสัปดนแน่ๆ …ไม่เอาแระ กูไม่อยากรู้” พูดจบมันก็ลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นจากกางเกงใส่หน้าพวกผมอย่างไร้มารยาท



“เชี่ยยย ไอ้ขวด ฝุ่นเข้าหน้ากูหมดเลย!” ผมโวยวาย แต่มันไม่สนใจเดินตรงไปหาพี่ทีที่นั่งตอกตะปูอยู่ พี่ทีก้มลงไปคุยกับไอ้ขวดก่อนจะมองมาที่พวกผมแล้วก็หันไปคุยกับเพื่อนๆ ที่คอยซัพพอร์ตตัวเอง ส่งค้อนให้ไอ้ขวดแล้วปีนลงมา เดินมาหาพวกผม



โหย ขวดเพื่อนรัก มึงช่างเป็นคนดีจริงๆ ที่มึงปัดฝุ่นตูดใส่กูเมื่อกี้จะยอมยกโทษให้ก็แล้วกัน!



“เป็นไง มาค่ายครั้งแรกสนุกมั้ย” พี่ทีทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามพวกเรา เอื้อมมือรับแก้วน้ำหวานจากน้องปีหนึ่งก่อนจะยิ้มบางๆ เอ่ยขอบใจ



“ไม่รู้ดิพี่ เมื่อวานก็หนุกดี แต่วันนี้รู้สึกเหมือนโดนหลอกมาใช้แรงงาน” ไอ้ภูบ่น



“นี่มันค่ายอาสา เขาก็บอกแต่แรกแล้วนี่ว่าต้องมาสร้างโรงเรียน ไม่ได้หลอกอะไรเลย” พี่ทีว่าก่อนจะดูดน้ำไปเรื่อยๆ



“ถึงไม่ได้หลอกแต่ก็เหมือนบังคับให้มาอยู่ดีอ่ะแหละ ไม่มาก็ต้องไปทำกิจกกรรมซ่อม วุ่นวายชะมัด” ผมอดที่จะบ่นตามไอ้ภูบ้างไม่ได้ พี่ทีถอนหายใจก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย สงสัยคงคิดว่าเปล่าประโยชน์ที่จะคุยกับคนไร้จิตอาสาอย่างพวกผม



“เป็นไง เมื่อคืนนอนหลับสบายมั้ยเห็นอากาศเย็นน่าจะชอบกัน” ผมกับไอ้ภูพยักหน้ารับแรงๆ ทันที



“เย็นพี่! ชอบมากกกกก เย็นกว่าแอร์อีก…แต่ที่นอนแม่งโคตรแย่ ผ้าปูก็ไม่มี มีแต่เสื่อกับหมอนสี่เหลี่ยมเหม็นๆ แข็งๆ เบียดก็เบียด แต่ละคนแม่งก็แข่งกันกรนดังลั่นศาลาเสียงดังอย่างกะโรงสีข้าว ภูกับครามหลับแทบไม่ลง แล้วกลิ่นตีนใครก็ไม่รู้อย่างเปรี้ยวอ่ะ เออ! ไอ้คนที่นอนเอาหัวชนกับครามนะแม่งเอาแต่นอนคุยโทรศัพท์กับแฟนครามโคตรอิจฉา เอ๊ย! รำคาญ แล้วก็นะ…บลาๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ”



“เออใช่ แล้วเพื่อนแม่งก็ขยันเข้าห้องน้ำกันชิบหายเลยพี่ เข้ามันได้ทั้งคืน เดินไปเดินมาอยู่นั่นแหละ บางทีก็ส่องไฟฉายมาโดนหน้าภู ภูก็ตกใจตื่น แล้วก็ห้องน้ำนะ ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ส้วมก็เป็นแบบนั่งยองๆ อ่ะพี่ ที่ฉีดตูดก็ไม่มี พื้นก็สกปร๊กสกปรกมีแต่คราบดินเต็มไปหมด บนผนังนะหยากไย่เยอะยังกะบ้านผีสิง มีตุ๊กแกด้วยน่ากลัวมาก อาบๆ อยู่น้ำก็ไม่ไหลสบู่ก็ยังล้างไม่หมดภูเลยต้องเอาน้ำที่เอาไว้ราดส้วมมาอาบอ่ะพี่ที แหวะะะะ”



“ฮ่าๆ ๆ ๆ! ....เอาน่า หึๆ ครั้งหนึ่งในชีวิต ฝึกเอาไว้ให้ชิน คณะเราออกค่ายทุกปี” พี่ทีหัวเราะเสียงดังจนคนอื่นๆ หันมามองอย่างแปลกใจ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ ปรับอารมณ์แล้วพูดต่อยิ้มๆ



“ฮะ! นี่ภูกับครามต้องมาค่ายโลซกแบบนี้จนกว่าจะเรียนจบเลยหรอ โอ๊ย! ตายแปบ” พูดจบไอ้ภูก็เอนตัวลงนอนหนุนตักพี่ทีที่นั่งขัดสมาธิอยู่



“ภูเดี๋ยวเสื้อเลอะลุกขึ้นมานั่งดีๆ ” พี่ทีพยายามดันหัวไอ้ภูออกจากตักแต่ไอ้ภูก็เหนียวใช่เล่น



“ฮ๊าวววววววววว ง่วงจังเลยเนอะภู เมื่อคืนนอนไม่หลับเพราะกลิ่นตีนระดับพระกาฬนั่นแท้ๆ เชียว พี่ทีครับครามยืมตักด้วยคนนะ ตอนนี้ง่วงมากทำงานไม่ไหวแล้ว” ผมรีบทิ้งตัวลงนอนหนุนตักอีกข้างของพี่ทีโดยไม่รอฟังคำทัดทานใดๆ ทั้งสิ้น



“เฮ้ยลุก…พี่จะไปช่วยเพื่อนทำงาน” พี่ทีเอามือดันหัวพวกผมขึ้น แต่เราก็ออกแรงกดหัวไว้สุดแรง ก็ผมไม่ลุกซะอย่างอ่ะจะทำไม



ผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ จากรอบข้าง ทั้งจากเพื่อนรุ่นเดียวกันแล้วก็พวกรุ่นพี่ที่คงเห็นพวกผมพยายามยื้อยุดจะนอนหนุนตักพี่ที



“วี๊ดวิ้ววววววววววว เพื่อนกูเสน่ห์แรงจริงโว้ยยยย”



“สัสพีท! พวกกูเป็นญาติกัน” พี่ทีคว้าหินกรวดก้อนเล็กๆ ปาใส่พี่ประธานปีสามที่ชื่อพีท



“อ้าวหรอ ก็นึกว่าไปทำเสน่ห์ยาแฝดมา …ว่าไงบีหนึ่งบีสองง่วงมากหรอเรา” ถึงพี่พีทแกจะกวนๆ แต่ก็ดูเป็นคนใจดีเหมือนกันแฮะ ฟังจากน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะเอ็นดูผมกับไอ้ภูอยู่ในที



“ง่วงคร้าบบบบบ / ง่วงคร้าบบบบบบ” ผมกับไอ้ภูตอบลากเสียงยาวแบบที่เด็กๆ ชอบทำกัน เผื่อพี่ทีจะมองว่าพวกเราน่ารักขึ้นมาบ้าง



“อีกชั่วโมงครึ่งก็จะเลิกแล้ว อดทนหน่อย ลุกขึ้นมานั่งดีๆ อย่าไปนอนอย่างนั้น เดี๋ยวจารย์มาเห็นจะโดนว่า …ฮึบ” พี่พีทยื่นมือมาฉุดแขนพวกผมขึ้น ทั้งๆ ที่ยังไม่อยากลุกจากตักนุ่มๆ ของพี่ทีก็ต้องจำต้องลุกเพราะพี่พีทพูดกับพวกเราดีๆ แถมเหตุผลก็พอจะฟังขึ้น



“เชื่อฟังอย่างนี้ เดี๋ยวเลิกงานแล้วจะมีรางวัลให้…” พี่พีทบอกก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับพี่ทีที่ทำท่าชี้นิ้วมาที่พวกผมแล้วทำหน้าประมาณว่า ‘อย่าก่อเรื่องล่ะ’







(บทภูผา)



และแล้วผมก็ได้รู้ว่ารางวัลของพี่พีทคืออะไร….



ซ่าาาาาาาาา!!!



ผมยืนมองน้ำตกสูงตระหง่านตรงหน้าอย่างประทับใจในความสวยงามน่าลงเล่นของมัน คุ้มค่ากับที่อุตส่าห์เดินลงดอยมาเป็นกิโลจริงๆ



“ย๊ากกกกกกก!!!”



ตู๊มมมมมมมม!!!



เพื่อนๆ พากันกระโดดจากชะง่อนผาลงไปในน้ำอย่างสนุกสนาน พวกพี่ปีสองก็ลงมาเล่นน้ำด้วยเหมือนกัน ลีลากระโดดของแต่ละคนนี่อลังการงานสร้างทั้งน้านนนน



“ไอบีลีฟ ไอแคนฟลายยยยยยยย” ไอ้ยูโรกระโดดแล้วกระพือแขนเหมือนมันจะบินได้ครับ โอ๊ย! อุบาทว์ว่ะ ขนรักแร้ดกดำมาก มันแอบเอาทินเนอร์ไปดมป่าววะทำไมเรื้อนแบบนี้



ตู้มมมมมมมมมมม!!



“แค่กๆ ๆ! ไอ้ขวด! กูยังไม่ทันว่ายออกมาเลยนะโว้ย มึงรีบโดดมาไมเนี่ย!” ไอ้ครามโวยวายเอากำปั้นทุบน้ำใส่ไอ้ขวด เพราะไอ้ครามมันโดดลงมาก่อนยังไม่ทันว่ายออกมาจากใต้ชะง่อนไอ้ขวดมันก็โดดลงมาหัวเกือบโขกกันตายดีที่ไอ้ครามหลบทัน



“อ้าว ก็กูจงใจให้โดนมึงไงไอ้ภู ฮ่าๆ ๆ ”



“เฮ้ย กูอยู่นี่ โน่นมันไอ้คราม=_=” ผมป้องปากตะโกน



“โง่จริงเลยมึงอ่ะ ฮ่าๆ ๆ ” ไอ้ครามกดหัวไอ้ขวดจุ่มน้ำ ส่วนไอ้ขวดมันยอมโดนกระทำฝ่ายเดียวซะที่ไหนล่ะมันเลยเอามือกดหัวไอ้ครามกลับอย่างไม่มีใครยอมใคร



“เฮ้ย! เล่นกันดีๆ อย่าไปกดหัวเพื่อนแบบนั้นมันอันตราย! ” เสียงคุ้นๆ ดังมาจากบนฝั่งก่อนที่คนอื่นๆ จะมองมาที่พวกผม พี่ปีสองคนหนึ่งรีบว่ายน้ำมาเขกกบาลไอ้ครามกับไอ้ขวดคนละทีพวกมันถึงยอมเงยหน้ามาทำหน้าจ๋อยเมื่อเจอสายตาตำหนิของพี่ที



“พี่ให้เวลาเล่นน้ำสองชั่วโมงนะครับ … ปีสองอย่าเอาแต่เล่น ดูน้องด้วย อย่าลืมว่าหน้าที่ของคุณคืออะไร” พี่ทีพูดหน้านิ่งๆ ไม่มีรอยยิ้มเลยสักนิด พวกปีหนึ่งปีสองที่กำลังสาดน้ำเล่นกันอย่างเมามันเมื่อกี้เงียบกริบกันไปเลย พี่ทีกวาดตามองทุกคนก่อนจะไปหยุดสายตาที่พี่ปีใหม่แล้วส่ายหัวเบาๆ เดินถือวอแดงจากไปพร้อมพี่ปีสามอีกคนที่ดูเหมือนจะชื่อแท็ค



“…พี่ปีใหม่ ขอโทษนะครับ” ไอ้ขวดยกมือไหว้พี่ปีใหม่ไอ้ครามเลยรีบไหว้ตาม พี่แกถึงหายยืนอึ้งรีบโบกไม้โบกมือว่าไม่เป็นไร คราวหลังให้เล่นกันดีๆ อย่าพิเรนทร์เพราะพี่ทีเขาเป็นห่วง



พวกเรานิ่งกันได้ไม่นานหรอกครับ แป๊บเดียวก็กลับมาส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวเล่นกันใหม่เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ยกเว้นแค่ผมกับไอ้ครามที่รู้สึกแย่ไม่หาย มันทั้งละอายใจ ทั้งอับอายที่โดนพี่ทีว่าต่อหน้าคนอื่นทั้งที่รู้ว่าพี่เขาเป็นห่วงแต่ก็อดจะเคืองนิดๆ ไม่ได้อยู่ดี พวกเรานอนห้องเดียวกันแถมยังเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ทำไมต้องทำห่างเหินแบบนั้นด้วย ทำไมไม่เดินมาเตือนยิ้มๆ แบบปกติล่ะ ทำไม?





(บทที)



“มินนี่วอสองครับ”



“สองค่ะ”



“ช่วยดูแลน้องดีๆ ด้วยนะครับ ระวังอย่าให้เล่นอะไรแปลกๆ แล้วก็อย่าให้น้องออกไปนอกพื้นที่กำชับปีสองให้ดูน้องดีๆ อย่ามัวแต่เล่นกันเองนะครับ” ผมวอไปเตือนทางฝั่งผู้หญิงที่แยกไปเล่นน้ำตกอีกด้านเพราะกลัวจะเล่นพิเรนทร์กันเหมือนฝั่งผู้ชาย



“สองแปดค่ะ”



“โซลวอสอง”



“สอง”



“ทางนั้นคืบหน้าถึงไหนแล้ววะ”



“โรงเพาะชำเห็ดเสร็จแล้ว ส่วนโรงเลี้ยงไก่เหลืออีกครึ่ง ถ้าเร่งทำพรุ่งนี้เย็นๆ คงเสร็จ”



“โอเค ไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ย”



“มีนิดหน่อย…ศูนย์ศูนย์จัดการให้แล้ว”



“อืมๆ งั้นเจอกันตามนัดหมายเดิมนะ”



“เออ”



“สองแปดสิโว้ย!”



“เดี๋ยวเหอะมึง…สองแปด”



“มิ้นท์วอสอง”



“สองค่ะ”



“ทางนั้นมีปัญหาติดขัดอะไรมั้ย”



“ไม่มีเลยค่ะ”



“งั้นตามกำหนดการเดิมนะครับ”



“สองแปดค่ะ”



ผมหยุดกดปุ่มส่งสัญญาณเอาวอเหน็บไว้ที่เอวแล้วหยิบมือถือมาโทรออก เมื่อกี้ไอ้โซลบอกว่ามีปัญหานิดหน่อยแต่ไม่ยอมบอกรายละเอียด มันคงไม่อยากบอกผ่านวอ ผมโทรไปถามก่อนจะได้รู้ว่าไอ้เต้ตกบันไดเหมือนแขนจะหัก น้องปีหนึ่งคนนึงเป็นผื่นแพ้อะไรไม่รู้เห่อแดงเต็มตัวไปหมด อีกคนเกิดมาเป็นอีสุอีใสที่นี่ อาจารย์เลยต้องพาไปโรงพยาบาลในตัวเมืองซึ่งไกลจากที่นี่หลายร้อยโล คาดว่าคืนนี้น่าจะเปิดโรงแรมค้างที่นั่นไปเลย



วันนี้ผมโคตรๆ ๆ ๆ เหนื่อย นอกจากจะต้องช่วยเพื่อนตอกตะปูสร้างโรงเรียนแล้วยังต้องคอยเช็กความเรียบร้อยของทุกฝ่าย เมื่อกี้ก่อนจะขี่จักรยานไปดูปีหนึ่งปีสองที่น้ำตกก็เพิ่งช่วยไอ้แท็คเถียงกับคนส่งไม้เพราะเขาเอาไม้มาส่งไม่ครบตามจำนวนที่ตกลงกันไว้แถมยังมาลอยหน้าลอยตาบอกว่าตัวเองไม่รู้เรื่องอีก จนต้องโทรไปคุยกับเถ้าแก่ถึงได้รู้ว่าไอ้ลูกจ้างคนนี้มันขับรถผิดคันมาส่ง ไม่รู้พูดจริงหรือรวมหัวโกหกกันแน่ ดีนะที่ไอ้โซลมันกำชับไอ้ผมตรวจออเดอร์ให้ดีๆ ยอมรับเลยว่าหงุดหงิดจริงๆ แทบจะเอาวอปาใส่หัวมันแล้ว



ในขณะที่ปีหนึ่งกับปีสองไปเล่นน้ำตกกัน พวกเราปีสามก็เร่งมือทำงานเพื่อให้เสร็จทันภายในระยะเวลาที่กำหนด พอถึงห้าโมงครึ่งพวกเราปีสามจึงหยุดงานทั้งหมดไว้แล้วล้อมวงกินข้าวกัน ต้องรีบกินรีบไปอาบน้ำครับ ไม่งั้นน้องๆ กลับมาแล้วจะไม่มีห้องน้ำให้อาบ



ผมซัดข้าวกระเพาะหมูกรอบไปสองจาน น้ำเขียวโซดาอีกหนึ่งแก้วใหญ่ พอมีอะไรลงท้องแล้วค่อยอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย เม้งแตกจริงๆ ตอนเถียงกับคนส่งไม้ เหนื่อยมาทั้งวันแล้วยังต้องมาเจอพวกพูดไม่รู้เรื่องอีก



ผมหนุนตักไอ้ก้อยนอนฟังพวกเพื่อนๆ วิจารณ์เฟรชชี่ปีนี้อย่างสนุกปาก น้องคนนั้นกวนตีน ผู้หญิงปีนี้สวยเยอะ น้องคนโน้นมาจากโรงเรียนเดียวกัน บลาๆ ๆ



“เออ ปีนี้มีน้องฝาแฝดด้วยนี่หว่า ได้ข่าวว่าเป็นญาติมึงหรอวะไอ้ที” ไอ้ป๊อกถามขึ้นมา ทุกคนเลยเปลี่ยนมาคุยเรื่องเจ้าแฝดมหาภัยญาติผมเอง=_=



“อืม ลูกของอา” ผมตอบสั้นๆ พอนึกถึงหน้าสองคนนั้นทีไรผมจะรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล เมื่อคืนก็นอนไม่หลับ วันนี้ก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด ตกเย็นยังต้องมาตอบคำถามเรื่องไอ้แฝดนรกอีก เหนื่อยกว่านี้มีอีกไหม



“มึงย้ายมาอยู่คอนโดใกล้มหา’ ลัยใช่ป่าววะ วันนั้นเหมือนกูเห็นมึงออกมาจากที่นั่น” ไอ้พีทถาม ส่วนพวกไอ้ป๊อกก็มองมาที่ผมงงๆ เออว่ะ ลืมบอกพวกมันเลย ถือโอกาสบอกตอนนี้เลยละกัน



“กูเพิ่งย้ายมาอยู่คอนโดกรีนเพลสกับไอ้แฝดอ่ะลืมบอกไป พ่อแม่เขาอยากให้กูช่วยคุมเด็กมันหน่อย”



“อ้าว มึงชอบนอนคนเดียวไม่ใช่หรอวะ อย่างนี้ไม่อึดอัดเหรอ” แท็คถาม พวกมันรู้ดีว่าผมไม่ชอบนอนร่วมกับใคร แต่ถ้าจำเป็นต้องนอนผมก็จะเลือกนอนริมสุด ในสุด ตรงไหนก็ได้ที่คนน้อยๆ ไม่มีคนมานอนขนาบอ่ะ ไม่ชอบ รำคาญ



“โคตรอึดอัดเลยสัส! พวกมันนะเปิดแอร์หนาวอย่างกับอยู่ขั้วโลกเหนือ กูต้องใส่เสื้อกันหนาวเวลาอยู่ห้องอ่ะคิดดู เวลากูอยู่ในห้องก็ชอบมาเคาะประตูพอกูไม่เปิดแม่งก็จะงัดสารพัดวิธีมาทำให้กูเปิดจนได้ ลืมของไว้ในห้องกูบ้างล่ะ สอนการบ้านบ้างล่ะ ขอยืมนู่นยืมนี่บ้างล่ะ แล้วมันก็ชอบไม่พอใจด้วยนะเวลากูล็อกประตู คือแบบห้องก็ห้องกูทำไมกูจะล็อกไม่ได้ พวกมึงเข้าใจปะว่ามันน่ารำคาญ บางทีกูก็อยากมีเวลาส่วนตัวบ้างอะไรบ้าง” เวลาอยู่กับเพื่อนๆ ผมมักไม่ค่อยปิดบังอะไรหรอกครับ มีอะไรก็บ่นให้พวกมันฟังถ้าเป็นเรื่องที่พอบ่นได้



“เออน่า อยู่กันไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ชิน ซักพักมึงจะชอบ คึกคักดีออก” ไอ้แท็คว่า มันก็พูดได้สิ ตัวเองโตมากับครอบครัวใหญ่มีพี่น้องตั้งห้าคนนี่หว่า



“น่ารำคาญจะตายชัก” ผมขี้เกียจคุยแล้วเลยหันหน้าเข้าหาพุงไอ้ก้อยเป็นการจบบทสนทนา เพื่อนมันคงจะรู้ว่าผมไม่อยากคุยเรื่องนี้เลยเปลี่ยนไปคุยกันเรื่องอื่น ก้อยลูบหัวผมเบาๆ มันคงรู้ว่าผมเหนื่อยเลยไม่ได้ชวนผมคุยเพราะเดี๋ยวตอนกลางคืนผมก็ต้องลุกขึ้นมาเช็กความเรียบร้อยก่อนนอนของพวกน้องๆ อีกเลยปล่อยให้ผมได้งีบพัก



“พี่ทีวอสอง!! พี่พีทวอสอง!!”



ผมสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงร้อนรนดังมาจากวอของตัวเอง ไอ้พีท และ ไอ้โซลพร้อมๆ กัน



“สองครับ” ผมรีบส่งรหัสกลับไปทันที



“แย่แล้วพี่! น้องปีหนึ่งหายไปไหนไม่รู้สองคน พวกผมตามหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ” เสียงปีใหม่ดังมาอย่างร้อนรน



พวกปีสามตกใจไปตามๆ กัน ไอ้พีทที่ตั้งสติได้เร็วกว่าใครรีบคว้าวอมาสอบถามอย่างใจเย็น



“แล้วรู้หรือเปล่าว่าใครหายไป หายไปที่ไหน เมื่อไหร่” แทนที่จะต่อว่าปีสองที่ไม่ดูแลน้อง ไอ้พีทกลับถามในเรื่องที่สำคัญกว่า



“ชื่อภูผากับฟ้าครามครับเด็กแฝดที่เพิ่งเข้ามาปีนี้ ตอนแรกก็เห็นเล่นน้ำกันอยู่ดีๆ แต่พอนัดรวมกันจะกลับที่พักสองคนนั้นก็หายไปแล้ว”



“พาน้องปีหนึ่งไปอาบน้ำกินข้าวให้เรียบร้อยตามกำหนดการเดิม นอกจากพวกนายมีใครรู้อีกมั้ยว่าสองคนนั้นหายตัวไป”



“ไอ้ไก่ครับ”



“โอเค ไม่ต้องบอกปีหนึ่งคนอื่นนะว่าเกิดอะไรขึ้น ทำตัวกันตามปกติ เดี๋ยวจะวุ่นวาย ที่เหลือพวกพี่จัดการเอง”



“ครับพี่ ขอโทษจริงๆ นะครับ…”



“อย่าพึ่งมาขอโทษอะไรตอนนี้ นี่ไม่ใช่ความผิดของนายคนเดียว ปีสองทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน …เรื่องนี้พักไว้ก่อน ไปทำตามที่สั่งได้เเล้ว”



“สองแปด”



ผมอยากจะเอามือตบหน้าผากตัวเอง เห็นมั้ยล่ะ พวกมันสร้างปัญหาให้ผมอีกแล้ว!!!







-------------------------------
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่20 [20/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 20-02-2018 07:34:02
  :z1:  ค่อยๆคืบคลานเข้าไปนะแฝด
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่20 [20/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 20-02-2018 08:19:43
ที หนุต้องเปิดใจบ้างนะลูกกกกก

แล้วจะฟินไปเองงง
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่20 [20/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 20-02-2018 08:24:29
แฝดดดดด
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่18 [19/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 20-02-2018 08:25:54
สรุปคือทีไม่รู้ว่าน้องพูดอะไร..
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่20 [20/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 20-02-2018 10:41:04
ถ้าน้องได้ยินทีพูดคงเสียใจน่าดูเลย
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่20 [20/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 20-02-2018 17:55:49

                                                             ตอนที่ 21  ตะกายน้ำตก


ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาปีนน้ำตกเชี่ยวกรากตอนกลางคืนเพียงเพื่อตามหาตัวปัญหาบางคนแบบนี้…



“เฮ้ย! ระวังตรงนี้ด้วยพื้นต่างระดับ ” ไอ้โซลที่ลุยน้ำอยู่ข้างหน้าตะโกนบอกพร้อมกับส่องไฟฉายให้เพื่อนๆ รู้ตำแหน่ง



ผู้ชายปีสามเกือบทุกคนออกมาช่วยกันตามหาไอ้แฝดนรกกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ มีแค่ไอ้พีทกับเพื่อนอีกสองคนที่คอยอยู่โยงดูแลปีสองกับปีหนึ่งที่วัด



ผมกับไอ้ไก่ลุยน้ำตกขึ้นไปเรื่อยๆ เราทุกคนต้องอยู่กันเป็นคู่ๆ และจับๆ กันไว้เพราะน้ำตกที่นี่ค่อนข้างไหลเชี่ยว หินก็มาก พื้นต่างระดับใต้น้ำที่มองไม่เห็นก็เยอะ ถ้าไม่จับมือกันไว้ล่ะก็อาจจะตกหลุมใต้น้ำหรือโดนพัดพาไปได้ง่ายๆ



จากการสอบถามไอ้ยูโร มันบอกผมว่ามันได้ยินไอ้แฝดนรกคุยกันเรื่องต้นกำเนิดของน้ำพุ มันก็ไม่ได้เอะใจอะไรเพราะคิดว่าสองคนนั้นคงคุยเล่นกันเฉยๆ ก็เลยไปกระโดดน้ำกับพวกเพื่อนๆ มารู้ตัวอีกทีว่ามันสองคนหายไปก็ตอนที่เขาเรียกรวมตัวนี่แหละ



เจ้าหน้าที่ป่าไม้บอกว่าน้ำตกที่นี่มี 7 ชั้น เปิดให้เล่นน้ำได้แค่สี่ชั้นล่าง เพราะสามชั้นบนสุดนั้นชันเกินไป หินมีคมใต้น้ำก็มาก น้ำไหลเชี่ยวแถมยังไม่สวยเท่าสี่ชั้นล่างอีกด้วย



อากาศตอนกลางคืนในช่วงปลายฝนต้นหนาวนั้นทำร้ายผมมาก แล้วยิ่งต้องมาลุยน้ำตกเย็นๆ ท่ามกลางอากาศแบบนี้อีกมันไม่ใช่เรื่องสนุกเลย พวกเราใช้เวลาในการไต่น้ำตกสามชั่วโมงจนถึงน้ำตกชั้นห้าแล้ว ยิ่งไต่ขึ้นสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งลำบากเท่านั้น มือผมถลอกปอกเปิกเพราะเผลอคว้าเอาหินที่แม่เพรียงขึ้นขรุขระหลายสิบครั้ง คืนนี้ผมได้ความรู้ใหม่…หินที่อยู่ตรงน้ำเชี่ยวมากๆ จะไม่มีแม่เพรียงและตะไคร่เกาะ เหมาะสำหรับจับยึดแต่ต้องระวังกระแสน้ำให้ดีๆ ตอนนี้ผมมึนหัวและหนาวมาก หนาวจนไอ้ไก่ที่จับมือผมอยู่มองมาอย่างเป็นกังวลเพราะมือผมเย็นเฉียบ มันชาจนไร้ความรู้สึกไปเสียแล้ว



“ภูผาา !!!! ฟ้าครามมมมม !!! ” ปีสามทุกคนช่วยกันตะโกนเรียกไปตลอดทางพลางสาดส่องไฟฉายที่ห่อด้วยถุงพลาสติกไปรอบๆ



ผมพยายามกวาดตามองรอบด้านตลอดเวลา ลำคอแสบร้อนไปหมดเพราะตะโกนเรียกจนเสียงแหบ ผมเดินนำหน้าไก่ไปเรื่อยๆ อย่างระมัดระวัง ตอนนี้พวกเรากำลังจะขึ้นไปที่น้ำตกชั้นที่หก…



“โอ๊ย!” ผมร้อง เมื่อรู้สึกเจ็บที่น่องอย่างฉับพลัน ทุกคนหันมาตามเสียงร้องของผมทันที ผมพยายามไม่แสดงออกว่าตัวเองเจ็บก่อนจะก้มลงควานมือไปใต้น้ำ มันเป็นกิ่งไม้ที่แหลมเอามากๆ ผมพยายามดึงมันขึ้นมาแต่ก็ไม่สำเร็จ



“เฮ้ย ! เป็นไรป่าว ” ป๊อกที่ตามหลังมาส่องไฟฉายมาที่ผม ผมส่ายหน้าเบาๆ



“โดนกิ่งไม้บาดนิดหน่อย ทุกคน!! ตรงนี้มีกิ่งไม้แหลม อย่าเดินมานะ!!” ผมตะโกนบอกพวกที่ปีนตามมาแล้วยืนค้างอยู่กับที่จนทุกคนเดินนำไปหมดแล้วจึงเดินปิดท้ายคู่กับไอ้ไก่ ตอนแรกๆ พวกเรายังไม่รู้หลักก็เลยพากันปีนมั่วๆ ซั่วๆ เจ็บกันไปคนละเล็กคนละน้อย จนในที่สุดก็เริ่มรู้หลักว่าถ้าใครเดินเจออะไรที่มันอันตรายต้องตะโกนบอกและยืนค้างตรงนั้นจนกว่าทุกคนจะไปเพื่อบอกตำแหน่งให้ทุกคนทราบ ถ้าถามว่าทำไมไม่เดินไปตามทางที่พี่เจ้าหน้าที่นำน่ะเหรอ พี่สองคนเค้าเพิ่งย้ายมาประจำการที่นี่แค่เดือนเดียวแถมไม่เคยลุยน้ำตกชั้นสูงๆ แบบนี้ด้วย สรุปคือไม่ต่างจากพวกผม=_=



จู่ๆ ก็มีเสียงฮือฮาดังมาจากพวกที่นำหน้า ผมกับไอ้ไก่มองหน้ากันก่อนจะเร่งไต่ปุ่มหินที่มีมวลน้ำเย็นเฉียบไหล่ผ่าน



ภาพที่เห็นจากไฟฉายหลายกระบอกที่ส่องไปด้านหน้าทำให้ผมทั้งตกใจทั้งขนลุก น้ำตกชั้นหกเป็นเหมือนแอ่งน้ำกว้างๆ ไม่มีหินขึ้นตะปุ่มตะป่ำหรือซ้อนกันเป็นชั้นเหมือนที่แล้วมา กลางแอ่งมีเกาะกลางที่มีต้นไทรขนาดมหึมาแผ่กิ่งก้านปล่อยรากห้อยระย้าราวกับเส้นผม โคนต้นมีศาลเพียงตาเก่าๆ ที่สร้างจากไม้ และสิ่งที่ทำให้ผมตกใจแทบสิ้นสติก็คือร่างของภูผาและฟ้าครามที่นอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ใต้ต้นไทรใกล้ศาลเพียงตานั้น



“ภูผา !! ฟ้าคราม!!” ผมร้องเรียกสุดเสียง …แต่สองคนนั้นคงไม่ได้ยิน







วันต่อมาผมถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ผมไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้อย่างไร รู้แค่ว่าเมื่อวานพอตามหาสองคนนั้นจนเจอ ช่วยกันแบกกลับมาจนถึงวัดเสร็จแล้วผมก็จำอะไรไม่ได้อีก สงสัยผมคงวูบไปตอนนั้นล่ะมั้ง



“ที ตื่นแล้วหรอ เป็นไงมั่ง ” ก้อยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆ ผมลุกขึ้นมาเกาะราวเตียงเมื่อเห็นผมลืมตา



“แสบคอ ขอน้ำหน่อย ” ผมตอบก้อยด้วยเสียงแหบๆ ผมคงเป็นไข้สูงแน่ๆ เพราะผมรู้สึกว่าลมหายใจตัวเองมันร้อนผ่าวไปหมด ดื่มน้ำก็ขมลิ้น หัวสมองก็เหมือนจะตื้อๆ ตันๆ คิดอะไรไม่ออกเลย ผมรู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่างที่สำคัญมาก มันคืออะไรวะ ผมลืมอะไร ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว..



อา…นึกออกแล้ว



“ ภูผากับฟ้าครามล่ะ? ”



“อ๋อ จอมยุ่งสองคนนั้นน่ะหรอ… สบายดี เมื่อเช้าโดนจารย์ปกรณ์กับพวกปีสามเทศน์ซะหูบาน ตอนนี้คงโดนสั่งให้ทาสีอยู่มั้ง… ” ได้ฟังอย่างนั้นผมก็สบายใจอย่างประหลาด ก้อยกดปุ่มเรียกพยาบาล ผมถูกวัดไข้วัดความดัน จากนั้นหมอก็เข้ามาตรวจ หมอบอกว่าเมื่อคืนผมไข้ขึ้นสูงถึง 39.3 องศา ถ้าเพื่อนพามาส่งช้ากว่านี้อีกนิดเดียวผมอาจจะช็อกได้ ผมจำได้จากตอนเรียนมอปลายว่าระบบต่างๆ ภายในร่างกายของเราจะต้องทำงานโดยมีเอนไซม์กระตุ้นเสมอ ถ้าอุณหภูมิร่างกายสูงเกินไปเอนไซม์ซึ่งเป็นโปรตีนจะเสียสภาพ…ก็คงมีค่าเท่ากับตาย



ก้อยเล่าให้ฟังว่าเมื่อวานพอกลับมาถึงวัดตอนตีห้าผมก็วูบไป ส่วนภูผากับฟ้าครามอยู่ดีๆ พอเข้าเขตวัดก็สั่นเป็นเจ้าเข้า ร้องโหวกเหวกโวยวายพูดไม่รู้เรื่อง ไม่ยอมเข้าไปในเขตวัด พวกผู้ชายต้องช่วยกันล็อกถึงสี่คนถึงจะเอาอยู่ ตอนนั้นปีสามตกใจมากเพราะสองคนนั้นอาละวาดอย่างกับโดนผีเข้า โชคดีที่เจ้าอาวาสกลับจากกิจนิมนต์พอดีเลยมาช่วยพรมน้ำมนต์เเละพาไปขอขมาเจ้าที่ให้ถึงจะหาย



ถึงผมจะเรียนสายวิทย์มาและไม่เคยเชื่อในเรื่องสิ่งลี้ลับ แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ได้สั่นคลอนความเชื่อของผมอย่างมากเมื่อนึกขึ้นได้ว่าก่อนมาค่ายภูผากับฟ้าครามถอดสร้อยพระออกเพราะกลัวพระเสื่อมถ้ารุ่นพี่ให้เล่นหรือลอดอะไรที่ไม่ควรลอด…และคนที่บอกให้สองคนนั้นถอดเก็บไว้ที่ห้องก็คือผมเอง



น้องผิด…..ที่เล่นซนขึ้นไปปีนน้ำตกโดยไม่บอกรุ่นพี่



แต่ผมผิดกว่า….ที่วางใจให้คนอื่นดูแลสองคนนั้นแทน ผมลืมนึกไปว่าไม่มีใครไว้ใจได้มากที่สุดเท่ากับตัวเราเอง ถ้าผมไปเฝ้าเองก็คงไม่เกิดเรื่อง สองคนนั้นคงไม่มีโอกาสได้หายไป ปีสองคงไม่ต้องมานั่งกังวลว่าทำน้องหาย และพวกเพื่อนๆ คงจะไม่ต้องเหนื่อยปีนน้ำตกกันถึงตีสี่ตีห้า ผมจินตนาการไม่ออกเลยว่าถ้าสองคนนั้นหายตัวไปจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าพวกเราตามหาไม่เจอจะทำยังไง ถ้าสองคนนั้นตกหน้าผาหรือโดนสัตว์ป่าฆ่าตายล่ะ…ทุกคนในค่ายนี้คงต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นร่วมกัน อาจารย์ปกรณ์คงเดือดร้อนที่สุด แล้วผมจะมองหน้าพ่อแม่ยังไง จะมองหน้าอาแอ๋มกับอาเขยยังไงในเมื่อเขาอุตส่าห์ไว้ใจฝากสองคนนั้นให้ผมดูแลแต่ผมกลับทำไม่ได้



ทั้งที่ผมควรจะโกรธสองคนนั้นที่เป็นตัวต้นเรื่อง แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับโกรธตัวเองมากกว่า



เมื่อร่างกายอ่อนแอ สภาพจิตใจของผมก็ดูเหมือนจะทรุดไปด้วย ผมได้แต่ปล่อยให้กระแสความคิดอันร้ายกาจไหลหลากท่วมท้นสติอันเลือนราง



เกลียด…ทำไมต้องตามมาด้วย ทำไมต้องมาเรียนที่เดียวกัน มาเป็นภาระของผมทำไม!



ทำไมต้องมาอยู่ร่วมกันด้วย ! รำคาญ ไม่ชอบเลย ไม่เป็นส่วนตัวเลย อึดอัดจะแย่อยู่แล้ว



ทำไมต้องเป็นญาติกันด้วย



ทำไมต้องเจอกันด้วย



…ถ้าสองคนนั้นไม่เกิดมา…ก็คงจะดี อย่างน้อยผมก็คงไม่ต้องมีเรื่องให้คิดมากขนาดนี้ทั้งที่ปกติก็มีเรื่องให้คิดตั้งมากมายอยู่แล้วแท้ๆ



ใครก็ได้…เอาสองคนนั้นออกไปจากข้างตัวผมที



ก่อนที่ผมจะไม่สามารถละสายตาไปจากสองคนนั้นได้อีกเลย…





นี่เป็นค่ายที่ซวยที่สุดในชีวิตผม… ตอนมาก็เมารถ คืนแรกก็นอนไม่หลับ คืนต่อมาก็ต้องไปปีนน้ำตกกลับมาไข้ขึ้นเพื่อนต้องหามส่งโรงพยาบาลหลังจากนั้นก็อยู่ยาวจนถึงวันกลับ…ตกลงกูมาทำไม



ตลอดสามวันที่ผมนอนให้น้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาลในตัวเมืองผมไม่ได้เห็นหน้าภูผาฟ้าครามแม้แต่วันเดียว ช่างเป็นลาภอันประเสริฐอะไรเช่นนี้หนอ…เปล่าหรอก ไอ้ก้อยเล่าให้ฟังว่าที่จริงมันสองตัวพยายามตื๊อขอมาเฝ้าผม แต่ไอ้พีทมันจำได้ว่าผมเคยพูดว่ารำคาญมันเลยไม่ยอมให้สองคนนั้นมาเฝ้า ( กลับไปกูจะตกรางวัลให้มึงอย่างงามเลยพีท!) แล้วสองคนนั้นก็งอแงตลอดทั้งวัน มีการจะแอบติดรถชาวบ้านหนีลงมาด้วยแต่ไอ้โซลมันจับได้…หลังจากนั้นตลอดสามวันไอ้โซลก็เอาเชือกกางเกงเลของมันผูกเชือกเกงเกงเลของสองคนนั้น ไอ้โซลไปไหนสองคนนั้นก็ต้องไปด้วย ไอ้ไก่ส่งรูปมาให้ผมดู อย่างกับหมาโดนล่าม โคตรฮา ทำเอาวันนั้นผมอารมณ์ดีทั้งวัน ในบรรดาปีสามผมว่าไอ้โซลโหดที่สุดแล้ว เจอของแข็งซะบ้างจะได้เข็ด หึๆ !



วันสุดท้ายผมนั่งรถคันเดียวกับอาจารย์ปกรณ์เหมือนเดิม กว่าจะกลับมาถึงกรุงเทพก็ปาเข้าไปเช้าของอีกวัน พอผมก้าวลงจากรถภูผากับฟ้าครามก็พุ่งเข้ามากอดผมแน่นราวกับไปไม่พบกันมานานนับสิบปี อะไรจะคิดถึงกูขนาดน้านนนนน-_-;;



ผมปล่อยให้ตัวเองถูกสองคนนั้นลากไปขึ้นแท็กซี่โดยไม่ขัดขืนหรือห้ามปรามใดๆ เพราะเพิ่งจะหายไข้ยังไม่ค่อยมีแรง



ไม่นานเราก็กลับมาถึงคอนโด ผมโดนลากไปนอนด้วยกันที่ห้องสองคนนั้น ที่จริงอยากจะขัดขืน แต่ไม่มีแรง ตั้งแต่ลงจากรถมาเชื่อมั้ยผมยังไม่ได้พูดสักคำ…เสียงไม่มี



ถึงจะนอนในรถมาจนเต็มอิ่มแล้ว แต่เมื่อล้มตัวลงบนเตียงผมก็ง่วงขึ้นมาอีก คงเป็นเพราะการเดินทางทำให้ผมอ่อนเพลียโดยไม่รู้ตัวบวกกับเพิ่งจะหายป่วยด้วย ผมได้แต่นอนอยู่ในอ้อมกอดของสองคนนั้นอย่างอ่อนเพลีย ตาจะปิดไม่ปิดแหล่ ผมคิดว่าตัวเองไม่น่ามาอยู่ตรงจุดๆ นี้ ผมไม่ควรยอมปล่อยให้สองคนนั้นมานอนกอด มันแปลก…แต่ว่า…





…เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยคิดละกัน…ง่วงชะมัดเลย zzz





อ้อ ยังไม่ลืมนะ เรื่องที่น้ำตกน่ะ เดี๋ยวต้องคุยกัน….…ยาว!







------------------------------------------



- สังเกตมั้ยว่าพี่ทีมีความคิดย้อนเเย้งกันเองตลอดเวลา เป็นธรรมชาติของมนุษย์นะ ...มนุษย์ประเภทคิดมาก



-เวลาง่วงมากๆ นี่ไม่อยากจะทำอะไรเลยจริงๆ นะ คนอ่านเคยเป็นมั้ย?



- ตอนตะกายน้ำตกนี่ เราเคยทำจริงๆ นะ ปีนเกือบถึงบนสุดเเล้ว เเต่ยิ่งสูงยิ่งน่ากลัวเลยไม่ไปค้นหาตาน้ำต่อ เห็นศาลด้วย...กลัววววว (ปล. ขอเตือนว่าอย่าทำเลย อันตราย หินบาดมือเจ็บมากTTแมลงน้ำก็เยอะ เเต่ถ้าจะทำ เเนะนำให้ปีนเป็นหมู่คณะเหมือนเราค่ะ รับประกันความมันเเละอันตราย-v-;)

หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่21 [20/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 20-02-2018 19:40:04
 :katai2-1:    :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่21 [20/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 20-02-2018 19:50:41
 :katai4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่21 [20/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-02-2018 20:19:08
แฝด รักทีมากกกกกกกกกกกก  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่21 [20/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 20-02-2018 20:31:12
พี่จ๋าใจอ่อนทีเถอะ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่21 [20/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-02-2018 20:51:33
 :z6: ขยันสร้างเรื่อง
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่21 [20/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 20-02-2018 21:02:56
อยากตีแฝด!!!  :z6:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่21 [20/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 20-02-2018 22:14:30

                                                               ตอนที่ 22  ทำบุญร่วมชาติ




........ยะถา วาริวะหา ปูรา

เอวะเมวะ อิโต ทินนัง

อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง

สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา.........

.

ปะริปูเรนติ สาคะรัง

เปตานัง อุปะกัปปะติ

ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ

จันโท ปัณณะระโส ยะถา

มะณิ โชติระโส ยะถาฯ



เมื่อน้ำหยาดสุดท้ายไหลลงไปในที่รองกรวดน้ำทองเหลือง ผม ภูผา และ ฟ้าครามปล่อยมือออกจากที่กรวดน้ำแล้วพนมมือรับพร

สัพพีติโย วิวัชชันตุ..........

มา เต ภะวัตวันตะราโย

สัพพีติโย วิวัชชันตุ

มา เต ภะวัตวันตะราโย

สัพพีติโย วิวัชชันตุ

มา เต ภะวัตวันตะราโย

อะภิวาทะนะสีลิสสะ

จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ

สัพพะโรโค วินัสสะตุ

สุขี ทีฆายุโก ภะวะ

สัพพะโรโค วินัสสะตุ

สุขี ทีฆายุโก ภะวะ

สัพพะโรโค วินัสสะตุ

สุขี ทีฆายุโก ภะวะฯ

นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน

อายุ วัณโณ สุขัง พะลังฯ





หลังจากนั้นพระท่านก็พรมน้ำมนตร์ให้พวกเราสามคนเป็นอันเสร็จพิธีถวายสังฆทาน หลังจากพวกเราก้มกราบสามครั้งแล้วท่านก็ชวนพวกเราสนทนาปราศรัยว่าเป็นอย่างไรมาอย่างไร ผมก็เลยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนไปค่ายให้หลวงพ่อฟัง ท่านไม่ได้ว่าอะไรเพียงแค่หันไปมองภูผาฟ้าครามที่ดูจะสงบเสงี่ยมเป็นพิเศษ ใจจริงผมอยากจะถามว่าน้องถูกผีเข้าจริงหรือเปล่าครับหลวงพ่อแต่ก็ไม่ได้ถามออกไป ท่านมองสองแฝดอย่างพิจารณาครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มอย่างเมตตาแล้วเรียกสองคนนั้นเข้าไปใกล้ๆ เอาที่พรมน้ำมนตร์เคาะหัวให้อีกคนละสองที



“นี่คนพี่ใช่ไหม…เราน่ะมันตัวแสบ เพลาๆ ลงบ้างนะ จะทำอะไรต้องรู้จักคิดให้รอบคอบอย่าเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง” หลวงพ่อพูดกับฟ้าครามขณะผูกสายสิญจน์ให้ น่าแปลกที่หลวงพ่อทักได้ถูกคนทั้งที่ผมยังไม่ได้บอกสักคำว่าใครพี่ใครน้อง บางทีท่านอาจจะแค่เดาเอาล่ะมั้ง



“ผมคนน้องต่างหากครับหลวงพ่อ” ฟ้าครามแย้ง เพราะถึงตัวเองจะเกิดก่อนแต่ทุกคนในบ้านถือว่าเขาเป็นน้องภูผาเพราะภูผาเสียสละให้ออกมาก่อน



“งั้นเหรอ…เอ้า คนน้อง…แสบพอกับพี่ชายนะ เห็นตัวอย่างที่ไม่ดีก็อย่าเอาอย่าง ให้รู้จักห้ามปรามไม่ใช่ร่วมด้วยช่วยส่งเสริมเข้าใจไหม” ถึงฟ้าครามจะแย้งว่าตัวเองเป็นน้องแต่หลวงพ่อก็ยังเรียกภูผาว่าคนน้องอยู่ดี ผมได้แต่นั่งนิ่งอย่างสงสัยไม่อยากจะคิดไปในทางที่ว่าท่านมีญาณวิเศษเพราะผมไม่ใช่คนเชื่อเรื่องพวกนี้ซึ่งต่างกับพ่อแม่ผมโดยสิ้นเชิง



“การที่คนเราได้เกิดมาเจอกันนั้นไม่ได้เป็นเพราะความบังเอิญ แต่เป็นเพราะบุญกรรมที่สั่งสมร่วมกันมาในอดีตชาติ โยมสามคนได้มีโอกาสทำบุญร่วมกันในวันนี้เป็นเพราะชาติก่อนๆ ก็เคยทำบุญร่วมกันมาเช่นกัน ขอให้ชักจูงกันไปในทางที่ดี ที่ถูก ที่ควร เป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกันนะโยม” กล่าวจบท่านก็ลุกขึ้นจากอาสนะแล้วเดินจากไป



พระสงฆ์ผู้มากพรรษาหันกลับมามองภาพคนสามคนที่กำลังเดินลงไปเทน้ำที่โคนต้นไม้อีกครั้ง ภาพผู้ชายสามคนในชุดเครื่องแต่งกายสมัยก่อนซ้อนทับภาพที่เห็นในปัจจุบัน



“ในที่สุด…คำอธิษฐานของเจ้าทั้งสองก็เป็นจริงแล้วสินะ…”







หลังจากหายไม่สบาย ผมก็เทศนาสั่งสอนสองคนนั้นซะยกใหญ่เรื่องที่ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนกันไปทั่ว ดีที่สองคนนั้นไม่เถียงผมเลยสักแอะ ได้แต่นั่งจ๋องก้มหน้าก้มตารับผิด พอต่อว่าจนสาแก่ใจผมก็เลยไม่รู้จะขุดอะไรมาว่าต่อเพราะโดยนิสัยส่วนตัวแล้วผมก็ไม่ใช่คนชอบตำหนิติติงใคร เลยได้แต่พูดตบท้ายว่าคราวหลังห้ามหนีไปเล่นซนโดยไม่บอกกล่าวอีก ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเป็นอะไรไปผมจะโกรธ…ตัวเองมาก



แค่นั้นแหละครับ แค่ผมบอกว่าผมจะโกรธตัวเองสองคนนั้นก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ จับมือผมไปคนละข้างแล้วเอาหน้าถูๆ ไถๆ บอกว่าไม่ทำแล้วๆ สัญญาๆ พอผมเผลอร้องโอ๊ยเพราะแผลแม่เพรียงบาดที่ฝ่ามือยังไม่หายไอ้สองคนนั้นก็ยิ่งทำหน้าสำนึกผิดเข้าไปใหญ่ หวังว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายนะที่สองคนนี้จะก่อเรื่อง เฮ้อ



วันนี้อาจารย์ปกรณ์ยกคลาสเพราะเห็นใจนิสิตที่เพิ่งกลับมาจากค่าย ผมเลยถือโอกาสพาภูผากับฟ้าครามไปไหว้พระถวายสังฆทานแถวๆ วัดที่รุ่นน้องคนนึงเคยแนะนำมาเสียเลย ผมว่าพอภูผากับฟ้าครามฟังหลวงพ่อกล่าวตักเตือนสองคนนั้นก็ดูจะนิ่งขึ้นนิดนึง ผมยืนรับลมริมท่าน้ำวัดขณะมองดูภูผาและฟ้าครามให้อาหารปลากันอย่างสนุกสนาน…ไอ้ท่าทางสงบนิ่งเมื่อกี้มันหายไปไหนแล้ววะ



ซ่า!!!



“เฮ้ย!” ผมร้องอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ น้ำก็กระเด็นมาโดนแขนเปียกไปทั้งแถบ หลักฐานยังคาตาสองคนนั้นคว่ำถังใส่อาหารเม็ดลงไปทีเดียวปลาก็แย่งกันกินอย่างดุเดือดฟาดหัวฟาดหางจนน้ำกระเซ็นมาโดนผม ให้ตายเถอะ! เขาให้ค่อยๆ โปรยไม่ใช่เรอะ ใครเค้าเทโครมลงไปทีเดียวหมดวะ



“แหะๆ ขอโทษคร้าบบบบบ” ผมถอนหายใจแล้วก็ส่ายหน้าอย่างไม่เอาความ อันที่จริงก็ไม่ได้เปียกอะไรมากแต่ตกใจเสียงน้ำที่เหมือนมีสงครามใต้บาดาลที่มีสองคนนั้นเป็นชนวนเหตุมากกว่า



คราวนี้ภูผาเดินไปซื้อขนมปังแถวมาแทน



“อ่ะพี่ที”



ผมส่ายหน้า “ภูกับครามให้ไปเถอะ”



“แม่บอกว่าทำบุญแล้วต้องทำทานนะพี่ เอาหน่อยหน่า เร็วๆ ปลาหิวแล้วเห็นป่าว” เอ่อ…ปลาหิวหรอ-_-;;



ในที่สุดผมก็รับขนมปังมาจากมือภูผาแล้วค่อยๆ ฉีกโยนให้ปลากิน เออ มันก็สนุกดีนะ ปลาสวายที่พยายามอ้าปากกว้างๆ รับขนมปังจากผมมองดูแล้วก็น่ารักแบบแปลกๆ ดีว่ะ



“ทำไมพี่ทีโยนไกลจัง” ฟ้าครามถาม



“…สงสารปลาที่อยู่ไกลๆ มันไม่ได้กิน” ผมตอบไปตามที่คิด



พี่ทีใจดีจัง…แม้แต่กับปลาก็ไม่เว้น…สองแฝดได้แต่คิดเช่นนี้อยู่ในใจ พวกเขาแน่ใจว่าคนที่มีจิตใจเผื่อแผ่แม้แต่กับสัตว์เล็กสัตว์น้อยย่อมไม่มีทางคิดร้ายต่อใครได้ ภูผากับฟ้าครามมั่นใจว่าถ้าได้อยู่กับคนแบบนี้พวกเขาจะต้องมีความสุขแน่นอน



“ดูนี่! ครามปาไกลกว่าอีก” ฟ้าครามฉีกขนมปังขยำเป็นก้อนกลมแล้วเหวี่ยงแขนปาสุดกำลัง แต่ปรากฏว่าขนมปังดันตกไม่ไกลจากจุดที่ทีโยนไปนัก



“โด่! อ่อนว่ะ ต้องกู” ภูผาทำท่าเหมือนนักเบสบอลจะโยนลูกมีการเก็บมือ บิดตัว ยกมือขึ้นเหนือหัว ลีลาเยอะจริงๆ พ่อคู๊ณณณณ บอกกูทีว่านี่คือการให้อาหารปลา



“อุ๊บ..ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ!!” ผมทนไม่ไหวระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ก็สองคนนี้มันเกรียนอ่ะ ใครไม่ฮาก็บ้าแล้ว



พอผมหัวเราะ ภูผากับฟ้าครามก็เหมือนจะเพิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปเลยหัวเราะตามไปด้วย ผมกุมท้องแล้วทรุดตัวลงนั่งยองๆ โอ๊ย! หัวเราะจนปวดท้อง โอ๊ย! เหนื่อย ฮ่าๆ ๆ



พอขนมปังหมดฟ้าครามก็วิ่งดุ๊กๆ ไปซื้อมาอีก ผมรีบตะโกนไล่หลังไปว่าซื้อรอบสุดท้ายแล้วนะจะกลับบ้านแล้ว



“พี่ทีดูนี่ดิ วิธีให้อาหารแบบใหม่ของคราม” ผมหันไปมองอย่างสนใจ มันคงไม่เล่นพิเรนทร์อะไรกับปลาใช่มั้ย-_-;



ฟ้าครามหากิ่งไม้ยาวๆ มาอันหนึ่งแล้วฉีกขนมปังมาเสียบที่ปลายไม้ ยื่นไปใกล้ๆ ปากปลาตัวนึง ปลาตัวนั้นก็กระโดดงับขนมปังดังหงับแล้วอ้าปากขอกินอีก



ตอนแรกผมไม่เล่นด้วย แต่สองคนนั้นก็คะยั้นคะยอให้ลองดู ในที่สุดผมก็แพ้ลูกตื๊ออีกจนได้ แล้วผมก็ค้นพบว่าการให้อาหารปลาแบบนี้มันสนุกชะมัดเลย! เหมือนตักข้าวป้อนเด็กอ่ะครับ ปากมันกว้างมากๆ ไม่แน่ใจว่าใช่ปลาสวายหรือเปล่า พอยื่นอาหารไปจ่อปากมันก็จะอ้าปากงับเชื่องมากๆ ภูผาเอามือลูบหัวมันยังไม่ว่ายหนีเลย ขี้อ้อนด้วยนะมีการเอาหัวมาดุนมืออีกต่างหาก อันนี้ภูผาบอกมา (ผมห้ามแล้วนะ แต่ช้าไป…ภูผาเอื้อมมือไปลูบหัวปลาซะก่อน ดีนะที่มันไม่งับมือเอา)



“พี่ที”



“หืม?” ผมหันไปตามเสียงเรียกของฟ้าครามขณะที่เรากำลังยืนมองเหล่าปลาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะกลับ



“พี่ทีใจดีจังเลย…ขนาดปลาที่อยู่ไกลๆ พี่ก็ยังนึกถึงมัน”



“เหรอ” ผมตอบรับยิ้มๆ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ได้แต่มองดวงอาทิตย์สีส้มที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าเต็มที



“ครามชอบพี่ทีนะ” ผมหันไปสบตาฟ้าครามที่มองมาที่ผมด้วยสายตาแน่วแน่เป็นประกายร่าเริงกว่าครั้งไหนๆ ที่เคยเห็นมา



“ภูก็ชอบพี่ทีนะครับ ชอบมากๆ ชอบมากกว่าไอ้ครามอีก” ภูผาดึงแขนอีกข้าง ผมจึงต้องละสายตาจากฟ้าครามหันไปมองภูผา นัยน์ตาสีดำขลับเป็นประกายแน่วแน่หนักแน่น ผมไม่อาจละสายตาจากดวงตาที่แสนสุกใสงดงามนั้นได้ ทั้งๆ ที่ผมควรจะรู้สึกลำบากใจหรือรู้สึกแย่อย่างที่เคยจินตนาการเอาไว้แต่ผมกลับรู้สึกอิ่มเอมใจอย่างประหลาด มันมีความสุข ความรู้สึกปลาบปลื้มล้นปรี่อยู่ข้างใน ทั้งๆ ที่กลัวมาตลอดว่าจะได้ยินคำนี้ แต่พอได้ฟังโดยไม่ทันตั้งตัวผมกลับดีใจมาก ผมรู้สึกถึงเสียงหัวใจตัวเองที่ยังคงเต้นเป็นจังหวะคงเดิม หนักแน่น ไม่ได้เต้นถี่ขึ้นหรือช้าลง มันยังคงทำงานของมัน สูบฉีดเลือดอุ่นๆ ไปเลี้ยงทั่วร่างกาย ความรู้สึกของการรู้ว่าตัวเองเป็นที่รักของใครสักคนมันเป็นอย่างนี้นี่เอง



“อะไร กูชอบพี่ทีก่อนมึงอีก!”



“กูต่างหาก กูชอบก่อน!”



“หยุด” ผมพูดเบาๆ แต่สองคนนั้นก็หยุดจริงๆ



“ฟ้ามืดแล้ว กลับกันเถอะ” ผมพูดก่อนจะออกเดินนำ ภูผากับฟ้าครามรีบวิ่งตามมาทันที พลางส่งเสียงกระเง้ากระงอดไม่ได้หยุด อารมณ์เหมือนลูกหมาที่มันชอบส่งเสียงงี๊ดง๊าดพันแข้งพันขาเจ้าของน่ะครับ



“ระหว่างภูกับครามพี่ทีชอบใครมากกว่ากัน”



“ชอบเท่ากัน ก็เป็นน้องพี่ด้วยกันทั้งคู่”



“พี่ทีอ๊าาาาาา ไม่เอาๆ ไม่อยากเป็นน้องนะ” ฟ้าครามงอแง เออ ทำไมผมถึงกังวลไปได้นะเรื่องของสองคนนี้ ทั้งที่จริงๆ มันไม่ได้มีอะไรเลย สองคนนี้ก็แค่เด็กไม่รู้จักโต ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ารักจริงๆ มันเป็นยังไง



ผมไม่เคยรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายขนาดนี้มาก่อนเลย



“ไม่อยากเป็นน้องแล้วอยากเป็นอะไรล่ะ” ผมถามอย่างลืมตัว แล้วก็แทบจะกัดลิ้นตัวเองเมื่อได้สติ



“อยากเป็นฟะ…/อยากเป็นฟะ…” ผมเอามือไปปิดปากสองคนนั้นไว้ทันที ก่อนจะพยายามยิ้มให้เหมือนพวกรีดไถเงินที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้…ยิ้มโหดๆ น่ะรู้จักกันมั้ยครับ







“เอาไว้ชาติหน้าตอนบ่ายๆ เถอะไอ้หนู!!”









**ขณะให้อาหารปลาไม่ควรยื่นมือลงไปในน้ำนะคะ อาจเกิดอันตรายได้ โปรดอย่าลอกเลียนเเบบนะคะ^^**

หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่22 [20/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-02-2018 22:38:58
ได้อ่านเพิ่มอีกตอน ดีใจ~~~
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่22 [20/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 20-02-2018 22:40:27
เด็กสองคนนี้ร้ายกาจมากๆๆ 555
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่21 [20/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 20-02-2018 22:51:57
พี่มีควรปล่อยให้เป็นเรื่องของ ใจ. นะ.. ใช้ใจนำ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่22 [20/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-02-2018 23:54:05
หลวงพ่อเจ้าขาาาาาาาาาาา หลวงพ่อรู้เรื่องในอดีตชาติของทั้ง 3 คน ขอนิมนต์หลวงพ่อเล่าให้ฟังได้ไหมเจ้าคะ  :m5:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่22 [20/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 21-02-2018 03:25:32
ปวดหัวแทนพี่ทีเลย แต่สองแฝดก็มีมุมน่ารักนะ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่22 [20/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 21-02-2018 06:59:30
เสร็จแน่พี่ที... งานนี้
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่22 [20/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 21-02-2018 22:17:23
 :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่22 [20/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 22-02-2018 15:50:15
คงต้องรวบหัวรวบหางพี่ทีแล้วแหละ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่22 [20/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 22-02-2018 22:09:36
side story >>> Where are you ? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม 1 (อ.ปกรณ์)
                                                   
บทพิเศษ

Where are you? อยู่ไหนครับ…ที่รักของผม 1

(ปอ X วา)




วา …มึงอยู่ไหน กูหามึงไม่เจอ

วา…8 ปีแล้วนะที่มึงหายตัวไปไม่ติดต่อใครเลย

พ่อแม่มึงเป็นห่วงมากนะ แม่มึงคิดถึงมึงจนจะตรอมใจอยู่แล้ว

เพื่อนทุกคนก็คิดถึงมึงมาก

รวมถึงกูด้วย

วา…มึงอยู่ไหน กลับมาได้แล้ว

กลับมาสักทีเถอะ มึงก็รู้ไม่ใช่หรอว่าการรอคอยมันทรมานแค่ไหน

มึงเคยบอกกูไม่ใช่หรอว่าไม่ชอบรอใคร

แล้วทำไม…ถึงปล่อยให้กูรอมึง?






ผมกำเฉลวรูปดาวไว้แน่น เงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีที่แสงดาวแทบจะถูกแสงสีในเมืองหลวงบดบังจนมิด





‘ปอ มึงดูโน่น ดาวนายพราน ’

‘ ไหนวะ ’ ผมชะโงกหน้าไปใกล้ๆ ไอ้วา หนึ่งในรูมเมทของผม

‘นั่นไง เห็นดาวสามดวงที่เรียงกันนั่นป่ะ …อันนั้นเข็มขัดนายพราน ’

‘ สามดวงนั้นหรอ?’

‘ใช่…แล้วสี่ดวงที่เหลือนั่นเป็นแขนกับขา ’

‘มึงดูดาวเป็นด้วย?’

‘เป็นแค่กลุ่มเดียวอ่ะนะ ’ มันยักไหล่ก่อนจะยิ้มให้ผม







‘โอ๊ย! หิวข้าววววว ’ ไอ้วาแหกปาก ลุกขึ้นจากเตียงเดินไปเดินมา

‘ไปล่าเหยื่อดิ ’ ผมแนะนำ (ศัพท์ในห้องเรา ล่าเหยื่อ=หาข้าวกิน)

‘ดึกป่านนี้กูไม่มีอารมณ์ออกไปล่าเหยื่อหรอก ขี้เกียจเดิน ’

‘วา…กินถั่วมั้ย?’ ไอ้ไมค์ชูถั่วเหลืองคั่วในซองพลาสติก

‘เออ ก็ได้วะ กินกันตาย ’

-วันต่อมา-

‘ไมค์มึงกินถั่วอีกแล้วหรอวะ ’ ไอ้วาถามเมื่อเรียนเสร็จแล้วกลับมาที่ห้อง

‘อืม…เราว่ามันอร่อยดีนะ วาเอาด้วยมั้ย ’ ว่าพลางกวักมือเรียก

‘ไม่เป็นไร ขอบใจนะ ’

-หลายวันต่อมา-

‘โอ๊ย! หิวว่ะ ’

‘ กินถั่วมั้ย ’

‘มึงเป็น ask.fm เหรอไมค์ ฮ่าๆ ๆ ๆ ’ ไอ้ต้นหัวเราะ

‘เฮ้ย! อย่ามาว่าไมค์ของกูนะ ’ ไอ้วาปกป้องทั้งที่ตัวเองก็หัวเราะขำ

‘อะไรกัน…เราก็ว่ามันอร่อยดีนะ ดูนี่สิเรามีตั้งหลายถุง อยากกินก็มาหยิบที่โต๊ะเราเลยนะ^^’

‘…ขอบใจนะ แต่มึงเก็บไว้กินเองเถอะ ’ ไอ้ต้นตอบ







‘ปอ หมากตานี้เรามาวางเดิมพันกันดีกว่า ’

‘ อย่างมึงเนี่ยนะจะชนะกู ’ ผมเลิกคิ้ว

‘เออ! หน้าอย่างกูเนี่ยแหละ…กูไปซ้อมเล่นกับไอ้กี้มาแล้วรับรองวันนี้มึงดับแน่ ’ ไอ้กี้เพื่อนคณะมึงที่ชอบแต่งตัวเหมือนคัฟเวอร์วงเกาหลีอ่ะนะ=_=

‘จะเดิมพันอะไร?’

‘ถ้ากูชนะ กูขอเกียร์มึง ’

‘เฮ้ย! นี่มันสัญลักษณ์ความเป็นวิศวะของกูเลยนะ-*-’

‘ฮ่าๆ ๆ เดิมพันยิ่งสูงก็ยิ่งเร้าใจไง ’

‘..งั้นถ้ามึงแพ้กูขอเฉลวมึงละกัน ’ ผมมองไปที่สร้อยรูปดาวที่มันได้มาตอนรับน้องคณะเภสัชฯ

‘เฉลวเนี่ยอ่ะหรอ? ด้ายยยยย ตั้งกระดานเลย กูขอเล่นสีดำนะ ’

‘สีดำมันของกู ’ สีนำโชคผมเองครับ เล่นทีไรไม่เคยแพ้

‘ ไม่ คราวนี้กูจะเล่นสีดำมั่ง มึงไปเล่นสีขาวเลย ’

‘ก็ได้…’

…ท่าทางสีขาวก็น่าจะเป็นสีนำโชคของผมเหมือนกันแฮะ





‘ปอ มีนกมาทำรังที่บานเกล็ดระเบียงฝั่งมึงด้วยแหละ ’ (ขออธิบายตรงนี้นะครับ ห้องพักที่เราอยู่เป็นหอในห้องพัดลม อยู่กันสี่คนเป็นเตียงสองชั้น ฝั่งซ้ายไอ้ต้นจากเศรษฐศาสตร์นอนชั้นบน ไอ้วาจากเภสัชนอนชั้นล่าง เตียงฝั่งขวาผมนายปกรณ์ชื่อเล่นว่าปอจากคณะวิศวะนอนชั้นบน ไอ้ไมค์จากคณะสาธารณสุขอยู่ชั้นล่าง ห้องเรามีสองระเบียงฝั่งไอ้วาหนึ่ง ฝั่งผมอีกหนึ่ง)

‘ไอ้ไมค์ไม่เอาไว้แน่ ’ ไอ้นี่มันรักความสะอาดจะตาย

‘ มึงจะเอารังมันออกหรอ ’ ไอ้วามองหน้าผมเหมือนอยากต่อว่าว่าผมมันคนใจยักษ์ใจมาร ผมยักไหล่

‘ ไม่รู้สิ ’

‘ กูอยากเห็นลูกนกจังว่ะ ’

‘กูก็อยากเห็นมันออกไข่นะ ’ ผมว่า

‘ ให้มันอยู่ได้ไหม?’

‘ไม่รู้สิ ต้องถามไมค์ก่อน ’





‘ปอ ช่วงนี้มึงไม่ค่อยสบายใช่ป่ะ ’

‘อ่าฮะ…ก็นิดหน่อย ’ ช่วงนี้นอนดึกติดต่อกันหลายวันไปหน่อยผมเลยเริ่มเจ็บคอน่ะ

‘กูบอกให้เอามั้ยว่ากินอะไรแล้วจะหายเร็ว ’

‘???’ ผมเลิกคิ้ว เออ มันเรียนเภสัชอาจจะรู้จักยาอะไรดีๆ ก็ได้

ผมมองตามมือที่ชี้ไปทางระเบียง

‘ แดกรังนกดิ กร๊ากกกกก ’ พูดจบไอ้วาก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น ไอ้ไมค์กับไอ้ต้นที่ได้ยินบทสนทนาของผมกับไอ้วาอยู่ตลอดก็หัวเราะกันเสียงดัง

‘ หึหึ กวนว่ะไอ้บ้า ’ ผมเบิ้ดกะโหลกมันไปทีแล้วก็หัวเราะขำไปด้วย ใครมันจะไปกินรังนกที่ทำจากกิ่งไม้กับเศษขนไม้กวาดล่ะวะ





‘ต้น กูคิดถึงบ้านจังเลยว่ะ ’

‘อืม กูก็เหมือนกัน ’

ไอ้วากับไอ้ต้นออกมานั่งซบไหล่กันหน้าห้อง มือก็กดมือถือต่อเน็ตหอไปด้วย (ในห้องสัญญาณมันเข้าไม่ถึง)

‘นี่ๆ จะซบกันก็เข้าไปซบในห้อง เดี๋ยวยามมาเห็นโดนหักแต้ม ’ ผมที่เพิ่งเดินไปกดน้ำร้อนต้มมาม่าเอาตีนเขี่ยพวกมันอย่างเอือมระอา ตอนปฐมนิเทศหอในเขาก็บอกแล้วนะว่าห้ามกอด จูบ ซบ กันในหอทั้งเพศเดียวกันและเพศตรงข้าม …เกิดโดนหักแต้มเกินร้อยเดี๋ยวก็โดนไล่ออกหรอก

ไอ้ต้นกับไอ้วาเงยหน้ามองผม

‘พวกขี้อิจฉา ’ ไอ้ต้นว่า

‘ขาดความอบอุ่น ’ ไอ้วาเสริม

โอเค เชิญพวกมึงซบกันโชว์กล้องวงจรปิดไปให้พอเลย…







‘ปอ มึงดูดิ นกน่ารักจังเลยว่ะ ’

‘มึงนี่โรคจิตเนอะ ตั้งแต่มันมาทำรังก็ส่องมันได้ทุกเช้า ’

‘กูแค่ศึกษาชีวิตสัตว์เฉยๆ หรอก ’

‘…บางทีกูก็คิดนะว่ามึงขอไอ้ไมค์เลี้ยงนกเพราะมีจุดประสงค์อื่นนอกจากสงสาร ’

‘ จุดประสงค์ไรวะ ’

‘มึงกะจะเลี้ยงไว้เอาไข่มันมากินล่ะสิ ’

‘ไอ้หอก! กูไม่ชั่วขนาดขโมยกินไข่นกกระจิบหรอกเฟ้ย ’

‘ขนาดดอกกุหลาบกูมึงยังเอาไปชุบแป้งทอดกินได้ ไข่นกกระจิบจะเหลือเรอะ …เอ๊ะ แล้วที่เดี๋ยวนี้ห้องเราไม่ค่อยมีจิ้งจกอย่าบอกนะว่าฝีมือมึงน่ะ ’

‘ไอ้บ้า! มึงดิกินจิ้งจก ’ แล้วมันก็เอาผ้าห่มมาไล่รัดคอผม แหม ร้อนตัว หึหึ







ว่ากันว่าหอในทุกหอมีผีอยู่ชนิดหนึ่ง…มันจะสิงตู้เย็นและทำให้อาหารหายไปอย่างไร้ร่องรอย

‘ เฮ้ย! ไข่ต้มกูโดนขโมยไปฟองนึงว่ะ เชี่ย! ใครวะ น้องกูอุตส่าห์ต้มมาให้ ’ ไอ้วาโวยวาย

‘ มึงนับดีหรือยัง มึงอาจจะกินเองลืมเองก็ได้ ’

‘ไม่! กูจำได้ว่ามันมี 7 ฟอง แต่ตอนนี้มันเหลือ 5!’

‘เมื่อวานกูเห็นมึงกินไป 1 ฟอง ’

‘ก็เหลือ 6 ไง แต่มันดันเหลือ 5 มีคนขโมยไข่กู !’

‘นั่นมึงจะทำอะไร ?’

‘เขียนด่ามัน !’

‘…’ ชะโงกหน้าเข้าไปดู ‘กรรมของการขโมยกินของชาวบ้าน=เปรต /รู้จักมั้ยเปรตน่ะเปรต’

‘มึงว่ามันจะสำนึกไหม?’

‘ไม่รู้ดิ…แต่กูจำได้ว่าจะเป็นเปรตมันต้องขโมยของพระกินไม่ใช่อ่อ ’

‘เออน่ะ!’

-วันต่อมา-

‘ปอ! กูโดนขโมยไข่อีกแล้ว ทำไมโจรมันไม่สำนึกเลยวะ กูเขียนด่าแม่งแล้วนะ!’

‘อืม ’

‘โจรแม่งชั่ว ! มึงดูดิแค่ไข่ต้มฟองละเจ็ดบาทมันยังขโมย ทำไมมันไม่ไปขโมยของที่มันแพงกว่านี้วะ เสียศักดิ์ศรีว่ะ จะเป็นโจรทั้งที ’

‘ฮ่าๆ ๆ เออนั่นดิ ’







‘วา มึงดูดิ ’ ผมชูถุงในมือให้มันดู

‘อะไรวะ? ไก่ย่าง?’

‘เออ กูโดนขโมย เมื่อวานกูแช่ไว้สองไม้ วันนี้มันเหลือไม้เดียว ทำไมมันไม่เอาไปสองไม้เลยวะทิ้งไว้ให้กูเจ็บใจเล่นไม้นึงทำไม-*-’

‘ฮ่าๆ ๆ โจรแม่งกวนตีนว่ะ ’







‘กบกระโดดๆ ๆ ข้ามรั้วๆ ๆ ๆ ๆ กบกระโดดกี่ครั้ง?’

‘4 ครั้ง ’

‘ ผิด 5’

‘ทำไมวะ เอาใหม่ดิ๊ ’

‘กบกระโดดๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ข้ามรั้ว กบกระโดดทั้งหมดกี่ครั้ง ’

‘1’

‘7’

ผมขมวดคิ้ว

‘เอาใหม่ดิ๊…’







‘ปอ ทำไมมดแดงถึงฟันผุ ’

‘ มดแดงกินมะม่วงหวาน ’

‘ไม่ใช่ ’

‘มดกินน้ำตาล ’

‘ ม่ายถูก…ยอมยัง ’

‘ เออยอม ’

‘ก็มดแดง…แปลงร่าง!!’

‘ ทำไมวะ...งง ’

‘เอ๊า! ก็แปรงล่าง ไม่ยอมแปรงบนไง ไอ้โง่ ’

‘…’ อ่อ เก็ทละ มันหมายถึงยอดมนุษย์ไอ้มดแดงสินะ







‘กูโดนขโมยขนมไว้พระจันทร์ที่แม่กูเอามาฝากอ่ะ! แม่ง##$%$R%$TTGD’

-วันต่อมา-

‘ กูไปบ่นเรื่องโดนขโมยขนมไหว้พระจันทร์ให้ไอ้กี้ฟัง มันเลยเอาที่บ้านมันมาให้ว่ะ ’

‘กี้ใจดีเนอะ ’

‘อื้ม!’

‘วันหลังมึงก็บอกไอ้กี้ดิ ว่าเอาตังค์แช่ตู้เย็นแล้วหาย เผื่อมันจะเอามาคืนให้มึง ’

‘ไอ้บ้า มันก็ด่ากูว่าโง่อ่ะสิ=*= ใครเค้าจะเอาเงินไปแช่ตู้เย็นฟระ ’







‘วันนี้ไอ้กี้แม่งฮามากอ่ะ ’

‘ทำไมหรอ ’

‘ก็วันนี้มันใส่กางเกงขาสั้นมาเรียน กูเลยเรียกมันว่าไอ้กางเกงเหี่ยน มันด่ากูใหญ่เลย กรั๊กๆ ๆ ’





‘ปอๆ ๆ กูมีข่าวดีจะบอกแหละ ’

‘ฮะ? อะไรหรอ ’

‘นกออกไข่แล้ว ทายดิ๊ว่ากี่ฟอง ’

‘ เฮ้ย! นกออกไข่แล้วหรอ ’

‘ ทายดิกี่ฟอง ’

‘ สามฟอง ’

‘เฮ้ย เก่งงงง’

ผมรีบถอดรองเท้าเดินไปส่องที่บานเกล็ด พอเห็นไข่ใบเล็กๆ สามฟองผมก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ …น่ารักดี สมกับที่รอคอย

‘ กูจะจำไว้ว่ามันมีอยู่สามฟอง ’ ผมพูด

‘เออ แล้วไงวะ? ’

‘ก็ถ้ามันหายไปล่ะก็ กูจะสงสัยมึงคนแรกเลย ’

‘ฮ่วย! เมื่อไหร่มึงจะเลิกมองกูเป็นพวกเปิบพิสดารซักทีวะ กูไม่เอาไปตอกใส่มาม่าหรอกน่ะ ’







วานอนอยู่บนเตียง ผมที่เพิ่งกลับจากห้องน้ำเดินไปนั่งพื้นเอนหลังพิงเตียงมัน

‘…ปอ ’

‘หืม เป็นไงวา ’

‘รู้สึกไม่ค่อยดี…’ วายื่นมือมาแตะแขนผม…ร้อนจัง

‘ กินยายัง ’

‘อือ ’

‘ นอนไป ’ ผมตบหน้าผากมันเบาๆ แล้วนั่งเล่นมือถือเฝ้าไข้มัน

‘ กูคิดถึงแม่จังเลยว่ะ ’

‘ อืม ’

‘ พ่อด้วย ’

‘อืม ’

‘ทำไมเวลาป่วย กูถึงรู้สึกอ่อนแองี้วะ ’

‘…’

‘ปอ กูคิดถึงบ้าน กูอยากกลับบ้านจังเลยว่ะปอ ’

‘ ก็ไปสิ ’

‘ไม่ได้…’

‘ งั้นก็โทรหา ’

‘ไม่เอา เดี๋ยวแม่เป็นห่วง ’

‘เฮ้อ…’

‘ปอ…กูคิดถึงพ่อแม่จังเลย…คิดถึง…คิดถึง ’

ผมจับมือมันที่ตกลงมาข้างเตียง

‘ไม่เป็นไร กูอยู่กับมึง นอนแล้วรีบๆ หายซะ ’

‘อืม ’





-------------------------------------------------------------------------------

- ยังมีต่อเรื่อยๆ ค่ะ เป็นเรื่องรอง (ไม่มีการแยกเป็นเรื่องหลักนะเออ^^) เอาไว้เขียนเล่นแก้เซ็ง ตอนหน้ากลับไปเจอสองแฝดเหมือนเดิมจ้า



- เฉลว เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของคณะเภสัชฯ ลักษณะคล้ายดาวมีหางยาว เอาไว้ปักหม้อยาสมัยก่อนกันคุณไสย และเป็นการบอกให้ทุกคนรู้ว่าเป็นยา ให้รักษาความสะอาด ประมาณนี้ค่ะ















หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )side story >>> อ.ปกรณ์ [22/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 22-02-2018 23:42:17
 :pig4: รอจ้า สู้ๆน้าาาาาาา
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )side story >>> อ.ปกรณ์ [22/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 23-02-2018 00:01:16
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )side story >>> อ.ปกรณ์ [22/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 23-02-2018 01:19:48
แล้ววาหายไปไหนล่ะ  :ruready

ปล. จำได้ตอนเด็กไปเที่ยวแม่กลอง เห็นคนสานเข่งใส่ปลาทู เลยถามว่าสานลายอะไรคะ กนกหรือเปล่า เขาบอกไม่ใช่เป็นลายชะเหลว (เป็นภาษาพูดแต่ไม่รู้ว่าเขียนอย่างไร) นี่ถ้าไม่แจงว่าเป็นรูปดาว จะนึกว่าถือเข่งใส่ปลาทูนะเนี่ย  :hao3:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )side story >>> อ.ปกรณ์ [22/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-02-2018 04:51:50
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )side story >>> อ.ปกรณ์ [22/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 23-02-2018 05:15:54
 รู้เรื่องวัยเรียนของอ.ปกรณ์ด้วย  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )side story >>> อ.ปกรณ์ [22/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 23-02-2018 10:44:17
อาจารย์มีมุมนี้ด้วย
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )side story >>> อ.ปกรณ์ [22/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: imac ที่ 24-02-2018 00:22:59
รอแฝดกับพี่ทีครับ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )side story >>> อ.ปกรณ์ [22/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 24-02-2018 16:44:34
 o13
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )side story >>> อ.ปกรณ์ [22/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: klaew ที่ 24-02-2018 17:26:05
รอค่ะ สนุกมากเลย
พี่มีความไบโพล่านิดๆ
แฝดแสบมากแต่ก็น่ารัก
รออ่านอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )ตอนที่ 23 รับน้อง1 [25/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 25-02-2018 19:52:49

                                                                ตอนที่ 23  รับน้อง 1



(ฟ้าคราม)



ผมนอนกลิ้งอยู่บนเตียงแสนสบายของพวกเรา ตาก็มองไอ้ภูที่กำลังขนเสื้อผ้าเน่าๆ จากค่ายออกมาเตรียมส่งซัก วันนี้พี่ทีประชุมอะไรที่คณะก็ไม่รู้เห็นว่าจะกลับดึก อยากตามไปนะ แต่พี่เค้าไม่ให้ไปด้วย เซ็งจัง เมื่อไหร่จะเปิดเทอมวะ จะได้ไปเรียนด้วยกันทุกวัน



“คราม”



“หือ?” ผมผงกหัวขึ้นก่อนวัตถุวาวๆ บางอย่างจะถูกโยนขึ้นมาบนเตียง



“เออว่ะ เกือบลืมไปเลยนะเนี่ยว่าเก็บมาด้วย” ผมคลึงวัตถุชิ้นเล็กในมือเล่นไปมา



“เก็บมาทำไมก็ไม่รู้ เดี๋ยวมึงก็ได้” ไอ้ภูบ่น



“ก็เก็บมาเล่นๆ … ข้างหลังสลักอะไรไว้ด้วยว่ะ” ผมยื่นวัตถุในมือให้ไอ้ภูดู แต่มันไม่สนใจ เอาแต่ควักๆ ล้วงๆ กระเป๋ากางเกงแต่ละตัวเพื่อตรวจสอบว่าไม่ลืมอะไรไว้ก่อนจะโยนลงตะกร้า เมื่อเห็นมันไม่สนใจผมก็ไม่ตื๊อต่อ



“…ซีอี 38 วีเอ …แปลว่าไรวะ” ผมอ่านตัวอักษรที่สลักด้านหลัง ยังไม่ทันที่ไอ้ภูจะหันมาตอบผมก็ได้ยินเสียงเหมือนคนเปิดประตูเข้ามา พี่ทีคงจะกลับมาแล้วแน่ๆ ได้เวลานัวเนียทำคะแนนแล้วสิ



“กูเอาไปถามพี่ทีดีกว่า” ขณะที่ผมกำลังจะออกจากห้องไอ้ภูก็เรียกผมไว้ซะก่อน



“เฮ้ย! เดี๋ยวพี่ทีก็สงสัยหรอกว่าไปได้มาจากไหน” มันมองตาผมอย่างสื่อความหมายที่รู้กันแค่สองคน



“ก็บอกว่าเก็บได้แถวๆ มหา’ ลัยสิวะ มึงนี่ขี้ระแวงไปได้ พี่เค้าไม่สงสัยหรอกน่า โห่”



“ตอนไดอารี่มึงยังไม่เข็ดใช่ป่ะ …มึงต้องรอบคอบให้มากกว่านี้นะเว้ย…คราวนี้เกิดพี่แกรู้ความจริงเข้าล่ะมึงเอ๊ย…ไม่อยากจะคิด”



“เออๆ ๆ ก็ได้วะ” ถึงผมจะคิดว่าไอ้ภูมันระแวงเกินเหตุแต่เพื่อความสบายใจผมเลยโยนวัตถุชิ้นนั้นใส่ตักมัน

(จบบทฟ้าคราม)





“โอ๊ยยยยย ทำไมกิจกรรมมันเยอะแบบนี้เนี่ยยยยย” เสียงภูผากับฟ้าครามผลัดกันโอดครวญดังมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ เมื่อได้รู้ว่าเสาร์อาทิตย์ก่อนเปิดเทอมจะต้องไปรับน้องและค้างที่คณะหนึ่งคืน



“จะไม่ไปก็ได้นี่ เขาไม่ได้บังคับ” ผมพูดยิ้มๆ ขณะเดินเข้ามายืนมองเจ้าแฝดนรกจัดเสื้อผ้าเตรียมไปค้างที่คณะ



“โห ไม่บังคับเล้ย แค่คนที่ไม่ไปจะไม่ได้รุ่น ไม่ได้เกียร์ ไม่มีพี่รหัส แค่นั้นเอ๊งงงง” แหม่ ยอกย้อนๆ



“เรามีปีหนึ่งกันแค่ครั้งเดียวนะ มีกิจกรรมอะไรก็ทำๆ ไปเหอะ พอขึ้นปีสูงๆ ก็ไม่ได้มาเล่นอะไรแบบนี้แล้ว…”



Rrrrrrrrrrrrrrrrrr



ผมเดินออกมานั่งคุยโทรศัพท์ที่โซนนั่งเล่นเงียบๆ



“อะไรนะ! อาจารย์ให้แก้อีกแล้วหรอวะ” ผมขยี้ศีรษะอย่างหงุดหงิด แก้มาห้าครั้งแล้วนะ ไหนบอกว่าผ่านแล้วไง พรุ่งนี้จะพรีเซนต์แล้วด้วยทำไมเพิ่งเมลล์มาบอกเอาตอนนี้!?



ผมนั่งแก้งานจนไม่รู้ว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ มารู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองอยู่บนเตียงเรียบร้อยแล้ว



…เตียงไอ้แฝดน่ะนะ



เฮ้ยยยยยยยยยยย แล้วงานผมล่ะ!!



ผมผุดลุกเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่นก็พบว่าอาจารย์เมลล์มาบอกว่าเลื่อนวันพรีเซนต์เป็นอาทิตย์หน้า อาทิตย์นี้แกจะไปสัมมนาที่แมนฮัตตัน=_=



ให้มันได้อย่างนี้สิ!!



ใจนึงผมก็รู้สึกโล่งอก อีกใจก็โคตรจะโกรธอาจารย์แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ งั้นวันนี้อาจารย์ก็ยกคลาสน่ะสิ ก็ยังดีไหนๆ วันนี้ก็ว่างแล้วนอนแก้งานที่ห้องก็แล้วกัน



ผมมองนาฬิกา ตั้งแต่ย้ายมาอยู่คอนโดกับเจ้าฝาแฝดผมแทบไม่เคยตื่นเช้าเลย ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วลงไปใส่บาตรพระดีไหมนะ



ผมอาบน้ำอย่างไม่รีบร้อน หยิบเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีเขียวมิ้นท์มาสวมคู่กับกางเกงสามส่วนสีครีม กดลิฟต์ลงไปด้านล่าง เข้าเซเว่นซื้อบิ๊กเปาหมูสับ น้ำดื่ม นม ขนมสองสามอย่างแล้วออกมายืนรอใส่บาตรบริเวณสวนหย่อมหน้าคอนโด



“พี่ที!” ผมหันไปตามเสียงเรียก เห็นไอ้ยูโรโบกไม้โบกมือมาให้แต่ไกล



“ขยันจ๊อกกิ้งแต่เช้าเลยนะ” ผมชวนคุยยิ้มๆ



“แถวนี้เช้าๆ อากาศดีน่ะครับ… แล้วนี่พี่ลงมาทำอะไรแต่เช้า ใส่บาตรหรอ?” ยูโรชวนผมคุยด้วยหน้ามึนๆ เหมือนคนยังไม่ตื่นดีเช่นเคย ก่อนจะเหลือบมองของในมือผมแล้วมองไปรอบๆ



“ไอ้แฝดล่ะพี่?” ผมพยักพเยิดไปทางคอนโดเป็นการบอกว่ายังไม่ตื่น ผมชวนยูโรตักบาตรพระเสร็จแล้วว่าจะไปหาอะไรกินด้วยกันเสียเลย



“เสาร์อาทิตย์นี้พี่จะไปด้วยมั้ยครับ” ยูโรชวนคุยขณะยืนรอพระ



“คงโผล่ไปดูเป็นพักๆ มั้ง ยังไงงานนี้ก็ไม่อยู่ในความรับผิดชอบของพี่ …”



บทสนทนาของเราหยุดลงเมื่อพระสงฆ์สองรูปเดินมา เมื่อรับพรเสร็จผมกับยูโรก็ไปนั่งกินกวยจั๊บเจ้าเด็ดแถวหน้ามอด้วยกัน ทำไมวันนี้รู้สึกชิวจัง ดูเรื่อยๆ เอื่อยๆ ยังไงไม่รู้อารมณ์สโลว์ไลฟ์มากครับ



“พี่ทีแยกสองคนนั้นยังไงอ่ะ ดูตรงไหนหรอพี่ ผมอยู่กับพวกมันมาเกือบเดือนแล้วยังแยกไม่ออกเลย” ยูโรถามผมด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆ พลางตักซุปรสเข้มข้นขึ้นมาซดเสียงดัง



“ภูผามีปานเล็กๆ ที่ข้อมือซ้ายนะถ้าจำไม่ผิด”



“เวลาพี่จะเรียกชื่อมันพี่ก็มองมือก่อนอ่ะนะ?”



“เมื่อก่อนก็ทำงั้นแหละ แต่เดี๋ยวนี้ ไม่มองก็พอแยกออกว่ะ”



ผมนั่งซดกวยจั๊บเงียบๆ ตาก็มองข่าวในทีวีไปด้วย จู่ๆ ไอ้ยูโรก็พูดขึ้นมาอีก



“สองคนนั้นมันชอบพี่อ่ะ รู้ตัวปะ”



“พรวดดดดดดดด!!! แค่กๆ ๆ …” น้ำซุปปนกับเส้นกวยจั๊บพุ่งออกจากปากผมไปอยู่บนหน้าเจ้าของประโยคเมื่อครู่ด้วยความตกใจ



“เย้ยยยย! พี่ทำไรเนี่ย แหยะะะะะ” ไอ้ยูโรกระโดดตัวลอยด้วยความตกใจเลยครับ ไอ้ห่า ก็เมื่อกี้มึงพูดอะไรออกมาล่ะ กูก็ตกใจสิวะ!



“ก็มึงพูดอะไรชวนอ้วกทำไมล่ะ ไอ้พวกนั้นมันยังเด็กก็คงปลื้มกูเหมือนที่ปลื้มพวกดาราเกาหลีอ่ะเเหละ …ฮ่าๆ ๆ เออๆ โทษทีๆ นะ” ผมอดจะขำท่าทางมันไม่ได้ ดูไม่จืดเลยว่ะ หน้าเน่อเสื้อผ้าเลอะหมด ทำไมผมถึงมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นได้ลงคอนะหึๆ



“มื้อนี้พี่เลี้ยงผมเลยนะ” มันเบ้ปากทำหน้าหยะแหยง



“เออๆ เลี้ยงก็เลี้ยง หึๆ ๆ ” ผมหัวเราะขำในลำคอก่อนจะจ่ายเงินและพามันกลับมาล้างเนื้อล้างตัวที่คอนโดด้วย









“พี่ทีออกไปไหนมะ…” พอผมเปิดประตูเสียงภูผาก็ดังออกมา ก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นว่าผมไม่ได้กลับมาคนเดียว



“โย่ว” ไอ้ยูโรทักอย่างกวนตีนก่อนจะมองหาห้องน้ำแล้วเดินตรงไปทันที



“ภูครามยังไม่ได้กินข้าวเช้าใช่มั้ย อ่ะ พี่ซื้อกวยจั๊บมาฝาก เจ้านี้อร่อยนะหมดแต่เช้าเลย” ผมวางถุงอาหารไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินไปหยิบชามในครัว ได้ยินเสียงสองแฝดคุยกับไอ้ยูโรดังมาแว่วๆ



“มึงมาทำเหี้ยไรวะ”



“พี่ทีพ่นน้ำกวยจั๊บใส่กู เขาเลยพากูมาล้างไง”



“มึงไปเจอพี่เค้าที่ไหน?”



“มึงจะอยากรู้ไปทำไมวะไอ้คราม”



“เฮ้ยยยยย มึงรู้ได้ไงว่ากูคราม”



“กูเก่ง”



“พี่ทีบอกมึงใช่มั้ย”



“ป๊าวววว เอาเสื้อมาให้ยืมตัวดิ๊ภู เสื้อกูเลอะ”



“เฮ้ยนั่นมันห้องพี่ที”



“มึงหลอกกูไม่ได้หรอก พี่ทีไม่มีทางเอาโปสเตอร์ต๊องๆ แบบนี้มาติดหน้าประตูหรอก แบร่”



ผมว่าไอ้แฝดนรกเจอสหายที่สมน้ำสมเนื้อกันแล้วล่ะครับ







(บทคราม)

วันนี้แทนที่พวกเราจะได้สวีวี่วีกับพี่ทีในโอกาสที่นานๆ พี่ทีจะไม่มีเรียน ไอ้ยูโรก็แม่งทำลายโอกาสผมพังไม่มีชิ้นดีด้วยการสิงสถิตอยู่ในห้องโดยอ้างว่ามันไม่มีอะไรทำ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วขอนั่งเล่นด้วยคนที่นี่แล้วกันดูคึกคักดี= = อยากจะเอาตีนยันออกนอกห้องจริงๆ พับผ่า



“ไอ้ขวด มึงจัดกระเป๋าเสร็จแล้วหรอวะถึงมานั่งกระดิกตีนที่ห้องกูเนี่ย” ไอ้ภูเหน็บแนมเมื่อสบโอกาสพี่ทีลงไปเข้าเล่มรายงานที่ร้านข้างล่าง



“ถ้ากูยังจัดไม่เสร็จมึงจะไปช่วยกูจัดหรือไง” โอ๊ย! ไอ้ขวดนี่มันกวนตีนชิบเป๋งเลยว่ะ



“ช่วยตัวเองเหอะมึง!!”



“ก็ทำอยู่ทุกเช้านะ ซี๊ดอ๊า ซี๊ดโอ๊วววว” มีการเอามือล้วงเข้าไปในกางเกงประกอบคำอธิบายด้วยนะครับ ยี๊แหวะ!! อุจาดตาเป็นบ้าเลยโว้ย บัดสีๆ ถ้าเป็นพี่ทีทำกูจะไม่ว่าเลย (เอ๊ะ ยังไง)



“เห้ยหยุด! เดี๋ยวเกงกูเปื้อน!” ไอ้ภูร้องเสียงหลง ไอ้ขวดหัวเราะอย่างสะใจก่อนจะทำท่าเช็ดไม้เช็ดมือบนเสื้อรด.ของไอ้ภู



= [] =! << นี่คือหน้าไอ้ภู เจ้าของเสื้อและกางเกงที่อยู่บนตัวไอ้ขวดครับ



“มึงเอาไปเลยนะ มึงเอาไปเลย กูไม่ใส่ต่อมึงแล้ว” ไอ้ภูทำหน้ารับไม่ได้อย่างรุนแรง พวกเราเป็นคนรักสะอาดน่ะครับ มาเจอท่าล้วงเป้าแล้วเอามาป้ายเสื้อแบบนี้น้องแฝดรับไม่ได้จีๆ ถึงจะรู้ว่าไอ้ขวดมันแกล้งทำก็เถอะ



“ไม่เป็นไรเดี๋ยวกูซักมาคืน”



“ไม่ต้องคืน เดี๋ยวปั๊ดเผาทิ้งแม่ง”



พวกผมกัดๆ หยอกๆ กันไปเป็นพักๆ เพลินดีไปอีกแบบ ไปๆ มาๆ ไอ้ขวดก็มาช่วยพวกผมจัดกระเป๋าด้วย เลยเสร็จเร็วกว่าที่คิด พอจัดเสร็จแล้วพวกเราก็นอนแผ่ตากแอร์กันในห้องพวกผมอย่างไม่รู้จะทำอะไร



“มองหน้ากูไมวะ” ผมถามเมื่อหันไปเห็นไอ้ขวดมองมาที่ผมนิ่งๆ ด้วยตาปรือๆ มึนๆ ตามฉบับมัน



“เมื่อเช้ากูออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งแล้วเจอพี่ทียืนรอใส่บาตรอยู่หน้าคอนโด…” ไอ้ภูละสายตาจากจอไอโฟนหันมามองไอ้ขวดเงียบๆ



“แล้วไงต่อ” ไอ้ภูเร่ง ไอ้ขวดมองหน้าพวกผมพลางทำหน้าจริงจัง



“กูไม่รู้ว่ากูควรบอกพวกมึงดีมั้ย” พูดมาขนาดนี้แล้วยังจะมาถามอีกนะว่าควรบอกมั้ยไอ้นี่! แต่พอเห็นหน้าตาดูลังเลของมันพวกผมก็อดไม่ได้ที่จะกังวล มันต้องเป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวกับพี่ทีแน่ๆ



“ก็บอกมาเร็วๆ สิวะ พี่ทีพูดอะไรกับมึง”



“พี่เค้าพูดว่า…”



“ว่า?”



“ว่า…”



“ว่า!!???”



ก๊อกๆ ๆ



“ภู คราม ยูโร กินข้าว! พี่ซื้อข้าวกลางวันมาแล้ว”



ไอ้ขวดทำหน้าลำบากใจ



“ไว้กินข้าวเสร็จกูค่อยบอกแล้วกัน ตอนนี้หิวว่ะ”



สาดดดดดดดดดดดดดด!!!! กรูเกลียดเมิง!!!





พอกินข้าวล้างจานเสร็จปุ๊บพวกผมก็ไม่รอช้ารีบลากไอ้ห่ายูโรเข้าห้องทันที



…อย่าเข้าใจผิด พวกผมไม่ได้นึกพิศวาสมันขึ้นมา นายเอกของเรื่องยังคงต้องเป็นพี่ทีเท่านั้นไม่งั้นกูยอมเอาจวยทิ่มดินดีกว่ายอมทิ่มไอ้ยูโร



“รีบๆ บอกว่าสักทีสิวะ เมื่อเช้ามึงคุยไรกับพี่ที เกี่ยวกับพวกกูป่ะ” ผมเขย่าตัวมันเป็นการเร่ง



“เออ ก็เมื่อเช้ากูออกมาจ๊อก…”



“โอ๊ย!! ไม่ต้องย้อน ไม่อยากรู้!”



“เออๆ ๆ เมื่อเช้ากูเจอพี่ที่ยืนรอใส่บาตรอยู่ใช่ป่ะ แล้วทีนี้…” ไอ้ขวดขมวดคิ้ว พวกผมเลยพลอยขมวดตาม



“ทีนี้?”



ไอ้ขวดถอนหายใจ ก่อนจะมองหน้าพวกผมนิ่งๆ



“พวกมึงตั้งสติดีๆ นะ”



“เออ!! เลิกลีลาได้แล้ว!” พวกกูลุ้นกันจนขี้จะหักในแล้วไอ้สัสสสส



“พี่ทีก็บอกกูว่า……………มาตักบาตรด้วยกันมั้ยยยย~~*:,* ” ประโยคแรกมันพูดเสียงเรียบๆ หน้านิ่งๆ ครับ ส่วนประโยคหลังมันใส่ทำนองFrozen



“ไอ้ขวดดดดด มึงตายยยยยยย!!) (*&^%F#$F&^%” แล้วผมกับไอ้ภูก็ช่วยกันเอาหมอนฟาดมัน ไอ้ขวดนอนหัวเราะจนตัวงอได้แต่เอามือปัดๆ หมอนที่ฟาดเข้าใส่



“ย๊ากกกก!!” ไอ้ภูหยิบผ้าห่มขึ้นมากางแล้วกระโดดทับไอ้ขวดจนที่มันนอนหัวเราะอยู่ต้องร้องอ๊อกด้วยความจุก พอไอ้ภูกลิ้งออกมาผมก็รีบเอาหมอนวางทับก้อนผ้าห่มที่คลุมตัวมันไว้ ไอ้ภูช่วยผมเอาหมอนบนเตียงมาวางซ้อนๆ บนตัวไอ้ขวดซึ่งก็พยายามดิ้นไปดิ้นมาอยู่ได้ผ้าห่ม



พอตั้งหมอนบนเตียงถูกใช้หมดไปแล้วพวกผมก็ทำสิ่งสุดท้าย



กระโจนขึ้นไปทับชั้นบนสุด!



“แอร่กกกก ยอมแล้วๆ ” ไอ้ขวดร้องเสียงอู้อี้ดังมาจากใต้ผ้าห่ม ผมรื้อหมอนออกขึ้นไปทับหลังไอ้ขวดที่นอนหอบแฮ่กๆ อยู่ใต้กองผ้าห่ม



“ยอมมั้ย!”



“ยอมๆ ๆ ฮ่าๆ ๆ ” ไอ้ขวดแม่งยังขำไม่เลิก แต่ก็ยอมยกไม้ยกมือทำท่ายอมแพ้แต่โดยดี อันที่จริงถ้าเป็นคนอื่นมากวนตีนมากๆ พวกผมอาจจะต่อยปากแตกไปแล้ว แต่กับไอ้ขวดมันทำไม่ลงอ่ะครับ ผู้ชายตัวผอมๆ โย่งๆ หน้าตาปรือๆ แต่มองแล้วโคตรฮาอย่างมันใครจะไปต่อยลง…ยังไงมันก็เพื่อนคนแรกของพวกผม



ไอ้ขวดลุกขึ้นมานั่งหายใจหายคออยู่ครู่หนึ่งก่อนมันจะยอมพูดยอมจาดีๆ สักที



“เมื่อเช้ากูบอกพี่ทีว่าพวกมึงอ่ะชอบพี่เขา…” ผมกับไอ้ภูชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเร่งให้มันพูดต่อ



“เออ พวกกูก็เคยบอกพี่ทีไปแล้วเหมือนกัน… แล้วพี่ทีว่าไงบ้างล่ะ”



ไอ้ขวดยักไหล่ทำหน้าจนใจ



“พี่เค้าไม่เอาพวกมึงเลยว่ะ”



“หมายความว่าไงวะ”



“พี่แกพูดเหมือนว่าพวกมึงรักเค้าไม่จริง รักแนวๆ ปลื้มดาราเกาหลีไรงี้อ่ะ ดูท่าคำว่าชอบของพวกมึงนี่ดูจะไม่มีน้ำหนักในสายตาพี่เค้าเลยนะ”



“พวกกูพูดจริงทุกคำนะเว้ย!” โอ๊ย! ฟังแล้วเฮิร์ทว่ะ นี่ขนาดบอกไปตรงๆ แล้วนะยังจะทำซื่อบื้ออีกหรอพี่ที



“นั่นมึงจะวิ่งไปบอกรักพี่เค้าอีกรอบหรือไงไอ้คราม”



“เออ! กูจะไปอธิบายให้เค้าฟังว่ากูชอบเค้าในความหมายไหน”



“พี่ทีไม่เชื่อมึงหรอก” ไอ้ขวดพูดเรียบๆ ด้วยหน้ามึนๆ มันเดินมาลากผมกลับมานั่งบนเตียงอีกครั้ง



“แล้วกูต้องทำยังไงเขาถึงจะเชื่อ” ผมถามอย่างสงสัย



“เอางี้ กูจะช่วย…แต่มีข้อแม้ว่าพวกมึงต้องทำตามที่กูขออย่างนึง”



“มึงจะเอาอะไร ประเภทบ้านที่ดินไม่มีให้นะเว้ย” ไอ้ภูทำหน้าระแวง



“เออหน่า กูมั่นใจว่าพวกมึงให้กูได้แน่ๆ ตกลงสนใจมั้ยล่ะ เร็วๆ ก่อนที่กูจะเปลี่ยนใจ กูไม่ค่อยช่วยอะไรใครง่ายๆ นะเว้ย”



“เออๆ ๆ พวกกูตกลง”







(วันเข้าค่าย)

อยู่บ้านน ดีๆ ไม่ชอบ เสือกมารับน้อง คราวนี้เสร็จล่ะมรึง



เสร็จล่ะมรึงคราวนี้เสร็จล่ะมรึง ~~

เสร็จล่ะมรึงคราวนี้เสร็จล่ะมรึง ~~

เสร็จล่ะมรึงคราวนี้เสร็จล่ะมรึง ~~







(บทภู)



ใครว่าอยู่บ้านดีๆ กูไม่ชอบวะ กูชอบอยู่บ้านนะ แต่มึงต่างหากไอ้รุ่นพี่ เสือกบังคับกูมารับน้อง!



“ไงไอ้แฝด” ไอ้นี่เด็กวัสดุ



“ดีเว้ยไอ้เป้ง”



“หวัดดีครับเพื่อนแฝด” ไอ้นี่เด็กเคมี



“หวัดดีครับเพื่อนนี๊ด”



“ไอ้ภู ไอ้คราม” ไอ้นี่เด็กไฟฟ้า



“มาเช้านะมึงไอ้ชิ”



“โย่ บีหนึ่งบีสอง” อ้าว พี่ประธานปีสามก็มาดูแฮะ



“หวัดดีครับพี่พีท”



“เสร็จแน่มรึง อยู่บ้านดีๆ ไม่ชอบ ฮ่าๆ ๆ ” พี่พีทพยักหน้ารับไหว้ก่อนจะเดินหัวเราะจากไป



“ไอ้แฝดมานี่! มาลงทะเบียนก่อน เอาแต่คุยกับเพื่อนอยู่นั่นแหละ” พี่ปีใหม่ถือโทรโข่งกวักมือเรียกหยอยๆ



“คนไหนจารุวัฒน์?” พี่เอิ้บเงยหน้าขึ้นมาถาม



“ผมๆ ” ไอ้ครามยกมือ



“ตอแหล มึงชื่อจารุวิทย์ไม่ใช่หรอไอ้คราม” ไอ้ขวดปรากฏตัวในชุดนักเรียนยับๆ ยืนต่อแถวอยู่ข้างหลัง



“แน่ะ! หลอกพี่เหรอจ๊ะตัวแสบ” ดีนะที่พี่เอิ้บแกใจดีก็เลยไม่ได้ว่าอะไรแค่ยิ้มขำกับวีรกรรมของรุ่นน้องตั้งแต่ตอนไปค่ายอาสา



หลังจากเอาปากกาตีหัวผมกับไอ้ครามคนละทีด้วยท่าทางน่ารักน่าชังแล้วพี่แกก็ยื่นป้ายห้อยคอพร้อมกับผ้าผืนหนึ่งขนาดเท่าผ้าเช็ดหน้าขนาดใหญ่



“น้องภูอยู่กลุ่ม ‘สีเหียว’ ส่วนน้องครามอยู่ ‘สีเหียบ’ นะ”



อะไรวะ สีเหียว? ....เสียว…โอเค กูเก็ตละ รุ่นพี่แม่งก็คิดได้เนอะ!



“อ้าว คิกๆ น้องยูโรนี่เอง ชื่อภานุชิตใช่มั้ย เราอยู่ ‘สีหิบ’ นะ” ผมกับไอ้ครามกลั้นหัวเราะกันจนตัวสั่น สีหิบ…สิบ… ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ



“วันนี้มีกี่สีเนี่ยพี่” ผมอดถามไม่ได้



“7สี สีเหียบ สีเหียว สีแหบ สีหิบ สีหับ สีเหย สีหิง รู้แล้วก็ไปเข้าแถว คนอื่นเค้ารอคิวอยู่ไอ้พวกนี้หนิ” พี่ปีใหม่ตอบแทนก่อนจะไล่พวกเราไปเข้าแถวตามสี



ตอนนี้ถึงจะไม่ได้อยู่สีเดียวกับไอ้ขวดไอ้ครามก็ไม่มีปัญหาเพราะผมรู้จักเพื่อนกับรุ่นพี่เกือบทั้งค่ายตั้งแต่ตอนไปค่ายอาสาด้วยกันแล้ว เพียงแค่หย่อนตูดลงนั่งในแถวผมก็มีคนเม้ามอยด้วยทันที



หลังจากคณบดีขึ้นมากล่าวเปิดงานไม่นานรุ่นพี่ก็พาพวกเราไปยังห้องที่ใหญ่เหมือนฮอลล์และที่สำคัญ การจัดเรียงโต๊ะเหมือนห้องที่เอาไว้สอบไม่มีผิด



“ทำความเคารพพี่ปีสี่ ปฏิบัติ!”



อ่อ ที่แท้พวกที่ใส่ช็อปทำหน้าหยิ่งๆ ยืนล้อมรอบห้องนี่คือพี่ปีสี่สินะ



“สวัสดีนักศึกษาปีหนึ่งทุกคน ผมนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ วันชนะ เมธาจุติ ประธานชั้นปีที่สี่ วันนี้จะมาเป็นหัวหน้าคณะกรรมการคุมสอบ pre-test engineer”



กล่าวจบเสียงฮือฮาอย่างตกใจก็ดังกระหึ่มฮอลล์ ไม่เห็นรู้เลยว่าเขามีจัดสอบกันด้วยo_O



“เงียบ!!! ห้ามใช้เสียงในห้องสอบ มิเช่นนั้นจะถือว่ากระทำการทุจริต”



ทุกคนพากันเงียบโดยมิได้นัดหมายทันที



“ต่อไปนี้จะเป็นรายละเอียดการสอบ…ข้อสอบฉบับนี้มีทั้งหมดสองตอน ตอนที่หนึ่งปรนัย 20 ข้อ ห้าตัวเลือก ข้อละหนึ่งคะแนน เกี่ยวกับความรู้พื้นฐานวิศวะทั่วไป ออกโดยอาจารย์ดอกเตอร์ปกรณ์ ศิลป์ฉาย ตอนที่สองอัตนัย 20 ข้อ คะแนนตามที่ระบุแต่ละข้อ เต็ม 80 คะแนน รวมทั้งหมดร้อยคะแนน หารสิบ เก็บเป็นคะแนนในส่วนภาควิชาฟิสิกส์เบื้องต้น ให้เวลาทำข้อสอบสองชั่วโมง จะเริ่มทำการสอบตอนเก้าโมงตรง เก็บกระดาษคำตอบสิบเอ็ดโมงตรง…”



พี่ประธานปีสี่เงียบไปอึดใจ ก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ ห้องด้วยสายตาเย็นเยียบ ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนขี้ร้อนแต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าแอร์มันเย็นผิดปกติ



คะแนนเก็บสิบคะแนนเลยนะ ถ้าพลาดนี่คงเสียดายแย่ พี่ทีจะรู้มาก่อนมั้ยว่ามันมีสอบพรีเทสต์ด้วย? อ้าว แต่ถ้ารู้พี่เค้าก็ต้องบอกให้เตรียมตัวมาดีๆ ก่อนแล้วน่ะสิ หรือว่าพี่เค้าจะลืม…แต่อย่าพี่ทีเนี่ยนะจะลืม



“ขอย้ำอีกครั้ง ห้ามกระทำการทุจริตใดๆ เด็ดขาด ไม่ว่าจะแอบมอง แอบบอก แอบส่งซิก หันมองรอบข้าง ทำตัวหลุกหลิกก็ไม่ได้ทั้งนั้น หากจับได้จะไม่มีการปราณีใดๆ ทั้งสิ้นต้องถูกลงโทษตามระเบียบนักศึกษาทันที ในที่นี้ขั้นหนักสุดคือพักการเรียนหนึ่งเทอม หากทำไม่ได้ก็จงยอมรับว่าทำไม่ได้ อย่าพยายาม อย่าฝืน เพราะไม่มีทางที่พวกคุณจะรอดพ้นสายตากรรมการคุมสอบ…เข้าใจตรงกันนะครับ”



ผมสะดุ้งเบาๆ เมื่อกี้ผมยังแอบส่งสายตาคุยกับไอ้ครามที่นั่งเฉียงไปทางด้านหลังอยู่เลย





“ขณะนี้เวลา เก้านาฬิกา เริ่มทำการสอบครับ”


------------------------------------------------------------------------
ร่วมพูดคุยกันได้ที่#เกียร์คู่ (@candleguard)


หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )ตอนที่23 รับน้อง1 [25/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-02-2018 20:41:32
เอิ่มมมม........เป็นประเพณีแล้ว
ที่รับน้องทุกมอ ละม้างงงง ต้องการเอาคำผวนมาใช้
ให้เป็นที่สะเทือนรูหู เวลาพูดก็กลัวพูดตำจริงออกมาอีก
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )ตอนที่23 รับน้อง1 [25/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: klaew ที่ 26-02-2018 00:36:36
หึๆๆๆ
เอางี้เลยดิ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )ตอนที่23 รับน้อง1 [25/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-02-2018 01:35:10
จะสอบผ่านไหมเนี่ยเด็ก ๆ  :z3:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )ตอนที่23 รับน้อง1 [25/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 26-02-2018 15:25:49
ปกติพรีเทสต์แบบนี้ไม่นับจริงจังหรอก ขู่มากกว่า เขาน่าจะดูพื้นฐานเดิมกัน
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P )ตอนที่23 รับน้อง1 [25/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 26-02-2018 18:25:01

                                                                  ตอนที่ 24 รับน้อง 2
 


(ฟ้าคราม)



อื้อหือ เห็นแค่ปกข้อสอบก็ไม่อยากทำแล้ว



ผมกลั้นใจพลิกไปอ่านข้อสอบหน้าแรกแล้วก็พบว่าข้อสอบมัน….ยากเหี้ยๆ!!!



โอ้ มาย กอชชชชช ข้อสอบอะไรวะเนี่ยยยย แน่ใจนะว่าของปีหนึ่ง นึกว่าของปีสี่ ข้อนึงแม่งยาวครึ่งหน้าแถมข้อสอบยังเป็นภาษาอังกฤษล้วนอีกต่างหาก ผมคงต้องใช้สุดยอดวิชาที่สืบทอดกันมายาวนานในตระกูลเพื่อคว้าสิบคะแนนในครั้งนี้ให้ได้แล้วล่ะ !



“ข่อถูกยู่ไหน่ ข่อถูกยู่ไหน่ …อยู่นี่จ๊ะ อยู่นี่จ๊ะ” (โปรดใส่ทำนองเพลงนิ้วโป้งอยู่ไหนประกอบ) ได้ข้อเอหรอ…งั้นกา



ผมเปลี่ยนเพลงไปเรื่อยๆ แอบเหลือบมองไอ้ภูที่นั่งเยื้องไปทางด้านหน้า มันกำลังใช้สุดยอดวิชาเดียวกับผมเลย



เหลือบมองไปข้างๆ ก็ต้องตกใจไอ้ขวดแม่งทำไปถึงอัตนัยแล้วอ่ะ! เฮ้ย เพิ่งผ่านไปห้านาทีมึงทำช้อยเสร็จหมดแล้วเรอะ!



“ห้ามแอบมองกันนะคะ” เสียงพี่ผู้หญิงที่หน้าโหดๆ ดังขึ้นใกล้ตัวจนผมตรงแกล้งทำเป็นตั้งใจทำข้อสอบของตัวเอง



ไอ้ขวดมันต้องทำไม่ได้เหมือนกูแน่ๆ เออ ข้ามไปทำอัตนัยก่อนดีกว่า อาจจะง่ายก็ได้ ว่าแล้วผมก็พลิกไปหน้าหลังๆ ทันที



ข้อที่ 1 นาฬิกาตี 13 ครั้ง เวลานั้นเป็นเวลาอะไร



เห้ยยยยย แล้วกูจะใช้สูตรไหนคำนวณอ่ะ สูตรนิวตัน หรือ ไอสไตน์-*-



ข้อที่ 2 ปีอะไร มีหลายสี



เอ๊ะ นี่มันเรื่องแสงและทัศนอุปกรณ์ป่าววะ?



ข้อที่ 3 ต้นอะไรออกลูกเป็นแมว



ก็ต้นตระกูลแมวไง…เฮ้ย! เดี๋ยวนะ นี่มันคำถามกวนteenไม่ใช่หรอวะ!



แล้วผมก็ถึงบางอ้อ!! มิน่าล่ะไอ้ยูโรมันถึงข้ามมาทำด้านหลังเลย เพราะแบบนี้นี่เอง!!



โอ๊ยยยย รุ่นพี่แม่งแสบจริงๆ หลอกกันได้นะ บิ้วซะกูเครียดเลย



พอผมตอบคำถามกวนโอ๊ยถึงข้อสิบ ข้อสิบเอ็ดก็ทำให้ผมต้องยิ้มออกมา



ข้อที่ 11 จงเลือกวาดภาพต่อไปนี้ ถุงยางอนามัย (1คะแนน) , ถุงยางอนามัยใช้แล้ว (10คะแนน) ,ถุงยางอนามัยขณะกำลังใช้ (100 คะแนน)



แหม ผมมันคนอยากได้คะแนนเยอะๆ ด้วยสิ งั้นกูวาดสามอย่างเลยละกัน!



ข้อที่ 12 ลอกรูปที่อยู่บนข้อสอบหน้า13ของเพื่อนให้ได้มากที่สุด (รูปละ1คะแนน)



ผมมองรูปต้นไม้ที่อยู่บนหัวข้อสอบมุมขวาหน้าที่ผมกำลังทำอยู่ อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง …ผมเหลือบมองโต๊ะข้างๆ แล้วก็พบว่าไอ้ขวดเหลือบมาทางผมอยู่ก่อนแล้ว มันเอามือปิดรูปของมันไว้ในขณะที่ลงมือวาดรูปต้นไม้ลงในข้อสอบตัวเอง แม่งโคตรงก!!



“น้องครับ ห้ามหันซ้ายหันขวานะครับ” ไอ้พี่ปีสี่ที่คุมสอบนี่ก็ตีบทแตกกระจาย รู้ทั้งรู้ว่ากูต้องหันไปมองรอบๆ เพราะข้อสอบมันบอกให้ทำอะไร!



ผมพยายามจะเหลือบมองเพื่อนรอบข้างก็พบว่าทุกคนยังนั่งงมช้อยภาษาอังกฤษกันอยู่เลย เฮ้อ กูเร็วไปสินะ ข้ามไปทำข้ออื่นก่อนก็ได้วะ





(ภูผา)



โอ๊ย ทำไมข้อสอบมันยากงี้วะ แค่นั่งแปลก็จะตายอยู่แล้วนะขนาดพรีเทสต์ยังทำไม่ได้ กูจะมีชีวิตรอดในมหา’ ลัยจนจบสี่ปีได้มั้ยเนี่ย



“ง่าย – จัง - โว๊ยยยยยยย! ” ผมสะดุ้งสุดตัว หันไปมองด้านหลังทันที ไม่ใช่แค่ผมหรอก เพื่อนๆ กว่าสามร้อยคนก็หันไปมองไอ้ขวดที่อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นตะโกนเสียงดังลั่นวิ่งถือกระดาษข้อสอบออกไปหน้าฮอลล์



“เงียบๆ หน่อยครับ! เพื่อนทำข้อสอบอยู่!” พี่วันชนะที่ยืนคุมอยู่ด้านหน้าสุดว่าเสียงเคร่ง ไอ้ขวดส่งกระดาษข้อสอบก่อนจะหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา ชูสองนิ้ว…



“แคปเจอรรรรรรรรร์ ” แล้วมันก็เปิดประตูเดินออกจากฮอลล์ไปเลยท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคน



มันทำข้อสอบจนเพี้ยนไปแล้วหรือไงวะ!!???



หลังจากหายตะลึง ทุกคนก็หันกลับไปทำข้อสอบอย่างคร่ำเคร่งพลางคิดในใจว่า ง่ายตรงไหน!



“ฮา – จัง - โว๊ยยยยยย!!! ” ทุกคนสะดุ้งหันมามองอย่างพร้อมเพรียงอีกครั้ง ไอ้ครามมึงก็ติดเชื้อบ้าไอ้ขวดไปอีกคนหรอวะ-*- แล้วข้อสอบมันมีตรงไหนให้ฮา ถามหน่อย



“ใครหันไปมองถือว่าทุจริตข้อสอบนะครับ!!”



ผมรีบหันหน้ากลับไปทันที ไอ้ครามเดินเฉิดฉายไปส่งกระดาษข้อสอบ ก่อนจะหยิบไอโฟนขึ้นมา…



“แคปปปเชอรรรรร์! ” สำเนียงเป๊ะเว่อร์! ก่อนที่มันจะเปิดประตูตามหลังไอ้ขวดออกไปอีกคน



ผมชักรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ แล้วแฮะ เมื่อเริ่มได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากเพื่อนรอบๆ ตัว ผมเลยเปิดไปดูข้อสอบอัตนัยหน้าหลังๆ



ข้อที่ 1 นาฬิกาตี 13 ครั้ง เวลานั้นเป็นเวลาอะไร



ข้อที่ 2 ปีอะไร มีหลายสี



ข้อที่ 3 ต้นอะไรออกลูกเป็นแมว



ข้อที่ 4 ขนอะไรเกิดในที่ลับ



….



ข้อที่ 19 ตะโกนสามคำที่อยากบอกกับคนออกข้อสอบให้เพื่อนได้ยินทั้งห้อง (ไม่เช่นนั้นกรรมการคุมสอบจะไม่อนุญาตให้ออกจากห้องสอบ)



ข้อที่ 20 เดินไปส่งกระดาษคำตอบหน้าห้อง เซลฟี่ตัวเองและพูดว่า ‘capture’ ด้วยสำเนียงที่เป๊ะที่สุดก่อนจึงจะออกจากห้องสอบได้



ผมว่า สำหรับผมแค่สามคำคงบรรยายความรู้สึกที่มีต่อข้อสอบฉบับนี้ไม่พอ…



มึง – หลอก – กรูววววววววววว!!!









หลังจากทำข้อสอบมหาประลัยจบไปพวกรุ่นพี่ก็พาพวกเราไปเก็บสัมภาระและเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องประชุม เฮ้อ ต้องนอนพื้นแข็งๆ รวมกับพวกตีนเหม็นๆ อีกแล้วหรอวะ เศร้าแปบTT



พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จพวกเราก็ถูกจับเข้าฐานต่างๆ โดนสีหนึ่งจะถูกแบ่งเป็น 4 กลุ่มย่อยเช่นของผมอยู่สีเหียวA เวลาเข้าฐานจะไปกันเป็นกลุ่มย่อย ต้องสะสมคะแนนแต่ละฐานให้มากที่สุด จากนั้นจะเอามารวมกันเป็นคะแนนของสี



ผมจะขอเล่าคร่าวๆ ละกันว่ารุ่นพี่แม่งทำอะไรกับพวกเราบ้าง



ตั้งแต่ตอนกินข้าวเลย ให้ท่องบทข้าวทุกจานอาหารทุกอย่างอย่ากินทิ้งขว้างจากหลังมาหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน กว่าจะได้กินข้าว ผมเกือบจะก่องข้าวน้อยฆ่ารุ่นพี่หลายครั้งละ



หลังจากนั้นพวกผมก็ไปเข้าฐานแต่งตัว ซึ่งดั๊นบังเอิญโคจรไปเจอกลุ่มไอ้ครามเข้าพอดี พวกเราเลยถูกส่งเป็นตัวแทนกลุ่มให้มาปะทะกันเอง กติกาคือพี่เขาจะให้ดูรูปสามสิบวิคนในกลุ่มต้องช่วยกันจำรายละเอียดให้มากที่สุด เสร็จแล้วต้องแต่งพวกผมออกมาให้เหมือนรูปภายในสามนาที ต้องโพสต์ท่าให้เหมือนด้วยนะ ผมอยากจะร้องไห้เมื่อต้องถูกจับใส่ผ้าถุง ทาลิปสติก ยัดลูกโป่งที่นม เอายกทรงครอบศีรษะ มือซ้ายถือปลัดขิก มือขวาอุ้มครก ใส่ถุงเท้าข้างละสี โพสท่าชูมือสองข้างยกขาซ้ายขึ้นข้างนึง



ผมว่าของผมอุบาทว์แล้วนะ แต่ไอ้ครามนี่ดูไม่ได้เลย ก๊ากๆ ๆ ๆ ก็มันถูกจับนุ่งผ้าแถบ พาดสไบสีเขียวสะท้อนแสง ใส่กระโปรงลายจุดหญิงป้า พันผ้าพันคอสีม่วง ถือกระเป๋าน้ำเงิน ตรงหน้าอกต้องเอาทิชชูยัด แถมยังต้องเอาไฟฉายใส่ไว้ที่ร่องอก ใส่ถุงน่องตาข่ายกับวิกผมสีเขียว ทาปากสีเหลือง โพสต์ท่าพับเพียบสยามครับ โอ๊ย ฮาแปบ



แต่ที่น่าเจ็บใจที่สุดก็คือ กลุ่มไอ้ขวดแม่งเดินเปลี่ยนฐานพอดีเลยเห็นสภาพผมกับไอ้ครามเข้า มันกลั้นยิ้มจนปากเบี้ยวส่วนพวกผมได้แต่กัดฟันกรอดๆ



ถัดมาก็เป็นพวกฐานเหยียบลูกโป่ง วิ่งวิบาก วิ่งสามขา ปิดตาแต่งหน้า ประมาณค่าตัวเลข วอลเล่ย์ลูกโป่งน้ำ ใบ้คำ ส่งหนังยางด้วยปาก แข่งช้อนน้ำไปเติมขวด ตอบคำถาม



ไอ้เกมตอบคำถามนี่แสบมากครับ ใครตอบผิดเจอสาดน้ำ บางทีตอบถูกแม่งก็ยังโดนสาด เพราะรุ่นพี่มันให้เหตุผลว่าอยากสาด=.= นอกจากนี้ยังมีฐานที่ไม่คิดคะแนนแต่ต้องเข้าอย่างฐานบูชาเจ้าแม่ครวยใหญ่ ทุกคนจะถูกต้อนเข้าไปในฐานที่เอาผ้าใบกั้นบังตาจากภายนอก พวกเราต้องแสดงบทบาทเป็นคณะทูตจากแดนไกลมากราบเจ้าแม่ครวยใหญ่เพื่อขอฝน ต้องท่องคาถาบูชาเจ้าแม่ที่ฮามากๆ แต่ห้ามหลุดหัวเราะเป็นอันขาด ใครหลุดหัวเราะก็จะโดนรุ่นพี่ที่แสดงเป็นเหล่าสาวกด่าว่าลบหลู่เจ้าแม่แล้วก็โดนสาดน้ำกับเอาขันตบหัว กว่าพวกเราจะได้ออกจากฐานนี้ก็แทบตายเพราะคนนั้นคนนี้ผลัดกันหัวเราะเลยต้องท่องคาถาบูชากันใหม่ แถมปิดท้ายพวกเรายังต้องเต้นระบำบูชาเจ้าแม่ด้วย



ตอนนี้ความอายของผมมันบินหายไปหมดแล้วล่ะครับ เหอๆ ๆ



ช่วงเย็นหลังจากอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อยแล้วรุ่นพี่ก็พาพวกเรามาล้อมวงกันกินข้าวที่สนามฟุตบอลของมหา’ ลัยพลางฉายวีดิทัศน์ให้ดูครับ



มันเป็นภาพตั้งแต่วันแรกที่พวกเรามาสัมภาษณ์กันเลยทีเดียว ผม ไอ้ขวด และ ไอ้ครามมานั่งกินข้าวใกล้ๆ กันพลางช่วยกันมองไปด้วยว่ามีรูปตัวเองถ่ายติดบ้างมั้ย



“เฮ้ย รูปพวกมึงอ่ะ” ไอ้ขวดกระทุ้งศอกใส่พวกผมที่ก้มลงไปตักข้าวกิน มันเป็นรูปที่พี่ทีเดินอยู่ตรงกลางแล้วมีพวกเราถือแฟ้มพอร์ตเดินขนาบข้าง พี่ทีเบนหน้าไปมองด้านข้างส่วนสายตาพวกเราทั้งคู่จับจ้องอยู่ที่พี่ที เห็นภาพนี้แล้วก็อดคิดถึงไม่ได้ มันเป็นภาพวันที่พี่ทีเดินพาพวกเราไปห้องสัมภาษณ์นี่เอง



ถัดจากภาพวันสัมภาษณ์ก็เป็นงานปฐมนิเทศ ภาพบรรยากาศในค่ายอาสา ภาพที่ทุกคนนั่งคอพับคออ่อนหลับเป็นตายในรถ ภาพทุกคนล้อมวงกันกินข้าวที่ลานวัด กิจกรรมละลายพฤติกรรม ภาพที่ทุกคนช่วยกันแบกไม้ ตอกตะปู ทาสี ภาพเพื่อนผู้หญิงช่วยกันทำกับข้าว เสิร์ฟน้ำ ผมชอบภาพนึงมาก เป็นภาพที่ผมกับไอ้ครามนอนหนุนตักพี่ที กับอีกภาพที่พี่มิ้นท์เช็ดเหงื่อให้พี่ปีใหม่ ภาพอันอัปยศที่เพื่อนๆ พี่ๆ พากันฮาครืนอย่างภาพที่พวกผมโดนผูกเชือกกางเกงเลติดกับพี่โซล ภาพที่ถ่ายตอนจบโครงการร่วมกับเด็กๆ ชาวเขา ภาพการเข้าฐานต่างๆ ในวันนี้ เป็นพันๆ ภาพ เยอะมากจริงๆ



พอกินข้าวเสร็จก็มีการจัดการแสดงของพวกรุ่นพี่จากกลุ่มต่างๆ ของคณะไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงประสานเสียง การแสดงดนตรีไทยดนตรีสากล (พี่ต้นเล่นไวโอลินเพราะมาก) กลุ่มเต้นบีบอย กลุ่มการแสดง กองสันทนาการที่เต้นได้รั่วมั่วและเสื่อมสุดๆ การแสดงคอนเสิร์ตของวงประจำคณะ



“ก็จบกันไปแล้วนะครับสำหรับการแสดงของทุกกลุ่มในคณะเรา นอกจากกลุ่มกิจกรรมแล้วก็ยังมีคณะกรรมการสโมสรวิศวกรรมศาสตร์ กับกีฬาต่างๆ ด้วยนะครับ วันนี้พี่ก็อยากให้น้องๆ ดูแล้วตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมกลุ่มไหนแล้วพรุ่งนี้พี่จะให้น้องกรอกใบสมัครนะ…ต่อไปเราจะให้แต่ละกลุ่มมาแนะนำตัวเองนะครับ”



“สวัสดีครับพี่มาจากกลุ่มสันทนาการ เรื่องอธิบายพี่ไม่ค่อยเก่ง งั้นขอเชิญหัวหน้ากลุ่มสันทนาการขึ้นมาพูดเองละกันเนอะ เอ้า …” พอพูดจบอยู่ดีๆ คนที่ยืนอยู่บนเวทีก็โยนไม้กลองมาทางกลุ่มปีหนึ่งอย่างที่ไม่ทันให้ตั้งตัว พวกผมเลยแตกฮือกันอย่างตกใจ



หมับบบ



ไอ้ยูโรเป็นคนเดียวที่ดูนิ่งกว่าใคร มันไม่หลบไม้กลองที่โยนลงมาแต่กลับรับไว้ได้อย่างแม่นยำ มันลุกขึ้นยืนท่ามกลางความเงียบของทุกคนที่มองมาอย่างงุนงง รุ่นพี่ไปเตี๊ยมเล่นอะไรกับมันหรือเปล่าวะ งง อะไร ยังไงเนี่ย???



มันเดินขึ้นไปบนเวทีโดยมีสมาชิกบางส่วนของกองสันยืนเป็นแบ็คกราวน์ ก่อนจะคว้าไมโครโฟนขึ้นมา



“โย่ว ทุกคนกูเองนะ”







“กูมีอะไรจะบอกพวกมึงแหละ …” มันเงียบไปอึดใจก่อนจะหันมองมาที่พวกผม



….



“กูเป็นหัวหน้าฝ่ายสันทนาการปีสอง”



!!!!!



“และกูก็ไม่ได้ชื่อยูโร…กูชื่อไก่…แต่เรียกกูยูโรต่อไปเหอะนะกูชอบชื่อนี้”



!!!!!!



“กูเป็นพี่เนียน อันที่จริงก็ไม่เชิงหรอก กูแค่ซิ่วเปลี่ยนสาขาไปเรียนปีหนึ่งใหม่ พวกเพื่อนๆ ที่อยู่ปีสองแม่งก็เลยบังคับให้กูเป็นพี่เนียน ทั้งที่จริงกูอยากจะแอ๊บเป็นเด็กเข้าใหม่ไปเลย…กูอาจจะทำให้พวกมึงบางคนรู้สึกไม่ดี รู้สึกเหมือนถูกหลอก กูก็ขอโทษและหวังว่าพวกมึงจะยกโทษให้ กูไม่มีเจตนาจะหลอกใครเพื่อความสนุก พี่เนียนทุกคนก็เหมือนกัน พวกกูแฝงตัวอยู่ในกลุ่มพวกมึงก็เพราะอยากจะดูแลให้ครบในส่วนที่พี่กลุ่มดูแลได้ไม่ทั่วถึง บางเรื่องพวกมึงอาจจะไม่กล้าบอกพี่กลุ่มแต่กล้าบอกเพื่อน นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่พวกกูต้องไปอยู่ในจุดๆ นั้นเพื่อพวกมึง”



“ถ้าสังเกตให้ดีพวกมึงจะรู้สึกว่ามีเพื่อนบางคนอาบน้ำรั้งท้ายเสมอ บอกได้เลยว่าพวกนั้นคือพี่เนียน แล้วถ้าสังเกตให้ดีๆ ใครที่ตอนแรกนั่งคนเดียวไม่มีเพื่อนคุยจะมีใครบางคนเข้าไปชวนมึงคุยและพยายามดึงเข้าไปในกลุ่มเพื่อนให้ได้ บอกได้เลยว่านั่นก็พี่เนียนอีกเหมือนกัน หรือบางคนอาจจะแพ้โน่นนี่ เจ็บขา ปวดแขน เป็นไข้ แต่เกรงใจรุ่นพี่ เพื่อนคนแรกสุดที่จะเป็นเดือดเป็นร้อนวิ่งเต้นขอยาให้มึงก็คือพี่เนียนอีกเหมือนกัน…กูไม่พูดต่อแล้วเดี๋ยวกูร้องไห้…เอาเป็นว่าเข้าเรื่องเลยละกัน..ตอนที่กูอยู่ในค่ายก็คงพอพิสูจน์ได้ใช่ป่ะ ว่ากูเต้นเก่ง ตอนปีหนึ่งกูก็เต้นไม่ค่อยเก่งหรอกนะ แต่อยู่ไปอยู่มามันก็ได้เองว่ะ เพราะงั้นใครจะสมัครกองสันก็มานะ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องอาย แค่มีแขนมีขาก็เต้นได้ทุกคน เชื่อกู”



เสียงปรบมือดังกระหึ่มไปทั่วทั้งบริเวณทันทีที่ไอ้ขวดพูดจบ มันเดินลงจากเวที แต่แทนที่จะเดินไปรวมกับพวกปีสองมันกลับเดินมาหาพวกผม



“ที่พวกมึงสัญญาว่าจะทำตามคำขอของกูข้อนึงน่ะ…”



“…”





“กูขอให้พวกมึงยกโทษให้กูได้ป่าววะ?”





--------------------------------------------------------

ในที่สุดก็ได้เปิดตัว ตัวละครลับคนนี้ซะที คนเขียนดีใจมว๊ากกกกกก > (++++) < ถ้าย้อนกลับไปดูจะเห็นว่าเราใบ้ไว้หลายจุดนานแล้วนะ …เจ้าหมอนี่แหละที่พี่ทีฝากฝังให้ช่วยดูแลเจ้าแฝด เเละเจ้าหมอนี่เเหละที่จะขาดไม่ได้ในเรื่องนี้ หึๆ ๆ ๆ



หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 24 รับน้อ [26/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 26-02-2018 19:06:53
เนียนมาก ยูโร
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 24 รับน้อ [26/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-02-2018 19:15:57
ก็คิดอยู่ว่าต้องเป็นพี่เรียนแน่ๆ เพราะหลายๆครั้งดูกล้าเกินเด็กปีหนึ่ง
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 24 รับน้อ [26/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 27-02-2018 04:18:33
หนูขวดของคนแก่ เนียนจริง ๆ เลย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 24 รับน้อ [26/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-02-2018 05:18:49
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 24 รับน้อ [26/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 27-02-2018 11:23:16
ยกนิ้ว ให้พี่เนียน
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 24 รับน้อ [26/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 27-02-2018 12:31:17
อืม อืม อืม
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 24 รับน้อ [26/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 27-02-2018 13:24:21
อ่านแล้วชอบนะเรื่องนี้ี้   :L2: :L2: :L2:



 
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 24 รับน้อ [26/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 27-02-2018 14:44:02
เนียนสุดเลยพี่
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 24 รับน้อ [26/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: airry ที่ 27-02-2018 15:21:27
 :katai2-1:รอจร้าาาาาาาาาาาาา

อยากเป้นพี่เนียนอ่ะ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 24 รับน้อ [26/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 27-02-2018 19:36:35
แฝดดดดด
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 24 รับน้อ [26/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 27-02-2018 20:27:14

                                                                ตอนที่ 25    ผู้ชายใจเย็น


(บทภู)



“กูขอให้พวกมึงยกโทษให้กูได้ป่าววะ?”



“…งั้นกูถามหน่อย...ที่มึงมาตีซี้พวกกู มันเพราะความบังเอิญ…หรือเพราะพี่ทีสั่งให้ทำ?” ผมอดระแวงมันไม่ได้จริงๆ ไม่รู้ว่าการที่เรารู้จักกันมันเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดมาตั้งแต่ต้นรึเปล่า และยิ่งถ้าหากมันเป็นฝีมือพี่ทีล่ะก็…ผมคงจะโกรธพี่เค้ามากๆ ที่รวมหัวกันหลอกแบบนี้ ถึงจะรู้ว่าทำไปเพราะหวังดีก็เถอะ แต่แบบนี้มันยิ่งกว่าหลอกซะอีก เหมือนพี่เค้าไม่ไว้ใจพวกผมเลยถึงต้องส่งคนมาคอยคุมอีกทีเวลาไม่อยู่ในสายตา



“มะ…”



“อย่าโกหกอีกเชียวนะมึง ” ไอ้ครามพูดเสียงเรียบ ไอ้ยูโรทำสีหน้าคิดหนักก่อนจะถอนหายใจ การจะเป็นเพื่อนกันมันต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริงใจสินะ



“……ใช่...พี่ทีเป็นคนบอกให้กูเข้าไปตีซี้พวกมึงเอง...วันแรกพบนั่น...ไม่ใช่ความบังเอิญ..กูจงใจแพ้จะได้โดนทำโทษไปพร้อมกับมึง ”



“...!!!” ผมรู้สึกเหมือนโดนต่อยเข้าที่ลิ้นปี่ มันจุกมาก เจ็บมาก ขณะที่รอบด้านมีเสียงพูดคุย เสียงร่ำไห้เมื่อรู้ว่าเพื่อนที่ตนสนิทเป็นพี่เนียน เสียงโหวกเหวกโวยวายเหล่านั้นไม่ได้เข้าหูผมเลยราวกับว่าที่ตรงนี้มีพวกเราอยู่แค่สามคน



“ไปห้องน้ำกัน ” ไอ้ครามกัดฟันกรอด พรวดพราดจ้ำอ้าวออกไปจากสนามบอล ผมรีบตามมันไปในขณะที่รุ่นพี่สต๊าฟตะโกนถามโหวกเหวกว่าจะไปไหน



“ เดี๋ยวกูคุมน้องไปเอง !” ไอ้ขวด ไม่สิ ควรจะเรียกว่าพี่ไก่ใช่ไหม…ตะโกนบอกเพื่อนสต๊าฟแล้ววิ่งตามพวกผมมาที่ห้องน้ำข้างฮอลล์ใหญ่ที่ไม่ค่อยมีคนมาใช้



“สนุกมั้ย รวมหัวกันหลอกพวกกู สนุกมากมั้ย ” ไอ้ครามพูดเสียงเรียบแต่ผมดูออกว่ามันโกรธ...โกรธมากด้วย



“ ...กูพูดความจริงแล้วพวกมึงก็ยังโกรธกู ” ไอ้ขวดพูดด้วยหน้ามึนๆ แต่เสียงดูเครียดขึ้นไม่มีสำเนียงกวนตีนเหมือนเคย



“ก็ลองสลับกันดูสิจะได้รู้ว่าพวกกูรู้สึกยังไงที่โดนเพื่อนที่คบมาเดือนกว่าหลอกมาตลอด แถมคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดยังเป็นคนที่พวกกูรักพวกกูไว้ใจอีกต่างหาก ” ผมว่า



“นี่อ่ะนะความคิดของพวกมึง? เด็กว่ะ! พวกมึงก็มองแต่มุมแคบๆ ของตัวเองแล้วก็โกรธไม่เข้าเรื่อง โอเค เรื่องที่กูหลอกกูยอมรับ พวกมึงจะโกรธกู กูก็ไม่ว่า แต่พวกมึงไม่ควรไปโกรธพี่ที ..พี่เค้าแค่เห็นกูซิ่วไปเรียนสาขาเดียวกับพวกมึงก็เลยฝากให้กูช่วยดูแล ถามจริงเหอะ ถ้าไม่ห่วงพี่เค้าจะทำแบบนี้มั้ยวะ ”



“ก็คงคิดว่าพวกกูเป็นตัวปัญหา ถ้าไม่มีคนคอยจับตาก็คงไปเที่ยวก่อเรื่องใช่มั้ยล่ะ คงคิดล่ะสิว่าพวกกูดูแลตัวเองไม่ได้ ต้องมีผู้ปกครองตลอดเวลา ”



ยูโรคิดในใจ...อ้าว ก็รู้ตัวนี่หว่า



“ที่ขอไว้น่ะ พวกกูไม่โกรธมึงก็ได้…”



“จริงอ่ะ เออ ขอบจะ... ”



“...เพราะคนที่สมควรจะถูกพวกกูโกรธน่ะคือพี่ทีต่างหาก!”



“อ้าวเฮ้ย! ไอ้บ้า ไหงงั้นล่ะ! …”



“แล้วมึงไม่ต้องเข้ามาเสือกเรื่องพวกกูอีกแล้วนะไอ้ขวด ไอ้ที่จะช่วยอะไรนั่นด้วยพวกกูไม่ต้องการ กูมีวิธีของกู...อยากแกล้งซื่อบื้อดีนัก กลับไปคราวนี้จะเอาให้แม่งหายซื่อบื้อไปเลย ”



“อย่างที่มึงบอกจริงๆ นั่นแหละ แค่ลมปากคนอย่างพวกกูมันจะไปมีน้ำหนักอะไร ” ไอ้ครามยิ้มมุมปากอย่างชั่วๆ พลางตบไหล่ไอ้ขวดที่ยืนอึ้งอยู่เบาๆ



“เดี๋ยวพวกกูจะแสดงออกด้วยการกระทำบ้างแล้วกัน ขอบใจนะเพื่อนสำหรับคำปรึกษาดีๆ เห็นแก่ความดีอันนี้พวกกูจะยกโทษให้สักครั้งก็แล้วกัน ”



“พวกมึงฟังกูกะ...”



ฟึ่บ ฟึ่บ



ผมกับไอ้ครามถอดป้ายชื่อกับผ้าพันคอออก ยัดใส่มือไอ้ขวด



“พวกกูไม่มีอารมณ์อยู่ต่อแล้ว ที่เหลือฝากด้วยละกัน ”



พูดจบพวกเราก็หันหลังออกวิ่งทันที



“เฮ้ยยยยยย ไอ้ภู ไอ้คราม กลับมาเดี๋ยวนี้นะโว้ย มึงจะโดดกลับก่อนแบบนี้ไม่ได้นะ!!” ไอ้ขวดวิ่งไล่กวดพวกเราอย่างไม่ลดละ ให้ตายเถอะ! ทำไมมันวิ่งเร็วจังวะ



“พรุ่งนี้มีมอบเกียร์ พวกมึงอยากได้ไม่ใช่หรืองายยยย! ”



“ตอนนี้ไม่อยากได้แล้ว!”



“เฮ้ย ไม่อยู่พี่รหัสไม่รับนะเว้ยยยย ”



“ก็ช่างหัวมันสิ!”



ผมรู้ว่าไอ้ขวดพยายามจะพูดเพื่อรั้งพวกเราไว้ แต่ตอนนี้ความโกรธมันมีมากจนพวกผมไม่สนอะไรแล้ว รู้แต่ว่าอยากรีบกลับไปกระชากคอเสื้อพี่ทีเขย่าๆ จับทุ่มลงเตียงแรงๆ ให้สากับความโกรธในตอนนี้เดี๋ยวนี้เลย!



พี่เค้าคิดว่าตัวเองฉลาดมากนักหรือไง คิดว่าพวกเราโง่มาก ทำอะไรไม่เป็นสักอย่างถึงได้วางแผนส่งคนมาตามดูพวกผมแบบนี้ นี่ไม่เคยไว้ใจกันเลยใช่มั้ยวะ คงแอบหัวเราะอยู่ในใจล่ะสิที่ควบคุมพวกเราได้โดยที่เราไม่รู้ แล้วไหนจะเรื่องที่ชอบทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาเวลาที่พวกเราบอกรักอีก พี่แกจะรู้บ้างมั้ยว่ามันต้องใช้ความกล้าสักเท่าไหร่กว่าจะพูดออกไปได้ พี่ทีก็แค่หลอกให้พวกเราตายใจด้วยรอยยิ้มทุกครั้ง...รอยยิ้มของคนที่ไม่ได้คิดอะไรเลย…



ผมกับไอ้ครามวิ่งอ้อมตึกวิศวะ น่าเจ็บใจที่ต้องวิ่งผ่านสนามบอลถ้าจะออกไปหน้ามอ ผมกับไอ้ครามเลยตัดสินใจวิ่งเลี้ยวไปทางประตูคณะแพทย์ที่แม้จะอ้อมกว่าแต่ก็ไม่ต้องวิ่งผ่านสนามบอลที่มีรุ่นพี่กับพวกเพื่อนๆ นั่งซึ้งผูกข้อไม้ข้อมือกันอยู่



“ใครก็ได้ครับ ช่วยจับสองคนนั้นไว้ที มันขโมยกระเป๋าตังค์ผมมมมม!!! ” ไอ้ขวดตะโกนใส่ไคล้พวกเรา ทำให้พี่ยามสองสามคนที่เดินตรวจอยู่แถวนั้นวิ่งมาแจมด้วย



ผมเหลียวกลับไปมองด้านหลัง เห็นไอ้ขวดควักมือถือขึ้นมาโทรแบบเอาเป็นเอาตาย เออ ก็วิ่งตามมาได้ตั้งนานเพิ่งจะคิดได้นะมึงว่าควรเรียกคนมาช่วย-*-



“ไอ้ภู ! ไอ้คราม! จะไปไหนนนนน ”



“น้องภู น้องคราม ! มีอะไรบอกพวกพี่สิครับบบบ !!”



“เฮ้ย มีอะไรก็มาคุยกันดีๆ สิน้อง พวกพี่ช่วยได้นะะะะะ !!”



“เฮ้ย! ไอ้ภู รุ่นพี่วิ่งตามมาเป็นโขยงเลยมึง!!” ผมหันกลับไปมองตามที่ไอ้ครามมันบอกแล้วก็ต้องตกใจกับมหกรรมวิ่งการกุศลครั้งยิ่งใหญ่ของชาววิศวะ ( ไม่ใช่ละ=_=’ ’) ไอ้คราม..มันไม่ได้มาแค่รุ่นพี่นะเว้ย รุ่นเพื่อนก็มาเหอะ! ทำไมตามมาเร็วจังวะ เมื่อกี้ยังเห็นทำซึ้งกันอยู่ไกลๆ เผลอแป๊บเดียวแม่งวิ่งตามมาอย่างกับฝูงซอมบี้ รุ่นพี่บางคนถือม้วนสายสิญจน์ เพื่อนหลายคนก็วิ่งถือเทียนมาด้วย นี่พวกมึงจะจับพวกกูมัดด้วยสายสิญจน์แล้วเอาเทียนหยดหรือไง



“เฮ้ย! ไอ้สองคนนั้นใช่ฝาแฝดที่โดนผีเข้าตอนค่ายอาสารึเปล่าวะ! ผียังไม่ออกอีกหรอ??” ปีสามบางคนเริ่มโยงใยเรื่องเอาเอง



“เฮ้ย! สองคนนั้นโดนผีเข้าหรอพี่!? ”



“ปีหนึ่งสองคนนั้น! แฮ่กๆ ผม-ขอ-สั่ง-ให้-คุณ-หยุด !!”



เล่นวิ่งกันมาเป็นกองทัพแบบนี้ใครไม่หนีก็บ้าแล้วเฟ้ย!



“ไอ้แฝดนรก!!! หยุดเดี๋ยวนี้นะโว้ยยยยย !” พี่ปีใหม่ที่โกรธจนหน้าเบี้ยวกับพี่พีทประธานปีสามวิ่งมาดักหน้าพวกเราหน้าประตูคณะแพทย์พร้อมโทรโข่งอันใหญ่เปิดสัญญาณหวอน่าหนวกหู



“ไอ้ใหม่! ระวังกิ่ง…”



ผัลวะะะ!!



ท่าทางพี่แกจะโกรธมากเกินไปจนไม่ทันสังเกตว่าตรงหน้าตัวเองมีกิ่งไม้ขนาดใหญ่ที่โค้งต่ำลงมาอยู่ บวกกับแถวนี้มันก็มืด พี่แกคงไม่ทันสังเกตเลยเอาวิ่งเอาหน้าไปฟาดกิ่งไม้อย่างแรงจนลงไปนอนนับดาวกับพื้น



พี่พีทมัวแต่วิ่งกลับไปพยุง พวกเราเลยอาศัยจังหวะนั้นวิ่งผ่านสองคนนั้นออกไป



ดีที่หน้าประตูคณะแพทย์มีวินมอเตอร์ไซค์วิ่งตลอดทั้งคืน พอออกไปได้ปุ๊บพวกเราก็กระโดดซ้อนท้ายวินสองคันที่ใกล้ที่สุด



“ไปกรีนเพลส พวกผมให้คนละร้อย ซิ่งเลยพี่!!!”









Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrrrrrr



ดึกดื่นป่านนี้ ใครโทรมาวะ



ผมละสายตาจากสารคดีหนีตายจากภัยพิบัติที่กำลังนอนดูอย่างเพลิดเพลิน คิดในใจว่าจะทำเป็นไม่ได้ยินดีไหมนะ ขี้เกียจเดินไปรับสาย



Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrrrrrr

Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrrrrrr

Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrrrrrr



โอเค กูยอม



ผมเดินไปหยิบมือถือที่ชาร์ตอยู่ตรงมุมห้องขึ้นมาดูอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย นานๆ จะได้นอนดูหนังคนเดียวสบายๆ ทั้งทีก็ยังมีคนโทรมากวนจนได้



..CHICKEN IS CALLING…



ผมชักสังหรณ์ใจแปลกๆ ...ต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ ไม่งั้นไอ้ไก่ไม่โทรมาเวลาใกล้เที่ยงคืนแบบนี้หรอก



“ว่าไงไก่...ไอ้ภูไอ้ครามมันก่อเรื่องอะไรรึเปล่า? ”



‘พี่ที ! ไอ้สองคนนั้นมันหนีค่ายอ่ะพี่ !’



“ฮะ? อะไรนะ พูดใหม่ซิ ” เมื่อกี้ผมเผลอมองภูเขาไฟระเบิดในทีวีเลยไม่ทันฟังที่ไอ้ไก่มันพูด



‘ภูผา-กับ-ฟ้าคราม-หนี-ค่าย-ครับเพ่!! มันจะกลับไปหาพี่...เดี๋ยวผมค่อยอธิบายให้ฟังทีหลังนะ เอาเป็นว่าตอนนี้พี่รีบออกมาจากคอนโดเดี๋ยวนี้เลย! ออกมา ณ บัด นาว !! ‘



“ห๊ะ !? ไอ้แฝดมันหนีกลับมาหรอ เกิดอะไรขึ้น ?”



‘พี่ที เดี๋ยวผมค่อยอธิบายให้ฟัง อย่าเพิ่งถาม ! ออกมาก่อนพี่! สองคนนั้นมันกำลังเดือดมาก ขืนมันเจอพี่ พี่-เละ-แน่ !’



ทำไมกูต้องหนีวะ เกี่ยวไรกับกูเนี่ย? แล้วพวกมันจะหนีค่ายทำด๋อยอะไร คืนเดียวทนนอนไม่ได้หรือไงต้องกลับมานอนคอนโดเนี่ยฮะ



“ทำไมพี่ต้องออกไปด้วย? เดี๋ยวมันมาเมื่อไหร่กูจะเทศน์ให้หูชาเลย อะไรหนิ แค่คืนเดียวก็ทนนอนกันไม่ได้ ทีตอนไปค่ายอาสายัง…”



‘โว้ยยยย! พี่ ! ผมกราบตีนล่ะ ออกมาก๊อนนนน พลีสสสสส !’ เสียงไอ้ไก่แทบจะเปลี่ยนเป็นโหยหวนอยู่แล้ว ในที่สุดแม้จะยังงงๆ แต่ผมก็เดินไปหยิบเสื้อเชิ้ตมาสวมทับเสื้อกล้าม แล้วคว้ากระเป๋าตังค์มาถือไว้



‘ออกมายังเนี่ย ’ เสียงไอ้ไก่ดูร้อนรนมาก ลนลานอะไรของมันนักหนาวะ-_-?



“จะรีบไปไหน กูใส่รองเท้าอยู่ ” ผมชักรำคาญ คนกำลังนอนทีวีสบายๆ ... อ้าว ลืมปิดทีวีกับพัดลมนี่หว่า



ผมถอดรองเท้าเดินกลับเข้าไปปิดทุกอย่างอีกรอบ



ฝ่ายคนโทรมาได้แต่มองนาฬิกาอย่างร้อนรน เขารู้ดีว่าเดินจากมอถึงคอนโดกรีนเพลสใช้เวลาแค่10-15 นาที ถ้านั่งมอไซค์ไปรับรองว่าต้องไปถึงใน3-4นาทีแน่ๆ สองคนนั้นตัวใหญ่อย่างกับหมี แถมตอนนี้ยังคลั่งอย่างกับกระทิง ขืนให้พี่ทีอยู่ชนด้วยสิ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครจะปลิว ไหนจะคำพูดที่สองคนนั้นทิ้งท้ายไว้อีก มันทำให้เขานึกเป็นห่วงสวัสดิภาพรุ่นพี่คนนี้แทบบ้า



ทีเดินกลับมาสวมรองเท้าอีกครั้งก่อนจะเอื้อมมือไปคว้ากุญแจที่แขวนอยู่บนผนัง



‘เร็วดิพี่ ! เร็วๆ เข้า !’



ไก่มองนาฬิกาอย่างกระวนกระวาย ห้านาทีเข้าไปแล้ว ไม่รู้ว่าพี่ทีเยื้องกรายออกจากห้องตามคำเตือนของเขารึยัง ทำไมเป็นคนใจเย็นผิดเวลาแบบนี้วะพี่ โว้ย !



‘เร็วๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ !’



ตอนแรกทีก็ยังใจเย็นอยู่หรอกนะ แต่พอโดนเร่งมากๆ เข้าก็ชักจะเริ่มลนตามไปด้วย มือที่ป่ายไปคว้ากุญแจถึงได้สั่นจนทำมันตกพื้น







แกร๊งงงงงง !!



หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 25 ผู้ชายใจเย็น [27/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-02-2018 20:59:41
หึหึหึ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 25 ผู้ชายใจเย็น [27/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 27-02-2018 21:08:59
หึๆไม่รอดสินะ แอร๊ยย
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 25 ผู้ชายใจเย็น [27/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: DESZCZ ที่ 27-02-2018 22:09:10
ไม่รอดแน่ๆ ไม่รอดแน่ๆ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 25 ผู้ชายใจเย็น [27/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 27-02-2018 22:26:03
เสร็จแน่ๆ.. หุหุหุ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 25 ผู้ชายใจเย็น [27/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: minneemint ที่ 28-02-2018 00:00:10
ขอให้ไม่รอด
เสร็จแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 25 ผู้ชายใจเย็น [27/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-02-2018 00:28:10
รอดูว่าใครจะเสร็จใคร แฝดนรก ระวังนะทำพี่ทีเขาเจ็บ เด๋วเขาไม่อยู่ด้วยนะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 25 ผู้ชายใจเย็น [27/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 28-02-2018 01:06:35
ได้คิดบัญชีล่ะทีนี้ เอาเลยจัดเลยลูกทำมึนดีนัก
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 25 ผู้ชายใจเย็น [27/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 28-02-2018 08:02:04
เสร็จแน่ๆ5555
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 25 ผู้ชายใจเย็น [27/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 28-02-2018 09:32:19
โอ้ยลุ้นนน
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 25 ผู้ชายใจเย็น [27/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 28-02-2018 17:04:55

                                                               ตอนที่ 26   เคลียร์นะ


แกร๊งงงง!!



ผมก้มลงไปเก็บกุญแจก่อนจะเปิดประตูออกไป แต่ก็ต้องผงะเมื่อเห็นภูผากับฟ้าครามยืนขวางอยู่หน้าห้อง



“ดึกดื่นป่านนี้จะออกไปไหนหรอครับพี่ที” ภูผายิ้มแต่ตาไม่ได้ยิ้มไปด้วย



‘พี่ที! ออกมายัง? พี่ที’ เสียงไอ้ไก่ยังคงดังอยู่ในสายอย่างเป็นห่วง



“…..คะ…ครับๆ ๆ อาแอ๋ม ถึงแล้วใช่มั้ย ทีกำลังจะลงไปเดี๋ยวนี้แหละ” ผมพลิกลิ้นเพื่อเอาตัวรอดทันที พลางพยายามทำตัวให้ดูเป็นปกติที่สุด แม้ว่าจะรู้สึกตกใจกับสายตาของสองคนนั้นแค่ไหนก็ตาม ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาผมเคยเห็นไอ้ภูไอ้ครามมองผมด้วยแววตาแข็งกร้าวขนาดนี้มาก่อนเลย



ผมยกมือทำท่าห้ามไม่ให้ชวนคุยเพราะกำลังคุยโทรศัพท์อยู่



‘พี่ที…สองคนนั้นกลับไปถึงแล้วใช่มั้ย!?’



“ของเยอะมากเลยหรอครับ โอเค เดี๋ยวทีเรียกภูกับครามลงไปช่วยถือ อาแอ๋มรอตรงล็อบบี้นะทีจะลงไปเดี๋ยวนี้แหละ…ภู คราม … อาแอ๋มมาแน่ะ เห็นว่าเพิ่งกลับจากไปเที่ยวเลยแวะเอาของฝากมาให้ ลงไปช่วยกันถือหน่อยสิ” ผมต้องทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองลงไปที่ล็อบบี้ที่มีคนพลุกพล่านกว่านี้โดยเร็วที่สุด เมื่อเริ่มเข้าใจรางๆ แล้วว่าบางสิ่งบางอย่างที่ไอ้ไก่พยายามเตือนกำลังจะเกิดขึ้น ผมมีเซ้นส์ว่าผมต้องหนี ต้องลงไปข้างล่างเดี๋ยวนี้ไม่งั้นแย่แน่ๆ ไม่รู้หรอกว่าแย่เรื่องอะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมไปทำอะไรให้พวกมัน ผมรู้แต่ว่าถ้าผมไม่รีบลงไปตอนนี้ ผมอาจจะไม่มีโอกาสได้ลงไปอีกเลย



แต่ดูเหมือนความตื่นเต้นจะยิ่งทำให้ผมเหมือนขุดหลุมฝังตัวเองมากกว่าเดิม เพราะเสี้ยววินาทีที่คิดจะโกหกเพื่อเอาตัวรอด คนเดียวที่นึกออกว่าสองคนนี้จะต้องกลัวก็คืออาแอ๋ม … แต่ผมพลาดไป…ผมลืมไปว่าสองคนนี้โทรคุยกับอาแอ๋มแทบจะทุกวัน ยังไงก็ต้องรู้แน่ว่าแม่ตัวเองจะไปไหนมาไหนทำอะไรอยู่ แล้วด้วยความตกใจอีกเหมือนกันที่ทำให้ผมลืมคิดไปว่าใครมันจะถ่อเอาของฝากมาให้ตอนเกือบตีหนึ่ง…ทำไมผมไม่เอาคนอื่นมาอ้างวะ ไอ้พีท ไอ้โซล จะใครก็อ้างไปดิ บ้าเอ๊ย!



“อ้าว แม่มาหรอ? ขอคุยกับแม่หน่อยสิ”



“ก็ลงไปหาข้างล่างเลยดิ จะมาคุยผ่านโทรศัพท์ทำไม เปลืองตังค์” ผมพูดนิ่งๆ ก่อนจะกดตัดสายแล้วออกเดินนำไปที่ลิฟต์



ค่อยๆ เดิน ไม่ต้องรีบ อย่ามีพิรุธ .. ถ้าลงไปข้างล่างได้ก็ไม่มีอะไรแล้ว…



ภูผากระชากแขนรั้งผมไว้ก่อนที่ฟ้าครามจะเข้ามาแย่งมือถือจากมือผม



“คราม! เอาโทรศัพท์พี่คืนมา เล่นอะไรเนี่ย อาแอ๋มรออยู่นะ”



“หึ…เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าแม่ใช้เบอร์เดียวกับไอ้ขวด”



บ้าเอ๊ย! ความแตกจนได้



“คราม! มันจะมากไปแล้วนะ เอาโทรศัพท์พี่คืนมา”



ภูผากระชากให้ผมเดินตามกลับไปที่ห้อง ผมพยายามขืนตัวเอาไว้ ฟ้าครามเดินไปเปิดประตูรอ



“เข้าห้องกันเถอะพี่ที ไปคุยกันข้างในดีกว่า ข้างนอกมันร้อน” มันว่าแล้วก็ออกแรงกระตุกข้อมือแรงๆ ให้ผมก้าวตามเข้าไปในห้อง แต่ใครจะยอมตามเข้าไปง่ายๆ ผมเอามืออีกข้างจับขอบประตูไว้ กัดฟันกรอดแล้วยื่นขาอีกข้างไปเกี่ยวไว้อีกแรง ให้ตายยังไงผมก็ไม่เข้าไปในห้องเด็ดขาด!



“พี่ทีทำไมไม่เข้าห้องล่ะครับ? เข้ามาเถอะ ครามกับภูไปค่ายมาสนุกมากเลย ..ทนรอให้ถึงพรุ่งนี้ไม่ไหวจนต้องแล่นกลับมาเล่าให้ฟังเลยนะเนี่ย” ฟ้าครามยิ้มกว้างแต่ผมกลับมองว่ามันดูน่าขนลุก



ฟ้าครามแกะมือของผมที่เกาะขอบประตูออกไป ก่อนจะใช้ขาขัดจนผมหลุดออกจากประตูเสียหลักเซแท่ดๆ ไปตามแรงลากของภูผา



“ภูผา พี่เดินเองได้ ไม่ต้องลาก” ผมพยายามบังคับเสียงตัวเองให้นิ่ง แล้วใช้มืออีกข้างพยายามแกะมือภูผาที่กำรอบข้อมือผมออก



“แกะไปเถอะ ยังไงภูก็ไม่ปล่อย”



“ภู คราม พี่ว่าเราสองคนต้องไปเข้าใจอะไรผิดมาแน่ๆ พี่ว่าพี่อธิบายได้นะ.. ใจเย็นๆ มาค่อยๆ นั่งคุยกันเถอะ” ผมพยายามทอดเสียงให้ดูอ่อนลงถามอย่างใจเย็น ขณะที่ยอมเดินตามแรงลากของภูผาไปในที่สุดเพราะผมรู้ดีว่าตอนนี้หากยิ่งขัดขืนสองคนนี้ก็จะยิ่งไม่ยอมฟังเข้าไปใหญ่ เมื่อมันร้อน ผมต้องเย็น …ทั้งที่ความจริงผมก็กำลังโมโหสองคนนั้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย ผมไม่ชอบนะที่จู่ๆ ก็ไม่พูดไม่จาเข้ามาฉุดกระชากลากถูกันแบบนี้ นี่พวกมึงเห็นกูเป็นตัวอะไรวะ กูพี่มึงนะ กูเป็นญาติมึง มีพระคุณกับมึง แล้วทำกับกูแบบนี้เหรอวะ ไหนว่ารักกูนักรักกูหนาไง!?



ขณะที่เตรียมจะหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟา ฟ้าครามก็เข้ามาจับข้อมืออีกข้างของผม



“ไปคุยกันในห้องครามดีกว่า จะได้เปิดแอร์”



แม้ใจนึงจะเตือนว่าไม่ควรเข้าไปในห้องนั้น แต่อีกใจกลับบอกว่าจะกลัวไปทำไมก็แค่เข้าไปคุยกัน ยังไงตอนนี้จะอยู่ตรงนี้ หรือในห้องนอนชะตากรรมผมมันคงไม่ต่างกัน ผมว่าน้องต้องเข้าใจอะไรผิดมาแน่ๆ ผมว่าสองคนนั้นน่าจะมีเหตุผลพอถึงจะขี้ใจร้อนไปหน่อยก็เถอะ แต่ถ้าน้องยอมเล่า และผมแก้ไขเรื่องที่เข้าใจผิดกันได้ ผมว่ามันสองคนต้องหายโกรธแน่นอน ขี้คร้านจะรีบขอโทษขอโพยแทบไม่ทัน



เห็นได้ชัดว่าเมื่อผมหยุดแสดงอาการขัดขืนอีกสองคนนั้นก็ดูจะลดความแข็งกร้าวลง อย่างน้อยมันสองคนก็ยอมที่จะทิ้งตัวลงนั่งขนาบผมตรงขอบเตียงอย่างหงุดหงิดแม้จะยังกำข้อมือผมกดติดเตียงไว้คนละข้างอย่างไม่ยอมให้หนีไปไหนก็ตาม



“โอเค …บอกพี่หน่อยได้มั้ยว่าโมโหอะไร” ผมทอดเสียงถามอย่างพยายามให้มันฟังดูนุ่มและอ่อนโยนที่สุด ทั้งที่ผมไม่ได้อยากจะทำแบบนี้เลย ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผมจะต้องมานั่งอธิบายอะไรให้มันฟังด้วย เราเป็นแค่ญาติกัน ก็แค่คนอาศัยอยู่ด้วยกัน ผมไม่เข้าใจว่าทำไมมันสองคนถึงมีปัญหากับผมมากมายขนาดนี้ …น่าเหนื่อยใจเป็นที่สุด น่าเบื่อเป็นที่สุด น่ารำคาญเป็นที่สุด!



แต่เอาเถอะ…ผมถนัดอยู่แล้วนี่นะไอ้การเสแสร้งว่าไม่โกรธไม่เคือง ยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลาน่ะ



เพราะในสายตาใครๆ ก็คาดหวังให้ผมเป็นคนอย่างนั้นนี่นา…



“หลายเรื่อง!” ภูผาตอบเสียงกระชากๆ ที่ฟังแล้วขัดหูเป็นที่สุด มันทำอย่างกับผมผิดเสียเต็มประดา ผมไม่เข้าใจมันเลยจริงๆ



“โอเค ..เรื่องที่หนึ่ง” ผมสูดหายใจเข้าลึกเพื่อยับยั้งอารมณ์ตัวเอง ก่อนจะแอบถอนหายใจออกมายาวๆ ..ค่อยรู้สึกอารมณ์เย็นลงหน่อย



“พี่หลอกพวกเราเรื่องไอ้ขวด”



“ยูโรทำไมหรอ” ผมเลิกคิ้ว ทั้งที่ในใจถึงกับบางอ้อนานแล้ว



“ที่จริงมันชื่อไก่ พี่บอกให้มันมาตีซี้ภูกับครามใช่มั้ย”



“ใช่ ไอ้ไก่เป็นน้องรหัสของไอ้ป๊อกเพื่อนพี่ พี่เห็นมันนิสัยดีน่าคบแถมยังจะซิ่วไปเรียนสาขาเดียวกับพวกเรา พี่เลยขอให้มันช่วยดูแลภูกับคราม เพราะยังไงไก่มันก็มีประสบการณ์มากกว่าเราปีนึง ที่ทางในมหา’ ลัยมันก็รู้หมด จะได้ช่วยแนะนำอะไรให้ได้บ้าง แต่ที่ไม่ได้บอกเราแต่แรกก็เพราะไอ้ไก่มันรับบทพี่เนียนซึ่งตอนนี้ภูกับครามก็คงจะรู้แล้ว บอกไว้ก่อนเลยว่าพี่ไม่ได้มีเจตนาจะรวมหัวกับมันแกล้งอะไรเราเลยนะ” … อีกอย่าง ผมแอบวางแผนเอาไว้อีกชั้นว่าต่อไปถ้าสามคนนั้นสนิทกันมากๆ แล้วไอ้ไก่คุมมันสองตัวอยู่ ผมจะกลับไปอยู่บ้านแล้วให้ไอ้ไก่มาอยู่กับมันสองตัวแทนผม..ลาขาดกันเสียที



“แต่พี่ก็ใช้มันจับตาดูพวกผมใช่มั้ยล่ะ!”



อ๋อ ที่แท้ก็ไม่พอใจเรื่องนี้เองเหรอ คงคิดว่าผมไม่ไว้ใจพวกมันเลยต้องหาคนมาช่วยจับตามองสินะ …ก็ถูกแล้วนี่? มันสองตัวชอบสร้างแต่เรื่อง ใจร้อน เอะอะโวยวาย ชอบเรียกร้องความสนใจ โตป่านนี้แล้วยังรับผิดชอบตัวเองควบคุมตัวเองไม่ได้เลยก็สมควรแล้วไม่ใช่หรอที่ผมจะหาคนมาช่วยจับตาดูพวกมันไว้น่ะ…



“..งั้นพี่ถามหน่อย ถ้าไม่ห่วงพี่จะทำแบบนี้มั้ย? หรือจะเอาแบบที่พี่ไม่สนใจอะไรเราทั้งนั้น ไม่ดูดำดูดี อยากจะไปทำอะไรที่ไหนก็ไม่สนใจ ภูกับครามอยากให้พี่ทำแบบนั้นกับเราใช่มั้ย? จะเอาแบบนั้นก็ได้นะ ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องมานั่งเป็นห่วงให้เหนื่อย เอายังไง ถ้าไม่ชอบก็เลิกคบไอ้ไก่ไปเลย มันเพื่อนเยอะ ขาดเราสองคนไปก็ไม่ตายหรอก”



“……….”



“เรื่องที่หนึ่งเคลียร์นะ” เมื่อได้ฟังผมอธิบาย ไอ้แฝดนรกก็ดูเหมือนจะเย็นลงบ้างแล้ว นับว่าเป็นสัญญาณที่ดี ดีกว่าเมื่อกี้ที่โมโหฟาดงวงฟาดงาไม่ฟังอะไรเลย



“ต่อไปเรื่องที่สอง?”



“เมื่อกี้พี่ทีโกหกภูกับครามทำไมว่าแม่มาหา”



“ก็ภูกับครามน่ากลัว ทำท่าเหมือนจะเข้ามาต่อยพี่ พูดดีๆ ก็ไม่ฟัง ..พี่มีหนึ่ง พวกนายมีสอง ถึงเราจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ถ้าโมโหอะไรมันก็เกิดขึ้นได้ใช่ป่ะขนาดพี่น้องแท้ๆ ยังฆ่ากันตายได้เลย พี่ก็คนนะเว้ย รักตัวกลัวตายเหมือนกัน อย่างน้อยพี่ก็อยากลงไปตั้งหลักข้างล่าง เผื่อพวกเราจะฆ่าพี่จะได้มีคนมาห้ามทัน ไม่งั้นติดคุกหัวโต…ในคุกไม่มีแอร์นะเออ” ผมพยายามพูดขำๆ เพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายลง แล้วมันก็เป็นอย่างที่ผมต้องการ ภูผากับฟ้าครามหลุดยิ้มออกมาจริงๆ ตั้งแวบนึง



“โอเค เคลียร์แล้ว” ฟ้าครามพยักหน้า มือที่กำข้อมือผมไว้จนเลือดแทบไม่เดินค่อยผ่อนกำลังลง



“ก็ดีแล้ว …ยังมีเรื่องอื่นอีกมั้ย มาเคลียร์กันให้จบๆ ไปเลย”



“มี…เรื่องสุดท้าย…”



กรี๊งงงงง กรี๊งงงงงงงงง



เสียงโทรศัพท์ที่ห้องรับแขกดังขึ้น



“เฮ้ย ปล่อยก่อน พี่จะไปรับโทรศัพท์”



“ช่างมันดิพี่ มาเคลียร์กันก่อน เรื่องสุดท้ายแล้ว”



กรี๊งงงงงง กรี๊งงงงงงงงง กรี๊งงงงงงงงงง กรี๊งงงงงงงงงงงงงง



ผมว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ เลยว่ะ ไม่งั้นโทรศัพท์ที่ใช้ติดต่อภายในคอนโดคงไม่ดังตอนเกือบตีสองแบบนี้หรอก



กรี๊งงงงงง กรี๊งงงงงงงงง กรี๊งงงงงงงงงง กรี๊งงงงงงงงงงงงงง



“ภูผา ฟ้าคราม ปล่อยก่อน” ผมกระชากมือออกเบาๆ แต่สองคนนั้นยังคงดึงรั้งไว้แล้วมองมาด้วยสายตาตัดพ้อไม่พอใจ



กรี๊งงงงงง กรี๊งงงงงงงงง กรี๊งงงงงงงงงง กรี๊งงงงงงงงงงงงงง



“แป๊บเดียว…ภูผา…ฟ้าคราม… นะครับ” นี่คือที่สุดของผมแล้วจริงๆ ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยทำเสียงอ่อนเสียงหวานกับใครแบบนี้มาก่อนเลยนะ!



ผมผละออกมาได้ในที่สุด ..



“ฮัลโหล ครับ”

‘ขออภัยที่โทรมารบกวนนะคะ..คือว่ามีคนมาขอเข้าพบคุณน่ะค่ะ แจ้งชื่อว่าคุณปีใหม่ นอกจากนี้ก็ยังมีนักศึกษาอีกสี่ห้าคนตามมาด้วยเห็นว่ามีธุระด่วนแต่ติดต่อคุณไม่ได้ คุณจะลงมาพบเอง หรือ จะให้ดิฉันนำพวกเขาขึ้นไปพบดีคะ’



แสงแห่งความรอดสาดส่องมายังผมแล้ว!



“อ้อ รุ่นน้องผมเอง รบกวนพาขึ้นมาเลย ด่วนเลยนะครับ”





ปีใหม่ที่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงพร้อมด้วยไอ้ไก่และน้องปีสองอีกสามสี่คนตามมาลากไอ้แฝดนรกกลับค่ายถึงที่ ผมสบตาไอ้ไก่ด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง ซึ่งมันก็กลอกตาทำหน้าเหนื่อยใจใส่ผมแล้วยิ้มบางๆ มาให้ …โอเคไก่ ต่อไปมึงบอกให้ทำอะไรกูจะไม่อิดออดอีกเลย สัญญา!



ไอ้ปีใหม่ด่าไอ้แฝดอย่างโกรธจัด ตั้งแต่รู้จักรุ่นน้องคนนี้มา ผมไม่เคยเห็นมันโกรธขนาดนี้มาก่อน มันโกรธจนหน้าแดงก่ำ เส้นเลือดที่ขมับโป่งออกมาจนผมเห็นมันเต้นตุบๆ เป็นจังหวะ มันขมวดคิ้วจนเกิดรอยลึกที่หว่างคิ้วชัดเจน เป็นครั้งแรกที่ผมได้ประจักษ์ว่าอาการ ‘โกรธจนตัวสั่น’ มันเป็นยังไง



ไอ้ภูไอ้ครามแม่งก็กวนตีน ตอนไอ้ปีใหม่ด่ามันก็ทำเป็นไม่สนใจฟัง ภูผาทำเป็นยกนิ้วก้อยขึ้นมาแคะหู ฟ้าครามก็ทำเป็นหาวแล้วมองฝ้ามองเพดาน ไอ้ปีใหม่นี่ปรี๊ดจนเกือบจะถลาจะเข้าไปตั๊นหน้าไอ้แฝดหลายรอบแล้ว ดีที่เพื่อนๆ มันรั้งตัวไว้ทัน ทั้งที่จริงๆ ผมก็รู้สึกได้แหละว่าปีสองคนอื่นๆ ก็ไม่พอใจกับท่าทางไม่สำนึกผิดแถมยังกวนประสาทของภูผากับฟ้าครามเหมือนกัน



ผมเองก็ไม่ชอบใจนิสัยของภูผากับฟ้าครามเหมือนกัน บวกกับนึกกังวลว่าในอนาคตหากมันสองคนติดนิสัยแบบนี้ไปจนทำงานจะทำยังไง….ไม่เคารพคนที่อาวุโสกว่า…ไม่เคารพกติกาของหมู่คณะ…แล้วแบบนี้จะอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขได้อย่างไร?



…คงต้องให้บทเรียนกันสักหน่อย



“ภู…คราม ถ้าเอาเกียร์มาจากรุ่นพี่ไม่ได้..พี่จะไม่คุยเรื่องสุดท้ายที่ติดไว้อีก” ผมพอจะเดาออกแหละว่าเรื่องสุดท้ายที่สองคนนั้นอยากจะเคลียร์ด้วยมันเป็นเรื่องอะไร



“ปีใหม่…การที่ปีหนึ่งจะได้รับเกียร์นี่ต้องทำยังไงบ้าง” ผมถาม



“ต้องได้รับการยอมรับจากรุ่นพี่ครับ” ปีใหม่ตอบผมอย่างสุภาพ ความโกรธที่มีบนใบหน้าเริ่มจางหายไปเมื่อเริ่มจะเข้าใจอะไรบางอย่าง



“ถูกต้อง…เข้าใจแล้วนะภูผา ฟ้าคราม ว่าจะเอาเกียร์มาได้ยังไง”



“พี่ที!!! // พี่ที!!!” ไอ้ภูไอ้ครามร้องเรียกผมเสียงหลง แต่ตอนนี้ผมไม่กลัวมันจะลุกขึ้นมาทำอะไรผมหรอก ก็ผมมีพวกมากกว่าแล้วนี่



“น้องปีหนึ่งเป็นความรับผิดชอบของปีสองโดยเฉพาะประธานรุ่นอย่างคุณ จัดการให้เต็มที่ตามแต่จะเห็นสมควรนะประธานรุ่น ผมมอบอำนาจให้คุณ” ผมพูดแค่นั้นก่อนจะรีบเดินออกจากห้องเพื่อที่จะได้ไม่ต้องต่อปากต่อคำอะไรกับไอ้แฝดต่ออีก ปล่อยให้ไอ้ปีใหม่มันจัดการละกัน ผมเชื่อว่ามันน่าจะหาวิธีโหดๆ มาจัดการสองคนนั้นได้อยู่..



ก็ได้แต่หวังล่ะนะ ว่าพวกปีสองจะช่วยกันดัดนิสัยไอ้แฝดเวรตะไลนั่นแทนผมได้บ้าง



ในที่สุด ค่ำคืนนี้ความวุ่นวายทุกอย่างก็ปิดฉากลงได้เสียที



ผมยืนเอาหลังพิงประตู ริมฝีปากที่เคยฉีกยิ้มเสมอค่อยๆ ราบเรียบกลายเป็นเส้นตรง



คืนนี้คงต้องไปขอค้างที่หอไอ้ป๊อก…



แล้วพรุ่งนี้ไม่สิ นี่มันจะตีสี่แล้ว …เอาเป็นว่าไว้ตื่นมาเมื่อไหร่ผมค่อยคิดแล้วกันว่าจะทำยังไงถึงจะไม่ต้องอยู่ที่คอนโดนั่นอีกโดยไม่ทำให้พ่อแม่และอาแอ๋มรู้สึกไม่ดี





ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ …ไม่ไหวแล้วว่ะ





ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องย้ายออกมาให้ได้ ผมจะย้ายออกแน่นอน ผมมั่นใจจริงๆ



--------------------------------------------------------------------------

หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 26 เคลียร์นะ [28/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-02-2018 17:57:53
พี่ทีเอาอยู่
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 26 เคลียร์นะ [28/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: duck-ya ที่ 28-02-2018 19:54:14
ทำไมไม่คิดถึงใจทีบ้างเลยยยย
เนี่ยย แล้วถ้าทีย้ายไปจะทำยังไง
เอาแต่ใจไม่เคยคิดถึงสิ่งที่จะตามมาเลยอ่ะ
โตแล้วต้องคิดให้เยอะกว่านี้นะ
ทีเองก็ต้องชังใจดีๆว่าสิ่งที่ทำอยู่ตัวเองจะโอเคกับมันและผลจริงมั้ย
รอลุ้นต่อค่าาา
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 26 เคลียร์นะ [28/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 28-02-2018 20:59:46
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 26 เคลียร์นะ [28/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: DESZCZ ที่ 28-02-2018 21:12:52
สงสารที อ่านแล้วอึดอัดกับการที่พูดไม่ได้  :katai1:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 26 เคลียร์นะ [28/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-02-2018 22:36:08
นับถือความใจเย็นของที  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

การไล่ล่าจับแฝด คงโกลาหลสุดๆเป็นประวัติการรับน้อง  :m16: :m16: :m16:
ไม่มีใครวุ่นวายเท่าแฝดอีกแล้ว  :angry2:
เห็นใจที แต่ก็เห็นใจแฝด  :z3:
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 26 เคลียร์นะ [28/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 28-02-2018 23:04:13
คิดจะหนี น้องมันคงยอมหลอกเท๊อ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 26 เคลียร์นะ [28/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: sompong ที่ 28-02-2018 23:46:50
ทีจะโดนลุมโทรมไหมอ่ะ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 26 เคลียร์นะ [28/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-03-2018 01:13:22
คนแก่ก็มั่นใจว่า ทีคงต้องอยู่ที่คอนโดต่อไปอยู่ดี  :hao3:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 26 เคลียร์นะ [28/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 01-03-2018 05:36:40
เกือบไปล่ะพี่ที
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนพิเศษ เช็งเม้งหรรษา! [1/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 01-03-2018 20:29:40
  ตอนพิเศษ  เช็งเม้งหรรษา! (ครึ่งแรก)

(นี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนทีอยู่ม.2 สองแฝดอยู่ป.6 ค่ะ)




“แม่ ปีนี้ไปเช็งเม้งวันที่เท่าไหร่” ผมถามขณะนอนกระดิกเท้าดูทีวีอยู่ในห้องพ่อแม่ที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำชื่นใจ



“26 มีนา ทีว่างมั้ยล่ะ” พ่อตอบแทน



“ขอดูก่อนอ่ะพ่อ แล้วมีใครไปบ้าง”



“ก็มีบ้านเรากับบ้านนู้น แค่นี้แหละ … ไปรถตู้บ้านอาแอ๋ม” พ่อบอก



“ขี้เกียจไปอ่ะพ่อ แดดก็ร้อน นั่งรถก็นาน ไปตั้งสระบุรี” ผมหยิบรีโมตขึ้นมาเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ



“ที พูดอย่างนี้ได้ไง บรรพบุรุษท่านเสียใจหมด” แม่เอ็ดผมอย่างไม่จริงจังนัก ท่านรู้ดีว่าผมไม่ชอบการนั่งรถ มันอึดอัด น่าเบื่อเหมือนโดนขัง



“ขอโทษคร้าบบบ” ผมตบปากตัวเองสามที แล้วยกมือไหว้ขอโทษบรรพบุรุษ



“ทีปิดเทอมอยู่ไม่ใช่หรอลูก หรือว่าวันนั้นมีนัดกับเพื่อน ถ้าไม่ติดอะไรก็น่าจะไปกับแม่นะ ปีนึงไหว้ครั้งเดียวเอง”



“อาแอ๋มเอาเจ้าแฝดไปด้วย วุ่นวายตายชัก ผมขี้เกียจดูน้องอ่ะแม่” ผมบ่น ก็มันจริงนี่ ปีไหนที่สองคนนั้นไปด้วยนะป่วนตลอด ชอบมือบอนไปแกะนู่นจับนี่ ปากก็เสียไปด่าหลุมนู้นหลุมนี้ เขาไม่เอาตายก็บุญแล้ว พี่เฟิร์สก็ไม่ช่วยดู แถมพออาแอ๋มเห็นว่าผมไปด้วย ก็ชอบบอกให้ผมช่วยดูน้องไม่ให้ไปซนทุกทีเลย คนนึงก็อยากจะไปทางโน้น อีกคนก็อยากจะไปดูทางนี้ ให้ตายสิ ฉีกตัวกูไปคนละครึ่งเลยเอามั้ย! = [] =^^^



“เอ้า เค้าก็อยู่ของเค้า เราก็อยู่ของเราไปสิ”



“=_=” เฮ้อ แม่ไม่มาเป็นผมแม่คงไม่รู้หรอก ป่วยการจะอธิบาย



“ทามไปมั้ยลูก” พ่อถามทามที่นั่งอ่านการ์ตูนอยู่บนเก้าอี้นุ่มนิ่มหน้าตาคล้ายจานดาวเทียม



“ไปอยู่แล้ว อยู่บ้านก็ไม่มีอะไรจะทำอ่ะพ่อ…พี่ทีไปด้วยกันเถอะ นะๆ ๆ ”



ผมแบะปากเล็กน้อยก่อนจะยักไหล่



“ไปก็ได้ ไงก็ไม่ติดอะไรอยู่แล้ว”





ปังๆ ๆ ๆ !



“พี่ที ตื่นๆ ๆ ๆ ” เสียงยัยทามดังแหลมมาแต่ไกล พร้อมกับเสียงตบประตูปลุกให้ตื่น



ปังๆ ๆ ๆ ๆ ๆ !!!



ผมลุกไปเปิดประตูอย่างงัวเงีย ก่อนจะกลับมานอนต่อ ถ้าไม่ลุกทามมันก็จะเคาะอยู่นั่นแหละครับ



“พี่ทีแม่บอกให้ไปอาบน้ำ อาแอ๋มกับอาสินธุ์มารอแล้ว”



ผมหยิบหมอนขึ้นมาปิดหู โอ๊ยยย ไม่อยากตื่นเลย เมื่อคืนดันนอนดึกเพราะอ่านนิยายสืบสวนเพลินไปหน่อย



“ตื่นๆ ๆ ๆ ๆ ๆ!!!!!” ทามกระชากผ้าห่มออกจากตัวผมแต่ผมยื้อไว้สุดแรง



“โอ๊ย!! ไม่เอา ไม่ไปแล้ว ไปบอกแม่ไป ง่วง! จะนอน!” เวลาที่นอนไม่พอจะเป็นเวลาเดียวที่ผมควบคุมตัวเองไม่ค่อยอยู่ซึ่งใครๆ ในบ้านต่างก็รู้ดี



แรงยื้อยุดผ้าห่มหยุดลง ผมซุกหน้าลงกับหมอนฟูนุ่มอีกครั้ง ผ่อนลมหายใจแล้วหลับต่อ



“พี่ทีตื่นได้แล้ววววว” ทำไมเสียงทามมันเปลี่ยนไปวะ



“ตื่นเถิดชาวไทยอย่ามัวหลับใหลลุ่มหลงงงง ชาติจะลืมรำวง ก็เพราะเราทั้งหลายยยย” เรืองดำรงเว้ย! ไม่ใช่ลืมรำวง-*-



“นำโมมมม ไต่ซือ ไต่ปุ่ย กิ่วโค่ว กิวหลั่ง กวงไต่ เล้งก่ำ ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น” ไอ้บ้า! กูยังไม่ตาย กูหลับแล้วตื่นเฟ้ย!



“อาทีเอ๊ยยย พระอาทิตย์จาส่องดากเลี้ยวนา ตื่นได้เลี้ยว อั๊วหิวไส้จาขาดเลี้ยว ไม่มาไหว้อั๊วซักที” ใครสักคนดัดเสียงแหลมๆ พูดล้อเลียนสำเนียงจีนปนไทยที่อาม่าผมชอบพูดตอนยังมีชีวิตอยู่



“อาตี๋ อั๊วอยากกินฮ่อยจ๊อเลี้ยวววว เมื่อไหร่ลื้อจามาไหว้”



“เฮ้ย! ล้อเลียนบรรพบุรุษมันสนุกมากมั้ยฮะ ไอ้ฝาแฝด!” ในที่สุดผมก็ทนต่อเสียงเจี๊ยวจ๊าวกวนประสาทไม่ไหว ต้องลืมตาตื่นในที่สุด ตรงหน้าผมปรากฏเด็กหนุ่มตัวสูงโย่งสองคนใส่เจลซะผมตั้ง สวมเสื้อยืดสีแดงที่อกซ้ายปักรูปมังกรทองขดตัวเป็นเลขแปด สวมกางเกงสามส่วนสีดำยืนทำหน้าใสยิ้มกวนตีนอยู่ข้างเตียงผม



“หนี่ห่าวเช็งเม้ง ^ (+++) ^”



ผมมองหน้าพวกมันอย่างมึนๆ ฉีกยิ้มบางๆ ทักทายอย่างรักษามารยาท เหลือบมองนาฬิกาที่บอกว่าตอนนี้หกโมงเช้าแล้วก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ลากผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง



“ไม่ไป ไจ้เจี้ยน”



“ป้าสาคร้าบ!! พี่ทีบอกว่าไม่ไปแล้วววว!” สองคนนั้นตะโกนขึ้นไปยังชั้นสามที่แม่ผมแต่งตัวอยู่ ไม่นานแม่ก็ลงมาปลุกผมด้วยการไล่ปิดพัดลมในห้องจากนั้นก็เดินเข้ามาดึงขาผมลากลงจากเตียงด้วยแรงมหาศาลจนผมตกใจรีบตะกายเกาะหัวเตียงเอาไว้แทบไม่ทันตอนที่ร่างกายท่อนล่างกำลังจะลงไปอยู่บนพื้น เมื่อเห็นว่าผมยอมเด้งตัวลุกแม่ถึงยอมรามือ โอ๊ย ตกใจหมด บอกกี่ครั้งแล้วเนี่ยว่าอย่าปลุกแบบนี้ หัวใจจะวาย!



“ท่องแม่สิบสองย้อนกลับซิ”



ผมยันตัวขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก ขยี้หัวอย่างมึนๆ



“สิบสอง หนึ่ง สิบสองงงง”



“เอ๊ะ บวชมาตั้งสองครั้งแล้วยังไม่มีสติอีก! แม่บอกว่าย้อนกลับไงที”



“สิบสอง สิบสอง เป็น ร้อยสี่สิบสี่”



“สิบสอง สิบเอ็ด เป็น …โอ๊ย! เป็นไรวะ …” พอต้องใช้สมองผมก็เริ่มจะสร่างจากอาการง่วงขึ้นเรื่อยๆ แล้วล่ะครับ=_=



“132” หนึ่งในฝาแฝดช่วยผม



“เออ ใช่ๆ ร้อยสามสอง ขอบใจๆ ” แล้วผมก็ท่องต่อจนจบแบบมึนๆ ในที่สุดผมก็ตาสว่างหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง แม่ยัดผ้าขนหนูใส่มือผมแล้วไล่ไปอาบน้ำให้เสร็จภายในห้านาที ก่อนที่แม่จะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเลือกชุดให้ผม เจ้าแฝดลงไปนอนกลิ้งบนเตียงผมยังกับเตียงตัวเอง มือก็เอื้อมหยิบนู่นหยิบนี่บนหัวเตียงมาดูอย่างหนุกหนาน =_=



“เฮ้ย! อย่ารื้อดิแฝด”



“น้องดูนิดดูหน่อยจะหวงอะไรนักหนา ไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลยนะที!” ขณะที่แม่หันมาว่าผม ไอ้แฝดที่ถือที่ทับกระดาษลายมัมมี่ กับ ไม้บรรทัดเขาวงกตของผมอยู่ก็หันมายิ้มให้แล้วแอบแลบลิ้นใส่น้อยๆ



“แม่เข้าข้างน้องมันไมอ่ะ! แม่ดูน้องดิ มันแลบลิ้นล้อเลียนทีด้วย” ผมฟ้องแม่ยิกๆ ทันทีที่แม่หันไปมองสองคนนั้นก็ทำหน้าใสซื่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ประมาณว่าเก๊าไม่ได้ทำไรเลยนะ พี่ใส่ร้ายเก๊าทำไมอ๊า ไรเง๊ -*-



“แม่คอยดูน้องไว้ด้วย อย่าปล่อยให้มันรื้อโต๊ะทีนะแม่”



“จะไปอาบได้หรือยัง?” แม่หันมามองผมพลางจิ๊ปากอย่างรำคาญ



“ครับๆ ๆ ไปแล้วครับ”



“ตั้งแต่มาเจอเธอเท่านั้น ช่างสุขใจเหลือเกิน ขอร้องให้เธออย่าเมิน ช่วยรักษาใจ” พ่อผม



“พี่จ๋า ถ้าพูดจริงน้องก็คงรับได้ ถ้าไม่ได้มาหลอกกกก น้องก็เต็มใจจะรักกันกกก” แม่ผม



หลอง ปัน (ตึ๊งตึ๊งตึ๊ง) หลอง เหล่า (ตึ๊งตึ๊งตึ๊ง) หม่าน เหล โถ้ว โถ้ว ก๊อง โสย เหว่ง ปั๊ด เหย้า” นี่เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ส่งประกวดโดยอาเขย และ อาแอ๋ม

……..

“หากคนอย่างช้านนนน ตายยยย จากกก ปายยยย เทอออ เศร้าใจรึเปล่า” จากพี่เฟิร์สผู้ซึ่งกำลังอกหัก=_=’ ’

…………..

“ซา รัง งา มี ชิน ซา รัง นอล วอน ฮา จา นา นา นี รอ เค นอล โม ดึน กอล ดา อิล นึน แด โด โช อา นอ มา นึล ซา รัง แฮ คา จี มา นัน ชอง มัล พา โบ กา ทา ซอ คือ ฮึน ฮัน ซา รัง มวอน จี โมล รา ซอ ” อันนี้ฟังไม่ออก รู้แต่ว่าเป็นเพลงเกาหลี ติ่งนรกส่งประกวด

…………



“บอกกับฉันสักนิดได้ไหมว่าเธอก็คิดอยู่หน่อยๆ ว่าเธอก็แอบชอบฉันไม่ใช่น้อย ให้ใจฉันได้ชื่นฉ่ำ เมื่อเฝ้าคอย เฝ้าคอยให้เธอหันมา (มองฉันซะที) ” นี่ยัยทาม



ไมโครโฟนถูกส่งมาถึงมือผมเป็นคนสุดท้าย



“ไม่อ่ะครับ ทีไม่ชอบร้องเพลง” ว่าแล้วก็ส่งไมค์กลับไปให้หัวคิวอย่างพ่อกับแม่อีกครั้ง



“พี่ทีร้องเพลงห่วยหรอ ปีที่แล้วก็ไม่ร้อง ปีที่แล้วๆ ๆ ก็ไม่ร้อง”



“สงสัยเสียงเป็ด ก้าบๆ ๆ ”



“เดี๋ยวเถอะ! ภูผา ฟ้าคราม ขอโทษพี่เค้าเดียวนี้เลย! ปากไม่ดีจริงๆ เชียว” อาแอ๋มดุเจ้าแฝดเสียงเขียว



“ขอโต้ดก๊าบบบบ // ขอโต้ดก๊าบบบบ” ขอโทษได้ไม่จริงใจเล้ย=_=



“โด่ ทามจะบอกให้ พี่ทีร้องเพลงเพราะกว่าพี่แฝดอีก” ยัยน้องสาวตัวดีรีบปกป้องศักดิ์ศรีแห่งเสียงเพลงให้ผมทันที



“ไม่เชื่ออออออ” ไอ้แฝดทำหน้ากวนประสาทใส่ทาม ทามเลยหันไปกดเลือกเพลงแล้วยัดไมค์ใส่มือผมอย่างไม่ยอมให้ปฏิเสธอีก



ผมได้แต่ถอนหายใจอย่างหน่ายๆ แต่เอาเถอะ ร้องสักเพลงแล้วกันจะได้จบๆ



“…. If I had to live my life without you near me , The days would all be empty , The nights would seem so long……. ...”



https://www.youtube.com/watch?v=uREzF8ZTCTI



“…” พอผมร้องจบ ทุกคนก็เงียบสนิท ก่อนที่อาสินธุ์พ่อของเจ้าแฝดจะปรบมือให้ผมยกใหญ่



“อาไม่รู้มาก่อนเลยนะว่าทีจะร้องเพลงเพราะขนาดนี้ แหมซ่อนคมนะเรา!”



“เพราะอ่ะ! เพราะจริงๆ ด้วย พี่ที ร้องอีกเพลงได้ป่ะ” เจ้าแฝดรบเร้า ชะโงกหัวจากเบาะหลังมาหาผมด้านหน้า



“ไม่เอาแล้ว พอๆ ๆ ” ผมส่งไมค์คืนทามก่อนจะหันหน้าเข้ากระจก หลับตาลงเป็นการตัดบท







และแล้วเราก็มาถึงสุสาน ณ จังหวัดสระบุรี ที่เเดดร้อนบรรลัย



“พี่ทีๆ ”



“ฮะ?”



“ภูต้องอธิษฐานเป็นภาษาอะไรอ่ะ ภูกลัวว่าถ้าอธิษฐานเป็นภาษาไทยแล้วเจ้าจะฟังไม่ออก แต่ภูพูดภาษาจีนไม่เป็นอ่ะ”



“เอางี้…” สองคนนั้นชะโงกหน้าเข้ามาใกล้อย่างตั้งใจฟัง



“ภูกับครามก็ขอเป็นภาษาอังกฤษละกัน มันเป็นภาษาสากล เทพเจ้าน่าจะฟังออก”



“– [] --” << หน้าฝาแฝด



ชอบถามอะไรแปลกๆ ผมไม่ได้เป็นเทพ จะไปรู้มั้ยล่ะนั่น!







หลังจากไหว้เทพเจ้าต่างๆ ที่ปกปักคุ้มครองสุสานแห่งนี้เสร็จแล้ว เราก็ขับรถตรงไปยังฮวงซุ้ยบรรพบุรุษของพวกเรากัน



ภูผากับฟ้าครามรับหน้าที่ปีนขึ้นไปบนเนินหญ้าเพื่อประดับประดาฮวงซุ้ยของอากงอาม่าด้วยดอกดาวเรืองและกระดาษสายรุ้ง ผมกับทามนั่งพับกระดาษเงินกระดาษทอง พี่เฟิร์ส ตั้งเสาสำหรับจุดประทัด ส่วนพวกพ่อแม่ช่วยกันเตรียมอาหารไหว้



ผมนั่งพับกระดาษเงินกระดาษทองพลางเหลือบมองเจ้าฝาแฝดไปด้วย เออ ต้องยอมรับแฮะว่าพวกนี้ตกแต่งฮวงซุ้ยเก่งจริงๆ มันเอาดอกดาวเรืองวางล้อมป้ายหลุมศพ เอากระดาษสายรุ้งประดับเป็นรูปดาวกระจาย ปิดท้ายด้วยการโปรยกระดาษแก้วสีๆ ชิ้นเล็กชิ้นน้อย จนว๊อบแว๊บไปหมด ก่อนที่สองคนนั้นจะปีนกลับลงมาดื่มน้ำแล้วนั่งพักข้างๆ ผมกับทาม



“พี่ทีๆ ” โอ๊ย! ทำไมขยันเรียกกูจัง-*- ไม่ไปเรียกพี่ชายแท้ๆ มึงที่ยืนอยู่ตรงโน้นล่ะฟระ



“หือ มีไร?”



“เราเผารถกระดาษ แล้วอากงอาม่าจะได้ขับจริงหรอ”



“ไม่รู้สิ” ผมก็สงสัยเหมือนกัน ตอนเด็กๆ ผมเคยถามแม่ว่าทำไมเราต้องเผาเงินกระดาษ เสื้อผ้า รองเท้า บ้าน มือถือ ไอแพด ไอโฟนกระดาษด้วย อากงอาม่าจะได้ใช้จริงเหรอ แล้วอากงอาม่าจะใช้เป็นหรือเปล่า แม่ก็คงไม่รู้เลยบอกผมแค่ว่ามันเป็นธรรมเนียมเขาเผากันมาหลายต่อหลายรุ่น เรามีหน้าที่สืบต่อก็เผาไปเถอะ=_=’ ’



“แล้วในนรกจะมีปั๊มให้อากงอาม่าเติมน้ำมันหรอ ทำไมไม่เผาปั๊มน้ำมันส่งไปด้วยล่ะ” บางทีผมน่าจะเผาไอ้คนช่างถามให้ไปอยู่กับอากงอาม่านะ จะได้รู้ว่ารถกระดาษไม่เติมน้ำมันแล่นได้ยังไง



“ปากเสีย ตบปากเลยนะคราม อากงอาม่าอยู่บนสวรรค์ ไม่ใช่นรก!” ผมว่าอย่างไม่พอใจ แต่อีกฝ่ายกลับเลิกคิ้วแปลกใจแทนที่จะสำนึกผิด



“รู้ได้ไงว่านี่คราม?”



“เดา” ผมตัดบทอย่างรำคาญก่อนจะกลับไปสนใจการพับกระดาษเงินกระดาษทองเป็นรูปเงินตำลึงอีกครั้ง



“ทาม ไปเอาดอกไม้หลังรถมาให้แม่หน่อยซิลูก” ทามลุกออกไปหยิบดอกไม้ให้แม่ จึงเหลือแค่ผมกับเจ้าแฝดที่นั่งอยู่ด้วยกัน



“พี่ทีๆ ”



“อะไรอีกล่ะ” ผมชักจะรำคาญพวกมันมากขึ้นทุกทีๆ ไหนแม่บอกว่าถ้าผมไม่ชอบก็ให้ต่างคนต่างอยู่ไง ไหงมันมาทำตัวติดกับผมเป็นตังเมแบบนี้ล่ะฟะ!



“อากงอาม่าไลน์มาแหละ!” ภูผาชูสมาร์ทโฟนในมือขึ้น



จะมามุกไหนของมันอีกฟระ-_- อ่ะ ฟังซะหน่อยก็ได้



“เออ แล้วอากงอาม่าว่าไงบ้างล่ะ” ผมรับมุก



“อากงอาม่าบอกว่าไม่ต้องเผาไอโฟน 5s มาให้แล้วนะ”



“ทำไมล่ะ?”



“กงม่าบอกว่า สตีฟ จ๊อบส์ อีมาเปิดตัวไอโฟน 8s บนสวรรค์เลี้ยวววว”



พอฟังภูผาเล่าจบผมก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างทนไม่ไหว โอ๊ย! มุกพวกมันนี่สุดยอดเลยว่ะ! เราสามคนหัวเราะท้องคัดท้องแข็งลงไปกลิ้งกันอยู่บนเสื่อจนโดนดุว่าให้สำรวม ก่อนจะโดนไล่ให้ไปช่วยพี่เฟิร์สเผากระดาษเงินกระดาษทอง



“โห คราม มึงดูแบ๊งค์นี่ดิ ใบเดียวมีค่าตั้ง 1,000,000,000,000 บาท เลยว่ะ”



“แล้วเผาตั้งหลายปึก คิดดูอากงอาม่าจะรวยขนาดไหนเนอะ ของปีที่แล้วยังใช้ไม่หมดเลยมั้ง” พี่เฟิร์สเสริมขณะที่โยนบรรดาแบงก์ต่างๆ ลงไปในกองไฟ



“ถ้าตายแล้วรวยขนาดนี้ ภูขอตายตอนนี้เลยได้ไหมอ่ะ ฮ่าๆ ๆ ”



“บนสวรรค์คงเงินเฟ้อน่าดู” ผมพึมพำกับตัวเองอย่างขำๆ



----------------------------------------------------------------------------------------------

ขอยืมมุกตลกเช็งเม้งจาก http://dekwad.exteen.com/20090315/entry และ

เพจ เฮ้ย คมมากขอยืมไปปอกมะม่วงหน่อย https://www.facebook.com/peeling.the.mango/posts/574766782598959




ร่วมหวีดร้องกับเราได้ที่ #เกียร์คู่(@candleguard)
เหงาจรุงงง มาคุยกันเยอะๆนะ เดะเข้าไปอ่าน อิอิ


หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 26 เคลียร์นะ [28/2/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 01-03-2018 20:31:18
                                                                      (ครึ่งหลัง)


(ภูผา & ฟ้าคราม)



“กงม่าบอกว่า สตีฟ จ๊อบส์ อีมาเปิดตัวไอโฟน 8s บนสวรรค์เลี้ยวววว”



เราสองคนแอบมองพี่ทีหัวเราะท้องคัดท้องแข็งจนลงไปนอนกลิ้งกับเสื่อ พลางคิดในใจว่าดีจังที่พี่ทีกลับมาหัวเราะได้แบบนี้ …ดีกว่าตอนนั้นเยอะเลย …ดีกว่าเมื่อสองปีก่อนตอนที่อากงอาม่าเพิ่งเสียไปในเวลาไล่เลี่ยกัน…



เราสองคนจำได้ดี ตอนนั้นพวกเราเป็นแค่เด็กป.4 ส่วนพี่ทีเรียนอยู่ป.6 ถึงอายุจะยังน้อยแต่เราก็โตพอที่จะมีความคิดอ่านเป็นของตัวเอง



เราไม่รู้ว่าความรู้สึกของการที่ต้องสูญเสียคนที่รักไปตลอดกาลมันเป็นยังไงหรอกเพราะอากงอาม่าฝั่งพ่อเสียไปตั้งแต่เราสองคนยังไม่เกิด ส่วนอากงอาม่าฝั่งแม่ หรือก็คือฝั่งพี่ทีก็ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันเลยไม่ได้ผูกพันอะไรเท่าไหร่ ตอนที่รู้ข่าวว่าอากงอาม่าเสียแล้วเรายังรู้สึกเฉยๆ เลยด้วยซ้ำ



เราเห็นพี่ทีอุ้มทามที่เอาแต่ร้องไห้ขึ้นมานั่งตัก กอด และลูบหัวปลอบโยน ทามร้องไห้จนเหนื่อยและหลับไป พี่ทีไม่มีน้ำตาซักหยด ผู้ใหญ่ทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพี่ทีเป็นเด็กที่เข้มแข็งเหลือเกิน



จริงเหรอ…?



คนที่แม้แต่เวลาที่อยากจะร้องไห้ก็ยังร้องไม่ได้ เรียกว่าเข้มแข็งจริงหรือ



เวลาที่พระสวด พี่ทีมักจะแอบหายตัวไปอย่างเงียบๆ เสมอ แล้วก็จะกลับมาอีกครั้งตอนพักสวดเพื่อช่วยเสิร์ฟของว่างให้แขก



เราอยากรู้ว่าพี่ทีไปไหน ก็เลยแอบสะกดรอยตามแบบที่เห็นในหนัง



เราเห็นพี่ทีเปิดประตูรั้วเดินเข้าไปหลังโบสถ์ที่มืดและเปลี่ยวไร้ซึ่งผู้คน ทรุดตัวลงนั่งพิงกำแพง ยกมือขึ้นมากอดเข่าทั้งสองข้าง ก่อนจะร้องไห้สะอึกสะอื้น



เราสองคนตกใจจนทำอะไรไม่ถูก



เพราะตั้งแต่จำความได้ เราไม่เคยเห็นพี่ทีร้องไห้มาก่อนเลย พี่ทียิ้มแย้มแจ่มใส ถึงบางทีจะชอบทำหน้าเหมือนรำคาญพวกเราบ้าง แต่ท้ายที่สุดก็ยังยอมยิ้มให้



พี่ทีร้องไห้หนักมาก แต่กลับไม่มีเสียงอะไรดังลอดออกมาให้ได้ยินสักแอะ จะมีก็แต่เสียงสะอื้นที่กลั้นเอาไว้ไม่ได้จริงๆ …สะอื้นจนตัวสั่นไปหมด เราสองคนก็เคยร้องไห้ ทั้งตอนที่ตกจากปีนต้นไม้ หรือตอนที่โดนพ่อตี แต่ก็ไม่เคยร้องไห้หนักเท่านี้ …เราไม่เคยเห็นใครร้องไห้ได้น่าเศร้าขนาดนี้มาก่อน …ร้องเหมือนคนหัวใจจะสลาย



พี่ทีน่าสงสารมาก…



พอเสียงสวดเงียบลง พี่ทีก็เอาชายเสื้อเช็ดหน้าเช็ดตา เข้าห้องน้ำหลังวัดครู่หนึ่ง แล้วก็กลับไปที่ศาลา



…ด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ



เป็นอย่างนี้อยู่ตลอดเจ็ดวัน จนกระทั่งงานศพผ่านพ้นไป เราได้เจอกันอีกครั้งตอนงานครบรอบ 100 วัน พี่ทีดูไม่เป็นอะไรแล้ว ส่วนทามที่ตอนนั้นยังเด็กมากก็ลืมความเศร้าไปได้อย่างรวดเร็ว กลับมายิ้มแย้มแจ่มใสหัวเราะได้เหมือนเดิม



แต่พี่ทีไม่ใช่ … แม้จะไม่ได้ดูอาการหนักเหมือนเมื่อหลายเดือนก่อน แต่แววตาที่เคยสุกใสกลับหม่นหมองเหมือนมีม่านหมอกปกคลุมอยู่ตลอดเวลา



เราไม่อยากเห็นพี่ทีเป็นแบบนี้เลย



…แต่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงให้พี่เค้ากลับมาเป็นเหมือนเดิม เด็กซนๆ ที่ดีแต่สร้างปัญหาอย่างภูผากับฟ้าครามน่ะเหรอจะทำอะไรได้ นอกจากเล่นซนแล้วก็ทำให้คนอื่นเดือดร้อนไม่เว้นแต่ละวัน



แล้วในที่สุดเราก็คิดออกแต่วิธีที่ตัวเองถนัด…ปล่อยมุกฮาบ้างแป้กบ้าง รื้อข้าวของ กวนประสาท สร้างเรื่องน่าปวดหัว



แต่มันก็ได้ผล พี่ทีหายซึมไปเลย ตลอดสัปดาห์ที่เราไปค้างบ้านพี่ทีตอนครบรอบร้อยวัน ไม่มีวันไหนที่พี่ทีไม่โกรธ ไม่มีวันไหนที่พี่ทีไม่หัวเราะ บางวันเราก็ทำให้เขาทั้งขำทั้งโมโหได้ในเวลาเดียวกัน



เราเก่งมั้ยล่ะ !



…ถึงเราจะทำให้พี่หายเศร้าไม่ได้ แต่เราก็ทำให้พี่ลืมมันได้เป็นพักๆ



…ถึงเราจะทำให้พี่โกรธ แต่มันก็คือการปลอบใจในแบบของเรา



…โกรธภูกับครามให้มากๆ …จะรำคาญก็เอาเลย เต็มที่



                 อย่างน้อยก็ดีกว่าต้องเห็นหน้าเศร้าๆ กับน้ำตาของพี่อีก


…โกรธจนลืมความเศร้าไปให้หมด



                  แต่ทุกครั้งที่หายโกรธ อย่าลืมยิ้มให้ภูกับครามนะ




“ภูกับครามก็ขอเป็นภาษาอังกฤษละกัน มันเป็นภาษาสากล เทพเจ้าน่าจะฟังออก”



“China god คับ I want handsome man (ประเทศจีน เทพเจ้า คับ ผม ต้องการ ผู้ชาย หล่อๆ) ” ผมอธิษฐานว่าขอให้ตัวเองหล่อๆ ด้วยภาษาอังกฤษอ่อนแอประสาเด็กป.6ที่ไม่ตั้งใจเรียนสักเท่าไหร่



“Me too , handsome handsome rich rich , l want father mather P’ First happy much much (ผมก็ต้องการผู้ชายหล่อๆ ด้วย หล่อๆ รวยๆ , ผม ต้องการ พ่อ แม่ พี่เฟิร์ส มีความสุข มาก มาก) ” ผมขอให้ตัวเองหล่อเหมือนกัน ทั้งหล่อ ทั้งรวย แล้วก็ขอให้พ่อแม่กับพี่เฟิร์สมีความสุขมากๆ ^^





“And we want P’ T don’ t cry , smile very much ,and happy forever”



---------------------------------------------------------------



ปล. ภาษาอังกฤษของภูกับครามไม่ถูกไวยากรณ์อย่างแรง ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างนะคะ 555 (แต่ก็เด็กป.6อ่ะเนอะ เอาไรมาก)

หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนพิเศษ เช็งเม้งหรรษา! [1/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-03-2018 22:10:58
แหม มันกวนตั้งแต่เด็กเลยเว้ย
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนพิเศษ เช็งเม้งหรรษา! [1/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์สาววาย ที่ 01-03-2018 22:55:26
เขาก็รักของเขามาตั้งแต่เด็กเนอะ 555555555555555555

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
 

:mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนพิเศษ เช็งเม้งหรรษา! [1/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 02-03-2018 01:52:49
โธ่  แฝดแอบรักพี่ทีเขามาตั้งแต่เด็กหรือเนี่ย  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนพิเศษ เช็งเม้งหรรษา! [1/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-03-2018 08:36:01
สงสารทีจัง
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนพิเศษ เช็งเม้งหรรษา! [1/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-03-2018 09:07:14
มุขแฝด ไอโฟน8  สุดยอดดดดด   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนพิเศษ เช็งเม้งหรรษา! [1/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 02-03-2018 14:37:27
 :katai2-1: 
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนพิเศษ เช็งเม้งหรรษา! [1/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 02-03-2018 14:45:16
หือออ ไอโฟน 8 มาา
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนพิเศษ เช็งเม้งหรรษา! [1/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 07-03-2018 14:00:28
ติดตามจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนพิเศษ เช็งเม้งหรรษา! [1/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 09-03-2018 17:59:27

                                                   ตอนที่ 27  ขอลายเซ็นหน่อยคร้าบบบบ


ผมเดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าห้องคลอดอย่างเป็นกังวล ในใจก็นึกภาวนาให้ปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูก หยาดเหงื่อไหลซึมจนเปียกไปทั้งฝ่ามือแม้อากาศในโรงพยาบาลจะเย็นเฉียบสักแค่ไหน ผมป้ายมือที่เปียกกับกางเกงด้วยความกระวนกระวายใจก่อนจะกุมมือเดินกลับไปกลับมาใหม่อีกรอบาลที่เดินออกมาข้างนอกทันที



“ยินดีด้วยนะคะคุณพ่อ ปลอดภัยทั้งแม่และลูกเลยค่ะ” เมื่อได้ยินสิ่งที่นางพยาบาลพูด ผมก็แทบจะกระโดดตัวลอยร้องตะโกนด้วยความดีใจให้ก้องโรงพยาบาล ผมเป็นพ่อคนแล้ว! ผมเป็นพ่อคนแล้ว!!!!



ผมผลักประตูเปิดเข้าไปทันที ภรรยาคนสวยของผมมองมาด้วยรอยยิ้มอ่อนแรงแต่ก็เต็มไปด้วยความสุข ผมรีบคว้ามือเธอมากุมไว้พลางจูบหน้าผากซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความรัก

เมื่อไฟหน้าห้องคลอดดับลง ผมถลาเข้าไปหานางพยาบ



“ขอบคุณนะเอิ้บ ขอบคุณที่อดทนเพื่อเราและลูก ขอบคุณที่ทำให้เราได้เป็นพ่อคนนะครับ” ผมยิ้มกว้างอย่างมีความสุข ก่อนจะต้องขมวดคิ้วเมื่อนางพยาบาลอุ้มห่อผ้าสีฟ้าตรงมาที่เตียงสองห่อ



เอิ้บยิ้มกว้างรับเอาห่อผ้าสองห่อนั้นมา ก่อนจะหันมาหาผม



“ใหม่ดูสิ เราได้ลูกแฝดด้วยนะ!”



ไม่นะ…ทำไมผมรู้สึกว่าหนังตาขวามันกระตุกยิบๆ ชอบกล



“ใหม่จะลองอุ้มลูกดูมั้ย?” ผมกลืนน้ำลาย ก่อนจะยื่นมืออันสั่นเทาไปรับห่อผ้าสองห่อนั้นมา



“ชื่อภูผา กับ ฟ้าคราม ดีมั้ย?”



ผมละสายตาจากใบหน้าเปื้อนยิ้มของภรรยา ก้มลงมองทารกแฝดในอ้อมแขน ก่อนจะต้องตกใจจนตาแทบถลนที่ลูกของผมหน้าเป็นผู้ใหญ่ แต่ตัวดันเป็นเด็กทารก



ผมยืนช็อกจนขยับเนื้อขยับตัวไม่ได้ เด็กทารกหน้าผู้ใหญ่หัวเราะคริๆ อิ๊ๆ ดังลั่นห้องคลอดเหมือนสะอกสะใจกับท่าทางของผม เอิ้บยิ้มแย้มชอบใจที่ลูกของเธอดูเป็นเด็กอารมณ์ดี



บ้า ! นี่มันเด็กผี ลูกปีศาจชัดๆ!!!



ผมโยนห่อผ้าสองห่อนั้นทิ้งราวกับเป็นของร้อน ทั้งเอิ้บ ทั้งหมอและพยาบาลในห้องผ่าตัดพากันหวีดร้องตกใจกับการกระทำของผมไม่เว้นแม้แต่ตัวผมเองที่เพิ่งได้สติ ผมโยนลูกตัวเองทิ้งได้ยังไง!?



แล้วผมก็ต้องตกใจเป็นคำรบสองเมื่อทารกแฝดสองคนนั้นเกาะอยู่ที่เท้าผม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นฉีกยิ้มกว้างถึงหูอย่างน่าสยดสยอง



“พี่ปีใหม่…ขอลายเซ็นหน่อย / พี่ปีใหม่…ขอลายเซ็นหน่อย”



“ม่ายยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!! ”





(ที)



ผมตื่นแต่เช้ามาอาบน้ำอย่างสดชื่น ในที่สุดงานรับน้องก็ผ่านพ้นไปแล้ว สายรหัสก็เฉลยแล้ว วันนี้สายผมจะนัดเลี้ยงสายหลังเลิกเรียน มากันครบทุกคนตั้งแต่พี่ที่จบไปปีล่าสุดจนถึงน้องปีหนึ่งตัวหลักของงานในวันนี้ เห็นไอ้อ๊อตน้องรหัสผมบอกว่าหลานรหัสผมชื่อซินเซียร์ อืม ชื่อแปลกดี ได้ยินพวกปีสองคุยกันว่าน้องคนนี้หน้าตาน่ารักมากแถมยังโก๊ะสุดๆ ไปเลย คงจะเป็นผู้หญิงท่าทางเปิ่นๆ มั้งเนี่ย ผมยังไม่มีโอกาสได้เห็นตัวจริงสักที ก็เพราะผมมัวแต่จับตาดูไอ้แฝดนรกนั่นแหละ เลยไม่มีเวลาไปส่องน้องคนอื่นเลย



ผมถือหม้อไก่ผัดขิงไปอุ่น ก่อนจะเอาปลาสามตัวที่เอาออกมาละลายน้ำแข็งนานแล้วลงไปทอดในกระทะ พอเหลืองกรอบดีแล้วก็ตักใส่จาน เทน้ำจิ้มลงในถ้วยใบเล็กๆ ก่อนจะนำทั้งหมดไปตั้งที่โต๊ะกินข้าว แล้วเดินกลับมาทอดไข่ดาวอีกสี่ฟอง อันนี้ผมไม่ได้กินเองหรอกนะ ของภูผากับฟ้าครามต่างหาก ตั้งแต่ตอนติวหนังสือแล้วที่ผมรู้ว่าสองคนนี้ชอบกินไข่ดาวสองฟองทุกเช้า



ผมเปิดโทรทัศน์นั่งดูข่าวยามเช้าพลางนั่งกินข้าวไปด้วย กินเสร็จก็เอาจานไปวางที่ซิงค์รอให้ไอ้แฝดมันมาล้าง ผมออกไปยืนรับอากาศยามเช้าที่ระเบียงพลางทอดสายตาออกไปแสนไกล



นับจากวันรับน้องที่ไอ้แฝดก่อเรื่องหนีออกมาก็ผ่านมาอาทิตย์นึงแล้ว จำได้ว่าคืนนั้นในที่สุดไอ้ปีใหม่ก็ลากภูผากับฟ้าครามกลับไปได้สำเร็จ ไอ้ขวดเล่าให้ผมฟังว่าพอกลับไปถึงภูผากับฟ้าครามโดนพวกปีสองด่าซะยกใหญ่ ทั้งๆ ที่ถ้าคืนนั้นไม่หนีออกมา สองคนนั้นก็จะได้เกียร์จากพี่รหัสของตัวเอง แต่พอเกิดเรื่องพี่รหัสของสองคนนี้ก็เลยไม่ยอมออกมาแสดงตัว มันสองคนก็เลยไม่มีเกียร์ ซึ่งก็เท่ากับว่าไม่ได้รับรุ่น



คุณอาจจะสงสัยว่าไม่ได้รุ่น ไม่มีพี่รหัส แล้วจะทำไมหรอ?



สำหรับมหา’ ลัยผมมันก็ไม่อะไรหรอกครับ มีหลายคนเหมือนกันที่ไม่เอารับน้อง ไม่เอาเกียร์ ไม่เอารุ่น ไม่เอาสายรหัส มาเรียนก็คือเรียนอย่างเดียวไม่สนใจอย่างอื่น หรือไม่ก็ไปสนิทกับเพื่อนคณะอื่นมากกว่า แต่สำหรับผม ผมว่าการรับเกียร์รับรุ่นเป็นสิ่งจำเป็นนะ จะได้มีพวกรุ่นพี่คอยช่วยให้คำปรึกษาเรื่องต่างๆ จบไปทำงานบางทีก็จะได้มีเส้นสาย แถมยังฝึกการเข้าสังคมด้วย ผมคิดมาดีแล้วว่ายังไงก็ต้องทำให้ไอ้ภูไอ้ครามเอารุ่นให้ได้ เพื่ออนาคตของพวกมันเองด้วย



รู้สึกว่าไอ้ใหม่จะสั่งให้สองคนนั้นไปตามล่าลายเซ็นปีสองให้ครบทุกคนถึงจะได้เกียร์ ยังกับสมัยที่มอผมยังใช้ระบบโซตัสไม่มีผิด ไอ้การล่าลายเซ็นเนี่ย



ผมเอนหลังลงบนเก้าอี้หวาย ประสานมือสองข้างไว้ที่หน้าท้อง มองดวงอาทิตย์สีแดงกลมโตที่เหมือนไข่แดงของไข่ดาวที่ผมทอดให้ภูผากับฟ้าครามไม่มีผิด



…ผมปรารถนาให้คืนวันอันสงบสุขนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ … ถึงจะต้องอยู่กับไอ้แฝด ที่ถึงจะกวนประสาท น่ารำคาญบ้างในบางที บางคราวก็ทำให้ผมทั้งสุขทั้งทุกข์ในเวลาเดียวกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบ่อยครั้งผมมักจะยิ้มและหัวเราะเสียงดังเพราะสองคนนี้โดยไม่รู้ตัว เอาจริงๆ มาอยู่กับภูผาฟ้าครามมันก็ไม่ได้แย่ ถ้าเราอยู่กันแบบพี่น้อง …จนกว่าสองคนนั้นจะได้เกียร์มา เราจะยังคงสภาพนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรเกินเลยไปมากกว่านั้น ซึ่งผมชอบแบบนี้ มันสบายใจกว่ามาก



ถ้าภูผากับฟ้าครามรักผมแบบพี่ชาย ผมยังพอทนอยู่กับพวกมันได้ แต่นี่ไม่ใช่ สองคนนั้นกำลังเรียกร้องในสิ่งที่เกินเลยไปมากกว่านั้นจากผม และเมื่อผมให้ไม่ได้ ผมก็ควรที่จะก้าวออกมาก่อนที่พวกมันจะยิ่งถลำลึกไปมากกว่านี้



ผมเคยถามตัวเองว่าถ้าหากภูผากับฟ้าครามเป็นคนคนเดียวกัน เป็นผู้หญิง และไม่ใช่ญาติ ผมจะรักภูผากับฟ้าครามได้ไหม…



…คำตอบที่ได้ช่างน่ากลัว…มันไม่ได้น่ากลัวที่คำตอบ แต่น่ากลัวที่ผมตอบได้อย่างรวดเร็วและไม่มีความลังเลเลยสักนิด



วันก่อน ผมลองถามไอ้แท็คดู เพราะเห็นว่าในกลุ่มผมมันดูพึ่งพาได้มากที่สุดแล้ว



‘แท็ค กูถามไรมึงหน่อยดิ’



‘หืม มีไรวะ?’



‘คือว่า…ถ้ามีผู้หญิงคนนึงชอบเข้ามาจุ้นจ้านวุ่นวายกับชีวิตมึง บางทีก็ทำให้มึงรำคาญ บางทีก็ชอบทำเรื่องยุ่งให้มึงไปคอยแก้ แต่ผู้หญิงคนนี้ทำให้มึงหัวเราะบ่อยมาก อยู่ด้วยแล้วไม่เคยเบื่อ บางทีก็ชอบออดอ้อนเหมือนเด็กๆ แต่บางครั้งก็แอบเจ้าเล่ห์แบบที่มึงคาดไม่ถึง…’



ไอ้แท็คฟังอย่างตั้งใจพลางขมวดคิ้วนิดๆ ‘อ่าหะ’



‘ไม่ว่าผู้หญิงคนนี้จะทำอะไรให้มึงโกรธแค่ไหน สุดท้ายมึงก็ใจอ่อนยอมยกโทษให้เธอทุกที ถึงมึงจะรำคาญเธอสักแค่ไหน แต่สุดท้ายมึงก็ละสายตาไปจากเธอไม่ได้ซะทุกที วันๆ มึงก็คอยมองแต่เธอคนนี้ว่าจะไปก่อเรื่อง ไปทำเปิ่นอะไรอีกหรือเปล่า เธอเด็กกว่ามึงไม่กี่ปี เป็นคนตรงไปตรงมา แล้ววันนึงเธอก็มาบอกว่าชอบมึง แล้วก็พยายามทำทุกวิถีทางให้มึงรับรักเค้า เป็นมึง มึงจะรักผู้หญิงคนนี้ไหมวะ’



ไอ้แท็คยิ้มขำ พลางมองหน้าผมประมาณว่าถามอะไรของมึงวะ



‘ไม่รู้ดิ ก็คงชอบมั้ง ฟังๆ ดูแล้วก็น่ารักดีออก’



'หรอวะ แล้วมึงชอบเค้าหรอวะ’



‘กูว่าน่าจะชอบแหละ ก็มึงบอกว่าต่อให้ทำผิดแค่ไหนก็ยกโทษให้ได้ทุกครั้ง กูว่าถ้ากูมีโมเม้นท์นี้ กูคงชอบผู้หญิงคนนี้ไปแล้วล่ะ’



‘…’ ชักเครียด



‘ถ้าคบกันเมื่อไหร่อย่าลืมพามาแนะนำด้วยล่ะ มึงพูดซะกูอยากเห็นตัวเลยนะเนี่ย ฮะๆ ๆ ’



‘เฮ้ย! กูแค่สมมติเว้ย’



ไอ้แท็คมองหน้าผมเหมือนไม่อยากเชื่อ แต่ก็ไม่ได้ไล่บี้ต่อ มันยิ้มขำๆ ก่อนจะยักไหล่



‘โอเคๆ เรื่องสมมติก็เรื่องสมมติ’







ผมถอนหายใจ ยกมือขึ้นทุบแขนเก้าอี้อย่างโมโหปนอัดอั้น….ทำไมวะ!? …ทำไมไม่เกิดมาเป็นผู้หญิง ทำไมต้องเกิดมาเป็นญาติกู ทำไมไม่เกิดมาคนเดียวจะเกิดมาสองคนทำเหี้ยอะไร ต่อให้เป็นผู้หญิงจริงผมก็ไม่คิดจะแต่งเมียสองคนหรอกนะ ผมน่ะเป็นคนรักเดียวใจเดียว แต่จะให้ผมเลือกคนใดคนหนึ่งผมก็ทำไม่ได้ คนที่ไม่ถูกเลือกคงน่าสงสารน่าดู



แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่ากูจะมานั่งกลุ้มใจไปทำไมในเมื่อเรื่องที่ผมสมมติขึ้นมันไม่มีวันเป็นจริง สองคนนั้นไม่มีทางกลายเป็นผู้หญิง แล้วผมก็คงไม่มีวันต้องมานั่งกลุ้มใจว่าจะเลือกแต่งกับคนพี่หรือคนน้องด้วย



ผมควรจะทำยังไงดี …เรื่องของผมกับสองคนนั้น มันดูจะเป็นไปไม่ได้เลย ผมมองไม่เห็นอนาคตของพวกเราเลยสักนิด



ผมควรจะจัดการความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจเหล่านี้ยังไงดี ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันหมายความว่ายังไง ผมไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจทำแบบไหน ผมไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองจะต้องมานั่งเสียดายเรื่องที่สองคนนั้นไม่ใช่ผู้หญิง ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมานั่งสมมตินู่นนี่ให้วุ่นวายเพื่อหาคำตอบให้กับตัวเอง ผมไม่รู้ว่าควรจะให้คำตอบสองคนนั้นว่ายังไง ผมไม่รู้ว่าที่จริงแล้วผมอยากจะย้ายออกไปไหม ผมไม่รู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงที่ผมอยากจะย้ายออกไปมันคืออะไร มันเป็นเพราะผมเหนื่อยใจกับการเสแสร้งจริงๆ น่ะหรือ ผมไม่รู้ว่าที่ตัวเองไม่รู้ความจริงคือแกล้งไม่รู้หรือไม่รู้จริงๆ กันแน่



ผมไม่คิดว่าจะมีใครตกหลุมรักคนที่แทบไม่มีอะไรเหนือกว่าตัวเองเลยสักอย่างเลยนะ มันจะเป็นไปได้ยังไงที่จะหลงรักคนที่ก่อเรื่องก่อราวมากมายให้คอยตามแก้ ทำตัวให้น่าเป็นห่วงจนใจเราร้อนรุ่มราวกับอยู่ในเปลวไฟตลอดเวลา



หรือผมควรจะเลิกคิด แล้วปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปในสิ่งที่มันเป็น อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด



หรือผมควรจะเลิกหลอกตัวเองได้แล้ว



แล้วผมหลอกอะไรตัวเอง ?



ผมมองลงไปด้านล่าง แล้วก็เผอิญเห็นภูผากับฟ้าครามกำลังกลับจากการวิ่งจ๊อกกิ้งพอดี



ผมเท้าคางกับราวระเบียงมองสองคนนั้นเงียบๆ



แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อหนึ่งในสองคนนั้นเงยหน้าขึ้นมา ผมหยิบแว่นขึ้นมาสวมเพื่อที่จะได้มองเห็นสองคนนั้นให้ชัดขึ้น



ภูผากับฟ้าครามเงยหน้ายิ้มกว้างให้ผมพลางโบกไม้โบกมือทักทาย



ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่าที่เห็นว่ารอยยิ้มของภูผาและฟ้าครามช่างดูเจิดจ้าจริงๆ เจิดจ้ายิ่งกว่าแสงอาทิตย์ยามเช้านี้เสียอีก เป็นรอยยิ้มที่ผมเห็นแล้วรู้สึกมีพลังขึ้นมาอย่างประหลาด



ผมยิ้มบาง โบกมือตอบ



บางที เราก็ไม่ควรจะไปกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึงใช่ไหม…



เรื่องในอนาคตก็ปล่อยให้ผมในอนาคตเป็นคนจัดการแล้วกัน







อาทิตย์ต่อมา เย็นวันหนึ่งขณะที่กำลังนั่งกินข้าวด้วยกัน ภูผากับฟ้าครามก็หยิบสมุดล่าลายเซ็นขึ้นมาอวด



“พี่ทีดูสิ อีกยี่สิบคนภูก็จะได้ลายเซ็นครบแล้วนะ” ภูผายิ้มร่าเริง ผมรู้สึกตกใจไม่คิดว่ามันสองคนจะล่าลายเซ็นรุ่นพี่ได้เร็วขนาดนี้ ปีสองน่ะมีตั้งสองร้อยกว่าคน นี่เหลือแค่ยี่สิบคนเองหรอเนี่ย ผมคิดว่าพวกปีสองจะเล่นตัวกันมากกว่านี้ซะอีก ทำไมถึงให้ลายเซ็นง่ายๆ แบบนี้ ภูผากับฟ้าครามไปขอท่าไหนของมันวะ!?



“อืม เก่งนี่นา” ผมพยายามจะยิ้มให้เหมือนไม่มีอะไร ทั้งที่ในใจวูบโหวง ใกล้ได้เวลาที่ตัวผมในอนาคตจะต้องจัดการเรื่องในอนาคตแล้วสินะ จะทำยังไงดี ผมรู้สึกไม่สบายใจเลย ผมจะต้องให้คำตอบที่ทำร้ายจิตใจน้องจริงๆ น่ะหรอ แล้วหลังจากให้คำตอบเราจะกลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมได้ไหม หรือสุดท้ายผมควรจะต้องย้ายออกไปจริงๆ



“…พี่ทีอย่าลืมที่สัญญาเอาไว้นะ” ภูผากับฟ้าครามสบตาผมอย่างสื่อความหมาย บรรยากาศสบายใจตอนนั่งกินข้าวเมื่อกี้เหมือนจะจางหายไป (สำหรับผม) ใกล้หมดเวลาที่ผมจะทำเป็นแกล้งไม่รับรู้ เล่นเป็นพี่น้องหรรษาแล้วสินะ



“อืม ไม่ลืมหรอก”



หรือผมควรรีบย้ายออก…ก่อนที่จะต้องให้คำตอบ…ก่อนที่จะทำให้ใครบางคนต้องเจ็บปวด





(ปีใหม่)



“ใหม่ สามอาทิตย์แล้วนะ จะไม่เซ็นให้น้องเค้าจริงๆ เหรอ” เอิ้บถามขณะที่เราพากันเดินออกจากห้องเลคเชอร์ ผมมองซ้ายมองขวาอย่างระแวงว่าไอ้แฝดนรกจะมาดักหน้าห้องเหมือนเมื่อวานหรือเปล่า พอไม่เห็นจึงหันกลับไปคุยต่อ



“ไว้เราพอใจจะให้เมื่อไหร่เราก็ให้เมื่อนั้นแหละ” ผมว่าอย่างไม่ยี่หระ แต่เอิ้บกลับทำแก้มป่องไม่พอใจ



“ใหม่อ่ะะะะ น้องก็มาง้อแล้ว เลิกแกล้งน้องเถอะ”



“เอ๊ะ ไอ้สองตัวนั่นมันมาติดสินบนอะไรเอิ้บป่ะเนี่ย” ผมหรี่ตามองแฟนตัวเองที่คงจะหลงลูกอ้อนจอมกะล่อนของเจ้าแฝดนรกนั่นเข้าให้แล้ว ดูเหมือนสองคนนั้นจะเลือกขอลายเซ็นพวกผู้หญิงก่อน ลูกอ้อนมันแพรวพราวน่าดูกูเห็นมากับตา พี่คนสวยอย่างนู้น พี่คนน่ารักอย่างนี้ อยากได้ลายเซ็นพี่สาวจังเลย ลายเซ็นพี่จะสวยเหมือนหน้าพี่มั้ยน้อออ เพื่อนผมบางคนถึงกับสั่งให้หอมแก้มแลกลายเซ็นเลยก็มี กลายเป็นขวัญใจสาววิศวะไปซะแล้ว ธรรมดาซะที่ไหน บทจะป่วนก็ทำเอาปวดหัวกันทั้งค่าย บทจะอ้อนก็ทำสาวๆ ใจละลายกันเป็นแถบ



แล้วพอได้ลายเซ็นพวกผู้หญิง มีหรือจะไม่ได้ลายเซ็นพวกผู้ชายที่ยอมก้มหัวให้ทรัพยากรอันน้อยนิดในคณะ



ไอ้เด็กสองคนนี้มันวายร้ายชัดๆ



“โถ่ ใหม่ ..ใหม่แกล้งน้องไปตั้งเยอะแล้วนะ”



“เราแกล้งอะไร? เราแค่หลบหน้าเฉยๆ ”



“แล้วที่ให้ไปขอเบอร์อาจารย์ปกรณ์ อาบน้ำสุนัขใต้ตึก เดินบัลเล่ต์รอบสนามฟุตบอล บอกรักหลอดไฟกลางโรงอาหาร เข้าไปรองน้ำแอร์ห้องแล็ปที่มีแต่พัดลม ไปขอยามคณะแต่งงาน ชวนต้นหางนกยูงข้างคณะแพทย์ออกเดต คัดสูตรฟิสิกส์ร้อยชุด ทำความสะอาดห้องสโมฯ ใช้พีทาโกรัสคำนวณความสูงตึกอธิการบดี ขัดเกียร์ที่ลานกว้าง นี่ไม่เรียกว่าแกล้งใช่ป่ะ”



เย้ย! รู้ได้ไงวะ กูอุตส่าห์แอบทำลับหลังแล้วนะ ={}=;;



“เอิ้บเข้าใจผิดแล้ว ที่เราให้น้องไปขอเบอร์อาจารย์ปกรณ์เพราะอีกหน่อยอาจจะได้ใช้ไง แล้วเราเห็นหมาใต้คณะมันเริ่มมอมแมมแล้วเลยขอแรงน้องมันช่วยอาบ ให้ไปขอยามแต่งงานอะไรเพ้อเจ้อ! เราแค่ให้น้องไปผูกมิตรกับยาม อีกอย่างให้คัดสูตรก็ดีแล้วไงจะได้ไม่ลืม” ผมพยายามแถแบบสีข้างเลือดออกซิบๆ



“ไม่ต้องมาแถเลยนะ ไม่รู้ล่ะ เราขอสั่งให้ใหม่เซ็นให้น้องไม่เกินอาทิตย์หน้า.. เราอยากเลี้ยงสายแล้ว!” โอ๊ย! อะไรจะรักพวกมันขนาดน้านนนน มันเป็นลูกเธอเรอะ! สนใจกรูบ้างกรูแฟนนะครับ นั่นมันแค่เด็กเปรตแอ๊บใส (ไสย) อย่าไปหลงเชื่อมันเซ่!



ทุกคนอ่านไม่ผิดหรอกครับ ภูผาฟ้าคราม เจ้าแฝดตัวแสบนั่นเป็นน้องรหัสของเอิ้บทั้งคู่ ฝันกูนี่ลางบอกเหตุชิบหาย!



ตอนจับสลากผมดีใจฉี่แทบราดที่ไม่ได้ไอ้สองตัวนั่น แต่ดูเหมือนความซวยจะชอบผมเข้าแล้วมั้งครับ ถึงทำให้คนใกล้ตัวสุดๆ อย่างแฟนผมเธอจับได้ไอ้ภู!



‘ใหม่ๆ ๆ เราได้น้องภูเป็นน้องรหัสด้วยแหละ ^O^’



‘…’ = [] =! เมื่อคืนเพิ่งฝันว่าได้พวกมันมาเป็นลูกหยกๆ เล่นเอาตาค้างยันเช้า นี่ได้ตาค้างยามบ่ายอีกรอบ



‘อีกคนชื่อน้องพล ว้า…ไปขอแลกน้องครามมาดีกว่า จะได้ครบคู่ อิอิ’ แล้วเธอก็ไปขอแลกเอาฟ้าครามมาจากไอ้เฮนรี่ จบเลยครับTvT



“โอเคๆ ๆ ไม่เกินอาทิตย์หน้าก็ได้ พอใจมั้ยครับคุณแฟน” โห่ ยังแกล้ง เอ๊ย! สั่งสอนไม่หนำใจเลย แต่ช่างเถอะ รามือแค่นี้ก็ได้ เห็นแก่แม่ของลูกในอนาคต -..-



…แน่นอนว่าต้องไม่ใช่ลูกแฝดเด็ดขาด!







(ภูผา)



“กูทนไม่ไหวแล้วนะเว้ย! ปีโป้แม่งเล่นตัวฉิบหายเลยว่ะ” ไอ้ครามตะโกนเสียงดังก่อนจะโยนสมุดล่าลายเซ็นที่ขาดลายเซ็นประธานรุ่นอย่างพี่ปีโป้ เอ๊ย! ปีใหม่แค่คนเดียว ตามตื๊อมาจะครบเดือนแล้วยังไม่ยอมเซ็นให้ซะที ดาราดังยังไม่หวงลายเซ็นเท่านี้เลยนะ -_- ‘’



“เออ กูโคตรแค้นแม่งเลย ให้กูไปชวนต้นไม้ออกเดต อาจารย์แพทย์เกือบนึกว่ากูเรียนจนเพี้ยน” ผมเสริม



“ตอนนี้ถ้ามีสอบคัดสูตรนะ กูว่ากูเก็ตเอเลยว่ะ” ไอ้ครามพูดประชดก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะทำงาน เปิดไดอารี่มาเขียนระบายอารมณ์ พวกผมยังเขียนไดอารี่ส่งพี่ทีอย่างสม่ำเสมอทุกสิ้นเดือนนะครับ ถึงพี่แกจะไม่ได้ว้อนเลยก็ตาม



“ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ทีนะ กูไม่มีทางไปตามตื๊อแม่งหรอก เชอะ” ไอ้ครามยังบ่นต่อ



“แย่งแฟนปีโป้เลยดีมั้ยวะ แก้แค้นๆ ” ผมเสนอเล่นๆ ไอ้ครามหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างถูกอกถูกใจ



“น่าสนว่ะ ปีโป้กระอักเลือดแน่ๆ กร๊ากกกก อกหักดังเป๊าะ”



แล้วมันก็กลับไปนั่งเขียนไดอารี่ต่อ ส่วนผมก็นอนเล่นเกมในไอโฟน เฮ้อออ เย็นวันศุกร์นี่มันดีจริงๆ



ผ่านไปพักหนึ่ง ผมก็ได้ยินเสียงปิดสมุดพร้อมกับเสียงหมุนเก้าอี้ดังขึ้นเบาๆ จึงเงยหน้าขึ้นจากจอ แล้วก็สบตากับไอ้ครามที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว



“ภู กูไม่อยากไปตื๊อปีโป้แล้วว่ะ กูเบื่อ กูเหนื่อย กูทนไม่ไหวแล้ว…แต่กูก็อยากได้เกียร์ไปให้พี่ที”



“……” ไอ้ครามพูดในสิ่งที่ตรงใจผมทุกอย่างเลยครับ ตื๊อรุ่นพี่สองร้อยกว่าคน แล้วมาติดที่คนสุดท้ายที่เคี้ยวยากกว่าใครอยู่เกือบเดือนอีก บอกตามตรงความอดทนผมก็ใกล้หมดแล้ว นี่ยังเอาคืนกันไม่พออีกหรือไง จะยื้อไว้อีกนานสักแค่ไหนอีก



“เฮ้ย หรือพี่ทีแอบสั่งให้ปีโป้ยื้อไว้วะ”



“ไม่หรอก….” ผมแสดงอาการไม่เห็นด้วย แต่ก็เริ่มลังเลตามคำพูดของไอ้คราม



“อย่าลืมเรื่องไอ้ขวดดิ นั่นพี่ทีก็อยู่เบื้องหลังนะ เห็นตีหน้านิ่งยิ้มแบบนั้น ที่จริงเจ้าแผนการน่าดู”



“…………” เออ จริง เห็นด้วย



“มึงจำเกียร์ที่กูเก็บมาได้ปะ?”



“ไอ่เกียร์ที่ได้มาตอนปีนน้ำตกครั้งนั้นอ่ะนะ”



“เออ เอาอันนั้นไปให้พี่ทีเหอะ” ว่าแล้วไอ้ครามก็หยิบกล่องข้างหัวเตียงออกมาคุ้ยหา



“แต่มันมีอะไรเขียนไว้ข้างในด้วยนะ แถมยังเลขอะไรนั่นอีก น่าจะเป็นเลขรุ่น กูว่าอย่าเลยว่ะ เดี๋ยวโดนจับได้”



“ก็แค่ยื่นให้ดูว่าเอามาได้แล้วนะ อย่าให้พี่ทีเห็นข้างในดิ รีบโชว์รีบเก็บก็จบ”



“…….”



“มึงเห็นด้วยป่ะวะไอ้ภู กูรู้นะว่ามึงก็ขี้เกียจไปง้อปีโป้แล้ว”



ผมนิ่งไปสักพัก พยายามคิดไตร่ตรอง ก่อนจะตอบ



“…ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวนะ”

หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนพิเศษ เช็งเม้งหรรษา! [1/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 09-03-2018 18:00:58
                                                                    ตอนที่ 28 : หน่วง



“เฮ้ย หรือพี่ทีแอบสั่งให้ปีโป้ยื้อไว้วะ”

“อย่าลืมเรื่องไอ้ขวดดิ นั่นพี่ทีก็อยู่เบื้องหลังนะ เห็นตีหน้านิ่งยิ้มแบบนั้น ที่จริงเจ้าแผนการน่าดู”

“มึงจำเกียร์ที่กูเก็บมาได้ปะ?”

“ไอ่เกียร์ที่ได้มาตอนปีนน้ำตกครั้งนั้นอ่ะนะ”

“เออ เอาอันนั้นไปให้พี่ทีเหอะ”

“…ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวนะ”




ผมเหม่อมองไปนอกหน้าต่างที่มีผ้าม่านสีรุ้งหม่นกรองแสงอาทิตย์ยามโพล้เพล้เอาไว้…ผ้าม่านที่ครั้งหนึ่งภูผากับฟ้าครามเคยบ่นว่าดูหลอนๆ เพราะแขวนมาตั้งแต่สมัยอากงอาม่ายังอยู่สองคนนั้นมองว่าน่ากลัว แต่ผมกลับชอบและไม่เคยคิดจะเปลี่ยน

เหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะมันทำให้ผมนึกถึงคนสองคนที่รักผมโดยไม่ต้องมีเหตุผลใดๆ มารองรับ คนที่ซื่อสัตย์ต่อผม คนที่ไม่มีวันทรยศผม

ใช่…ไม่ทรยศต่อผม




หลังจากแอบไปได้ยินบทสนทนาที่ภูผาและฟ้าครามคุยกันดังลอดประตูห้องนอนที่ปิดไม่สนิท ผมรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่ ปลายนิ้วมือเย็นเฉียบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มือที่ยกขึ้นจะเคาะประตูเรียกให้สองคนนั้นออกมาทานข้าวพลันหมดแรงขึ้นมาดื้อๆ

ผมผละออกจากหน้าประตูห้องนอนสองแฝด เดินกลับเข้าห้องนอนตัวเองเพื่อเก็บเสื้อผ้าด้วยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มาสะดุ้งอีกทีตอนได้ยินเสียงเคาะเรียกที่หน้าห้อง

เรากินข้าวเย็นด้วยกัน หัวเราะเฮฮาไปกับรายการเกมโชว์สุดโปรด ผมยิ้มด้วยความรู้สึกว่างเปล่า ได้แต่มองภูผากับฟ้าครามที่ทำตัวเหมือนปกติทุกอย่าง ไม่มีหลุดเผยพิรุจในสิ่งที่กำลังจะทำออกมาสักนิด

‘พี่ทีว่าทีมไหนจะชนะหรอ ภูว่าทีมฟ้าอ่ะ แม่งโคตรเจ๋ง!’

‘แต่ครามว่าทีมสีแดง ฮีจินวิ่งเร็วมากเลย’

‘นั่นไง! กูบอกแล้ว ว่าสีแดงๆ ฮู้วววว’ ฟ้าครามตบเข่าฉาดอย่างชอบใจเมื่อทีมที่ตัวเองเชียร์เข้าเส้นชัยไปก่อน

ผมมองรอยยิ้มของภูผากับฟ้าคราม…ไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อนเลย

‘เออพี่ที ครามมีอะไรจะให้ดูแหละ …แต่นแต๊น! เหลือลายเซ็นสุดท้ายแล้วน้า’ นั่นสิ พวกนายก็พยายามกันมาถึงขนาดนี้แล้ว พี่ก็เห็นความพยายามของเรา แล้วทำไมอีกแค่ลายเซ็นเดียวถึงไม่ไปเอามา? ทำไมถึงต้องคิดวิธีนั้น

ข้าวทุกคำที่กลืนลงคอช่างฝืดเฝื่อนเสียจริง

‘วันจันทร์ที่จะถึงนี้ ภูแน่ใจว่าพี่ปีใหม่ต้องเซ็นให้แน่ๆ รอเห็นเกียร์ได้เลยพี่ที’ เกียร์ของใครไม่รู้ที่ไปเก็บมาได้น่ะหรอ?

ผมอธิบายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ รู้แต่ว่ามันจุกมากๆ เลยล่ะ

‘อ้าว! พี่ทีชอบทอดมันไม่ใช่หรอ เอาไปกินเยอะๆ ดิ’

พอเห็นกับข้าวที่สองคนนั้นตักให้ผมอย่างเอาอกเอาใจ ผมก็ยิ่งกลืนไม่ลง

มันอาจจะติดสิ่งที่เรียกว่าก้อนสะอื้น

นานมากแล้วจริงๆ ที่ผมไม่ได้รู้สึกอยากจะร้องไห้มากขนาดนี้

อยากจะร้องไห้…แต่ต้องยิ้มให้

ผมบอกกับสองคนนั้นว่าอาทิตย์นี้จะกลับบ้านเพราะไม่ได้กลับมาสองอาทิตย์แล้ว ตอนแรกสองคนนั้นก็พยายามรั้งผมไว้ให้อยู่ด้วยกันช่วงสุดสัปดาห์ แต่ผมก็อ้างว่าไม่ได้เจอหน้าพ่อแม่กับน้องสาวตั้งนานแล้ว หลังจากที่ต้องอธิบายกันอยู่นานในที่สุดผมก็ถูกปล่อยออกจาก ‘กรงมนุษย์’ ชั่วคราวเพื่อกลับสู่ที่พักพิงใจอันสะบักสะบอม

ผมนึกสมน้ำหน้าตัวเอง

คติประจำใจของผมคือ ต้องไม่ให้โอกาสใครเป็นครั้งที่สาม…

แต่กับภูผาและฟ้าคราม มันไม่ใช่แค่ครั้งที่สาม แต่มันเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วน

…ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นคนใจดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

ตอนนี้ยังไม่มีใครกลับมาที่บ้านเลย ทามคงยังเรียนพิเศษไม่เสร็จ ส่วนเย็นวันศุกร์แบบนี้ พ่อกับแม่มักจะชอบออกไปดินเนอร์กันสองต่อสองนอกบ้านเป็นประจำ

ผมปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ

รู้สึกตกใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่าเรื่องแค่นี้ทำไมต้องร้องไห้ด้วย

…แต่เมื่อใคร่ครวญด้วยหัวใจที่เจ็บปวดแล้ว ผมก็ได้คำตอบให้กับตัวเอง

คำตอบที่ผมกลัวและปฏิเสธมาโดยตลอด

แต่ตอนนี้ผมอ่อนแอเกินกว่าจะคิดหาเหตุผลมาหลอกตัวเองแล้วจริงๆ





ผม….รักภูผา กับ ฟ้าคราม





รักแบบที่พ่อรักแม่ ไม่ใช่แบบที่ผมรักทาม

บ้า มันบ้าชะมัด …ทำไมผมต้องไปรักสองคนนั้นด้วย

ผมไม่อยากรัก แต่มันก็รักไปแล้ว และผมก็บอกไม่ได้ด้วยว่าความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนนี้ผมรู้สึกอยากชกตัวเองสักเปรี้ยงให้หายเจ็บใจจริงๆ

รู้อะไรมั้ย ผมน่ะถึงจะดูเป็นคนใจดี ยิ้มแย้ม เข้าหาง่าย แต่อันที่จริงแล้วผมเป็นคนที่รักใครยากมากนะ เพราะตอนที่อากงอาม่าตาย ผมเสียใจมาก มันรู้สึกเหมือนใจจะสลาย ผมยอมรับการพลัดพรากจากคนที่รักไม่ได้

…นี่จึงเป็นเหตุผลที่ผมไม่ยอมเรียนหมอ …ผมทนเห็นการเจ็บการตายของคนอื่นๆ ไม่ได้เช่นกัน เพราะผมรู้ดีว่ามันเจ็บปวดแค่ไหนที่ต้องสูญเสียคนที่รักไปตลอดกาล

รักมาก ทุกข์มาก …รักน้อย ทุกข์น้อย… ไม่รัก ไม่ทุกข์

ผมบอกกับตัวเอง ว่าชีวิตนี้จะร้องไห้อีกแค่สามครั้งเท่านั้น คือตอนที่พ่อตาย แม่ตาย และทามตาย เพราะสามคนนี้…ผมรักมาก แคร์มาก

ถ้าผมรักใคร ผมจะดูแลเทคแคร์อย่างดี คนคนนั้นจะเป็นเหมือนหัวใจอีกดวงของผม คนคนนั้นจะมีอิทธิพลต่อผมในทุกๆ ทาง

ผมไม่เคยรู้สึกเจ็บขนาดนี้เลย มันเจ็บแบบหน่วงๆ เหมือนโดนตุ้มเหล็กเหวี่ยงใส่กลางอกหลายๆ รอบ ไม่ได้ทำให้เกิดบาดแผลภายนอก แต่กลับบดขยี้ให้อวัยวะภายในบอบช้ำแหลกเหลวจนคืนรูปไม่ได้อีก

ผมอยากจะกระอักเลือด เข้าใจแล้วว่าความรู้สึกของคนที่ถูกคนที่ตัวเองเชื่อใจหักหลังมันเป็นยังไง

น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลลงอาบแก้มจนใบหน้าเปียกชุ่ม ไม่ว่าจะใช้หลังมือปาดออกสักกี่สิบครั้งก็ไม่มีวี่แววว่ามันจะเหือดหายไปเลย ผมเศร้า ผมเสียใจ ผมรู้สึกเหมือนโดนหักหลัง ผมโกรธ ผมผิดหวัง ผมเหนื่อย ผมท้อ ผมรักสองคนนั้นมาก แต่ผมเกลียดมันสองคนมากกว่า

ผมเอนตัวลงบนเตียง ซบใบหน้าลงกับหมอน ร้องไห้จนน้ำตาเปียกปอนเป็นวงกว้าง

ผมอนุญาตให้ตัวเองอ่อนแอได้แค่ตอนนี้ ตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ ผมจะไม่เสียน้ำตาให้กับเรื่องนี้อีก






“พี่ที! กลับมาบ้านทำไมไม่โทรบอกก่อนอ่ะ!” ทามร้องอย่างประหลาดใจเมื่อเข้าบ้านมาแล้วเจอผมนั่งซดชายสี่หมี่เกี๊ยวพร้อมกับดูสารคดีสัตว์โลกไปด้วย พอเห็นหน้าน้องสาวที่ไม่ได้เจอมาสองอาทิตย์ทั้งที่เมื่อก่อนได้เจอกันแทบทุกเย็น ผมก็อดรู้สึกคิดถึงขึ้นมาไม่ได้ มือวางช้อนตะเกียบแล้วอ้าแขนออก น้องสาวตัวแสบก็รู้หน้าที่ โยนกระเป๋าเป้ทิ้งแล้วพาตัวเองเข้ามาในอ้อมกอดของผมทันที

“ฮื้มมมมม คิดถึงพี่ทีจังเลย!” เรากอดกันแน่น ต่างคนต่างเหมือนแข่งว่าใครจะรัดอีกฝ่ายได้แน่นกว่ากัน

“อาทิตย์นี้ไม่มีงานคณะแล้วหรอ?” ทามผละออกไปเก็บกระเป๋ามาตั้งบนเก้าอี้ดีๆ

“ไม่มีแล้ว มีอีกทีก็สิ้นเดือนเลย”

“จริงอ่ะ! งั้นอาทิตย์หน้าก็จะกลับมาใช่มั้ย”

“ใช่” ผมพยักหน้ายิ้มๆ ….ไม่ใช่แค่อาทิตย์หน้านะ จากนี้ไปก็จะกลับบ้านทุกวันเหมือนเมื่อก่อนด้วย

ที่จริงทามกินข้าวมาจากที่เรียนพิเศษแล้ว แต่พอเห็นผมนั่งกินบะหมี่ก็ชักอยากกินเลยหยิบช้อนมาแจมชามผม ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรแถมคีบลูกชิ้นหมูใส่ช้อนให้ด้วย เราสองคนพี่น้องนั่งดูเจาะสายพันธุ์ฉลามอย่างเพลิดเพลิน ไม่นานพ่อแม่ก็กลับบ้านมาพร้อมของกินมากมายที่ซื้อมาฝาก ทั้งสองคนประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นผมกลับมาบ้านโดยไม่บอกกล่าว แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรแค่ถามเฉยๆ แล้วเราสี่คนพ่อแม่ลูกก็ล้อมวงกินหวานเย็นชามโต พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

“เออแม่…ทีว่าจะย้ายกลับมาอยู่บ้านเราศุกร์หน้านี้นะ ”

“อ้าว ทำไมล่ะ” ทุกคนหันมามองผมเป็นตาเดียว

“ทีอยู่กับไอ่แฝดมาเดือนครึ่งแล้ว เห็นมันดูแลตัวเองได้แล้วอ่ะแม่ ที่มหา’ ลัยน้องก็ดูลงตัวแล้วด้วย ทีเลยว่าจะกลับมาอยู่บ้าน เรื่องค่าขนมที่อาแอ๋มให้ทีเป็นคนจ่ายให้น้องรายสัปดาห์ ทีให้น้องมันบริหารเองตั้งนานแล้ว ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร”

“เหรอ ” พ่อตอบรับนิ่งๆ พลางมองมาที่ผมอย่างครุ่นคิด

“แล้วทีก็สังเกตแล้วว่าน้องมันอยู่กันเองได้จริงๆ แบบว่ามันมีความรับผิดชอบพอตัวเลย ทีก็เลยคิดว่าทีน่าจะออกมา บางทีน้องมันอยากจะทำอะไรตามประสาวัยรุ่นมันก็อาจจะอึดอัดที่มีพี่อย่างทีอยู่ด้วย คือ..ทีไม่ได้หมายถึงเรื่องไม่ดีนะ แบบ…พ่อเข้าใจใช่มั้ยคนเรามันก็ต้องมีโมเม้นท์ที่รู้สึกว่าเราโตพอแล้วอยากทำอะไรโดยไม่มีคนมาคอยคุมบ้างไรงี้ แบบ…จะให้ทีอธิบายยังไงดี …แบบ…” ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่เข้าท่าขึ้นไปทุกที จะอธิบายยังไงให้พ่อแม่เข้าใจดี ตอนนี้ผมรู้สึกรวนๆ กับสายตาพ่อแม่ที่มองมานิ่งๆ อย่างตั้งใจฟังนั่นแล้ว

ทามหันไปสนใจฉลามหัวค้อนในโทรทัศน์ต่อ ส่วนพ่อแม่ยังมองที่ผมเหมือนจะบอกว่าเล่ามาสิ ฟังอยู่

ผมขุดเหตุผลร้อยแปดพันเก้าขึ้นมาพูดให้พ่อแม่ฟัง กะว่ายังไงวันนี้ก็ต้องทำให้พ่อกับแม่ยอมรับการตัดสินใจครั้งนี้ของผมให้ได้ แม่พยักหน้าฟังผมเล่านู่นพูดนี่เป็นคุ้งเป็นคาว ส่วนพ่อมองผมแล้วทำเสียงอืออาในลำคอประมาณว่าตั้งใจฟังอยู่ แต่ตามองมาที่ผมเหมือนคิดอะไรบางอย่าง นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกร้อนตัวจึงต้องขุดเหตุผลและเรื่องเล่าในชีวิตประจำวันขึ้นมาเสริมให้ดูน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้น



เมื่อเริ่มไม่มีอะไรจะงัดขึ้นมาพูด ผมจึงหยุดเพื่อรอดูว่าพ่อกับแม่จะมีความเห็นว่าอย่างไร



พ่อมองผมนิ่งๆ แล้วทิ้งคำถามที่ทำเอาผมได้แต่อึ้ง












“แล้วจริงๆ เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่?”


----------------------------------------------------------------------------------------------------------



- เหนือฟ้ายังมีฟ้านะพี่ที เหอะๆ

- รูมเมทเราบอกว่า ‘พี่ทีแม่งเยอะ ยอมๆ สักทีเหอะ แฝดน่ารักจะตาย’ ด้วยล่ะ เรานอนคิดทั้งคืนเลยนะว่าเยอะตรงไหนวะ!? -_-??? เห้ย ไม่เห็นจะเยอะตรงไหนเลยนะ เลยนั่งเถียงกับเมทอีกสองคนอยู่ค่อนคืน…


ติดเเท็ก#เกียร์คู่ (@candleguard) มากรีดร้อง โวยวาย วิจารณ์นิยายกันได้นะฮับ ><
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่28 หน่วง [9/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-03-2018 18:58:16
เพราะที ได้ยินที่แฝดคุยกันเรื่องเกียร์ที่เก็บได้
ทีเลยเสียใจที่แฝดจะหลอกทีอีกแล้ว

ที หนีแฝดกลับบ้าน
แต่พ่อทีกลับสงสัยที่ทีพยายามที่จะกลับมาอยู่บ้านไม่อยู่กับแฝด

คราวนี้ที ต้องคิดผิดเรื่องแฝดเรื่องเกียร์
แฝด ต้องเอาเกียร์จริงมาให้ทีดูแน่ๆ
รอดู ทีจะจัดการตัวเองอย่างไร  :ling1: :ling1: :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่28 หน่วง [9/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-03-2018 19:54:13
ด้วยความที่เป็นลูกหลานคนจีนไง ผู้ชาย ไม่ใช่แค่ชายกับชายนะแต่เป็น ชาย ชาย ชาย ที่สำคัญเป็นญาติกันด้วย ไม่ใช่ญาติห่างๆนะ ญาติสนิทอีกต่างหาก เหตุผลแค่นี้ก็หนักแล้ว
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่28 หน่วง [9/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 10-03-2018 00:07:53
พี่ทีไม่ได้เยอะแค่พี่ทีลำไย55555
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่28 หน่วง [9/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-03-2018 03:22:35
ทีเอย นอยกับคำพูดแฝดนรกอีกแล้ว  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่28 หน่วง [9/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 10-03-2018 23:00:50

                                                                      ตอนที่ 29  ME



“แล้วจริงๆ เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ ?”



“โถ่! พ่อก็รู้ไม่ใช่หรอว่าพี่ทีอ่ะโลกส่วนตัวสูงจะตาย ไปอยู่กับพี่แฝดก็ต้องอึดอัดอยู่แล้ว แถมพี่ทียังเป็นคนติดบ้านด้วยยังไงก็ต้องอยากอยู่บ้านมากกว่า ใช่ป่ะ” ยัยทามโพล่งขึ้นมาแทนผมที่กำลังอึ้งอยู่



แม่ถอนหายใจ แล้วส่ายหัวหน่ายๆ



“ทามไม่ต้องบอกแม่ก็รู้นิสัยพี่ชายเราดี ..ทำเป็นพูดอ้อมไปอ้อมมาอยู่นั่นแหละเจ้าลูกคนนี้ ก็บอกมาตรงๆ สิว่าอยากกลับมาอยู่บ้าน”



“พ่อรู้ตั้งแต่ที่ทีพูดวนไปวนมาแล้วแหละ ฮ่าๆ ๆ ปกติทีไม่พูดเยอะแบบนี้นี่ลูก” พ่อตบไหล่ผมพลางหัวเราะอารมณ์ดี



“เอาเถอะ ยังไงทีก็อยู่กับน้องมาเกือบจะสองเดือนแล้ว จะกลับมาอยู่บ้านตอนนี้ก็ไม่น่าเกลียดอะไร เดี๋ยวแม่โทรไปบอกอาแอ๋มให้ก็แล้วกัน”



ผมรู้สึกประหลาดใจ บทจะง่ายก็ง่ายแบบนี้เลย? แต่พอมาคิดดูดีๆ แล้ว แม่ให้ผมไปอยู่กับภูผาฟ้าครามเพื่อแก้ปัญหาที่อาแอ๋มไม่ให้สองแฝดอยู่หอ เราเป็นญาติกันพ่อกับแม่คงนิ่งดูดายไม่ช่วยอะไรเลยสักอย่างไม่ได้ (ก็เล่นเถียงกันกลางโต๊ะกินข้าวแบบนั้น ถ้าพ่อแม่ผมนั่งฟังเฉยๆ ไม่ช่วยอะไรเลยนี่สิจะดูไม่ดี) จึงให้ผมไปอยู่ดูแลน้องทั้งๆ ที่รู้ดีว่าผมมีนิสัยเป็นยังไง แล้วก็คงจะคาดไว้อยู่แล้วว่าผมคงทนอยู่ได้ไม่นาน



แต่ผมก็อยู่มาได้เกือบสองเดือนกว่าแล้วถ้าจะย้ายกลับมาอยู่บ้านตอนนี้ก็ไม่ดูน่าเกลียด เพราะถือว่าอย่างน้อยก็ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยดูแลเรื่องต่างๆ ให้จนเข้าที่เข้าทาง ถ้าผมปฏิเสธไม่ไปอยู่ตั้งแต่แรกสิจะน่าเกลียด แถมยังจะทำให้พ่อกับแม่ดูไม่ดีไปด้วยอีกต่างหาก ถึงเราจะเป็นญาติสนิทกันแค่ไหนก็เถอะ แต่มันก็ต้องมีคิดบ้างแหละ



มิน่า… ตอนแรกแม่ถึงบีบให้ผมไปแทบตาย พ่อก็ไม่พูดอะไรเลย แต่พอผมอยู่มาจนจะสองเดือนแม่กลับยอมให้ผมย้ายกลับมาอยู่บ้านง่ายๆ



โลกมารยาททางสังคมของผู้ใหญ่มันช่างซับซ้อนเสียจริง…



“จริงๆ พ่อก็รู้อยู่แล้วแหละว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ พ่อรู้ว่าทีน่ะติดบ้าน แล้วก็ขี้รำคาญมาตั้งแต่เล็กๆ แล้วด้วย คงอยู่กับเจ้าแฝดไม่ไหวหรอก นี่พ่ออึ้งมากเลยนะที่ทีอยู่มาได้นานขนาดนี้”



“อ้าว ไมพ่อพูดงี้อ่ะ” ผมโวย แต่พ่อกลับหัวเราะ



พอสารคดีจบ แม่ก็หยิบมือถือขึ้นมา ทำท่าเหมือนจะโทรหาใครบางคน



“แม่! โทรหาใครอ่ะ” ผมรู้สึกตกใจเมื่อเห็นแม่หยิบมือถือขึ้นมา



“ก็โทรหาอาแอ๋มไงลูก” แม่มองผมอย่างงงๆ



ผมเกิดอาการลังเล แม่จะโทรไปบอกตอนนี้เลยหรอ ถ้าอาแอ๋มรู้เจ้าแฝดก็ต้องรู้ด้วยน่ะสิ สองคนนั้นต้องขัดขวางทุกวิถีทางแน่ๆ



“…เดี๋ยวทีโทรบอกเองแม่ ศุกร์หน้าพ่อแค่ขับรถมาช่วยขนของกลับก็พอ” โทรบอกวันพฤหัสฯ แล้วกลับวันศุกร์เลยดีกว่า ฉุกละหุกแบบนี้แหละดีพวกมันจะได้ไม่ทันตั้งตัว



แม่ไม่ได้ว่าอะไร แค่บอกผมว่าอย่าลืมโทรไปบอกก็แล้วกัน จากนั้นก็ไล่ผมไปช่วยทามล้างจาน เราสองคนพี่น้องขุดเรื่องต่างๆ มาคุยกันได้ไม่รู้เบื่อ ทามดูจะดีใจมากที่ผมจะกลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิม ก็เข้าใจนะว่าผมไม่อยู่มันคงเฉาปากน่าดู



หลังจากอาบน้ำเสร็จผมก็เดินกลับเข้าห้อง ล็อกประตูตามความเคยชิน เปิดพัดลม เดินไปหยิบหนังสือการ์ตูนจากตู้มากองบนเตียงห้าหกเล่มแล้วนอนอ่าน



จู่ๆ ผมก็นึกถึงวันที่อาแอ๋มโทรมาขอให้ติวภูผาฟ้าคราม วันนั้นผมก็กำลังนอนอ่านการ์ตูนอยู่อย่างมีความสุข



ถ้าวันนั้นไม่ตอบตกลงก็คงดี



แล้ววันจันทร์ที่ผมไม่อยากให้มาถึงก็มาถึง วันนี้ผมมีเรียนครึ่งวันเช้า อีกครึ่งวันว่าง พอแยกกับเพื่อนๆ ผมก็ตรงไปที่ห้องสมุด เลือกเข้าโซนเงียบชั้นบนสุด นั่งลงบนเก้าอี้ที่หันออกไปทางผนังกระจกที่มองเห็นทิวทัศน์ทั่วทั้งมหา’ ลัย



ผมถอนหายใจ ผมอยากยุติเรื่องภูผากับฟ้าครามแล้ว ก็เอาสิ วันนี้เอาให้มันจบไปเลย ผมเบื่อที่จะหนีแล้ว



ผมนั่งรอเวลาที่ภูผาฟ้าครามจะเลิกเรียนแล้วกลับไปเจอกันที่คอนโดอย่างใจเย็น พลางคิดถึงถ้อยคำต่างๆ นานาที่จะใช้ตอกหน้าสองคนนั้น ถ้อยคำร้ายกาจที่จะทำให้สองคนนั้นเจ็บปวดเหมือนที่ผมเจ็บ ผมจะแกล้งโง่ทำเป็นไม่รู้แล้วสุดท้ายก็บอกความจริงให้พวกมันตกใจจนพูดไม่ออก ผมจะสั่งสอนพวกมัน ผมจะบอกภูผากับฟ้าครามอย่างละเอียดเป็นข้อๆ ถึงสาเหตุว่าทำไมมันสองคนถึงไม่คู่ควรที่จะได้รับความรักจากผมแม้แต่ในฐานะพี่น้อง ผมคิดไว้แล้วว่ายังไงวันนี้ผมต้องได้เห็นน้ำตาพวกมัน ไม่งั้นคงไม่หายแค้น



Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr



ผมรู้สึกตัวจากภวังค์อีกทีเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ เหลือบมองนาฬิกาก็ตกใจที่ตัวเองนั่งมาสามชั่วโมงแล้ว ...ไม่รู้ตัวเลย หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก็เห็นเบอร์ภูผา

ผมเก็บชีตใส่กระเป๋า



วันนี้ทุกอย่างจะจบ





โชคดีที่พอผมเดินเข้าคอนโดปุ๊บฝนก็ลงเม็ดปั๊บ พอผมเปิดประตูห้องเข้าไปก็เห็นภูผากับฟ้าครามนั่งรออยู่ที่โซฟาแล้ว สองคนนั้นผุดลุกขึ้นเมื่อเห็นผม ท่าทางมันสองคนดูลุกลี้ลุกลนแปลกๆ หึ คงจะร้อนตัวสินะ



ทั้งๆ ที่คิดว่าจะปั้นหน้ายิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ผมกลับทำไม่ได้ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่ามุมปากมันหนักกว่าทุกวัน ผมไม่มีอารมณ์จะยิ้มเลย สักนิดก็ไม่มี มันแน่นหน้าอกไปหมดเมื่อรู้ว่าในไม่ช้าสิ่งที่ตัวเองกำลังจะพูดจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไม่ให้มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป



คราวนี้ผมจะไม่ใจอ่อน!



ขาดเป็นขาดสิ ผมรู้ว่าความคิดของผมครั้งนี้มันดูร้ายมาก แต่ผมไม่คิดจะหยุดมันหรอก แล้วผมก็ไม่รู้สึกผิดด้วย ก็มันทำผมก่อน! ภูผากับฟ้าครามหักหลังผมทำไมเล่า!? ในเมื่อสองคนนั้นไม่แคร์ความรู้สึกผม ผมก็ไม่แคร์ความรู้สึกมันเหมือนกัน!!



สองคนนั้นทำหน้าแปลกๆ เหมือนจะไม่สบายใจที่เห็นผมมองมันด้วยหน้านิ่งๆ



“เอามาสิ” ผมแบมือไปข้างหน้า พูดเสียงเรียบ



“พี่ที …เป็นไรป่าวอ่ะ” ฟ้าครามมองหน้าผมพลางทำสีหน้าเหมือนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น



“พี่ที...” ภูผาทำท่าจะพูดอีกคน แต่ผมทนรำคาญที่มันสองคนทำตัวยึกยักไม่ไหวแล้ว ไม่รู้เป็นอะไรวันนี้ผมถึงได้ขีดความอดทนต่ำนัก แค่เห็นหน้าพวกมันผมก็เดือดปุดๆ



ปัง!!!



ภูผากับฟ้าครามสะดุ้งโหยงเมื่อผมตบโต๊ะกระจกหน้าทีวีเสียงดังสนั่น



“กูบอกให้เอามาไง!!!” สองคนนั้นมองผมอย่างเหวอๆ ก่อนจะค่อยๆ หยิบเกียร์สีเงินจากกระเป๋าเสื้อวางลงในมือผมอย่างกล้าๆ กลัวๆ คนละอัน



ผมหยิบเกียร์สองอันนั้นขึ้นมาส่องดูด้านในทันที แล้วก็ต้องชะงัก



ME 47 Fahkram



ME 47 Phupha



ME ... Mechanical Engineering ... วิศวกรรมเครื่องกล



รุ่นที่ 47 ... รุ่นปัจจุบัน



สลักชื่อด้วยฟอนต์ที่คณะเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์…

.

.

.

.

เห้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย นี่มันยังไงวะเนี่ย = [] =!! !!!???





--------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่28 หน่วง [9/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 10-03-2018 23:04:10
ตอนพิเศษ follow forever

(นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอนทีอายุสามขวบครึ่ง ฝาแฝดอายุขวบครึ่ง เล่าโดยคุณสา คุณแม่มือใหม่ในเวลานั้น )





วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดคุณพ่อของสามีฉัน หรือก็คืออากงของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของฉันนั่นเอง อาหารทุกอย่างถูกเตรียมไว้รอเรียบร้อยแล้ว จะขาดก็แค่ครอบครัวน้องแอ๋ม น้องสาวของสามีฉันที่แต่งออกเรือนไปนานแล้ว และมีลูกชายถึงสามคนด้วยกัน

ฉันไกวเปลที่เจ้าตัวเล็กงีบหลับไปเรื่อยระหว่างรอ หลังจากได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน คุณเดชก็เดินออกไปเปิดประตูด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ฉันรีบเดินตามออกไปต้อนรับ คุณสินธุ์และน้องแอ๋มมาพร้อมกับลูกชายทั้งสามคนในชุดซูเปอร์ฮีโร่ไม่ซ้ำแบบ น้องเฟิร์สใส่ชุดสไปเดอร์แมน ส่วนฝาแฝดแก้มยุ้ยน่ารักที่ใส่ชุดแบทแมนกับซูเปอร์แมนกำลังชะโงกหน้าลงไปในอ่างปลาแล้วใช้มือล้วงลงไปจับปลาหางนกยูงในนั้นอย่างเมามัน

“เดี๋ยวเถอะ! น้องภู น้องคราม ห้ามรังแกน้องปลาของลุงนะครับ มานี่เลยๆ ต้องโดนทำโทษ ” สามีฉันเข้าไปอุ้มฝาแฝดเข้าสะเอวคนละข้างแล้วหมุนรอบตัวเร็วๆ เด็กสองคนร้องกรี๊ดๆ ผสมหัวเราะร่าอย่างชอบอกชอบใจ พอคุณเดชปล่อยลงพื้นก็ยั้งตื๊อกอดเอวไม่ยอมปล่อย จะขอเล่นอีกๆ อยู่อย่างนั้น จนโดนคุณสินธุ์ดุถึงจะยอมเดินเข้าไปในบ้านดีๆ

“หวัดดีครับป้าสา ลุงเดช ” เด็กชายเฟิร์สในวัยเจ็ดขวบหนีบเกมบอยไว้ใต้รักแร้ ยกมือไหว้เร็วๆ แล้วชักเกมออกมาเล่นต่อ

“เฟิร์สอย่าเอาแต่เล่นเกมสิลูก ฝากแม่ไว้ก่อนนะ เดี๋ยวกลับบ้านค่อยมาเอาคืน” แอ๋มว่าพลางดึงเกมบอยจากมือลูกชาย แต่เจ้าเฟิร์สก็เหนียวใช่ย่อย ไม่ยอมปล่อยจนต้องยื้อยุดกันไปมา

“ฮ่าๆ ๆ ปล่อยหลานไปสักวันน่าแอ๋ม เห็นว่าเฟิร์สเรียนพิเศษตั้งหลายอย่าง ให้เด็กมันพักบ้างเถอะ” คุณเดชว่าก่อนจะโอบไหล่น้องแอ๋มเดินเข้ามาในบ้าน ฉันเดินคุยกับคุณสินธุ์ตามเข้ามาทีหลัง แล้วก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น

ปั๊กๆ ๆ!!!

“ที!! ตื่นๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ!! ”

“ตื่นนนนนนนนนนนนนนนน”

สองฝาแฝดที่วิ่งนำเข้ามาในบ้านก่อนกระโดดถีบเปลสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่น้องทีกำลังนอนกลางวันอยู่ เปลใหญ่โคลงอย่างแรงจนน้องทีสะดุ้งตื่น

“มาเล่นกัน! มาเล่นกัน!”

สองแฝดพยายามปีนเข้าไปในเปล แต่ด้วยความที่ขอบเปลสูงเกินไปทำให้ตกลงมา น้องทีที่ถูกปลุกขึ้นมายังอยู่ในสภาพสะลึมสะลือและดูเหมือนจะยังอาวรณ์ที่นอนอยู่มากจึงทำเป็นไม่สนใจล้มตัวลงนอนต่อที่มุมเปลด้านตรงข้ามกับมุมที่สองแฝดพยายามปีนเข้ามา

แอ๋มกำลังจะเข้าไปแยกเด็กแฝดออกมา แต่คุณเดชสามีฉันจับไหล่เอาไว้แล้วส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร พลางหยิบกล้องถ่ายวิดีโอที่เตรียมไว้บันทึกภาพเหตุการณ์ในวันนี้ขึ้นมาถ่ายอย่างขบขัน

“เก็บไว้ให้ลูกดูตอนโต” เขาว่าอย่างนั้น ถ้าภูผาฟ้าครามเล่นเกินเหตุเดี๋ยวเขาก็ไปจับแยกเองแหละ

ฉันมองฮีโร่น้อยสองคนพยายามรังแกลูกชายตัวเองอย่างอ่อนใจ ก่อนจะชวนแอ๋มและคุณสินธุ์ขึ้นไปสวัสดีอากงอาม่าของหลานๆ ปล่อยให้สามีดูแลเด็กๆ อยู่ข้างล่าง

“เฟิร์สดูน้องด้วยนะลูก ” คุณสินธุ์สั่งลูกชายคนโตที่ยึดครองเก้าอี้นวมตัวใหญ่ ปักหลักเล่นเกมบอยของรางวัลที่เพิ่งได้มาจากผลสอบคราวก่อนอย่างเมามัน บางครั้งก็เอี้ยวตัวไปมาเวลาเลี้ยวรถในเกมด้วยความอินจัด เด็กชายพยักหน้ารับส่งๆ ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับเกมต่อ

เมื่อร่างในเปลนอนหันหลังให้อย่างไม่สนใจ สองแฝดตัวแสบก็ยิ่งขัดเคือง พวกเขาเลยลุกขึ้นมาเขย่าเปลอย่างบ้าคลั่ง กะว่ายังไงก็ต้องทำให้คนในเปลตื่นขึ้นมาสนใจพวกตนให้จงได้

แต่สองแฝดไม่รู้เลยว่าทีเป็นเด็กที่ต้องไกวเปลแรงๆ ถึงจะนอนหลับ ไกวเบาๆ เคยหลับเสียที่ไหน คุณสายังเคยบ่นขำๆ ด้วยซ้ำว่ากว่าทีจะเลิกนอนเปลเธอคงไกวจนกล้ามขึ้นเป็นมัดๆ ดังนั้นพอทั้งคู่เขย่าเปลแรงๆ ก็ยิ่งเข้าทาง เด็กชายทวีเดชหลับต่ออย่างสบายอารมณ์พลางส่งเสียงดังแจ๊บๆ

คมเดชกอดอกแอบถ่ายอยู่เงียบๆ เฝ้าดูว่าสองแฝดจะแกล้งอะไรลูกเขาอีก

พอเขย่าเปลและร้องเรียกเสียงดังไม่สำเร็จ ภูผากับฟ้าครามก็กระทืบเท้าอย่างไม่สบอารมณ์ มองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นเก้าอี้อยู่แถวนั้นก็ช่วยกันเข็นมาตั้งข้างๆ เปล

คมเดชอึ้งไปเล็กน้อยกับความฉลาดของเด็กอายุแค่ขวบกว่าๆ อย่างภูผากับฟ้าคราม

แฝดพี่ที่วันนี้ใส่ชุดซูเปอร์แมนปีนขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ พอขึ้นไปได้แล้วก็ชูมือขึ้นร้องเสียงดังอย่างอารมณ์ดี

“ซูเปอร์แมน! บิน บินนนนน” ร้องจบก็กระโดดลงไปในเปลดังโครมใหญ่ คมเดชอ้าปากค้างอย่างตกใจขณะรีบสาวเท้าเข้าไปแฝดน้องในชุดแบทแมนก็กระโดดตามลงไปอย่างรวดเร็วในเวลาไล่เลี่ยกัน!

......ทับลูกชายเขาเสียแบนแต๊ดแต๋

“...อึก ฮึก แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง๊!!!!! ” น้องทีร้องไห้จ้าเมื่อโดนหมูตอนสองตัวกระโดดลงไปทับ ตอนแรกคมเดชคิดว่าภูผากับฟ้าครามคงแค่จะปีนลงไปเล่นกับที ไม่ได้คิดเลยว่าเจ้าสองคนนี้จะกระโดดลงไปทับลูกชายเขาจนร้องไห้เสียงดังลั่นบ้านแบบนี้!

“มาเล่นกัน ^O^” พอลงไปได้ปุ๊บ ภูผากับฟ้าครามก็คว้าแขนเด็กชายทวีเดชหมับ ยิ้มกว้างจนน้ำลายหก

“แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง๊!!! ม่ายยยยยเล่นนนนน!! ฮือๆ ๆ ๆ ปะป๊า ปาาาาาป๊าา แฝดแกล้งที แงงงงงงงงงงงง๊!”

ขณะที่คมเดชปรี่เข้าไปข้างเปลกำลังจะอุ้มน้องทีแยกออกมาเสียงเอะอะพร้อมกับเสียงฝีเท้าก็ดังลงมาจากข้างบน

“เกิดอารายขึ้นอาเดชชช! ทามมายอาตี๋ร้องเสียงดังแบบเน้!?” เสียงคนเป็นอาม่าดังขึ้น จนคมเดชเผลอชะงักมือ ทันใดนั้นในเปลยิ่งอลหม่าน เพราะน้องทีที่ไม่อยากเล่นพยายามวิ่งหนีสองแฝดอยู่ในเปลแคบๆ สองคนนั้นก็ดีใจคิดว่าญาติผู้พี่เล่นด้วยเลยช่วยกันจับช่วยกันต้อนพี่ชายตัวน้อยยกใหญ่ ทีหนีไปอยู่มุมเปลพลางแหกปากร้องไห้ไปด้วยไม่หยุด พอเห็นเป้าหมายกลายเป็นเป้านิ่งเด็กอ้วนทั้งสองคนก็กระโจนเข้าใส่หวังจะชนะการเล่นไล่จับในเปลแบบ2รุม1!





โครมมมมมมมมมม!!!!









(หลังจากนั้นเป็นต้นมา เด็กชายทวีเดชไม่ยอมนอนบนเปลอีกเลย....เพราะฝังใจกับเหตุการณ์เปลล้มในวันนั้น คุณสาเลยไม่ต้องไกวเปลจนกล้ามขึ้นอย่างที่เคยพูดเล่นขำๆ อีกต่อไป )

ฉันรีบปราดเข้าไปอุ้มน้องทีแยกออกมาพลางมองค้อนสามีอย่างเคืองๆ ดูแลประสาอะไรเนี่ยถึงปล่อยให้ลูกเปลล้มร้องไห้จ้าแบบนี้ คุณแม่บอกให้ฉันพาน้องทีไปล้างหน้าล้างตา ฉันจึงอุ้มน้องทีขึ้นไปบนบ้านพลางตบหลังโอ๋ให้ลูกหยุดร้องอย่างยากลำบาก ได้ยินเสียงคุณสินธุ์กับน้องแอ๋มเอ็ดลูกซะยกใหญ่ ก่อนจะได้ยินเสียงคุณแม่ห้ามแล้วบอกให้พอแค่นี้ ไหนๆ วันนี้ก็เป็นวันดีไม่ควรมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกัน

ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วฉันเลยจับลูกอาบน้ำซะเลย จะได้สดชื่นขึ้น ขณะถูฟองน้ำไปตามตัวก็สังเกตไปด้วยว่าลูกได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ก่อนจะถอนหายใจเมื่อไม่เห็นรอยฟกชั้นดำเขียวเลือดตกยางออกบนตัวน้องที

น้องทีเป็นเด็กแปลก ไม่ว่าจะร้องไห้หนักแค่ไหน พอจับอาบน้ำก็จะหยุดร้องทันที

หลังจากประแป้งจนหอมฟุ้งแล้ว ฉันก็จับน้องทีใส่เสื้อยืดสีขาวลายก้อนเมฆสีฟ้า กับกางเกงขาสั้นสีดำขอบกางเกงสีเขียวมีรูปเบ็นเท็นสกรีนอยู่ ฉันยิ้มบางๆ อย่างถูกใจความคิดตัวเอง...จะได้เข้าธีมซูเปอร์ฮีโร่

แต่งตัวเสร็จฉันก็จูงลูกลงมาข้างล่าง ทุกคนกำลังคุยกันอย่างออกรสออกชาติ พอเราสองแม่ลูกปรากฏตัว น้องแอ๋มก็รีบยกเค้กที่ปักเทียนสว่างไสวเข้ามา เหมือนเค้กจะทำให้น้องทีลืมไปแล้วว่าเมื่อกี้เพิ่งจะโดนญาติผู้น้องแกล้งจนร้องไห้ไปหยกๆ เจ้าตัวร้องเพลงวันเกิดเสียงดังอย่างตื่นเต้นที่จะได้กินเค้ก ส่วนสองแฝดยังพูดหรือร้องเพลงยาวๆ ได้ไม่ชัดเจนจึงได้แต่ดำน้ำร้องมั่วๆ ซั่วๆ แต่เสียงดังไม่แพ้น้องทีประหนึ่งจะประชันความดังก็ไม่ปาน อากงอาม่าหัวเราะเบาๆ ยกมือลูบหัวหลานๆ อย่างเอ็นดู

ทันทีที่เพลงจบ ลูกหลานรบเร้าให้ผู้อาวุโสอธิษฐาน ท่านก็ไม่ขัดศรัทธาพึมพำขอให้ลูกหลานอยู่เย็นเป็นสุขก่อนจะลืมตาขึ้น

“อากงต้องเป่าทีเดียวให้ดับหมดเลยนะคับ คุณครูบอกว่าถ้าเป่าดับหมดทีเดียว คำขอจะเป็นจริงแหละ” น้องเฟิร์สเล่าอย่างกะตือรือล้น

“โอ๊ย! กงแก่แล้ว เป่าคนเดียวไม่ไหวหรอก มา อาที อาเฟิร์ส อาแฝด มาช่วยอากงเป่าดีกว่า”

“ไม่ได้นะอากง คุณครูบอกต้องเป่าคน...”

ปู๊ดดดดดดด ๆ ๆ ๆ

เฟิร์สพูดยังไม่ทันจบภูผากับฟ้าครามก็อ้าปากกว้างสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วช่วยกันเป่าเทียนบนเค้กอย่างเอาเป็นเอาตายจนน้ำลายกระเด็นออกมาเป็นฝอยๆ อาบหน้าเค้กจนชุ่ม

รอบด้านเงียบกริบไปในบัดดล

“ภูผา! ฟ้าคราม! ... ” คุณสินธุ์เตรียมเอ็ดลูกชายฝาแฝดที่ทำตัวไม่รู้กาลเทศะอย่างยิ่ง

“ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ” อากงหัวเราะเสียงดังอย่างตลกขบขัน จากที่สินธุ์จะดุลูกชายต่อเลยต้องพับเก็บไปดุต่อที่บ้านแทน ทุกคนหัวเราะตาม ก่อนจะมีการตัดเค้กแจกจ่าย

เมื่อได้รับจานเค้กมาแล้ว ทีก็เดินไปนั่งกินอย่างเรียบร้อยข้างๆ เฟิร์สที่กินไปนั่งเล่นเกมมือเดียวไปอย่างเทพ

ภูผากับฟ้าครามยิ้มแต้ถือจานเดินเตาะแตะจะเข้ามานั่งใกล้ๆ แต่ก็ถูกคนเป็นแม่ลากกลับมานั่งข้างๆ ตัว ไม่ยอมให้ไปกวนพวกพี่ชายอีกเป็นครั้งที่สอง

พอทีกินเสร็จก็ลุกเดินไปเดินมาในบ้าน ส่วนภูผากับฟ้าคราม หลังจากจัดการเค้กชิ้นใหญ่ไปคนละสองชิ้นจนพุงกางแล้วก็อาศัยจังหวะที่พวกผู้ใหญ่เผลอแอบคลานออกมาจากวงเงียบๆ

เด็กชายเฟิร์สเหลือบมองน้องชายแวบหนึ่งก็รู้ทันทีว่าน้องคิดอะไรอยู่

“ไอ้อ้วน! มานี่มา จะให้ยืมเกม อยากเล่นไม่ใช่หรอ” เฟิร์สกำลังเซ็งที่แพ้หลายๆ ตาติดกันรวดเลยคิดจะวางมือสักพัก พอเห็นน้องชายจะไปแกล้งญาติผู้น้องอีกก็นึกสงสารเลยรั้งสองแฝดเอาไว้กับตัว

เฟิร์สแปลกใจเล็กน้อยที่น้องชายสองคนไม่สนใจเกมที่ตนหยิบยื่นให้ ทั้งที่ตอนอยู่บ้านแย่งกันแทบตาย เด็กชายชายยักไหล่ก่อนจะก้มหน้ากดเกมอีกครั้ง

ภูผากับฟ้าครามเดินตามทีขึ้นไปข้างบน

“ตามมาไม?” เด็กชายทวีเดชขมวดคิ้วเมื่อหันมาเจอเด็กแฝดคู่กรณีเดินตามมาต้อยๆ

“ที เล่นกันๆ! ^O^ ” ไม่ว่าเปล่า ฉุดมือเขาอีกต่างหาก

“ไม่ ไม่เล่น” ทีดึงมือออก เดินไปยังห้องของพ่อกับแม่ที่ตนนอนทุกวัน

“เล่นกันน้าาาา ๆ ” สองแฝดยืนล้อมหน้าล้อมหลัง ถึงทีจะตัวสูงกว่าแต่ทั้งคู่อ้วนกว่ามากและมีพละกำลังเหลือเฟือ ไม่มีทางที่เด็กชายทวีเดชจะเอาชนะได้แน่ๆ

“อย่ามายุ่งกะพี่นะ ไม่งั้นจะฟ้องอาแอ๋มจิงๆ ด้วย” ทีขู่ เด็กชายไม่รู้สึกอยากเล่นกับน้องชายฝาแฝดเลยสักนิด สองคนนี้ชอบเล่นแรงๆ ชอบแกล้งปิดไฟเวลาเขาเข้าห้องน้ำแล้วดันประตูไว้ไม่ให้เขาออก ชอบเอาหมอนข้างไล่ตีเขา ชอบโกงเวลาเล่นเกมด้วยกัน ชอบทำของเล่นของเขาพัง คราวที่แล้วทียังจำได้ว่าหนึ่งในสองคนนี้นั่งทับรถบังคับคันโปรดของเขาจนพังคาตูด วิ่งไล่จับกันจนไปชนกระจกแต่งตัวในห้องอากงอาม่าแตกไปครึ่งบาน เขาไม่ทันระวังเผลอไปเหยียบเข้าเลยโดนบาดเท้าเลือดไหลซิบๆ เอาโยโย่ที่เวลาเล่นแล้วจะมีไฟขึ้นของเขาไปจุ่มบ่อปลา แล้วอะไรอีกนะ โอ๊ย เยอะมากจนสมองเล็กๆ ที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ของทีจำได้ไม่หมด

เมื่อก่อนทีเห่อน้องที่หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบสองคนนี้มากเพราะเห็นว่าเป็นของแปลก แต่เมื่อทั้งคู่โตจนเดินวิ่งได้ ทีก็พบว่าน้องสองคนไม่น่ารักอีกต่อไป เมื่อรู้ว่าสองคนนี้จะมาที่บ้านเมื่อไหร่ เด็กชายทวีเดชมักจะวิ่งไปแอบทุกครั้ง โดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่าพฤติกรรมชอบแอบของเจ้าตัวมันยิ่งไปกระตุ้นให้เด็กแฝดรู้สึกสนุกและอยากจะมาบ่อยๆ เพื่อจะได้เล่น ‘ซ่อนหา’ กับญาติผู้พี่

“ไม่เล่น!” เด็กชายทวีเดชผลักน้องชายฝาแฝด ภูผากับฟ้าครามไม่ทันตั้งตัวเลยเซแท่ดๆ ทีอาศัยจังหวะนั้นวิ่งเข้าห้องพ่อแม่แล้วปิดประตู เด็กแฝดพยายามดันประตูเข้ามา โชคร้ายที่เด็กชายทวีเดชในตอนนั้นไม่รู้วิธีล็อกลูกบิดจึงได้แต่ใช้ตัวดันประตูไว้ไม่ให้แฝดนรกดันเข้ามา

…แต่ในที่สุด ทีก็ต้านแรงหมูตอนสองตัวไม่ไหว ประตูเปิดผางออกในที่สุด











“มาเล่นซูโม่กัน!” เตียงนอนถูกเปลี่ยนเป็นสนามซูโม่ ทีไม่เอาด้วยจะก้าวลงจากเตียง แต่ก็โดนลากขึ้นไปใหม่ แล้วหมูแฝดสองตัวนั่นก็ผลักเขาล้มลงกับเตียงหลายรอบจนเด็กชายทวีเดชชักจะทนไม่ไหว เริ่มมีน้ำโหขึ้นมา จึงรวบรวมแรงผลักคืน สองคนนั้นก็ทำตัวอ่อนยอมล้มลงไปนอนบนฟูกนุ่มๆ แต่โดยดีแล้วหัวเราะชอบใจที่พี่ยอมเล่นด้วย ก่อนจะเด้งตัวขึ้นมาเล่นผลักกับทีใหม่ เด็กชายทวีเดชรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเลยที่ตัวเองโดนรุมแบบนี้แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

ทีรู้สึกเหนื่อย ไม่อยากเล่นแล้ว เล่นไปก็แพ้ โดนผลักล้มผลักล้มอยู่นั่นแหละ ใครมันจะไปสนุกด้วย เลยจะเดินหนีออกจากห้องลงไปหาพ่อแม่ แต่เด็กแฝดก็ไม่ยอมเลยกลายเป็นวิ่งไล่จับกันอยู่ในห้อง ทีกระโดดหนีขึ้นไปบนเตียง หยิบหมอนใบใหญ่ปาใส่ภูผากับฟ้าคราม เด็กแฝด หยิบหมอนที่พี่ปาลงมา ปากลับขึ้นไป สุดท้ายก็กลายเป็นการเล่นจระเข้ไปซะงั้น ทีตั้งกฎว่าภูผากับฟ้าครามต้องอยู่ข้างล่าง ห้ามขึ้นมาบนเตียง เพราะเป็นจระเข้ เด็กแฝดก็พยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย เขาสองคนต้องทำยังไงก็ได้ให้ทีตกลงมาในน้ำหรือก็คือที่พื้นถึงจะชนะนั่นเอง

ทีวิ่งหนีวนไปวนมาอยู่บนเตียงในขณะที่เด็กแฝดเอาหมอนบ้าง หมอนข้างบ้างปาใส่เพื่อให้ทีล้มลงใกล้ๆ ขอบเตียง พวกเขาจะได้ฉุดอีกฝ่ายลงมาข้างล่าง

ทีเองก็ไม่ยอมแพ้ หยิบหมอนข้างใบโตไล่ตีหัวเด็กแฝดอยู่บนเตียงเหมือนเล่นเกมตีหัวตัวตุ่น รู้สึกสะใจที่ในที่สุดก็มีโอกาสเอาคืน แต่เด็กแฝดมีหรือจะยอมโดนอยู่ฝ่ายเดียว สองคนนั้นรวมพลังกันยื้อหมอนข้างเอาไว้แล้วกระชากแรงๆ จนทีที่จับหมอนข้างอีกด้านอยู่ตกลงมาบนกองหมอนที่หล่นอยู่รอบๆ เตียง

“แฮ่!! จะกินล่ะนะ !” จระเข้สองตัวหัวเราะชอบใจที่ในที่สุดก็ฉุดเหยื่อลงมาในอาณาเขตของตนได้ ฟ้าครามกระโจนเข้าไปจักจี้อีกฝ่ายส่วนภูผาก็เอาฟันงับๆ แขนของทีจนชุ่มน้ำลายไปหมด ทีได้แต่หัวเราะดิ้นไปดิ้นมาอยู่บนกองหมอน พยายามกระเสือกกระสนจะปีนหนีกลับขึ้นบกซึ่งเป็นอาณาเขตของตนให้ได้ รอจนสองแฝดเล่นกับเหยื่อจนพอใจแล้วถึงได้ถูกปล่อยตัวขึ้นมาบนบกแล้วเล่นกันใหม่อีกรอบ อีกรอบ และอีกรอบ

เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของคุณสาที่แอบย่องขึ้นมาดูเพราะเป็นห่วงว่าทีจะโดนแกล้งอะไรแรงๆ หรือเปล่า แต่เมื่อเห็นว่าสุดท้ายเด็กทั้งสามเข้ากันได้ดีจึงวางใจ เดินกลับลงไปเม้ามอยต่อด้านล่าง













แอ๊ดดดด





“ภูผา ฟ้าคราม กลับบ้านได้แล้วลูก ” คุณแอ๋มเดินขึ้นมาตามลูกชายฝาแฝดกลับบ้านเมื่อเห็นว่าได้เวลากลับเสียที

แล้วภาพตรงหน้าก็ทำให้เธออดที่จะยิ้มอย่างเอ็นดูไม่ได้

เด็กสามคนนอนรวมกันอยู่บนเตียงที่หมอนผ้าห่มกระจัดกระจายเต็มไปหมด ทีนอนอยู่ตรงกลางขนาบข้างด้วยร่างอ้วนกลมปุ๊กของภูผาและฟ้าครามที่เอาแขนเอาขากอดก่ายคนตรงกลางเอาไว้อย่างแน่นหนาจนเธอรู้สึกอึดอัดแทน พอทีขยับพลิกตัวสองคนนั้นก็จะขยับตามแล้วเอาหน้าไปถูๆ แก้มคนตรงกลาง เป็นภาพที่ดูน่ารักมากจนเธอต้องหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายไว้















“งื้อ! ม่ายอาววว ม่ายกลับบบ ” สองแฝดงอแงเมื่อคุณสินธุ์พยายามจะอุ้มเจ้าตัวขึ้นจากเตียง

“ไม่เอาไม่งอแงนะครับ กลับบ้านเร็วลูก ฮึบ ” คุณสินธุ์พยายามอุ้มหนึ่งในหมูตอนขึ้น แต่ภูผาก็อิดออดพยายามทิ้งตัวลงบนเตียง กอดคนตรงกลางไว้แน่น ไม่ยอมโดนแยกออกมาท่าเดียว คุณสินธุ์จึงหันไปงัดตัวฟ้าครามแทน แต่ผลก็ออกมาเป็นเหมือนเดิม สุดท้ายต้องขอแรงคุณเดชมาช่วยแยก สองแฝดงอแงดิ้นไปดิ้นมาอยู่ในอ้อมแขนเมื่อจะอุ้มพาลงไปข้างล่าง

“สงสัยจะง่วงเลยงอแง” คุณเดชว่าก่อนอุ้มภูผาเดินตามคุณสินธุ์ลงมาข้างล่าง

“ไม่อาววว ไม่กลับบ้านน จะเล่นกับพี่ที แงๆ ๆ ๆ ๆ ” ภูผากับฟ้าครามร้องไห้จ้าตลอดทางกลับบ้าน มองดูแล้วน่าสงสารจนคุณแอ๋มต้องปลอบใจลูก

“ไม่ร้องนะครับ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าก็มาอีกเนอะ ”

ได้ผล สองแฝดหยุดร้องไห้ นั่งจ้องผู้ใหญ่ตาแป๋ว

“จริงนะ?”

“…ถ้าทำตัวดี อาทิตย์หน้าจะพามาลอยกระทงกับพี่ที เอาไหม?” คุณสินธุ์ถามยิ้มๆ

สองแฝดมองหน้ากัน ก่อนจะยิ้มจนแก้มแทบแตก

“เย้!!”









เด็กแฝดหันไปมองบ้านที่เพิ่งจากมาจนลับสายตา







สักวัน…ถ้าได้อยู่ด้วยกันทุกวันไม่ต้องแยกจากกันอีก..ก็คงจะดี







---------------------------------------------------------------------

ติดเเท็ก #เกียร์คู่ (@candleguard) มาหวีดกันเถอะค่า!!><

หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่28 หน่วง [9/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 10-03-2018 23:05:57

                                                         ตอนที่ 30 คุณสมบัติของคนจะใช้ชีวิตร่วมกัน


(บทภูผา)



“มึงจำเกียร์ที่กูเก็บมาได้ปะ?” ไอ้ครามเสนอความคิด


"ไอ่เกียร์ที่ได้มาตอนปีนน้ำตกครั้งนั้นอ่ะนะ” ผมนึกย้อนไปถึงเกียร์ใครก็ไม่รู้ที่ไปเจอตอนปีนน้ำตกเมื่อตอนออกค่าย

“เออ เอาอันนั้นไปให้พี่ทีเหอะ”

“แต่มันมีอะไรเขียนไว้ข้างในด้วยนะ แถมยังเลขอะไรนั่นอีก น่าจะเป็นเลขรุ่น กูว่าอย่าเลยว่ะ เดี๋ยวโดนจับได้”

“ก็แค่ยื่นให้ดูว่าเอามาได้แล้วนะ อย่าให้พี่ทีเห็นข้างในดิ รีบโชว์รีบเก็บก็จบ”

“…….”

“มึงเห็นด้วยป่ะวะไอ้ภู กูรู้นะว่ามึงก็ขี้เกียจไปง้อปีโป้แล้ว”

ผมนิ่งคิด

“…ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวนะ” ผมตอบรับเนือยๆ

“เนอะ..” ไอ้ครามเงียบไป ทำหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่

“…” ผมกดไอโฟนเล่นอย่างใจลอย

“…” ไอ้ครามนั่งควงปากกาในมือ

ผมรู้ว่าไอ้ครามคิดอะไรอยู่ อันที่จริงแล้วเราไม่ได้อยากทำแบบที่คิดสักเท่าไหร่ แต่มันนานแล้วนะ มันเหนื่อยแล้ว มันมองไม่เห็นเลยว่าปลายทางอยู่ตรงไหนและเมื่อไหร่ บางทีเราอาจจะไม่มีวันได้เกียร์ไปตลอดกาลเลยก็ได้ถ้าพี่ทีจงใจไม่ให้เราได้

ผมหลับตาลงอย่างเหน็ดเหนื่อย มันอธิบายความเหนื่อยนี้ไม่ถูก มันไม่ได้เหนื่อยแบบหอบแฮ่กๆ แต่เหนื่อยแบบเหนื่อยสะสม เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ เหมือนกับผมไล่ตามพี่ทีมานานมากๆ เหมือนผมไม่ได้เพิ่งมาไล่ตามเขาเอาตอนนี้ แต่ไล่ตามมานานมากแล้ว นานจนไม่รู้ว่ามันเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนไหน มันเหมือนเหนื่อยล้าไปถึงวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น...

ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจะต้องมาวิ่งไล่ตามคนคนนี้ หน้าตาก็ธรรมดา ฐานะก็ธรรมดา ก็แค่เด็กเนิร์ดธรรมดา ไม่รู้ทำไมต้องเป็นคนคนนี้ มันฝังจิตฝังใจจริงๆ ตั้งแต่เด็กจนโตไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายเพอร์เฟ็คขนาดไหนจะผ่านเข้ามา ผมไม่เคยสนใจ ไม่ว่าพวกเค้าจะพยายามเรียกร้องความสนใจจากผมหรือไอ้ครามด้วยวิธีไหน แต่กลับเป็นพี่ทีที่ได้รับความสนใจจากพวกผมอย่างเต็มเปี่ยมจนล้นเสมอโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย…มาตั้งแต่เด็ก...แต่พี่ทีคงไม่รู้เลย

ตุบ ... เสียงวัตถุบางอย่างตกกระทบพื้นผิวเบาจนแทบไม่ได้ยิน

“งั้นเหรอ…เอ้า คนน้อง…แสบพอกับพี่ชายนะ เห็นตัวอย่างที่ไม่ดีก็อย่าเอาอย่าง ให้รู้จักห้ามปรามไม่ใช่ร่วมด้วยช่วยส่งเสริมเข้าใจไหม”

ผมลืมตาแล้วผุดลุกขึ้นนั่ง

“เฮ้ย! คราม กูว่าอย่าเลยว่ะ” ไอ้ครามหันมามองผมพลางขมวดคิ้วเหมือนจะถามว่าทำไม

“มึงจำตอนที่พี่ทีใช้ไอ้ขวดมาเฝ้าเราได้ป่าววะ มึงจำได้ใช่มั้ยความรู้สึกตอนที่รู้ความจริงอ่ะ ที่พวกเราโกรธพี่ทีสุดๆ ไปเลยน่ะ”

ไอ้ครามพยักหน้า

“มึงลองเอาใจเขามาใส่ใจเราดูดิ…ขนาดพวกเรายังไม่ชอบเลย แล้วถ้าเราไปสับขาหลอกพี่ทีแบบนั้นแล้วถ้าโดนจับได้พี่ทีจะรู้สึกยังไง” ผมพยายามหว่านล้อมฟ้าคราม

“แล้วถ้าพี่ทีจับไม่ได้ล่ะ” ไอ้ครามเอาเท้าเขี่ยถังขยะเล่น ผมกลอกตามองบน นี่ที่กูพูดมันไม่เข้าหูมึงเลยสินะไอ้กร๊วกนี่

ผมถอนหายใจแล้วจ้องหน้ามันอย่างจริงจัง

“กูพูดขนาดนี้มึงยังคิดไม่ได้อีกหรอวะ! เอาเหอะ..ถ้ามึงจะทำก็ทำไปคนเดียว ครั้งนี้กูไม่เอาด้วย กูจะไม่หักหลังพี่ที คนนี้กูจริงจัง! จริงจังมากๆ!”

ในขณะที่ผมกำลังเริ่มออกอาการหัวเสีย ไอ้ครามกลับหัวเราะแล้วเอาตีนดันถังขยะมาทางผม

“กูคิดได้ก่อนมึงอีกไอ้กร๊วกเอ๊ย!!” มันพยักพเยิดให้ผมมองไปยังถังขยะโล่งๆ ที่เมื่อวานจำได้ว่าเพิ่งเอาขยะไปเททิ้ง ที่ก้นถังมีวัตถุสีเงินส่องล้อแสงแวบๆ อยู่ พอเงยหน้าไอ้ครามก็ยิ้มกวนตีนส่งมาให้ อ้อ แสดงว่าเสียงตุบเหมือนคนทิ้งของอะไรสักอย่างตอนผมพักสายตาเมื่อกี้เป็นเสียงทิ้งเจ้านี่สินะ

ไอ้ครามลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปที่ประตู มันชะงักไปนิดที่เห็นประตูปิดไม่สนิท แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร ก่อนออกไปมันหันกลับมาแลบลิ้นใส่ผม

“กูไม่ยอมให้มึงทำตัวเป็นพระเอกคนเดียวหรอก แบร่! :p”





(กลับสู่ปัจจุบัน)



“กูบอกให้เอามาไง!!!” ภูผากับฟ้าครามส่งเกียร์มาให้ผมคนละอัน

ผมหยิบเกียร์สองอันนั้นขึ้นมาส่องดูด้านในทันที แล้วก็ต้องชะงัก



ME 47 Fahkram

ME 47 Poopaa



ME ... Mechanical Engineering ... วิศวกรรมเครื่องกล



รุ่นที่ 47 ... รุ่นปัจจุบัน



สลักชื่อด้วยฟอนต์ที่คณะเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์…





= [] =!!!



#หน้าแตกหมอไม่รับเย็บ คือแคปชั่นของผมในตอนนี้

.

.

.

โอยยยยย ตายๆ ๆ ไม่รู้จะทำหน้ายังไงจริงๆ นี่ผมเข้าใจผิดมาตลอดเลยหรอ? นี่กูคิดไปเองอีกแล้วหรอ!? โอ๊ยยยยย!! อับอายเป็นที่สุดTT////////TT

มือไม้สั่นไปหมด มันไม่รู้จะทำตัวยังไงดี บังคับตัวเองไม่ได้เลย เหมือนสติมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ไม่มีหน้าจะมองภูผากับฟ้าครามเลย มันทั้งตกใจ ทั้งดีใจ แล้วก็...













ปลื้มมมมมมมมมมมมม ^ (++++++++++++++++) ^





โอ๊ย อยากยิ้มให้แก้มแตก ปลื้มใจสุดๆ ไปเลยว่ะครับ ไม่ใช่ปลื้มที่ได้เกียร์นะ แต่ปลื้มที่ภูผากับฟ้าครามจริงใจกับผมต่างหาก

ผมห้ามตัวเองไม่ได้แล้วมันยากเหลือเกินในเวลานี้ที่จะสั่งให้ตัวเองหยุดยิ้ม ยิ้มแบบที่กว้างที่สุดในชีวิต ไม่อยากให้สองคนนั้นเห็นหน้าตัวเองในตอนนี้เลย ไม่อยากเลยอ่ะ รู้สึกเสียเซลฟ์ยังไงชอบกล มันจะว่าผมเพี๊ยนไหมที่เมื่อกี้ทำหน้าโหดอย่างกับยักษ์ แล้วปุบปับก็เปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างเท่าจานดาวเทียม

ผมก้มหน้าแล้วเอามือข้างที่ว่างปิดหน้าไว้ ไม่อยากให้มันรู้ว่าผมยิ้มจนแก้มจะแตกแล้ว บวกกับอายตัวเองด้วยที่คิดเป็นตุเป็นตะเป็นช่องเป็นฉากไปคนเดียวตั้งหลายวัน ทุเรศชิบหาย ผมจะจำใส่ใจไปจนตายเลยว่าอย่ามโนไปเอง! T///T;;;;

“พี่ที ... ยังโอเคอยู่นะ?”

“ไม่ต้องดีใจจนร้องไห้ก็ได้ โอ๋ๆ ”

ไอ้บ้านี่! กูไม่ได้เอามือปิดหน้าร้องไห้โฟร้ยยยยย

ผมยืนปิดหน้าอยู่กับที่ ไอ้สองคนนั้นก็พยายามจะมาแงะมือผมออกอยู่นั่นแหละ โอ๊ย! อย่าแงะได้ไหม ยิ้มอยู่!

“พี่ทีทำไมต้องเอามือปิดหน้าด้วยอ่ะ”

“…..”

“ไม่พูดแบบนี้สงสัยเขินอยู่ล่ะมั้ง กิ๊วๆ ”

โว๊ยยยยยยย เลิกล้อเลียนกูซักที!

“ไม่ได้เขิน! ^O^**” ผมเงยหน้าขึ้นมาตอบทันควัน พยายามทำน้ำเสียงให้เข้มที่สุด แต่มันคงไม่มีอานุภาพเท่าเมื่อก่อนเพราะมันดันกลั้วหัวเราะพร้อมรอยยิ้มประดับมุมปาก จะหาว่าผมอ่อนก็ได้ แต่เชื่อเหอะว่าใครอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ก็ต้องเป็นแบบผมกันทั้งนั้น!

ไม่ไหวแล้ว ผมต้องหนีไปตั้งหลักในห้องตัวเองก่อน

คิดได้ดังนั้นผมจึงเดินก้มหน้างุดๆ ผ่านภูผากับฟ้าครามไปทางห้องตัวเอง ไม่อยากยิ้มแล้วโว๊ย หยุดยิ้มสักทีดิวะไอ้บ้า^O^!! เดี๋ยวปั๊ดต่อยปากแตกเลย ^O^!

“อ๊ะๆ! จะไปไหนคร้าบ” ฟ้าครามกอดผมจากทางด้านหลัง

“ปล่อยก่อนฟ้าคราม เดี๋ยวพี่มา^O^” ทำไมต้องพูดไปยิ้มไปด้วยวะกรู โอ๊ยยยยย บ้าจริงๆ เก๊กหน้าไม่อยู่ ต้องหนีไปสงบสติด่วนๆ T////T

“คราวนี้ไม่ให้หนีไปไหนแล้วนะ มาคุยเรื่องที่ติดกันไว้ได้แล้วพี่ที” ภูผาเดินมาดักหน้าผม แล้วแกะมือที่ปิดหน้าอยู่ของผมออก ฟ้าครามก็ทำงานเข้าขากับภูผาเหลือเกิน พอภูผาแงะมือผมออกจากหน้าได้ปุ๊บฟ้าครามก็รีบกอดรวบมือผมให้ชิดไปกับลำตัวปั๊ป จะหนีจะผลักก็ทำไม่ได้ ให้ตายเถอะ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรู้สึกอยากหายตัวได้มากเท่านี้เลย

“พี่ที ฟังที่ภูจะพูดให้ดีๆ นะ” ภูผาจับไหล่ผม จนผมต้องเม้มปาก เงยหน้าขึ้นมอง ตอนแรกผมไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ ผมคิดว่าผมจะอาละวาดใส่สองคนนี้ จากนั้นเราก็จะขาดกันชนิดที่ว่ามองหน้าไม่ติดอีกต่อไป เป็นอันยุติความสัมพันธ์ทั้งหมด แต่เรื่องมันดันพลิกล็อก แล้วผมก็ไม่ได้เตรียมแผนสำรองสำหรับเหตุการณ์แบบนี้เอาไว้ด้วย จะดิ้นหนีไม่ยอมฟังก็ไม่ได้เพราะภูผากับฟ้าครามทำตามเงื่อนไขทุกอย่างครบถ้วนแล้ว ผมก็ต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้

“ภูรักพี่ที / ครามรักพี่ที” ภูผากับฟ้าครามพูดพร้อมกันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง

“…..”

“ไม่ใช่รักแบบปลื้มไอดอล ไม่ใช่รักแบบญาติด้วย ครามรักพี่ทีนะ…รัก…แบบที่อยากอยู่ด้วยตลอดไปเลย”

“อย่ามองว่าพวกเราเป็นเด็กอีกเลยนะพี่ที วันนี้ภูกับครามอายุ 19 แล้วนะ”

ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ ไม่รู้มาก่อนเลยว่าวันนี้เป็นวันเกิดเจ้าแฝด…ก็แน่ล่ะสิผมเคยถามหรือเข้าเฟซไปส่องหาหรือก็เปล่า ให้ตายเถอะ รู้สึกผิดอีกแล้วนะเนี่ย ทั้งๆ ที่ผมอยู่กับสองคนนี้มาก็นานพอสมควร แต่กลับไม่เคยถามวันเกิดเอาไว้เลย บ่งบอกความใส่ใจที่ผมมีต่อสองคนนั้นสุดๆ ฮ่ะๆ -_-;;

โอ๊ย! ทำไมผมมันเลวแบบนี้วะ ทั้งแอบฟังน้องมันพูดกันแบบฟังไม่ได้ศัพท์รีบจับมากระเดียด ก่อนกลับมาก็เอาแต่คิดหาคำด่าแสบๆ กะจะมาทำร้ายจิตใจกันโดยไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันสำคัญของสองคนนั้น ไม่พอ! กลับมาแล้วยังขู่กรรโชกน้องมันอีก วันเกิดน้องก็ไม่เคยใส่ใจ ของขวัญก็ไม่มีให้ ไม่อวยพรแล้วยังไปตะคอกใส่ ทำไมผมถึงชั่วช้าสามานย์ขนาดนี้!!

“…อ่า เอ่อ สุขสันต์วันเกิดนะภูผา ฟ้าคราม” ผมพูดเสียงแผ่วอย่างรู้สึกผิด ผิดแบบศาลไม่รับอุทธรณ์เลยล่ะ

“แล้วของขวัญล่ะ ครามให้ของขวัญพี่ทีเป็นเกียร์ไปแล้วนะ พี่ทีคงไม่ลืมวันเกิดพวกเราหรอกใช่มั้ย?”

ขอโทษนะ ไม่ลืมหรอก…แต่ไม่เคยจำเลยต่างหาก-v-;;

ผมถอนหายใจ แก้ตัวไปก็คงฟังไม่ขึ้น ยอมรับไปตรงๆ เลยดีกว่า

“ขอโทษจริงๆ พี่ไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดภูกับคราม เอาเป็นว่าพี่จะให้ของขวัญย้อนหลังพรุ่งนี้แล้วกัน บอกมาสิว่าอยากได้อะไร แต่อย่าแพงมากนะทรัพย์จางอยู่” อย่างน้อยก็ยังดีที่ใช้เรื่องของขวัญมาเบี่ยงประเด็นที่คุยกันอยู่เมื่อกี้ไปได้ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าจะตอบรับหรือปฏิเสธคำสารภาพรักของสองคนนั้นยังไงดี

“ได้เหรอ? ขออะไรก็ได้เหรอ” ภูผาถามย้ำ

“…ถ้าไม่แพงมากอ่ะนะ”

“ไม่แพงหรอก พี่ทีไม่ต้องจ่ายเงินสักบาทเลยด้วยซ้ำ” ฟ้าครามพูดด้วยน้ำเสียงดูมีความสุข

“อะไร? จะเอาอะไรฮึ?” ผมถามอย่างสงสัย ชักสังหรณ์ใจแปลกๆ

ฟ้าครามย้ายมายืนข้างหน้าผม กลายเป็นว่าตอนนี้ผมยืนประจันหน้าเข้ากับสองฝาแฝด ภูผากับฟ้าครามคว้ามือผมไปจับกันคนละข้าง เล่นเอาความอายที่เพิ่งจางหายไปของผมแล่นกลับขึ้นมาใหม่ จะดึงมือหนีก็กลัวน้องมันเสียใจ แถมอีกใจมันก็ไม่อยากจะดึงออกซะด้วยสิ เย้ย! นี่ผมเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย!



“พี่ที...//พี่ที...”











“เป็นแฟนกันนะ // เป็นแฟนกันนะ”









อธิบายเพิ่มเติมค่ะ555

- พอภูกับครามคิดได้แล้ว วันจันทร์ก็ไปตามตื๊อขอลายเซ็นจากปีใหม่ต่อโดยอ้างว่าขอเป็นของขวัญวันเกิด ประจวบกับพี่ปีใหม่แกจะให้ในอาทิตย์นี้อยู่แล้ว แกเห็นความพยายามบวกกับเห็นเป็นวันเกิดก็เลยยอมให้ค่ะ

- เกียร์ในถังขยะน่ะมีเจ้าของนะคะ



ติดเเท็ก #เกียร์คู่ (@candleguard) มาหวีดร้องกันเถิดสาวกเอยยยย





หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 30 คุณสมบัติของคนจะใช้ชีวิตร่วมกัน [10/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 11-03-2018 02:27:58
ปมเกียร์เยอะจัง ที่น้ำตก ในถังขยะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 30 คุณสมบัติของคนจะใช้ชีวิตร่วมกัน [10/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-03-2018 04:03:24
อันที่เก็บได้เป็นของแฟนอาจารย์คนนั้นหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 30 คุณสมบัติของคนจะใช้ชีวิตร่วมกัน [10/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 11-03-2018 09:12:27
เห้ยๆ ไอ้แฝดไม่ควรทิ้งเกียร์เขานะ ยิ่งตัวเองก็อยู่วิศวะ รู้ความหมาย รู้ว่ากว่าจะได้มามันเป็นยังไง ยิ่งไปเก็บมาจากน้ำตกอีก โอ้โห ไหนจะมีเรื่องไสยๆ เข้ามาอีก ทิ้งถังขยะแบบนั้น เหมือนหยามกันเลย ถึงนิสัยไอ้แฝดไม่ดีเท่าไหร่ก็อย่าให้มากนักเลย มันเกินไป

ปล. เราเด็กศิลปกรรมไม่อินเรื่องเกียร์ แต่รู้สึกถึงเรื่องของธรรมดาสังคม
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 30 คุณสมบัติของคนจะใช้ชีวิตร่วมกัน [10/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 11-03-2018 09:21:34
พี่ทีก็หน้าแตกไปสิงานนี้
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 30 คุณสมบัติของคนจะใช้ชีวิตร่วมกัน [10/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 14-03-2018 22:32:11
อ่านตอนแรกๆไม่ชอบทีเลยจริงๆ บุคลิกนิสัย อ่านแล้วแบบคนอย่างนี้น่ารำคาญ
แต่พอมีแฝดมาวนเวียนใกล้ๆนี่ก็เจอความป่วงของแฝดเข้าไปไม่รุ้จะกรอกตาใส่ใครดี
แต่หลังๆมานี่ความน่ารักมันมาตอนไหน เอาใจช่วยแฝดมากๆ แต่ก็เข้าใจที่พี่ทีเล่นตัว ติดมากละนะ
แต่ระดับแฝดแล้ว ยังไงทีคงสุ้ไม่ไหวหรอก ขอเป็นแฟนแล้ว ทีต้องไม่ตกลงแน่ๆ เดาว่า
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 30 คุณสมบัติของคนจะใช้ชีวิตร่วมกัน [10/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 15-03-2018 00:56:24

                                                                   ตอนที่ 31 ก็เอาสิ


“เป็นแฟนกันนะ // เป็นแฟนกันนะ”

“…………”

“……”

“…….”

“พี่ที…ชอบครามบ้างไหม?

ชอบ…ชอบสิ ชอบมาก

“พี่ที คบกับภูนะ เป็นแฟนกันนะ อย่าเงียบดิพี่ที”

…แต่ว่า…มันไม่สมควร



เราสามคนกำลังพากันถลำลึกลงไปสู่เส้นทางที่ผิดพลาด



ผมเม้มปากแน่น ความสุขสมหวังที่เอ่อล้นในใจเมื่อสักครู่พลันหดหายเมื่อคิดถึงสัจธรรมความเป็นจริง ในสังคมปัจจุบัน แม้คู่รักชาวเกย์จะได้รับการยอมรับมากขึ้น แต่คนอีกเป็นจำนวนมากก็ไม่ได้ยอมรับกันสักเท่าไหร่โดยเฉพาะในแถบเอเชียชาวไทยอย่างเราด้วยแล้ว การคบหารักกับผู้ชายถือเป็นเรื่องแปลก น่าอับอาย เป็นที่ตลกขบขันของคนอื่นๆ ไม่มากก็น้อย

พ่อแม่จะรู้สึกยังไงที่มีลูกชายคนเดียว แต่กลับมาเป็นแบบนี้ ไหนจะบ้านอาแอ๋มอีกล่ะ

ผมจะทนรับสายตาที่คนรอบข้างมองมาได้ไหม

ตอนนี้เราอาจจะรักกัน แต่ถ้าในวันข้างหน้าหมดรักกันแล้วล่ะ เราทั้งสามจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติโดยไม่ถูกสายตาของคนรอบข้างมองว่ายังเป็นพวกรักร่วมเพศได้หรือเปล่า

ผมเป็นลูกชายคนเดียว ผมมีหน้าที่ต้องสืบสกุล

ผมยังมีพ่อแม่ให้ต้องดูแล มีน้องสาวให้ต้องเป็นห่วง

แล้วถ้าผมแก่ตัวไป ภูผากับฟ้าครามตายก่อน ผมไม่สู้ต้องอยู่โดยไม่มีลูกหลานมาดูแล ต้องตายอย่างโดดเดี่ยวในบั้นปลายชีวิตหรอกหรือ

ผมมองไม่เห็นเส้นทางที่เราทั้งสามจะเดินไปด้วยกันได้เลย

.

.





.

“…ไม่ได้หรอก เพราะพี่…ไม่เคยคิดกับเรา…ในแง่นั้นเลย”

“…………” ภูผากับฟ้าครามมองผมด้วยแววตาชะงักงัน

“ไปรักคนที่ดีกว่านี้ คู่ควรกว่านี้เถอะนะ เรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้จริงๆ ” ผมพยายามแกะมือสองคนนั้นออก แต่ภูผากับฟ้าครามกลับจับมือผมแน่นไม่ยอมปล่อย

“พี่ทีโกหก!!”

“พี่พูดจริงๆ ” ผมยิ้มบางอย่างเหนื่อยล้า

“พี่ที! ทำไมล่ะ พี่ทีไม่มีความสุขเวลาอยู่กับพวกเราเลยหรอ ภูกับครามทำอะไรผิดอ่ะ ทำตัวไม่ดีตรงไหนอีกล่ะ บอกมาสิว่าไม่ชอบอะไร ภูจะได้ไม่ทำ!”

“ภูกับครามเป็นเด็กดีมากเลยล่ะตอนนี้ รับผิดชอบตัวเองได้แล้วด้วย แถมตอนนี้ยังเป็นที่รักของคนรอบข้างเต็มไปหมด…”

“แต่ก็ไม่เป็นที่รักของพี่!!”

“รักสิ …รักในแบบ…”

“พอแล้ว!! ครามไม่อยากฟังคำว่าพี่น้องอะไรนั่นแล้ว คำก็พี่น้อง สองคำก็พี่น้อง …พี่ทีอ่ะเป็นคนดีที่โคตรชั่วเลยรู้ตัวมั้ย ให้ความหวังทั้งๆ ที่ไม่ได้คิดอะไรเลย!!” ครามเขย่าตัวผมอย่างบ้าคลั่ง นัยน์ตาที่เคยสดใสเริ่มแดงก่ำ

“ก็ถ้าจะปฏิเสธแต่แรก แล้วจะมาหลอกให้ความหวังกันทำไมวะ?!”

ผมปล่อยให้สองคนนั้นพ่นคำตัดพ้อต่อว่าออกมาให้เต็มที่โดยไม่พูดอะไร แต่ยิ่งเห็นผมนิ่งเท่าไหร่ภูผากับฟ้าครามก็ดูจะทวีความโกรธความเสียใจมากขึ้นเท่านั้น นั่นทำให้ผมเริ่มรู้สึกสับสน ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดออกไปนั้นมันดีแล้วจริงๆ หรือ ยังจะมีวิธีพูดตัดความสัมพันธ์แบบอื่นที่ละมุนละม่อมกว่านี้ ทำร้ายจิตใจกันน้อยกว่านี้อีกไหม

“พี่ไม่ได้หลอก ไม่เคยให้ความหวังอะไรด้วย พี่บอกเราสองคนไปหลายครั้งแล้วนะว่าพี่รักเราแบบพี่น้อง”

“แล้วหลอกให้ครามไปเอาเกียร์ทำไมวะ!!”

“ทั้งๆ ที่ภูจริงใจกับพี่ที ทำตามกติกาทุกอย่าง ทำไมพี่ถึงเอาความรักของผมมาหลอกให้ทำนู่นทำนี่ ใจพี่ทีทำด้วยอะไร ถ้าไม่รักแล้วบอกทำไมว่าเอาเกียร์มาให้แล้วจะบอกคำตอบ!”

“นี่พี่ก็ตอบแล้วไง”

“เหี้ยเอ๊ย!!!!”

เพี้ยะะะะะะะ!!!!

ผมตบหน้าภูผา แล้วก็ต้องตกใจจนมือสั่น ผม…ผมตบน้องหรอ

อยู่ดีๆ น้ำตามันก็ไหลออกมา

บ้าจริง…น้ำตาแม่งไม่หยุดไหลเลยว่ะ มันเจ็บจริงๆ นะ ตบคนที่เรารักเนี่ย ไม่ไหวแล้ว ผมทนทำใจแข็งต่อไปไม่ได้แล้ว …ผมรักภูผา …ผมรักฟ้าคราม ใจผมมันเจ็บไปหมดตั้งแต่ตอนที่พูดจาทำร้ายจิตใจน้องแล้ว ผมหวังดีกับน้องนะ ไม่อยากให้ต้องเดือดร้อนในอนาคต ไม่อยากให้น้องโดนมองเป็นตัวแปลกประหลาด ไม่อยากให้น้อง…

แน่หรือ…มันเพื่อตัวน้องหรือเพื่อตัวผมเองกันแน่ คนที่กลัวจะโดนมองเป็นตัวประหลาดไม่ใช่ผมเองหรอกหรือ คนที่กลัวว่าจะทนสายตาคนรอบข้างไม่ได้ไม่ใช่ตัวผมเองหรอกหรือ คนที่กลัวจะถูกทิ้งไม่ใช่ผมเองหรอกหรือ คนที่ไม่เชื่อมั่นในความรักไม่ใช่ตัวผมเองหรอกหรือ

ดูสิ…คนชั่วๆ …คนที่คิดถึงแต่ตัวเองอย่างผมน่ะ…มันไม่สมควรให้ใครมารักหรอก

แล้วผมก็ร้องไห้ เกลียดตัวเองที่ไม่เคยเป็นคนดีจริงๆ ได้เลย ทั้งๆ ที่อยากจะคิดดี ทำแต่สิ่งที่ดี แต่ความคิดกลับสวนทางการกระทำไปเสียหมด

“…” ภูผากับฟ้าครามสวมกอดผม แล้วสองคนนั้นก็ร้องไห้

“รักภูเถอะนะพี่ที ภูขอ ฮึก…”

“บอกครามสิว่าเมื่อกี้แค่โกหก”

“…” ผมส่ายหน้ากับอ้อมกอดของสองคนนั้น

“ครามทำไรผิดอ่ะ ครามทำอะไรผิดอีกหรอ…”

ผมก็ยังคงส่ายหน้า

“ภูรักพี่ที” กอดของสองคนนั้นแน่นขึ้น

“…” ผมยังคงส่ายหน้า สองมือพยายามดันตัวออกห่างเมื่อรู้สึกว่าอ้อมกอดนั้นแน่นเกินไปแล้ว

“ครามรักพี่ที” ยิ่งดิ้นหนี ก็ยิ่งรัดแน่นเข้า จนผมเริ่มหายใจลำบาก ไหล่ของสองคนนั้นกดเบียดใบหน้าผมจนแทบมิด ร่างกายแนบชิดจนแม้แต่อากาศก็ผ่านไปไม่ได้ ผมรู้สึกอึดอัดและหวาดกลัว…ภูผากับฟ้าครามแปลกไป

“ภู คราม พี่หายใจ ไม่ออก” ผมออกแรงดันสองคนนั้นออกจากตัวอีกครั้ง แต่มันก็เปล่าประโยชน์ มือที่ใช้ดันถูกกอดแนบไปกับตัวจนยกขึ้นมาไม่ได้อีก





“เป็นของพวกเรานะครับ”





ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อคำคำนั้นหลุดออกมาจากปากภูผาและฟ้าคราม รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังก็สัมผัสกับความอ่อนนุ่มของเตียง ใจผมเต้นระรัวด้วยความตื่นตระหนก ความรู้สึกมากมายผสมปนเปกันไปหมด ผมรู้สึกเวียนหัว ตาลาย หายใจไม่ออก มือเย็นเฉียบ รู้สึกเหมือนอุณหภูมิทั้งหมดในร่างกายมันพุ่งขึ้นไปที่หน้า น้ำตาผมไหลไม่หยุด ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มานานแล้ว นานมากแล้วจริงๆ



“ฮึกกกกก ฮือออออๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ”



ผมร้องไห้เสียงดังอย่างไม่อายใคร เหมือนความเครียด ความอึดอัด ความเสียใจทั้งหลายที่แบกมาทั้งชีวิตมันกำลังทลายลงมา ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ ผมได้แต่ร้องไห้ ร้อง แล้วก็ร้อง มันไม่ใช่แค่เรื่องของภูผากับฟ้าครามที่ทำให้ผมเสียใจ เรื่องต่างๆ มากมายที่แบกรับ ที่อดทน ที่ฝืนใจ ที่คนอื่นทำกับผม ที่ผมต้องทำเพื่อคนอื่น ความสุขในชีวิตที่แทบไม่เคยมี ความเหนื่อยล้าที่ต้องสู้กับจิตใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา มันกำลังระเบิดออกมา



ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังแตกสลาย…ย่อยยับไม่มีชิ้นดี







หลังจากเรื่องในคืนนั้น ผมก็ไม่กลับไปที่คอนโดอีกเลย ในวันศุกร์ ผมกับพ่อช่วยกันขนของกลับบ้านในช่วงเวลาที่สองคนนั้นยังมีเรียนอยู่ เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะพบหน้า

ทุกคนต่างรู้กันหมดว่าผมย้ายกลับมาอยู่บ้านแล้ว ยกเว้นสองคนนั้น

แล้วในช่วงเวลาค่ำๆ ที่คาดว่าสองคนนั้นน่าจะกลับถึงห้องแล้ว โทรศัพท์ผมก็ดังไม่หยุด ผมกดตัดไปไม่รู้กี่ร้อยสาย

กว่าโทรศัพท์จะหยุดสั่น ก็ปาไปหลายชั่วโมง…

ผมนั่งมองโทรศัพท์มือถือในมือที่หน้าจอเป็นสีดำ

…มันจบแล้วสินะ





เมสเสจหนึ่งเด้งขึ้นมา ผมลังเลใจอย่างมากที่จะเปิดอ่าน

แล้วในที่สุด ผมก็ไม่อ่าน…

โดยที่ไม่รู้เลยว่า เนื้อหาข้างในมันจะเป็นแบบนี้





‘ถ้าพี่ทีไม่กลับมา ภูกับครามจะพังชีวิตตัวเองให้ดู แล้วก็ขอให้รู้ด้วยว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดต่อจากนี้ มันเป็นความผิดของพี่คนเดียว’





---------------------------------------

ฟังเพลง ถลำ ของบี้ไปด้วย เเต่งไปด้วย ได้อารมณ์ดีนะตอนนี้555 อย่าเครียดๆ ชิวๆ ^O^

https://www.youtube.com/watch?v=UzQH0Xc-Kkw

ลองฟังๆ เข้าเเก๊บอยู่
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 31 ก็เอาสิ [15/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-03-2018 01:24:05
 :katai1:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 31 ก็เอาสิ [15/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 15-03-2018 02:25:27
ปวดตับแทนพี่ทีจริง ๆ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 31 ก็เอาสิ [15/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 15-03-2018 09:18:48
เฮ้อ!! ได้แต่ถอนหายใจแรงๆ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 31 ก็เอาสิ [15/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-03-2018 09:24:42
 :z3: :z3: :z3:   ปวดตับ ปวดไตเลย

ภูผา ---> ที <--- ฟ้าคราม   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 31 ก็เอาสิ [15/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 17-03-2018 10:37:31
 :sad4: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 31 ก็เอาสิ [15/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 17-03-2018 12:39:05
โอ๊ย... สงสารใครดี
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 31 ก็เอาสิ [15/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 17-03-2018 14:57:10
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 31 ก็เอาสิ [15/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 18-03-2018 13:08:17

                                                        ตอนที่ 32  ฉันแพ้ให้เธอทุกทาง…



นอนไม่หลับ นอนไม่หลับเลย



ผมนอนพลิกตัวบนเตียงอย่างอึดอัด ไม่ว่าจะข่มตาอย่างไรก็หลับไม่ลง ได้แต่ผุดลุกขึ้นนั่งในความมืด



ผ้าม่านสีหม่นในห้องถูกลมจากนอกหน้าต่างพัดปลิวเป็นระลอกๆ แสงสีส้มจากเสาไฟบนเกาะกลางถนนส่องลอดหน้าต่างเข้ามารำไร หน้าปัดนาฬิกาดิจิตอลที่เรืองแสงในความมืดบอกว่าตอนนี้เวลาได้ล่วงเข้าสู่วันใหม่มา 3 ชั่วโมงแล้ว



ผมเสียใจ



ผมเสียใจ



แต่ผมไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปดี



โคมไฟข้างหัวเตียงถูกเปิดขึ้น พร้อมกับเสียงชีทเรียนที่ถูกเปิดอ่านทีละหน้าๆ สายตาหลังกรอบแว่นสีดำทอดอ่านแต่ละบรรทัดอย่างสงบราบเรียบ จนกระทั่งแสงแรกของวันใหม่สาดส่องเข้ามาในห้อง



ผมอาบน้ำ แต่งตัว เดินลงบันไดไปกินข้าวเช้าที่แม่เตรียมไว้ให้ นั่งดูข่าวเช้าพร้อมน้องสาว พูดคุยหยอกล้อกัน เหมือนที่เคยเป็นมาตลอดก่อนหน้านี้



ทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม



ทุกอย่างจะต้องเข้ารูปเข้ารอย



ผมจะยังคงเป็นนายทวีเดช นักศึกษาดีเด่นตลอดไป



เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่



เป็นแบบอย่างที่ดีให้น้องสาว



เป็นลูกที่พ่อแม่โอ้อวดได้อย่างภาคภูมิใจ ไม่ว่าใครก็ต้องอิจฉาพ่อแม่ของผม



ไม่มีวันที่ผมจะยอมออกจากกรอบใบนี้…กรอบที่ทุกคนจำกัดความไว้ว่าดีงาม น่าชื่นชมถูกต้องตามทำนองคลองธรรมและค่านิยมของสังคมทุกประการ…อะไรที่จะฉุดรั้งผมให้หลุดออกจากกรอบแห่งความดีงามนี้ผมจะกำจัดมันออกไปให้หมด…ไม่ให้เหลือเลย



ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมไม่ได้เจอภูผากับฟ้าครามเลย รู้สึกแปลกใจเล็กๆ แต่ถ้าคิดตามหลักความจริงแล้ว ปี1ไม่ได้เรียนที่คณะตัวเอง ส่วนใหญ่มีเรียนแต่ที่คณะวิทย์ กับตึกเรียนรวม ในขณะที่ปี3อย่างผมแทบจะอยู่แต่ในคณะ ถ้าไม่นัดเจอ หรือจงใจมาหากัน โอกาสที่จะเจอกันมันก็ยากนั่นแหละ แม้แต่ในเวลากินข้าวก็ยังกินกันคนละโรงอาหารเลย



ถามว่าผมยังเสียใจอยู่มั้ย ตอบเลยว่ามาก ยังคงเศร้า ยังคงรู้สึกผิดอยู่เหมือนเดิม ไม่กล้าพบหน้าด้วย ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากเจอกันอีกเลย ไม่อยากรับรู้ข่าวคราวการเคลื่อนไหวใดๆ ของภูผาฟ้าครามทั้งนั้น อยากเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องที่เผอิญเรียนอยู่ที่เดียวกัน ไม่ต้องยุ่งเกี่ยว ต่างคนต่างมีชีวิตของตัวเองไป



แต่ต่อให้ผมจะเสียใจแค่ไหน จะรู้สึกย่ำแย่เพียงไร ผมก็ยังสามารถยิ้มได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นเดิม ไม่มีใครจับความรู้สึกผมได้สักคน แม้แต่เพื่อนสนิทในกลุ่มก็ตาม บอกแล้วไงว่าผมน่ะเสแสร้งแกล้งยิ้มเก่งจะตาย แค่ยิ้ม ทุกคนก็จะคิดว่าผมไม่เป็นไร แค่ยิ้ม…ทุกอย่างก็จะผ่านไปเหมือนที่เคยเป็นมาตลอด



ผมรู้ว่าบางครั้งการได้เล่าปัญหาให้คนอื่นฟัง ต่อให้คนอื่นจะช่วยอะไรเราไม่ได้ แต่อย่างน้อยเราก็จะสบายใจขึ้น …แต่ผมไม่ชอบเล่าความทุกข์หรือปัญหาของตัวเองให้ใครฟังหรอก ยิ่งกับคนที่ผมรักด้วยแล้วก็ยิ่งไม่อยาก…ไม่อยากให้เขาต้องมารับรู้ปัญหาของผม ไม่อยากให้เขาต้องมาทุกข์ใจที่ได้แต่ฟัง แต่ช่วยเหลืออะไรผมไม่ได้เลย



ผมเคยมีแฟน คนแรก และคนเดียวตอนมอห้า ผมรู้ว่าความรักเป็นยังไง แล้วก็รู้ด้วยว่าการตัดใจจากความรักมันเจ็บปวดแค่ไหน ผมเป็นฝ่ายบอกเลิกเธอเองในวันที่เราเรียนจบมอปลาย ในวันที่เรายังรักกันอยู่…บอกเลิก…ทั้งที่เราไม่เคยทะเลาะกันแม้แต่ครั้งเดียว



มันเจ็บปวดมาก…แต่ไม่ช้าเวลาก็เยียวยาทุกสิ่ง



พอมองย้อนกลับไป ผมไม่เสียใจเลยที่เลือกปล่อยมือเธอในวันนั้น ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ผมก็จะยังทำเช่นนั้นอีก ไม่ว่าจะย้อนกลับไปได้สักกี่สิบกี่ร้อยครั้งก็ตาม



ครั้งนี้ก็เช่นกัน…ถึงมันจะเจ็บปวด แต่ผมเชื่อว่าเวลาจะเยียวยาทุกสิ่ง



แล้วในอนาคต เมื่อพวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดความอ่านสุขุมรอบคอบกว่าในตอนนี้ ผมเชื่อว่าภูผากับฟ้าครามจะต้องเข้าใจในสิ่งที่ผมทำ



ผมเชื่อว่าตัวเองทำถูกต้องแล้ว







Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr



“ฮัลโหล ว่าไงไก่” ผมรับโทรศัพท์ขณะอ่านชีทเรียนทบทวนไปด้วย การสอบมิดเทอมใกล้เข้ามาทุกที สัปดาห์หน้าก็จะสอบแล้ว



‘พี่ที ไอ้แฝดยังไม่กลับจากฮ่องกงอีกหรอ มันคิดอะไรอยู่วะถึงไปเที่ยวฮ่องกงกันตอนช่วงใกล้สอบ’



“ฮะ! อะไรนะ ฮ่องกงอะไร พี่ไม่เห็นรู้เรื่อง” ผมที่กำลังอึนๆ มึนๆ กับเนื้อหาในชีทถึงกับตาสว่างทันที เฮ้ย! พูดอะไรของมันอ่ะ ฮ่องกงอะไรนะ? ไอ้แฝดไปฮ่องกงหรอ ทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่องเลยล่ะ!?



‘อ้าว ก็อาทิตย์ที่แล้วพวกมันบอกผมว่าจะไปเที่ยวฮ่องกงกับครอบครัวสี่วัน นี่พี่ไม่รู้หรอครับ พี่อยู่ห้องเดียวกันกับพวกมันไม่ใช่หรอ ผมก็นึกว่าพี่รู้แล้วซะอีก?’



“พี่ย้ายกลับมาอยู่บ้านได้อาทิตย์กว่าแล้ว…”



‘เอ้า จริงดิ…เออ ผมว่าจะโทรมาถามว่ามันสองคนเป็นอะไรรึเปล่า ไม่มาเรียนอาทิตย์นึงแล้วเนี่ย ไปหาที่คอนโดก็ไม่อยู่ เบอร์บ้านพวกมันผมก็ไม่รู้ พี่ถามๆ ให้หน่อยนะ พวกมันปิดโทรศัพท์ไม่ยอมรับสายผมทั้งคู่เลย กวนตีนจริงๆ ’



ลางสังหรณ์ในใจผมเริ่มร้องเตือน พอวางสายจากไอ้ไก่ปุ๊บ ผมก็รีบโทรหาอาแอ๋มทันที



‘หืม? ฮ่องกงหรอ? เปล่านี่จ๊ะ ช่วงนี้ครอบครัวอาไม่ได้มีแพลนจะไปไหนเลย ไปเอามาจากไหนว่าพวกอาไปฮ่องกงกันมาเนี่ยฮึ’



มือของผมที่ถือโทรศัพท์อยู่เย็นเฉียบ …



อะไรอีก…มันสองคนจะทำอะไรอีกแล้ว!?



ลางสังหรณ์บอกผมว่าคราวนี้มันต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แน่ ใจผมร้อนรนราวกับถูกควักออกมาย่างทั้งเป็น พยายามโทรหาสองคนนั้นอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็พบว่าปิดเครื่องกันไปทั้งคู่



อาแอ๋มบอกว่า สองคนนั้นบอกว่าช่วงนี้จะไม่คุยโทรศัพท์เพราะจะตั้งใจอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่ที่คอนโด



ไอ้ไก่บอกว่า สองคนนั้นบอกว่าจะไปเที่ยวฮ่องกงกับครอบครัวสี่วัน แต่ป่านนี้ก็ยังไม่กลับมาเรียนจนกระทั่งผ่านมาอาทิตย์นึงแล้ว ไปหาที่คอนโดก็ไม่เจอ



… สองคนนี้บอกไม่ตรงกัน…



ผมคว้ามือถือกับกระเป๋าเงินพุ่งไปโบกรถแท็กซี่หน้าบ้านเพื่อไปยังคอนโดกรีนเพลสทันที เมื่อไปถึงห้องผมก็ใช้กุญแจสำรองไขเข้าไป ไม่มีวี่แววของทั้งภูผาและฟ้าคราม ผมไล่เปิดหาทีละห้องไม่เว้นแม้แต่ห้องน้ำแต่ก็ไม่เจอใครเลย



สภาพในห้องสองคนนั้นดูเละเทะกว่าเมื่อตอนที่ผมยังอยู่มาก ปกติสองคนนี้รักสะอาดกันจะตายไม่น่าจะทนอยู่ในห้องที่มีสภาพเละเทะแบบนี้ได้เลย



ถังขยะมุมห้องเหมือนถูกเตะล้มระเนระนาด เศษกระดาษ ถุงขนมกระจัดกระจายอยู่บนพื้น แสงสีเงินเล็กๆ สะท้อนเข้าตาผม



เกียร์อันหนึ่งตกอยู่บนพื้น



ผมเก็บขึ้นมา แล้วก็พบว่ามันไม่ใช่ของภูผากับฟ้าคราม ดูจากเลขรุ่นแล้วเก่ามาก คนละสาขาอีกต่างหาก เกียร์อันนี้มาอยู่ในห้องเจ้าแฝดได้ยังไง



ผมได้แต่ปัดความสงสัยไปไว้ข้างหลังก่อนจะวางเกียร์อันนั้นลงบนโต๊ะอ่านหนังสือ เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าสองคนนั้น แล้วก็ต้องกำหมัดแน่นเมื่อเห็นว่าเสื้อผ้ารวมถึงกางเกงหลายตัวหายไปจากตู้



ผมทรุดตัวลงกับพื้น รู้สึกเหมือนอวัยวะภายในถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น …เอาอีกแล้ว ก่อเรื่องอีกแล้ว ไม่เหนื่อยกันบ้างหรือไง เมื่อไหร่จะหยุดทำเรื่องบ้าๆ ให้คนอื่นเค้าต้องมาคอยเป็นห่วงสักที!!



ผมพลันนึกถึงข้อความที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน บางทีสองคนนั้นอาจจะบอกก็ได้ว่าไปไหน



‘ถ้าพี่ทีไม่กลับมา ภูกับครามจะพังชีวิตตัวเองให้ดู แล้วก็ขอให้รู้ด้วยว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดต่อจากนี้ มันเป็นความผิดของพี่คนเดียว’



เอาอนาคตตัวเองมาเล่นตลก เพียงเพราะต้องการบังคับให้ผมกลับไปหาเนี่ยนะ



ทำไมภูผากับฟ้าครามต้องทำถึงขนาดนี้ คนอย่างผมมันมีอะไรดี ทำไมถึงต้องฝังใจ ทำไมถึงไม่เลิกยึดติด ปล่อยมือผมไปสักทีไม่ได้หรือไง ปล่อยผมไป จะยื้อไว้ทำไมก็ผมบอกไปแล้วนี่ว่าเรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้ ทำไมไม่ฟังกันบ้าง!!



ร้ายกาจ…สองคนนั้นฉลาดมากพอที่จะรู้ว่าจุดอ่อนของผมคืออะไรจึงใช้สิ่งนั้นมาข่มขู่ผม



ถ้าขู่ว่าจะทำร้ายที่ตัวผมโดยตรง ผมไม่แคร์หรอก



แต่ขู่ว่าจะทำร้ายตัวเองเพียงเพราะผมเป็นต้นเหตุ…นั่นทำให้ผมเจ็บปวดยิ่งกว่าโดนทำร้ายเองเป็นสิบเท่า



มันเก่ง…ที่ทำให้ผมเจ็บปวดได้จริงๆ จากการทำร้ายตัวเองของพวกมัน



ดีใจมั้ยล่ะ พวกมึงทำสำเร็จแล้ว!



ผมกุมศีรษะ ความรู้สึกผิด ความโกรธ ความกลัว ความวิตกกังวลถาโถมเข้าใส่ไม่หยุด



หายไปตั้งอาทิตย์นึงแล้ว ภูผากับฟ้าครามไปอยู่ไหน ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง ไม่ใช่ว่าไปก่อเรื่องที่อื่นจนโดนคนกระทืบตายไปแล้วหรอกนะ



ขาดเรียนไปตั้งหนึ่งอาทิตย์ แถมยังเป็นช่วงใกล้สอบที่อาจารย์มักจะสอนกันตัวโก่งเพราะสอนไม่ทัน อาจารย์บางคนก็ติวข้อสอบให้ในช่วงนี้ แล้วงานต่างๆ ที่ต้องส่งก่อนสอบล่ะ ส่งกันไปหรือยัง



ต่อให้กลับมาทันสอบ แล้วจะเอาความรู้ที่ไหนไปสอบ เล่นขาดเรียนกันแบบนี้ ได้ติวได้อ่านกันบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ลางสังหรณ์ผมมันบอกว่าสองคนนั้นไม่อ่านกันเองหรอก ก็คงจะรอให้ผมช่วยติวเหมือนเดิมนั่นแหละ จะทำยังไงดี ถ้าสองคนนั้นติดเอฟก็ต้องลงเรียนซ้ำตอนปิดเทอม หรือที่แย่กว่านั้นถ้าได้เกรดเฉลี่ยรวมเทอมแรกไม่ถึง2.00ก็จะถูกตักเตือน แล้วถ้าเทอมต่อๆ ไปยังได้เกรดไม่เกิน2.00อีกสองรอบก็จะถูกรีไทร์



ถ้าอาแอ๋มรู้ว่าสองคนนั้นหายตัวไปจะเสียใจขนาดไหน อาสินธุ์จะรู้สึกอย่างไร แล้วผมจะมองหน้าทุกคนได้อย่างไรในเมื่อผมเป็นสาเหตุที่ทำให้สองคนนั้นหายตัวไป เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นภายหลังการจากมาของผม



ทุกอย่างเป็นความผิดของผม



ผมเป็นสาเหตุที่ทำให้เรื่องมันเป็นแบบนี้



ถ้าผมไม่บอกปฏิเสธน้องไปในช่วงนี้ มันก็จะไม่เกิดเรื่อง ถ้าผมไตร่ตรองให้ดีกว่านี้ก่อนจะตัดสินใจพูดอะไรออกไป ถ้าผมไม่เลือกเดินออกมาแล้วทิ้งสองคนนั้นเอาไว้ ถ้าผมไม่หนี ถ้าผมอ่านข้อความให้เร็วกว่านี้ …ถ้าผมใส่ใจมากกว่านี้ ถ้าผมรอบคอบมากกว่านี้ …มันคงไม่เกิดเรื่องขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในช่วงนี้ที่กำลังจะสอบ ช่วงที่เป็นเหมือนก้าวแรกในอนาคตของคนทั้งคู่



แล้วถ้าน้องกลับมาไม่ทันสอบล่ะ หรือถ้าน้องไม่กลับมาอีกเลยล่ะ



ผมจะต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่



อยู่ไหน หายไปไหน กลับมาได้แล้วภูผาฟ้าคราม



…พี่แพ้แล้ว



ผมเสียใจ ทั้งรักทั้งเกลียดพวกมันเลย ทำไมต้องบังคับให้ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินกลับไปหาด้วย



ทำไมต้องใช้ประโยชน์จากนิสัยแคร์คนอื่นมากเกินไปของผมด้วย



ผมเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้จริงๆ



เพราะผมแคร์คนอื่นมากเกินไป ทำให้หลายครั้งต้องทำในสิ่งที่ฝืนใจตัวเอง



แต่ผมก็หยุดตัวเองไม่ได้ เพราะคนที่ผมแคร์ก็คือคนที่ผมรัก ผมยอมฝืนใจตัวเองเพื่อคนที่รักได้เสมอ



ผมอยากจะร้องไห้



อยากจะตายไปให้รู้แล้วรู้รอด ผมรู้สึกเหมือนชีวิตตัวเองเป็นหุ่นกระบอก เชิดตัวเองไปตามความต้องการ

ความพึงพอใจของคนรอบข้าง



ไม่มีใครบังคับให้ผมทำแบบนั้น เป็นผมเองที่เลือกจะทำเพียงเพื่อให้คนที่ผมรักมีความสุข



ผมถึงไม่อยากยอมรับไง ว่าตัวเองชอบภูผากับฟ้าครามเข้าไปแล้ว



ผมถึงต้องรีบถอนตัวไง ก่อนที่มันจะถลำเกินไปกว่าคำว่า ‘ชอบ’



เพราะถ้ามันกลายเป็นคำว่า ‘รัก’ เมื่อไหร่ล่ะก็



ผมจะไม่สามารถปฏิเสธภูผากับฟ้าครามได้อีกเลย

หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 31 ก็เอาสิ [15/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 18-03-2018 13:09:52
                                                          ตอนที่ 33  ออกเดินทาง



สี่วันแล้วที่พีทีขนของย้ายออกไปจากห้องพวกเรา ถึงแม้ว่าจะโทรไปกี่ร้อยสายก็ไร้การตอบรับ ขนาดส่งข้อความไปขู่ก็แล้วยังไม่ยอมกลับมา



สี่วันแล้วที่พวกเราไม่ยอมไปเรียน เอาแต่ขลุกอยู่ในห้อง เฝ้ารออย่างอดทนว่าพี่ทีจะต้องกลับมาแน่ๆ ต้องกลับมาต่อว่าพวกเรา ลากพวกเราไปเรียน แล้วเราก็จะจับพี่ทีเอาไว้ไม่ให้หลุดมือ กอดแน่นๆ อ้อนแรงๆ ทำยังไงก็ได้ให้พี่เขายอมกลับมาอยู่ด้วยกันต่อ พี่ทีเป็นคนขี้ใจอ่อน ถ้าได้อ่านข้อความแบบนั้นแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ต้องกลับมา ไม่ว่าจะโกรธ จะเกลียด จะอยู่ในอารมณ์ไหนก็ต้องกลับมา



พี่ทีรักเรา



เรารักพี่ที



พวกเรารักกัน



แล้วทำไมพี่ทีถึงทิ้งเราไป เราทำอะไรผิด? เราเป็นเด็กดี เราเชื่อฟัง เราทำตามที่พี่เค้าต้องการทุกอย่าง อยากได้อะไรก็หามาให้ แล้วทำไมถึงไม่ยอมอยู่ด้วยกันต่อ ทำไมถึงต้องหนีไปด้วย?



ไม่คบก็ไม่คบดิ ยังมีเวลาอีกตั้งนานที่จะศึกษาดูใจกัน เราไม่ได้บังคับให้ตอบตกลงทันทีสักหน่อย ทำไมต้องพูดจาตัดรอนกันแบบนั้น แค่ตอบปฏิเสธยังไม่เท่าไหร่ แต่นี่เล่นหนีไปเลย พี่ทีก็เป็นแบบนี้ตลอด พอเจอปัญหาก็ชอบหนี ไม่เคยคิดถึงจิตใจคนที่เค้าอยู่ข้างหลังบ้างเลย



คนใจร้าย



พี่ทีใจดำ



คนกลับกลอกเจ้าเล่ห์เพทุบาย



ร้ายกาจ







หรือพี่ทีจะทิ้งเราแล้วจริงๆ



ปกติน่ะ ถ้าอ่านข้อความแบบนั้นแล้ว พี่ทีจะต้องทนอยู่เฉยไม่ได้แน่



แต่นี่…ก็ผ่านมา4วันแล้ว



หรือพวกเราจะมองพี่ผิดไป?



หรืออันที่จริง พวกเราไม่เคยรู้จักตัวจริงของพี่เลย?



ทำไมไม่กลับมา อย่างน้อยโทรมาด่าก็ยังดี



หรือคิดจะตัดขาดพวกเราออกไปจากชีวิตจริงๆ พวกเราจะเป็นจะตายยังไงก็เชิญอย่างงั้นสิ?



“คราม ไปกันเถอะ” ผมลุกขึ้น เก็บเสื้อผ้าบางส่วนใส่ลงในกระเป๋าเป้



“ไปไหน? ไปตามพี่ทีหรอ? ..พี่เค้าไม่เอาพวกเราแล้วยังไม่รู้อีกหรอ”



“เปล่า ไม่ได้ไปตาม”



“แล้วไปไหน?”



“ซักที่…ไกลๆ ”



“จะสอบแล้วนะภู”



“เบื่อ อ่านไปก็ไม่เข้าหัว”



“…นั่นดิ ไม่ได้อยากเรียนตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่เนอะ”



พวกผมก็แค่เรียนตามที่พ่อแม่คิดให้ ที่เลือกเข้าที่นี่ก็แค่อยากอยู่กับพี่ที เราไม่มีความฝัน เราไม่อยากเป็นอะไรทั้งนั้น แค่อยากอยู่สบายๆ ไม่ทำงานก็มีตังค์ใช้ไปตลอดชีวิต



น่าเบื่อจัง



ชีวิตแม่งโคตรน่าเบื่อเลย



ก็ไม่รู้จะอยู่ตรงนี้ต่อไปเพื่ออะไร เรียนไปแม่งก็ไม่เห็นจะสนุกเลย จบไปก็ต้องไปทำงานน่าเบื่อๆ อีก คนสมัยก่อนไม่ต้องเรียนสูงยังรวยได้เลย ทำไมพวกเราจะต้องเรียนอะไรยากๆ เพื่อกระดาษโง่ๆ แผ่นเดียวด้วยนะ



พอไม่มีพี่ทีอยู่ด้วยแล้ว เราก็รู้สึกเหมือนไม่มีอะไรเลย



ไม่เหลืออะไรเลย



ทุกอย่างรอบตัวไม่มีความหมายเลย



น่าเบื่อ น่าเบื่อ น่าเบื่อ ไปหมด



“ไปกันเถอะ”



ไปไหนก็ได้ที่มันไกลๆ หาเรื่องแก้เบื่อทำ แล้วถ้ามันดีก็ไม่อยากกลับมาอีกเลย



เบื่อคนใจดำ เบื่อพี่ชาย เบื่อพ่อ เบื่อแม่จู้จี้ เบื่อมหา’ ลัย เบื่อไอ้ขวด…ไอ้เพื่อนขี้ฟ้อง



“ถ้ามึงไม่อยากไป ก็ไม่ต้องตามมาก็ได้”



“ไม่…กูไม่ทิ้งมึง เราจะไปด้วยกัน”



แล้วเราสองคนก็หันหลังให้กับประตูห้อง



…ที่ครั้งหนึ่ง เราเคยมีความทรงจำมากมาย…ร่วมกับใครคนหนึ่ง…ที่ทิ้งพวกเราไปอย่างไม่ไยดี







เรานั่งรถไฟฟรีเป็นครั้งแรกในชีวิต รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย แต่นั่งไปนานๆ มันก็เริ่มน่าเบื่อ เบาะเก่าๆ มีรอยขาดจนเห็นไส้ฟองน้ำสีเหลืองปริออกมา ห่อขนมถุงพับเป็นชิ้นเล็กๆ เสียบตามรูไม้กระดาน เหล็กที่ขอบหน้าต่างขึ้นสนิม กระจกเต็มไปด้วยฝุ่น



…แต่ช่างมันเหอะ



พวกเรามองออกไปนอกหน้าต่างบานกว้าง วิวทิวทัศน์ด้านข้างเหมือนวิ่งเข้าหาเรา แต่อันที่จริงเรากำลังวิ่งเข้าหามันอยู่ต่างหาก



อ่า…อยากไปทะเลจัง



แล้วก็ไปเที่ยวน้ำตก



หลังจากนั้นก็ไปดูดาวบนภูเขา



อ่า…มันต้องสนุกแน่ๆ



แล้วหลังจากนั้นล่ะ…หลังจากนั้นอีกล่ะ…



ครืนนนนนนนนน



…ฝนตก สมแล้วที่เขาบอกว่าภาคใต้เป็นแดนฝนแปดแดดสี่



“ฟ้า…อย่าร้องไห้”



สายฝนโหมกระหน่ำอย่างหนักจนต้องดึงบานหน้าต่างลงมา ฝนตกแรงจนบดบังภูเขาที่เราเห็นเมื่อครู่หายไปในม่านหมอก



ฝนตกจนภูเขาหายไปทั้งลูก …เกิดมาเพิ่งเคยเห็น อย่างกับมายากลเลย



หนาว



ผมหนาวจังเลย



ทั้งที่ตัวเองเป็นคนชอบอากาศเย็นมากแท้ๆ



ทำไมแค่ฝนตกถึงหนาวขนาดนี้นะ







พี่ที



จะตามมาไหมนะ…





ลงจากรถไฟด้วยอาการเมื่อยขบ มองไปรอบตัว เห็นแต่บ้านเรือนไม่กี่ชั้น พื้นที่ส่วนใหญ่ยังเต็มไปด้วยต้นไม้ เงยหน้ามองไปไกลสักหน่อยก็เห็นภูเขา ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมาอยู่ต่างถิ่นแล้วจริงๆ



ถามทางคนแถวนั้น ว่าจะไปทะเลที่ใกล้ที่สุดต้องไปยังไง เจอภาษาถิ่นใต้เข้าไปทำเอาต้องยืนคุยกันอยู่นานกว่าจะรู้เรื่อง



ที่นี่ไม่มีรถไฟฟ้า มอไซค์รับจ้างก็น้อย แท็กซี่นี่แทบไม่เห็นเลย มีแต่รถสองแถวคันเล็กๆ ที่หน้าตาเหมือนตุ๊กๆ กับรถตู้



บางที ถัดจากดูดาว พวกเราอาจจะข้ามฝั่งไปประเทศเพื่อนบ้านก็ได้ ก็ใกล้กันซะขนาดนี้



ตอนยืนรอรถฝนก็ตกอีก แล้วเราก็เปียก แต่ก็แค่นิดหน่อย



จากสองแถว ต่อรถตู้ แล้วก็ต่อสองแถวอีก



ทั้งที่ควรจะรู้สึกรำคาญ แต่ก็แปลกที่ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด



ทะเลตอนฝนตกไม่น่าจะสวย



แต่มาไกลเกินกว่าที่จะย้อนกลับแล้ว ก็ไปต่อดีกว่า



ฝนอาจจะหยุดตกก็ได้



แล้วเราก็มาถึงทะเลอย่างที่หวัง อ่า…มันก็สวยดีนะ เกิดมาไม่เคยไปทะเลตอนฝนตกเลย



เราสองคนนั่งกินอาหารทะเลที่ร้านริมชายหาด อร่อยดี กุ้งสดมาก ได้ซดน้ำแกงร้อนๆ หลังจากตากฝนมามันเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ไม่มีผิด



“ครามดูนั่นดิ อะไรอ่ะ” ผมชี้ไปที่โคนต้นมะพร้าวที่อยู่ไกลๆ เหมือนเห็นอะไรดำๆ อยู่ใต้ต้นนั้น มันขยับได้ด้วย



“…ม้าป่ะ..?” ไอ้ครามหรี่ตามองทะลุม่านฝน



“ม้าจริงๆ ด้วย” มันขยับแล้ว แต่ก็แค่ขยับเบาๆ แล้วก็ยืนนิ่งต่อไปท่ามกลางสายฝน มองดูแล้วน่าสงสาร เจ้าของทำไมไม่พามันไปหลบฝน ผูกไว้แบบนี้มันก็ต้องยืนตากฝนไปไหนไม่ได้น่ะสิ



พอฝนหยุด เกาะหลายๆ เกาะก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาให้เห็น



เราสองคนเดินไปตามชายหาด เตะน้ำเล่นใส่กันอย่างสนุกสนาน เจออะไรแปลกๆ ที่โดนซัดมาติดชายฝั่งก็วิ่งเข้าไปสำรวจ เราเจอปูด้วย พยายามจะจับมันใส่ถุงพลาสติกที่เก็บได้แถวนั้น แต่มันวิ่งเร็วชะมัด …เออ มันมีตั้งแปดขา เราสองคนมีรวมกันแค่สี่ขา จะไปวิ่งตามมันทันได้ไง …ก็ได้แต่แก้ตัวให้กับความพ่ายแพ้ของตัวเองอย่างขำๆ



“น้องๆ เป็นนักท่องเที่ยวเหรอครับ” ผู้ชายร่างสูงโปร่งไว้หนวดเคราหรอมแหรมสวมแว่นสีชาไว้ผมยาวดูเซอร์เดินเข้ามาทักพวกเรา



อะไรน่ะ ไม่น่าไว้ใจเลย



“อ้าวน้อง อย่าเดินหนีสิ พี่ไม่ใช่คนน่าสงสัยนะไอ้น้อง…หยุดคุยกันก่อน”



แล้วคนน่าสงสัยที่ไหนเขายอมรับว่าตัวเองน่าสงสัยกันวะ ยิ่งพูดออกตัวก่อนแบบนี้ยิ่งน่าสงสัยเข้าไปใหญ่



“หลีกไป” ผมขมวดคิ้ว เมื่อผู้ชายคนนั้นเดินมาขวางหน้าพวกเราที่เดินหนี



“พี่มาจากกรุงเทพฯ น้องเป็นคนที่นี่หรอ พี่อยากคุยกับพวกน้องว่ะ พี่มองพวกเรามาสักพักแล้ว..”



“ใครน้องมึง!”



“อุ้ย! ดุแฮะ ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ” ไอ้เวรนี่มันเป็นใครวะ ทำไมกวนตีนแบบนี้เนี่ย!? มิจฉาชีพแนวใหม่เหรอ? หลอกขายของหรอ? หรือพวกค้าแรงงานมนุษย์ขึ้นเรือประมง!?



เรามองไปรอบๆ ตัวอย่างหวาดระแวง กลัวจะมีพรรคพวกของมันซุ่มอยู่ ความกลัวเริ่มเข้ามาเกาะกินจิตใจที่แทบไม่เคยกลัวอะไรเลยของพวกเรา บทสัมภาษณ์ชีวิตทาสเรือประมงที่พี่ทีเคยเปิดให้ดูผุดขึ้นมาในสมองเป็นฉากๆ พวกค้ามนุษย์จะทำเป็นเข้ามาถามว่าเรามาทำอะไร ถ้าบอกว่ามาหางานทำก็จะชักชวนไปทำงานด้วย แล้วก็หลอกขึ้นเรือ จากนั้นชีวิตก็จะถูกใช้งานราวกับทาส ถูกทำร้ายร่างกาย ใช้แรงงานหนัก ให้กินอาหารชวนหยี แต่ละมื้อไม่เคยอิ่มท้อง ไม่ได้อาบน้ำจนเป็นโรคผิวหนัง จุดจบมีหลายแบบ ตั้งแต่ว่ายน้ำหนีแล้วตายในทะเล ไม่ก็ถูกจับกลับมาได้แล้วโดนลงโทษอย่างหนัก น้อยมากที่จะหนีกลับมาได้



เราจำได้ว่าพี่ทีเปิดให้ดูเพราะต้องการให้พวกเราระวังตัว ไม่ใช่แค่ผู้หญิงแล้วที่ถูกจับตัวไปขาย ผู้ชายก็ไม่เว้น…วันนั้นเราดูกันขำๆ ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่มาเกิดขึ้นเองกับตั



---------------------------------------------------------------

จริงๆ ตอนตั้งชื่อให้สองแฝด เคยคิดจะให้ชื่อ ฟ้ามืด กับ ฟ้าหม่น ด้วยเเหละค่ะ

ดูเพราะเเบบเศร้าๆ ดี เเต่เหมือนจะไม่เหมาะกับนิสัยเลยต้องเปลี่ยนเป็น ภูผา ฟ้าคราม 555



มากรีดร้องด้วยกันได้นะคะ! ติดเเท็ก#เกียร์คู่ (@candleguard)

หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 33 ออกเดินทาง [18/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 18-03-2018 13:51:27
ให้พ่อแม่มันรู้ทีเถอะ จะให้ธีตามปวดหัวกับทุกปัญหาที่แฝดก่อทุกครั้งหรือไง
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 33 ออกเดินทาง [18/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyjimmy ที่ 18-03-2018 15:10:31
ความรัก มัก มี อุปสรรค... พี่มี ภูผา ฟ้าคราม
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 33 ออกเดินทาง [18/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-03-2018 16:08:06
ที ไปปรึกษาผู้ใหญ่เถอะ ทั้งฝ่ายเรากับฝ่ายน้องน้อง ให้รู้เรื่องกันไปเลย ทีรับคนเดียวไม่ไหวแน่ๆ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 33 ออกเดินทาง [18/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 18-03-2018 17:15:47

                                                               ตอนที่ 34 ระยะฟักตัว



ชายหนุ่มแว่นสีชามองตามหลังเด็กหนุ่มสองคนที่เดินหนีไปยิ้มๆ

“น่าเสียดายนะครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างกาย

“เสียดายเด็กสองคนนั้นหรือ?” ชายหนุ่มถอดแว่นออกเหน็บที่กระเป๋าเสื้อ

“เสียดายแทนสองคนนั้นที่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือไปต่างหาก”

“จะไปว่าเด็กสองคนนั้นก็ไม่ได้ บางทีผมอาจจะทำตัวน่าสงสัยเกินไปหน่อย…”

“ผมว่าคุณควรพิจารณาตัวเองนะครับ …ขนาดคนเพิ่งเคยเจอกันเค้ายังรีบเดินหนีเลย”

“ฮ่าๆ ๆ นั่นสินะ …ไปกันเถอะ ใกล้ได้เวลานัดแล้ว”

“รู้ด้วยหรอครับ แล้วก็ยังออกมาเถลไถลอีกนะครับ” อีกฝ่ายทำสีหน้าเอือมระอาเต็มทนก่อนจะดันหลังให้เดินไปขึ้นรถ

“…น่าเสียดายจริงๆ นั่นแหละ” ชายหนุ่มมองข้ามไหล่กลับไปด้านหลัง ก่อนจะถอนหายใจแล้วหันกลับมา

แต่ก็ช่างมันเถอะ นิสัยเกเรแบบนั้น ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนักหรอก..











หลังจากเดินหนีไอ้คนแปลกหน้านั่นมาได้แล้ว พวกเราก็นั่งพักกันที่เก้าอี้ริมหาดแถวๆ นั้น ตอนนี้บรรยากาศรอบตัวเริ่มมืดสนิท เสียงหรีดหริ่งเรไรเริ่มดังให้ได้ยิน

“นอนไหนดีวะ” ตั้งแต่เกิดมา นี่เป็นครั้งแรกที่เราต้องมากังวลเรื่องที่หลับที่นอน

“โรงแรมแถวนี้มั้ย” ว่าพลางพยักพเยิดไปทางโรงแรมที่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกล

เราเดินเข้าไปถามหาห้องพัก มีน่ะมันมี แต่ราคาแพงมากอ่ะ คืนละตั้งสามพัน ให้ตายเถอะ ถึงพวกเราจะมาจากครอบครัวที่มีอันจะกิน แต่เห็นราคาแล้วมันอดปวดใจไม่ได้ ค่าเช่าคอนโดพวกเราเดือนละหมื่นอยู่กันสามคน นี่นอนคืนเดียวสามพัน แค่นอนไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้วป่าววะ เราเดินถามราคาห้องพักโรงแรมอื่นต่อ แต่ราคาก็พอๆ กันไปหมด เฮ้อ

เราเดินเคียงกันไปบนชายหาดที่น้ำทะเลในยามนี้สีดำราวกับหมึก มองไม่เห็นอะไรเลย รอบด้านเงียบไปหมด เหมือนหาดทั้งหาดเป็นของเราแค่สองคน ลมทะเลพัดโกรกจนรู้สึกเหนียวตัว อยากอาบน้ำแล้วทิ้งตัวลงนอนบนฟูกนุ่มๆจังเลย

เรากลับไปยืนรอรถริมถนนตรงจุดที่รถเคยจอดส่ง ตั้งใจว่าจะนั่งรถกลับเข้าตัวเมือง อย่างน้อยก็น่าจะมีที่พักราคาถูกกว่านี้พอที่จะอยู่ได้หลายๆ วัน แล้วก็ว่าจะหาอะไรกินสักหน่อย แถวนี้ทำไมร้านค้าถึงปิดเร็วนักนะ เงียบไปหมดจนดูวังเวง

แปะ! แปะ!

อย่าตกใจ มันไม่ใช่เสียงฝนตก แต่เป็นเสียงพวกเรายืนตบยุงกันต่างหาก

เห้อ บาปกรรมจริงๆ



ผมนิ่งไป นี่ผมคิดอะไรน่ะ …

‘บาปกรรม’

‘ฮะ? อะไรนะพี่ที’

‘มดมันอยู่ของมันดีๆ ก็เอามือไปบี้มัน ใครๆ ก็รักชีวิตนะคราม’

‘ก็เดี๋ยวมันมากัดคราม’

‘ปัดออกดิ’

แปะ!

‘ฮัดช่า! เสร็จกู’ ผมตียุงที่บินมาเกาะขาพี่ทีสำเร็จ โอ้โห เละเป็นซากติดขาพี่ทีเลยอ่ะ

‘ไอ้คราม!’

‘ฮ่าๆ ๆ โทดพี่ มือมันไปเองอ่ะ ทำไงได้’

ผมเอามือปัดๆ ไล่ยุงที่มาตอม แต่ให้ตายเถอะ ยุงที่นี่ทั้งตัวใหญ่ ทั้งกัดเจ็บ บางทีมันก็กัดมาแบบไม่ทันให้ตั้งตัวจนผมเผลอตีมันไส้แตกตายไปก็หลายตัว ช่างมันแล้วเว้ย โอ๊ย! คัน ยุงบ้าเอ๊ย! อุตส่าห์ปรานี เนรคุณจริงๆ เลย นี่แน่ะ! มันต้องโดนตีให้ไส้ทะลัก

แปะ!! แปะ!! แปะ!! แปะ!!

“เห้ย ไอ้คราม ใจเย็นเว้ย”

เพิ่งจะสองทุ่มเอง ไม่มีรถแล้วหรอวะ ไม่จริงน่า……









(บทภู)





ซ่าาาาา ซ่าาาาา

พวกเราตื่นขึ้นมาบนเก้าอี้บริเวณจุดรับส่งผู้โดยสารของรถประจำทาง ไม่รู้พวกเราหลับกันไปตอนไหน แต่รู้ตัวอีกทีก็ตื่นขึ้นมาท่ามกลางสายตาของคนรอบๆ ตัวเสียแล้ว

เหยดดด อายชิบบบ ปลุกไอ้ครามรัวๆ !

หลังจากตื่นกันแล้วพวกเราก็ได้นั่งรถสองแถวเข้าตัวเมืองสมใจสักที

ไอ้ครามก้มหน้าเสิร์ชหาที่พักราคาถูก ก่อนจะเจอที่อพาร์ตเม้นคืนละ 500 บาท ตั้งอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งไม่มากนัก หลังจากที่โทรไปสอบถามห้องว่างแล้ว เราก็ได้ที่พักสมใจ

อพาร์ตเม้นแห่งนี้ ถึงจะอยู่ในละแวกมหา’ ลัย แต่ก็อยู่ลึกเข้าไปในซอยมากๆ ผมกับไอ้ครามเดินหาอพาร์ตเม้นนี้กันจนขาแทบลาก พอไปถึงจ่ายค่าประกันความเสียหาย 300 บาทแล้ว ผมกับไอ้ครามก็ได้คีย์การ์ดห้องหมายเลข 712 มา

เราสองคนเข้าไปยืนในลิฟต์เงียบๆ ต่างก็จมอยู่กับความคิดของตัวเอง

พอถึงห้อง สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ห้องขนาดปานกลางไม่ถึงกับเล็กไม่ถึงกับใหญ่ ประกอบด้วยเตียงเดี่ยวสองหลังตั้งคู่กันโดยมีโคมไฟกั้นกลาง มีโทรทัศน์จอแบนเครื่องใหญ่อยู่ที่เคาน์เตอร์ปลายเตียง มีตู้เย็นที่บรรจุน้ำเปล่าสองขวดแช่ไว้เย็นเจี๊ยบ ห้องน้ำสะอาดสะอ้าน มีผ้าเช็ดตัวเตรียมไว้ให้สี่ผืน เมื่อเปิดม่านออกก็จะเห็นบรรดาบ้านเรือนมากมายที่ถูกภูเขาเบื้องหลังโอบล้อมไว้

โดยไม่ต้องพูดอะไร ผมกับไอ้ครามทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างเหน็ดเหนื่อย และหลับไปอีกครั้งเพราะยังคงอ่อนเพลียจากการเดินทางเมื่อวานและการนอนบนเก้าอี้สาธารณะที่ไม่สบายตัวเมื่อคืน



‘ดูท่าท่านจะชอบนั่งริมน้ำเหลือเกินนะ ก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่ามันมีจระเข้’ เสียงทุ้มดังขึ้น เบื้องหน้าของเจ้าของเสียงคือแผ่นหลังของชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อสีขาวหลวมๆ ชายคนนั้นนั่งขัดสมาธิจุ่มเท้าข้างหนึ่งลงในน้ำ ท่าทางสบายอกสบายใจนัก

ชายคนนั้นหันกลับมา เขาไม่อาจมองเห็นใบหน้าของชายคนนั้นได้ชัดเจน มีเพียงรอยยิ้มมุมปากนั้นที่ทำให้รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด

‘ฉันกินข้าวนะมิใช่กินหญ้า เรื่องจระเข้น่ะ เก็บไว้หลอกเด็กเถิดพ่อ’ ชายเสื้อขาวหัวเราะในลำคอ ผู้มาใหม่ทรุดตัวลงนั่งเคียงข้าง ไม่นานบุรุษอีกคนก็ปรากฏกายขึ้นมาร่วมวงสนทนา

เหมือนจู่ๆ ก็ถูกดึงตัวให้ห่างจากสามคนนั้นไปเรื่อยๆ เสียงสนทนาเบาลงไปทุกทีๆ ภาพสุดท้ายที่เห็นคือแผ่นหลังของชายเสื้อขาวที่เอนตัวเท้าแขนไปด้านหลังพลางแหงนหน้าขึ้นมองดอกลีลาวดี โดยมีคนสองคนนอนหนุนตักอยู่คนละข้าง ท่าทางดูเป็นสุข

‘ท่านจะไม่มีวันทรยศพวกเราใช่ไหม?’



เสียงสุดท้ายที่ได้ยิน ก่อนที่ภูผาจะลืมตาตื่นโดยที่จำความฝันไม่ได้เลยสักนิดเดียว…

ภูผาไม่เคยรู้ว่าตัวเองฝันถึงเรื่องนี้มานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่เด็กจนโต เพราะเมื่อลืมตาตื่น ความฝันทุกอย่างก็จะอันตรธานหายไปจากความทรงจำ





(จบบทภูผา)











(บทฟ้าคราม)





นี่เป็นวันที่สี่แล้วกับการผจญภัยในภาคใต้ของเรา ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ผมกับไอ้ภูเดินทางไปที่นู่นที่นี่มากมายไปหมด ไปเล่นน้ำตกโตนงาช้างบ้างล่ะ ขึ้นเขาตังกวนบ้างล่ะ ไปเดินถนนนางงามที่เขาว่ามีสตรีทอาร์ตให้ถ่ายรูปกับมีของกินอร่อยๆ ข้ามสะพานติณสูลานนท์ไปเกาะยอ ฯลฯ

วันนี้ก็เป็นอีกวัน ที่เราออกไปเตร็ดเตร่กันจนเหนื่อย แล้วกลับมานอนหมดสภาพกันที่ห้อง

หลังจากนอนพักจนหายเหนื่อย ผมก็แงะตัวเองออกจากเตียงเพราะทนคราบเหงื่อไคลที่สะสมมาทั้งวันไม่ไหว คว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็เดินเช็ดผมกลับมาเขย่าเรียกไอ้ภูให้ไปอาบน้ำบ้าง แต่ทันทีที่แตะโดนตัวอีกฝ่าย ผมก็ต้องขมวดคิ้วแล้วแตะดูอีกรอบ

“ไอ้ภู มึงตัวรุมๆ ว่ะ” อีกฝ่ายปรือตามองผม ส่งเสียงอืออาในลำคอก่อนจะนอนต่อ

“ลุกไปอาบไหวมั้ยเนี่ย”

“… ไม่อาบ จะนอน” มันทำเสียงรำคาญ ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง เห้ย! มาแปลก ปกติมันกับผมรักสะอาดมากๆ เลยนะ ไม่มีหรอกคำว่าซักแห้งถ้าไม่คอขาดบาดตายจริงๆ ถ้าพวกเราไม่ได้อาบน้ำก่อนนอนล่ะก็ให้ตายก็นอนไม่หลับอ่ะ

“เออๆ ๆ นอนไป” ผมเลิกเซ้าซี้เพราะรู้นิสัยแฝดตัวเองดีว่าเป็นคนขี้รำคาญ (ก็เหมือนผมนั่นแหละ เหอๆ) ผมลงไปหาซื้อพาราด้านล่างก่อนจะกลับขึ้นมาบังคับให้ไอ้ภูกินยาแล้วปล่อยให้มันนอนต่อให้เต็มที่

ผมกับไอ้ภูเป็นคนแข็งแรง เวลาป่วย แค่กินยาลดไข้แล้วนอนพัก ตื่นมาก็หายแล้ว

ผมมองไอ้ภูใช้ผ้าห่มม้วนตัวเองเป็นดักแด้ (ไม่ร้อนหรอวะ?) ก่อนจะปิดไฟนอน

หวังว่าพรุ่งนี้มันจะหายดี เพราะยังมีโปรแกรมที่อยากไปอีกเยอะเลย..

หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 34 ระยะฟักตัว [18/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 18-03-2018 17:36:21
ที ก็รา  ภู-ฟ้า ก็แรง    o22 o22 o22

ที ก็้ อย่างนี้ทุกที ทำอะไรที่ทำร้ายจิตใจ ทั้งของตัวเองและแฝด

สามคนนี้เคยมีอดีตกันมาแต่เก่าก่อนหรือนี่

คนหนึ่งก็ตัวรุมๆ เป็นไข้ไม่สบาย เพราะตากฝนกันแน่ๆ
เอ๊...........หรือเป็นไข้เลือดออก ก็นอนที่เปลชายหาดกันทั้งคืน  :z3:
แล้วจะพบกันได้อย่างไร
ภูผา ---> ที <--- ฟ้าคราม   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 34 ระยะฟักตัว [18/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 18-03-2018 18:22:28
อ้าว ภูผา ฟ้าคราม มาเที่ยวสงขลาหรอ พักหาดใหญ่สินะ หอแถว มอ. แน่ๆ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 34 ระยะฟักตัว [18/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 18-03-2018 20:00:04
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 34 ระยะฟักตัว [18/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: imac ที่ 18-03-2018 23:35:22
อ่านแล้วหน่วงๆ สู้ๆแล้วกันทุกคน
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 34 ระยะฟักตัว [18/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 19-03-2018 02:19:55
หน่วงดีจัง
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 34 ระยะฟักตัว [18/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-03-2018 02:48:29
แฝดนรกเอย นาน ๆ จะได้ลำบากกับเขาเสียบ้าง จะได้จำเสียให้เข็ด  :hao3:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 34 ระยะฟักตัว [18/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 20-03-2018 17:40:25

                                                                ตอนที่ 35  ไม่เดียงสา
 

เสียงร้องครางของไอ้ภูปลุกผมขึ้นมากลางดึก แล้วหลังจากนั้นเราทั้งคู่ก็ไม่ได้นอนอีกเลยจนกระทั่งสว่าง ไอ้ภูไข้ขึ้นสูงมากกว่าตอนหัวค่ำเสียอีกแม้ว่าจะกินยาลดไข้ไปแล้วก็ตาม มันดิ้นไปดิ้นมาบนเตียง เหงื่อแตกซ่กบ่นว่าร้อนๆ ๆ ผมเลยดึงผ้าห่มมันออก ผ่านไปสักพักมันก็บ่นหนาวๆ ๆ แล้วลากผ้าขึ้นมาห่มใหม่ จนในที่สุดผมต้องปิดแอร์แล้วเปิดหน้าต่างระเบียงรับลมแทน แต่ไอ้ภูก็ยังมีอาการร้อนๆ ๆ หนาวๆ ๆ ของมันอยู่ตลอดทั้งคืน

เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่ผมเดินลงไปหาซื้อโจ๊กมาให้ไอ้ภู เพียงแค่ห่างกันแป๊บเดียว พอผมกลับขึ้นมาอีกทีก็เห็นไอ้ภูฟุบอยู่กับโถส้วม สภาพแทบไม่ได้สติ เรียกเท่าไหร่ก็แทบไม่ตอบสนอง ไอ้ภูปรือตามองหน้าผม ทำปากพะงาบๆ เหมือนจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก ได้แต่หลับตาหายใจหอบถี่อยู่อย่างนั้น ผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูก คนแรกที่นึกถึงคือพ่อแม่ ถัดมาก็พี่ที .. ผมได้แต่สะบัดหัวไล่ความคิดนั้นออกไปแล้วรีบวิ่งลงไปชั้นล่าง (ทั้งที่มีลิฟต์=_=) เพื่อตามคนมาช่วย ไม่นานเจ้าของอพาร์ตเม้นก็พาคนงานขึ้นไปช่วยกันแบกไอ้ภูแล้วขับรถพามาส่งที่โรงพยาบาล ก่อนจะขอตัวกลับไปเมื่อเห็นว่าส่งคนไข้ถึงมือหมอแล้ว

เมื่อมาถึงโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ก็ช่วยกันอุ้มช่วยกันประคองไอ้ภูที่สภาพป้อแป้จนน่าใจหายขึ้นไปบนเตียง ผมวิ่งตามเข้าไปด้วยจิตใจร้อนรน ก่อนที่บุรุษพยาบาลจะเข็นเตียงไปที่ห้องรอตรวจที่มีคนไข้นอนเรียงรายอยู่นับสิบเตียง

“ขอทราบชื่อคนไข้หน่อยนะคะ” นางพยาบาลร่างท้วมเดินเข้ามาถามพร้อมแฟ้มบันทึกประวัติคนไข้

“จารุวัฒน์ วรกิจเดชสกุล” ผมตอบแทนภูผาที่เริ่มได้สติแต่ก็ไม่มีแรงจะพูด ได้แต่ทำปากพะงาบๆ เหมือนปลาขาดอากาศ

“คนไข้มีอาการยังไงบ้างคะ?” คราวนี้ไอ้ภูต้องตอบเอง

“ปวดหัว…หนักหัว…เป็นไข้…หายใจไม่ออก…ทรมานมากครับ” พูดแค่นี้ไอ้ภูก็หอบอ่อนๆ แล้ว

“มีประวัติการแพ้ยารึเปล่าคะ?”

“ไม่มีครับ” ผมตอบแทน

“นี่คุณเป็นพี่น้องกันใช่ไหมคะ” ถามอะไรโง่ๆ ก็เห็นอยู่ว่าหน้าเหมือนกันขนาดนี้

“ครับ ผมเป็นแฝดน้อง มีอะไรจะถามอีกมั้ยครับ ผมจะตอบแทนพี่ผมให้ แล้วเมื่อไหร่หมอจะมาสักที พี่ผมจะไม่ไหวอยู่แล้วเนี่ย!” ผมพูดอย่างหงุดหงิด จะถามอะไรนักหนา รีบๆ เอาหมอมาตรวจสักทีสิวะ ไอ้ภูสีหน้าย่ำแย่จะตายอยู่แล้วยังจะถามนู่นนี่นั่นอยู่ได้ ก็รู้ว่ามันเป็นหน้าที่ของเธอ แต่ผมในเวลานี้อดที่จะหงุดหงิดไม่ได้จริงๆ

“สักครู่นะคะ” เธอเดินออกไปโดยไม่สนใจน้ำเสียงแสดงความหงุดหงิดอย่างชัดเจนของผมเมื่อครู่ บางทีเธออาจจะชินแล้วก็ได้

ผมนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงไอ้ภู ริมฝีปากแฝดผมแห้งผาก ท่าทางดูอ่อนเพลียถึงขีดสุด ผมเลยเดินไปซื้อสไปรท์มาให้เผื่อภูมันจะรู้สึกสดชื่นขึ้นบ้าง

“ภู ดื่มหน่อยนะ จะได้สดชื่น” ผมพยายามประคองหลังของพี่ชายฝาแฝดขึ้นมานั่งในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน เพราะเตียงนี้ไม่มีที่สำหรับไขปรับระดับให้หัวเตียงยกสูงขึ้นได้ แต่ไอ้ภูก็ส่ายหน้าปฏิเสธไม่ให้ผมดันหลังให้มันนั่ง

“ไม่ไหว …หน้าจะมืด” ภูผาเลยต้องนอนตะแคงดูดน้ำแทน

หลังจากนั้นเราก็ต้องรอหมออีกนานมากกกกกกก ผมเดินไปขอผ้าห่มกับพี่พยาบาลเพราะเห็นไอ้ภูนอนขดตัวท่าทางหนาว ทั้งที่ถ้ามันสบายดีอย่างผมล่ะก็ มันจะต้องบ่นเละแน่นอนว่าโรงพยาบาลไม่จ่ายค่าแอร์หรอวะ ร้อนเป็นบ้า

ภูผาหลับไปแล้ว ใบหน้ายามหลับของอีกฝ่ายดูสงบ ผมเอามือแตะตามหน้าผาก คอ และแขนของอีกฝ่าย ไอ้ภูตัวร้อนราวกับไฟ ผมมองใบหน้าที่หลับอย่างอ่อนเพลียจากการที่แทบไม่ได้นอนเลยทั้งคืนของมัน ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ

สักพักก็มีนางพยาบาลคนใหม่เดินมาเจาะเลือดไอ้ภู เสร็จแล้วก็ขอตัวเดินจากไป ส่วนไอ้ภูที่เมื่อกี้สะลึมสะลือเพราะโดนปลุกขึ้นมาเจาะเลือดก็ตื่นเต็มตาทันทีเพราะความเจ็บที่ได้รับ

นอนรออีกสักพักหมอก็เดินมาที่เตียงของพวกเรา

“คุณเป็นไข้เลือดออกนะครับ ค่าเกล็ดเลือดของคุณต่ำมากอยู่ที่สี่หมื่น คนปกติจะมีค่าเกล็ดเลือดอยู่ที่หนึ่งแสนขึ้นไป คุณต้องนอนให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาลแล้วล่ะครับ เพราะคนไข้อ่อนเพลียมาก”



เตียงถูกบุรุษพยาบาลเข็นขึ้นลิฟต์แล้วพาไปยังห้องผู้ป่วยหมายเลข 507 ซึ่งเป็นห้องเตียงคู่แต่ยังว่างอยู่ทั้งสองเตียง ผมเลือกให้ภูนอนเตียงฝั่งที่ไกลหน้าต่าง เพราะกลัวว่าตอนกลางวันไอแดดจะทำให้มันร้อน

นางพยาบาลเดินเข้ามาพร้อมชุดคนไข้สีน้ำเงิน เธอยื่นชุดให้ไอ้ภูก่อนจะดึงม่านปิดรอบเตียงเพื่อให้ไอ้ภูเปลี่ยนเสื้อผ้าเอง ผมรีบแหวกม่านเข้าไปช่วยมันเปลี่ยนเพราะมองดูแล้วไอ้ภูไม่น่าจะมีแรงลุกขึ้นมาเปลี่ยนเองไหว แล้วผมก็คิดถูก เพราะแค่จะลุกขึ้นมานั่งปลดกระดุมเองมันยังไม่มีปัญญาเลย

(จบบทคราม)











(บทภูผา)



ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเข็นรถเข็นมาหยุดที่หน้าห้อง พร้อมกับพยาบาลที่เปิดประตูเข็นรถเข้ามา

“เดี๋ยวขอเจาะสายน้ำเกลือหน่อยนะคะ” เธอพูดไปก็ทำหน้าแดงไปด้วย ผมควรจะภูมิใจดีไหมที่ขนาดป่วยๆ ก็ยังเนื้อหอม

เธอหยิบถุงน้ำเกลือมาห้อยที่เสาน้ำเกลือข้างเตียง ก่อนจะใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ทาที่หลังมือซ้ายของผมแล้วแทงเข็มเข้ามา ผมขมวดคิ้วแน่นขบกรามกรอด

นางพยาบาลเจาะเลือดผมไปอีกหลอดก่อนจะเข็นรถเข็นออกไป ผมได้แต่มองห้องที่เวิ้งว้าง เตียงข้างๆ ที่ไม่มีคนก็ทำเอาสยองเล่น ไม่รู้ว่าไม่มีคนหรือมี’ คน’ กันแน่ ไอ้ครามหายหัวไปไหน

สองชั่วโมงที่ผมนอนรอไอ้คราม มันไปไหน? ทำไมมันไม่อยู่ข้างกายผม? ตอนนี้จิตใจของผมทั้งอ่อนแอและหวาดกลัว ผมไม่เคยป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลมาก่อน การที่ต้องมานอนให้น้ำเกลืออยู่แบบนี้เป็นเรื่องไม่คาดฝันว่าจะเกิดขึ้น ผมรู้สึกหน้ามืดอยู่ตลอดเวลา มึนหัวมาก เบลอไปหมด หายใจก็ลำบาก รู้สึกแน่นหน้าอกราวกับมีของหนักมาทับเอาไว้ ผมรู้สึกเหงา คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ คิดถึงพี่เฟิร์ส คิดถึงพี่ที คิดถึงไอ้ขวด …ภาพบุคคลอันเป็นที่รักหลั่งไหลเข้ามาในสมองเหมือนน้ำหลาก ผมอ่อนแอเกินกว่าจะแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง แสร้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไร ไม่แคร์ใครอีกแล้ว

ไม่ไหวแล้ว …เหงา มันเหงามากๆ เลย อยากเจอ อยากเจอสุดๆ ไปเลย

พ่อ …แม่…พี่ที…อยากเจอ อยากเจอ

อยากกลับบ้านแล้วล่ะ…

น้ำตาร้อนๆ ไหลอาบแก้ม ผมนอนร้องไห้ ทั้งทรมานกายทั้งทรมานใจ ตลอดเจ็ดวันที่หลบหน้าไม่เจอใคร ตลอดเวลาสี่วันที่เดินทางไปที่นู่นที่นี่ได้ตามใจปรารถนาโดยไม่มีคนคอยห้ามปรามหรือบ่นให้รำคาญ ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นมันช่างว่างเปล่าสิ้นดี ไม่ได้สนุกเลย บางทีฟ้าครามก็อาจจะรู้สึกเหมือนกันมานานแล้ว เพียงแค่ไม่ปริปากพูดออกมา มันยังคงอยู่เคียงข้างและตามใจผมจนถึงที่สุด

ถ้าผมหาย ผมตั้งใจแล้วว่าจะกลับบ้าน

….เพราะในเวลานี้ ผมต้องการอ้อมกอดของคนเหล่านั้นมากเหลือเกิน









พอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ผมก็เห็นไอ้ครามนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โซฟาข้างๆ นั่นทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นเป็นกอง

“ไปไหนมาวะ” ผมเอ่ยถาม

“อ้าว! ตื่นแล้วหรอ มาๆ ดื่มน้ำเกลือแร่ก่อน เมื่อกี้พยาบาลเค้าเอามาให้ บอกว่าถ้าดื่มบ่อยๆ จะหายเร็วขึ้น”

ผมรับแก้วที่มีน้ำสีส้มมาดื่มจนหมด ก่อนจะถามอีกครั้งว่า

“มึงหายไปไหนมาตอนกูหลับ”

“อ่อ …ก็ไปเช็กเอาท์ ออกจากอพาร์ทเม้นอ่ะดิ มึงเล่นนอนโรง’ บาล กูก็ต้องมานอนเฝ้าใช่มั้ยล่ะ ดูโน่น กูเอาสัมภาระของพวกเรามาครบแล้วนะ”

ผมพยักหน้ารับก่อนจะหลับตานอนอีกครั้งเมื่อความง่วงงุนเข้าครอบงำ ไม่นานผมก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลียจากพิษไข้

วันที่หนึ่งในโรงพยาบาลผ่านไปอย่างยากลำบากในความคิดผม แทบทุกสองสามชั่วโมงจะมีนางพยาบาลมาเจาะเลือดไปตรวจ ผมอ่อนแรงและเพลียเกินกว่าจะลืมตามองหน้าคนเจาะด้วยซ้ำ

หมอสั่งห้ามไม่ให้ผมกินของที่มีสีดำกับสีแดง ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร นอกจากนี้ยังสั่งห้ามไม่ให้ลงจากเตียง เวลาจะทำอะไรให้เรียกญาติหรือกดปุ่มเรียกพยาบาลทุกครั้ง

อาหารมื้อแรกในโรงพยาบาลนั้นเลวร้ายสำหรับผมมาก มันคืออาหารถาดหลุมที่มีข้าวต้มชืดๆ หมูหย็อง ปลาชุบแป้งทอดที่ไม่มีความกรอบเหลืออยู่เลย มีแครกเกอร์เป็นของกินเล่น เสิร์ฟพร้อมน้ำเขียวที่หวานแสบไส้ …ผมกินข้าวต้มไปได้สามคำก็อ้วกออกมาหมด กินไม่ลง ไม่ใช่เพราะมันไม่อร่อย แต่เหมือนร่างกายผมมันไม่อยากรับอะไรทั้งสิ้น

“เฮ้ยๆ ๆ จะอ้วกหรอ! เดี๋ยวนะๆ ” ครามกุลีกุจอหาถุงมาให้ผม

“แหวะ….แค่กๆ ๆ แหวะะะะ” ผมโก่งคออาเจียนจนหมดไส้หมดพุง และโคตรหมดแรง ไม่อยากกินอะไรเลย ผมอยากนอน

“ภู มึงต้องกินเข้าไปอีก กินแค่นั้นมึงจะหายมั้ยฮะ เอ้าอ้าปาก” ครามพูดขึ้นเมื่อเห็นผมเอนตัวลงนอน มันลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง ตักข้าวต้มกับหมูหย็องมาจ่อที่ปาก ผมจึงต้องจำใจกินมันลงไป แต่แค่คำเดียวผมก็ส่ายหน้าอย่างอ่อนเพลีย มันกินไม่ลงจริงๆ

“เฮ้อ…โอเคๆ งั้นกินแครกเกอร์กับน้ำหวานให้หมดแล้วกันจะได้ไม่เพลีย” ไอ้ครามบิแครกเกอร์เป็นชิ้นเล็กๆ ป้อนผมสลับกับน้ำหวานไปครึ่งเดียว ผมก็รู้สึกพะอืดพะอมจนต้องหันหน้าหนีมือที่ป้อน

“จะอ้วกหรอ! ถุงๆ ๆ ๆ ”

ผมส่ายหน้า กลืนสิ่งที่ขึ้นมาถึงลำคอลงไปอย่างยากลำบาก

“ไม่เป็นไร…ขันเตียงลงที”

“ได้ๆ ๆ แปบนะ” ครามเดินไปปลายเตียงแล้วขันหัวเตียงให้เอนลง โรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลที่ใกล้อพาร์ทเม้นที่เราอยู่ที่สุด ซึ่งมันเป็นโรงพยาบาลรัฐ ทำให้หลากๆ สิ่งหลายๆ อย่างไม่ค่อยจะทันสมัยหรือสะดวกสบายนัก ถ้าเป็นพ่อกับแม่ล่ะก็ ไม่มีพาเขามานอนโรงพยาบาลรัฐแถมยังเป็นห้องเตียงคู่แบบนี้แน่นอน

(จบบทภูผา)







ฟ้าครามเฝ้ามองภูผาที่หลับไปอีกครั้งอย่างเป็นห่วง มือกำสมาร์ตโฟนที่ปิดเครื่องมาตลอดเจ็ดวันไว้แน่น เขาควรจะทำอย่างไรดี ภูผาป่วยหนักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนจนเขาที่เป็นคนดูแลถึงกับทำอะไรไม่ถูก เพราะแทบไม่เคยมีประสบการณ์ดูแลคนป่วยมาก่อน

ภูผาในเวลานี้ดูอ่อนแอมาก มันเหมือนจะเปิดเผยทุกสิ่งอย่างที่มันคิดมันรู้สึกออกมาหมดในเวลาที่เจ็บป่วย มันเอาแต่ใจมากขึ้น กลัวการอยู่คนเดียวมากขึ้น ถ้าผมเปิดประตูหรือแค่ลุกจากโซฟา มันจะถามทันทีว่าไปไหน มันดูเหงา ดูอ่อนแอ ทั้งที่ปกติมันจะถือตัวว่าเป็นพี่ เลยไม่ค่อยจะอ้อนเอาแต่ใจมากเหมือนผม

ใจจริงผมไม่ได้อยากหนีออกจากบ้านเลย แม้จะเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นผมก็ไม่คิดจะหนีห่างจากพี่ทีแม้แต่น้อย แต่ผมก็ทิ้งให้ไอ้ภูออกไปเผชิญโลกภายนอกตามลำพังไม่ได้ มันเป็นมากกว่าพี่น้อง มันเป็นเหมือนครึ่งชีวิตของผม เราอยู่ด้วยกันมาชั่วชีวิต ผมไม่สามารถทอดทิ้งมันได้ ถ้าหากห้ามปรามแล้วไม่ฟัง ผมก็พร้อมจะถลำลงไปกับมัน ไม่ว่ามันจะทำอะไรผมก็จะอยู่เคียงข้างมันจนถึงที่สุด

ผมนอนฟุบอยู่ข้างเตียงภูผา จับมือเย็นเฉียบของมันเอาไว้ ให้มันรู้ว่าผมไม่ได้ไปไหน ผมนอนมองหน้ามัน แล้วน้ำตาก็ไหล สงสารมัน .. มันคงเจ็บ มันคงทรมานมากแน่ๆ มันคงจะเหงา มันคงกำลังเสียใจที่ตัดสินใจหนีออกมาจนต้องมาเจ็บไข้ได้ป่วยแบบนี้

ผมร้องไห้สะอึกสะอื้น แต่ก็กัดผ้าห่มกลั้นเสียงเอาไว้ ผมรู้สึกตัวเองอ่อนแอ ผมเองก็เหงา เหงามากๆ อยากกลับบ้าน อยากเจอหน้าพ่อแม่ คิดถึงพี่ชาย อยากเจอพี่ที ต่อให้จะถูกต่อว่า โดนตบหน้า โดนด่า หรืออะไรก็ไม่สนใจทั้งนั้น แค่อยากกลับไป อยากเจอเหลือเกิน ช่วยประคับประคองพวกเราที ตอนนี้รู้แล้วว่าเราสองคนยังเด็กเหลือเกินบางทีอาจจะเป็นอย่างที่พี่ทีบอก…



เราอาจจะยังเด็กเกินไปกว่าจะเข้าใจ คำว่า…





“รัก”







เขาว่ากันว่าฝาแฝดนั้นมีสายใยที่สื่อถึงกัน จริงหรือเปล่าคะ?

ต้องฟังเพลง ไม่เดียงสา – บิ๊กแอส เข้าถึงอารมณ์มากค่ะ 555

ถ้าจะฟัง แนะนำ ไม่เดียงสา - BIG ASS I Cover by ไอซ์ ธมลวรรณ https://www.youtube.com/watch?v=_4qD5uhJUT8

อันนี้ที่คนเขียนฟังไปเขียนไปTvT เศร้าเนอะ



ติดแท็ก#เกียร์คู่(@candleguard) รู้สึกยังไงกันบ้างทุกคนนนผ่านมา35ตอนเลี้ยว><



หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 35 ไม่เดียงสา [20/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 20-03-2018 18:32:45
สองแสบเริ่มเป็นผู้ใหญ่แล้ว
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 35 ไม่เดียงสา [20/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-03-2018 19:11:18
ประสบการณ์จะสอนเรา
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 35 ไม่เดียงสา [20/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-03-2018 19:30:43
แฝดนรกเอย ไม่ใช่เจอพี่ที แล้วโทษพี่เขาเหมือนเคยนะ :hao4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 35 ไม่เดียงสา [20/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 20-03-2018 19:41:21
สู้ ๆ เด้อ เด็กแฝด
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 35 ไม่เดียงสา [20/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 20-03-2018 22:16:43
คำว่ารักที่สองแฝดเข้าใจในตอนแรก มันคงจะฉาบฉวย ไม่ได้เข้าใจถึงคำว่ารักอย่างถ่องแท้ แต่หลังจากเหตุการณ์นี้ไป สองแฝดคงจะเข้าใจมากขึ้น
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 35 ไม่เดียงสา [20/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 20-03-2018 23:01:11
สองแฝดแสบมากจริงๆ แต่เริ่มจะสำนึกได้ก็เอาใจช่วยแล้วกัน หวังว่าพี่ทีจะไม่ซ้ำเติมมากนักนะ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 35 ไม่เดียงสา [20/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 21-03-2018 13:32:19

                                                         ตอนที่ 36  อยากกลับ


ตั้งแต่เกิดมา นี่เป็นคืนที่ทรมานที่สุดในชีวิต…

“คราม…หายใจไม่ออก…แฮ่ก….ปวด…ท้อง”

เกือบเที่ยงคืนแล้ว แต่ผมก็ยังนอนไม่หลับ รู้สึกเหมือนในอกกับในท้องมันแน่น มันปวดไปหมดจนหายใจลำบาก ผมอดทนอยู่นาน จนรู้สึกว่าไม่ไหวแล้วจึงต้องปลุกฟ้าครามที่กำลังหลับอยู่บนโซฟาด้านข้าง

“หือ…” มันสะดุ้งตื่นทันทีที่ผมเรียก เหมือนมันหลับไม่ค่อยสนิทอยู่แล้ว

“เป็นอะไรมากหรือเปล่า เกิดอะไรขึ้น” มันรีบลุกขึ้นมาเกาะขอบเตียงผมทันที

ผมลองตีที่ท้องตัวเอง พบว่าท้องอืดมากๆ มีแต่เสียงลม คงเพราะเหตุนี้ที่ทำให้ผมปวดท้องและหายใจไม่ค่อยออก ไม่รู้มันเกี่ยวกันมั้ย

เราตัดสินใจกดปุ่มเรียกพยาบาลเพื่อขอยาธาตุน้ำแดง

หลังจากกินยาแล้วนอนต่อ ผมก็รู้สึกร้อนท้องไปหมด ร้อนราวกับท้องจะไหม้ แต่ก็ยังรู้สึกแน่นๆ และหายใจไม่ออกอยู่ดี กว่าจะข่มตาหลับได้ก็เกือบตีสอง

เกือบๆ ตีสามพยาบาลก็ปลุกผมขึ้นมาเจาะเลือดและวัดไข้อีก ผมรู้สึกหงุดหงิดที่โดนปลุกมาเจาะเข็มเจ็บๆ ทั้งที่เพิ่งจะผล็อยหลับไปได้แค่ครู่เดียว แต่ก็ไม่มีแรงแม้แต่จะชักสีหน้ารำคาญใจ ได้แต่ปล่อยให้เลือดไหลผ่านปลายเข็ม ไม่นานผมก็หลับไปอีกครั้งด้วยความอ่อนเพลียจากพิษไข้







(บทที)

ภูผากับฟ้าคราม…หายไปไหน

ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้นห้อง ยกมือกุมศีรษะ ปวดหัวจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว

จะทำยังไงดี จะไปตามหาสองคนนั้นที่ไหนดี ภูผากับฟ้าครามหายไปไหน พวกนายหายไปไหน

ทำไมต้องทำแบบนี้ ทำไมต้องทำร้ายตัวเอง ทำไมถึงทำร้ายจิตใจคนที่รักและเป็นห่วงพวกนายได้ลงคอ

หายไปตั้งอาทิตย์นึงแล้ว…อาทิตย์นึงเลยนะ ทำไมผมไม่เอะใจอะไรบ้างเลย

สองคนนั้นเคยไปที่ไหนไกลๆ กันเองสองคนที่ไหน ไม่รู้ตอนนี้จะเป็นยังไงกันบ้าง

ผมซบใบหน้าลงกับฝ่ามือ

…เหนื่อย…เหลือเกิน

เรื่องในคราวนี้มันใหญ่เกินกว่าที่ผมจะจัดการด้วยตัวคนเดียวเเล้วจริงๆ

(จบบทที)





(บทภู)

ผมสะพายเป้เดินขึ้นรถไฟ ข้างกายเป็นไอ้ครามที่หน้าตาดูยิ้มแย้ม ตื่นเต้นดีใจที่จะได้กลับบ้านเต็มแก่หลังจากที่เราทั้งคู่ต้องทนอุดอู้อยู่แต่ในรพ.เกือบเป็นอาทิตย์ ในที่สุดผมก็หายดี และวันนี้เราจะกลับบ้านกัน

ก่อนกลับ พวกเราแวะตลาดกิมหยงเพื่อซื้อของฝากกลับไปมากมาย พ่อแม่คงจะโกรธพวกเรามาก ไม่รู้ว่าของฝากพวกนี้จะช่วยลดโทษได้บ้างไหม แต่ถึงไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงก็อยากจะซื้อไปฝากอยู่ดี

พ่อกับแม่ชอบกินอินทผาลัมตากแห้งมาก ส่วนพี่เฟิร์สชอบถั่วแมคคาเดเมีย บ้านพี่ทีชอบกินปลาหมึกแห้ง ทามชอบกินช็อกโกแลต ส่วนพี่ทีชอบกินชาที่ใส่อินทผาลัมลงไปแช่ จำได้ว่าเป็นเมนูที่พิลึกมาก แต่พอได้ลองชิมบ้างก็พบว่ามันอร่อยไม่เลว ชาขมๆ หอมๆ รสชาติตัดกับอินทผาลัมหวานๆ ทำให้กินแล้วไม่เลี่ยน คิดถึงทีไรก็อดยิ้มกับเครื่องดื่มสูตรแปลกของพี่ทีไม่ได้

วิวทิวทัศน์เคลื่อนผ่านสายตาไปเรื่อยๆ น่าแปลก ที่ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันวิ่งเข้าหาผมอีกแล้ว แต่เป็นผมที่วิ่งเข้าหามันต่างหากล่ะ

คิดถึงนะ อยากเจอมากๆ เลย

มีเรื่องอยากจะเล่าให้ฟังเต็มไปหมด

แล้วก็อยากจะขอโทษ

จะกลับตัวกลับใจเป็นคนดี ต่อไปนี้จะเชื่อฟังพ่อแม่กับพวกพี่ๆ ให้มากขึ้น

จะตั้งใจเรียน

จะเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนๆ

เป็นรุ่นน้องที่ดีของพี่ๆ

อยากจะเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นมากกว่านี้ ตั้งแต่หายดีก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมานิดหนึ่ง เหมือนตาสว่าง รู้สึกเหมือนตัวเองมีความอดทน คิดอะไรได้รอบคอบมากขึ้น

พอก้าวขาลงจากรถไฟ ก็เห็นพ่อแม่ พี่เฟิร์ส ยืนรออยู่

เราวิ่งเข้าไปหา แต่พอไปถึงกลับถูกพ่อตบหน้าไปคนละฉาด

ผมกับฟ้าครามตกใจมาก เพราะพ่อไม่เคยตบหน้าพวกเรามาก่อนในชีวิต

พ่อมองเราด้วยสายตาสุดจะทน ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ ความผิดหวัง ส่วนแม่กับพี่เฟิร์สได้แต่ยืนนิ่ง

ผมรู้สึกเจ็บปวด เมื่อถูกทุกคนมองมาด้วยสายตาแบบนั้น

แต่แล้วน้ำตาหยดหนึ่งก็ไหลออกมาจากดวงตาของพ่อ แล้วเราสองคนก็ถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดของครอบครัว

..เราได้รับการให้อภัย





แต่ไม่รู้ทำไม ผมก็ยังรู้สึกเหมือนไม่ถูกเติมเต็ม

ในใจยังคงรู้สึกวูบโหวง คิดถึงใครอีกคน…

มองข้ามไหล่ทุกคนไปก็เห็นพี่ทียืนอยู่ข้างหลัง ระบายยิ้มอ่อนโยนมาให้

ผมเบิกตากว้าง ผละออกจากทุกคน ถลาเข้าสู่อ้อมกอดของคนที่ผมเฝ้าร้องขอความรักอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

กอด กอดให้แน่น ให้เหมือนเราจะไม่มีวันแยกจากกันอีกตลอดกาล

พี่ทีกอดตอบ เรากอดกันแน่นมาก…แน่นจนปวดแขน แต่ก็ไม่คิดจะปล่อยเลย

คิดถึงนะ คิดถึงที่สุดเลย…พี่ที







ผมลืมตาตื่นขึ้นมา ความอบอุ่นที่ถูกกอดเมื่อสักครู่ถูกแทนที่ด้วยความว่างเปล่า …กวาดตามองไปรอบตัว ก็เห็นแค่ฟ้าครามที่นอนคู้ตัวอยู่บนโซฟาเก่าๆ สีเขียว

…ผมแค่ฝันไปหรอ…แต่เมื่อกี้รู้สึกเหมือนโดนกอดอยู่จริงๆ ยังรู้สึกอุ่นๆ อยู่เลยด้วยซ้ำ

แค่ฝันจริงๆ น่ะหรอ…

ผมรู้สึกปวดใจจนน้ำตาแทบไหลที่มันไม่ใช่เรื่องจริง เป็นแค่เพียงความฝันของคนป่วยคนหนึ่ง ก็นั่นน่ะสิ เพราะในความจริง พี่ทีทิ้งพวกเราไปแล้ว ไม่มีทางที่จะมายิ้มมากอดผมอีกแล้ว

ผมยังคงอ่อนเพลียแต่ก็แทบไม่มีไข้แล้ว หลังอาหารเช้าที่ผมกินไปได้แค่หนึ่งในสี่ ไม่นานหมอก็เข้ามาตรวจด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ตอนนี้มีอาการยังไงบ้างคะ” หมอหญิงสูงวัยท่าทางใจดีถามอย่างอ่อนโยน

“เมื่อคืนหายใจไม่ออกครับหมอ มันอึดอัดตรงนี้” แล้วผมก็วางมือลงไปบนตำแหน่งที่ปวดแน่นเมื่อคืน

“แล้วก็ท้องอืดด้วยครับ เมื่อวานตีดูเสียงลมเต็มไปหมด ก็เลยขอยาธาตุน้ำแดงจากพยาบาล” ฟ้าครามเสริม

หมอใช้มือกดลงบนตำแหน่งที่ผมชี้

“เป็นอาการข้างเคียงของไข้เลือดออกน่ะ มันทำให้ตับโตเบียดช่องอก ทำให้หายใจลำบาก แต่เดี๋ยวสักพักก็จะดีขึ้นเองแหละจ้ะ”

“แล้วโรคนี้มันมียารักษามั้ยครับ” ฟ้าครามถามอย่างข้องใจ เพราะตั้งแต่อยู่มาวันกว่าๆ ไม่เห็นว่าหมอจะจ่ายยาอะไรให้ผมเลยนอกจากยาลดไข้กับน้ำเกลือแร่

“ไม่มีจ้ะ รักษาตามอาการอย่างเดียว”

“รักษาตามอาการ?” ผมทวนคำถามอย่างสงสัย

“หมายถึง ปวดท้องก็ให้กินยาแก้ปวด เป็นไข้ก็ให้กินยาลดไข้ เป็นอะไรก็รักษาไปตามนั้นไงล่ะ”

หมอตรวจพร้อมกับอธิบายให้ฟังไปด้วย เสร็จแล้วก็ขอตัวออกไปตรวจห้องอื่นๆ ต่อ ใจจริงผมอยากจะรั้งตัวไว้ถามข้อสงสัยอีกนิดหน่อย แต่พอคิดว่ายังมีคนไข้อีกมากมายที่อาจจะกำลังทรมานกว่าผมและกำลังรอให้หมอไปตรวจ ผมก็ไม่ถามอะไรอีกต่อไป

วันนี้ห้องผมมีคนไข้อีกคนมานอนด้วยแล้วที่เตียงฝั่งติดหน้าต่าง แกเป็นลุงอายุ 40 ปลายๆ ที่ทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาด เท่าที่คุยกันแกบอกว่าแกความดันขึ้นทะลุสองร้อยกว่าจนวูบ เลยถูกพาตัวมาส่งโรงพยาบาล ลูกชายแกอายุมากกว่าพวกเราสามสี่ปีท่าทางไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ มาถึงก็ด่าพ่อตัวเองเป็นชุดๆ ว่าทำไมไม่รักษาสุขภาพ ดูซิทำให้ต้องลางานมาหา สองพ่อลูกคุยกันเรื่องประกันสังคม เงินค่ารักษาพยาบาล อะไรเทือกๆ นี้ซึ่งพวกผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ รู้แค่ว่าพวกเขาคงกังวลเรื่องเงินกับงานที่ต้องหยุดชั่วคราว

ตอนแรกผมกับไอ้ครามรู้สึกอึดอัดกับการต้องอยู่ร่วมห้องกับคนอื่นมากๆ ทำตัวไม่ถูก ไม่กล้าคุยหรือเปิดทีวีเสียงดังเพราะเกรงใจคนป่วยอีกเตียง ไม่รู้ว่าควรจะเปิดหรือปิดไฟบนเพดานดีเวลาเขานอนแต่ผมยังไม่นอน ไม่แน่ใจว่าแกจะชอบดูทีวีช่องที่ผมเปิดไหม แล้วผมควรจะผลัดให้เขาครองรีโมตบ้างหรือเปล่า ด้วยความที่เราถูกตามใจมาจนเคยชิน บวกกับไม่ค่อยได้ปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นที่ไม่ใช่ญาติเท่าใด ก็เลยไม่แน่ใจว่าควรวางตัวอย่างไรจึงจะถูกมารยาทในสถานการณ์แบบนี้

“ลุงดูมั้ยครับ” ไอ้ครามเดินไปยื่นรีโมตให้ลุงแก

“ไม่เป็นไร เอาเลย” ลุงเขาทำไม้ทำมือประมาณว่าเชิญพวกผมครองรีโมตให้เต็มที่ก่อนจะนอนตะแคงหันหลังให้พวกผม

งั้นก็ไม่เกรงใจล่ะนะ ผมกับไอ้ครามก็เลยครองทีวีเป็นการถาวร อยู่ไปเรื่อยๆ พวกเราก็ค่อยๆ คลายความอึดอัดลงเพราะลุงแกไม่ได้ก่อความเดือดร้อนอะไรให้พวกเราเลย ในขณะที่พวกเราก็พยายามที่จะไม่ทำอะไรรบกวนแกเช่นกัน มีเพียงเรื่องเดียวที่สร้างความหงุดหงิดให้ผมเล็กน้อยนั่นคือโรงพยาบาลจัดห้องยังไงวะ? จับคนเป็นไข้เลือดออกกับคนความดันสูงมาอยู่ด้วยกัน ไอ้เราเป็นไข้เลือดออกก็ร้อนๆ หนาวๆ กลัวอากาศเย็น ส่วนลุงแกเป็นความดันแกก็อยากเปิดแอร์แรงๆ เพราะแกมึนหัว บวกกับแกอยู่ใกล้หน้าต่างมันเลยร้อน เลยยิ่งต้องลดอุณหภูมิ อันที่จริงพวกเราจะเห็นแก่ตัวไม่ลดให้แกก็ได้เพราะรีโมตแอร์อยู่ผนังฝั่งพวกผม แต่พวกเราก็ทำไม่ลง…ไม่รู้สิ มองแผ่นหลังของลุงแกที่นอนห่อไหล่เหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก นอกจากวันแรกแล้วลูกชายแกก็ไม่โผล่หัวมาอีกเลย พวกผมก็รู้สึกว่าแกน่าสงสาร กลัวแกหายช้าต้องนอนโรง’ บาลนานแล้วจะกระทบกับงานของแก ก็เลยยอมลดอุณหภูมิให้แล้วไปขอผ้าห่มมาห่มเพิ่มแทน

อยู่ๆ ผมก็คิดถึงพี่ทีขึ้นมา พี่ทีเป็นภูมิแพ้อากาศเลยค่อนข้างจะเซนซิทีฟกับอากาศเย็นๆ ผมกับฟ้าครามชอบเปิดแอร์เบอร์เย็นสุดและเปิดพัดลมทุกเครื่องที่มีจ่อตัว พวกเราแทบไม่เคยรู้จักคำว่าหนาว มีแต่คำว่าเย็นสบายตัวกับร้อนเท่านั้นที่เรารู้จัก เราคิดว่าพี่ทีอ่ะเว่อร์ เปิดแอร์เปิดพัดลมแค่นี้จะไปหนาวอะไร กลัวเปลืองไฟมากกว่าล่ะสิ เพิ่งจะมารู้เอาวันนี้ว่าเวลาหนาวมันหนาวจริงๆ ยิ่งถ้าเป็นไข้แล้วต้องนอนในห้องหนาวๆ ยิ่งทรมานสุดๆ ไปเลย พี่ทีจะเคยต้องทรมานแบบนั้นตอนนอนกับพวกผมไหมนะ…



เช้าวันต่อมา ผมเรียกเท่าไหร่ฟ้าครามก็ไม่ตื่น จึงลุกจากเตียง เดินเซๆ ลากเสาน้ำเกลือเข้าไปเขย่าๆ ตัวมัน แล้วก็ต้องตกใจที่ผิวของฟ้าครามร้อนราวกับไฟ

แล้วในวันนี้ฟ้าครามก็ถูกแอดมิดเข้าโรงพยาบาลไปอีกคน เราสองคนไม่ได้นอนห้องเดียวกัน ฟ้าครามถูกจัดให้เข้าพักในอีกสองห้องถัดจากห้องของผมไปทางด้านขวามือ

ผมเสียใจมากที่ตัวเองเป็นสาเหตุให้ฟ้าครามต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ ถ้าผมไม่คิดอยากหนีออกมา ฟ้าครามก็คงไม่ต้องตามมาด้วยจนเสียการเรียนแล้วก็มานอนป่วยด้วยกันแบบนี้

ความรู้สึกผิดเกาะกุมจิตใจจนรู้สึกย่ำแย่ไปหมด แล้วพอไม่มีฟ้าครามอยู่เป็นเพื่อน ผมก็ยิ่งรู้สึกเคว้งคว้าง จากที่รู้สึกอ่อนแออยู่แล้วก็ยิ่งอ่อนแอลงไปอีก พอไม่มีฟ้าครามผมก็ยิ่งเหงา ยิ่งคิดถึงบ้าน คิดถึงทุกคนมากขึ้นทุกทีๆ

Rrrrr

เสียงรอสายดังขึ้นแค่ครั้งเดียว คนปลายสายก็กดรับอย่างรวดเร็ว

“ฮัลโหล ภูผาหรอลูก! พวกลูกหายไปอยู่ที่ไหน รู้มั้ยพ่อกับแม่เป็นห่วงมากเลยนะลูก!” เสียงสั่นเครือของแม่ดังมาตามสาย

พอได้ยินเสียงแม่ที่ไม่ได้ยินมาตลอดแปดเก้าวันที่นานเหมือนแปดเก้าปี ความอดทนของผมของพังทลาย

“ฮือๆ ๆ ๆ แม่ครับ …ภูขอโทษ! … ภูก็คิดถึงแม่มากๆ เลย! ฮือๆ ๆ ๆ ๆ … มาหาภูหน่อยนะครับแม่”



-------------------------------------------------------------------------------------

ยินดีที่ได้รู้จักนักอ่านชาวเล้าเป็ดทุกท่านอย่างเป็นทางการนะคะ ขอบคุณที่เข้ามาติดตามมาอ่านมาเม้นท์ให้กัน เราอ่านครบทุกเม้นท์เเล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่ส่งมาให้นะคะ ชื่นใจจังเลยค่ะ^W^

ติดเเท็ก#เกียร์คู่ หรือจะเเอดเราเป็นเนื้อคู่ด้วยก็ไม่ว่ากัลล คริคริ @candleguard
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 36  อยากกลับ [21/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-03-2018 14:05:00
 o13
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 36  อยากกลับ [21/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 21-03-2018 15:12:50
 :katai4: :katai4: :katai4:มาต่อเลย
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 36  อยากกลับ [21/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 21-03-2018 16:03:59
เด็กน้อยเอ๊ยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 36  อยากกลับ [21/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 21-03-2018 17:37:31
แม่ๆ แฝดอยู่ มอ.
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 36  อยากกลับ [21/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 21-03-2018 18:03:32
แม่ๆ แฝดอยู่ มอ.

555 ยอมใจ ใช่เเล้วค่ะ โลเคชั่นนั้นเลย
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 36  อยากกลับ [21/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-03-2018 18:33:38
อย่างที่คิดจริงๆ เป็นไข้เลือดออก กันจริงๆ  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ถ้าแฝดรีบเปิดโทรศัพท์ คงไม่เป็นอย่างนี้  :z3: :z3: :z3:

      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 36  อยากกลับ [21/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 21-03-2018 19:22:56
อย่างที่คิดจริงๆ เป็นไข้เลือดออก กันจริงๆ  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ถ้าแฝดรีบเปิดโทรศัพท์ คงไม่เป็นอย่างนี้  :z3: :z3: :z3:

      :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ขอบคุณมากนะคะที่เข้ามาเม้นท์ให้ตั้งเเต่ตอนเเรกจนกระทั่งตอนนี้ คนเขียนปลื้มใจจังเลยค่ะ โฮฮฮฮฮ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 36  อยากกลับ [21/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 21-03-2018 22:04:31
เด็กน้อยเอ๊ย ร้องหาแม่ใหญ่เลย เข็ดกันไปเลยมั้ยคราวนี้
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 36  อยากกลับ [21/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: cocoaharry ที่ 21-03-2018 22:08:10
ที่ไหนก็ไม่สุขใจเท่าบ้านเรานะ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 36  อยากกลับ [21/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 21-03-2018 22:53:02
เจ้าแฝดดื้อเหลือเกินนนนน กลัไปตายรังที่บ้านเถอะ อย่างอแงเลยใจจะขาดแทน
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 36  อยากกลับ [21/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 22-03-2018 01:58:56
จะรีบโทรหาแม่ทำไม  นี่มันยังไม่ถึงครึ่งที่ทีโดนเลยนะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 36  อยากกลับ [21/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 22-03-2018 06:44:28
เฮ้อออออ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 36  อยากกลับ [21/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 22-03-2018 08:37:40
คือตั้งแต่อ่านมา อยากบอกว่ารำคาญแฝดมากกกกกก ไม่รู้ดิ ทีก็ดีเกินไป
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 36  อยากกลับ [21/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 22-03-2018 09:45:01
น้องแฝดรีบกลับบ้านได้แล้วลูก
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 36  อยากกลับ [21/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 22-03-2018 12:00:04
กลับบ้านได้แล้วพี่ทีรออยู่
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 36  อยากกลับ [21/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 22-03-2018 13:33:14
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 36  อยากกลับ [21/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 22-03-2018 21:06:46

ตอนที่ 37   we're back!


ทันทีที่ผมรู้ว่าสองคนนั้นหายไปและมันเกินกว่าที่ผมจะจัดการได้ผมก็รีบโทรไปบอกอาแอ๋มทันที ครอบครัวเราทั้งสองวุ่นวายกันใหญ่เพราะไม่ว่าจะสอบถามใครหรือญาติๆ คนไหนต่างก็ไม่มีใครรู้เบาะแสอะไรเลย

ในที่สุดพวกเราก็ตัดสินใจแจ้งความคนหาย ผมที่เป็นบุคคลสุดท้ายที่อยู่กับสองคนนั้นต้องเป็นคนให้การต่างๆ กับตำรวจ ซึ่งนั่นทำให้ผมลำบากใจมาก จะให้บอกตำรวจต่อหน้าทุกคนได้ไงว่าเพราะผมตอบปฏิเสธคำขอเป็นแฟนสองคนนั้นก็เลยน้อยใจหอบเสื้อหอบผ้าหนีออกจากบ้าน ผมได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ จนทุกๆ คนมองมาที่ผมด้วยความสงสัย แต่ในท้ายที่สุดตำรวจคงรำคาญเลยสรุปไปว่าเหตุเกิดเพราะทะเลาะกัน

ผมรู้สึกผิดกับอาแอ๋มและอาสินธุ์มากๆ เพราะผมเป็นสาเหตุให้สองคนนั้นหายตัวไป พอทั้งสองคนถามถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ผมก็ได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่รู้จะอธิบายเหตุการณ์อันซับซ้อนที่เกิดขึ้นระหว่างเราสามคนอย่างไร สุดท้ายจึงได้แต่อ้อมแอ้มตอบเบาๆ ว่ามีเรื่องบาดหมางกันนิดหน่อยผมจึงย้ายกลับมาอยู่บ้าน แต่ผมเลี่ยงที่จะไม่บอกว่าบาดหมางใจกันเรื่องอะไร ในที่สุดนายตำรวจที่รับเรื่องก็ถอนหายใจอย่างรำคาญ ก่อนจะปิดสมุดบันทึกแล้วบอกให้พวกเรากลับบ้าน หากมีความคืบหน้าอะไรจะโทรมาบอกอีกที

ทุกคนดูเหมือนเคลือบแคลงสงสัยอะไรบางอย่างในตัวผม อาสินธุ์กับอาแอ๋มทำท่าเหมือนอยากจะซักถามอะไรผมเพิ่มแต่ก็ไม่ได้ทำเมื่อเห็นผมมีท่าทางหมดอาลัยตายอยาก นั่งคอตก ไม่พูดไม่จากับใคร ก่อนจากกันอาสินธุ์เข้ามาตบบ่าผมเบาๆ

“อย่าเศร้าไปเลย มันไม่ใช่ความผิดของทีหรอกนะ”

“อาสินธุ์ ทีขอโทษจริงๆ ครับ เป็นความผิดของทีเอง” ผมยกมือไหว้ชายตรงหน้า แล้วเลยไปถึงอาแอ๋มที่นั่งตาแดงอยู่บนรถตู้

“พอแล้วๆ! เลิกปกป้องเจ้าลูกไม่รักดีของอาเสียที คนที่ไม่ผิดก็ขอโทษอยู่นั่นแหละ ไม่รู้ไอ้ตัวปัญหามันจะสำนึกผิดได้สักครึ่งของเราไหม” ไม่นานรถตู้บ้านอาสินธุ์ก็แล่นจากไป

พ่อกับแม่ไม่ได้พูดหรือถามอะไรผมอีก เพียงแต่บอกให้ผมขึ้นไปพักผ่อนเพราะผมดูเหน็ดเหนื่อยก็เท่านั้น ตกเย็นทามกลับจากโรงเรียนถึงได้รู้ข่าวว่าภูผากับฟ้าครามหายตัวไป แต่แทนที่เจ้าตัวจะตกใจเหมือนคนอื่นๆ กลับทำท่าแปลกใจและดูตื่นเต้นแทน

“นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะยัยทาม” แม่เอ็ดทามที่เอาแต่ถามนู่นถามนี่ มองการหนีออกจากบ้านของไอ้แฝดเป็นเรื่องสนุกซะงั้น

“โถ่แม่! นี่เค้าเรียกการเดินทางค้นหาตัวตนของลูกผู้ชาย เดี๋ยวพี่ๆ เค้าอยากกลับก็กลับกันมาเองแหละ เป็นผู้ชายไม่อันตรายหรอก ไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย”

หลังจากนั้นผมก็ลุกหนีแม่กับน้องสาวที่นั่งเถียงกันอยู่บนโต๊ะกินข้าวขึ้นมาบนห้อง ล็อกประตู เดินไปหยิบชีทเนื้อหาที่จะสอบมาเปิดๆ อย่างไร้กะจิตกะใจ ก่อนจะเก็บมันเข้าที่เดิม ผมอ่านจบแล้วทุกวิชา ในช่วงสัปดาห์ที่ไม่มีภูผากับฟ้าครามมาป้วนเปี้ยนรอบตัวนั่นแหละ ช่วงนี้ผมก็แค่ทวนทุกๆ วันเพื่อไม่ให้ลืมก็เท่านั้นเอง

ผมเป็นห่วงสองคนนั้นจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ถึงจะเห็นด้วยบ้างกับสิ่งที่ทามพูด แต่ผมก็กังวลเรื่องอื่นอยู่ดี ทั้งเรื่องสอบของน้อง ทั้งเรื่องที่อาจจะถูกหลอกไปขาย ทั้งเรื่องกลัวพวกมันจะตกเป็นเหยื่อพวกมิจฉาชีพ กลัวมันสองคนจะลำบาก เป็นห่วงไปต่างๆ นานาจนเจ็บจี๊ดที่หัวใจ

สองวันต่อมาผมก็ได้ข่าวของภูผาฟ้าครามจากพ่อกับแม่ พอได้ยินว่าสองคนนั้นปลอดภัยดี ความรู้สึกผิดในใจที่แบกรับมาตลอดหลายวันก็ดูเหมือนจะทุเลาลง แต่แล้วข่าวที่ว่าสองคนนั้นป่วยเป็นไข้เลือดออกต้องเข้าโรงพยาบาลพร้อมๆ กันก็ทำให้ผมเจ็บจี๊ดที่หน้าอกอีกครั้งจนต้องเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด รู้สึกรำคาญอาการบ้าๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายผมในช่วงนี้จริงๆ มันทำให้ผมกังวลว่าอาการนี้จะเป็นอาการเตือนของโรคอะไรหรือไม่

สัปดาห์แห่งการสอบผ่านพ้นไปด้วยดี แม้ผมจะป่วยกระเสาะกระแสะไปตลอดอาทิตย์อันเนื่องมาจากความเครียดและการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอของผมเอง ภูผากับฟ้าครามต้องอยู่รักษาตัวที่ภาคใต้จนกว่าจะหายถึงจะกลับมาที่นี่ได้ นั่นหมายความว่าสองคนนั้นจะไม่ได้เข้าสอบกลางภาคเลยสักวิชาเดียว! แต่เหมือนเป็นโชคดีในโชคร้าย การป่วยเป็นไข้เลือดออกของภูผากับฟ้าครามทำให้ทางมหาวิทยาลัยยอมอนุมัติให้สองคนนั้นขอสอบย้อนหลังได้เป็นกรณีพิเศษเนื่องจากมีใบรับรองแพทย์ แม้จะโดนหักเปอร์เซ็นต์คะแนนไปบ้างแต่ยังไงก็ดีกว่าไม่มีสิทธิ์ได้สอบเลย

ได้ข่าวว่าอาสินธุ์กับอาแอ๋มลงโทษสองคนนั้นด้วยการใจแข็งไม่ลงไปเยี่ยมไข้ ไม่ว่าสองคนนั้นจะร้องห่มร้องไห้ขอโทษขอโพยแค่ไหนอาสินธุ์กับอาแอ๋มก็ไม่ใจอ่อน อาสินธุ์บอกว่าในเมื่อไปเองได้ ก็ต้องกลับมาเองได้ สองคนนั้นจึงได้แต่รักษาตัวอยู่ที่ภาคใต้ พอดีขึ้นก็จับรถไฟฟรีนั่งกลับมากันเองเพราะเงินหมดไม่มีพอจะซื้อตั๋วเครื่องบิน ฟังๆ ดูแล้วอนาถาดีแท้…

ผมได้มีโอกาสโทรถามสารทุกข์สุกดิบกับพี่เฟิร์สเป็นครั้งคราว (ช่วงนี้ไม่ค่อยกล้าคุยกับอาแอ๋ม ยังรู้สึกผิดอยู่..) พี่เฟิร์สเล่าว่า พอสองคนนั้นกลับมาบ้านก็โดนอาสินธุ์ตบหน้าไปคนละผลัวะ เห็นว่าตอนแรกอยากกระทืบด้วยซ้ำแต่สงสารเห็นว่าเพิ่งจะหายป่วยกันเลยแค่ตบหน้าพอให้เจ็บๆ คันๆ อาสินธุ์เทศนาสองคนนั้นยาวเหยียด ตบท้ายด้วยการหักค่าขนมสองคนนั้นจนกว่าจะขึ้นปีสอง และสั่งให้ย้ายกลับมานอนที่บ้าน แม้ว่าคอนโดจะยังไม่หมดสัญญาเช่าที่ทำไว้หนึ่งเทอมก็ตาม ส่วนอาแอ๋มตั้งแต่สองคนนั้นกลับมาก็ไม่ยอมปริปากพูดด้วยเลยสักคำเดียว แต่ยังดูแลภูผากับฟ้าครามเหมือนเดิมทุกอย่าง ทำอาหารบำรุงสุขภาพให้กิน เตรียมยาไว้ให้ แต่ไม่พูดด้วย ใช้ความเงียบเป็นการลงโทษ จนถึงตอนนี้แม่ลูกก็ยังไม่ได้คุยกันเลย ท่าทางคราวนี้อาแอ๋มจะโกรธมากจริงๆ

น้ำเสียงพี่เฟิร์สฟังดูไม่เครียดเลยสักนิด ติดจะขำๆ ด้วยซ้ำ จนผมอดถามด้วยความแปลกใจไม่ได้ สุดท้ายพี่แกเลยสารภาพว่าเคยหนีออกจากบ้านไปค้นหาตัวเองตอนอยู่ปีหนึ่งจะขึ้นปีสอง แต่พี่แกไปตอนปิดเทอมอย่างคนไตร่ตรองไว้ก่อน (มีหัวคิดกว่าไอ้แฝดที่หนีไปช่วงสอบเป็นกอง) แถมพี่แกยังเขียนจดหมายทิ้งไว้ คนที่บ้านเลยไม่เป็นห่วงเหมือนตอนไอ้แฝดหาย

บางทีผมว่าที่ภูผากับฟ้าครามทำแบบนี้ มันอาจจะเพราะมีแบบอย่างเป็นพี่เฟิร์สก็ได้นะ=_=

ก็ถึงว่า…อาสินธุ์ถึงบอกว่าไม่ใช่ความผิดผมๆ ก็นี่มันพฤติกรรมเลียนแบบพี่ชายตัวเองชัดๆ เลยนี่หว่า!

กูไม่น่าเป็นห่วงพวกมึงเลยจริงๆ!

ถึงอาแอ๋มจะโกรธสองคนนั้นแค่ไหน แต่ก็ไม่มีแม่คนไหนจะทนเห็นลูกสอบตกได้ลงคอหรอก วันต่อมาอาแอ๋มก็เลยโทรมาขอให้ผมไปติวให้สองคนนั้นอีกจนได้ ผมต้องต่อสู้กับใจตัวเองอย่างหนัก ใจนึงก็อยากไป อยากเห็นหน้าสองคนนั้น อยากจะไปเห็นให้ชัดๆ กับตาว่าภูผากับฟ้าครามหายดีแล้ว แต่อีกใจก็บอกว่าผมไม่ควรไปเจอหรือใจดีกับสองคนนั้นอีก ไม่งั้นจะดูเหมือนผมไปให้ความหวัง แล้วเรื่องมันก็จะวนกลับมาเป็นลูปเดิมๆ อีก

ในที่สุดผมก็ตัดใจตอบปฏิเสธอย่างหนักแน่นไป แต่ผมยังไงก็ยังเป็นผม ไม่สามารถจะทำใจจืดใจดำได้เด็ดขาดเหมือนอย่างไอ้โซล สุดท้ายจึงได้แต่โทรหาซินเซียร์ น้องรหัสปีหนึ่งของตัวเองที่บังเอิญเป็นเด็กทุนเรียนดีเหมือนผม (ยังจำเจ้าเด็กหลงที่โดนอาจารย์แกล้งอำได้ไหมครับ ไอ้นี่แหละ!) ให้ช่วยไปติวสองคนนั้นให้ที แลกกับการพาไปเลี้ยงบิงซูกับชาบูเจ้าที่เพิ่งเปิดใหม่ ก่อนจะฝากฝังให้ไอ้ไก่พามันไปบ้านไอ้แฝดด้วยโดยกำชับไม่ให้พวกมันบอกเด็ดขาดว่าผมเป็นคนขอให้ซินเซียร์มาสอนแทน

(จบบทที)







(บทฟ้าคราม)



แม้ว่าพวกเราจะได้สิทธิ์ให้ขอสอบย้อนหลังได้เนื่องจากอาการเจ็บป่วย แต่ทางมหาวิทยาลัยก็กำหนดวันเวลาสอบมาให้ในเวลากระชั้นชิดและสอบวันละหลายๆ วิชารวดเดียว จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมกับไอ้ภูจะอ่านทั้งแปดวิชาที่จะสอบได้ทันในเวลาเท่านี้ แต่โชคดีที่ไอ้ขวดมันแอบมาบอกข้อสอบแถมยังมีไอ้ซินเซียร์เพื่อนไอ้ขวดที่มาจากสาขาโยธา (ปีหนึ่งทุกสาขายังเรียนวิชาเหมือนกันอยู่) ช่วยติวให้อีกแรงซึ่งที่จริงมันผิดกฎของมหา’ ลัย แต่อย่างพวกผมน่ะหรอจะแคร์ หึๆ เพื่อเอาตัวรอดพวกเราทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ

“ทำไมต้องติวอีกวะ แค่จำข้อสอบที่พวกมึงบอก พวกกูก็ทำได้เกินครึ่งแล้ว” ผมว่าอย่างเกียจคร้านเมื่อไอ้ขวดกับไอ้เซียร์บอกข้อสอบพวกผมจบ และไอ้เซียร์กำลังกางสมุดshort note ของมันเพื่อเริ่มสอนเนื้อหากลางภาคตั้งแต่ต้น

“พวกมึงสองคนอย่าเข้าใจผิดนะ ถึงพวกกูจะเอาข้อสอบมาบอก แต่อาจารย์เขาไม่ได้ให้พวกมึงทำข้อสอบชุดเดียวกับพวกกูหรอกนะ แนวมันอาจจะคล้ายๆ แต่ไม่มีทางเหมือนกันหมดแน่ ดีไม่ดีอาจจะยากกว่าด้วยซ้ำ”

“เฮ้ย! จริงดิ! กูก็นึกว่าเขาจะให้สอบข้อสอบชุดเดียวกับมึง แต่แค่หักคะแนนออก” ไอ้ภูถามอย่างตกใจ

“ขืนให้ทำข้อสอบชุดเดียวกัน เกิดกูขี้เกียจอ่านหนังสือกูก็ไปเดินให้มอ’ ไซค์เฉี่ยวเล่น เอาแบบให้ต้องหยอดน้ำข้าวต้มสักหน่อยแล้วเอาใบรับรองแพทย์ไปยื่นขอสอบย้อนหลัง รอเพื่อนที่สอบเสร็จเอาข้อสอบมาบอก มันก็ไม่แฟร์กับคนอื่นที่สอบไปก่อนสิวะ” ไอ้ขวดว่า ไอ้ซินเซียร์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย

“อาจารย์เค้าจะลงทุนออกข้อสอบใหม่เพื่อพวกกูเลยหรอวะ-*-” ผมถาม

“โง่อีก! พวกมึงคิดว่าอาจารย์เค้าจะใช้ข้อสอบชุดเดิมมาสอบเป็นสิบๆ ปีเลยหรือไง เขาต้องปรับเปลี่ยนข้อสอบทุกปีอยู่แล้ว เขาอาจจะดึงข้อสอบที่เคยใช้สอบเมื่อหลายปีก่อนมาให้พวกมึงทำก็ได้ มีตั้งเป็นสิบๆ พ.ศ.ให้เลือก ไม่ต้องมานั่งออกใหม่หรอก”

“โอ๊ยยยยยยยยยยยย! อะไรกันนักกันหนาวะเนี่ยยยยย!” ผมกับไอ้ภูประสานเสียงโหยหวน ก่อนจะโดนม้วนกระดาษของไอ้ขวดฟาดหัว

“ทำตัวเอง สมน้ำหน้า” มันยักไหล่ใส่พวกผม มองมาอย่างสมน้ำหน้า ก่อนจะฝากให้ซินเซียร์ช่วยติวต่อเพราะไอ้ขวดมันบอกว่ามันไม่ถนัดอธิบายเท่าไหร่ ก่อนที่มันจะปีนขึ้นไปนอนเล่นบนเตียงพวกผมแล้วหยิบการ์ตูนในตู้มานอนอ่านสบายใจเฉิบ









“ถูกอีกแล้ว ภูกับครามหัวไวมากเลย นี่แสดงว่าพื้นฐานดีอยู่แล้วนะเนี่ย” ซินเซียร์ชมเปาะ แย้มรอยยิ้มกว้างอย่างพออกพอใจในผลการสอน

“เราฟังอาจารย์เข้าใจในห้องเลคเชอร์มาบ้างแล้วอ่ะ” ผมตอบ ซินเซียร์มันเป็นคนพูดจาสุภาพกับเพื่อนๆ ครับ ไม่ใช้สรรพนามกูมึงแต่จะใช้การเรียกชื่อแทน ทำให้ผมกับไอ้ภูรู้สึกเกรงใจไม่กล้าพูดคำหยาบกับมัน

แอ๊ดดดดดด

“ภูคราม แม่เรียกกินข้าว…อ้าว ได้ยินเสียงติว นึกว่าทีซะอีก เห็นเมื่อวานแม่โทรไปตื๊อ เพื่อนหรอกหรอ?” พี่เฟิร์สโผล่หน้าเข้ามาในชุดทำงาน ท่าทางจะเพิ่งกลับจากบริษัทแล้วโดนแม่ (ที่ยังไม่ยอมพูดกับพวกผม) ใช้มาตามไปกินข้าว

“พี่เฟิร์ส นี่ไอ้ขวด กับ ซินเซียร์ เพื่อนที่มหา’ ลัยครามเอง วันนี้เพื่อนครามมาช่วยติวให้ …. ส่วนนี่พี่เฟิร์ส พี่ชายพวกกูเอง” ภูผาแนะนำเพื่อนๆ กับพี่เฟิร์สให้รู้จักกัน หลังจากทักทายทำความรู้จักกันแล้ว พวกเราก็พากันลงไปทานข้าวที่ห้องอาหาร

แม่ท่าทางจะถูกใจไอ้ซินเซียร์มาก เพราะมันยิ้มเก่ง พูดจามีสัมมาคารวะ แถมยังหน้าตาดีปนน่ารักเหมือนพวกไอดอลญี่ปุ่น ที่สำคัญการที่มันกินเอาๆ ท่าทางเจริญอาหารพร้อมเอ่ยชมฝีมือแม่ไม่ขาดปากก็ทำให้แม่แทบจะถีบพวกเราตกกระป๋องแล้วแต่งตั้งมันขึ้นมาเป็นลูกแทนอยู่ซะเดี๋ยวนั้น

หลังกินข้าวเย็นเสร็จ ไอ้ขวดกับไอ้เซียร์ก็ลากลับ แม่ห่อกับข้าวให้สองคนนั้นเอากลับไปบ้านคนละหลายถุง ขอบใจแล้วขอบใจอีก ก่อนจะให้รถตู้ไปส่งสองคนนั้นกลับบ้าน

ผมมองสมุดโน้ตที่มีกลิ่นอับและรอยเหลืองที่ขอบเล็กน้อย ซึ่งเป็นสมุดที่ไอ้ซินเซียร์หอบมา และพวกเราขอยืมไว้อ่านก่อน

ไอ้ขวดบอกว่ามันเห็นไอ้ซินเซียร์เรียนเก่ง ก็เลยขอให้มาช่วยติวให้อีกแรง ...น่าเชื่อตายชักกก ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา ไม่ยักเคยเห็นสองคนนั้นคุยกันมาก่อนเลยด้วยซ้ำ เดินผ่านกันก็หลายครั้ง ไม่เคยทักกันสักครั้งเดียว แล้วอยู่ๆ มันดันไปรู้ว่าอีกฝ่ายเรียนเก่ง แถมยังไปขอให้มาสอนได้อีก อะเมซิ่งไปมั้ยวะ?

แถมพอถามไปถามมา ปรากฏว่าเรียนคนละสาขาอีก แม้ว่าวิศวะปี1ทุกสาขาจะเรียนเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่แต่ละสาขาจะเรียนกันคนละเซคชั่น โอกาสจะไปตีซี้สนิทสนมกับสาขาอื่นก็ยิ่งน้อย แถมมันยังตัวติดกับพวกผมมาตลอด แค่อาทิตย์เดียวที่พวกเราลงใต้ มันจะไปตีซี้เด็กโยธาได้ขนาดนี้เลยงั้นหรอ?

แล้วทำไมถึงต้องเป็นเด็กโยธา ทำไมไม่ชวนเพื่อนสาขาเครื่องกลที่เรียนเซคชั่นเดียวกันอาจารย์คนเดียวกันมาสอนล่ะ? ไปเอาเด็กโยธาที่เรียนกันคนละอาจารย์มาสอนทำไม?

นอกจากนี้บรรดาโน้ตสรุปต่างๆ ที่ซินเซียร์มันหอบมาให้พวกผมอ่าน ตอนแรกก็นึกว่ามันสรุปเอง แต่ที่ไหนได้ พอมองดูเต็มๆ ตาถึงได้เห็นว่าลายมือนี้มันโคตรรรรรรรคุ้นตา

ชัดเจนที่สุดคือตัว T เล็กๆ ที่เขียนด้วยปากกาสีเขียวมุมกระดาษ ที่แม้จะจางลงไปตามกาลเวลา แต่เมื่อสังเกตดีๆ ก็มองเห็น

“พี่ทียังไงก็ยังเป็นพี่ทีอยู่วันยังค่ำ…” ไอ้ภูอ่านชีทสรุปพลางยิ้มมุมปาก

“เล่นมาใจดีด้วยแบบนี้ แล้วจะให้ตัดใจลงได้ยังไง…” ผมพูดยิ้มๆ ก่อนจะหันไปสบตากับภูผาที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วยิ้มให้กันด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์แสนกล

“เนอะ//เนอะ”



จากนี้ไป ผมกับภูเราไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว ก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าพี่ทีจะรับมือเราสองคนในรูปแบบนี้ได้อีกไหม!!



-----------------------------------------------------------------------

เผื่อใครยังไม่รู้ พี่ทีเรียนสาขาโยธา สองเเฝดเรียนสาขาเครื่องกลภาคพิเศษนะคะ^^

#เกียร์คู่ (@candleguard)

หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 37 we're back! [22/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 22-03-2018 22:21:11
กลับมาแล้ว เป็นผู่ใหญ่ขึ้นบ้างใช่มั้ยนี่ พีทีใจแข็งเหมือนกันนะเนี่ยะไม่มาดูสองแฝดเลย
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 37 we're back! [22/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-03-2018 22:49:58
หัวคงจะคิดอะไรดีๆได้นะ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 37 we're back! [22/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-03-2018 23:39:42
ชอบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ตามต่อ รอตลอด  :mew1: :mew1: :mew1:

แม้ที ไม่มาติวให้แต่ปิดแฝดไม่ได้หรอก
เรื่องส่งตัวแทนมาติวให้
ยิ่งทำให้แฝดยิ่งรักที เพราะทีใจดีกับแฝดเสมอ
          :L1: :L1: :L1:
    :pig4: :pig4: :pig4: :pig4::
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 37 we're back! [22/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 22-03-2018 23:42:01
สองคนนี้ไม่น่าใว้ใจอ่ะ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 37 we're back! [22/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 23-03-2018 02:13:25
นี่ความคิดอ่านพัฒนามากขึ้นแล้วแน่นะ ดู ๆ เหมือนยังไม่พัฒนาเลยนะ  :undecided:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 37 we're back! [22/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 23-03-2018 09:00:42
กลับมาครังนี้แฝดมันร้ายแบบมีสติค่คุณผู้โชมมมม
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 37 we're back! [22/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 23-03-2018 17:43:34
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 37 we're back! [22/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 23-03-2018 18:12:41
                                                                 ตอนที่ 37.5  แก้บน


(บทภูผา)

หลังการตามสอบย้อนหลังผ่านพ้นไปอย่างทรหด ในที่สุดเราสองคนก็สอบเสร็จกันเสียที หลังจากโดนแม่งอนมาหลายวัน ในที่สุดแม่ก็ยอมคุยด้วยจนได้ วันนี้เป็นวันเสาร์ พวกเราครอบครัววรกิจเดชสกุลพร้อมด้วยพี่เค้กแฟนพี่เฟิร์สและครอบครัวพี่ทีจึงถือโอกาสไปทำบุญกันที่วัดหลวงพ่อโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา

ตอนแรกก็สงสัยว่าทำไมต้องเป็นวัดนี้ ในที่สุดแม่ก็ยอมบอกว่าแอบมาบนเอาไว้ว่าถ้าผมกับฟ้าครามสอบติดวิศวะที่ไหนก็ได้ จะเอาไข่ต้มมาถวายพันฟอง แต่ดันลืมไปซะสนิทว่าบนเอาไว้ จนกระทั่งผมกับฟ้าครามป่วยเข้าโรงพยาบาลน่ะแหละแม่ถึงนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ไปแก้บน พอสอบเสร็จปุ้บแม่ก็เลยรีบจัดทริปแก้บนนี้ขึ้นมาปั๊บ นี่ตกลงผมกับไอ้ครามสอบติดมาได้เพราะตัวเองหรืออิทธิฤทธิ์ไข่ต้มพันฟองกันแน่? ชักไม่มั่นใจในความสามารถของตัวเอง=_=;

วันนี้พี่ทีไม่ได้มาด้วย เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ว่าพี่ทีจะต้องหาข้ออ้างเพื่อหลบหน้าพวกผม เหอะๆ

ตอนนี้พวกเราไม่ได้นอนที่คอนโดด้วยกันอีกแล้ว เรียนก็เวลาไม่ตรงกัน หนำซ้ำยังคนละตึก เวลารวมญาติไปเที่ยวก็อ้างงานที่มหา’ ลัย คิดว่าทำแบบนี้จะหลบพวกผมไปได้ตลอดหรอ? ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกมั้ง พี่ทีคงจะลืมไปแล้วว่าถึงผมกับฟ้าครามจะไม่มีอำนาจอะไรไปบังคับให้พี่แกยอมมาเจอหน้ากันได้ก็จริง แต่พวกเราสามารถชักใยคนที่มีอิทธิพลต่อพี่ทีได้ วันนี้ถือว่าพี่ทีทำพลาดแล้วที่ไม่ยอมมา!

“ป้าสาครับ ภูขอโทษนะครับที่ทำให้ทุกคนเดือดร้อนกันไปหมด” ผมยกมือไหว้แม่พี่ทีพลางทำหน้าสำนึกผิดจับใจ ไอ้ครามมองหน้าผมก่อนจะแอบหัวเราะในลำคอ

“เราสองคนกลับมาอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว คราวหลังอย่าทำอย่างนี้อีกนะลูก บ้านป้าเป็นห่วงภูกับครามมากนะ โดยเฉพาะเจ้าทีนะเป็นห่วงจนกินข้าวไม่ลง น้ำหนักลดไปตั้งหลายโลแน่ะ”

“ใช่ๆ ๆ ตอนนี้นะหน้าแหลมเป็นเพชรเลย ฮ่าๆ ๆ ” ทามหัวเราะ

“เออจริงสิ แล้วตกลงทะเลาะเรื่องอะไรกัน? ลุงถามเจ้าทีมันก็ไม่ยอมบอก ไหนบอกลุงซิเจ้าแฝด”

ฟ้าครามเหลือบมองผมแวบหนึ่งก่อนจะแต่งเรื่องอย่างรวดเร็ว

“มันเป็นความผิดพวกครามเองล่ะฮะลุงเดช …คือช่วงนั้นอีกประมาณสามอาทิตย์ก็ใกล้สอบกลางภาคพี่ทีก็เลยบอกให้ภูกับครามอ่านหนังสือสอบ แต่ทีนี้พวกเราเห็นว่ามันยังมีเวลาอ่านสักสองอาทิตย์ก่อนสอบก็ยังทันเลยไม่ยอมอ่าน เอาแต่เล่นเกมกันทุกวัน พี่ทีเห็นก็จะบ่นให้ไปอ่านหนังสือ บ่นทุกวันเลยอ่ะครับ ครามฟังบ่อยๆ เข้าก็เลยเลยเผลอพูดว่า ‘น่ารำคาญ!’ พี่ทีก็เลยน้อยใจขนของย้ายหนีกลับบ้านไปเลยอย่างที่เห็นอ่ะครับ ครามไม่ตั้งใจจริงๆ นะครับ แต่พอจะโทรไปขอโทษพี่ทีก็ไม่ยอมรับสายเลยTT” โอ้โห! เล่าได้เป็นช่องเป็นฉาก เอารางวัลบทละครทองคำไปเลยไอ้น้องชาย หึๆ ๆ ๆ

“แล้วทีนี้พอพี่ทีกลับไปแล้ว ภูกับครามก็อ่านหนังสือสอบกันเองที่ห้อง แต่พอมาถึงหนึ่งอาทิตย์ก่อนสอบ ภูเครียดจนทนไม่ไหว ก็เลยชวนครามหนีลงใต้ไปเที่ยวกันอ่ะครับ เรื่องก็มีแค่นี้แหละ”

แล้วพวกผมก็ต้องนั่งฟังพวกผู้ใหญ่เทศนาอีกกว่าหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ ไม่น่าเริ่มเรื่องขึ้นมาเล้ยยย แต่เอาวะ! เพื่อให้แผนสำเร็จก็ต้องยอมแลกกันบ้าง

หลังจากร่วมด้วยช่วยกันเทศน์พวกผมจนขี้หูเต้นระบำเสร็จแล้ว ป้าสา (แม่พี่ที) ก็บ่นลูกตัวเองบ้าง

“เจ้าทีนี่ก็ขี้ใจน้อยจริงๆ เลย หนักนิดเบาหน่อยก็ไม่หยวน ก็น่าจะรู้ว่าน้องไม่ได้ตั้งใจยังจะไปถือสาน้องอีก” ป้าสาบ่น

“โอ๊ย! พี่สา ลูกแอ๋มมันปากจัดจะตาย แอ๋มไม่แปลกใจหรอกที่เจ้าทีมันจะทนไม่ไหวแล้วย้ายกลับบ้าน ภูครามมันคงไปกวนจนทำให้ทีไม่มีสมาธิอ่านหนังสือล่ะสิเค้าเลยย้ายกลับ แอ๋มรู้นิสัยลูกแอ๋มดี ทั้งเรื่องมาก! ทั้งกวนประสาท! ผู้หญิงที่ไหนเขาจะเอา ฉันล่ะสงสารเมียพวกมันในอนาคตจริงจริ๊งงง” หน็อยๆ นินทากันระยะเผาขนเลยนะแม่-*- น้องภูยอมบ่ได้!

“อะไรแม่! ภูออกจะรูปหล่อ พ่อรวย เนี่ยได้ยินรุ่นพี่คุยกันว่าภูเป็นตัวเต็งเดือนคณะเลยนะไม่อยากจะบอก! โด่! ขี้คร้านหัวกระไดจะไม่แห้งเลยสักวันนะครับคุณแม่”

“ใช่ๆ ๆ นอกจากจะหล่อแล้วยังเรียนเก่งถึงขนาดสอบติดวิศวะมอดังอีกต่างหาก โปรไฟล์ดีขนาดนี้ขี้คร้านจะมีลูกสะใภ้แห่มาให้แม่เลือกไม่หวาดไม่ไหว” ไอ้ครามรีบเสริม

ได้ยินดังนั้นทุกคนในรถถึงกับพร้อมใจกันอ้วกอย่างไม่ได้นัดหมาย

“แหวะะ!!!”

ในรถตู้เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะพูดคุยอย่างเป็นกันเอง ก่อนที่รถจะเคลื่อนเข้าสู่เขตวัดในที่สุด

หลังจากถวายไข่แก้บนเสร็จ พวกเราก็เดินเล่นซื้อของฝากกันอีกเล็กน้อยก่อนจะกลับบ้านกัน รถตู้แวะส่งพี่เค้กก่อน จากนั้นจึงขับตรงไปยังบ้านพี่ทีเป็นลำดับถัดไป

“เออแม่ ไหนๆ แม่ก็ให้รถตู้ไปส่งพวกภูที่มหา’ ลัยทุกเช้าอยู่แล้ว แวะรับพี่ทีไปด้วยกันเลยดีมั้ย ไหนๆ ก็ทางผ่านอยู่แล้ว พี่ทีจะได้ไม่ต้องโหนรถเมล์ไปเรียนไง ประหยัดค่ารถด้วย” ผมเสนอเมื่อสบโอกาสเหมาะ

“อืม ก็ดีนะ อันนี้แม่เห็นด้วย ไหนๆ ก็ต้องผ่านหน้าบ้านป้าสาทุกวันอยู่แล้ว …พี่สาว่าไงคะ ให้รถบ้านแอ๋มแวะรับไหม ไหนๆ ก็ทางผ่านอยู่แล้ว แล้วตอนเย็นก็รับกลับพร้อมกันเลย”

“โอ๊ย! เกรงใจแอ๋มเปล่าๆ เดี๋ยวเจ้าทีตื่นสายจะพาน้องสายไปด้วยนะสิ” ป้าสาโบกมือไปมา ชิ! ตามน้ำหน่อยสิครับป้า

“ตารางเรียนไม่เหมือนกันจะไม่ลำบากหรอคะ แบบว่าบางวันพี่ทีเรียนแปดโมง แต่พี่แฝดเรียนเก้าโมงอย่างนี้จะทำยังไง แล้วบางครั้งพี่ทีก็กลับดึกมากด้วย พี่แฝดก็ต้องมานั่งรอนะ ทามว่าต่างคนต่างกลับเหมือนเดิมไม่ดีกว่าหรอ?” นั่งเงียบๆ มาได้ตั้งนาน ทำไมไม่นั่งเงียบๆ ต่อไปจนถึงบ้านล่ะครับน้องทาม เปิดปากพูดขัดเพื่อ!?

“งั้นก็ไปกลับด้วยกันเฉพาะวันที่เวลาใกล้เคียงกันมั้ยล่ะ วันไหนไม่ตรงกันก็ต่างคนต่างกลับ” แม่เสนอความเห็น

“เออจริงสิ เห็นว่าช่วงนี้ทีไม่ค่อยแข็งแรงไม่ใช่หรอครับป้าสา วันก่อนทีบอกเฟิร์สว่าเพิ่งไปหาหมอโรคภูมิแพ้มาเอง” จู่ๆ พี่เฟิร์สก็โผล่งขึ้นมาอย่างนึกขึ้นได้

“อ้าว! ป้าไม่เห็นรู้เรื่องเลย ..เจ้าทีได้บอกพี่เดชไว้ไหม?” ลุงเดชส่ายหัว ทามก็ส่ายหัวด้วย เป็นอันว่าไม่มีใครรู้เรื่องที่ทีไปหาหมอเลยสักคน

“สงสัยคงไม่อยากให้พวกเราเป็นห่วง เฮ้อ! เจ้าลูกคนนี้นี่ เป็นอะไรก็ชอบเก็บเงียบ ไม่ค่อยจะยอมบอกอะไรใครหรอก” อันนี้ผมเห็นด้วยสุดๆ ไปเลยครับป้า

“เช้าๆ รถติดมาก นั่งดมควันรถมันไม่ดีกับคนเป็นภูมิแพ้หรอกเชื่อพี่เถอะ เอาตามนี้ละกันนะ ไม่ต้องเกรงใจหรอก ยังไงก็ทางผ่านอยู่แล้วด้วย …เจ้าแฝด ถ้าพี่เค้ามาด้วยก็อย่าไปพูดจาไม่ดีหรือไปกวนพี่เค้าอีกนะเข้าใจไหม” พ่อหันมาพูดกับป้าสา ก่อนจะหันมาสั่งพวกเรา

“ได้ครับพ่อ ภูสัญญาว่าเราสองคนจะนั่งนิ่งๆ เป็นเด็กดี ..เย้! ดีจังเลย เผื่อภูมีการบ้านสงสัยจะได้ถามพี่ทีในรถได้ด้วย” ผมฉีกยิ้มกว้างอย่างเก็บความดีใจไม่อยู่เมื่อเห็นว่าป้าสาชักจะโน้มเอียงมาทางเราทุกทีๆ

“หรอลูก ถ้ามีอะไรสงสัยก็ถามพี่เค้าได้เลยนะจ๊ะ …งั้นพี่คงต้องขอรบกวนด้วยนะแอ๋ม”

“โอ๊ย! รบกงรบกวนอะไรกัน ทางแอ๋มต่างหากที่ชอบไปรบกวนบ่อยๆ”

บทสนทนาระหว่างแม่และป้าสายังคงดำเนินต่อไป ผมกับฟ้าครามแอบสบตากัน ก่อนจะยิ้มอย่างผู้ได้รับชัยชนะ

พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์พี่ทีน่าจะอยู่บ้านทั้งวันแน่ๆ จะทำยังไงให้ได้มาที่นี่พรุ่งนี้ดีนะ…

“ป้าสาครับ เดี๋ยวภูขอเข้าห้องน้ำหน่อยนะ ปวดมากเลยเนี่ยจะอั้นไม่ไหวแล้ว” ว่าแล้วพอรถจอดที่หน้าบ้าน ผมก็รีบพุ่งเข้าไปทันที ผมรีบเดินขึ้นไปชั้นสอง ไฟทางเดินปิดมืดสนิทแสดงว่าไม่มีใครอยู่บ้าน สงสัยพี่ทีจะยังไม่กลับ ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำ หยิบกระเป๋าตังค์ออกจากกระเป๋ากางเกงแล้ววางแอบๆ ไว้บนชั้นวางแชมพู ก่อนจะรีบวิ่งลงไปข้างล่าง

(จบบทภูผา)





มากรีดร้องกับความเจ้าเล่ห์ของเด็กแฝดกันได้ที่ #เกียร์คู่ (@candleguard) แอบรอเธออยู่นะจ๊ะ><
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 37.5 แก้บน [23/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 23-03-2018 18:45:56
ไอแฝดนรก  :m31:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 37.5 แก้บน [23/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 23-03-2018 19:41:34
แล้วแฝด ก็วางแผนพิชิตใจทีต่อไป   :hao5: :hao5: :hao5:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 37.5 แก้บน [23/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-03-2018 20:29:47
เอาแล้วๆ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 37.5 แก้บน [23/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 23-03-2018 23:51:50
แสบจริงๆ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 37.5 แก้บน [23/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 24-03-2018 06:17:46
มาเหนือเมฆจริงๆสองแฝด
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 37.5 แก้บน [23/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 24-03-2018 08:44:04
แฝดมันร้ายยย
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 37.5 แก้บน [23/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 24-03-2018 10:46:28
 :ling1: :ling1:ร้าย
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 38 ไข่พะโล้ [24/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 24-03-2018 15:57:09
                                                            ตอนที่ 38  ไข่พะโล้


(บทภูผา)

“แม่! ภูลืมกระเป๋าตังค์ไว้บ้านพี่ทีเมื่อกี้ตอนเข้าห้องน้ำอ่ะ” เมื่อกลับมาถึงบ้านผมก็ทำเป็นล้วงกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างอย่างตกใจ

“แน่ใจเหรอว่าลืมไว้บ้านนู้น ไม่ใช่ไปทำหล่นหายตอนอยู่ที่วัดนะลูก เฮ้อ! ทำไมไม่รู้จักระวังเลยฮะเจ้าภู” แม่บ่นพลางเอาไข่ต้มเข้าไปแช่ในตู้เย็นทีละถาดๆ

“ลองโทรไปถามป้าสาซิว่าเห็นกระเป๋าตังค์มั้ย” แม่ส่ายหัวพลางทำสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจ

“ครามโทรให้ๆ ” ไอ้ครามหยิบมือถือมากดโทรหาป้าสา ก่อนจะสอบถามเรื่องกระเป๋าตังค์ให้ผม ในที่สุดก็ยืนยันได้ว่าผม (จงใจ) ลืมกระเป๋าตังค์ไว้ที่นั่นจริงๆ

“งั้นพรุ่งนี้ภูไปเอาคืนนะแม่” ผมพูดสิ่งที่ต้องการขึ้นมาทันที

“จะไปทำไมพรุ่งนี้? เดี๋ยววันจันทร์ก็ต้องแวะไปรับทีอยู่แล้วไม่ใช่หรอ ก็ค่อยไปเอาวันนั้นเลยสิ” พ่อท้วงขณะที่มือถือรีโมตไล่เปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อยๆ

เออว่ะ ลืมนึกไปเลยว่าวันจันทร์ก็ไปเอาได้= [] = โถ่! รู้งี้น่าจะแกล้งท้องเสียหนักๆ แล้วอยู่ในส้วมนานๆ พ่อกับแม่จะได้ให้นอนค้างบ้านพี่ที ถ้าเป็นไปตามแผนจะได้ขลุกอยู่กับพี่ทีตลอดวันอาทิตย์เลยนะ แถมยังจะได้นอนค้างอีกคืนโดยอ้างว่ายังไงก็ต้องไปมหา’ ลัยพร้อมกันวันจันทร์อยู่แล้ว งั้นขอค้างที่นี่เลยละกันได้อีก ทำไมตอนนั้นไม่ทันคิดฟระ

“ก็ดีนะ แม่ว่าจะทำไข่พะโล้ไปฝากบ้านนู้นอยู่พอดี งั้นฝากภูเอาไปให้ด้วยเลยแล้วกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปเช้าหน่อยนะลูก บ้านป้าสาจะได้ทันกินเป็นมื้อเช้า” โอ๊ยยย! ทำไมแม่น่ารักอย่างงี้ >3< อยากจะกระโดดจุ๊บสักสิบทีจริงๆ เลย!

ผมเก็บความดีใจที่สมปรารถนาไว้ กอดเอวแม่แล้วหอมแก้มฟอดใหญ่ ส่วนไอ้ครามยืนมองยิ้มๆ อย่างสมใจ

“จู่ๆ มาหอมแก้ม จะอ้อนเอาอะไรฮะเรา” แม่ยิ้มพลางเอี้ยวตัวมามองอย่างงงๆ

“แค่อยากหอมแก้มคนสวยฮะ” ผมขยิบตาก่อนจะผละออกแล้วเดินขึ้นบันไดไปพร้อมกับฟ้าคราม

“เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกครามจะลงมาช่วยทำ ปลุกด้วยนะแม่” ฟ้าครามพูดทิ้งท้าย ก่อนที่ร่างของสองแฝดจะหายขึ้นไปข้างบน ทิ้งคนเป็นพ่อเป็นแม่ให้มองหน้ากันตาปริบๆ เพราะร้อยวันพันปีสองคนนี้ไม่เคยคิดจะเข้าครัวทำอาหารมาก่อน ขนาดเรียกมาช่วยเป็นลูกมือยังเกี่ยงกันแทบตาย

(จบบทภู)



“คุณรู้สึกมั้ยว่าเดี๋ยวนี้ลูกเราเปลี่ยนไป” คุณจารุวรรณ หรือ คุณแอ๋มเดินไปนั่งข้างๆ สามี

“นั่นสิ ตั้งแต่กลับมาจากใต้ก็รู้สึกว่าเปลี่ยนไปนิดหน่อย การพูดการจา ท่าทาง แววตา ดูโตขึ้นนะ ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า จริงๆ ผมรู้สึกว่าลูกเราค่อยๆ เปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนไปติวกับทีแล้ว” คุณสินธุ์ตอบด้วยสีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิด ดวงตาคมปลาบเปล่งประกายอะไรบางอย่าง

“ฉันก็รู้สึกแบบคุณค่ะ รู้สึกเหมือนมันมีอะไรแปลกๆ บอกไม่ถูก …”

คุณสินธุ์มองหน้าภรรยา ประกายในดวงตาอ่อนแสงลง

“ไม่ต้องไปคิดมากหรอก ลูกเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีก็ดีแล้ว ..ป่ะ คุณ ขึ้นข้างบนกันเถอะ ดึกมากแล้ว ไหนพรุ่งนี้ว่าจะตื่นมาทำพะโล้แต่เช้าไง เดี๋ยวตื่นไม่ไหวนะ”

คุณจารุวรรณพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินขึ้นห้องนอนไปด้วยกัน เรื่องที่คุยกันเมื่อครู่ดูเหมือนจะกลายเป็นเพียงสายลมที่ปลิวหายไปจากความคิดของคุณจารุวรรณ แต่ไม่ใช่กับคุณสินธุ์อย่างแน่นอน



(บทที)

“อ้าวที! แต่งตัวซะหล่อจะออกไปไหนลูก” แม่เอ่ยทักเมื่อผมเดินลงมาด้านล่างในชุดไปรเวท

“อ๋อ นัดกับรุ่นน้องไว้น่ะครับ” ผมตอบโดยไม่ลงรายละเอียด ก่อนจะหยิบรองเท้าผ้าใบมาเปลี่ยนแทนรองเท้าอยู่บ้าน

“ไม่รอกินข้าวเช้าก่อนค่อยไปล่ะลูก เมื่อกี้อาแอ๋มโทรมาว่าจะเอาไข่พะโล้มาให้ น่าจะใกล้ถึงแล้วล่ะ”

ผมชะงักมือที่กำลังผูกเชือกรองเท้าไปเล็กน้อย

“อาแอ๋มจะมาอีกแล้วหรอครับ?”

“เปล่าหรอกจ้ะ เห็นว่าจะฝากน้องมา พอดีเมื่อวานน้องลืมกระเป๋าตังค์ไว้ด้วย คงมาเอาคืนไปเลยทีเดียว เออจริงสิ! เมื่อวานแม่คุยกับอาแอ๋มแล้ว แม่ว่าจะบอกทีว่า…”

“เดี๋ยวเย็นๆ ค่อยกลับมาคุยแล้วกันนะแม่ ทีรีบอ่ะ ไปก่อนนะครับ” ผมรีบยกมือไหว้แล้วคว้ากระเป๋าเดินออกจากบ้าน

“เย็นนี้กลับมากินข้าวมั้ยลูก!” เสียงแม่ตะโกนถามไล่หลังมา

“ไม่กินครับแม่” ผมหันไปตอบ พอหันกลับมาก็เห็นรถตู้คันคุ้นตาค่อยๆ แล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน ยังไม่ทันที่รถจะจอดดีประตูบานเลื่อนก็เปิดออก

ผมรีบโบกมือเรียกรถสองแถว ขณะที่รถสองแถวค่อยๆ แล่นเข้ามาจอดริมฟุตบาท ภูผากับฟ้าครามก็ก้าวออกมาจากรถตู้ ผมหันไปสบตากับสองคนนั้นเข้าพอดี

เหมือนเวลาหยุดนิ่งไปชั่วขณะ อยู่ๆ ความรู้สึกคิดถึงก็เต็มตื้นขึ้นมาในหัวใจ ลำคอรู้สึกตีบตัน หน้าอกเหมือนถูกอะไรสักอย่างกดทับจนอึดอัดไปหมด

ทั้งๆ ที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาเกือบจะสามสัปดาห์แล้วนับจากวันที่ผมย้ายออกจากคอนโด ทั้งที่โกรธสองคนนั้นจนแทบจะบ้าตาย ทั้งที่ตั้งใจว่าจะตัดใจ แต่ทำไมแค่ชั่ววินาทีที่สบตากันผมถึงรู้สึกว่าความพยายามทั้งหมดของผมนั้นกำลังพังทลายนะ

ปี๊นนนน ปี๊นนนนนนน

ผม ภูผา และฟ้าครามสะดุ้งพร้อมกันเมื่อได้ยินเสียงแตรจากรถสองแถว ผมจึงได้สติรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นรถไป

ผมพยายามห้ามตัวเองไม่ให้หันไปมอง แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะหันไปอยู่ดี

ทั้งที่คาดว่าจะได้เห็นสีหน้าไม่พอใจของสองคนนั้น แต่ภูผาฟ้าครามกลับมองมาที่ผมนิ่งๆ แล้วหันกลับไปสนใจกับการกดกริ่งประตูบ้านแทน ทั้งที่คิดว่าสองคนนั้นจะมองตามผมมาจนลับสายตาแต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด ทำไมผมต้องรู้สึกหงุดหงิดด้วยนะ ไม่เข้าใจตัวเองเลย

วันนี้ที่จริงผมตั้งใจจะอยู่ทานข้าวเช้าที่บ้านก่อน จากนั้นค่อยไปนั่งอ่านหนังสือที่ห้องสมุดคณะ แล้วบ่ายๆ เย็นๆ ก็ค่อยพาซินเซียร์ไปเลี้ยงตามสัญญา แต่กลับต้องออกมาก่อนที่จะได้กินข้าว ผมจึงต้องไปหาอะไรกินที่โรงอาหารก่อนจะขึ้นห้องสมุด

ผมใช้เวลาตลอดช่วงเช้าทบทวนและทำสรุปเนื้อหาทั้งหมดที่เรียนไปในสัปดาห์ที่แล้วรวมถึงอ่านเนื้อหาล่วงหน้าจนเสร็จ ช่วงบ่ายก่อนจะถึงเวลานัดผมจึงเดินหาหนังสืออ่านเล่นไปพลางๆ เจอเล่มไหนน่าสนใจก็ยืนอ่านตรงนั้น จนกระทั่งมาถึงด้านในสุดของห้องสมุดคณะที่เป็นที่เก็บวิทยานิพนธ์และหนังสือรุ่น จู่ๆ ภาพเกียร์โลหะเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนที่เคยเจอในห้องภูผาฟ้าครามก็แวบเข้ามาในหัว ด้านในมันเขียนว่าอะไรนะ…ผมพยายามเค้นภาพในความทรงจำ…



CE 38 VA …Civil Engineer รุ่นที่ 38 ส่วน VA น่าจะเป็นชื่อเจ้าของ



ปกติบนเกียร์จะสลักแค่ตัวย่อสาขากับลำดับรุ่นเพราะการสลักชื่อจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นนอกจากนี้ยังเสี่ยงต่อการสลักชื่อรุ่นน้องผิด เพิ่งจะเริ่มปีที่แล้วเองที่มีการสั่งสลักชื่อด้วยฟอนต์ของคณะลงไปบนเกียร์ คาดว่าเจ้าของเกียร์อันนั้นคงขี้เกียจไปหาร้านสลักชื่อจึงใช้ของมีคมกรีดหลายๆ รอบเพื่อให้เป็นตัวอักษรแทน

ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมหยิบหนังสือของรุ่น38ขึ้นมา ไล่สายตาไปตามสารบัญ เปิดไปที่ส่วนของสาขาโยธา เปิดผ่านภาพถ่ายรวมรุ่นไปยังหน้าที่แสดงภาพถ่ายรวมถึงข้อมูลสำหรับติดต่อนักศึกษาแต่ละคน ผมไล่อ่านชื่อเล่นที่อยู่ในวงเล็บของทุกคนไปเรื่อยๆ แต่แทนที่จะเจอคนชื่อ’ วา’ กลับไปสะดุดตากับคนชื่อ ‘ปอ’ แทน



นาย ปกรณ์ ศิลป์ฉาย (ปอ) เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง

ที่อยู่: xxxxxxxxxxxxxxxx

e-mail: xxxxxxxxxxx

โทร: xx-xxxxxxx



ในรูปคือภาพอาจารย์ปกรณ์สมัยยังเรียนอยู่ไม่ผิดแน่ ดูเหมือนอาจารย์ในตอนนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปจากแต่ก่อนเท่าไหร่เลย

เพิ่งจะรู้ว่าอาจารย์จบรุ่น 38 นะเนี่ย…

ครืดดดดด ครืดดดด

ผมหยิบมือถือขึ้นมาสไลด์กดรับ เป็นเจ้าซินเซียร์ที่โทรมาบอกว่าตอนนี้รออยู่หน้าตึกแล้ว

ผมไล่อ่านไปจนถึงคนสุดท้าย ก็ไม่เจอคนชื่อวา …หรือบางที VA จะเป็นอักษรย่อกันนะ ผมไล่อ่านชื่อนามสกุลของทุกคนอีกรอบ ไม่มีใครชื่อขึ้นต้นด้วยV นามสกุลขึ้นต้นด้วยAเลย มีแค่อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ผมวางหนังสือกลับเข้าที่เดิม แม้ความอยากรู้จะยังติดอยู่ในหัว แต่ก็ไม่อยากให้น้องรอนานจึงตัดสินใจเดินกลับไปเก็บกระเป๋าลงไปหน้าตึกตามนัด







เช้าวันจันทร์—



“เป็นยังไง ไข่พะโล้อร่อยมั้ยที อาแอ๋มฝากถาม” แม่ถามขณะวางแก้วน้ำส้มลงใกล้มือผม

“บอกอาแอ๋มว่า อร่อยมว๊ากกกกเลยครับ” ผมพูดยิ้มๆ ขณะตักไข่ฟองที่สามใส่ปาก

“หม้อนี้อาแอ๋มบอกว่าน้องแฝดทำเองหมดเลยนะลูก” แม่นั่งลงฝั่งตรงข้ามพร้อมกับเอื้อมมาตักไข่พะโล้ไปกินบ้าง

“แค่กๆ ๆ ๆ เมื่อกี๊แม่ว่าไงนะครับ”

“แม่บอกว่าไข่พะโล้หม้อนี้ฝีมือน้องแฝด” มันจะแอบใส่อะไรแปลกๆ มาให้กูกินมั้ยเนี่ย=_=;

“เมื่อวานกินแล้วท้องไม่เสียใช่มั้ยทาม” ผมหันไปถามน้องสาวที่นั่งดูข่าวไปกินข้าวไปอยู่ข้างๆ

“ก็ไม่นะ… ทามว่าอร่อยดี พี่แฝดบอกว่าสูตรนี้คิดค้นเองใส่ผงแกงกะหรี่ญี่ปุ่น ช็อกโกแลต แล้วก็แอ๊ปเปิ้ลด้วยแหละ หอมดีเนอะ”

= [] =!! ไข่พะโล้ใส่ผงกะหรี่ ช็อกโกแลต แล้วก็แอ๊ปเปิ้ลเนี่ยนะะะ!??

คะ…คายทิ้งทันมั้ยวะ…แต่ก็กินไปสามฟองแล้วอ่ะ+_+…หรือผมควรไปล้วงคอดี

“พี่ทีทำหน้าตลกจัง5555 แม่ดูดิ”

“กำลังคิดว่าจะไปคายทิ้งดีมั้ยอยู่น่ะ-_-;”

“โหยยย ใจร้ายจังพี่ที พี่แฝดอุตส่าห์ตั้งใจทำ ไม่สังเกตเลยหรอ”

“สังเกตอะไร?” ก็กินไปดูทีวีไปจะให้สังเกตอะไรล่ะ

“ก็นี่ไง” ทามตักไข่พะโล้มาจ่อตรงหน้าผม ผมขมวดคิ้วก้มลงมอง บนไข่ขาวสลักเป็นคำว่า ‘i love u’





เฮ้ยยยยยยยยยยยยยย!! =////= ทำอะไรของพวกมันวะเนี่ยยยยย





ผมมองหน้าแม่กับทามอย่างร้อนตัว กลัวว่าสองคนนั้นจะเอะใจอะไรหรือเปล่า แต่แม่กับทามก็ทำสีหน้าปกติเหมือนทุกๆ วัน ผมจึงค่อยคลายความกังวล

ผมลองเอาช้อนลงไปควานๆ ไข่ใบอื่นๆ ขึ้นมาดู ไข่แทบทุกใบมีคำว่า ‘i love u’ สลักไว้หมด บางใบก็สลักเป็นรูปหัวใจ บางใบก็สลักว่า ‘LOVE ‘ อย่างเดียว

โอ้ยยย! ทำไมทำอะไรโจ่งแจ้งแบบนี้ จะประกาศให้คนทั้งบ้านกูรู้เลยหรือไงไอ้แฝดนรกกกก!!

ติ๊งต่อง ติ๊งต่องงงง

“อ๊ะ! สงสัยน้องแฝดมาแล้วแน่เลย ทามไปเปิดประตูให้พี่เค้ามารอข้างในก่อนสิลูก ทีกินเร็วๆ น้องมารอแล้วนะ”

“ห๊ะ!? อะไร ใครรอใครนะแม่?”

“ก็น้องต้องผ่านหน้าบ้านเราทุกวัน แม่ก็เลยจะให้เราไปกลับพร้อมน้องตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปน่ะสิ เมื่อวานแม่จะบอกแล้วแต่ทีก็ออกไปซะก่อน”

“แม่! ทีไปเองดะ…”

“สวัสดีคร้าบป้าสา! สวัสดีครับพี่ที เป็นไง…ไข่พะโล้อร่อยมั้ย?”

ผมอ้าปากค้าง หันไปสบตากับสองคนนั้น ก่อนที่ภูผากับฟ้าครามจะเบนสายตามองไปยังสิ่งที่อยู่ในช้อนของผม

ผมมองตาม สิ่งที่อยู่ในช้อนผมคือไอ้ไข่ไอเลิฟยูที่ดันพลิกด้านที่มีคำขึ้นมาพอดี

“ยำวุ้นเสร็จเผ็ดไปหรอที หน้าแดงเชียวลูก”

“นะ…นิดหน่อยครับแม่ ” ผมตอบ ก่อนจะรีบคว้าจานเดินหนีเข้าครัว

หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 38 ไข่พะโล้ [24/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-03-2018 16:25:12
สาธุ ให้คุณพ่อสะกิดใจแล้วคิดถูกทีเถอด
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 38 ไข่พะโล้ [24/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 24-03-2018 16:26:35
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 38 ไข่พะโล้ [24/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 24-03-2018 18:27:45
ไข่พะโล้ทำพิษ555
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 38 ไข่พะโล้ [24/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-03-2018 18:58:42
แฝดเข้าใจคิดนะ ทำไข่พะโล้ สลักคำสารภาพรักบนไข่ทุกฟองซะด้วย
คิดถึงเรื่องสังข์ทองเลย ที่แม่พระสังข์แกงฟักแล้วสลักเรื่องราวลงบนชิ้นฟัก

แล้วไข่พะโล้ของที่บ้านสลักหรือเปล่านะ แต่ยังไงจะสลักหรือไม่สลัก
ปะป๊า รู้ทันแฝดแล้ว แต่ทำเฉยๆ เพราะลูกดีขึ้นเมื่อพบที

อยากเผือกเรื่องอ.ปกรณ์แล้วอ่ะ   :ling1: :ling1: :ling1:
ใครนะวา  แต่ที ก็รู้คนนึงแล้วคืออ.ปกรณ
วา ใช่คนที่แฝดเจอตอนไปใต้หรือเปล่านะ
ภูผา ------> ที <------ ฟ้าคราม    :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 38 ไข่พะโล้ [24/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 24-03-2018 19:57:45
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 38 ไข่พะโล้ [24/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-03-2018 02:00:17
อยากรู้เรื่องเกียร์อ่ะ ถามอาจารย์ปกรณ์เลย ถามเลย ๆ  :hao3:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 38 ไข่พะโล้ [24/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 25-03-2018 09:24:53
กลับมาคราวนี้แสบกส่าเดิมใช่มั่ยนี่ รุกหนักมาก พี่ทีจะรับมือไหวมั้ย :hao3:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 38 ไข่พะโล้ [24/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: imac ที่ 25-03-2018 14:28:36
แฝดตอนนี้ดูน่ากลัว พี่ทีจะรอดมั๊ย
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 38 ไข่พะโล้ [24/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 25-03-2018 14:39:53
เนื้อเรื่องชวนตื่นเต้นมาก
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 38 ไข่พะโล้ [24/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 25-03-2018 16:33:15
                                                           ตอนที่ 38.5 คำสารภาพ


“…..” ผมนั่งเงียบ หันหน้ามองวิวนอกหน้าต่าง ในขณะที่สองคนนั้นพยายามจะชวนผมคุยตลอดเวลา

“นอกจากไข่พะโล้ พี่ทีอยากกินอะไรอีกรึเปล่า ภูจะทำมาให้กินทุกอย่างเลยนะ”

“……”

“เออ ใช่ วันก่อนพี่เอิ้บพาไปเลี้ยงชาบูร้านที่เพิ่งเปิดใหม่ด้วยแหละ โคตรอร่อยเลย พี่ทีเคยไปยัง ถ้าไม่เคยจะพาไปลอง โอ้โห อย่างงี้เลย” ฟ้าครามทำหน้าฟิน

“……”

พอเห็นว่าผมไม่มีทีท่าจะสนใจ สองคนนั้นก็หยุดพูดไปพักหนึ่ง

“ถามจริงนั่งเก๊กหน้านิ่งแบบนี้ไม่เหนื่อยหรอพี่ที ยิ้มหน่อยน่าาา”

ผมถอนหายใจ ก่อนจะหันไปทางหน้าต่างแล้วหลับตาตัดตัวเองออกจากโลกภายนอกซะ ตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าสองคนนั้นจะพูดอะไรก็จะไม่โต้ตอบหรือสนใจอีกเด็ดขาด

“…พวกเรารู้ตัวนะว่าที่ผ่านมาทำตัวไม่ดีกับพี่ซักเท่าไหร่ ชอบก่อเรื่อง สร้างปัญหาให้พี่ไม่ได้หยุดได้หย่อน เรื่องมาก เอาแต่ใจ แล้วอะไรอีกวะคราม..”

“ปากเสีย ไม่รู้จักกาลเทศะ แถมยังขี้โกหก ปลิ้นปล้อนกะล่อนตอแหลด้วย”

ตกลงพวกมึงมีอะไรดีมั่งวะ?

“พวกเราขอโทษสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมานะ”

ไม่มีทางยกโทษให้หรอกโว้ยย!

“นอกจากนี้พวกเราก็มีเรื่องมาสารภาพด้วย”

พอ! พอแล้ว! ไม่อยากได้ยิน จะมาขอความเห็นใจหรือไงกัน!?

“พี่ทีจำตอนไปค่ายอาสาได้มั้ย ที่ภูกับครามหายตัวไป แล้วสุดท้ายพวกพี่ก็ขึ้นมาเจอพวกเรานอนสลบอยู่ที่น้ำตกชั้นหกที่มีต้นไทรกับศาลเพียงตาเก่าๆ น่ะ อันที่จริงตอนนั้นภูกับครามไม่ได้สลบนะ แค่แกล้งทำเฉยๆ ”

ทันทีที่ได้ยินอย่างนั้นความรู้สึกโกรธก็พลุ่งพล่านขึ้นมาในตัวผมราวกับภูเขาไฟที่กำลังจะระเบิด ผมเกือบจะเผลอลืมตาแล้ว แต่ก็บังคับตัวเองเอาไว้ไม่ให้แสดงอาการอะไรที่บ่งบอกว่ารับรู้หรือตอบสนองกับสิ่งที่สองคนนั้นเล่ามา

“ตอนนั้นหลังจากพี่ทีว่าพวกเรากับพี่ปีสองแล้วเดินออกไป ภูกับครามก็น้อยใจพี่นิดหน่อยนะ แต่สักพักก็ลืม ไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะมาคิดๆ ดูแล้วพี่ทีก็น่าจะเตือนเพราะความเป็นห่วง ทีนี้พอเล่นๆ ไปจู่ๆ พวกเราก็เกิดความคิดที่ว่าอยากจะขึ้นไปดูว่าต้นกำเนิดของน้ำตกมันมาจากไหน ภูกับครามก็เลยอาศัยจังหวะที่พวกรุ่นพี่เผลอแอบปีนขึ้นไปทีละชั้นๆ …”

“แต่พอปีนถึงชั้น6 พวกเราก็เริ่มเหนื่อย ก็เลยนั่งพักกันแถวๆ ต้นไทร คิดว่าพักเดี๋ยวเดียวก็จะรีบกลับลงไป แต่ที่ไหนได้ดันเผลอหลับยาว รู้ตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงพี่ๆ ตะโกนเรียก ในใจตอนนั้นนี่แบบ ชิบหายแล้ววว ภูกับครามกลัวจะโดนว่าแต่ไม่รู้จะทำยังไงดีก็เลยแกล้งทำเป็นสลบไปก่อน แล้วระหว่างที่พวกพี่ๆ แบกลงมาก็ได้ยินเสียงคนพูดว่าเจ้าที่ที่นี่อาจจะแรง ภูก็เลยปิ๊งไอเดีย แกล้งทำเป็นอาละวาดเหมือนโดนของตอนที่พวกพี่ๆ แบกเข้าวัด อย่างน้อยก็จะได้ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจรุ่นพี่จากเรื่องที่ภูกับครามแอบขึ้นไปปีนน้ำตก แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ เพราะหลังจากนั้นถึงภูกับครามจะโดนตำหนิ แต่ก็โดนไม่มากเพราะพี่เค้าคิดว่าพวกเราน่าจะขวัญเสียมาพอแล้ว ทั้งที่จริงๆ แล้วมันก็แค่เรื่องโกหกทั้งเพ”

“นี่คือสิ่งยืนยันว่าที่ภูเล่ามาทั้งหมดเป็นเรื่องจริง” สัมผัสของโลหะเย็นๆ วางลงบนมือผม ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว ต้องลืมตาขึ้นมาในที่สุด สิ่งที่อยู่ในมือของผมก็คือเกียร์ที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วน ด้านในมีคำว่า CE 38 VA

“เกียร์อันนี้ครามเก็บมาจากศาลเพียงตาตรงน้ำตกชั้น6 ไม่รู้ของใคร …แล้วก็เกียร์อันนี้นี่แหละที่ตอนแรกครามจะเอามาหลอกพี่ทีตอนที่พี่ทีสั่งให้ไปขอเกียร์มาให้ได้แล้วจะยอมตอบคำถามของพวกเรา แต่สุดท้ายพวกเราก็ไม่ได้ทำ เพราะไม่อยากโกหกพี่ที”

ผมทอดสายตามองสองคนนั้นนิ่ง รู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่เด็กสองคนนี้เลือกทำ ไม่เข้าใจเลยว่าเรื่องที่ผ่านมาแล้วจะขุดมาสารภาพทำไมให้ผมรู้แล้วโกรธพวกมันเพิ่ม โง่หรือเปล่า ผมไม่เข้าใจสิ่งที่สองคนนี้คิดเลยจริงๆ

“ที่จะพูดมีแค่นี้ใช่มั้ย” ผมถามเสียงเรียบ

“ยังไม่หมดครับ ครามจะบอกว่า ครามกับภูเล่าเรื่องทุกอย่างที่ปิดพี่ทีเอาไว้หมดแล้ว ตอนนี้ไม่มีความลับอะไรอีกต่อไป ครามไม่ขอให้พวกเราหายกัน แล้วก็ไม่กล้าขอให้พี่ทียกโทษให้ด้วย…”

“แล้วตอนนี้พวกเราก็เข้าใจแล้วว่า พวกเราอาจจะยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจความรักอย่างที่พี่เคยพูดไว้จริงๆ …ทำให้พวกเราเผลอเรียกร้องแล้วก็ทำหลายๆ สิ่งผิดพลาดกับพี่ไป อันนี้ก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ”

สงสัยโรคไข้เลือดออกอาจจะทำมันสองคนสมองเพี้ยนไปแล้ว!

ผมมองฝาแฝดตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจยิ่งกว่าเดิม เมื่อก่อนพูดจากวนตีนแต่เข้าใจง่าย แต่มาวันนี้กลับพูดจาดีแต่เข้าใจยาก ผมรู้สึกว่าภูผาฟ้าครามในเวลานี้รับมือยากกว่าแต่ก่อนอย่างไรไม่รู้ ผมอ่านจุดประสงค์สองคนนี้ไม่ออก มองไม่เห็นแม้แต่ระลอกไหวระริกในแววตาของภูผากับฟ้าครามที่มักจะแสดงออกเวลามีแผนการอะไร ที่เห็นตรงหน้ามีเพียงสายตาแน่วแน่ที่ความร่าเริงหม่นแสงลงไปเล็กน้อย แต่กลับมีเสน่ห์บางอย่างเพิ่มเข้ามาทดแทนชวนให้จิตใจสั่นไหวอย่างประหลาด

“ภูกับครามต้องการจะบอกอะไรกันแน่” ผมจำต้องถามออกไปในที่สุดอย่างทนต่อความสับสนคลุมเครือไม่ไหว

“ภูจะบอกว่า ภูรักพี่ที…ในฐานะพี่ชายที่แสนดีของพวกเรา จากนี้ไปไม่ต้องห่วงว่าพวกเราจะล้ำเส้นอีก พี่ทีสบายใจได้ ขออย่างเดียวคือให้พี่กลับมาเอ็นดูน้องชายอย่างพวกเราเหมือนเดิมจะได้มั้ยครับ”

คำพูดที่ไม่คาดฝัน ทำเอาลำคอผมตีบตันไปชั่วขณะ ทั้งที่ผมควรจะดีใจที่สองคนนี้เข้าใจในสิ่งที่เมื่อก่อนผมคอยย้ำเตือนเสียที แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ได้ยินจากปากของภูผา เมื่อก่อนไหนบอกรักจะเป็นจะตายไม่อยากเป็นน้องชายอีกต่อไปแล้ว แต่มาวันนี้กลับบอกว่าความรู้สึกที่ผ่านมาเป็นแค่ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์แล้วมากลับคำเอาง่ายๆ ว่าอยากเป็นแค่น้องชายเหมือนเดิม ความรู้สึกมันเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ แบบนี้เลยหรอ

“…”

“…”

“ถ้าเราต้องการอย่างนั้น พี่ก็โอเค”





แล้วอย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน...ภูผาฟ้าคราม









-----------------------------------------------------

ตอนที่ลงท้าย .5 คือตอนที่เขียนสั้นๆ นะคะ^^

#เกียร์คู่ (@candleguard)
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 38.5 คำสารภาพ [25/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 25-03-2018 16:54:57
ไฟลุกเลย
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 38.5 คำสารภาพ [25/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 25-03-2018 18:31:41
แฝดมันร้าย ที่พูดเนี่ยคิดจะลองใจพี่ทีรึป่าว
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 38.5 คำสารภาพ [25/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 25-03-2018 19:01:15
ไอ้แฝดแผนการแกนี่ล้ำลึกมาก ทำตัวนิ่งไปให้พี่ทีอยู่ไม่ได้จนต้องระเบิดความในใจออกมาสินะ หึๆๆ
แฝดคู่นี้มันร้าย
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 38.5 คำสารภาพ [25/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Tiffany ที่ 25-03-2018 20:05:45
มีแผนกันอีกหรือเปล่าเนี่ยสองแฝด
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 38.5 คำสารภาพ [25/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 25-03-2018 20:50:49
ไม่อยากจะเชื่อคำของแฝดเลย
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 38.5 คำสารภาพ [25/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 26-03-2018 00:04:31
พูดดี แต่เข้าใจยาก อ่านไมออก
แถมแววตายังนิ่ง  :hao3:
แฝดโตแล้วจริงๆ พูดตรงข้ามกับความรู้สึกอีกด้วย

ที่แน่ๆ ได่ชิ้นส่วนปริศนา CE 38 VA ของวา มาแล้ว  :z3:
ที ย้อนแย้งในตัวนะ รัก ไม่รัก   :really2: :really2: :really2:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 38.5 คำสารภาพ [25/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-03-2018 02:12:22
ตกลงเกียร์ที่เก็บได้มีกี่อันกันนะ เริ่มงงแล้ว  :really2:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 38.5 คำสารภาพ [25/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 26-03-2018 12:45:14
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 38.5 คำสารภาพ [25/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 26-03-2018 18:49:38
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 38.5 คำสารภาพ [25/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 26-03-2018 18:56:34
 :mew5:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 38.5 คำสารภาพ [25/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 27-03-2018 00:03:12
                                           side story : Where are you? อยู่ไหนครับ…ที่รักของผม 2


มันเป็นอีกคืนที่ไอ้วามาท้าดวลหมากรุกกับผม

‘เบอร์โทรอื่นอาจได้ยินเสียงรอสายแบบ แบบ แบบ ว่าให้รออออออ’

‘หยุดร้องได้ป่ะ เสียสมาธิ’ ผมว่าขณะพิจารณาว่าจะเดินหมากตัวไหนต่อ

‘เฮ๊ะๆ ๆ ท่านกำลังเข้าสู่บริการรับฝากกกก หัวนมม’

‘หัวใจ!!’ ผมแก้

‘ตานี้กูมีเซนส์ว่าจะชนะแหละ’

‘พูดมาเป็นร้อยครั้งละไม่เห็นจะชนะสักที’ ผมหยิบสร้อยคอที่ห้อยเกียร์กับเฉลวที่ได้จากการชนะพนันครั้งก่อนมาเเกว่งๆ ต่อหน้าไอ้วาอย่างเยาะๆ

‘รุก’

‘แน่ใจหรอว่าจะเดินตัวนั้น’

‘อ้ากกก กูเดินผิดๆ ขอเดินใหม่ได้มั้ย น้าๆ ๆ ๆ ๆ ’

‘ไม่…รุกฆาต’





‘เพื่อนๆ!!’ เสียงไอ้วาดังขึ้นทันทีที่เปิดเข้ามาในห้อง

‘วันเสาร์นี้มีตักบาตรใหญ่ที่หอพระด้วย ไปกันมั้ย?’

‘ไปๆ ๆ ๆ ’ ไอ้ต้นตอบรับทันที

‘เราไปอยู่แล้ว’ ไอ้ไมค์มันอยู่ชมรมพุทธ

‘ปออ่ะ?’

‘กูไม่ชอบฟังพระเทศน์อ่ะ’

‘งั้นก็ใส่บาตรอย่างเดียวไม่ต้องอยู่ฟังก็ได้’

‘โอเคงั้นกูไปด้วย’

คืนนั้นพวกเราสี่คนนอนคุยกันถึงเรื่องที่จะซื้ออะไรไปร่วมถวายภัตตาหารเช้าพระเกือบร้อยรูปที่ทางมหาวิทยาลัยนิมนต์มาดี

‘กูตั้งงบไว้สองร้อย เมื่อกี้โทรถามลุงลุงร่วมด้วยอีกห้าสิบ เป็นสองร้อยห้าสิบ’

‘เราร้อยยี่สิบ’ ไมค์

‘กูร้อยนึงช่วงนี้แกลบ’ ผม

‘กูก็ร้อยนึง’ ไอ้ต้น

‘ตกลงมีตังค์ 570 อืมมม ซื้อไรดีวะ’

‘ต้มแซบที่โรงอาหารโต้รุ่งอร่อยดีนะ เอาป่ะ’

‘ตอนเช้าโต้รุ่งมันยังไม่เปิดนะเว้ย’

‘หรือไก่ย่างห้าดาวดีมั้ย’

‘หรือซื้ออะไรก็ได้ยกถาดจากโรงอาหารกลางมาเลยดี?’

ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยสนทนากับเพื่อนเรื่องแบบนี้มาก่อน ไม่เคยรู้เลยว่าแค่ช่วยกันคิดว่าจะซื้ออะไรไปถวายพระจะทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจขนาดนี้ แค่คิด…ก็มีความสุขแล้ว

ในที่สุดพวกเราก็ตัดสินใจไปซื้ออาหารที่เขาทำเสร็จใหม่ๆ ยังไม่ได้ตักขายจากโรงอาหารกลาง

ด้วยฝีปากช่างฉอเลาะของไอ้ต้นและไอ้วา แม่ค้าก็เลยยอมลดราคาไข่ตุ๋นถาดใหญ่ให้เพราะเห็นว่าเราจะเอาไปทำบุญ

‘เดี๋ยวเสร็จแล้วพวกผมเอาถาดมาคืนนะป้า’

‘เอาทัพพีไปด้วยไหมลูก’

‘ได้หรอครับ!? เย้! ป้าใจดีจังเลย’ ไอ้วาหน้าบาน

‘แต่อย่าลืมเอามาคืนล่ะ’

พอไปถึงหอพระพวกเราก็นำถาดที่ใช้ลิควิดเขียนชื่อร้านไว้ไปวางรวมกับถาดอาหารของคนอื่นๆ

หลังจากพระให้พรเสร็จ พวกเราก็เดินเตร่อยู่แถวนั้นเพื่อรอเอาถาดกลับไปคืนแม่ค้า

‘น้องๆ ว่างรึเปล่า มาช่วยแยกของใส่บาตรหน่อยได้มั้ย’

‘พี่ครับ น้ำแยกใส่ถุงนี้ใช่มั้ย’

‘ใช่ๆ ส่วนพวกข้าวสารใส่ถุงนี้นะ’

ผมได้รู้จักเพื่อนใหม่หลายคนเพราะแยกของไปคุยไปด้วย ถึงได้รู้ว่าคนที่เรียกพวกเรามาช่วยเมื่อกี้เป็นประธานชมรมพุทธกรรมฐาน

แยกของเสร็จ พระก็ฉันเสร็จพอดี และกำลังเริ่มเทศน์

‘ปอ ไหนๆ ก็มาแล้ว เข้าไปฟังพระเทศน์หน่อยเหอะว่ะ’ ไอ้วาพยายามดึงแขนผมลากเข้าไปในตัวตึก

‘ไม่เอาง่วง อยากฟังก็ไปฟังเองดิ’ ในที่สุดเพื่อนๆ ก็ยอมแพ้ สามคนนั้นเดินเข้าไปฟังพระเทศน์ในตึก ส่วนผมไปช่วยพี่ๆ ชมรมพุทธล้างพวกถาดอาหาร

ขณะที่ผมล้างถาดเสียงเทศน์ก็ดังมาตามลำโพงที่อยู่เหนือหัวผม สุดท้ายก็เลยต้องล้างไปฟังไป โถ่เอ้ย นึกว่าหนีพ้นแล้วเชียว

พอพระเทศน์จบ สามคนนั้นก็มาช่วยผมล้างถาด

‘โห อนุโมทนาสาธุด้วยนะน้อง ล้างถาดกันมาเป็นชั่วโมงแล้วสุดยอดเลย’ พี่ประธานเดินมาเอ่ยชมพวกเรา

‘ป่าวคับ คือพอดีรอเอาถาดกับทัพพีไปคืนแม่ค้า แล้วมันหาไม่เจอเลยต้องมาล้างหาตรงนี้’ ไอ้วาตอบ

‘อ้าวหรอ เป็นงั้นไป ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ’ พี่แกหัวเราะเสียงดังก่อนจะเดินไปดูงานส่วนอื่น

‘เจอถาดยังน้อง’ หายไปพักใหญ่พี่แกก็กลับมาอีก

‘เจอทัพพีแล้วแต่ถาดยัง…อ๊ะ! นี่ไง’

‘ฮ่าๆ ๆ ๆ ถาดใบสุดท้ายพอดี ขอบใจที่มาช่วยล้างถาดนะน้อง หึๆ ๆ ’







‘ปอๆ ๆ มึงเห็นยัง เค้าย้ายตู้เย็นไปไว้หน้ากล้องวงจรปิดแล้วนะ’

‘เห็นแล้ว ดีเนอะ ต่อไปของจะได้ไม่หายอีก’





‘กบกระโดดๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ข้ามรั้วๆ ๆ กบโดดกี่ครั้ง’

‘4’ ไอ้ต้นตอบ

‘เห้ย! ถูก’

‘จริงอ่ะ!! ถามอีกดิ้ๆ ’

‘กบกระโดดๆ ๆ ข้ามรั้วๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ กบกระโดดกี่ครั้ง’

ผมละสายตาจากหนังสือ หันไปมองไอ้ต้นที่ทำท่านับนิ้ว

‘….5 ป่ะ’

‘ถูก!!!’

‘กูเหมือนจะเริ่มจับอะไรได้แล้ว ถามอีกดิ้ ถามมาเรื่อยๆ เลย’

‘กบกระโดดๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ข้ามรั้วๆ ….กี่ครั้ง?’

‘2 ป้ะ’

‘ปิ๊งป่องง!’

‘ไชโย! กูเข้าใจแล้ว ในที่สุดดดด’ ไอ้ต้นทำหน้าเหมือนได้ทองจากซองมาม่า

ผมวางหนังสือในมือลง

‘ยังไงวะ สอนกูหน่อยดิต้น’

‘เห้ยยย! ไม่ได้ๆ เกมแบบนี้มันต้องจับให้ได้ด้วยตัวเอง’ ไอ้วารีบขัดก่อนที่ไอ้ต้นจะเฉลยผม

‘กูเล่นมาสองอาทิตย์ละ ไอ้ไมค์ก็จับได้ ไอ้ต้นก็จับได้ เหลือแต่กูเนี่ย กูยอมแล้ว เฉลยสักทีเหอะว่ะ กูจะได้นอนตายตาหลับ-*-’

‘โอ้ยยย ไม่เห็นยากเลยปอ อ่ะฟังดีๆ นะ…กบกระโดดๆ ๆ ๆ ข้ามรั้วๆ ๆ ๆ กบ-โดด-กี่-ครั้ง’ ไอ้ต้นถาม

‘ไม่รู้ว่ะ…5 มั้ง’

‘4 ดิ เอาใหม่ๆ …กบกระโดดๆ ข้ามรั้วๆ กี่-ครั้ง’ ไอ้ต้นย้ำสองพยางค์สุดท้าย

‘4 ครั้งป่ะ’

‘2 ดิวะ โอ้ยยยย ใบ้ขนาดนี้แล้วยังไม่รู้อีก’ ไอ้วาทำหน้าเหนื่อยใจ

เชื่อมั้ยว่าจนถึงปัจจุบันผมก็ยังไม่รู้ว่าเกมนี้มันมีทริคอย่างไร…





‘ปอ กูรู้มึงเก่งฟิสิกส์ มึงจะต้องตอบคำถามนี้ได้’ ไอ้วาทำหน้าจริงจัง

‘อะไร?’

‘จงบอกวิธีบรรจุช้างใส่เข้าไปในตู้เย็นหอ’

‘ฮะ!?’ คำถามบ้าอะไรของมันวะ

‘รู้ป่าวๆ ๆ’

‘นี่มันคำถามกวนโอ๊ยเปล่าวะ…ไม่รู้เว้ย แล่เนื้อยัดเข้าไปมั้งจะได้ยัดเข้าไปได้ทุกซอก’

‘ปอโหดอ่ะ …เฉลยยย คำตอบคือ เปิดตู้เย็น เอาช้างใส่เข้าไป ปิดตู้เย็น’

‘มันเกี่ยวกับฟิสิกส์ตรงไหนวะ!’

‘ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ’ ไอ้วาหัวเราะ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

‘งั้นให้แก้ตัวอีกรอบ คราวนี้จงบอกวิธีเอาจระเข้ใส่ตู้เย็น’

‘เปิดตู้เย็น เอาจระเข้ใส่เข้าไป ปิดตู้เย็น’

‘ผิดจ้า…เปิดตู้เย็น เอาช้างออก เอาจระเข้ใส่ ปิดตู้เย็น’

‘อย่ามายุ่งกับกูสักพักนะไอ้วา’





วันหนึ่งในสัปดาห์ที่ร้อนจัดเหมือนซ้อมตกนรก ผมเดินขึ้นชั้นสี่อย่างเหน็ดเหนื่อย ตรงไปยังตู้เย็นส่วนรวมที่แช่นมเปรี้ยวเย็นชื่นใจเอาไว้หนึ่งแพ็คตั้งแต่เมื่อคืน อ่า ถ้าได้ดื่มสักกล่องตอนนี้คงฟินไม่น้อย

แล้วผมก็พบว่า …นมเปรี้ยวแพ็คนั้นของผม หายไป!!!!

‘ปอเป็นไร ทำไมทำหน้าแบบนั้น เกิดไรขึ้นหรอ’ ตอนนี้มีไอ้ต้นคนเดียวที่อยู่ในห้อง

แล้วผมก็เล่าเรื่องนมเปรี้ยวโดนขโมยให้ฟังอย่างโกรธแค้น จากนั้นผมกับไอ้ต้นก็ลงไปขอยามดูเทปบันทึกวงจรปิดตรงตู้เย็นเมื่อคืน ในที่สุดก็ได้รู้ตัวจริงของไอ้ผีตู้เย็นตัวนี้เสียที!

หัวขโมยคนนี้เป็นชายร่างอ้วนที่พักอยู่ห้อง423 ไอ้ต้นบอกว่ารู้สึกหมอนี่จะเรียนนิติเพราะเคยเห็นมันนั่งอ่านหนังสือเกี่ยวกับกฎหมายอยู่ที่ห้องอ่านหนังสือรวม

ผมจัดการเขียนข้อความใส่กระดาษเอาไปแปะหน้าตู้เย็นทันที

‘ถึง ไอ้หัวขโมยที่โด้นมเปรี้ยวรสองุ่นของกูไปหนึ่งแพ็ค

ทำไมต้องมาขโมยของคนอื่นวะ ตัวเองก็เรียนกฎหมายไม่น่าทำตัวแบบนี้เลยนะ ไม่มีตังค์ซื้อมึงมาขอกูดีๆ ก็ได้ ไม่ใช่อยู่ๆ มาขโมยแบบนี้ บอกเลยว่ากูโกรธมาก! กูจะเอาเรื่องมึงให้ถึงที่สุด! กูรู้แล้วว่ามึงเป็นใคร กูมีหลักฐานภาพถ่ายจากกล้องวงจรปิดเห็นหน้าชัดเจนมึงดิ้นไม่หลุดแน่ ภายในวันนี้มึงต้องมาขอโทษกูที่ห้อง411ตอนหนึ่งทุ่มตรง ถ้ามึงไม่มากูจะปริ้นรูปมึงแปะประจานให้ทั่วหอเลยคอยดู’

พอไอ้วากับไมค์กลับมา ผมก็เล่าเรื่องให้สองคนนี้ฟังอย่างเมามันปนสะใจ

‘โอ้ยยย! ไอ้ปอโหดสัสสส …มึงว่ามันจะใช่คนเดียวกับที่ขโมยไข่ต้มกับหนมไหว้พระจันทร์กูมั้ยวะ’

‘เดี๋ยวตอนทุ่มตรงมันมามึงก็ถามมันดูเองละกัน’

พวกเราสี่คนรอเวลาทุ่มตรงอย่างใจจดใจจ่อ

‘แล้วถ้ามันไม่มาล่ะปอ’ ไมค์ถาม

‘เราก็จะปริ้นรูปมันแปะประจานให้ทั่วหอไปเลย คอยดู’

‘เราว่า…’

ก๊อกๆ ๆ

ไอ้วารีบวิ่งไปเปิดประตูก่อนใคร แต่แทนที่จะได้เจอหน้าเจ้าหัวขโมย ที่หน้าห้องกลับมีแค่นมเปรี้ยวรสองุ่นสองแพ็ควางอยู่ตรงพื้นพร้อมกระดาษแผ่นหนึ่งที่เขียนคำว่า ‘ขอโทษ’ ด้วยลายมือเหมือนเอาตีนเขียน มองดูก็รู้เลยว่ามันไม่ได้มีเจตนาจะขอโทษแม้แต่น้อย แต่ทำเพราะกลัวจะโดนประจาน

ตั้งแต่นั้นมาไม่ว่าพวกผมจะแช่อะไรไว้ในตู้เย็นชั้น4 ของก็ไม่เคยหายอีกเลย







วันนี้เป็นวันอาทิตย์ พอผมกับไอ้วาลืมตาตื่นก็ดวลหมากรุกกันแต่เช้าแล้วไอ้วาก็แพ้อีกแล้วตามระเบียบ

ขณะที่กำลังจะต่อเกมสองไอ้วาก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เห็นว่าข้าศึกบุกประชิดประตูเมือง ต้องรีบไปปกป้องเอกราช อะไรของมันเนี่ยแหละ

ระหว่างนั้นพอไอ้ไมค์กับไอ้ต้นตื่น ผมก็ดวลหมากกับสองคนนี้ไปพลางๆ และแน่นอน ผมชนะ

‘มาแล้วๆ ๆ ’ ไอ้วากลับมานั่งตรงข้ามผม แล้วเริ่มเรียงหมากใหม่

‘วันนี้แหละ มึงจะต้องเสียของพนันให้กับกู’

ผมยิ้มมุมปาก คิดในใจว่าไม่มีทางหรอก

เราสี่คนนั่งมุงกระดานหมากรุก ไอ้วานั่งชันขาขึ้นมาข้างหนึ่งมือก็ขยับหมากเดินด้วยสีหน้าครุ่นคิดต่างจากปกติที่ชอบทำเสียงรบกวนสมาธิผม

‘รุกฆาต’

ผมมองหมากในกระดานอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ผมแพ้? ผมคนนี้ที่อยู่ชมรมหมากรุกมาตั้งแต่สมัยมอต้นเนี่ยนะจะแพ้ไอ้วาที่เพิ่งมาฝึกเล่นตอนปีหนึ่ง!?

‘เย้ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ วู้วๆ ๆ ๆ ๆ ชนะแล้วโว้ยยยย ชนะแล้ว ไชโย้!!’ ไอ้วากระโดดโลดเต้นทำท่าชักศอกเข้าใส่ตัวอย่างดีอกดีใจ ไอ้ต้น ไอ้ไมค์เองก็มองผมกับไอ้วาอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าผลจะพลิกล็อก

‘เอาเกียร์มาๆ ๆ ’ ไอ้วายื่นมือมาตรงหน้าผม พลางกระดิกนิ้วดิ้กๆ เหมือนเจ้าหนี้ทวงตังค์

‘ไม่ให้…งั้นเอาเฉลวมึงคืนไป’ ผมถอดสร้อยคอแล้วรูดเฉลวดาวคืนให้ไอ้วา

‘ไม่เอา! จะเอาเกียร์ สัญญาต้องเป็นสัญญาดิ!’

ผมขี้เกียจเถียงกับมันก็เลยรับเฉลวคืนมาแล้วส่งเกียร์ให้มันไป เดี๋ยวคราวหน้าแข่งกันใหม่ผมจะพนันเอาเกียร์คืนมาให้ดู

‘เฮ้ยๆ ๆ ๆ! ทำไรวะไอ้วา’ ผมร้องเสียงหลงเมื่อเห็นไอ้วาเอามีดคัตเตอร์ลนไฟแช็กแล้วขูดขีดลงบนเกียร์ของผม

‘ก็ตอนนี้มันเป็นของกูแล้ว กูก็เขียนชื่อแสดงความเป็นเจ้าของไง’

‘ไอ้บ้าาาา นี่มันของกูนะเว้ย’

ไอ้วาหัวเราะ มองหน้าผมเหมือนรู้ทันความคิด

‘พูดอะไรน่ะ เกียร์อันนี้เป็นของกูต่างหาก ดูสิ CE 38 VA โหยย เท่เนอะ กูจะใส่ไปอวดสาวให้รอบมอเลย ฮ่าๆ ๆ ขอบใจนะเพื่อน’

แล้วผมก็ต้องล้มเลิกความคิดที่จะเอาเกียร์คืนในที่สุด







--------------------------------

อ้อ อยากรู้มั้ยครับว่าไอ้วามันทำยังไงถึงชนะผมได้ มันบอกว่าตอนมันขี้มันเอามือถือเข้าไปเสิร์ชหาเคล็ดลับการเล่นหมากรุกอ่านไปด้วย ผมฟังแล้วไม่รู้จะทำหน้ายังไงดีเลย-_- ‘’







หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where are you? 2 [25/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 27-03-2018 00:22:20
เริ่มการไขปริศนาแล้ว
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where are you? 2 [25/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 27-03-2018 01:20:14
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where are you? 2 [25/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 27-03-2018 19:22:49
                                            Where are you? อยู่ไหนครับ…ที่รักของผม 3





เมื่อวันก่อนร้านสะดวกซื้อสัญชาติญี่ปุ่นมาเปิดใหม่แถวหอพักของพวกเรา วันนี้เราสี่คนเลยไปประเดิมของใหม่กันสักหน่อย

‘โห! ไอติมชาโคลโคนละ20บาท กดเองได้ไม่อั้น’ ไอ้วายืนมองตู้กดไอศกรีมด้วยดวงตาเป็นประกาย

‘แพงว่ะ’ ผมว่า

‘กินมั้ยๆ ช่วงนี้มีโปรฉลองเปิดร้านเหลือโคนละ 15 เอง’ ไอ้ต้นว่า

ในที่สุดเราสี่คนก็ตัดสินใจซื้อกันคนละโคน ไอ้ไมค์กดก่อน ได้มาไม่สูงเท่าไหร่ ไอ้ต้นก็เหมือนกัน พอถึงคราวผมจะกดบ้างไอ้วาก็ชิงพูดขึ้น

‘เดี๋ยวกูกดให้เอาป่ะ’

‘จะใช้ของกูลองมือล่ะสิ เอาของตัวเองลองไปเลย’ ว่าจบผมก็หมุนคันโยก ไอศกรีมค่อยๆ ไหลลงมาในโคน ผมพยายามจะกดให้ได้สูงที่สุดแต่มันก็โย้ไปเย้มาทำท่าจะตกพื้นผมเลยต้องหยุด สุดท้ายก็กดได้ไม่สูงเท่าไหร่ เสียดายตังค์ชะมัด

ถึงคราวไอ้วา พอไอกรีมค่อยๆ ไหลลงมามันก็เอาโคนไปจ่อชิดกับปากเครื่องทำให้ไอกรีมถูกอัดแน่นลงไปในโคน มันค่อยๆ อัดลงไปทีละชั้นๆ อย่างใจเย็น คนที่ต่ออยู่ข้างหลังเริ่มมองหน้ามัน ผม ไอ้ต้น ไอ้ไมค์เริ่มเสียวๆ ไอ้วามันกดได้สูงมากครับ สูงจากปากโคนเกือบ8นิ้วได้ จะกดคุ้มไปไหนวะเนี่ย!

ตอนออกมา พนักงานถึงกับมองหน้ามันแล้วหันไปซุบซิบกัน

แทนที่จะอาย มันดันภูมิใจเสียอีก บังคับให้ผมช่วยถ่ายรูปให้มันส่งไปอวดพ่อแม่ว่ามันกดไอศกรีมเก่งแค่ไหน โอ๊ย! ปัญญาอ่อนกว่านี้มีอีกมั้ย

‘เป็นไงล่ะ ไม่ยอมให้กูกดให้ เช้ออออ’ มันเชิดหน้า เบะปากมองผมเหยียดๆ แล้วแลบลิ้นเลียไอศกรีมแผล็บๆ เหมือนหมา

‘ไม่ได้ตะกละแบบมึงนี่’ ผมตอบกลับนิ่งๆ เจ็บๆ

‘อิจฉาล่ะซี้! อ้อนวอนกูสิแล้วคราวหน้าจะกดให้’

‘ไม่มีทะ…’

‘วาาา คราวหน้าถ้ามากินอีก กดให้เรานะ’ ไอ้ต้นแหลมหน้าขึ้นมาทันที มันจับแขนไอ้วาเขย่าๆ เอาหัวถูไหล่ ไอ้วาหัวเราะชอบอกชอบใจลูบหัวไอ้ต้นชมว่า ‘เด็กดีๆ’

‘อร่อยมั้ยไมค์’ ผมถาม

‘ก็ดีนะ ปอล่ะ’

ผมมองไอ้วากับไอ้ต้นเล่นกันเหมือนเด็กๆ แล้วยิ้มมุมปากบางๆ

‘ก็ดี’





วันนี้เป็นวันศุกร์พอเลิกเรียนปุ๊บไอ้ต้นกับไอ้ไมค์ก็กลับบ้าน เหลือผมกับไอ้วาอยู่หอกันสองคน

‘กลับมาแล้วววว อ่ะ! ข้าวที่ฝากซื้อ 30 บาทนะ บวกค่าถืออีก 70เป็น100 บาท บวกภาษี7เปอร์เซ็นต์ก็เป็น 107 บาท จ่ายมาซะดีๆ ’

‘งั้นค่าติวแคลคูลัสคราวหน้าคิดชั่วโมงละพัน โอเคมั้ย’ ผมเงยหน้าจากโน้ตบุ๊คขึ้นมาตอบ

‘โอ๊ย! เก๊าย้อเย่นน่ะตัวเอง ย๊อเย่นๆ ไม่เอาน้า ไม่คิดตังค์เนอะๆ ๆ ’ มันเข้ามาบีบนวดไหล่ให้ผมอย่างเอาอกเอาใจจนน่าหมั่นไส้

‘แกะห่อข้าวซิ’ ผมสั่ง

‘เจ้าค่ะนายหญิง เอ๊ยยย! นายท่านนน’ มันกุลีกุจอแกะห่ออาหารให้ผม ท่าทีประจบสอพลอแบบออกนอกหน้าของมันทำให้ผมขำจนทนไม่ไหว สุดท้ายก็ได้แต่ยิ้มกว้าง หัวเราะจนปวดโหนกแก้มไปหมด

‘ดูไรอ่ะ’ มันมองจอโน๊ตบุ๊คที่ผมกดหยุดเล่นไว้

‘คนกวดผี’

‘เห้ยยย! ชอบๆ ๆ ดูด้วยๆ ๆ อยากดูแต่ไม่กล้าดูคนเดียว’

แล้วผมกับมันก็กินข้าวไปนั่งดูไปด้วยกันอย่างเงียบๆ

‘ทำไมพ่อเลี้ยงทำแบบนี้วะ หน้าตัวเมียที่สุด สู้พ่อกูก็ไม่ได้ เหล้าก็ไม่กิน บุหรี่ก็ไม่สูบ แฟมิลี่แมนสุดๆ!’ ไอ้วาพูดอย่างโกรธแค้นเมื่อดูถึงตอนที่มีคนเล่าว่าถูกพ่อเลี้ยงตัวเองที่ชอบกินเหล้าเมายาข่มขืนมาตั้งแต่เด็ก

‘…’ ผมเคี้ยวข้าวเงียบๆ

พอรายการสัมภาษณ์ผู้ชายอีกคนที่รู้สึกผิดที่ไม่ได้อยู่ดูแลแม่ที่ป่วยหนักในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตแต่กลับเอาเวลาไปอยู่กับคนรักของตัวเอง ไอ้วาก็เม้มปาก กะพริบตาถี่ๆ

‘…’ ผมเหลือบมองมัน แล้วก็เคี้ยวข้าวเงียบๆ นั่งดูต่อ

พอกินข้าวเสร็จ ดูรายการจบไปหนึ่งเทป ไอ้วาก็เดินไปที่เตียง หยิบมือถือขึ้นมาโทรทันที

‘ฮัลโหลลลล หม่าม๊าหรอออ คิดถึงหม่าม๊าที่ฉุดเยยก๊าบบบบ….สบายดีก๊าบ หม่าม๊าล่ะก๊าบ…ไมค์กับต้นกลับบ้านก๊าบ เหลือปอกับวาสองคน…หม่าม๊า วันนี้วาดูรายการคนกวดผีกับปออ่ะ แล้วมีคนนึงเค้าเล่าว่าเสียใจที่ไม่ได้อยู่ดูแลตอนแม่กำลังจะตายอ่ะ วาดูแล้วตะเตือนไตมากเยย… หม่าม๊า วารักหม่าม๊าน้า วาบอกไว้ก่อนเดี๋ยวม๊าตายแล้ววาไม่ได้บอก…วาจะตั้งใจเรียน วาจะเป็นเด็กดี จะไม่ทำให้หม่าม๊ากับป่าป๊าผิดหวังน้า…รักหม่าม๊าที่สุดในโลกเยยยย จุ๊บๆ ๆ ’

เกลียดความเสียงสองและสำเนียงเหมือนคนปัญญาอ่อนของมันจังเลยครับ=_= ทุกครั้งที่ได้ยินมันคุยโทรศัพท์กับแม่มัน ผมจะรู้สึกจั๊กกระเดียมทุกที หม่าม๊าป่าป๊า โอ๊ย! น้ำเสียงอ้อนตีนสุดๆ ฟังแล้วขนลุก เกิดมาไม่เคยเจอใครพูดโทรศัพท์กับพ่อแม่ได้น่ารักน่าถีบเท่ามันเลย

คิดถึงแล้วทำไมไม่ค่อยกลับบ้านวะ บ้านก็ไม่ได้ไกล นั่งรถสองสามชั่วโมงก็ถึงแท้ๆ แต่เสาร์อาทิตย์กลับเลือกอ่านหนังสืออยู่หอซะงั้น มันกลับบ้านเดือนละแค่ครั้งสองครั้งเอง

‘หม่าม๊าาาา ขอสายป่าป๊าหน่อย….ฮัลโหลลล ป๊าหรอก๊าบบบ กิ๊ดตึ๊งป่าปี๊ที่ฉุดในโยกเยยยยย วันนี้นะวาดูรายการ…’ แล้วมันก็รีเพลย์สิ่งที่มันเล่าไปเมื่อกี้ให้พ่อมันฟังอีกครั้งแต่เปลี่ยนเป็นเรื่องไอ้พ่อเลี้ยงชั่วนั่นแทน

‘…วาโชคดีที่สุดเลยที่มีป๊าเป็นพ่อ วารักป๊าน้าาาาา’

อยากเห็นหน้าพ่อแม่ไอ้วาจังเลยครับ อยากรู้ว่าเป็นคนแบบไหนถึงเลี้ยงลูกชายออกมาเป็นแบบนี้ได้ เท่าที่ดูบ้านมันก็มีอันจะกิน แต่ทำไมมันถึงเป็นคนขี้งกได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้ หรือมันงกจากสันดานของมันเอง?

ไอ้วามันชอบโทรคุยกับที่บ้านบ่อยๆ แต่เท่าที่สังเกต มันไม่ค่อยเล่าเรื่องทุกข์ใจอะไรให้คนที่บ้านฟังเท่าไหร่นัก จะมีบ่นบ้างก็แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ไอ้เรื่องป่วยเคยไปหาหมอเนี่ยไม่เคยปริปากเล่าเลย บางทีผมก็คิดนะว่าภายนอกของมันถึงจะดูปัญญาอ่อน ขี้เล่น กวนตีน ยิ้มหัวเราะแกล้งชาวบ้านไปวันๆ ทำตัวเหมือนไม่คิดอะไร แต่ภายในผมว่ามันเป็นคนแคร์คนอื่นและคิดอะไรมากกว่าที่เห็นพอดูเลยล่ะ

แล้วคืนนั้นเราก็ดูกันไปอีกห้าเทป

ใกล้เที่ยงคืน ผมเดินไปปิดไฟ ไอ้วาโวยวายทันที

‘คืนนี้อย่าปิดไฟได้มั้ยอ่ะ กูกลัวว’ ผมเปิดไฟ มองมันที่นอนอยู่เตียงล่างของเตียงคู่อีกฝั่ง ไอ้วานอนเอาหลังชิดกำแพง เห็นแล้วตลกชะมัด

‘กูนอนเตียงบน เปิดไฟมันแสบตานะ’

‘งั้นปิดไฟ แต่มึงต้องลงมานอนเป็นเพื่อนกูนะ’

‘ไม่เอา เบียด ร้อน’

‘งั้นกูขึ้นไปนอนเตียงบนกับมึงก็ได้’

‘เตียงบนเตียงล่างมันก็แคบเท่ากันแหละเฟ้ย!’

ผมเลิกสนใจไอ้วา ปิดไฟ แล้วปีนขึ้นเตียงตัวเอง

‘ปอ กูกลัวจริงๆ นะเว้ย’

‘กลัวอะไร?’

‘ผี’

‘เคยเห็นหรือไง?’

‘ไม่เคย’

‘แล้วจะกลัวไปเพื่อ?’

‘….’

‘มึงฟังนะ รายการพวกนี้น่ะ บางทีอาจจะไม่ได้เอาเรื่องจริงมานำเสนอก็ได้ มึงต้องมีวิจารณญาณในการรับชม เข้าใจ๊’

‘….’

‘….’

ท้ายที่สุดผมก็ทนรำคาญเสียงไอ้วาที่นอนร้องเพลงก่อกวนไม่ไหว จึงจำใจต้องยอมให้มันขึ้นมานอนด้วยในที่สุด





‘วา อ่านหนังสือหรอ’

‘อืม’

ผมยืนนิ่งมองดูเนื้อหาในหนังสือ ก่อนจะถือวิสาสะพลิกปกขึ้นมาดู

‘นี่มัน…ความถนัดแพทย์…มึงจะซิ่วหรอวา’

‘อืม ที่จริงกูอยากเป็นหมอ แต่สอบไม่ติดเลยต้องมาเรียนเภสัช กูรู้ว่าเภสัชมันก็ดี แต่กูอยากเป็นหมอมากกว่า ใจจริงๆ กูไม่อยากเรียนเภสัชเลยอ่ะปอ กูไม่ชอบเคมี’ มิน่า มันถึงไม่ได้ดูหวงแหนเฉลวที่ให้ผมมาเลย ออกแนวยัดเยียดให้ด้วยซ้ำ

‘พ่อแม่รู้ไหมเนี่ยว่าจะซิ่ว’

‘ไม่รู้ กูแอบอ่านเอง ที่บ้านไม่อยากให้กูซิ่ว’

‘…’

‘มึงว่ากูจะติดมั้ย กูไม่มั่นใจในตัวเองเลย’

‘ได้สิ ต้องได้แน่นอน สู้ๆ นะ กูจะคอยเป็นกำลังใจให้’ ผมยิ้มแล้ววางมือบนไหล่ไอ้วา

เพราะต้องแอบอ่านหนังสือนี่เอง ไอ้วาถึงไม่ค่อยกลับบ้านในวันเสาร์อาทิตย์ แต่ทุ่มเทเวลาทั้งวันเพื่อแอบคนที่บ้านอ่านหนังสือซิ่วที่หอแทน





สัปดาห์ต่อมาไอ้วาก็กลับบ้านไปในเย็นวันศุกร์ก่อนที่จะกลับมามหา’ ลัยในเย็นวันอาทิตย์โดยมีพ่อแม่และน้องชายขับรถมาส่ง มันโทรมาชวนพวกผมลงไปกินข้าวด้วยกัน ผม ไอ้ต้น ไอ้ไมค์ทนมันตื๊อไม่ไหวก็เลยต้องลงไปกินด้วย

แล้วผมก็พบว่า ครอบครัวของไอ้วาเป็นครอบครัวที่ฮามากกกกกเลย!

เริ่มที่คุณพ่อหน้าดุแต่ที่จริงเป็นคนฮา ชอบปล่อยมุกแป้กแล้วขำเองเสร็จสรรพ ต่อมาก็คุณแม่ที่สวยอย่างกับนางสาวไทย แถมยังใจดีชวนพวกผมคุยอย่างเป็นกันเอง ตักนู่นตักนี่ให้กินไม่หยุด คอยเป็นลูกคู่ตบมุกแป้กให้คุณพ่อตลอด น้องชายไอ้วาก็ใช่เล่น รายนี้กวนประสาทเหมือนพี่ชายมันไม่มีผิด ชอบตัดมุกพ่อและพี่ชายตัวเอง แต่โดยรวมก็ถือว่านิสัยดี ผมไม่สงสัยเลยว่าทำไมไอ้วาถึงเป็นคนที่ร่าเริงสดใสเต็มไปด้วยชีวิตชีวาอย่างนี้ ก็มันเติบโตมาจากครอบครัวที่อบอุ่นแบบนี้ยังไงล่ะ

ในสายตาผม สมาชิกครอบครัวของวาดูเจิดจ้ากันทุกคน โดยเฉพาะไอ้วาแค่มันยิ้มผมก็รู้สึกอยากจะยิ้มตามแล้ว มันเป็นคนที่ทำให้ผมได้รู้จักความสนุกของชีวิต ทำให้โลกที่น่ารังเกียจใบนี้กลายเป็นโลกที่สวยงามขึ้นในสายตาผม ทำให้ชีวิตในแต่ละวันของผมเต็มไปด้วยความทรงจำดีๆ ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

ไม่แปลกใจเลย…

วูบหนึ่ง ผมนึกอิจฉาไอ้วา







วันหนึ่ง ไอ้วาเดินหน้าบึ้งปึงปังกลับมาที่ห้อง เข้ามาก็เปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดไปรเวทมาเปลี่ยนไม่พูดไม่จากับใคร

‘เป็นไรหรอวา’ ไอ้ไมค์ถามเพราะสังเกตความผิดปกติได้

‘บ้านฝั่งแม่นัดกินข้าวรวมญาติ กูไม่อยากไปแต่แม่บังคับอ่ะดิ’

‘อ้าว ทำไมล่ะ’ ไอ้ต้นถาม

‘ก็กู๋…ลุงเราอ่ะดิ จะพาเมียใหม่มาแนะนำในงานนี้ ตั่วอี๊เรา…หมายถึงพี่สาวของแม่อ่ะนะไม่พอใจใหญ่เลย กูก็ด้วย ไม่อยากจะไปเห็นหน้าเมียใหม่กู๋ กูคงกลืนข้าวไม่ลง’ ไอ้วาดูหงุดหงิดขณะติดกระดุมเชิ้ตสีฟ้าอ่อนไปด้วย

‘ไม่อยากไปเพราะไม่อยากกินข้าวกับเมียใหม่กู๋? มันเกี่ยวอะไรกับมึงวะ เรื่องของเขามั้ยล่ะ มึงจะไปโมโหแทนลูกกู๋มึงหรอไง’

‘กูโกรธที่กู๋ทิ้งกิ๋ม (ป้าสะใภ้) กูไปมีคนอื่น จนทำให้กิ๋มกูเสียใจหนีออกจากบ้านไป กิ๋มกูเค้าเป็นคนดีมากนะ เค้าไม่ผิดเลย แต่ทำไมเธอจะต้องเป็นคนที่ออกไปจากบ้าน ทั้งๆ ที่คนผิดคือกู๋ต่างหากที่นอกใจ กิ๋มกูดูแลอากงอาม่าดีกว่าที่กู๋ทำซะอีก กูโกรธกู๋ขนาดหน้ายังไม่อยากจะมองด้วยซ้ำ กูรู้สึกว่ากิ๋มกูไม่ได้รับความยุติธรรมอ่ะ กูไม่เข้าใจว่าทำไมคนดีๆ ต้องมีชะตากรรมน่าสงสารแบบนี้ด้วยวะ กู๋ทำกับคนที่ดูแลอาม่าจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตอย่างกิ๋มลงคอได้ยังไง กูไม่เข้าใจเลยจริงๆ ’

มันขมวดคิ้ว ใบหน้าดูเศร้าสร้อย อย่างที่พวกผมเห็นกันไม่บ่อยนัก สักพักโทรศัพท์ไอ้วาก็ดังขึ้น มันคุยอะไรสักพักใบหน้าที่เศร้าสร้อยก็ค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มลึกลับที่มุมปาก ถอดเชิ้ตสีฟ้าออก เปลี่ยนเป็นเสื้อโปโลสีชมพูแทน

‘กูไปก่อนนะ ดึกๆ เจอกัน ที่บ้านแวะมารับแล้วว บายยย’

ตอนห้าทุ่ม ไอ้วาก็กลับมาพร้อมขนมเปี๊ยะกล่องใหญ่ หน้าตามันดูเหน็ดเหนื่อย ไม่สดใส

‘ทุกคนนน แม่กูฝากขนมเปี๊ยะมาให้ กินกันๆ ’

พวกเรามานั่งล้อมวงกันบนพื้นทันที

‘วันนี้ไปกินที่ไหนมาอ่ะวา’ ไอ้ต้นถามพลางหยิบขนมกินไปด้วย

‘ร้านPPPPน่ะ’

‘โห! ร้านนั้นอาหารทะเลขึ้นชื่อมากๆ เลยนะ อิจฉาว่ะ เป็นไงๆ อร่อยมั้ย’

‘เอาจริงๆ นะ แดกมาม่าที่หอกับพวกมึงยังอร่อยกว่าอ่ะ’

‘ทำไมล่ะ’ ไอ้ไมค์ถาม

‘ก็…’

ไอ้วาเล่าว่า ป้า (พี่สาวแม่) พยายามคัดค้านไม่ให้ลุงพาเมียใหม่มากินรวมญาติด้วย แต่ลุงไม่ยอม ป้าก็เลยแอบโทรไปบอกญาติทุกคนว่าให้ใส่สีชมพูเหมือนกันให้หมดยกเว้นลุงกับเมียใหม่ที่ไม่ได้บอก เพื่อที่สองคนนั้นจะได้ใส่สีไม่เหมือนชาวบ้าน เมียใหม่ของลุงจะได้รู้สึกว่าเป็นส่วนเกิน ครอบครัวเขาไม่ได้ต้อนรับก็ยังมาอีก แต่ดูเหมือนเมียใหม่ของลุงนางจะมั่นหน้าเหลือเกิน ดูไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรสักนิด แล้วไอ้วาดันซวยต้องไปนั่งตรงข้ามเธอพอดี มันเห็นเธออี๋อ๋ออ้อร้อกับลุงมันแล้วก็หงุดหงิด ในขณะที่การกินข้าวรวมญาติกันควรจะสนุกคราวนี้ก็กลับดูกร่อยๆ อากงเองถึงจะไม่ได้แสดงออกว่าไม่ชอบเมียใหม่ลุง แต่ท่านก็ไม่ได้เห็นด้วยที่จะพาเธอเข้าบ้าน เพราะกลัวเธอจะเข้ามาฮุบสมบัติของหลานหลังจากท่านตายลง วันนี้ท่านจึงกินข้าวน้อยกว่าปกติและไม่ค่อยคุย กินไปไม่กี่คำก็ลุกออกไปสูบบุหรี่ข้างนอก ทิ้งให้บรรยากาศในโต๊ะเต็มไปด้วยความอึมครึม

‘คับที่อยู่ได้ คับใจแม่งอยู่ยากจริงว่ะ …ถึงจะได้กินอาหารดีๆ ฟรีๆ แต่ถ้าต้องอึดอัดแบบนี้ กินมาม่าอยู่ห้องกับพวกมึงยังจะมีความสุขกว่า’ ไอ้วาถอนหายใจ

คืนนั้นไอ้วาออกไปยืนคุยโทรศัพท์ตรงระเบียงเป็นชั่วโมง น้ำเสียงของมันอ่อนโยนดูเอื้ออาทรต่อคนปลายสายมาก ผมไม่ได้ตั้งใจแอบฟังมันคุยโทรศัพท์จึงจับใจความอะไรไม่ได้ ได้ยินเพียงประโยคสุดท้ายที่ชัดเจนที่สุด

‘วามีกิ๋มเป็นกิ๋มแค่คนเดียว จะไม่มีใครมาเป็นกิ๋มคนที่สองสำหรับวาแน่นอน ส่วนน้องเก้ากับน้องเกมส์กิ๋มไม่ต้องเป็นห่วงวาจะช่วยดูแลเอง รักษาสุขภาพด้วยนะครับ รักกิ๋มที่สุดเลย’





‘ปอๆ ๆ มาดูนี่ดิ บิ๊กมูนดวงเบ้อเร้อเลย’ วาชี้ชวนให้ผมเงยหน้ามองขึ้นไปยังท้องฟ้า ดวงจันทร์ขนาดใหญ่กว่าปกติปรากฏต่อสายตา ใหญ่มาก…ไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต

‘ข่าวว่าวันนี้จะมีบิ๊กมูนนี่เนอะ’ ผมนึกขึ้นได้

เราสองคนยืนมองดวงจันทร์ขนาดยักษ์อยู่ตรงระเบียง น่าเสียดายที่วันนี้ไอ้ไมค์กับไอ้ต้นกลับบ้านอีกเช่นเคยเลยไม่ได้อยู่ดูพร้อมหน้ากัน

เราต่างคนต่างเงียบ ตกอยู่ในความคิดของตนเอง

‘กูเคยไปเที่ยวที่แห่งนึง จำไม่ได้แล้วว่าที่ไหน…’ ผมเล่า ไอ้วาหันมามองหน้าผม

‘….’

‘ที่นั่น มีป้ายจารึกหนึ่งเขียนไว้ว่า…’

ผมชี้ลงไปยังคูน้ำที่ล้อมรอบหอ ซึ่งเป็นคูน้ำเน่าที่กำลังจะมีโครงการบำบัดเร็วๆ นี้



‘ในน้ำเน่ายังมีเงาจันทร์ บุคคลผู้นั้นมีความดีบ้างไหม’



ผมมองตาวา แล้วยิ้มให้

‘มึงคิดเหมือนกูมั้ยว่าคำพูดประโยคนี้ความหมายของมันลึกซึ้งดีจริงๆ ’



--------------------------------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where are you? 3 [27/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-03-2018 03:16:53
แล้วเรื่องราวที่หักเหจะเกิดขึ้นเพื่อไหร่นะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where are you? 3 [27/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-03-2018 08:06:05
คิดเหมือนวา น่าโมโหลุงวา
ทิ้งเมียที่พยาบาลพ่อแม่ตัวเอง
ไปมีเมียใหม่   ทั้งที่มีลูกกันสองคนแล้วด้วย

ให้รู้สึกว่าเรื่องเซ็กซ์มันยิ่งใหญ่ที่สุด
เกินความดีของเมียเก่า  ในความคิดของผู้ชาย   :fire: :fire: :fire:
ที่ไม่ไหวไปซิ้อกินยังดีกว่ามีเป็นตัวเป็นตน
แถมพามาเชิดหน้าชูตาในหมู่ญาติ
จริงๆพวกญาติไม่น่าไปงานกันเลย ลุงจะได้รู้สึก เชอะ.....
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where are you? 3 [27/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 28-03-2018 16:54:19
                                                 ตอนที่ 39   เดือนของพี่ ดินของน้อง


“เอาล่ะๆ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วนะว่าหลังสอบมิดเทอมเราจะมีกิจกรรมประกวดดาว เดือน และดินกัน พวกคุณก็อยู่ด้วยกันมาสองเดือนกว่าแล้ว ก็น่าจะพอดูๆ ออกนะว่าเพื่อนคนไหนมีแววบ้าง เดี๋ยววันนี้ให้แต่ละสาขาคัดเลือกดาว เดือน ดิน ของตัวเองออกมานะ ให้เวลาครึ่งชั่วโมง ตกลงกันเอาเองว่าจะเลือกใคร …สำหรับสาขาเครื่องกล พวกพี่จะแจกกระดาษคนละสามใบ ที่หัวกระดาษแต่ละใบจะเขียนไว้ว่าดาว เดือน หรือดิน ให้น้องเขียนชื่อคนที่จะโหวตพร้อมรหัสไปหย่อนลงในแต่ละกล่องทางด้านนี้นะครับ”

วันนี้หลังเลิกเรียน พวกปีสองนัดหมายให้น้องปีหนึ่งคณะวิศวกรรมศาสตร์ทุกสาขามารวมตัวกันที่ลานเกียร์เพื่อแจ้งข่าวการคัดเลือกเหล่าดาว เดือน ดิน (ตำแหน่งขวัญใจชาวคณะ หรือ ดาวฮาประจำคณะ) และคัดเลือกตัวแทนดาวเดือนดินของแต่ละสาขาออกมาเพื่อแข่งขันกันอีกครั้งว่าใครจะได้เป็นตัวแทนของคณะออกไปประกวดแข่งกับคณะอื่นเพื่อเฟ้นหาดาวเดือนและดินของมหาวิทยาลัยประจำปีการศึกษานี้

“มึงว่าสาขาเรา ใครจะได้เป็นเดือนวะ” ปีสองคนหนึ่งกระซิบถามปีใหม่ซึ่งยืนกอดอกมองน้องปีหนึ่งค่อยๆ หย่อนกระดาษโหวตลงในกล่องแต่ละใบ

“ไม่รู้สิ ปีนี้สาขาเรามีแววหลายคะ…”

“ไม่ภูผาก็ฟ้าครามเราฟันธง” เอิ้บยิ้มตาหยี อวยน้องรหัสตัวเองจนปีใหม่รู้สึกหมั่นไส้เจ้าแฝดนรกนั่นขึ้นมาติดหมัด

“เหอะ ไม่มีทาง เดือนดับไม่ก็เดือนมฤตยูล่ะสิไม่ว่า … เอิ้บดูโน่น ไอ้เจมส์น้องรหัสเราต่างหากที่เป็นตัวเต็ง หล่อกว่ามันสองตัวตั้งเยอะ!”

“น้องเจมส์เป็นตุ๊ดไม่ใช่หรอใหม่…ระดับขุ่นแม่เลยด้วย=_=”

“เออน่า…ตุ๊ดก็ประกวดเดือนได้!” ปีใหม่กลอกตามองบนก่อนจะเถียงข้างๆ คูๆ ให้คนเป็นแฟนอย่างเอิ้บได้แต่หัวเราะขำเบาๆ กับความไม่กินเส้นกันของปีใหม่และน้องรหัสเธอ





“เห้ย ไอ้แฝด มึงโหวตใครไปวะ” ยูโรหันไปมองเพื่อนสองคนที่สุมหัวกันหัวเราะคิกๆ คักๆ พลางเขียนกระดาษในมือไปด้วย

ภูผากับฟ้าครามหันมามอง ก่อนจะยิ้มร้ายแล้วชูกระดาษทั้งสามใบในมือให้ดู

ดาว ---> ยูโร11 เดือน ---> ยูโร11 ดิน --->ยูโร11

“เฮ้ยยยยย ไม่ต้องรักกูขนาดนั้นก็ได้โว้ยยย เปลี่ยนๆ ๆ เลยพวกมึง” ยูโรพยายามจะแย่งกระดาษในมือสองแฝด แต่สองคนนั้นก็รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปยังกล่องรับผลโหวตพลางหัวเราะอย่างขบขัน

“หน็อย จะเอาอย่างนั้นใช่มั้ยยย ด้ายยยย”

ดาว ---> ภูผา108 เดือน ---> ฟ้าคราม109 ดิน ---> ฟ้าคราม109

แล้วตอนนับผลโหวตพวกเขาก็ได้รับเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ เมื่อรุ่นพี่อ่านชื่อยูโร และภูผาเป็นผู้ถูกเสนอตำแหน่งดาวสาขา

“ฮึ่ย! เล่นกันไม่เข้าเรื่องเลยเจ้าพวกนี้” ปีใหม่บ่นเป็นหมีกินผึ้งขณะยืนมองเพื่อนขีดแต้มนับผลโหวตลงบนไวท์บอร์ด

ปีใหม่กวาดตามองเหล่าปีหนึ่งสาขาเครื่องกลก่อนสายตาจะไปหยุดที่ภูผากับฟ้าคราม ต้องยอมรับจริงๆ ว่าเจ้าแฝดนรกนั่นถ้ามองอย่างไม่มีอคติก็ถือเป็นผู้ชายที่หล่อมากคนหนึ่ง หน้าใส ยิ้มทีสว่างไสวจนแสบตา ผิวพรรณขาวสะอาดสะอ้าน แต่งตัวก็เก่งใช้ได้ เสียอย่างเดียว ไม่น่าทำตัวมีปัญหาชอบปีนเกลียวรุ่นพี่กับกวนประสาทชาวบ้านเลยจริงๆ ไม่งั้นมันสองคนคงน่ารักขึ้นเป็นกองในสายตาเขา

หน้าเหมือนกันชะมัด เอ..คนไหนภูผา คนไหนฟ้าครามวะ

ปีใหม่ยืนมองสองแฝดฆ่าเวลา สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนจากเฉยๆ เป็นครุ่นคิด คิ้วเรียวเข้มเริ่มขมวดลงเรื่อยๆ อย่างคิดหนัก พยายามมองหาจุดต่างของสองคนนั้นเท่าไหร่ก็ไม่พบ จู่ๆ หนึ่งในแฝดก็หันมองมาทางเขา แฝดอีกคนจึงหันตามมาด้วย ปีใหม่ถึงกับสะดุ้งเบาๆ ที่จู่ๆ ก็ถูกจับได้ว่าแอบมอง คิดในใจว่าเดี๋ยวสองคนนั้นต้องทำหน้าล้อเลียนประมาณว่าจับได้แล้วนะว่าแอบมอง หรือไม่ก็ทำหน้ายียวนกวนประสาทเหมือนทุกครั้งที่เจอกัน แต่ปรากฏว่าสองคนนั้นกลับยกมือไหว้พร้อมยิ้มจนตาหยี ทำเอาปีใหม่ถึงกับตกใจนึกว่าตัวเองตาฝาด มองไปข้างๆ นึกว่ามันสองตัวไหว้ยัยเอิ้บ เอิ้บก็เดินไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เหลือเขายืนอยู่ข้างเสาคนเดียว เขาชี้ตัวเองอย่างงงๆ พอเห็นสองคนนั้นพยักหน้าให้ปีใหม่ถึงยกมือรับไหว้อย่างมึนๆ แล้วเดินเกาหัวไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ปีสองของตนเอง

“สำหรับผลโหวตก็ออกมาอย่างที่เห็นนะคะ ดาวสาขาเราปีนี้ได้แก่ น้องแก้ว รหัส 82 เดือนสาขาเราคือ น้องภูผา รหัส 108 และดินสาขา… น้องฟ้าคราม รหัส109 ค่ะ!”

เสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องดังขึ้น ก่อนที่ทั้งสามคนจะถูกรุ่นพี่เรียกตัวไปคุยด้านข้าง

“สำหรับการคัดเลือกตัวแทนดาวเดือนดินของคณะวิศวกรรมศาสตร์ เราจะคัดเลือกโดยการให้ดาวเดือนดินของแต่ละสาขาอัดคลิปแสดงความสามารถอะไรก็ได้คนละคลิปไม่เกิน3นาทีแล้วโพสต์ลงในเพจคณะภายในวันที่14นี้ คนที่มีจำนวนยอดไลค์รวมกับยอดแชร์สูงสุดจะได้เป็นตัวแทนคณะไปประกวดต่อในรอบมหา’ ลัยโดยเราจะหยุดนับคะแนนในวันที่17เวลาเที่ยงคืน จำนวนยอดไลค์ยอดแชร์ที่เพิ่มขึ้นหลังจากเที่ยงคืนวันที่17จะไม่นับเป็นคะแนนอีกต่อไป ใครมีอะไรสงสัยมั้ย? ….. โอเค ถ้าไม่มี งั้นพวกพี่จะปล่อยพวกเราแล้วนะคะ รักใครชอบใครก็เข้าไปไลค์ไปแชร์กันด้วยล่ะ สำหรับวันนี้พี่ก็มีเรื่องมาแจ้งแค่นี้ ขอบคุณค่ะ”

“กรี้ดด ใหม่! ดูสิใหม่! เห็นมั้ยยยย น้องเราเป็นทั้งเดือนเป็นทั้งดินเลยนะ ฟินจังเลย>///<” เอิ้บเขย่าแขนปีใหม่พลางส่งเสียงกรี้ดเบาๆ อย่างดีอกดีใจ ก่อนจะลากให้เดินไปหาภูผากับฟ้าครามที่กำลังปรึกษาหารือกับพวกรุ่นพี่ปีสองปีสาม

“เธอเป็นดาวสาขาปีที่แล้วนะเอิ้บ โน่น! เธอต้องไปให้คำปรึกษาน้องแก้วทางโน้นต่างหากล่ะ” พูดจบปีใหม่ก็จัดการดันหลังแฟนสาวให้เดินไปอีกทางทันที เอิ้บโวยวายเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นหัวเราะขบขัน แก้มขาวขึ้นสีชมพูระเรื่อน่ามอง

“ใหม่นี่ขี้หึงจังเลยนะ อิอิ^^”



“พวกน้องได้คิดไว้บ้างยังว่าอยากแสดงอะไร อ๊ะ! เดี๋ยวนะ คนไหนเดือน คนไหนดินนะ?”

“ผมภูผาเป็นเดือน ส่วนนี่ฟ้าครามเป็นดินครับ”

“โอ๊ย! เหมือนกันชิบเป๋ง เพื่อนๆ พวกน้องนี่กวนใช่เล่นนะ เลือกมาทั้งคู่แบบนี้ ถ้าได้ไปรอบมหา’ ลัยกันทั้งคู่กูรับรองว่ามีงงกันทั้งงานอ่ะ ฮ่าๆ ๆ ”





“ไอ้ครามมานี่ ปีที่แล้วกูเป็นดินคณะ เดี๋ยวกูกะปีสามช่วยเทรนเอง” ยูโรลากฟ้าครามเดินไปอีกทาง ทิ้งภูผาไว้กับรุ่นพี่อีกกลุ่ม

“ถ้าน้องยังคิดไม่ออกงั้นดูคลิปของพี่ปีเก่าๆ ก่อนก็ได้ เผื่อจะปิ๊งไอเดีย” ปีสองอีกคนเสนอก่อนจะหันจอโน้ตบุ้คไปทางภูผา

หลังดูจบไปหลายคลิป มีทั้งพี่ที่แสดงร้องเพลง ดีดกีตาร์ ต่อยมวย สีไวโอลิน เต้นบีบอย แสดงละครใบ้ แต่ที่ภูผาชอบที่สุดก็คือคลิปพี่โซลขาโหดเพื่อนแก๊งเดียวกับพี่ทีที่เล่นเปียโนเพลง Death waltz

“พี่เขาได้เป็นถึงเดือนมหา’ ลัยเลยนะ แม่งโคตรเทพ จะดูการแสดงรอบมหา’ ลัยมั้ย”

ภูผาพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะแทบลืมหายใจเมื่อได้ดูคลิปวันประกวดเดือนมหา’ ลัยที่พี่ปีสามคนนั้นเล่นเพลง Night of Nights

“โอ๊ย! โคตรโหดเลยอ่ะพี่! เหยดดด เล่นเก่งอ่ะ!”

“ในรอบสี่ปีนี้ คนจากคณะเราได้เป็นเดือนมหา’ ลัยแค่คนเดียวเอง ก็คือพี่คนนี้อ่ะแหละ น่าเสียดายที่พี่เขาไม่ได้เรียนสาขาเครื่องกล ปีนี้พี่หวังนะว่าสาขาเราจะได้เป็นเดือนคณะกับเค้ามั่ง ปล่อยให้โยธากับไฟฟ้าครองตำแหน่งมาห้าปีละ …เป็นไง ดูไปหลายคลิปแล้ว คิดออกบ้างยังว่าจะแสดงอะไร”

“คิดออกละพี่!”

“น้องจะแสดงอะไร?”

“ผมจะแสดงมายากล!”





“เป็นไง คิดไว้บ้างยังว่าจะแสดงอะไร ไม่ต้องเครียดนะน้อง ประกวดดินน้องจะแสดงอะไรก็ได้ เอาให้ฮาไว้ก่อนเป็นพอ ไม่ต้องคิดมาก ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ช่างมัน เอาที่น้องรู้สึกสนุกก็พอ” พี่ปีสามชื่อแมนพูดยิ้มๆ ด้วยท่าทางสบายๆ ฟ้าครามจำได้ว่าเห็นหน้าบ่อยๆ ในค่าย พี่แกป๊อปปูล่าในหมู่เพื่อนๆ น่าดูเพราะเป็นคนดีมีอารมณ์ขัน บ่อยครั้งที่ฟ้าครามมักจะเห็นบุคคลรอบตัวพี่คนนี้หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็งโดยมีพี่แกเป็นศูนย์กลางอยู่บ่อยๆ

“ปีพี่แมน แสดงอะไรอ่ะครับ?”

“อ๋อ ทำท่าประกอบเพลงคิโยมิอ่ะ พอดีคิดไม่ออกว่าจะอัดคลิปไรดี อุวะฮ่าๆ ๆ ”

แล้วพี่แกก็เปิดคลิปที่ตัวเองอัดไว้ให้ดู ฟ้าครามทั้งขำทั้งรู้สึกเสียสายตาในเวลาเดียวกัน หน้าไม่ให้แล้วยังจะทำแอ๊บแบ๊วอี๊กกก ไม่แปลกใจเลยที่พี่แกจะแพ้ดินสาขาเคมีที่อัดคลิปเลียนแบบรายการเทยเที่ยวทายที่ลงทุนขนาดออกไปถ่ายคลิปในสถานที่ท่องเที่ยวนั้นจริงๆ

“โอ๊ยพี่แมน คืนนี้ผมต้องฝันร้ายแน่ๆ เลย!” ไอ้ยูโรบ่นก่อนจะทำหน้าสยองขวัญ พี่แมนเลยหัวเราะเสียงดังอย่างชอบอกชอบใจ

“อ่ะนี่ ล้างตาๆ ฮ่าๆ ๆ ๆ ” พี่แมนขำไปพิมพ์ไป ก่อนจะหันจอไอแพดมาทางฟ้าครามกับยูโร

เอ้า ออกมาวิ่ง วิ่งนะวิ่งนะแฮมทาโร่

ตื่นออกจากรัง วิ่งนะวิ่งนะแฮมทาโร่

ของอร่อยที่สุดก็คือ เมล็ดทานตะวัน

.ได้เวลาวิ่ง วิ่งนะวิ่งนะแฮมทาโร่

...ได้เวลาวิ่ง กลิ้งนะกลิ้งนะแฮมทาโร่

สนุกจริงๆ ที่กลิ้งไปกับแฮมทาโร่

ของอร่อยที่สุดก็คือ เมล็ดทานตะวันนนนนนน

“กร้ากกกก! ฮ่าๆ ๆ ๆ เฮ้ย! กูชอบว่ะ กูชอบ” ฟ้าครามตบไหล่ยูโรก่อนจะซบหน้าลงไปหัวเราะจนน้ำตาเล็ด ก็จะไม่ให้หัวเราะได้ยังไงในเมื่อในคลิปคือไอ้ขวดที่ใส่ที่คาดผมเหมือนหูหนูร้องพร้อมกับเต้นประกอบเพลงแฮมทาโร่ด้วยหน้าตานิ่งๆ เบลอๆ เหมือนคนพี้กัญชา สมฉายาฮาหน้านิ่งที่เพื่อนตั้งให้จริงๆ

“คิดแล้วก็เจ็บใจ กูเกือบจะได้เป็นดินมหา’ ลัยอยู่แล้วเชียว แต่ดันไปแพ้ดินคณะแพทย์ที่ออกมาเต้นคาบาเร่ซะงั้น”

“คณะแพทย์เค้าเต้นคาบาเร่ แล้วมึงแสดงอะไรวะ?”

“กูเต้นเพลงอาราเล่”

“อ่อ กูเพิ่มเติมให้..ไอ้ไก่ เอ๊ย! ไอ้ยูโรมันขึ้นไปแสดงคนเดียว แต่ดินคณะแพทย์มันหอบแดนซ์เซอร์ขึ้นไปอีกตั้งยี่สิบกว่าคนแน่ะ” พี่แมนว่า

ฟ้าครามถึงกับกรอกตามองบน

ขืนมึงชนะก็บ้าแล้วโว้ยยย!!





(บทที)

วันนี้เป็นคืนวันศุกร์ แก๊งของผมเลยนัดกันมาทำรายงานที่บ้านไอ้โซล หลังจากทำงานเสร็จพวกเราก็ล้อมวงดื่มกันอย่างเฮฮาหลังจากไม่ได้ดื่มกันมานานตั้งแต่สอบมิดเทอมเสร็จ

ด้วยความที่นั่งเมาในบ้านมันไม่สะใจ พวกเพื่อนๆ ผมมันเลยลากเสื่อออกมาปูกินเหล้ากันที่สนามหญ้าหน้าบ้านซะเลย

เสียงสรวลเสเฮฮาดังขึ้นรอบตัว ผมดื่มไปจนเริ่มมึนๆ จึงได้หยุดแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเสื่อ แหงนหน้ามองท้องฟ้าที่เกลื่อนไปด้วยหมู่ดาว

มองไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่เบื้องหลัง จะมองกี่ครั้งก็รู้สึกว่ามันใหญ่โตเกินไปสำหรับไอ้โซลและน้องมันที่อยู่กันแค่สองคน ก่อนหน้าที่น้องเพย์จะมาอยู่ด้วย ไอ้โซลไม่ค่อยกลับมาที่นี่หรอก มันชอบอยู่คอนโดมากกว่า ผมคิดว่าผมพอจะเข้าใจมันนะ มันคงจะเหงาที่ต้องอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่ๆ เพียงคนเดียว พอนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อปีก่อน ผมก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่สุดท้ายเรื่องราวก็คลี่คลายไปในทางที่ดี

ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปเมื่อไหร่ แต่พอตื่นมาผมก็มาอยู่บนห้องนอนแขกแล้ว เหลือบมองนาฬิกาบนผนังห้องเพิ่งจะหกโมงเช้า ผมลุกขึ้นบิดขี้เกียจก่อนจะสวมสลิปเปอร์เดินลงไปสูดอากาศยามเช้าข้างนอก

ผมเดินออกไปยืนริมสระว่ายน้ำ พับขากางเกงขึ้นเล็กน้อยแล้วจุ่มขาแช่ลงไปในน้ำเย็นเฉียบ

“ไม่คิดว่ามึงจะตื่นเช้านะ เมื่อวานก็ดื่มไปเยอะไม่ใช่หรอ” ผมสะดุ้งหันมองไปทางต้นเสียง ไอ้โซลเดินมายืนข้างตัวผมในชุดนอนสีดำสนิท

“นั่นควรเป็นคำพูดของกูมากกว่านะ หึๆ ” ผมหัวเราะในลำคอ เราสองคนต่างอยู่ในภวังค์ส่วนตัวของตัวเองกันพักใหญ่ ก่อนไอ้โซลจะเอ่ยปาก

“เทอมสองที่ต้องไปฝึกงาน กูอยากให้มึงเลือกไปที่ KK Group”

“ตามเงื่อนไขการรับทุน กูต้องไปฝึกงานที่ V Group ของมึงไม่ใช่หรอ” ผมเลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจ แม้ทุนที่ผมได้จะเป็นทุนให้เปล่า แต่ก็มีเงื่อนไขข้อเดียวคือจะต้องมาฝึกงานที่บริษัทผู้ให้ทุนตอนปีสามเทอมสอง

“นั่นเป็นความต้องการของย่ากูคนที่ให้ทุนมึง”

“ถ้าอย่างนั้นกูก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธสินะ” ผมพูดยิ้มๆ

“น่าจะเข้าใจใช่มั้ยว่ามึงต้องทำอะไรบ้าง”

“ไม่เข้าใจก็ต้องเข้าใจอยู่ดี จริงมั้ย”

“ฉลาดย้อน”

ผมหัวเราะ รู้ตัวมานานแล้วว่าเพื่อนผมคนนี้หวังจะให้ผมมาเป็นมือเป็นเท้าให้เมื่อเรียนจบ แต่ผมก็ยังลังเลเพราะมีเส้นทางและข้อเสนอดีๆ อีกมากมายที่กำลังจะถูกหยิบยื่นมาให้เลือกในอนาคตอันไม่ไกลนี้แล้ว

“เมื่อคืนใครแบกกูขึ้นห้องวะ มึงหรอ?”

ไอ้โซลไม่ตอบ แต่กลับพูดเรื่องอื่นขึ้นมาแทน

“ช่วงนี้กูว่ามึงแปลกๆ นะ …อันที่จริงก็แปลกมาได้พักนึงแล้ว …”

“แปลก? ตรงไหนวะ” ผมถามอย่างงุนงง

“มึงมีอะไรอยากเล่ามั้ยล่ะ เกี่ยวกับเรื่องที่มึงปิดบังอยู่ในช่วงนี้”

“ปิดบังอะไรของมึง? วันๆ กูก็มีแต่เรียนๆ ๆ ไม่ได้ไปทำชั่วอะไรที่ไหน ปิดบังไรวะ งง” ผมครุ่นคิดว่าตัวเองเผลอไปทำเรื่องไม่ดีที่จะส่งผลกระทบต่อเพื่อนๆ ในกลุ่มบ้างหรือเปล่าในช่วงนี้ แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกเลยจริงๆ

“เห็นวันๆ เอาแต่ยิ้มเอ๋อๆ ไม่คิดว่ามึงจะเด็ดขนาดนี้นะ กูต้องมองมึงใหม่แล้วว่ะ”

“นี่มึงพูดเรื่องเดียวกันกับกูอยู่รึเปล่าเนี่ย!?” โอ๊ย! เกิดมาไม่เคยคุยกับใครแล้วเพลียสมองต้องคิดหลายตลบเท่าคุยกับมันเลย

“เมื่อคืนมึงละเมอพูดยาวมากกกกกกก” ไอ้โซลยิ้มร้าย

“!!!!” เลือดในกายผมพลันเย็นเฉียบขึ้นมาในบัดดล ผมรู้ว่าถ้าตัวเองเมาจะพูดไม่หยุดเมื่อคืนเลยดื่มไปไม่มาก ยังคุมสติตัวเองอยู่ แต่ไม่คิดว่าจะไปละเมอพูดอะไรให้เพื่อนฟังแทน

“กูพูดอะไรไปบ้างอ่ะ” ผมพยายามควบคุมอารมณ์ที่แตกตื่น ตีสีหน้าเรียบๆ ติดรอยยิ้มบางๆ ถามกลับไปเหมือนไม่รู้สึกกังวลอะไรสักนิด ทั้งที่ในใจตอนนี้ร้อนราวกับโดนไฟลวกจนกลิ่นไหม้ขึ้น

“อืม …ภูผา ฟ้าคราม …รักไม่ได้…พ่อแม่…อะไรสักอย่างเนี่ยแหละ กูก็เริ่มลืมๆ แล้วว่าเมื่อวานมึงพูดอะไรบ้าง ” ไอ้โซลยักไหล่

“ลืม?” ถึงตอนแรกผมจะตกใจในสิ่งที่มันพูดออกมา แต่พอมันบอกว่าจำไม่ค่อยได้ผมก็แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก









“แต่ไม่เป็นไร ไอ้ป๊อกอัดไว้ให้แล้ว J”



หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 39 เดือนของพี่ ดินของน้อง [28/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 28-03-2018 17:44:00
 :katai5:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 39 เดือนของพี่ ดินของน้อง [28/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 28-03-2018 18:27:42
555 ความลับรั่วแน่พี่ที
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 39 เดือนของพี่ ดินของน้อง [28/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-03-2018 18:38:10
อะจ๊ากกกกกกกก ทีเมาแล้วละเมอ  o22 o22 o22
โซลว่าจำไม่ได้ แต่ไอ้ที่พูดตอนแรกๆน่ะชัดเจนเลยนะ
ตบท้ายด้วยว่า  อัดที่ละเมอไว้หมดแล้ว  :serius2: :serius2: :serius2:

ให้แอบคิดว่าโซล แอบคิดไรๆกับทีหรือเปล่า  :hao3:     
นอกจากที่อยากให้ทีไปทำงานที่บริษัทตัวเอง

ที่มอ.ที นี่มีประกวดดินด้วย นอกจาก ดาว เดือน  :katai2-1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 39 เดือนของพี่ ดินของน้อง [28/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 28-03-2018 19:13:10
เปิดเลย ๆ ฟังด้วยคนดิ  :hao3:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 39 เดือนของพี่ ดินของน้อง [28/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-03-2018 19:51:47
 :hao7:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 39 เดือนของพี่ ดินของน้อง [28/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 29-03-2018 00:31:29
ช็อคไปสิพี่ที
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 39 เดือนของพี่ ดินของน้อง [28/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 29-03-2018 21:14:35
ประโยคตบท้ายนี่สุดยอดเลย 555
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 39 เดือนของพี่ ดินของน้อง [28/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 30-03-2018 20:06:05
                                                               ตอนที่ 40  ความในใจ


“อ้าว ทีเมาหลับไปก่อนชาวบ้านอีกแล้วหรอ” สกายถามเสียงกลั้วหัวเราะ หลังจากออกเวรเขาก็รีบตามมาสมทบหลังจากที่ไม่ได้มาสังสรรค์กับเพื่อนๆ เสียนาน

“กระดกไปสามแก้วก็จอดแล้วรายนั้น มาๆ ๆ นั่งๆ ๆ โว้ยย ไม่เมาไม่เลิกคืนนี้” ป๊อกเข้าไปกอดคอลากสกายให้ทรุดตัวลงนั่งบนเสื่อ ก้อยรู้งานรีบชงเหล้าเสิร์ฟให้เพื่อนทันที

“เบาหน่อยก้อย เราคออ่อนนะ ฮ่าๆ ๆ ” สกายหัวเราะเมื่อเห็นเพื่อนสาวเทเหล้าให้ตัวเองเกือบครึ่งแก้ว

“นานๆ มึงจะว่างมาเจอพวกกูสักที คืนนี้กูจะมอมมึงทำผัว”

“อร๊ายยยย!! พี่ก้อยอ่ะ บร๊าาาาๆ ๆ ” สกายทำท่าสะดีดสะดิ้ง คนที่เหลือต่างก็หัวเราะกับท่าทางของสกาย

“ดูพูดเข้า… เฮ้ออออ…เป็นน้องเป็นนุ่งจะจับตีให้” แท็คผลักหัวเพื่อนสาวอย่างไม่จริงจังนักก่อนจะส่ายหัวอย่างขำๆ

เสียงกีตาร์ดังคลอไปเบาๆ ท่ามกลางบรรยากาศของมิตรภาพ โซลดีดกีตาร์เป็นเพลงไปเรื่อยๆ ตามแต่ใครจะรีเควสเพลงอะไร ถึงเจ้าตัวจะทำหน้านิ่งๆ แต่เพื่อนๆ ก็รู้ว่าโซลในตอนนี้กำลังรู้สึกสนุกและผ่อนคลายกว่าทุกวัน

“ขอเพลงห้องนอนหน่อยโว้ยยย ไมค์ๆ ” ป๊อกคว้าไมค์ได้ก็แผดเสียงร้องบาดหูชาวบ้านชาวช่องจนสุดท้ายแท็คต้องเอื้อมมือไปปิดไมโครโฟนของเพื่อนอย่างทนฟังไม่ไหว

“เสียงอย่างกับควายออกลูกยังอยากจะร้องอีกนะมึง เอามานี่!” ก้อยแย่งไมค์มาร้องแทน ป๊อกพยายามแย่งไมค์คืนหลังจากนั้นการล้อมวงร้องเพลงพูดคุยก็กลายเป็นการวิ่งไล่จับแย่งไมโครโฟนกันของก้อยและป๊อก โดยมีเสียงหัวเราะของพวกที่เหลือดังคลอเป็นระยะ

โซลมองเพื่อนสองคนที่วิ่งไล่กันเป็นเด็กๆ ก่อนจะเกากีตาร์เล่นไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย

“คนอย่างเธอ…”

“ฮะ! อะไรนะที” แท็คหันไปมองเพื่อนที่นอนอยู่ข้างๆ คิดว่าเพื่อนตื่นแล้วแต่กลายเป็นว่าอีกฝ่ายยังนอนหลับตานิ่งแต่คิ้วขมวดมุ่น เมื่อแท็คหันไปมองที โซลและสกายจึงหันมามองด้วยพลางเลิกคิ้วถามทำนองว่ามีอะไรหรือเปล่า

“คนอย่างเธอถึงทำอย่างไง

ไม่มีวันที่ฉันจะมองว่าดี

ไม่มีวันเปิดหัวใจรักเธอ”

ทั้งสามคนมองหน้ากัน

“กลับไปซะอย่ามาให้เจอกันเลย

เธอก็รู้ว่าฉันทุกครั้งไม่เคยใจอ่อน

กับการทุ่มเทของเธอ”

ป๊อกและก้อยที่วิ่งจับกันจนเหนื่อย กลับมานั่งหอบด้วยกันบนเสื่อ ก่อนจะเลิกคิ้วสงสัยว่าทำไมแท็ค โซล และ สกายมองไปที่ทีกันเป็นตาเดียว

“แต่แล้วทำไม วันนี้มีเธอจนล้นในใจ

ก่อนนั้นก็ไม่เคย จะคิดอะไร

มันเกลียดไม่อยากจะมองด้วยซ้ำ”

“เห้ยยย! ไอ้ทีเมาร้องเพลงหรอเนี่ย”

“แทบไม่เคยได้ยินมันร้องเพลงเลยนะเนี่ย หืม สีหน้าสีตานี่ได้ฟีลลิ่งมากอ่ะ”

“ชอบก็อัดคลิปไว้สิ” โซลเสนอเสียงเรียบ ป๊อกไม่รอให้เพื่อนยุต่อ รีบควักสมาร์ตโฟนขึ้นมาอัดคลิปทันทีอย่างนึกสนุก

“สิ่งที่ทำลงไป ไม่ควร ฉันเองก็รู้ห้ามอย่างไร

มันอยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม

กลับไปวันที่ไม่มีใครให้สบตา

ผิดที่เธอคนเดียว เธอทำให้ความรักเกิดเพื่ออะไร

เมื่อต่าง ต่างก็รู้กันอยู่

เราอยู่บนโลกที่ควรห่าง…กัน”

น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาตามแก้มของคนที่เมาหลับ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงสะอึกสะอื้น น้ำตาหยดที่สองสามสี่และอีกนับไม่ถ้วนพรั่งพรูลงมาไม่ขาดสาย ทีนอนขดตัวมือกุมหน้าอกด้านซ้ายไว้ด้วยใบหน้าเจ็บปวด

“ทำไมต้องเข้ามาในชีวิตพี่ด้วย ”

ทุกคนได้แต่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ปกติก็รู้อยู่แล้วว่าเพื่อนคนนี้เวลาเมาจะพูดมากพูดไม่หยุด บางทีก็ร้องไห้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นทีร้องไห้ด้วยท่าทางเจ็บปวดทรมานแบบนี้ ทำให้เพื่อนๆ ได้แต่มองหน้ากันไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูกว่าจะเขย่าตัวเรียกเพื่อนหรือจะปล่อยให้ระบายออกมาเหมือนทุกๆ ครั้งดี

“ออกไป!! ออกไปให้พ้นจากชีวิตกู!! ฮือๆ ๆ ออกไป …ออกไป!!” ชายหนุ่มร้องตะโกนราวกับคนเสียสติ มือสองข้างขยับทึ้งเส้นผมตัวเองอย่างบ้าคลั่งจนก้อยตกใจรีบถลาเข้าไปจับมือเพื่อนเอาไว้ไม่ให้ขยุ้มหัวตัวเอง

“ทีๆ ๆ ตื่นๆ ๆ ” ก้อยยกศีรษะเพื่อนหนุนตักก่อนจะตบแก้มเรียกให้อีกฝ่ายได้สติ

“แม่…แม่…ทีขอโทษ ขอโทษนะครับ….ขอโทษ….ขอโทษ….ขอโทษ…แม่…ขอโทษ ฮึก…ขอโทษครับแม่….ขอโทษ…ทีขอโทษ…ขอโทษ…. ” ทีเอื้อมมือคว้าเอวเพื่อนไว้ ก่อนจะกอดแน่นแล้วซุกหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นพร่ำขอโทษไม่ได้หยุดปาก จนคนมองรู้สึกสงสารจับใจ

“เบื้องหลังรอยยิ้มไอ้ที ทำไมมีแต่น้ำตาทุกครั้งเลยวะ” ป๊อกถอนหายใจ หลายครั้งที่เวลาทีเมาพวกเขามักได้เห็นน้ำตาเพื่อน หรือไม่ก็เสียงพร่ำเล่าเรื่องราวอัดอั้นตันใจ ไม่มีใครเคยบอกทีเรื่องที่เจ้าตัวเมาแล้วเป็นแบบนี้เพราะกลัวทีจะรู้สึกไม่ดีแล้วจะไม่กล้ามาสังสรรค์ด้วยกันอีก ปกติพวกเขาไม่เคยอัดสิ่งที่ทีพูดออกมาตอนเมาเลยสักครั้ง แต่คราวนี้พวกเขาอัดเพราะนึกแปลกใจที่เพื่อนไม่ได้เมาแล้วพูดแต่เมาแล้วร้องเพลง

“ที!! ตื่นโว้ย ตื่นๆ ไอ้ที!!” แท็คกับสกายช่วยกันเขย่าตัวเรียก แต่ทีก็ยังไม่รู้สึกตัว

“พี่จะรักพวกเราได้ยังไง มีกันตั้งสองคน.. กูไม่ใช่คนหลายใจนะเว้ย กูอ่ะเป็นคนรักเดียวใจเดียว รักใครก็รักคนเดียวนะเว้ย! แต่พวกมึงเล่นโผล่เข้ามาทีเดียวสองคนแบบนี้ จะให้เลือกคนใดคนหนึ่งกูก็ทำไม่ได้ กูก็อยากเลือกแค่คนเดียว แต่กูก็สงสารคนที่ไม่ถูกเลือกเข้าใจมั้ยวะ!”

ก้อยยกมือขึ้นปิดปาก ตาโตกับสิ่งที่ได้ยิน

“เหยดเข้! ควบสอง! เพื่อนเรานี่ไม่ธรรมดาเลยว่ะ”

“อ้าว…ที่มาปรึกษาวันนั้นนึกว่าคนเดียวซะอีก” แท็คมีสีหน้าประหลาดใจ

“…..แล้วยังเป็นลูกพี่ลูกน้องกันอีก มาทำแบบนี้พี่ลำบากใจนะ” ทีปล่อยมือจากเอวก้อยก่อนจะเอามือก่ายหน้าผากเหมือนคนทุกข์หนัก

“เห้ยยย นี่มันรักต้องห้ามนี่หวะ…หว่า” สกายอุทานอย่างตกใจ แต่ก็ถูกโซลมองด้วยสายตาแผ่จิตสังหาร สกายถึงนึกขึ้นได้ว่าโซลเพื่อนเขาเองก็มีรักต้องห้ามเหมือนกัน

“ถึงจะคนละนามสกุลแต่ก็สายเลือดเดียวกันป่าววะ พี่น้องกันป่าววะ แถมเป็นผู้ชายเหมือนกันอีก ขืนกูคบด้วยก็คงกลายเป็นไอ้เกย์วิปริตจิตวิปโยค เป็นเกย์ไม่พอยังคบผู้ชายพร้อมกันสองคน แถมผู้ชายสองคนนั้นยังเป็นญาติใกล้ชิดอีก ต้องมั่นหน้าขั้นไหนวะถึงจะทำได้โดยที่ไม่รู้สึกอับอายสายตาคนรอบตัว”

“………………………..”

พูดถึงประโยคนี้ เพื่อนๆ ก็แดกจุดกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สองคน!? ญาติสนิท!? ผู้ชาย!!!!???

ไอ้ที!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

“กูเป็นลูกชายคนเดียวนะ มีเชื้อสายจีนด้วย มีหน้าที่ต้องสืบสกุล กูเรียนเก่ง กูเป็นคนดี เป็นลูกที่ดี เป็นพี่ชายที่ดี เป็นนักศึกษาที่ดี เป็นที่รักของเพื่อนๆ เป็นลูกรักของอาจารย์ กูเพอร์เฟ็ค กูดีพร้อม กูคือความภาคภูมิใจของพ่อแม่ ของวงศ์ตระกูล กูเป็นลูกที่แม่เอาไปอวดแม่ค้าได้ทั้งตลาด อวดญาติได้ทั้งเหง้าตระกูล ใครๆ ก็อิจฉาพ่อแม่กูที่มีลูกอย่างกู น้องสาวก็มองกูเป็นแบบอย่าง มองกูเป็นไอดอล ใครๆ ก็บอกว่ากูสุขุมเยือกเย็นเป็นผู้ใหญ่ ใครๆ ก็อิจฉาอยากเป็นแบบกูกันทั้งนั้น”

“โอ้ยยยย! ไอ้ห่าทีนี่แม่งมั่นหน้าจริงโว้ยย หมั่นไส้”

“แต่ที่ทีพูดมามันก็ถูกหมดเลยนะ ฮ่าๆ ๆ ” สกายหัวเราะ

“รู้ป่ะ ว่ากูสะใจมากที่กูเป็นแบบนี้”

“สะใจอะไรของมันวะ?” ป๊อกเกาหัว

“อากงอาม่าอ่ะ เกลียดแม่ ที่แม่ขัดคำสั่งไม่ยอมแต่งงานกับคนที่ตัวเองอยากให้แต่ง แต่กลับมาแต่งงานกับพ่อที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไรแต่ก็เป็นคนที่ดีถึงขนาดที่ทำให้แม่กูยอมหันหลังให้กับทุกอย่างเพื่อเลือกพ่อ”

“เอาว่ะๆ ประวิติครอบครัวก็มาละเว้ย”

“ตอนปอสี่ที่แม่พากูกลับไปเยี่ยมบ้านฝั่งแม่ กูจำได้ว่าอากงพูดว่า มีลูกสาวก็เหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน แล้วก็มองไปที่แม่กับน้องสาวกูแบบเหยียดๆ …ตอนนั้นอ่ะ กูโกรธมากๆ เลยนะ ก็เลยสวนกลับไปว่า งั้นอากงก็เกิดมาจากส้วม แล้วก็มีเมียเป็นส้วมด้วยใช่ไหมครับ หน้าอากงตอนที่โดนเด็กปอสี่ย้อนตะเข็บกลับเข้าให้ในวันนั้นกูจำได้ไม่ลืมเลย กูไม่รู้สึกผิดสักนิด ถึงสุดท้ายกูจะโดนแม่ตีต่อหน้าอากงเลยก็เถอะ” ทีหลับตาเล่าไปเรื่อยๆ พร้อมรอยยิ้มประดับมุมปาก

“แล้วพอกูขึ้นปอหก กูได้เกียรติบัตรเรียนดีสามปีซ้อน แม่ก็เลยพากูไปบ้านนั้นอีกครั้งเพราะกูบอกว่าอยากเอาไปอวดอากงอาม่า กูได้ทองคำห้าสิบสตางค์เป็นรางวัลเลยนะกูจำได้ แล้วกูก็เอาเกียรติบัตรชนะเลิศประกวดมารยาทของทามไปด้วย แล้วก็บอกว่าต้องให้รางวัลน้องสาวผมด้วย อากงก็นิ่งๆ ไม่ได้ให้อะไร …ตอนนั้นกูรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมกับน้องกูเลย”

“………”

“กูถามอากงว่า อากงจำได้มั้ยที่เคยว่าน้องสาวกับแม่ของผมเหมือนส้วมหน้าบ้าน อากงก็ไม่ตอบ …กูก็เลยบอกเขาไปว่า แต่สำหรับผม น้องสาวกับแม่ถึงจะเป็นส้วม ก็เป็นส้วมทองคำ ต่อให้โชว์ไว้หน้าบ้านก็น่าภาคภูมิใจ….ตอนนั้นแม่ก็อยู่ด้วย แม่ร้องไห้ใหญ่เลย แล้วก็กอดกูจูบแก้มกูไม่หยุด”

“…ตั้งแต่วันที่อากงด่าแม่ กูก็รู้แล้วว่าตัวเองควรจะทำอะไร กูต้องปกป้องแม่ กูต้องทำให้แม่กูเป็นผู้หญิงที่ใครๆ ก็ต้องอิจฉา เป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลกที่มีคนอย่างกูเป็นลูก กูจะทำทุกอย่างให้แม่กูสบาย กูจะทำทุกอย่างให้แม่กูมีความสุข”

“ไอ้ทททททททที ที่ว่ามึงไปเมื่อกี้กูขอถอนคำพูดดดดด!!”

“โอ๊ย! ใจหล่อไปอีก เพื่อนกู”

“น้ำตาจะไหล ทีT-T เอาใจเราไปเลย”

“กูเป็นเด็กดี กูตั้งใจเรียนก็เพื่อแม่ กูไม่อยากเห็นแม่ทำหน้าเศร้า ไม่อยากได้ยินใครว่าแม่ ไม่อยากให้ใครมาเหยียบย่ำศักดิ์ศรีแม่อีกแล้ว กูอยากให้แม่เชิดหน้าอวดใครต่อใครได้ว่าเธอมีลูกที่แสนวิเศษขนาดไหน กูมีความสุขทุกครั้งที่เห็นแม่กูยิ้มเวลาโทรศัพท์ไปอวดญาติๆ ว่ากูสอบได้เกรดสี่อีกแล้ว กูแข่งชนะมาอีกแล้ว กูได้เงินรางวัลมาเท่านี้ๆ แล้วเอามาให้แม่อีกแล้ว กูชอบเวลาที่เห็นผู้ปกครองคนอื่นมองแม่อย่างอิจฉาเวลาที่แม่มาประชุมผู้ปกครองแล้วครูเอ่ยชมกูต่อหน้าผู้ปกครองคนอื่นๆ ถึงพฤติกรรมของกูจะทำให้แม่กลายเป็นคนขี้อวด จะทำให้หลายๆ คนหมั่นไส้กู แต่กูก็มีความสุข”

“นอกจากแม่แล้ว อากงมีลูกชายอีกสามคนไม่เอาอ่าวสักคน แถมหลานที่มาจากลูกชายสามคนยังไม่มีใครได้เรื่องเท่ากูกับทาม วันๆ หลานฝั่งนั้นก็สร้างแต่เรื่องเพิ่มแต่ปัญหาให้กงกูปวดหัวปวดใจไม่เว้นแต่ละวัน ลูกชายก็ไม่ได้เรื่อง หลานๆ ที่เกิดจากลูกชายก็เหลวแหลก สุดท้ายอากงก็ตายด้วยโรคหัวใจ น่าเสียดายที่กูไม่มีโอกาสไปเยี่ยมเขาก่อนจะตาย ไม่อย่างนั้นกูอาจจะพูดจนเขาเจ็บใจจนกระอักเลือดตายก่อนเวลาก็ได้นะ”

“แต่กูไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ต้องเสียน้ำตาให้คนแบบนั้น กูบอกแม่ว่ากูสะใจมาก ไม่เสียใจแม้แต่นิดเดียว ตายไปซะได้ก็ดี …วันนั้นเป็นวันแรกที่กูโดนแม่ตบหน้า …แม่บอกกูว่าแม่ไม่เคยสอนให้กูมีความคิดชั่วๆ แบบนี้ …นั่นเป็นครั้งแรก ที่กูเริ่มรู้สึกตัว …ว่าตัวกูแบ่งออกเป็นสองสีอย่างชัดเจน กูเริ่มกลัวตัวเอง อะไรที่คิดก็เริ่มไม่กล้าพูดออกไป กว่าจะเอ่ยปากแต่ละเรื่องกูจะคิดแล้วคิดอีกว่ามันสมควรหรือไม่ กูเริ่มไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไงถึงจะเรียกว่าดี ท้ายที่สุดทุกสิ่งที่คนอื่นบอกว่าดี กูก็ทำตามนั้น ทำแค่นั้น”

“…………..”

“กูไม่รู้จริงๆ …ว่าทีที่อยู่ตรงนี้ คือตัวตนของกูจริงๆ แล้วหรือยัง”

“กูรู้สึกว่าตัวเองเติมเต็มให้คนอื่น จนตัวเองจะไม่เหลืออะไรแล้ว”

“กูกลัวอนาคต กูกลัวที่จะต้องอยู่ตัวคนเดียวไปตลอดชีวิต กูคิดว่าจะแต่งงานอย่างที่คนทั่วไปเขาทำกันเมื่อถึงวัยอันควร มีภรรยา สร้างครอบครัว มีลูกสักคนสองคน อยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต คอยดูแลกันยามป่วยยามชรา แก่ตัวไปก็เลี้ยงหลาน มีเด็กๆ ล้อมหน้าล้อมหลัง ถึงกูจะไม่ได้ชอบเด็ก แต่ก็ยังดีกว่าอยู่คนเดียวตอนที่พ่อแม่ตายหมดแล้ว และน้องสาวก็คงมีครอบครัวของตัวเอง”

“ถ้ากูเป็นเกย์ พ่อแม่จะรู้สึกยังไง ไหนจะคนรอบข้างอีกล่ะ สังคมอีกล่ะ จะมองแบบไหน สิ่งดีๆ ที่กูทำมาทั้งหมดคงถูกกลบด้วยคำดูหมิ่นเหยียดหยาม กูจะไม่ใช่ความภาคภูมิใจของพ่อแม่อีกต่อไปแล้วแต่กูจะกลายเป็นความอับอายแทน ทุกสิ่งที่กูทำมามันจะหายไปหมด…”

พูดถึงตรงนี้ทีก็นิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลออกมาอีกครั้ง

“แต่กูก็รักไปแล้ว…รักทั้งคู่…รักทั้งภูผาและฟ้าคราม…”

“!!!”

“แล้วมาบอกว่าจะขอเป็นแค่น้องชายตอนที่กูรักไปแล้วแบบนี้…มันหมายความว่ายังไงวะ”

“……………………………..”

“ใครก็ได้มาเป็นกูแทนที กูขอลาออกจากการเป็นกู”







-----------------------------------------------------------------------------------------------

*เพลง ผิดที่เธอ

ศิลปิน ปนัดดา เรืองวุฒิ

เพลงประกอบละครเกาหลี แค้นเพื่อรัก (A Love to Kill)

พี่ทีร้องได้เพราะนั่งดูซีรี่ย์กับน้องสาวค่ะ555



ปล. พี่ทีเเกไม่มีสติ คำพูดคำจาก็จะสับสน มึนๆ เรียงลำดับถูกๆ ผิดๆ ไปบ้างนะคะ

ปล. พี่ทีเคยลองไปสอบหมอเเล้วติดรอบกสพท. เเต่ปิดไว้ไม่บอกพ่อเเม่ค่ะ บอกเเค่ว่าจะเรียนวิศวะนะ พ่อเเม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ที่พี่ทีไม่บอกว่าไปสอบมาเเล้วติดเพราะกลัวว่าจะโดนแม่ขอให้เรียนค่ะ ส่วนที่พี่ทีไม่อยากเรียนหมอเพราะพี่เเกกลัว ไม่กล้ารับผิดชอบชีวิตใคร
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 40 ความในใจ [30/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-03-2018 20:22:53
หมดแล้วทั้งชีวิตและจิตใจ ตัวตน ความลับ ความรัก ของที
ที ระบายออกมาหมดสิ้น  :z3: :z3: :z3:

ที่ที ละเมอแล้วถูกเพื่อนอัดไว้
รู้สึกว่ามันจะต้องถูกเปิดให้คนอื่นรู้อีกแน่  :mew2:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 40 ความในใจ [30/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 30-03-2018 20:38:30
เกิดเป็นพี้ทีนี่ไม่ง่ายเลย  :hao5:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 40 ความในใจ [30/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-03-2018 21:17:04
ความลับแตกแล้ว
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 40 ความในใจ [30/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 30-03-2018 23:23:10
ผ่าม...พูดออกมาหมดเลยจ้าาาา
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 40 ความในใจ [30/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 31-03-2018 00:45:11
ทีปล่อยโป๊ะทามมาย~
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 40 ความในใจ [30/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 31-03-2018 06:20:20
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 40 ความในใจ [30/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 31-03-2018 11:46:29
ถ้าน้องได้ฟังจะดราม่าขนาดไหนไม่อยากจะคิด
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 40 ความในใจ [30/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 31-03-2018 15:02:30
โป๊ะแตกมากเลย  o22
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 40 ความในใจ [30/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 31-03-2018 20:33:11
ทีเอ้ยย ฝังใจมาก เจ็บมาเยอะ
สงสารทีนะ เก็บไว้จนกดดัน
แล้วเมาที พูดยาวขนาดนี้ ชาวบ้านรู้หมด
ต้องบอกให้ฟ้าครามภูผามอมละถ้างั้น

ฟ้าครามภูผาเรียนรู้บ้างแล้ว
แต่เรื่องที ทำเหนืออีกละ ไม่รู้จะออกมาแนวไหน

โซลซ่อนอะไรไว้

ปอวาคือรักกันใช่ไหม หรือแค่ข้างเดียว
เดาว่าเกียร์เป็นของวา ก็แม่นแท้
แล้ววาหายไปไหนนะ ปอรออยู่



หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 40 ความในใจ [30/3/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 12-04-2018 20:58:16

                                                                   ตอนที่ 41 Sky



“แต่ไม่เป็นไร ไอ้ป๊อกอัดไว้ให้แล้ว”

“= [] =”

ผมมองหน้าไอ้โซลอย่างเงิบๆ มันก็มองกลับมานิ่งๆ ท้ายที่สุดมันก็กระตุกยิ้มมุมปาก

“….แต่ก็ลบไปแล้วแหละ”

“จริงน่ะ?” ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ะ

“ไม่เชื่อไปถามมันดูก็ได้ มึงก็รู้ว่ามันไม่เคยโกหก” ไอ้โซลหันหลังมองกลับไปยังห้องห้องหนึ่งบนตัวคฤหาสน์

“น่าจะได้เวลาตื่นแล้วมั้ง…” ไอ้โซลพึมพำเสียงเบาก่อนจะเดินจากไป ทิ้งผมนั่งร้อนรนอยู่ข้างสระน้ำคนเดียว

ผมนั่งมองเงาตัวเองในสระน้ำพลางแกว่งขาเบาๆ ไปเรื่อยๆ รู้สึกคุ้นเคยกับการทำแบบนี้อย่างประหลาดราวกับเคยทำจนเป็นนิสัย ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้มาบ้านไอ้โซลบ่อยๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนการแกว่งขาทอดอารมณ์ริมน้ำเป็นสิ่งที่ผมทำมาจนชิน

หรือตอนเด็กๆ จะเคยไปเที่ยวที่ที่อยู่ริมน้ำแล้วติดใจหรือเปล่านะ

…จำไม่ได้เลยแฮะ

“ที”

ผมหันกลับไปมองข้างหลัง เป็นไอ้สกายที่เดินยิ้มสว่างไสวแข่งกับแสงอาทิตย์ยามเช้าเข้ามาหย่อนตัวลงนั่งข้างๆ

“อ้าว มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย? เมื่อคืนหรอ”

“อื้ม มาดึกๆ น่ะ พอเรามาถึงทีก็เมาหลับไปแล้ว เป็นไง ไม่เจอกันนานเลยนะ มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างหรือเปล่าช่วงนี้” มันถามผมพร้อมรอยยิ้มสว่างไสวจนผมแสบตา

“ก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ช่วงนี้กูสบายดี ก็เรื่อยๆ แหละนะ”

“งั้นหรอๆ อืมๆ ^^” มันพยักหน้าหงึกหงักยิ้มๆ มันแกว่งขาอยู่ข้างๆ ผมครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมา

“เรามีเรื่องจะเล่าให้ทีฟัง อาจไม่ใช่เรื่องสนุก แต่ก็อยากให้ลองฟังดูนะ”

ผมมองหน้ามันอย่างงงๆ ก่อนจะพยักหน้ารับ

“กาลครั้งหนึ่ง จะว่านานก็ไม่นานมากหรอกมั้ง…มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเกิดมาในครอบครัวที่แสนอบอุ่น มีพ่อ มีแม่ มีลูก อยู่ด้วยกันสามคนอย่างมีความสุข”

“อะไรเนี่ย นิทานหรอ เห็นกูเป็นเด็กหรือไงไอ้กาย” ผมแซ็วยิ้มๆ มันโคลงหัวไปมาก่อนจะเล่าต่อ

“แต่แล้ววันหนึ่ง พ่อแม่ของเด็กคนนั้นก็ตายด้วยอุบัติเหตุ เด็กชายจึงถูกคนที่เรียกว่าปู่รับไปเลี้ยงทั้งๆ ที่เด็กชายไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองมีญาติด้วย”

“เด็กชายอาศัยอยู่กับคุณปู่ของเขาอย่างมีความสุข แต่แล้วปู่ของเด็กชายก็ค่อยๆ ล้มป่วยลงด้วยโรคประจำตัวและความชรา ….เด็กชายพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อยื้อชีวิตบุคคลอันเป็นที่รักเอาไว้ เขาไม่อาจทนรับการสูญเสียไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว”

“…..”

“ปู่ของเด็กชายก็พยายามฝืนสังขารตัวเองอย่างสุดชีวิต เพียงเพื่อที่จะได้อยู่กับเด็กชายให้นานขึ้นแม้เพียงวันเดียวก็ยังดี”

“จากเด็กชายกลายเป็นเด็กหนุ่ม ในตอนนั้นปู่ของเขาไม่สามารถลุกออกจากเตียงได้อีกแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็มีความสุข ที่อย่างน้อยก็ยังได้มีกันและกัน…”

“เด็กหนุ่มไม่ใช่คนเรียนเก่ง แต่ก็บอกกับปู่ของเขาว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย…เรียนพยาบาล แล้ววันหนึ่งจะกลับมาดูแลคุณปู่”

“แต่วันนั้นก็ไม่อาจมาถึง เพราะไม่นานหลังจากนั้น ปู่ของเด็กหนุ่มก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย”

“……”

“เด็กหนุ่มไม่เหลือสิ่งสำคัญในชีวิตอีกแล้ว ไม่รู้ว่าต่อไปนี้จะอยู่เพื่อใคร ทำเพื่อใคร ในเมื่อเหลือตัวคนเดียวแล้วในโลกใบนี้”

“…..”

“เด็กหนุ่มคนนั้น…คือเราเองแหละ”

“!!!”

“^^” ไอ้สกายมองหน้าผมพร้อมรอยยิ้มมุมปากที่อบอุ่นเหมือนแสงอาทิตย์

“เราเข้าใจทีนะ…”

“…..”

“เพราะพวกเรามีรอยยิ้มที่เหมือนกันยังไงล่ะ”

รอยยิ้ม ที่ซ่อนทุกอย่างไว้..อย่างมิดชิด

“….” ผมนิ่งอึ้งมองคนตรงหน้าอย่างไม่คาดคิด ผมไม่เคยรู้เลยว่าสกายมันจะมีภูมิหลังมาแบบนี้ ตั้งแต่รู้จักกันตอนปีหนึ่งผมไม่เคยถามเรื่องเกี่ยวกับที่บ้านมันเลยสักครั้งแล้วมันก็ไม่เคยปริปากเล่าให้ฟังมาก่อนด้วย ผมคิดว่ามันเป็นคนร่าเริงสุดๆ ดูเป็นคนดี มองโลกในแง่ดีตลอดเวลา ผมยังเคยคิดขำๆ ว่าคนอย่างไอ้สกายมันเคยรู้จักความทุกข์รึเปล่าด้วยซ้ำ

“คนอื่นๆ รู้ไหม” ผมถาม ยังคงไม่หายอึ้ง

“รู้…เรื่องมันเกิดขึ้นตั้งแต่เราอยู่มอปลายแล้ว…ขอโทษที่ไม่เคยเล่าให้ฟังนะ”

“เฮ้ย ขอโทษทำไม มันไม่ใช่เรื่องที่จู่ๆ จะมาเล่าให้คนอื่นฟังอยู่แล้ว …กูเองก็ไม่เคยถามด้วย”

“อ่าฮะ^^” ไอ้สกายยิ้ม จากนั้นเราสองคนก็นั่งเตะน้ำอยู่ข้างกันเงียบๆ

“ที …ชีวิตคนเรามันสั้นนะ อยากทำอะไรก็รีบๆ ทำเข้าจะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง …อย่าให้สิ่งที่มีค่าหลุดลอยออกไปจากมือ กอบโกยช่วงเวลาที่ได้อยู่กับคนที่เรารักแล้วก็คนที่รักเราเอาไว้ให้มากๆ เพราะเราไม่รู้หรอกนะว่าจะต้องจากกันวัน …”

ตู้มมมมมมมม!!!

พรวด!

“แค่กๆ ๆ!!” ผมกับสกายโผล่พรวดขึ้นมาจากน้ำหลังอยู่ดีๆ ก็ถูกใครบางคนถีบลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว

“ไอ้ป๊อก!! / ป๊อก!!!” ผมกับไอ้สกายแทบจะประสานเสียงเป็นเสียงเดียวกันเมื่อเห็นตัวการยืนกอดอกอยู่ริมสระ

“ว่าไงมายเฟรนด์ แหม เล่นน้ำกันแต่เช้าเลยนะพวก ไม่ชวนกันเลย ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ” ไม่พูดเปล่า มันก้มเอามือวักน้ำสาดใส่พวกผมอีก

“ไม่ต้องรอชวนก็ได้ เดี๋ยวกูช่วยสงเคราะห์เอง”

ตู้มมมมม!!!

พรวด!!

“ไอ้ห่าแท็ค!!” พอโผล่พ้นน้ำปุ๊บไอ้ป๊อกก็หันไปโวยวายใส่แท็คที่เดินมาพร้อมกับโซลตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

“มึงไม่น่าถีบไอ้ป๊อกลงไปเลยว่ะ สระกูเค็มหมด” ไอ้โซลบ่นหน้านิ่ง แต่กลับเรียกเสียงหัวเราะครืนจากพวกเราทุกคนได้ เป็นที่รู้กันดีว่าคนที่ซกมกที่สุดในกลุ่มคือไอ้ป๊อก มันไว้หนวดเครายาว ถักเดดร็อก แถมยังไม่ชอบอาบน้ำอีกต่างหาก เสื้อนักศึกษามันก็ชอบใส่ซ้ำ คอเสื้อไม่เหลืองมันไม่เปลี่ยนตัวใหม่เด็ดขาด กางเกงนี่ใส่ซ้ำทั้งเดือนซักเดือนละครั้ง ผมยังนึกไม่ออกเลยว่าไอ้ป๊อกมันมาเป็นเพื่อนกับไอ้โซลได้ยังไง จะมองมุมไหนก็หาจุดตัดไม่เจอ

“ย่าห์!!! พลังคลื่นเต่า!!” ไอ้ป๊อกชูแขนโชว์ขนรักแร้ดกดำก่อนจะฟาดลงบนผิวน้ำจะน้ำกระจายเข้าปากเข้าจมูกผมจนสำลักค่อกแค่ก

“ฮ่าๆ ๆ เป็นไงล่ะ รสชาติน้ำขี้เต่ากู”

“แค่กๆ ๆ หยี เล่นสกปรกว่ะไอ้ป๊อก แค่กๆ ” ผมหันหลังไปบ้วนน้ำทิ้งที่ตะแกรงขอบสระอย่างรับไม่ได้เมื่อคิดได้ว่าน้ำที่อยู่ในปากผมผ่านรักแร้มันมา

“นี่มันสงครามเชื้อโรคชัดๆ ” ไอ้สกายทำหน้าหวาดกลัวได้โคตรโอเวอร์แอ็คติ้ง ก่อนจะว่ายหนีไปยังขอบสระอีกด้าน

แท็คที่ยืนมองอยู่บนขอบสระกุมท้องหัวเราะจนตัวงอ ก่อนจะทรุดลงไปนั่งหัวเราะกับพื้นเมื่อเห็นไอ้ป๊อกว่ายน้ำไล่ตามไอ้สกายที่ว่ายหนีอย่างเอาเป็นเอาตายเมื่อไอ้ป๊อกอมน้ำพยายามบ้วนใส่มัน

“สงสัยต้องเปลี่ยนน้ำทั้งสระ” ไอ้โซลกลอกตามองบน ผมหัวเราะกับท่าทางของเพื่อนก่อนจะยื่นมือไปทางไอ้โซล

“ฉุดหน่อย” ไอ้โซลละสายตาจากสระ มันมองมือที่ยื่นขึ้นไปก่อนจะสบตาผมแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก

“กูรู้ทันมึง”

“เฮ้อ…น่าเสียดาย…” ผมหดมือกลับ ถอนหายใจก่อนจะเบี่ยงตัวไปด้านข้าง และ…

ตู้มมมมม!!!

ไอ้แท็คที่ค่อยๆ แอบย่องไปด้านหลังก็ส่งไอ้โซลลงมาว่ายน้ำข้างๆ ตรงตำแหน่งที่ผมเพิ่งเบี่ยงตัวหลบเมื่อตะกี้ทันที

“Good job!” ผมกับไอ้แท็คแปะมือกัน ขณะที่แปะมือกันนั้นผมก็กระตุกข้อมือดึงไอ้แท็คตกน้ำลงมาด้วยอีกคน

“ไอ้ที! มึงทรยศกู!” ไอ้แท็คโวยวายเสยผมเปียกโชกไปด้านหลัง

“เวรกรรมมันตามทันเร็วไงมึง” ไอ้โซลกดหัวไอ้แท็คลงไปในน้ำ ไอ้แท็คก็พยายามขัดขืนด้วยการดึงแขนไอ้โซลแล้วลากลงไปใต้น้ำด้วยกัน

“ที!! ช่วยด้วย เราติดเชื้อขี้เต่าล้านปีของป๊อกแล้วแน่ๆ เลย อ๊ากกก!!”

“รับน้ำอัมฤทธิ์จากกูไปซะ ฮ่าๆ ๆ ๆ ” ไอ้ป๊อกยังคงพยายามไล่บ้วนน้ำใส่ไอ้สกายอย่างไม่ลดละ

“เชี่ย!!! หน้ากู!!” ไอ้แท็คดันโผล่หัวขึ้นมาตอนไอ้ป๊อกพ่นน้ำพอดี ก็เลยรับไปเต็มๆ แทนสกายที่ว่ายมาแอบหลังผม

“เฮ้ย! แค่ให้มาตามทีไปกินข้าว หายไปกันทั้งฝูงเลยนะพวกมึง กูกับน้องเพย์หิ้วท้องรอไส้จะขาดแล้วนะโว้ย!” พวกเราห้าคนหันไปมองผู้หญิงหนึ่งเดียวในกลุ่มพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ก้อยเดินมาพร้อมกับเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักคนหนึ่งที่พยายามจะบอกให้เธอใจเย็นๆ

ตอนปีหนึ่งที่เจอกันครั้งแรกผมคิดว่าก้อยเป็นผู้หญิงสวยธรรมดาๆ คนหนึ่งนั่นแหละครับ เพิ่งจะมารู้เอาตอนแข่งกีฬาเฟรชชี่ว่าเธอเคยเป็นแชมป์เทควันโดระดับประเทศ เคยไปสร้างผลงานในการแข่งเวทีระดับโลกหลายครั้ง เคยเป็นนักกีฬาเทควันโดทีมชาติด้วย นอกจากเทควันโดแล้วเธอยังเล่นยูโด ต่อยมวย ฟันดาบเป็นอีกต่างหาก นอกจากนี้ยังยิงปืนแม่นมากกกก ผมเห็นมาแล้วกับตาตอนเหตุการณ์เสี่ยงตายเมื่อปีก่อน…เอาเป็นว่ายามปกติเธอคือผู้หญิงสวยธรรมดา แต่อย่าให้โกรธขึ้นมาเชียวนึกว่าองค์เจ้าแม่กาลีลง

ไอ้แท็คเล่าว่าเคยเกือบจะถูกจับหมั้นกับไอ้ก้อย แต่พอแม่มันมาเห็นวีรกรรมว่าที่ลูกสะใภ้ในอนาคตกับตาเข้าก็รีบเก็บเรื่องหมั้นหมายเข้ากลีบเมฆไปเลย

แล้วสงครามในน้ำก็จบลง พวกเราแยกย้ายกันไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็วแล้วลงมาทานข้าวพร้อมหน้ากันที่โต๊ะอาหารยาวเฟื้อยสุดอลังการโดยมีไอ้โซลนั่งหัวโต๊ะในฐานะเจ้าบ้าน

หลังจากถูกถีบตกน้ำไปเมื่อเช้า เรื่องที่ผมคิดจะถามเพื่อนๆ โดยเฉพาะไอ้ป๊อกก็หลุดลอยไปจากสมองทันที มานึกขึ้นได้อีกทีก็ตอนที่กลับมาบ้านแล้ว

…คืนนั้นผมพูดอะไรออกไปบ้างนะ นอกจากไอ้สกายที่มาพูดจาแปลกๆ ด้วยแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่เห็นจะมีท่าทางผิดปกติไปจากเดิมเลยนี่นา บางทีผมอาจจะไม่ได้พูดอะไรที่เป็นความลับสำคัญมากออกไปก็ได้มั้ง ไม่งั้นตอนกินข้าวด้วยกันเมื่อเช้าพวกมันก็ต้องขุดขึ้นมาล้อหรือไม่ก็ถามผมแล้วสิ

โอ้ยยย! ปวดหัวโทรไปถามให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยก็แล้วกัน!





“ขายขี้หน้า ขายขี้หน้าเป็นบ้า!” ปีใหม่นั่งดูคลิปการแสดงมายากลที่ภูผาส่งให้ดูแล้วก็ถึงกับอยากเอาหัวกระแทกพื้นตายเมื่อได้ยินว่ามันจะแสดงกลอะไร

ตอนแรกได้ยินพวกเพื่อนๆ พูดให้ฟังว่าเดือนสาขาเครื่องกลปีนี้จะอัดคลิปแสดงมายากลประกวดชิงตำแหน่งเดือนคณะ ไอ้เขารึก็หลงทึ่งไม่คิดว่าหน้าอย่างไอ้แฝดจะแสดงมายากลเป็นด้วย จินตนาการไปต่างๆ นานาว่าไอ้เด็กนี่อาจจะเป็นพวกซ่อนความสามารถเอาไว้ก็ได้ ภาพในหัวของเขาจึงออกมาเป็นภาพไอ้แฝดใส่ชุดนักมายากลเหมือนเดวิด คอปเปอร์ฟิลด์กำลังแสดงมายากลสุดทึ่งจนคนดูแทบลืมหายใจ ที่ไหนได้ดันเป็นมายากลสุดกากที่ขนาดเด็กอนุบาลยังจับไต๋ได้ซะอย่างนั้น!

‘สวัสดีครับ ผมชื่อภูผา ชื่อจริงชื่อนายจารุวัฒน์ วรกิจเดชสกุล เป็นเดือนสาขาวิศวกรรมเครื่องกล วันนี้ผมจะมาโชว์ความสามารถพิเศษคือ….มายากลคร้าบบบบ!! (เสียงปรบมือและโห่ร้องจากฟ้าครามที่อยู่หลังกล้อง) เอาล่ะครับท่านผู้ชม เห็นมือสองข้างของผมมั้ยครับ มีกี่นิ้วเอ่ย ถูกต้องนะคร้าบบบ สิบนิ้วนั่นเอง! ฮ่าๆ ๆ ๆ ’ มีสิบนิ้วมันน่าขำตรงไหนวะเนี่ย!

“ฮ่าๆ ๆ ๆ ตลกอ่ะใหม่ น้องภูน่ารักจังเลย ฮะๆ ๆ ๆ ” หันไปมองข้างๆ อย่างไม่เข้าใจว่าเอิ้บจะขำอะไรกันนักกันหนา เขาดูยังไงก็ไม่เห็นน่าขำเลยสักนิด

‘เอาล่ะครับ วันนี้ผมจะมาโชว์การแสดงที่ต้องเอาอวัยวะของตัวเองเป็นเดิมพันเลยทีเดียว! อวัยวะอะไรงั้นหรอ? ลองทายดูสิครับ! (เสียงฟ้าคราม: หัว) ม่ายช่ายย (ไหล่?) ม่ายช่ายยย (ตูด) ม่ายช่าย…โนวๆ หัว-ไหล่-ตูด โนวๆ หัว-ไหล่-ตูด โน๊วววโนววววโนววว’ ปีใหม่มองภูผาที่เต้นท่าหัวไหล่ตูดอยู่ในคลิปแล้วก็ได้แต่เม้มปากแน่น จะหลุดขำออกมาไม่ได้ ไม่ได้โว้ยย! เสียฟอร์มหมด

‘ว้าาาา ไม่มีใครตอบถูกเลย เฉลยก็ได้ครับ มันคือ (คือ!?) คืออออ…นิ้วนั่นเองครับ ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ (กร๊ากๆ ๆ ๆ) ’ =_=มันจะขำอะไรนักหนากับนิ้วของมันเนี่ย! โว้ยยยยยยยย สองรอบแล้วนะมึ้ง! ปีใหม่กัดฟันกรอด

“ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ โฮ๊ย! ใหม่! ฮ่าๆ ๆ ๆ เราขำอะ! ไม่ไหวแล้ว ฮ่าๆ ๆ ฮะๆ ๆ ๆ” เอิ้บหัวเราะจนน้ำตาเล็ด แทบจะกลิ้งตกเก้าอี้อยู่แล้วถ้าผมไม่จับเอาไว้

‘เอาล่ะครับ เข้าเรื่องกันสักที ’ กูรอคำนี้มานานละ

‘การแสดงในวันนี้ของผมมีชื่อว่า นิ้วโป้งยาวคร้าบบบ! ขอเชิญรับชม ณ บัดนี้!! (เย้ๆ ๆ วู้วๆ ๆ ฮิ้ววววๆ ๆ จุ๊กกรู้วๆ ๆ อะครี้ๆ ๆ) ’ เสียงหน้าม้านี่ดังกว่าเสียงนักมายากลอีกนะ=_=

จากนั้นสิ่งที่ปีใหม่เห็นในคลิปก็คือภูผาที่ยกมือซ้ายขึ้นมา

‘ดูนะครับ ผมจะทำให้นิ้วโป้งซ้ายนี้ยืดยาวเท่าปลายนิ้วก้อยเลย!’ จากนั้นภูผาก็ใช้มือขวาปิดทับนิ้วโป้งมือซ้าย จนเห็นแค่ปลายนิ้วโป้งยื่นออกมาซึ่งใครๆ ก็ดูรู้ว่ามันคือปลายนิ้วโป้งมือขวาต่างหาก!

‘เอาล่ะนะครับ!! นึงงง ส่องงงง ซั่มมมม อึ๊บบบบบบ! เห็นมั้ยครับนิ้วโป้งยาวแล้ว !!’ ภูผาเคลื่อนมือขวาไปทางปลายนิ้วของมือซ้ายทำให้ดูเหมือนว่าปลายนิ้วโป้งซ้าย (จริงๆ มันคือนิ้วโป้งขวา) ยืดยาวออกมา

‘ต่อไปผมจะเอามันกลับเข้าที่เดิมนะครับ เอ๊ะ! ทำไมไม่เข้าอ่ะ เฮ้ย! ทำไงดี ทำให้กลับมาสั้นเท่าเดิมไม่ได้แล้วอ่ะ เฮ้ยยยยยยย!!’ ภูผาเอามือขวาที่ปิดนิ้วโป้งซ้ายออก ปรากฏว่านิ้วโป้งซ้ายนั้นยืดยาวเท่าปลายนิ้วก้อยจริงๆ ปีใหม่ถึงกับมองอย่างตกตะลึง รีบกรอคลิปกลับไปดูอีกครั้ง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เหมือนนิ้วโป้งซ้ายของจริงมากๆ ที่แปลกกว่าปกติคือมันยาวเท่าปลายนิ้วก้อยจริงๆ! เขาพยายามจับผิดว่ามันใช้การตัดต่อหรือเปล่า แต่มองยังไงก็ไม่เหมือนการตัดต่อเลยสักนิด สมจริงมากๆ!!

‘งั้นผมคงต้องขอจบการแสดงไว้แต่เพียงเท่านี้แล้วล่ะครับ จะรีบไปหาวิธีหดนิ้วกลับมาเป็นเหมือนเดิม สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อน หวังว่าเราจะมีโอกาสพบกันใหม่บนเวทีประกวดเดือนมหา’ ลัยนะคร้าบ บ๊ายบายยย …ไอ้ครามม กูเอานิ้วกลับมาไม่ได้ ช่วยกูด้วยยย’

“น้องภูทำได้ไงเนี่ย สมจริงมากๆ เลยอ่ะ! เก่งเนอะใหม่ ตอนแรกเราคิดว่าเป็นกลนิ้วยาวธรรมดาเหมือนที่เคยเล่นตอนประถมซะอีก” เอิ้บเลื่อนกลับไปดูตอนที่ภูผาโชว์มือซ้ายที่นิ้วโป้งยืดยาวผิดปกตินั้นอีกครั้ง

“ไม่เหมือนภาพตัดต่อเลยอ่ะ ไม่รู้ใช้ทริคอะไรเนอะใหม่”

“อาจจะใช้นิ้วปลอมต่อเข้าไปก็ได้” ปีใหม่ออกความเห็น

“ถ้าเป็นอย่างนั้นน้องภูก็เก่งมากเลยนะ มองไม่ออกเลยว่าเอานิ้วปลอมมาสวมตอนไหน เสื้อก็ใส่แขนสั้นคงซ่อนในแขนเสื้อไม่ได้ คลิปก็ไม่ขาดตอนเลยด้วย อัดรวดเดียวจบแบบนี้คงเป็นไปไม่ได้ที่จะสวมนิ้วปลอมแล้วถ่ายต่อ” เอิ้บวิเคราะห์ให้ปีใหม่คิดตาม

ปีใหม่อดที่จะรู้สึกทึ่งในตัวรุ่นน้องไม่ได้ ไม่คิดว่าเจ้าแฝดนั่นจะทำคลิปแสดงมายากลที่หักมุมเหนือความคาดหมายแบบนี้ เขาเชื่อว่าตอนแรกใครๆ ก็ต้องคิดว่าคงเป็นแค่มายากลกากๆ แสดงเอาฮาตามที่ผู้แสดงบิ้วอารมณ์มาตั้งแต่ต้นให้ตายใจ ใครจะไปคิดว่าตอนจบจะหักมุมแบบทำให้นิ้วยาวขึ้นมาได้จริงๆ

บางที…เขาอาจจะยังไม่รู้จักสองคนนี้ดีพอก็ได้

ปีใหม่ได้แต่คิดในใจว่า บางทีเขาอาจจะต้องมองสองคนนี้ใหม่เสียแล้ว

แต่เมื่อเปิดไปดูคลิปของฟ้าครามที่ส่งเข้าชิงตำแหน่งดินหรือดาวฮาประจำคณะ เขาก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อการแสดงมันเหมือนของภูผาทุกอย่างราวกับก๊อปวาง เปลี่ยนแค่มายากล ‘นิ้วโป้งยาว’ เป็น ‘นิ้วโป้งสั้น’ แทนนอกนั้นเหมือนเดิมหมดแม้แต่คนแสดงก็หน้าเหมือนคลิปที่แล้วเป๊ะ (อ้าว ก็แฝดกัน)

มันจะเล่นง่ายไปมั้ยเนี่ย! เปลี่ยนแค่นี้เนี่ยนะ นี่ถ้าเป็นการสอบบรรยายอาจารย์คงให้พวกมันตกทั้งคู่แน่ข้อหาลอกกันซะเหมือนเปี๊ยบขนาดนี้

โอ๊ย! จะบ้าตาย สาขากูมีแต่ไอ้พวกนิ้วโป้งสั้นนิ้วโป้งยาวเป็นตัวแทนหรอวะเนี่ยยย อยากจะผูกคอตายใต้ต้นถั่วงอกจริงๆ เลย!!





บอกไว้ก่อน สกายนี่ไม่ใช่คนธรรมดานะคะ แก๊งนี้ไม่มีใครธรรมดาค่ะ แม้แต่ก้อยและป๊อก (ป๊อกนี่พีคสุดด้วยนะ555) ก็ด้วย

แต่งจบตอนซะที ดีใจจังเล้ยTTT^TTT



คิดถึงคนอ่านมากๆ เลยค่ะ ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย รักษาสุขภาพกันด้วยน้า

Love you every body! see ya again next chapter J



หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 41 Sky [12/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-04-2018 21:41:06
ทำได้ไหนอ่ะ เฉลยหน่อย ภูฟ้า  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 41 Sky [12/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: SocialMovement ที่ 12-04-2018 23:20:00
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 41 Sky [12/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 13-04-2018 18:44:19
ทีเมาแล้วหลุดความในใจมาหมดเลย :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 41 Sky [12/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-04-2018 19:08:15
 :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 41 Sky [12/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 20-04-2018 19:51:58
  จะรอตอนต่อไปหนา (ขอสารภาพว่าเกือบลืมไปแล้วอ้า :mew6:  :mew2:) กลับมาไวๆนะจ้าตัวเอง

 :pig4:  :L2:  :mew1:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 41 Sky [12/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 28-04-2018 15:02:04
                                                          ตอนพิเศษ  ควันหลงลอยกระทง


หากเอ่ยถึงงานลอยกระทงหลายๆ คนคงคิดถึงกระทงใบตองประดับประดาด้วยดอกไม้ต่างๆ นานาปักธูปปักเทียนไว้ตรงกลางส่องแสงสว่างไสวเรืองรองล่องลอยไปตามกระแสน้ำเกิดเป็นภาพวิจิตรงดงามตระการตา อาจจะคิดถึงการขอขมาพระแม่คงคาที่เราได้ล่วงเกินท่านด้วยการกระทำต่างๆ คิดถึงนางนพมาศสาวสวยบนเวทีประกวด …แต่สำหรับผมทุกครั้งที่พูดถึงงานลอยกระทง ผมมักจะนึกถึงเจ้าแฝดตัวอ้วนกลม ไอ้เด็กเปรตที่มักจะทำลายบรรยากาศดีๆ อยู่เรื่อยเลย





ลอยกระทงด้วยกันครั้งแรก : เด็กมากอ่ะ จำไม่ค่อยได้ ข้ามไปละกัน





ลอยกระทงด้วยกันครั้งที่สอง : ผมป.2 ไอ้แฝด อ.3

หลังจากกล่าวคำขอขมาตามที่แม่สอนแล้วผมก็ค่อยๆ วางกระทงลงบนผิวน้ำ แม่และผมช่วยกันใช้มือพุ้ยน้ำส่งให้กระทงเคลื่อนออกไปจากท่า ถัดจากพวกเราไปคืออาแอ๋มกับอาสินธุ์ที่จับเด็กแฝดไว้คนละคนแล้วสอนให้กล่าวขอขมาตาม แต่ดูเหมือนเจ้าก้อนเนื้อสองก้อนนั่นจะไม่ได้สนใจฟังพ่อแม่ตัวเองเท่าไหร่นัก ปากกระจับนั่นพูดตามทุกคำ แต่ตามองไปที่กระทงที่ผมเพิ่งลอยกับแม่ไปตาไม่กะพริบ

ผมเดินตามกระทงตัวเองไปเรื่อยๆ อย่างลุ้นว่ามันจะลอยไปถึงไหน โดยมีแม่และพ่อที่อุ้มทามอยู่เดินตามประกบอย่างใกล้ชิด สักพักก็ได้ยินเสียงร้องไห้จ้าดังขึ้นมาจากด้านหลังประสานเสียงกันมาเลย พอหันไปดูก็เห็นเจ้าก้อนเนื้อยืนเงยหน้าร้องไห้จ้า แม่รีบเดินกลับไปดู ทิ้งผมไว้กับพ่อและทาม ได้เรื่องว่ากระทงของครอบครัวนั้นอยู่ๆ ก็คว่ำ เจ้าแฝดก็เลยร้องไห้เสียอกเสียใจยกใหญ่ พอบอกว่าจะซื้อให้ใหม่ก็ไม่ยอม จะเอาแต่ไอ้อันที่มันคว่ำไปแล้วเท่านั้น

พ่อจูงมือผมเดินกลับไปหาเจ้าก้อนเนื้อคู่ที่ไม่หยุดร้องสักทีไม่ว่าอาแอ๋มกับอาสินธุ์จะทั้งขู่ทั้งปลอบแค่ไหน ผมมองหน้ากลมๆ ที่เปื้อนน้ำมูกน้ำตาเต็มไปหมดอย่างขยะแขยง หน้าตาก็น่าเกลียด เสียงร้องยังแสบแก้วหูอีก หมดกันบรรยากาศดีๆ เพราะเจ้าพวกนี้แท้ๆ เลย!

จำได้ว่าตอนนั้นผมพูดว่า ‘หยุดร้องเดี๋ยวนี้นะเจ้าหมูตอน!’ ได้ผลชะงัดอย่างน่าทึ่ง มันสองคนหยุดร้องทันที แต่เปลี่ยนจากเสียใจมาเป็นโกรธผมแทน มันสองตัวสลัดหลุดจากแขนพวกผู้ใหญ่วิ่งดุ๊กๆ เข้าไปในพงหญ้าแล้วออกมาพร้อมกับก้อนอิฐหนอนแตกๆ คนละก้อน พวกเราพยายามวิ่งตามแต่สองคนนั้นวิ่งเร็วอย่างกับใช้กลิ้งเอา พอเห็นกระทงของผมที่ปักธงสีแดงไว้สองอันอย่างสะดุดตาพวกมันก็ปาอิฐหนอนใส่ทันที แม่นเหมือนจับวาง กระทงของผมเอียงกะเท่เร่ก่อนจะพลิกคว่ำไปในที่สุด

รู้สึกเหมือนหัวใจแตกเป็นเสี่ยงๆ ผมวิ่งเข้าไปทุบพวกมันตุ้บตั้บอย่างโกรธแค้นจนพ่อแม่ต้องรีบมาแยกพวกเราออกจากกัน วันนั้นการลอยกระทงของพวกเราสองครอบครัวล่มไม่เป็นท่า กลับบ้านมายังโดนตีอีกด้วย เป็นวันลอยกระทงที่ไม่น่าจดจำเอาเสียเลย…





ลอยกระทงด้วยกันครั้งที่ 3 : ผม ป.3 ไอ้แฝด ป.1

ในมือของผมคือกระทงกระดาษที่ครูสอนพับในห้องเรียน เจ้าก้อนเนื้อร่างพัฒนาเป็นไส้กรอกอีสาน (คือไม่อ้วนแล้ว) มองสิ่งที่อยู่ในมือผมอย่างประหลาดใจ

‘พี่ที อย่างนี้โดนน้ำมันก็เปื่อยหมดน่ะสิ’

‘มันเป็นกระดาษแข็ง ไม่เปื่อยทันทีหรอก นี่เค้าเรียกกระทงลดโลกร้อนไม่รู้จักหรอ’

‘ไม่มีอันที่สวยกว่านี้แล้วหรอ’

‘พูดอย่างนี้หมายความว่าไง’

‘ก็ป่าว…เห็นมันดูเบี้ยวๆ เหมือนก้อนกะหล่ำมากกว่ากระทงอ่ะ’

‘อ๊ะ! จริงด้วย! ฮ่าๆ ๆ ๆ ใช้กระดาษสีเขียวยิ่งเหมือนกะหล่ำเข้าไปใหญ่เลย!’

‘พี่เฟิร์สๆ พี่ทีจะเอากะหล่ำไปลอยแทนกระทงล่ะ! มาดูสิๆ ๆ ’

หลังจากนั้นพี่เฟิร์สก็เดินมาจากหน้าบ้านตามเสียงเรียกของเจ้าแฝดก่อนจะมองสิ่งที่อยู่ในมือของผมอย่างพิจารณา

‘นี่อ่ะนะกะหล่ำ มองยังไงก็กระทงชัดๆ ’

‘เห็นมั้ย!! แฝดน่ะตาไม่ถึง สู้พี่เฟิร์สก็ไม่ได้’ ผมรีบเกทับทันทีเมื่อได้พี่เฟิร์สมาเป็นพวก เจ้าแฝดทำท่าฮึดฮัดหงุดหงิดที่พี่ชายตัวเองไม่เข้าข้าง ในที่สุดพวกมันก็สะบัดตูดหนีเข้าครัวไปหาของกิน

พี่เฟิร์สหันมายิ้มให้ผม บอกว่าอย่าไปถือสาเจ้าแฝด ผมยิ้มรับ รู้สึกนับถือพี่แกขึ้นอีกหลายเปอร์เซ็นต์

ระหว่างที่รอพวกพ่อแม่เตรียมตัวผมก็ขึ้นไปนอนรอบนห้อง เมื่อได้ยินเสียงกริ่งเรียกจึงเดินลงมาด้านล่าง ผมขอไปเข้าห้องน้ำก่อนไป แต่พอกำลังจะเดินไปหลังบ้านก็ได้ยินเสียงพี่เฟิร์สดังมาแว่วๆ ผมจึงหยุดฟัง

‘ภู คราม ต่อไปห้ามพูดจาแบบนั้นอีกนะ ถึงมันจะเหมือนกะหล่ำมากกว่ากระทงจริงๆ ก็เถอะ แต่พี่ทีเขาอุตส่าห์ตั้งใจทำ ห้ามไปล้อเลียนเขานะรู้ไหม’

‘เอ้า ก็มันเหมือนจริงๆ นี่ จะให้โกหกได้ไง’

‘บางครั้งก็ต้องรู้จักถนอมน้ำใจบ้างโว้ยยย เข้าใจรึเปล่า เอาใหม่ งั้นสมมติแม่ทำเค้กวันเกิดมาให้แล้วมันดันไม่อร่อยต้องพูดว่า?’

‘แหวะ!! /แหวะ!!’

‘อร่อยสิเห้ย! เจ้าพวกนี้หนิ’

‘โอ๊ย! เขกหัวภูทำไม/โอ๊ย! เขกหัวครามทำไม’

‘ก็สอนไม่รู้จักจำไง เอาใหม่…สมมติทีซื้อเสื้อมาใส่…’

‘หล่อจังเล้ย!! / หล่อจังเล้ย!!’

‘เออ มันต้องอย่างนั้น แหมหัวไวใช้ได้นะเรา เหมือนพี่มันไม่มีผิด’

ผมทนฟังความปัญญาอ่อนของสามคนนั้นไม่ไหวอีกต่อไป ไม่แปลกใจที่ไอ้แฝดมันจะดูขาดๆ เกินๆ ตรรกะบิดๆ เบี้ยวๆ … แบบอย่างมีให้เห็นไม่ไกลตัวเลย

ขอเอาเปอร์เซ็นต์ความเคารพคืนละกันนะพี่เฟิร์ส=_=’ ’





ลอยกระทงด้วยกันครั้งที่ 4 : ผม ป.5 ไอ้แฝด ป.3

‘พี่ทีๆ ดูดิมีคนพายเรือด้วย ครามอยากพายมั่งอ่ะ’ ฟ้าครามเขย่าแขนผมพลางชี้ชวนให้หันไปมองในแม่น้ำที่มีเด็กสองสามคนนั่งอยู่บนแพพลาสติกคนละอัน บางคนก็มีเรือพลาสติก กำลังใช้ทั้งมือใช้ทั้งไม้ช่วยกันพายท่ามกลางกระทงที่อยู่ล้อมรอบตัว

‘เฮ้ย! นั่นกระทงบ้านภูนี่!’ ภูผาโวยวายเมื่อเห็นกระทงที่ตัวเองเสริมออฟชั่นด้วยตุ๊กตาไดโนเสาร์พลาสติกยืนล้อมธูปเทียนสี่ทิศทิศละตัวกำลังถูกหนึ่งในเด็กเหล่านั้นหยิบขึ้นมา จับคว่ำลงแล้วเขย่าๆ ๆ ดอกมงดอกไม้ ไดโนเสาร์ร่วงกราวลงมาหมด ภูผากับฟ้าครามร้องโวยวายตะโกนว่าจนคนหันมามองยกใหญ่แม่กับอาแอ๋มจึงต้องรีบเข้าไปกอบกู้สถานการณ์

‘พ่อครับพวกเค้าทำแบบนั้นทำไมหรอครับ?’ ผมหันไปกระตุกเสื้อถามพ่อที่ยืนคุยกับอาสินธุ์อยู่

‘อ๋อ หาเหรียญที่คนเค้าใส่ในกระทงน่ะลูก’

‘ต้องใส่ด้วยหรอครับ แล้วทำไมพวกเราไม่ใส่ล่ะ’ ผมถามอย่างงุนงง

‘ไม่จำเป็นต้องใส่ก็ได้ครับ ที่บางคนเค้าใส่เพราะเขาเชื่อว่าเป็นการทำบุญครับ’ พ่อตอบเสียงนุ่ม

‘ทำบุญให้เด็กพวกนั้นน่ะหรอครับ’ ผมชี้ไปยังพวกเด็กที่อยู่บนโฟม

‘ฮ่าๆ ๆ จะคิดอย่างนั้นก็ได้เหมือนกันนะ แต่พ่อว่าจริงๆ คนเขาคงใส่เพื่อทำบุญกับพระแม่คงคามากกว่า แต่ลูกไม่ต้องใส่หรอกนะ แค่ใช้น้ำอย่างประหยัดรู้คุณค่า ไม่ทิ้งขยะลงแม่น้ำก็ถือว่าเป็นการทำบุญกับพระแม่คงคาแล้วล่ะ ใส่เหรียญไปก็จมลงน้ำ เพิ่มขยะ แถมยังเอาเงินไปทิ้งน้ำอีกลูกว่าจริงมั้ย’

ผมพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะมองไปยังแม่กับอาแอ๋มที่พยายามปลอบใจเจ้าแฝดที่เหมือนจะเริ่มสงบลงแล้วด้วยไอศกรีม พอแม่ยื่นไอศกรีมให้สองคนนั้นปุ๊บ แทนที่มันสองตัวจะเอาเข้าปากกลับหันหลังไปทางแม่น้ำแล้วปาใส่พวกเด็กหาเหรียญแทน โดนเข้าจังๆ ไปเลยสองคน พวกผู้ใหญ่ตกใจอ้าปากค้าง ผมเองก็ด้วย คนรอบข้างหันมามองพวกเราเป็นตาเดียว เจ้าแฝดยังไม่สะดุ้งสะเทือนมีการหันมาแปะมือกันแล้วหัวเราะสะอกสะใจอีก พี่เฟิร์สกลอกตามองบนก่อนจะจูงมือทามเดินไปทางอื่นทำเป็นไม่รู้จัก

สุดท้ายอาแอ๋มก็ให้ค่าทำขวัญเด็กพวกนั้นไปคนละร้อยก่อนจะรีบลากเจ้าสองตัวนั่นขึ้นรถทันที ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้ว่าสองคนนั้นโดนเทศนาหูชาแค่ไหน แถมยังโดนอาสินธุ์ตีต่อหน้าพวกผมอีกต่างหาก แต่พอลับหลังอาสินธุ์มันสองตัวก็หันหน้ามาทางผมที่หนังเบาะหลังกับทามและพี่เฟิร์สก่อนจะยักคิ้วทำหน้าประมาณว่าไม่สะทกสะท้าน…เห็นแล้วหมั่นไส้เป็นบ้า อยากถ่ายรูปแล้วฟ้องอาสินธุ์จังว่ามันสองตัวไม่ได้สำนึกเลยสักนิด!





ลอยกระทงด้วยกันครั้งที่ 5 : ผม ม.1 ไอ้แฝด ป.5

‘พ่อคร้าบบ ภูกับครามขอกระทงคนละอันได้มั้ยอ่ะ ไม่เอากระทงอันเดียวลอยทั้งบ้านละนะ ไม่มัน’ คุณสินธุ์มองลูกชายฝาแฝดอย่างงงๆ แม้จะสงสัยว่าลอยกระทงมันมีอะไรให้มันแต่ก็ยอมให้ทั้งสองเลือกกระทงไปคนละใบแต่โดยดี ทามเห็นแบบนั้นก็อยากเอาบ้าง พ่อเลยยอมให้ผมกับทามมีกระทงคนละอัน

พอไปถึงท่าน้ำผมนั่งลงยกกระทงขึ้นจรดหน้าผากก่อนจะกล่าวคำขอขมาในใจ

‘ขอให้ได้เกรดสี่ทุกวิชา ขอให้พ่อซื้อเฮลิคอปเตอร์รุ่นใหม่ล่าสุดให้ ขอให้พรุ่งนี้ไม่ต้องไปโรงเรียน ขอให้…’

‘ขอให้แม่เลิกบังคับให้กินถั่วลันเตา ขอให้ครามหล่อวันหล่อคืน ขอให้ปีนี้ได้ไปทัศนศึกษาที่สวนสนุก ขอให้…’

ภูผากับฟ้าครามมานั่งขนาบข้างผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แถมยังพูดอธิษฐานออกเสียงซะดังอีก รู้สึกมันจะผิดวัตถุประสงค์ไปรึเปล่า เขาให้มาขอขมานะไม่ใช่มาขอนู่นขอนี่=.=

‘เฮ้ย อธิษฐานเบาๆ หน่อย ไม่อยากรู้’ ผมกระซิบบอกสองคนนั้น อันที่จริงผมอธิษฐานขอขมาเสร็จแล้วเตรียมจะลอยแล้วด้วย แต่พอมองภูผากับฟ้าครามที่นั่งขนาบข้างแล้วก็ต้องยกกระทงขึ้นจรดหน้าผากอีกรอบ

‘พระแม่คงคาครับ นอกจากจะช่วยพัดพาทุกข์โศกโรคภัยของผมให้ไปกับน้ำแล้ว ช่วยพัดไอ้สองคนที่นั่งขนาบข้างผมอยู่นี่ออกไปไกลๆ จากชีวิตผมด้วยเถอะนะครับ’

หากพระแม่คงคาฟังอยู่ ท่านก็คงสับสนว่าจะให้พรอย่างไรดี เพราะคำอธิษฐานสุดท้ายที่ภูผาและฟ้าครามอธิษฐานในใจนั่นก็คือ

‘ขอให้ได้ลอยกระทงกับพี่ทีทุกๆ ปีและขอให้ได้อยู่ด้วยกันตลอดไป’

‘พี่ทีๆ ’

‘อะไร’

‘เรามาพนันกันมั้ยว่ากระทงของใครจะลอยไปถึงหน้าวัดนั่นก่อนกัน’ ฟ้าครามชี้ไปยังวัดริมน้ำที่อยู่ห่างจากจุดที่พวกเขากำลังยืนไปประมาณ100เมตรได้

‘ไม่เอา ไม่เล่น บาปกรรม’

‘ขี้ขลาด’ ผมพยักหน้ารับ

‘ตาขาว’ ผมพยักหน้ารับอีก ก่อนจะเดินเรียกพ่อให้มาช่วยประคองตอนปล่อยกระทงเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองตกน้ำตามที่พ่อแม่สั่งไว้ว่าจะลอยเมื่อไหร่ให้เรียก

กระทงสองอีกสองใบที่ปล่อยตามลงมาติดๆ ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วอย่างตกใจที่เห็นแบงค์ร้อยมัดหนังยางติดกับก้านธูปไว้อย่างโดดเด่น โคตรจะล่อตาล่อใจเด็กเก็บเหรียญเลย พวกมันคิดอะไรอยู่กันแน่เนี่ย!?

‘นั่นแบงก์ปลอมหรือแบงก์กาโม่? ‘ผมอดไม่ได้ที่จะถาม

‘ทายสิ ฮ่าๆ ๆ ‘ภูผากับฟ้าครามหัวเราะคิกคักด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์

‘กาโม่แน่อยู่แล้ว’ ผมตอบอย่างมั่นใจ สองคนนี้คงกะหลอกให้พวกเด็กเก็บเหรียญมาเก็บแล้วก็ต้องผิดหวังที่โดนแบงก์กาโม่หลอกเอาสินะ สงสัยยังแค้นเรื่องเมื่อปีก่อนไม่หายแน่ๆ

‘ระดับภูกับครามไม่ใช้แบงก์ปลอมหรอก หึ!’ มันกอดอกเชิดหน้า เห็นแล้วหมั่นไส้เป็นบ้า

‘อย่างพวกเราเนี่ยนะจะกล้าใช้แบงก์จริง ไม่อยากจะเชื่อ’

‘ก็คอยดูละกัน’

‘มาแล้วๆ ’ พวกเราสามคนเงียบเสียงลงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ภูผากับฟ้าครามทำเป็นคุยกันแต่ก็แอบเหลือบมองไปทางกระทงของตัวเอง ผมก็ทำเป็นชมนกชมไม้แต่ก็แอบมองไปด้วยตลอดอย่างลุ้นระทึก (เพื่อ?) ขณะที่เด็กคนนึงกำลังจะคว้ากระทงของฟ้าครามจู่ๆ เหตุการณ์ที่ทำให้ผมต้องขยี้ตาเพราะนึกว่าตัวเองตาฝาดก็เกิดขึ้น!

กระทงลอยหนีมือเด็กคนนั้นครับ ไม่ใช่ลอยตามน้ำด้วยนะ ลอย-ทวน-น้ำ!

เฮ้ยยยยย!! กระทงอะไรของมันวะเนี่ย!!!

เหลือบไปเห็นกระทงอีกใบของภูผาก็กำลังจะโดนเก็บขึ้นมาเหมือนกัน แล้วกระทงใบนั้นก็ลอยหนีมือเหมือนกับรู้ว่าตัวเองจะโดนจับ

ภูผากับฟ้าครามเริ่มออกเดินกันไปคนละทิศคนละทาง กระทงที่อยู่ไกลออกไปก็ลอยไปตามทิศที่สองคนนั้นเดินไปด้วย พวกเด็กเก็บเหรียญก็เอามือพุ้ยน้ำพยายามไล่ตามกระทงอย่างเอาเป็นเอาตาย พอสองคนนั้นหยุดเดินกระทงก็ไม่เคลื่อนไหวเร็วๆ อีก เพียงแค่ไหลไปตามกระแสน้ำช้าๆ เด็กคนนึงพายมาจนถึงกระทงของภูผาก่อนจะเอื้อมมือคว้าอีกครั้ง ผมมองแล้วแอบลุ้นอยู่ในใจ จะคว้าได้มั้ยๆ ๆ!

กระทงลอยพ้นเงื้อมมือเด็กคนนั้นไปอย่างน่าเสียดายอีกครั้ง ผมเริ่มสังเกตเห็นแล้วว่าที่นิ้วก้อยของภูผามีด้ายสีดำเส้นเล็กๆ ที่กลืนไปกับผิวน้ำยามค่ำคืนผูกอยู่ ทุกครั้งที่ภูผากระดิกนิ้ว กระตุกแขน หรือเดิน กระทงก็จะมีปฏิกิริยาไปด้วย

ชัดเลย! พวกมันผูกด้ายไว้กับกระทง!

หนอยยย แล้วมีหน้ามาท้าแข่งว่ากระทงใครลอยถึงหน้าวัดก่อนกัน ต่อให้ผมดวงดียังไงก็ไม่ชนะเส้นด้ายที่นิ้วพวกมันอยู่ดี เจ้าเล่ห์นักนะภูผาฟ้าคราม! ดีที่ผมไม่เล่นด้วย ไม่งั้นก็มีแต่จะแพ้เท่านั้นแหละ

พอเล่นจนชักจะเบื่อสองคนนั้นก็กลับมายืนข้างๆ ผมแล้วใช้มือสาวด้ายกลับ กระทงสองใบแหวกกระแสน้ำกลับมาที่ท่าอีกครั้งท่ามกลางสายตาของพวกเด็กเก็บเหรียญและคนอื่นๆ ที่มาลอยกระทง สองแฝดก้มลงยกกระทงขึ้นมา แกะแบงก์ออกจากก้านธูป สะบัดๆ ก่อนจะคลี่ออก



“ก็บอกแล้วว่าแบงค์จริง J”



ลอยกระทงด้วยกันครั้งที่ 6 : ผม ม.5 ไอ้แฝด ม.3

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมพาแฟนสาวมาแนะนำให้คนที่บ้านรู้จัก ผมหันไปมองร่างเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอมีสีหน้ากังวลใจเล็กน้อยแต่เมื่อผมเอื้อมไปกุมมือเธอ เธอก็เผยรอยยิ้มน่ารักให้กับผม

“ป่ะ เข้าบ้านกันครับเมลล์ ” ผมกระชับมือนุ่มๆ ในฝ่ามือแน่นขึ้นเป็นการให้กำลังใจก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน

เมลล์แฟนสาวของผมได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากพ่อกับแม่ที่ดูจะเห่อแฟนคนแรกของผมเอาซะมากๆ เมลล์เป็นรุ่นพี่ชมรมเดียวกับทามด้วยทำให้สองสาวคุยกันอย่างถูกคอ อาการเกร็งๆ ในตอนแรกของเมล์จึงค่อยๆ หายไป

“แล้วนี่ไปพาลูกสาวเขามา ได้ขอพ่อแม่หนูเมลล์เขาหรือยังเจ้าที” แม่หันมาถาม

“เรียบร้อยแล้วครับ ทีบอกว่าจะขอพาเมลล์มาลอยกระทงกับบ้านเราแล้วจะพาไปส่งบ้านก่อนทุ่มครึ่งพ่อแม่เมลล์ก็เลยอนุญาตครับ”

“โหยย พี่เมลล์ กระทงนี่พี่ทำเองหรอคะ สวยมากเลยอ่ะ!”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกจ้ะน้องทาม พี่แค่มือสมัครเล่นเท่านั้นเอง”

“มือสมัครเล่นที่ชนะประกวดกระทงน่ะครับ …ขนาดมือสมัครเล่นนะเนี่ย” ผมแซวขำๆ เมลล์เขินหน้าแดงเอามือเล็กๆ ของเธอตีไหล่ผมเบาๆ แก้เขิน

“ทีอ่ะ…เราไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้นจริงๆ นะ”

“จ้ะๆ ไม่เก่งก็ไม่เก่ง ฮะๆ ๆ ๆ ” แม่หัวเราะอย่างเอ็นดูแล้วชื่นชมกระทงที่เมลล์เป็นคนทำไม่ขาดปากพลางเรียกให้พ่อมาดูด้วย บรรยากาศที่ทุกคนเข้ากับแฟนผมได้เป็นอย่างดีทำให้ผมเบาใจ แวบหนึ่งเราเผลอสบตากัน ผมยิ้มให้เธอ เธอก็ยิ้มตอบผมอย่างเขินอาย ผมมองออกว่าเธอดูโล่งใจและมีความสุขที่คนในบ้านผมให้การต้อนรับ





ติ๊งหน่องงงงง ติ๊งหน่องงงง





“เดี๋ยวทีไปเปิดให้” ผมขยับจะลุกขึ้น แต่พ่อดันให้ผมนั่งลงยิ้มๆ บอกให้นั่งเป็นเพื่อนเมลล์ พ่อจะเป็นคนไปเปิดให้เอง

ภูผาฟ้าครามพร้อมด้วยอาสินธุ์กับอาแอ๋มเดินเข้ามาในบ้าน วันนี้ขาดพี่เฟิร์สเพราะพี่แกไปลอยกระทงกับแฟนสองคน

“อาสินธุ์ อาแอ๋ม นี่เมลล์..แฟนทีครับ^^”

“ไหว้พระเถอะจ้ะหนู หน้าตาน่ารักจังเลย ไหว้ก็สวย คบกันมานานหรือยังจ๊ะ”

“สี่เดือนแล้วครับอาแอ๋ม” ผมตอบแทนเมลล์ที่นั่งทำตัวไม่ถูกอยู่ข้างๆ

“อายุเท่าทีงั้นก็เป็นพี่เจ้าแฝดน่ะสิ…ภูผาฟ้าคราม สวัสดีพี่เมลล์หรือยังลูก เอ๊ะ! ตั้งแต่มาเรายังไม่ทักทายพี่ทีเลยนะ”

ผมหันไปมองภูผากับฟ้าครามที่วันนี้ดูแปลกกว่าปกติคือทำหน้านิ่งๆ ไม่พูดมากเหมือนเคย นี่ถ้าอาแอ๋มไม่พูดขึ้นมาผมคงไม่สังเกตเห็นอาการแปลกๆ ของเจ้าพวกนั้น เพราะมัวแต่สนใจแฟนตัวเองอยู่ กลัวเธอจะทำตัวไม่ถูกในสถานการณ์ที่ต้องเผชิญกับญาติๆ ของผม

“หวัดดีครับพี่เมลล์ / หวัดดีครับพี่เมลล์”

“นี่ภูผา ส่วนนี่ฟ้าคราม ลูกพี่ลูกน้องเราเอง” ผมแนะนำสองแฝดให้เมลล์รู้จัก เธอมองภูผาและฟ้าครามก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยน

“หล่อทั้งคู่เลย หน้าตาเหมือนกันจนแยกไม่ออกเลยนะว่าคนไหนเป็นคนไหน”

“พี่ก็สวยมากครับ เหมาะกับพี่ทีมากๆ เลย” ฟ้าครามยิ้มกว้างท่าทางเป็นมิตรกับเมลล์มากขึ้น

ในขณะที่พวกผู้ใหญ่สนทนากันห่างออกไปอีกโต๊ะ ภูผาก็โน้มตัวมาทางผมกับเมลล์แล้วว่า

“เหมาะกันอย่างกับผีเน่ากับโลงผุเลยครับ^^” ภูผากลับไปนั่งข้างฟ้าครามอย่างเดิม ผม ทาม และเมลล์เบิกตากว้าง

“ไม่ใช่แล้วมึง ชอบพูดผิดประจำเลยนะ ต้องกิ่งทองใบหยกสิ โทษทีนะครับพี่เมลล์ ไอ้ภูมันตกภาษาไทยน่ะ ฮ่าๆ ๆ ไม่โกรธพวกเรานะครัช”

“จะ…จ้ะ^^; น้องทีนี่มีอารมณ์ขันดีเนอะ”

ผมมองหน้าภูผาฟ้าครามอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก รู้สึกว่าคำพูดของสองคนนี้นี่ไม่เข้าท่าเลยจริงๆ เล่นอะไรไม่รู้กาลเทศะ ถึงเมลล์จะบอกว่าไม่เป็นไรแต่ผมก็ดูออกว่าเธอรู้สึกอึดอัดใจและเริ่มวิตกกังวล

ปีนี้ผมไม่ได้ใช้กระทงร่วมกับครอบครัวหรือมีกระทงเป็นของตัวเอง แต่ใช้กระทงร่วมกับเมลล์ แฟนสาวสุดเรียบร้อยน่ารักของผม เราเดินแยกออกมาจากกลุ่มเพื่อมาลอยกันสองคนท่ามกลางสายตาที่ฉายแววยิ้มๆ ของพวกผู้ใหญ่

“ทีอธิษฐานอะไรหรอ?” เมลล์เอียงคอถามผมยิ้มๆ ท่าเอียงคอพร้อมรอยยิ้มใสๆ ของเธอนั้นมันช่างบาดใจผมจริงๆ เลยครับ>///<

“เราขอให้ได้มาลอยกระทงกับเธอทุกๆ ปีต่อจากนี้ไป”

“ปากหวาน” เมลล์หน้าแดง

“ก็กับเมลล์คนเดียว^^”

“แหวะะะะะะ!! / แหวะะะะะ!! ” ผมกับเมลล์สะดุ้งโหยง หันไปมองด้านหลังก็เห็นภูผาฟ้าครามยืนถือกระทงกันคนละใบ ส่วนพวกพ่อแม่และทามยืนอยู่ไกลออกไป

“เป็นไรมากป่ะแฝด ทำไมวันนี้กวนโอ๊ยจังฮะ อิจฉาที่พี่มีแฟนก่อนเราล่ะสิ”

“ทำไมจะต้องอิจฉาด้วย? มีแฟนมันมีอะไรดีหรอถามหน่อยสิ”

“วันเกิดก็ต้องซื้อของให้ วันวาเลนไทน์ก็ต้องซื้อของให้ ลืมวันเกิดวันสำคัญก็โดนงอนใส่ ก่อนนอนก็ต้องโทรคุยกันทุกคืนให้มันเปลืองค่าโทรเล่นอีก”

“แล้วมันหนักหัวพวกเราหรือไง เงินก็เงินเก็บพี่ไม่ใช่เงินพวกนายสักหน่อย” ทำไมมันสองคนต้องมาพูดแบบนี้กับผมต่อหน้าเมลล์ด้วยนะ โคตรไม่มีมารยาทเลย!

ผมตัดสินใจจูงมือเมลล์เดินหนีสองคนนั้น หนึ่งคือไม่อยากทำให้เธอรู้สึกไม่ดีไปมากกว่านี้ สองคือกลัวตัวเองจะคุมสติไม่ให้ชกหน้าไอ้สองตัวนั่นต่อหน้าเมลล์ไม่ไหว

“แก่แดดชะมัด มีแฟนตั้งแต่มอห้าน่าหมั่นไส้ ”

“กูว่าเดี๋ยวก็เลิกกันมึงคอยดูนะภู ”

“เออ เดี๋ยวก็เลิกกัน ”

ผมรู้ว่าสองคนนั้นจงใจพูดเสียงดังๆ ให้ผมกับเมลล์ได้ยิน ไม่ไหวแล้วนะ!! ทำไมต้องหาเรื่องกันด้วยวะ!? มึงเป็นบ้าอะไรกันขึ้นมาฮะไอ้แฝดนรก!!!!

ขณะที่ผมกำลังจะหันหลังกลับไปจัดการสองคนนั้นก็ถูกมือของเมลล์ที่กุมมือผมอยู่ดึงเอาไว้

“…เมลล์” ผมครางชื่อเธอแผ่วเบา รู้สึกในอกมันวูบโหวงปั่นป่วนไปหมดเมื่อเห็นดวงตาแดงก่ำที่มีน้ำตาคลอเบ้าของเธอ

“เราไม่คิดมากหรอก ไม่เป็นไรจริงๆ ทีอย่าโกรธพวกน้องๆ เลยนะ เขาคงจะหวงพี่ชาย เราเข้าใจจ้ะ” เธอกะพริบตาถี่ๆ พยายามไล่น้ำตาออกไป ก่อนจะยิ้มกว้างให้ผมสบายใจว่าเธอไม่เป็นไรจริงๆ

“ที่จริงสองคนนั้นก็เป็นแบบนี้แหละ เราคิดว่าพวกมันคงอิจฉาที่เรามีแฟนน่ารักๆ อย่างเธอก็เลยพูดออกมาแบบนั้น เดี๋ยวเราจะให้มันมาขอโทษเมลล์นะ”

“ภูไม่ขอโทษ / ครามไม่ขอโทษ” เสียงภูผากับฟ้าครามดังขึ้นเบื้องหลังทำให้ผมต้องหันไปมองอย่างตกใจว่ามันเดินตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย!

“พี่เมลล์ พวกเราไม่ได้เกลียดพี่นะครับ พี่ออกจะสวยแล้วก็ใจดี พวกเราไม่มีทางไม่ชอบพี่หรอก…”

“…แต่แน่ใจแล้วหรอครับมาคบพี่ชายพวกเราน่ะ? มองยังไงก็ไม่เห็นจะเหมาะสมกันเลย พี่ออกจะดูเพอร์เฟ็คขนาดนี้ มาคบคนธรรมดาอย่างพี่ทีจะดีหรอ?”

ผมสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างอดกลั้น ทั้งที่ตอนนี้ในใจผมนี่เดือดแบบสุดๆ แล้วแต่ที่ยังยั้งไว้ได้ก็เพราะไม่อยากจะโชว์ออฟต่อหน้าเมลล์เนี่ยแหละ

“ภูผาฟ้าคราม…ถ้ายังไม่หยุดพี่จะโกรธแล้วนะครับ” ผมพูดยิ้มๆ อย่างพยายามยับยั้งโทสะสุดความสามารถ

“หวาย จะโดนโกรธซะแล้ว ทำไงดีล่ะเนี่ย น่ากลัวจุงเบยย” พวกมันทำหน้าล้อเลียนไม่หยุด แถมยังหันไปหัวเราะคิกคักด้วยกันอีกต่างหาก

“ไปครับเมลล์ ไปหาพ่อกับแม่กัน อย่าอยู่ตรงนี้เลย” ผมตัดสินใจดึงมือเมลล์ลากกลับไปหาพ่อแม่อย่างสุดจะทน ไม่ไหวแล้วโว้ยยยยย! ขืนยังยืนอยู่ตรงนั้นผมได้ต่อยไอ้แฝดชั่วนั่นต่อหน้าเมลล์แน่ๆ

หลังจากนั้นเมลล์ก็นั่งเงียบมาตลอดทางจนกระทั่งส่งเธอกลับถึงบ้าน ผมกอดอกหลับตาหันหน้าออกไปทางหน้าต่าง ตั้งแต่รู้จักกันมาครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมพูดได้เลยว่าโกรธพวกมันมากที่สุดในชีวิต พวกมันทำให้แฟนผมรู้สึกแย่ พวกมันฉีกหน้าผม ดูถูกผมต่อหน้าเมลล์ ผมโคตรจะโกรธ อยากจะต่อยหน้าพวกมันให้สมกับที่พวกมันทำกับผม อยากจะฟ้องอาแอ๋มกับอาสินธุ์ถึงพฤติกรรมของลูกชายพวกเขา แต่นี่มันในรถ พ่อแม่ผมก็อยู่ ทามก็อยู่ มีคนขับรถมาด้วยอีก มันจะดูน่าเกลียดรึเปล่าถ้าผมฟ้องอาสินธุ์ต่อหน้าทุกๆ คนแบบนี้ ผมไม่แคร์หรอกว่าไอ้แฝดจะรู้สึกยังไงเพราะผมก็อยากให้มันรู้สึกอย่างที่ผมโดนเหมือนกัน แต่อาสินธุ์กับอาแอ๋มจะรู้สึกไม่ดีหรือเปล่าที่ผมเล่าวีรกรรมลูกๆ ของพวกเขาต่อหน้าคนอื่นๆ เหมือนประจาน

เจ็บใจ…แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

เกลียดตัวเอง…ที่แคร์คนอื่นจนเลือกที่จะกักเก็บความโกรธไว้ในใจให้มันกัดกินตัวเองคนเดียว

เกลียดภูผากับฟ้าครามที่สุด ทำไมต้องมายุ่งกับกูด้วย ทำไมต้องทำแบบนี้ ผมเคยไปทำอะไรให้พวกมันโกรธหรอถึงต้องพูดหักหน้ากันต่อหน้าแฟนผมแบบนั้น

หลังจากวันลอยกระทงปีนั้นผมก็ไม่คุยกับภูผาฟ้าครามอีกเลย ใจผมมันตัดความเป็นพี่เป็นน้องกับสองคนนั้นไปแล้ว แต่เหมือนโชคร้ายจะเข้าหาผมไม่จบไม่สิ้นเพราะผมมักจะถูกอาแอ๋มขอร้องให้ไปติวสอบสองคนนั้นอยู่เสมอๆ จะไม่ไปแม่ผมก็ถามว่าทำไมติวให้ทามได้แต่กลับไม่ยอมไปติวให้ไอ้แฝด ผมจึงได้แต่กัดฟันไปติวให้สองคนนั้นอย่างคับแค้นใจเป็นที่สุด

ตั้งแต่วันที่สองคนนั้นรู้ว่าผมกับเมลล์เป็นแฟนกัน ความร้ายกาจของสองคนนั้นก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ตอนแรกผมนึกว่าคงคิดไปเอง แต่นานวันเข้าผมก็รู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อก่อนถึงมันสองคนจะซนจะดื้อยังไงแต่ถ้าผมดุพวกมันก็จะมีหงอมียอมลงให้บ้าง แต่เดี๋ยวนี้ไม่เลย ไม่หงอ ไม่ยอมลงให้ เถียงขาดใจจะต้องเอาชนะกันให้ได้ กวนประสาทแบบเกินทานทน ว่างเมื่อไหร่เป็นพูดจากระแนะกระแหนเรื่องแฟนของผม จนในที่สุดผมก็ต้องขอให้อาแอ๋มมานั่งคุมเวลาสอนเพื่อไม่ให้มันสองตัวแผลงฤทธิ์ใส่

ทุกวันนี้ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าการที่ผมมีแฟนมันเกี่ยวอะไรกับไอ้ภูไอ้ครามด้วยวะ ทำไมพวกมันสองคนต้องทำท่าเป็นปรปักษ์กับผมขนาดนั้น เหมือนกูทำอะไรผิดอ่ะ ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้ผิดอะไรเลย ขนาดพ่อแม่ผมยังไม่ว่าแล้วพวกมันเป็นใครมาเสือกอะไรด้วย?

อาการกระด้างกระเดื่องที่ภูผากับฟ้าครามมีต่อผมดำเนินไปตลอดสองปีที่ผมคบกับเมลล์ ถามว่าแคร์ไหม? บอกเลยว่าไม่! นอกจากนี้ผมยังพาเมลล์มาลอยกระทงด้วยอีกในปีถัดมาด้วย แต่คราวนี้ผมกับเมลล์เกาะกลุ่มกับพวกผู้ใหญ่ตลอดเวลาจนสองคนนั้นไม่มีโอกาสเข้าถึงตัวมาพูดอะไรให้แฟนผมไม่สบายใจอีก

ผมยังจำสายตาที่สองคนนั้นมองมาที่ผมในวันนั้นได้ เป็นสายตาที่ผมอ่านไม่ออก แต่เห็นแล้วรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก แต่น่าแปลกใจที่สายตาที่พวกมันมองเมลล์ไม่ใช่สายตาที่แสดงความเกลียดชัง มันเหมือนเป็นสายตาของคนที่ลอบพิจารณาอะไรสักอย่างมากกว่า

หลังจากเรียนจบม.6 ผมกับเมลล์ก็เลิกกัน…เราเลิกกันโดยตลอดเวลาที่คบกันมานั้น พวกเราไม่เคยทะเลาะหรือผิดใจกันแม้แต่ครั้งเดียว

แน่นอนว่าข่าวการเลิกกันของผมกับเมลล์ย่อมกลายเป็นหัวข้อสนทนาของแม่กับอาแอ๋ม ในไม่ใช่ไอ้แฝดก็รู้ว่าผมกับเมลล์เลิกกัน

“ครามบอกแล้วว่าเดี๋ยวก็เลิกกัน”

“เป็นไง คบกันไม่ยืดจริงๆ ด้วยเห็นมั้ยล่ะ”

“แต่พี่ทีไม่ต้องเสียใจนะ พี่ยังมีพวกเราอยู่ทั้งคน!”

พวกมันหัวเราะร่าเริงดูมีความสุข ที่เคยทำตัวเย็นชาใส่ผมมาตลอดสองปีก็หายเกลี้ยงเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ผมมองรอยยิ้มกว้างของสองคนนั้น

แปลก รู้สึกแปลก …ไม่เข้าใจ

รอยยิ้มสว่างไสวของสองคนนั้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีตะกอนบางอย่างปรากฏขึ้นมาในใจ

มันคืออะไรสักอย่าง ที่อธิบายไม่ถูก

แต่ในตอนนั้น ผมไม่ละเอียดอ่อนพอที่จะเก็บมันมาใส่ใจ











-----------------------------------------------------------------------

- การลอยกระทง ควรลอยด้วยความสำรวม ไม่ถือเอาเป็นเรื่องเล่นสนุกสนานเหมือนภูผากับฟ้าครามนะคะ เพราะจุดประสงค์ของการลอยกระทงคือการขอขมาพระแม่คงคา เราจึงควรปฏิบัติตัวให้เหมาะสม เคารพต่อประเพณีอันดีงามนะคะ

-ในตอนนี้ภูผากับฟ้าครามก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันค่ะว่าทำไมตัวเองต้องไม่พอใจด้วยเพราะทีพี่เฟิร์สมีแฟนพวกนางก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ถ้าถามเหตุผลพวกแฝดก็คงจะตอบว่าหมั่นไส้พี่ทีล่ะมั้งคะ ทั้งที่อันที่จริงพวกนางหึงค่ะแต่ไม่รู้ตัวเพราะยังไม่รู้ใจตัวเอง เด็กน้อยจริงๆ เลย

- น่าสงสารพี่ที ไม่เคยมีความทรงจำดีๆ ในวันลอยกระทงเลย55

หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนพิเศษ ควันหลงลอยกระทง [28/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 28-04-2018 16:14:25
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนพิเศษ ควันหลงลอยกระทง [28/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 29-04-2018 02:42:12
พี่ทีบวชเถอะ จะได้สุขสงบเสียทีนะ ทุกข์ใจวันลอยกระทงมาทุกปีล่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนพิเศษ ควันหลงลอยกระทง [28/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 29-04-2018 09:23:29
มาอัพต่อเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนพิเศษ ควันหลงลอยกระทง [28/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 29-04-2018 10:46:55
สงสารทีจัง
ต้องแบกรับอะไรไว้คนเดียวตั้งมากมาย

 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนพิเศษ ควันหลงลอยกระทง [28/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 29-04-2018 13:40:28
แฝด ชอบทีมาตั้งนานแล้ว
ตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยม
แต่ที ไม่รู้เลย   :mew2:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนพิเศษ ควันหลงลอยกระทง [28/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 29-04-2018 19:36:08
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนพิเศษ ควันหลงลอยกระทง [28/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 05-05-2018 14:18:13
รอวันทีดปิดใจรับน้อง

 :mew1:  :pig4:  :กอด1:

 :L1:  :L1:  :L1:  :L1:  :L1:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนพิเศษ ควันหลงลอยกระทง [28/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 07-05-2018 05:52:08
อ่านเรื่องลอยกระทงแล้วสงสารพี่ที จริงๆค่ะ ขอแกมี ลอยกระทงดีดีกะเค้าสักครั้งเถิด
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนพิเศษ ควันหลงลอยกระทง [28/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 31-05-2018 13:49:07

ตอนที่ 42   Choose me by your heart
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนพิเศษ ควันหลงลอยกระทง [28/4/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 31-05-2018 13:51:44
                                                   ตอนที่ 42   Choose me by your heart


(บทป๊อก)

Rrrrrrrrrrrrrrrrrrr Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrr

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พอเห็นว่าใครโทรมาจึงเดินปลีกตัวออกมาจากห้องประชุม

“ว่าไงไอ้ที”

‘ว่างคุยป่ะป๊อก?’

“ประชุมดาวเดือนดินอยู่ว่ะ มีไรรีบพูดมาให้ว่องครับพี่แว่น”

‘… อ้าวหรอ งั้นเดี๋ยวกูค่อยโทรมาใหม่ก็ได้’

“อย่าทำให้กูอยากแล้วจากไปดิฟระ บอกมาาา”

‘เออ กูแค่จะถามว่าเมื่อคืนตอนกูเมาอ่ะ กูพูดอะไรไปมั่งวะ ได้ยินไอ้โซลบอกว่ามึงอัดไว้อ่อ’

“…กะ…ก็เหมือนเดิมป่ะวะ บ่นเรื่องเรียน เรื่องพ่อแม่พี่น้องญาติโกโหติกาของมึงอ่ะแหละ น่ารำคาญชิบ บ่นได้ทั้งคืน ใครจะไปอัดไว้วะเปลืองเมมตาย โดนไอ้โซลต้มแล้วล่ะมึง” ผมกลอกตามองท้องฟ้าพลางแอบไขว้นิ้วไว้ในใจ ไอ้โซลนะไอ้โซล ไปบอกไอ้ทีแบบนั้นเดี๋ยวอีกหน่อยแม่งก็ไม่ยอมมาสังสรรค์ด้วยอีกหรอก ไอ้ทียิ่งเป็นพวกชอบคิดมากอยู่ด้วย

‘… กูไม่ได้พูดอะไรแปลกๆ ออกไปใช่มั้ยวะ’

“พูด!”

‘…ว่า?’ เสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลของไอ้ทีทำให้ผมอดขำนิดๆ ไม่ได้

“มึงพูดว่ามึงแอบชอบกูมานานแล้ว ทุกครั้งที่เห็นตูดกูมึงต้องห้ามใจไม่ให้พุ่งเข้ามาดมทุกทีเลย กูไม่คิดมาก่อนเลยนะว่ามึงจะเป็นคนแบบนี้ พี่ทีคลหื่ลลล”

‘ไอ้บ้า!! ไม่มีทางโว้ยย ต่อให้กูจะขาดสติแค่ไหนก็ไม่มีทางพูดอย่างที่มึงว่ามาแน่ๆ ’

“ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เออ มึงไม่ได้พูดอะไรแปลกๆ หรอก ก็บ่นเรื่องน้องชายดื้ออะไรของมึงไปตามประสาอ่ะแหละ พวกกูก็เมาๆ ฟังมึงพูดไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนกัน ทำไม? กลัวจะหลุดความลับอะไรให้พวกกูรู้หรือไงวะ”

‘ก็ไม่เชิง…งั้นแค่นี้นะ ไม่กวนแล้ว มึงไปประชุมต่อเถอะ’

“อือฮึ บ๊ายบายน้องน้ำชา”

‘น้ำชาพ่อง!!’

“ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ” พอวางสายปุ๊บผมก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่จนขนจมูกแทบหมดรู งานโกหกนี่ผมไม่ถนัดเลยให้ตายสิ นี่ถ้าไม่ได้คุยผ่านโทรศัพท์ไอ้ทีต้องจับได้แน่ๆ ว่าผมโกหก เรื่องที่ไอ้ทีมันเมาพูดออกมาเมื่อคืน พวกเราห้าคนตกลงกันไว้แล้วว่าจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่เคยได้ยินอะไรมาก่อน คลิปในเครื่องผมก็ลบไปแล้วเพียงแต่ไปอยู่ในเครื่องไอ้สกายแทน เห็นมันว่าอาการไอ้ทีน่าเป็นห่วงเกินไป มันเลยจะเอาคลิปเสียงไปลองปรึกษารุ่นพี่คณะแพทย์ที่มันรู้จักดูว่าไอ้ทีเนี่ยมันเสี่ยงจะเป็นโรคซึมเศร้ามั้ยจะได้รีบรักษาทัน แล้วพวกผมก็จะได้คอยดูแลมันเป็นพิเศษด้วย

แต่ไอ้โซลไปพูดอะไรกับไอ้ทีวะมันถึงได้โทรมาถามเสียงกังวลแบบนี้ คงไม่ได้ไปแบล็กเมล์ว่ารู้ความลับเรื่องรักต้องห้ามของมันใช่ไหม=_=;; ไอ้โซลนะไอ้โซล อุตส่าห์เตี๊ยมกันไว้แล้วก็ยังเล่นนอกบทอีก มันน่าเอาขนรักแร้พันคอให้ขาดอากาศตายนัก

เดี๋ยวจะฟ้องน้องเพย์ให้เทศน์มันให้เข็ดเลยคอยดู!

(จบบทป๊อก)





ผลการคัดเลือกดาวเดือนดินของคณะวิศวกรรมศาสตร์ปีนี้ไม่ได้เหนือความคาดหมายของคนในคณะนัก ภูผาจากสาขาเครื่องกลคว้าตำแหน่งเดือนคณะไปครอง ส่วนฟ้าครามที่ประกวดดินนั้นตกรอบไปอย่างน่าเสียดายเพราะถึงแม้จะหน้าตาหล่อเหมือนเดือนคณะก็จริงแต่การประกวดดินหน้าตาไม่ใช่สิ่งจำเป็น ทำให้คลิปมายากล ‘นิ้วสั้น’ ของฟ้าครามพ่ายแพ้ให้กับคลิป ‘ผู้ชายวิศวะทุกคนเป็นผัวกู’ ของดินจากสาขาเคมี

การประกวดดาวเดือนดินมหา’ ลัยจะมีขึ้นในอีกสามอาทิตย์ข้างหน้าทำให้ตอนนี้ปีหนึ่งและปีสองต่างวิ่งวุ่นช่วยกันจัดเตรียมงานเป็นการใหญ่ ทุกๆ เย็นหลังเลิกเรียนจะมีการทำฉาก ทำพร็อพ รวมถึงซ้อมการแสดงสำหรับคืนวันงานประกวดที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

ในขณะที่ทุกคณะในมหาวิทยาลัยต่างกำลังคึกคักกับการจัดเตรียมการแสดงสำหรับวันประกวดดาวเดือนดิน ณ ห้องสภานิสิตสมาชิกสภาแต่ละคนก็กำลังหารือเรื่องการจัดงานกันอย่างคร่ำเคร่ง

“แบบชุดที่คณะนิเทศส่งมาผมว่ามันไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่เพราะกระโปรงของดาวคณะสั้นเกินไป ส่วนแบบชุดของคณะสถาปัตย์ก็มีนัยเหยียดชาติพันธุ์ ทางฝ่ายกฎระเบียบคิดว่าไม่ควรอนุมัติให้ผ่านครับ” ทียืนขึ้นในที่ประชุม เบื้องหน้าร่างโปร่งคือแผ่นป้ายตั้งโต๊ะที่เขียนแสดงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายกฎระเบียบไว้อย่างชัดเจน

“ถ้าคณะกรรมการฝ่ายคุณลงความเห็นว่าอย่างนั้นก็ดำเนินการตามขั้นตอนได้เลยครับ” ประธานสภานิสิตตอบรับเสียงนิ่ง

“แล้วเรื่องสถานที่ล่ะไปถึงไหนแล้ว”

“ฝ่ายผมทำเรื่องขอใช้สนามฟุตบอลส่งให้ทางมหา’ ลัยแล้วครับ เพิ่งได้รับจดหมายอนุมัติมาเมื่อวาน เรื่องเวทีก็ติดต่อเอาไว้เรียบร้อยแล้วอาทิตย์หน้าทางบริษัทจะเข้ามาดำเนินการติดตั้งให้ครับ”

“ฝากประชาสัมพันธ์เรื่องการทิ้งขยะเข้าไปด้วย เห็นว่าปีที่แล้วหลังจบงานสนามเละเทะขยะเกลื่อนไปหมด ปีนี้ตั้งถังขยะตามจุดต่างๆ เพิ่มด้วยนะครับ”

“ได้ครับ”

ช่วงนี้ทีต้องเข้าประชุมกับสภานิสิตแทบทุกเย็นเพื่อพูดคุยหารือถึงความคืบหน้าในการจัดกิจกรรมดาวเดือนดิน ฝ่ายกฎระเบียบไม่ค่อยมีบทบาทในงานนี้นัก อย่างมากก็แค่ตรวจสอบแบบชุดที่ผู้เข้าประกวดจะใช้สวมในวันงานจริงว่าเหมาะสมหรือไม่ก็เท่านั้น ส่วนใหญ่ทีจึงแค่มานั่งฟังคนอื่นๆ ปรึกษากันในฐานะหัวหน้าฝ่ายกฎฯ ซะมากกว่า

กว่าจะประชุมเสร็จก็ปาเข้าไปหกโมงเย็นแล้ว ช่วงนี้ภูผากับฟ้าครามมีซ้อมดึกแทบทุกวันจึงไม่ได้กลับด้วยกัน มีแค่ตอนเช้าที่มาเรียนพร้อมกันเท่านั้น

“เฮ้ยย ทีๆ ” ผมหันไปตามเสียงเรียกของหัวหน้าฝ่ายกิจกรรมนักศึกษา อีกฝ่ายยื่นกระดาษชุดหนึ่งมาให้

“อันนี้เป็นตารางนัดถ่ายรูปโปรโมทของคณะวิศวะนะ แล้วก็มีพวกคิวขึ้นเวที คิวแสดง ฝากให้น้องเอิ้บปีสองหน่อยได้ไหม รู้จักใช่ป่ะ” ผมพยักหน้า รับเอกสารมาถือไว้

“ขอบใจมาก งั้นกูไปก่อนล่ะ ยังมีงานต้องไปเคลียร์อีก”

“มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะ”

“อ่าหะ แต๊งกิ้ว”

เฮ้อ วันนี้ว่าจะไม่กลับคณะแล้วนะ ต้องเดินกลับไปอีกจนได้

“นางเป็นคู่หมั้นของข้าเจ้าไม่มีสิทธิ์”

“คนที่ได้พบกับนางก่อนก็คือข้า ใครกันแน่ที่มาทีหลัง”

“เจ้า!!!”

ที่ลานใต้คณะพวกปีสองกับปีหนึ่งกลุ่มนึงกำลังซ้อมการแสดงกันอยู่ สองคนที่เป็นจุดเด่นอยู่กลางวงก็คือภูผากับฟ้าครามที่ยืนอยู่กันคนละด้าน ในมือถือกิ่งไม้ชี้ใส่กันและกัน

ภูผาพุ่งเข้าไปใช้กิ่งไม้ฟันก่อน แต่ฟ้าครามรับไว้ได้แล้วใช้กิ่งไม้ในมือเบี่ยงกิ่งไม้ของภูผาไปทางอื่นก่อนจะกระหน่ำฟาดฟันใส่ภูผาที่ตกเป็นฝ่ายตั้งรับไม่ยั้ง จนได้แต่ก้าวถอยหลังมาเรื่อยๆ ไม่นานก็พลิกเกมกลับมาเป็นฝ่ายบุกอีกครั้งก่อนที่ทั้งคู่ฟาดกิ่งไม้เข้าใส่กันจนหักทั้งคู่

ภูผากับฟ้าครามยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนปลายจมูกแทบแตะกัน แต่ดวงตาที่จ้องมองอีกฝ่ายกลับเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง!

แล้วทำนองเพลงก็ค่อยๆ ดังขึ้น

“….เสียใจคนคนนี้ไม่ใช่ของเธอ *

ได้โปรดอย่ามาข้องแวะกันอีก

ฉันหวังว่าคงเข้าใจ ” ภูผาผละออกมาก่อนจะวาดมือทำท่าเหมือนยกมือห้าม

“เพราะมันคือสิทธิ์ของฉัน ที่จะเรียกร้อง

ขอให้เธอจงไปไกลไกล ไม่ต้องมาเจอ

อย่ามาใกล้เขาได้ไหม ” จากนั้นภูผาก็ผลักไหล่ฟ้าครามจนเซ แต่ฟ้าครามก็คว้าจับข้อมือภูผาเอาไว้ได้

“ฉันก็รักของฉัน เข้าใจบ้างไหม

ฉันมีสิทธิ์จะรักไม่ผิดใช่ไหม

เธอก็น่าจะรู้มันเจ็บเพียงใด

เหมือนโดนกรีดหัวใจถ้าเธอแย่งไปครอง ” ฟ้าครามสะบัดข้อมือภูผาทิ้งก่อนจะทำหน้าเจ็บปวดขยำเข้าที่หน้าอกด้านซ้ายของตัวเอง

หลังจากหันหน้าร้องเพลงตอบโต้กันไปมาสุดท้ายทั้งภูผาและฟ้าครามก็ร้องท่อนสุดท้ายขึ้นมาพร้อมๆ กัน

“ไม่เธอกับฉันต้องมีสักคนเป็นคนไป อยู่ที่ว่าใครจะทนไม่ไหว ทนไม่ไหว...”

แล้วฟ้าครามก็กระโจนเข้าใส่ภูผาโดยชักมีดสั้นออกมาจากรองเท้าบู๊ทแล้วโจนจ้วงเข้าใส่ภูผาที่ไม่ทันตั้งตัว

ทียืนดูจนลืมไปเลยว่าต้องเอาเอกสารไปให้รุ่นน้อง มารู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่พวกสต๊าฟช่วยกันกางผ้าที่ใช้สมมติแทนม่านเวทีบดบังร่างของภูผากับฟ้าครามเอาไว้เบื้องหลัง

เสียงปรบมือดังกระหึ่มจากคนที่ยืนดูอยู่รอบๆ ทีเองก็อดที่จะปรบมือไปด้วยไม่ได้ ภูผากับฟ้าครามแสดงเก่งจนเขาทึ่ง ตั้งแต่ท่วงท่าการต่อสู้ที่สง่างามพลิ้วไหวไปจนถึงสีหน้าท่าทางที่สื่ออารมณ์จนทำให้ผู้ชมมีอารมณ์ร่วม ไหนจะน้ำเสียงก้องกังวานชัดเจนที่ร้องเสียงสูงได้ไม่มีหลงคีย์นั่นอีก มันยากที่จะละสายตาออกจากสองคนนั้นจริงๆ

ทีมองสิ่งที่อยู่ในมือก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าต้องไปหารุ่นน้องจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาปีใหม่ ก่อนจะได้รู้ว่าตอนนี้เอิ้บอยู่ที่หอประชุมชั้นสองกำลังช่วยแก้ชุดให้น้องน้ำฟ้าดาวคณะอยู่

หลังจากนำเอกสารไปให้รุ่นน้องแล้ว ทีก็เดินไปยังโรงอาหารเพื่อซื้อน้ำกิน หลังจากลังเลใจอยู่เพียงครู่ก็ซื้อน้ำเปล่าเพิ่มมาอีกสองขวด

“น้องๆ ” ทีสะกิดน้องปีสองท่าทางเนิร์ดๆ คนหนึ่งที่พอคุ้นหน้าคุ้นตาแต่จำชื่อไม่ได้

“พี่รบกวนฝากน้ำสองขวดนี้ไปให้สองคนนั้นหน่อยได้มั้ย” ว่าพลางชี้ไปยังภูผากับฟ้าครามที่นั่งเหยียดขาอยู่บนพื้น ฟังพวกปีสองบรีฟการแสดง

“ได้ครับพี่”

“ขอบใจมาก บอกว่าสต๊าฟซื้อมาให้นะ” จัดการเสร็จเรียบร้อยทีก็เดินไปหน้าคณะเพื่อรอรถกลับบ้านทันที ส่วนรุ่นน้องที่ได้รับมอบหมายให้เอาน้ำไปให้สองแฝดก็ปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม

“นายๆ อ่ะน้ำ”

“..ขอบใจ นายซื้อมาหรอ” ฟ้าครามรับขวดน้ำเย็นฉ่ำที่ยังมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะรอบๆ ขวดมาเปิดกระดกอย่างชื่นอกชื่นใจ อันที่จริงก็มีน้ำในกระติกที่พี่สวัสดิการเตรียมไว้ให้แต่ชักจะไม่ค่อยเย็นภูผากับฟ้าครามเลยไม่ค่อยอยาก

“เปล่า พี่สต๊าฟตัวสูงๆ ที่ใส่แว่นเค้าฝากมาให้”

“สต๊าฟสูงๆ ใส่แว่น? ไหน! คนไหน!?” ภูผามองไปรอบๆ ทันที

“พี่เค้าไปไหนแล้วก็ไม่รู้อ่ะ งั้นเราไปก่อนนะ”

“อ่าๆ แต๊งกิ้วนะ”



วันต่อมา

ผมมายืนแอบมองภูผากับฟ้าครามซ้อมเป็นวันที่สอง ก็ไม่ได้อยากดูอะไรหรอกนะ แต่มันเป็นงานของคณะใช่ไหมล่ะ ผมในฐานะที่ทำงานในสโมสรคณะก็สมควรที่จะมาช่วยตรวจสอบดูแลความเรียบร้อยจริงมั้ย อ้อ แล้วในฐานะหัวหน้าฝ่ายกฎระเบียบผมก็มีหน้าที่สอดส่องดูแลไม่ให้รุ่นพี่ซ้อมการแสดงให้น้องหนักหรือให้ทำอะไรอันตรายเกินไปด้วย ใช่มันเป็นหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่!

พอได้เวลาพักของสองคนนั้นผมก็สะกิดรุ่นน้องที่เดินผ่านมาแล้วทำเหมือนเมื่อวาน

“น้องๆ พี่รบกวนฝากไปให้สองคนนั้นหน่อยสิ บอกว่าสต๊าฟฝากมานะ”

น้องคนนั้นพยักหน้ารับอย่างงงๆ ผมยิ้มอย่างพอใจก่อนจะสะพายกระเป๋ากลับบ้านตามปกติ

ในตอนเช้าที่นั่งรถไปเรียนด้วยกันผมไม่ค่อยได้คุยอะไรกับเจ้าแฝดมาก เพราะผมเลือกที่จะนั่งข้างคนขับ ปล่อยให้พวกมันนั่งหลังไป แต่ก็ยังมิวายที่พวกมันจะยื่นหน้าข้ามเบาะมาชวนคุยอยู่เป็นประจำจนบางครั้งผมต้องดุว่าอย่าทำให้คนขับรถเสียสมาธิสองคนนั้นถึงได้เพลาๆ ลงบ้าง

ลงจากรถเราสามคนก็จะเดินเข้าคณะพร้อมกันจากนั้นก็แยกย้ายกันตรงนั้น ผมขึ้นตึกเรียน ส่วนสองคนนั้นเดินไปตึกเรียนรวม ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่นั่งอยู่บนรถแล้วให้รถวนไปส่งที่ตึกรวม มาลงพร้อมผมทุกวันทำไม แต่ช่างเถอะ เรื่องของน้องมัน อยากเดินก็เดิน ขามันไม่ใช่ขาผมนี่

ตกเย็นหลังประชุมสรุปงานที่สภา ผมจะไปยืนมองการซ้อมการแสดงของภูผาฟ้าครามและน้องน้ำฟ้าเสมอ หลังเสาต้นที่สามฝั่งที่ติดกับสนามหญ้าเป็นที่ซ่อนประจำของผม พอเห็นว่าน้องพักเมื่อไหร่ผมก็จะสะกิดเด็กแถวนั้นฝากให้เอาน้ำไปให้ทุกครั้ง

เหตุการณ์เช่นนี้ดำเนินไปจนกระทั่งถึงวันงาน…



งานประกวดดาวเดือนดินของมหาวิทยาลัยแห่งนี้นับเป็นงานใหญ่ระดับที่มีรายการโทรทัศน์มาถ่ายทอดสดออกอากาศเลยทีเดียว นอกจากบูทแสดงสินค้า ร้านอาหาร ของทำมือต่างๆ ที่บุคคลภายนอกรวมถึงนักศึกษานำมาวางขายกันอย่างคับคั่งแล้วซุ้มที่คึกคักที่สุดก็เห็นจะเป็นซุ้มขายดอกกุหลาบของสภานิสิตนั่นเอง

“คุณเตอย่าเอาแต่แวะสิครับ ขืนไม่รีบเข้าไปจะไม่ทันการแสดงดาวเดือนคณะแรกนะครับ”

“พูดมากน่าโดม งั้นนายก็เข้าไปจองที่ให้ฉันก่อนเลย เดี๋ยวตามไป”

“ปีที่แล้วกว่าผมจะหาคุณเจอเหนื่อยแทบตายเลยนะครับ”

“เออๆ ๆ ไปๆ ๆ ขี้บ่นจังวะ” เตชินทร์ขยับแว่นกันแดดที่สวมอยู่ก่อนจะเดินนำเลขาที่ควบตำแหน่งเพื่อนสมัยเด็กเข้าไปจับจองที่นั่งหน้าเวที

“เอาล่ะค่ะ ต่อไปจะเป็นการแสดงของผู้ประกวดดาวเดือนคณะทันตแพทยศาสตร์ ในชื่อการแสดงว่า ‘ขอฟันหน่อยครับ’ ขอเชิญรับชมได้เลยค่าาาาา”

“เห็นมั้ยครับ เพราะคุณมัวแต่ชักช้านั่นแหละเลยไม่ทันการแสดงของคณะแพทย์เลย”

“โอ๊ย! หยุด! เลิกบ่น หุบปากนั่งเงียบๆ แล้วดูไป”

เตชินทร์นั่งกอดอกชมการแสดงที่แต่ละคณะขนมาประชันอย่างไม่ยอมน้อยหน้ากัน ไม่ว่าจะเป็นกายกรรมของคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา ละครเพลงโอเปร่าคณะพยาบาล ละครใบ้ของคณะเภสัช เปาบุ้นจิ้นแดนซ์ของคณะนิติฯ จินตลีลาของคณะอักษร ฯลฯ สำหรับคนอื่นๆ อาจจะคิดว่าแต่ละการแสดงทำได้ยอดเยี่ยมน่าประทับใจมาก แต่สำหรับคนที่คร่ำวอดอยู่ในวงการบันเทิงอย่างเขาแล้วพวกนี้ก็แค่การแสดงทั่วไปอยู่ในมาตรฐานปานกลางถึงดีเท่านั้น ผู้เข้าประกวดแต่ละคนถึงจะหน้าตาดีแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครโดดเด่นเข้าตาเขาสักคน

ปีนี้ก็มาเสียเที่ยวอีกแล้วสินะ

“คุณเตจะกลับแล้วหรอครับ ไม่รอดูการแสดงของคณะสุดท้ายก่อนล่ะครับไหนๆ ก็มาแล้ว”

“ไม่ล่ะ พอกันที น่าเบื่อจนจะทนไม่ไหวแล้ว”

“และแล้วก็มาถึงการแสดงของคณะสุดท้ายแล้วนะคะ คณะที่สาวๆ หลายๆ คนรอคอย คณะอะไรคะ รู้ไหมเอ่ย??” พิธีกรสาวหันไมค์ไปทางผู้ชม ได้ยินเสียงตะโกนดังกระหึ่มว่า ‘คณะวิศวะ!!’

“ใช่แล้วค่ะ คณะวิศวกรรมศาสตร์นั่นเอง ได้ข่าวว่าปีนี้การแสดงฉีกแนวจากปีก่อนๆ ด้วยนะคะพี่อิ๊บ”

“ใช่ครับ ในรอบสิบปีที่ผ่านมาคณะวิศวะไม่เคยส่งประกวดการแสดงแนวนี้มาก่อนเลย” พิธีกรหนุ่มตอบรับเสียงนุ่ม

“ชักอยากจะรู้แล้วสิคะว่าปีนี้วิศวะเค้ามีทีเด็ดอะไรมาโชว์ …ทุกๆ คนอยากรู้มั้ยคะ”

“โอ้โห! เสียงดังขนาดนี้ งั้นขอเชิญพบกับ ละครเวที ‘Choose me by your heart’ จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ได้เลยครับ!!!”

“คุณเตครับคุณเต! เด็กคนนั้นหน้าตาคุ้นๆ มั้ยครับ” เตชินทร์ชะงักก่อนจะมองกลับไปยังเวที เพ่งมองสักพักอย่างครุ่นคิด

“เฮ้ย! นั่นมันไอ้เด็กแฝดมารยาทแย่ที่เจอบนชายหาดตอนนั้นนี่หว่า!”



Choose me by your heart เป็นละครเวทีผสมละครเพลงแนวแฟนตาซี ดำเนินเรื่องโดยตัวแสดงนำสามคนคือภูผาในบทเจ้าชาย น้ำฟ้าในบทเจ้าหญิง และฟ้าครามในบทพ่อมดที่สวมชุดคลุมยาวและหน้ากากปกปิดใบหน้าตลอดเวลา เจ้าชายและเจ้าหญิงต่างถูกหมั้นหมายกันตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ แต่ขณะที่กำลังจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสกันกลับถูกขัดขวางโดยพ่อมดร้ายที่โผล่มาทวงคำสัญญาที่เจ้าหญิงเคยให้ไว้ในวัยเด็กว่าจะแต่งงานด้วย เรื่องราวส่วนใหญ่ก็คือการต่อสู้ห้ำหั่นกันระหว่างเจ้าชายกับพ่อมด พล็อตเรื่องก็คล้ายๆ กับนิทานเจ้าหญิงเจ้าชายทั่วไป แต่ที่น่าประทับใจก็คือฉากต่างๆ ที่สรรค์สร้างขึ้นมาอย่างอลังการและการใช้นักแสดงสมทบเป็นจำนวนมากในการเต้นประกอบแต่ละฉากทำให้ดูเป็นการแสดงที่ยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ยังมีการดึงเพลงป๊อปในปัจจุบันมาร้องประกอบเพื่อสร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้ชมอีกด้วย

และแล้วการดวลกันระหว่างเจ้าชายกับพ่อมดครั้งสุดท้าย เจ้าชายก็เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะทั้งที่เสมอกันมาตลอด

“ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าหญิงจะรักเเกจริงๆ ” พ่อมดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะหายตัวไป

ในฉากสุดท้ายงานอภิเษกสมรสได้ถูกจัดขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าหญิงเกาะแขนพระราชาเดินตรงไปหาเจ้าชายที่ยืนรออยู่หน้าปะรำพิธี

ทันใดนั้นเองประตูโบสถ์ก็ถูกเปิดออก เสียงกรี๊ดจากผู้ชมดังสนั่นหวั่นไหวจนมหาวิทยาลัยแทบพัง เพราะคนที่ปรากฏตัวขึ้นมานั้นหน้าตาเหมือนกับเจ้าชายราวกับเเกะ!





“ข้าขอคัดค้านการแต่งงานในครั้งนี้! เจ้านั่นเป็นเจ้าชายตัวปลอม!!”














*เพลง: ฉันก็รักของฉัน (เพลงประกอบละคร สามีตีตรา)

ศิลปิน: นิว จิ๋ว




หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 42 Choose me by your heart [31/5/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Nung66669 ที่ 31-05-2018 16:05:17
 :3129: :3129: ค้างมีแค่นี้เหรอจาอาววววอีก จาอาวววอีก  :katai5:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 42 Choose me by your heart [31/5/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 31-05-2018 19:08:28
แฝดจะรู้มั้ยนะว่าพี่ที ซื้อน้ำไปให้  :hao3:
ให้สงสัยแฝดจะรู้ความลับของพี่ทีได้ยังไง   :really2:
เต จะทำอะไรกับแฝดหรือเปล่า

แฝด ที   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 42 Choose me by your heart [31/5/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-06-2018 02:24:54
อย่าบอกนะว่าอีกฝ่ายก็เป็นพ่อมดตัวปลอมเหมือนกัน  :laugh:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 42 Choose me by your heart [31/5/61]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 01-06-2018 19:23:20
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 42 Choose me by your heart [31/5/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-06-2018 00:31:24
 เมื่อไหร่จะได้รักกัน
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 43 แตกนอกหรือแตกใน? [22/7/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 22-07-2018 19:56:27
“ข้าขอคัดค้านการแต่งงานในครั้งนี้! เจ้านั่นเป็นเจ้าชายตัวปลอม!!”

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!

เสียงกรี๊ดดังลั่นสนามจนปีใหม่ที่ยืนกอดอกยืนดูอยู่หน้าเวทีต้องยกมือขึ้นมาอุดหู แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีประโยชน์นักเมื่อต้นเสียงที่ดังกว่าใครนั้นมาจากคนข้างๆ เขานี่แหละ

“กรี๊ดดดด!! น้องภูน้องครามเท่ที่สุดดดด ใหม่ๆ ๆ น้องหล่อทั้งคู่เลยอะทำไงดี ถ้าเราเป็นเจ้าหญิงเราเลือกไม่ถูกเลยนะเนี่ย!” เอิ๊บกรี๊ดกร๊าดเอาป้ายไฟที่สั่งทำมาใหญ่เป็นพิเศษตีแขนเขาด้วยใบหน้าเขินอาย

“ก็ไม่ต้องเลือก =_=” ปีใหม่ทำหน้าเบื่อหน่าย พลางนึกรำคาญเสียงกรี๊ดรอบตัวที่ดังไม่หยุดเสียที ชิ! ก็แค่ผู้ชายสองคนหน้าตาเหมือนกันมีอะไรน่าตื่นเต้นนักหนา หน้าตาก็…งั้นๆ แหละ น้องรหัสเขาหล่อกว่าตั้งเยอะ! (ยังคงไม่ยอมรับว่าน้องรหัสตัวเองเป็นตุ๊ด)

“ใหม่อ่ะ!! เอาไปถือเลย! เราเมื่อยแขนแล้ว”

“อ้าว! ไหงงั้นอ่ะ” ปีใหม่ถูกแฟนสาวยัดเยียดป้ายที่สั่งทำมาแบบชุดใหญ่ไฟกะพริบใส่มือมาอย่างเสียมิได้ พอมองถ้อยคำบนป้ายปีใหม่ก็ได้แต่เบ้ปากกลอกตามองบน





‘ภูผา FIGHTING! I LOVE U (รูปหัวใจสองดวง) ’





“ทำไมต้องทำหัวใจสองดวง? ดวงเดียวก็พอแล้วมั้งที่จริง” ปีใหม่ชี้รูปหัวใจสองดวงบนป้าย ไม่เข้าใจว่าจะทำให้มันเยอะทำไม ต้องเสียตังค์เพิ่มอีก

“อ๋อ นี่ใจเรา ส่วนนี่ใจใหม่ หมายความว่าเราสองคนเอาใจช่วยน้องเต็มที่ไง^^” เอิ๊บยิ้มน่ารัก ชี้หัวใจแต่ละดวงพร้อมอธิบายไปด้วย

ปีใหม่ได้แต่มองรอยยิ้มนางฟ้าของแฟนสาวแล้วกลืนคำที่จะพูดลงคอ

‘ใครเขาจะอยากส่งใจเชียร์สองคนนั้นกันฟระ!!!’

หลังจากเสียงกรี๊ดกร๊าดทั้งหลายเงียบลงการแสดงก็ดำเนินต่อไป บนเวทีคือฉากในท้องพระโรงที่แขกเหรื่อทุกคนต่างจ้องมองเจ้าชายสองคนตาค้าง

“มันคือพ่อมดที่แปลงกายเลียนแบบข้า ข้าต่างหากคือเจ้าชายตัวจริง …ข้าคนนี้ต่างหากเจ้าชายพระคู่หมั้นของท่าน คนที่ท่านรักมาโดยตลอด”

“ข้าต่างหากคือเจ้าชายตัวจริง … พ่อมดเอ๋ย การประลองครั้งก่อนก็ตัดสินผลแพ้ชนะไปแล้วมิใช่หรือ เจ้าควรยอมรับแล้วจากไปแต่โดยดีการบุกเข้ามาขัดขวางพระราชพิธีเช่นนี้สมควรแล้วรึ นี่เจ้าไม่มีศักดิ์ศรีเลยหรืออย่างไรกัน” ร่างบนปะรำพิธีเอ่ยโต้อย่างเยือกเย็น

“นั่นสมควรเป็นคำพูดของข้า ไม่ใช่คำพูดของเจ้า”

“หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้!!” เป็นเสียงของเจ้าหญิงที่ดังขึ้นหยุดบทสนทนาตอบโต้กันระหว่างเจ้าชายสองพระองค์

“เรารู้ว่าใครคือเจ้าชายตัวจริงและใครคือพ่อมดผู้โกหกหลอกลวง แม้ว่าพวกท่านจะหน้าตาเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว แต่สำหรับข้าพวกท่านช่างแตกต่างกันเหลือเกิน”

เจ้าชายทั้งสองพระองค์ทอดพระเนตรไปที่เจ้าหญิงอย่างตกตะลึงก่อนที่จะหันมาสบตากันเองราวกับจะวัดใจกันเป็นครั้งสุดท้าย เพียงอึดใจเจ้าชายผู้ประทับบนปะรำพิธีก็ตรัสด้วยสุรเสียงอ่อนโยน

“ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ขอให้เจ้าหญิงทรงเลือกด้วยองค์เองเถิด”

เจ้าหญิงทอดพระเนตรเจ้าชายทั้งสองพระองค์ชั่วครู่ ก่อนจะหลับพระเนตรลง…

ทั่วทั้งสนามที่ใช้จัดงานประกวดเงียบกริบ ผู้ชมต่างพากันลุ้นไปกับการเลือกของเจ้าหญิง

เจ้าหญิงลืมตาขึ้น ก้าวเดินไปยังปากประตูที่เจ้าชายองค์หนึ่งยืนรออยู่

เจ้าชายฉีกยิ้มกว้าง กางแขนโอบกอดเจ้าหญิงเอาไว้

“ท่านพ่อมด ข้าต้องขอโทษท่านด้วยที่ผิดสัญญาที่ให้ไว้กับท่านในวัยเด็ก แต่ข้าไม่อาจรักใครนอกจากเจ้าชาย ได้อีกแล้วจริงๆ ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิด …ข้าเชื่อว่าสักวันท่านจะต้องได้พบกับคนที่คู่ควรกับท่านและรักท่านอย่างสุดหัวใจแน่นอน” เจ้าหญิงผละออก ยิ้มอย่างเศร้าสร้อยให้กับคนที่ตนเรียกว่าพ่อมด เสียงฮือฮาและเสียงกรี๊ดดังขึ้นเมื่อเรื่องกำลังพลิกล็อก เจ้าหญิงกลับหลังหันเดินไปยังปะรำพิธีแล้ววางพระหัตถ์ทั้งสองข้างลงบนพระหัตถ์ของเจ้าชายที่ยื่นมารออยู่แล้ว

ทั้งสองมองตากันอย่างลึกซึ้ง ก่อนที่เสียงทุ้มแหบพร่าที่เต็มไปด้วยความตื้นตันจะเอ่ยถาม

“ท่านแน่ใจใช่ไหมว่าข้าคือตัวจริง ท่านแน่ใจแล้วใช่ไหมที่เลือกข้าคนนี้”

“แน่ใจสิเพคะ ไม่มีทางผิดตัวแน่นอน …” เจ้าหญิงทาบมือลงบนอกซ้ายของตัวเองก่อนจะย้ายมือไปทาบที่อกซ้ายของชายตรงหน้า



“เพราะข้าเลือกท่านด้วยหัวใจ”







ม่านการแสดงปิดลงพร้อมกับไฟบนเวทีที่มืดสนิด ผู้ชมต่างโห่ร้องและปรบมือให้อย่างประทับใจ นับเป็นการปิดการแสดงที่เพอร์เฟ็ค…อ๊ะ! เดี๋ยวก่อน

จู่ๆ แสงสปอตไลท์ก็ฉายลงไปที่จุดจุดเดียว เสียงปรบมือและเสียงชื่นชมเงียบลงในทันใดด้วยความงุนงงของผู้ชมที่คิดว่าการแสดงนั้นจบแล้ว

เจ้าชายตัวปลอมยืนอย่างโดดเดี่ยวอยู่บนเวทีก่อนจะทรุดตัวลงกับพื้นอย่างคนไร้เรี่ยวแรง

“ทำไมมมมมม!! ทำไมถึงไม่เลือกข้าาาาา เจ้าหญิงงงงงงงงง แงๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ” เจ้าชายตัวปลอมลงไปชักดิ้นชักงออยู่บนพื้นเวที เรียกเสียงฮาครืนจากผู้ชม

หลังจากร้องไห้ชักดิ้นชักงอสักพัก เจ้าชายตัวปลอมก็ลุกขึ้นมาปาดน้ำตาก่อนจะค่อยๆ แกะกระดุมชุดทักซิโด้ทีละเม็ด ถอดเสื้อออกแล้วโยนทิ้งไปทีละชิ้นๆ

กรี๊ดดดดดดดดดด!!!!! สาวๆ หลายคนรีบควักโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายเป็นการใหญ่

แต่พอจะถอดชั้นสุดท้ายเจ้าตัวกลับหันหลังแล้วค่อยถอดซะนี่ เล่นเอาเก้งกวางบ่างชะนีถอดหายใจด้วยความเสียดายเป็นการใหญ่

ทันทีที่เสื้อกล้ามหลุดออกจากตัวก็ปรากฏเป็นปีกเล็กๆ เหมือนนกติดอยู่ที่แผ่นหลังขาวสะอาด พื้นหลังของเวทีเปลี่ยนเป็นรูปท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยฝูงนก …ชายหนุ่มกางแขนออกทำท่าโผบิน

ตัวอักษรค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนฉากเป็นคำว่า…

I believe I can fly







“เชี่ยยยย! เจ๋งโคตร กูว่าเข้ารอบสามคนสุดท้ายแน่” แท็คออกความเห็นหลังการแสดงของภูผาจบลง

“เราเล่นเอาฝาแฝดมาแสดงทั้งคู่อย่างงี้ไม่ดูขี้โกงคณะอื่นหรอครับพี่ที” ซินเซียร์หันไปถามคนที่นั่งชมการแสดงเงียบๆ มาตลอด ร่างสูงในเสื้อช็อปเหมือนเพิ่งตื่นจากภวังค์

“อะไรนะซินเซียร์พี่ไม่ทันฟัง”

ซินเซียร์ทวนคำถามอีกครั้งแต่คนที่ตอบกลับเป็นแท็ค

“หึ ไม่หรอก …ปีที่แล้วคณะแพทย์เล่นส่งแฝดสามขึ้นเวทีพร้อมกันเลยนะ”

“ฮะ! จริงอ่ะพี่ โหยสุดยอด อยากเห็นจัง!”

“อ้าว อยู่มาตั้งนานไม่รู้จักได้ยังไง สามคนนี้ดังจะตายนะซินเซียร์ เราไปอยู่ไหนมา” ก้อยว่าขำๆ ก่อนจะเขี่ยจอโทรศัพท์ครู่หนึ่งแล้วยื่นมาตรงหน้าเด็กหนุ่ม

“นี่ไง …ไม้เอก ไม้โท ไม้ตรี คนที่ประกวดเดือนคือไม้โทคนตรงกลางน่ะ” ซินเซียร์มองรูปในมือถือ ก่อนจะชะงักทำหน้าทำตาแปลกๆ

“หล่อจนตะลึงเลยหรือไงหือ” ทีหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นหลานรหัสทำหน้าตาตลกๆ หลังส่งมือถือคืนให้ก้อย ซินเซียร์ยิ้มแหยๆ ส่ายหน้าน้อยๆ ดูมีพิรุธสุดๆ แต่เหล่ารุ่นพี่ก็ไม่คิดไล่ถามเอาความอะไร

ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้การประกวดดาวเดือนมีแค่สองรอบเท่านั้น รอบแรกคือการแสดงความสามารถพิเศษ สามคู่แรกที่ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดจากผู้เข้าชมก็จะผ่านเข้ารอบสุดท้าย หลังจากนั้นดาวกับเดือนจะประกวดแยกกัน ในรอบนี้เดือนหรือดาวทั้งสามคนจะต้องจับสลากแล้วตอบคำถามที่ตัวเองได้จากนั้นกรรมการจะคัดเหลือสองคนสุดท้าย ซึ่งจะชิงตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยด้วยการตอบคำถามเดียวกัน

“โซลมึงว่าไอ้แฝดจะมีโอกาสได้มั้ย” แท็คหันไปถามคนที่นั่งก้มหน้าก้มตาแชทมาตลอดตั้งแต่การแสดงของคณะวิศวะจบลงไป

“อาจจะผ่านเข้ารอบสอง แต่กูไม่คิดว่าเด็กนั่นจะชนะรอบตอบคำถาม ปีนี้ยังไงคณะแพทย์ก็ต้องเข้ารอบสุดท้ายด้วยแน่นอน”

“ทำไมล่ะครับพี่โซล?”

โซลปรายตามองคนช่างถามก่อนจะหันไปสนใจหน้าจอมือถือไม่คิดจะตอบอะไรอีก

“เดือนคณะแพทย์ปีนี้…ไม้จัตวา เป็นลูกพี่ลูกน้องของแฝดสามเมื่อปีที่แล้วน่ะสิ คิดว่าน่าจะถูกเทรนด์วิธีตอบคำถามมาดีเลยล่ะ ปีที่แล้วคำตอบของไม้โททำเอากรรมการเทคะแนนเต็มให้เลยนะ พี่เองยังอึ้ง ไม่คิดว่าจะตอบได้ลึกซึ้งขนาดนั้น ไม่แปลกใจที่ปีก่อนคณะแพทย์คว้าตำแหน่งเดือนไปได้…เนอะที” ก้อยหันไปขอแรงสนับสนุน

“อืม …เป็นอย่างนั้นแหละ”

หลังคอนเสิร์ตคั่นเวลาจบลง พิธีกรทั้งสองก็ขึ้นมาบนเวทีพร้อมผู้เข้าประกวดดาวเดือนจากทุกคณะ ช่วงนี้เป็นช่วงที่เปิดโอกาสให้ผู้ชมเข้าไปมอบดอกกุหลาบให้ผู้เข้าประกวดได้ ใครที่ได้รับดอกกุหลาบมากที่สุดก็จะได้รางวัล Popular vote ไปครอง

รางวัลนี้ทีรู้อยู่แก่ใจว่าก็แค่ตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนการหาเงินเข้าสภานิสิตจากการขายดอกกุหลาบเท่านั้นแหละ พอเห็นผู้คนต่อแถวแย่งกันซื้อดอกไม้เพื่อนำไปมอบให้คนที่ตนเองเชียร์แล้วทีก็ได้แต่ถอนหายใจแทนพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กเหล่านั้น เงินก็ยังหาเองไม่ได้ ยังจะใช้จ่ายฟุ่มเฟือยอีก เห็นบางคนซื้อแบบเป็นช่อใหญ่ช่อละพันทีก็ได้แต่ส่ายหัวในใจ ผิดกับหน้าของประธานสภาที่ยิ้มกว้างอย่างหาดูได้ยากมือนั่งนับเงินเป็นระวิง ทีได้แต่คิดในใจว่าตัวเองจะไม่ตกเป็นเหยื่อการตลาดของไอ้สนุกเด็ดขาด

เป็นอย่างที่พวกเขาคาดการณ์ไว้จริงๆ สำหรับ คณะแพทย์ และวิศวะผ่านเข้ารอบกันทั้งคู่ ส่วนอีกคณะที่เข้ารอบมาก็คือสถาปัตย์ฯ

การประกวดตอบคำถามของผู้เข้าชิงตำแหน่งดาวเริ่มขึ้นก่อน หลังจากผู้เข้าประกวดต่างแสดงไหวพริบจากการตอบคำถามกันอยู่ครู่ใหญ่ ผลการตัดสินก็คือ ชิงชิงจากสถาปัตย์ฯ คว้าตำแหน่งดาวมหาวิทยาลัยไปครอง ส่วนน้ำฟ้าได้ตำแหน่งรองดาวมหาวิทยาลัย

และแล้วการประกวดตอบคำถามของทางฝั่งเดือนก็มาถึง ไม้จัตวาหนุ่มหล่อมาดนิ่งจากคณะแพทย์ ภูผาเจ้าชายรวยยิ้มขี้เล่นจากคณะวิศวะ และ ดีออนหนุ่มหัวเทามาดเซอร์ท่าทางสบายๆ จากคณะสถาปัตย์ฯ ยืนเรียงกันอยู่บนเวที เรียกเสียงกรี๊ดเสียดแก้วหูดังอยู่หลายนาที ดีออนล้วงมือลงไปในกล่องเป็นคนแรกแล้วส่งกระดาษคำถามให้พิธีกร

“สำหรับคำถามที่น้องดีออนจับได้นะครับ…หากคุณได้รับตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยในปีนี้ คุณจะใช้ตำแหน่งที่ได้สร้างประโยชน์ให้กับสาธารณชนอย่างไรบ้างครับ” ถามจบพิธีกรหญิงอีกคนก็ส่งไมค์ให้ดีออนรับไปถือ

คำแรกที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากบางเฉียบได้รูปนั่นคือ

“โอ๊ยยากจัง ไม่สิ รุ่นพี่สอนว่าต้องพูดว่าขอบคุณสำหรับคำถามนี่นา…งั้นก็ขอบคุณสำหรับคำถามครับ” ดีออนยิ้มรอเสียงหัวเราะจากด้านล่างเวทีซาลงในหัวพยายามเรียบเรียงคำตอบไปด้วย จำได้ว่าคำถามนี้มีทุกปี แล้วรุ่นพี่ก็เขียนโพยคำตอบให้เขาท่องไว้แล้วด้วย

แต่ชิบหาย…เขาท่องโพยเยอะเกินจนมันตีกันไปหมดแล้วอ่ะ

“ว่ายังไงคะ คำตอบของน้องดีออนคืออะไรเอ่ย”

“ขอแง้มโพยแปบนึงนะครับ” ไม่พูดเปล่าเจ้าตัวล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบกระดาษยับๆ ออกมาไล่สายตามองเร็วๆ แล้วรีบยัดใส่กระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม

“ถ้าผมได้รับตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยในปีนี้หรอครับ ... ผมจะทำประโยชน์ให้สาธารณชนโดยการเอาเงินรางวัลที่ได้จากการประกวดพาเพื่อนทั้งชั้นปีไปเลี้ยงหมูกระทะครับ J”

ทันทีที่ได้เห็นพฤติกรรมและคำตอบของเดือนสถาปัตย์ฯ หลายๆ คนก็เกิดความคิดต่างๆ กันไป

ไอ้ห่านี่หนักกว่าไอ้นิ้วสั้นนิ้วยาวคณะกูอีก ใครเลือกมันมาวะ ปีใหม่คิด

ใครเป็นคนเขียนโพยให้มันวะเนี่ย แน่ใจนะว่านี่โพย คำตอบโคตรติงต๊อง แท็คคิด

น้องมันพูดเชิงการใช้ความหมายแฝงหรือเปล่าวะ ต้องการสื่ออะไรกันแน่นะ คงไม่ได้หมายความตรงตัวจริงๆ ใช่ไหม ทีคิดจนหัวแทบแตก

อ๊ายยยย หนุ่มเซอร์มาดกวน น่าร๊ากกกกก ความคิดของสาวๆ ส่วนใหญ่

ตัดมันออกไปจากสารบบ! ความคิดของคณะกรรมการ



สำหรับคำถามที่ภูผาและไม้จัตวาได้รับก็เป็นคำถามทั่วไปที่มักจะวนถามอยู่แล้วทุกๆ ปี แม้คำตอบของภูผาจะค่อนข้างเป็นไดอะล็อกเดียวกันกับรุ่นพี่ปีก่อนๆ แต่เมื่อเทียบกับดีออนแล้วก็นับว่าดีกว่ามาก เจ้าตัวจึงผ่านเข้ารอบชิงสองคนสุดท้ายอย่างง่ายดาย

บนเวทีเหลือเพียงภูผาในชุดทักซิโด้สีขาวสะอาดตา กับ ไม้จัตวาในชุดสูทแฟชั่นลายทางสีกรมท่า ทั้งสองคนต่างก็ระบายยิ้มบนใบหน้าส่งให้แฟนคลับของตัวเองด้านล่างเวที

ภูผามองตรงไปยังทีที่นั่งอยู่แถวกลางๆ กับเพื่อนๆ และซินเซียร์ จังหวะที่ทีเงยหน้าสายตาของทั้งคู่ก็ประสานกันพอดี ภูผายกมือโบกให้เบาๆ ทีมองซ้ายมองขวาเลิ่กลั่กก่อนจะทำเป็นเสมองไปด้านข้างแทน

พี่ทีคนซึนเอ๊ย!

ภูผาหัวเราะหึๆ ในลำคอก่อนจะจับไม้ที่อยู่ในมือพิธีกรหนุ่มพร้อมกันกับไม้จัตวา เมื่อพิธีกรแบมือออก ไม้ที่อยู่ในมือของไม้จัตวายาวกว่าไม้ของภูผา ดังนั้นไม้จัตวาจึงได้รับสิทธิ์ตอบคำถามก่อน

“เอาล่ะครับ และแล้วก็มาถึงคำถามสุดท้าย คำถามนี้ได้รับการอนุเคราะห์มาจากคุณเตชินทร์ สปอนเซอร์หลักของงานประกวดในครั้งนี้นะครับ ถามว่า…แตกนอก กับ แตกใน อย่างไหนจะอันตรายกว่ากัน”

นี่มันคำถามอะไรวะเนี่ยยย!! คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากวงการต่างๆ หน้าเหวอกันเป็นแถบ ปกติคำถามที่จะใช้ถามในการประกวดต้องผ่านการกลั่นกรองความเหมาะสมจากหลายๆ ฝ่ายเสียก่อนจึงจะนำมาใช้ถามได้ แต่ในกรณีนี้คำถามถูกส่งมาจากสปอนเซอร์ใหญ่โดยตรงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนทำให้ทางผู้จัดงานยากที่จะปฏิเสธคำขอของสปอนเซอร์รายนี้ได้

คำถามแบบนี้ ใครๆ ก็รู้ว่าไม้จัตวาที่เรียนมาทางสายวิทย์สุขภาพย่อมได้เปรียบกว่าอย่างเห็นได้ชัด แถมไม้จัตวายังได้โอกาสตอบเป็นคนแรก หากเขาสามารถตอบได้ครบถ้วนไม่เหลือช่องโหว่ใดๆ ภูผาที่ได้ตอบหลังจากไม้จัตวาย่อมเสียเปรียบอย่างเต็มประตู

หรือว่าสปอนเซอร์รายนี้ต้องการล็อกผลให้ไม้จัตวาเป็นฝ่ายชนะกันนะ? ทีคิด พลันความรู้สึกไม่พอใจก็พวยพุ่งขึ้นมาในอก คำถามนี้มองยังไงก็เป็นคำถามปลายปิดที่เอื้อประโยชน์ให้ไม้จัตวาเต็มๆ ต่อให้ไม้จัตวาจะได้ตอบเป็นคนที่สองก็ย่อมต้องตอบได้ดีกว่าภูผาที่ไม่ได้เรียนมาทางวิทย์สุขภาพแน่อยู่แล้ว ปกติคำถามทุกอย่างในการประกวดจะต้องเป็นคำถามปลายเปิดให้ผู้เข้าประกวดได้แสดงทัศนคติอย่างเต็มที่ ซึ่งคำถามจากสปอนเซอร์รายนี้ทีมองยังไงก็ไม่เห็นทางที่จะให้ตอบอะไรพลิกแพลงแสดงความคิดเห็นได้เลย นี่มันคำถามความรู้เชิงวิชาการชัดๆ!

ไม้จัตวารับไมค์มาไว้ในมือ ยิ้มมุมปากอย่างสุขุมเกินวัย

“ขอบคุณสำหรับคำถามครับ …สำหรับการมีเพศสัมพันธ์นั้นไม่ว่าจะหลั่งนอกช่องคลอด หรือ หลั่งในช่องคลอด ก็ล้วนแต่มีความอันตรายพอๆ กันครับ อันตรายที่เกิดขึ้นนั้นไม่เพียงแต่อาจก่อให้เกิดการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์แล้ว ยังเสี่ยงต่อการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อีกด้วย… หลายๆ คนอาจคิดว่าการหลั่งนอกช่องคลอดหรือที่พูดสั้นๆ ว่า ‘หลั่งนอก’ จะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ นั่นไม่ใช่เรื่องจริงครับ เพราะขณะมีเพศสัมพันธ์น้ำอสุจิจะมีการไหลออกมาตลอดเวลาอสุจิบางส่วนจึงมีโอกาสที่จะเข้าไปปฏิสนธิกับไข่ได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของคุณและคนที่คุณรัก เสียเงินไม่กี่บาทซื้อถุงยางเถอะครับ อย่าให้ความมักง่ายของคุณทำลายอนาคตของผู้หญิงที่คุณรักเลยนะครับ ….ขอบคุณครับ ” ไม้จัตวาเลือกตอบด้วยภาษาพูดที่อธิบายให้เข้าใจง่าย ชัดเจน ตรงประเด็น และทิ้งท้ายด้วยประโยคที่ทำให้ผู้ฟังประทับใจ

เป็นคำตอบที่ชัดและครอบคลุม ไม่มีช่องโหว่ใดๆ เหลือให้ภูผาได้ยกขึ้นมาพูดเสริมทำคะแนนได้เลย…

การประกวดในครั้งนี้เริ่มรู้ผลแพ้ชนะรำไรตั้งแต่ภูผายังไม่อ้าปากตอบคำถามแล้ว…

“งั้นพี่จะขอทวนคำถามให้ฟังอีกรอบนะครับ น้องภูผาคิดว่าระหว่าง แตกนอก กับ แตกใน อย่างไหนจะอันตรายกว่ากันครับ ”

“ขอบคุณสำหรับคำถามครับ…”

ปีใหม่อยากจะปิดหูไม่อยากฟังคำตอบของภูผาอีกต่อไป ผลมันชัดเจนอยู่แล้วว่าตอบยังไงก็สู้ไม้จัตวาที่ตอบดักทุกทางไว้หมดไม่ได้ ไม่รู้ทำไมจู่ๆ เขาก็รู้สึกสงสารรุ่นน้องขึ้นมา และคาดว่าคงไม่ใช่แค่ปีใหม่ แต่ชาววิศวะทุกคนก็คงคิดแบบเดียวกัน







“……ผมคิดว่าแตกนอก…” ”





#เกียร์คู่

หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 43 แตกนอกหรือแตกใน? [22/7/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-07-2018 21:09:22
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 43 แตกนอกหรือแตกใน? [22/7/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 23-07-2018 03:23:06
ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง อย่างแรงงงงงงงงงงงงงงง  :ling1:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 43 แตกนอกหรือแตกใน? [22/7/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 23-07-2018 07:13:18
คำตอบต้องวกไปหทีแน่ๆเราเชื่อใจนาย
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 43 แตกนอกหรือแตกใน? [22/7/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 23-07-2018 07:40:12
 :m28:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 43 แตกนอกหรือแตกใน? [22/7/61]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 23-07-2018 09:42:26
ลุ้นคำตอบ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 43 แตกนอกหรือแตกใน? [22/7/61]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 23-07-2018 09:58:08
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 43 แตกนอกหรือแตกใน? [22/7/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 23-07-2018 15:06:39
ลุ้นๆๆๆๆ............... :z3: :z3: :z3:
ค้างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง   :ling1: :ling1: :ling1:
ที สงสารภูผา ฮืออออ   :hao5:

แฝด ที   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 43 แตกนอกหรือแตกใน? [22/7/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 24-07-2018 00:05:32
ยังไงจ๊ะหนู~ :hao4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 43 แตกนอกหรือแตกใน? [22/7/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 24-07-2018 00:47:24
พี่ทีใจดีมากนะ ถึงปากจะบ่นไปขนาดนั้น แต่การกระทำก็ใจดีกับน้องมาก
คนที่ใจร้ายจริงๆ เค้าไม่มานั่งโทษตัวเองว่าทำไม่ดีหรอก ไม่มามัวใส่ใจใครหรอก
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 43 แตกนอกหรือแตกใน? [22/7/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 25-07-2018 01:28:06
พ่อแม่ก็คือพ่อแม่ ต้องรู้อยู่แล้วว่าลูกเป็นคนยังไงนิสัยยังไง หลอกพ่อแม่มันยากนะที
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 43 แตกนอกหรือแตกใน? [22/7/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 25-07-2018 03:03:30
แฝดคิดว่า ทำอย่างนี้พี่ทีจะหลงกลหลวมตัวให้ใช่มั้ย แต่เราว่า อย่างทีไม่น่าหลงกลแฝดง่ายๆแน่
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 44 The final answer [8/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 08-10-2018 16:32:59


                                                              ตอนที่ 44 the final answer




“ขอบคุณสำหรับคำถามครับ…ผมคิดว่าแตกนอก…” เสียงภูผาหยุดไปครู่หนึ่งเหมือนเจ้าตัวพยายามจะเรียบเรียงคำพูดก่อนตอบ

ฟ้าครามและยูโรยืนลุ้นกับการตอบคำถามของภูผาอยู่ข้างเวทีด้านหลังม่าน คำถามที่ได้รับและคำตอบของไม้จัตวาเดือนคณะแพทย์ดูเหมือนจะเป็นการปิดฉากการประกวดในค่ำคืนนี้แล้วในสายตาของคนอื่นๆ คำถามนี้อาจจะฟังดูเป็นคำถามปลายปิดไม่มีคำตอบอื่นที่เหมาะสมไปกว่าคำตอบของเดือนคณะแพทย์อีกแล้ว แต่สำหรับฟ้าคราม เขากลับคิดว่ามันเป็นคำถามที่ซ่อนปลายเปิดเอาไว้แต่หลายคนมองไม่เห็นกันมากกว่า และคำตอบที่ดูเหมือนเพอร์เฟ็คของไม้จัตวาก็เป็นคำตอบที่แคบและมีแต่ช่องโหว่เต็มไปหมด!!

“…หรือแตกใน ก็อันตรายด้วยกันทั้งคู่ครับ”

“ก่อนอื่นผมจะขอตีความคำว่า’ แตก’ ก่อน… แตก หมายถึง แยกออกจากส่วนรวม ควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ หรือการมีรอยแยก …คำถามที่ว่าแตกนอกหรือแตกในอย่างไหนจะอันตรายมากกว่ากันผมขอตีความออกมาเป็นในแต่ละบริบทให้ทุกคนฟังนะครับ”

“เนื่องจากตัวผมเองมาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์จึงขอเริ่มตีความในบริบทที่ใกล้ตัวผมที่สุดก่อน …ผมจะขอยกตัวอย่างง่ายๆ ให้เห็นภาพนะครับ อย่างแรกคือ บ้าน ที่พวกเราทุกคนอยู่อาศัยกัน ใครๆ ก็ต้องการจะอยู่ในบ้านที่ดีและแข็งแรง ไม่พังทลายลงมาง่ายๆ ใช่ไหมล่ะครับ รอยร้าวที่เกิดขึ้นกับตัวบ้านทั้งที่แตกร้าวออกมาให้เห็นภายนอก หรือแตกกร่อนผุพังซ่อนอยู่ภายในก็ถือเป็นสัญญาณไม่ดีด้วยกันทั้งคู่ เครื่องจักรที่เต็มไปด้วยกลไกซับซ้อนต่างๆ นานาหากเกิดความเสียหายไม่ว่าจะเสียหายจากภายนอกหรือเสียหายจากภายในเช่นฟันเฟืองแตก สายไฟขาด ก็อาจส่งผลให้ไลน์การผลิตต้องหยุดชะงักหรือเลวร้ายที่สุดก็อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนได้ ดังนั้นไม่ว่าจะแตกนอกหรือแตกในก็อันตรายพอกันครับ”

“แตก ในบริบทของความสัมพันธ์…สิ่งที่จะจบความสัมพันธ์ของคู่รักคู่หนึ่งได้มีอยู่สองประการ ประการแรกคือการแตกใน..คือปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างคนสองคน ไม่ว่าจะเป็นการเข้ากันไม่ได้ การไม่เข้าใจกัน ความไม่เชื่อใจ ฯลฯ ประการที่สองคือแตกนอก ความสัมพันธ์ร้าวฉานอันเกิดจากอิทธิพลของสิ่งภายนอกไม่ว่าจะเป็นมือที่สาม การกีดกันจากผู้อื่น ฐานะทางสังคมที่แตกต่าง …ดังนั้นในด้านความสัมพันธ์ไม่ว่าจะแตกนอกหรือแตกในก็นำไปสู่บทสรุปที่น่าเศร้าพอกันครับ”

“คำว่าแตกในบริบทของความสัมพันธ์ไม่ได้มีแค่เกี่ยวกับคนรักเท่านั้นนะครับ มันสามารถขยายความไปได้ถึงเรื่องความสามัคคีกันของคนในครอบครัว ความสามัคคีกันในหมู่เพื่อน ความสามัคคีกันของคนในสังคม รวมไปถึงความสามัคคีกันของคนในชาติด้วย…จากบทเรียนในอดีตจะเห็นได้ว่าสาเหตุหลักของการเสียกรุงศรีอยุธยาถึงสองครั้งสองครานั้นล้วนมาจากการแตกความสามัคคีของคนในชาติทั้งสิ้น ทำให้พม่ายกทัพมาตีเราได้อย่างง่ายดาย การที่เราแตกหักกับภายนอกอย่างพม่าและแตกคอกันเองในชาติล้วนแล้วแต่นำมาซึ่งสงครามและความสูญเสียที่ไม่ว่าผู้แพ้หรือผู้ชนะก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน”

“หากจะกล่าวถึงในบริบททางการแพทย์ ผมคิดว่าคุณไม้จัตวาก็ได้ให้ข้อมูลไว้ชัดเจนครบถ้วนดีจนผมไม่มีอะไรจะเสริมแล้วครับ ผมเองก็มีความเห็นเช่นเดียวกับเขาทุกประการ …”

ภูผามองไปยังกลุ่มของทีอีกครั้ง ทุกๆ คนต่างก็มองมาที่เขายกเว้นทีที่นั่งก้มหน้า แต่เขามั่นใจว่าพี่ทีจะต้องฟังอยู่ทุกคำ

“คำว่าแตกนอกกับแตกในนั้นตีความได้มากมายหลายบริบท เช่นเดียวกัน..สิ่งสุดท้ายที่ผมอยากจะฝากก็คือในโลกนี้ไม่มีอะไรถูกอะไรผิดหรอกครับ ทุกสิ่งมันขึ้นอยู่กับการตีความของคนทั้งนั้น อย่าเชื่อตามกันด้วยการตีความของคนส่วนใหญ่ ขอให้ทุกคนมั่นใจในการตีความบนพื้นฐานที่ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนของตัวเองเถอะครับ …ขอบคุณครับ”

ทั่วทั้งสนามเต็มไปด้วยความเงียบเพียงชั่วครู่ ก่อนเสียงปรบมือจะดังขึ้นอย่างถล่มทลาย คณะกรรมการและผู้ชมทุกคนต่างยืนขึ้นปรบมือให้กับการตอบคำถามที่น่าทึ่งของภูผา คำตอบที่ตีความได้อย่างลึกซึ้งครอบคลุมทุกบริบทแถมยังดึงคำตอบของคู่แข่งมาเสริมคำตอบตัวเองให้สมบูรณ์ของภูผาทำให้เตชินทร์และเลขาถึงกับอึ้ง เพราะไม่คิดว่าภูผาจะตอบคำถามสองแง่สองง่ามที่ส่งไปแกล้งเล่นๆ ได้อย่างแยบคายมีไหวพริบขนาดนี้ แต่เมื่อเตชินทร์ลองมาคิดดูดีๆ แล้วคำถามที่ส่งไปอาจจะดูเอื้อประโยชน์ให้ไม้จัตวาแต่ความจริงกลับเอื้อประโยชน์ให้ภูผามากกว่าซะงั้น!

ด้วยคำถามที่ฟังดูเหมือนเป็นคำถามปลายปิดที่น่าจะมีเพียงคำตอบเดียว บวกกับการที่ไม้จัตวาเป็นคนที่มาจากสายการแพทย์ คำถามนี้เหมือนเป็นการชี้นำไปในตัวอยู่แล้วว่าไม้จัตวาควรจะต้องตอบแบบใด นอกจากนี้การที่ได้ตอบเป็นคนแรกทำให้เดือนคณะแพทย์ไม่มีเวลาที่จะคิดไตร่ตรองนานนัก ทำให้คำตอบออกมาเป็นอย่างที่เห็น กลับกลายเป็นว่าการที่ภูผาได้ตอบเป็นคนที่สองกลับได้เปรียบกว่าเพราะคำตอบของไม้จัตวาที่ดูเพอร์เฟ็คไร้ช่องว่างนั้นบีบให้ภูผาต้องเลี่ยงไปตอบอย่างอื่นเพื่อไม่ให้ซ้ำกัน และการที่ได้ตอบเป็นคนที่สองก็ทำให้ภูผามีเวลาคิดหาคำตอบนานกว่าไม้จัตวาด้วย

หากเป็นคำถามอื่นที่ฟังดูรู้ว่าเป็นปลายเปิดชัดเจนแต่แรกล่ะก็ ไม้จัตวาอาจจะตอบได้ดีกว่าภูผาก็ได้ แต่เพราะความที่เรียนมาทางสายการแพทย์จึงทำให้ไม้จัตวาถูกชี้นำจากคำถามของเตชินทร์ได้ง่ายดายกว่าภูผาที่ไม่ได้เรียนสายนั้น แถมภูผายังนำเรื่องการแตกนอกแตกในที่มองยังไงก็น่าจะเกี่ยวข้องกับสายการแพทย์มากกว่า มาโยงเข้ากับสายวิศวะที่ตนเองเรียนอยู่ได้อย่างแนบเนียน

คำถามที่ดูเหมือนเอื้อให้คนหนึ่งชนะเลยกลับกลายเป็นคำถามที่เปลี่ยนผู้ชนะเป็นอีกคนที่ใครๆ ต่างก็คาดไม่ถึง

ภูผา…จารุวัฒน์ วรกิชเดชสกุล จากคณะวิศวกรรมศาสตร์จึงกลายเป็นผู้คว้าตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยในปีนี้ไปครองด้วยคะแนนทิ้งห่างคู่แข่งไปอย่างไม่เห็นฝุ่น ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังไม่หยุดเป็นระยะเวลานาน…..







“เฮ้ย! ไอ้ขวดๆ ”

“ว่าไงแฝดนรกเพื่อนรัก”

“มึงช่วยถ่ายรูปพวกกูให้หน่อยดิ” ภูผายื่นมือถือของตัวเองให้กับหนุ่มหน้ามึน

“ก่อนขึ้นเวทีพวกมึงก็เซลฟี่กันไปเป็นล้านรูปแล้วไม่ใช่หรอวะ” ยูโรทำหน้าเอือมแต่ก็รับมาถือไว้แต่โดยดี

“อ่ะ จะถ่ายล่ะนะ”

“เดี๋ยวๆ ๆ มึงเล็งให้พี่ทีอยู่ตรงกลางหัวใจนะ โอเคป่ะ” พูดจบสองแฝดก็ทำแขนเป็นรูปหัวใจคนละครึ่งดวงจนได้รูปหัวใจใหญ่ๆ ตรงกลางระหว่างสองคนนั้น ไกลออกไปทีกำลังช่วยพวกสภานิสิตเก็บงานอยู่

ยูโรลดมือถือลง

“ทำไมพวกมึงไม่เข้าไปขอถ่ายด้วยดีๆ ล่ะ พี่ทีคงไม่ว่าหรอก แถมพวกมึงประกวดชนะอีกต่างหากยังไงพี่เค้าก็ต้องยอมถ่ายด้วยอยู่แล้ว มาทำแบบนี้กูดูแล้วน่าสงสารชิบหาย”

“เออน่ะ! ความสุขเล็กๆ ของพวกกู ถ่ายไปอย่าบ่น”

“ขยับแขนสูงขึ้นอีกหน่อย ซ้าย…ขยับขวาอีกนิดดด เห้ยๆ ๆ ซ้ายๆ ๆ ”

“โว้ยยยย! จะซ้ายจะขวาวะเอาให้แน่ดิ๊!”

“ก็พี่ทีแกเดินไปเดินมาอ่ะ!” ยูโรบ่น

“เออๆ ๆ ได้ยังเนี่ย เล็งให้พี่ทีอยู่ตรงกลางนะเว้ย ตรงกลาง”

“ได้แล้วๆ อยู่นิ่งๆ นะโว้ย เอ้ายิ้มมม” สองแฝดฉีกยิ้มกว้าง



แชะ







แม้ว่าการประกวดดาวเดือนจะสิ้นสุดลงไปแล้วแต่กระแสของภูผากับฟ้าครามกลับยังคงพุ่งขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ ยอดวิวงานประกวดในยูทูปพุ่งสูงเกือบเหยียบสามแสนวิวในคืนเดียวมากกว่ายอดวิวของงานประกวดในปีที่แล้วเสียอีก ไม่ว่าจะในเฟซบุ๊คหรือทวิตเตอร์ก็ได้รับการกล่าวถึงมากเป็นประวัติการณ์ เรียกได้ว่าตอนนี้ทุกคนในมหาวิทยาลัยไม่มีใครไม่รู้จักคู่แฝดเนื้อหอมภูผาและฟ้าครามจากคณะวิศวกรรมศาสตร์อย่างแน่นอน

รางวัลของผู้ชนะการประกวดนั้นได้รับการสนับสนุนจากสปอนเซอร์รายน้อยรายใหญ่มากมาย หนึ่งในนั้นคือการได้ถ่ายขึ้นปกนิตยสารวัยรุ่นชื่อดังอย่าง THE U ซึ่งด้วยความที่ภูผามีฝาแฝดคือฟ้าครามที่หน้าเหมือนกันราวกับแกะ ทางนิตยสารจึงให้ทั้งคู่ขึ้นปกพร้อมกันเป็นกรณีพิเศษ

หลังการวางแผงของนิตยสารเพียงไม่นานก็ปรากฏว่ายอดขายทะลุเป้า ขายหมดทุกแผงตั้งแต่สามวันแรกที่ออกจำหน่ายจนทำให้ทางโรงพิมพ์ต้องเร่งพิมพ์ซ้ำ ภูผาและฟ้าครามเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ หลังจากงานถ่ายปกนิตยสารก็เริ่มมีงานอื่นงอกตามขึ้นมาราวกับดอกเห็ดหน้าฝน ตั้งแต่งานเดินแบบให้นิสิตสาขาการออกแบบ งานเดินแบบของห้องเสื้อ t (wo) winTown ที่เน้นการผลิตเสื้อผ้าที่ออกแบบเป็นคู่ ไปจนถึงหนังสั้นธีสิสของนิสิตปอโทสาขากำกับภาพยนตร์ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองตั้งแต่ยังไม่ปล่อยทีเซอร์ออกมาด้วยซ้ำ เพียงแค่รู้ว่านักแสดงคือใครทุกคนต่างก็ตั้งตารอดูแล้วว่าการก้าวเดินไปสู่สาขาการแสดงของภูผาและฟ้าครามจะประสบความสำเร็จเหมือนการเดินแบบและถ่ายภาพนิ่งหรือไม่



อันที่จริงตอนเด็กๆ ภูผากับฟ้าครามก็เคยมีคนมาทาบทามให้ไปออกรายการเกมโชว์สำหรับเด็กทางโทรทัศน์เหมือนกันแต่ดันซนเกินจนทางรายการดูแลไม่ไหวจึงอดออกทีวีไปอย่างน่าเสียดาย นอกจากนี้ตอนพ่อแม่พาไปเดินห้างผู้จัดการก็เคยมาทาบทามให้ครอบครัวเขาถ่ายแบบลงโบรชัวร์โฆษณาสินค้าให้อีกด้วยแต่ก็ถูกคุณสินธุ์ปฏิเสธไปเพราะคุณสินธุ์เป็นถึงเจ้าของบริษัทนำเข้าเครื่องจักรอุตสาหกรรมจะให้ไปถ่ายแบบลงโบรชัวร์ห้างกับครอบครัวคงจะดูไม่เหมาะสักเท่าไหร่

ในตอนแรกภูผากับฟ้าครามคิดว่าการถ่ายแบบขึ้นปกนั้นแปลกใหม่ดีไม่เคยลอง อีกทั้งพอปรึกษาพ่อแม่แล้วก็ไม่ได้ถูกห้ามอะไร ทั้งคู่จึงตอบตกลงรับคำเชิญจากทางนิตยสารเพราะคิดอยากหาอะไรทำแก้เซ็งอยู่พอดี

แทบจะเป็นไม่กี่ครั้งในชีวิตที่ภูผากับฟ้าครามได้รับคำชมว่ามีพรสวรรค์ ตากล้องถึงกับเอ่ยชมไม่หยุดปากว่าทั้งคู่โพสต์ท่าออกมาได้เป็นธรรมชาติและลื่นไหลจนถ้าไม่บอกว่าเป็นมือใหม่คงต้องเผลอคิดว่าเป็นนายแบบอาชีพที่ผ่านงานมาอย่างโชกโชนแน่ๆ ตอนแรกภูผากับฟ้าครามคิดว่าตากล้องแค่แกล้งชมเพื่อให้พวกเขาพอใจจึงเพียงแค่ยิ้มรับแล้วบอกว่าตัวเองยังเป็นแค่มือใหม่เท่านั้น ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีเจตนาจะถ่อมตัวเพราะฟ้าครามพูดตามความเป็นจริง แต่ทีมงานกลับมองว่าพวกเขานอกจากจะหน้าตาดีมีความสามารถแล้วยังอ่อนน้อมถ่อมตนทำให้ภูผาและฟ้าครามได้รับความเอ็นดูจากทุกคนเป็นอย่างมาก

หน้าตาดี มีความสามารถ เต็มไปด้วยพรสวรรค์ แต่ก็ยังอ่อนน้อมถ่อมตน

เป็นคำชมที่ภูผากับฟ้าครามไม่เคยได้รับมาก่อนในชีวิต (ยกเว้นคำแรก) เป็นครั้งแรกที่พวกเขาทำอะไรออกมาได้อย่างง่ายดาย สนุก ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แถมสิ่งที่ออกมายังเป็นที่พอใจของทุกๆ คนจนได้รับคำชื่นชม…ได้ค่าตอบแทนจากความสามารถ…เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หาเงินได้ด้วยตัวเอง…เป็นความรู้สึกที่น่าภาคภูมิใจโคตรๆ



(บทฟ้าคราม)

จำได้ว่างานถ่ายแบบกับ THE U พวกเขาสองคนได้ค่าขนมมาคนละหมื่น ก็เลยเอาไปอวดพี่ทีว่าจะเอาไปซื้อรองเท้าใหม่ เลยเจอเบิ้ดกะโหลกกันไปคนละทีแถมโดนบ่นยาวเหยียดเรื่องใช้เงินสิ้นเปลืองไม่รู้จักคิด จากนั้นพี่ทีก็สอนพวกเราเรื่องการวางแผนการใช้เงินอย่างละเอียดยิ่งกว่านักเศรษฐศาสตร์มาเอง พี่ทีบอกว่าพวกผมต้องรู้จักการบริหารเงินให้ดีกว่านี้ไม่อย่างนั้นแก่ตัวไปไม่มีเงินเก็บแล้วจะลำบาก อันที่จริงเรื่องการบริหารเงินเนี่ยพวกเขาก็เรียนมาตั้งแต่ประถมยันมอปลายแล้วนั่นแหละแต่ก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องจำเป็นต้องมานั่งวางแผนให้ปวดหัวเพราะพวกผมไม่เคยรู้จักคำว่าเงินทองขาดมือจนกระทั่งไปถังแตกตอนลงใต้นั่นแหละถึงได้พอจะรู้รสชาติของคำว่าไม่มีตังค์ดูบ้าง

เงินหนึ่งหมื่นที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองสอนอะไรให้พวกเรามากกว่าที่คิด อย่างแรกคือถ้าพี่ทีไม่เบรกเอาไว้มันก็คงหายไปในพริบตากลายเป็นรองเท้าคู่ที่ร้อยสามสิบแปดในตู้ที่ไม่รู้ว่าจะได้ใส่สักกี่ครั้งของผมไปแล้ว พอมาคิดดูมันก็น่าตกใจเหมือนกันนะ เงินเป็นหมื่นจะหายไปในชั่วพริบตาเพียงเพราะความอยากได้อยากมีเพียงเสี้ยววินาทีของผม ที่พี่ทีพูดมามันก็ถูก เท้าผมก็มีอยู่แค่คู่เดียวจะซื้อรองเท้าไปทำไมนักหนาเป็นร้อยๆ คู่ เด็กบนดอยบางคนไม่มีแม้แต่รองเท้าจะใส่ด้วยซ้ำ ฟังแล้วก็รู้สึกสงสารผมจึงแบ่งเงินหนึ่งพันโอนบริจาคเข้ามูลนิธิเพื่อเด็กชาวเขาในถิ่นทุรกันดาร

นอกจากนี้มันยังทำให้ผมรู้สึกละอายใจอย่างประหลาดที่คิดถึงแต่ตัวเอง ได้เงินมาก็คิดแต่ว่าจะเอาไปซื้ออะไรเพื่อปรนเปรอความต้องการของตน ไม่เคยคิดว่าจะแบ่งไปให้พ่อแม่เลยสักนิด คือผมไม่ได้ไม่อยากให้เงินพ่อแม่นะ แต่มันลืมคิดไปจริงๆ อาจจะเพราะพ่อแม่ผมท่านก็มีเงินอยู่แล้วพวกเราก็เลยไม่ทันนึกถึง แต่พี่ทีบอกว่าต่อให้พ่อแม่จะรวยอยู่แล้วก็ควรต้องให้ไม่ว่าท่านจะอยากได้หรือไม่ก็ตาม พี่ทีบอกให้ผมลองสมมติว่าตัวเองเป็นพ่อแม่ดู ว่าถ้าลูกเอาเงินที่หาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองมาให้พวกเรารู้สึกอย่างไร…ก็ต้องดีใจและภาคภูมิใจในตัวลูกมากๆ อยู่แล้วสิที่ลูกเราหาเลี้ยงตัวเองได้ ลูกเรามีความสามารถ อีกอย่างพอมาคิดดูแล้วเงินที่พ่อแม่ให้ผมมาจนถึงตอนนี้ถ้าคิดรวมๆ แล้วก็หลายล้าน เงินแค่หมื่นเดียวของผมมันเทียบไม่ได้เลยจริงๆ

จากการได้พูดคุยกันในวันนั้นทำให้ผมยิ่งได้เห็นว่าพี่ทีเป็นคนที่มีความคิดละเอียดอ่อนแค่ไหน บางอย่างที่พวกผมคิดไม่ถึงเเต่พี่ทีกลับคิดได้ บางอย่างที่พวกผมคิดว่าวัยรุ่นทั่วไปไม่น่าจะคิดพี่ทีแกก็คิด เป็นคนที่แคร์ความรู้สึกคนอื่นมากกว่าที่แสดงออกภายนอกมากๆ ๆ ถึงมากที่สุด เผื่อแผ่ตั้งแต่คนใกล้ไปจนถึงคนไกล ในโลกใบนี้จะมีวัยรุ่นแบบพี่ทีสักกี่คนนะ ใครได้เป็นลูกนี่โคตรโชคดี แต่ถ้าได้มาเป็นคู่ชีวิตก็จะยิ่งโชคดียิ่งกว่า…

เงินห้าพันถูกนำไปให้พ่อกับแม่ในเย็นวันศุกร์ที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า พ่อกับแม่ดูดีใจมาก โดยเฉพาะแม่ที่ถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ พ่อแม่ดูจะภูมิใจในตัวพวกผมเอามากๆ แล้วก็ดูจะคาดไม่ถึงว่าพวกผมจะเอาเงินมามอบให้ด้วยถึงได้ทำหน้าตกอกตกใจกันขนาดนั้น ท่านรับเงินไปจากนั้นก็ให้คืนแล้วบอกว่าให้พวกผมเก็บเอาไว้เป็นขวัญถุง แต่พวกเรายืนยันที่จะไม่รับคืน แม่ก็เลยบอกกับพวกเรายิ้มๆ ว่าจะเอาไปต่อบุญให้พวกผม

ผมรู้สึกพูดไม่ออก เหมือนจะรู้สึกร้อนๆ ที่ขอบตา พ่อกับแม่รักพวกเรามากนั่นเป็นสิ่งที่พวกเรารู้ แต่วันนี้ความจริงนั้นยิ่งปรากฏให้เห็นเด่นชัด แม้แต่เงินที่รับไปก็ไม่คิดจะเอาไปใช้เพื่อตัวเอง แต่เอาไปใช้เพื่อเรา ทำบุญให้เรา ทุกๆ อย่างคิดและทำเพื่อลูกก่อนเสมอในขณะที่พวกผมมักคิดถึงแต่ตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ แต่นอกเหนือจากความรู้สึกนั้นก็คือมีความสุข ดีใจที่ทำให้คนที่รักเรามีรอยยิ้มหลังจากที่พวกผมชอบทำให้พ่อแม่กลุ้มใจตลอดมา บรรยากาศกำลังซึ้งได้ที่อยู่แล้วเชียวถ้าพี่เฟิร์สที่นั่งมองเงียบๆ มานานไม่พูดขึ้นมาว่า

“ให้แต่พ่อกับแม่ แล้วส่วนของพี่ล่ะ กูก็เปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่สองของพวกมึงนะ จ่ายมาซะดีๆ ” พูดพลางกระดิกนิ้วดิ๊กๆ ท่าทางอย่างกับเจ้าของตลาดทวงค่าแผงกับแม่ค้าไม่มีผิด

ผมกับไอ้ภูมองหน้ากันแล้วกลอกตามองบน ควักกระเป๋าตังค์ออกมาควานหาเหรียญห้าสิบสตางค์ที่ชอบได้ทอนมาจากร้านสะดวกซื้อ

“อะไรเนี่ย ห้าสิบตังค์!? ไม่ยุติธรรม! ทำไมพ่อแม่ได้ตั้งห้าพันอ่ะ”

ผมกับไอ้ภูพร้อมใจกันเอานิ้วก้อยแคะหู ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงนกเสียงกา

“น้องมันคงเห็นแกดูไม่เต็มบาทน่ะสิไอ้เฟิร์ส มันเลยเติมให้อีกห้าสิบสตางค์ เผื่อจะได้เต็มบาทสักทีไง” พ่อพูดหน้าตาย จบประโยคพวกผมกับแม่ก็หัวเราะลั่น

“ครามป่าวว่าพี่เฟิร์สนะ พ่อเป็นคนพูด ฮ่าๆ ๆ ”

“พ่อว่าเฟิร์สไม่เต็มบาทหรอ!!” พี่เฟิร์สโวยวาย

“ก็เออน่ะสิ” จบประโยคของพ่อ ผมกับไอ้ภูก็ลงไปนอนกลิ้งบนพื้นหัวเราะกันจนตัวงอ ก่อนจะต้องรีบผุดลุกขึ้นวิ่งหนีลูกเตะของพี่ชาย

เสียงหัวเราะของพ่อกับแม่ดังไล่หลังมา ผสานกับเสียงหัวเราะของเราที่วิ่งหนีพี่เฟิร์สไปทั่วบ้าน แต่พอหันกลับไปมองกลับเห็นพี่เฟิร์สแกยิ้มมุมปากบางๆ ในแววตาแฝงไปด้วยความเอ็นดู





ครอบครัวนี่…มันดีจังเนอะ



------------------------------------------------------

ขอให้เติบโตและก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างามนะภูผา ฟ้าคราม ...แฟนๆ นักอ่านทุกคน ^^

ยังจำตอนน้องเล่นละครหลอกรุ่นพี่ว่าโดนผีป่าเล่นงานตอนออกค่ายได้มั้ย เล่นใหญ่จนเชื่อไปยันเพื่อนเลยนะ บ่งบอกว่านางทั้งสองมีพรสวรรค์ทางนี้จริงๆ 555 ก็บอกใบ้ไว้ตั้งเเต่เเรกเเล้วเนอะว่าแฝดมีพรสวรรค์ทางนี้ อิอิ

ปล. ปีที่เเล้วสามแฝดไม่ได้ขึ้นปกนิตยสารนะคะเพราะไม้โทปฏิเสธไปค่ะ





#เกียร์คู่

(@candleguard)

หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 44 the final answer [8/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-10-2018 18:33:32
พี่ทีเหมือนเดินผ่านไปผ่านมา บทน้อยนิ  :mew4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 44 the final answer [8/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 08-10-2018 19:23:35
เมื่อไหร่พี่ทีใจยอมคบนะ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 44 the final answer [8/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-10-2018 20:33:31
ดีใจ ไรท์มา   :katai2-1:
กำลังคิดถึงอยู่พอดี  :mew1: :mew1: :mew1:
แม้แต่จะถ่ายรูป ก็ขอให้มีพี่ทีติดในรูป
จะนิดขะหน่อย ไกลๆก็ไม่เป็นไร  ยอมใจเลย    :-[

ภูผา ---- > ที <---- ฟ้าคราม   :กอด1: :กอด1: :กอด1:

       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 44 the final answer [8/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: btoey ที่ 09-10-2018 07:00:52
รอพี่ทีอยู่นะ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 44 the final answer [8/10/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 09-10-2018 17:04:17
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 45 การคบกันที่ไม่ได้คบกัน [2\1\62]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 02-01-2019 23:45:42


                                       ตอนที่ 45 การคบกันที่ไม่ได้คบกัน





วันเวลามักผ่านไปเร็วเสมอ เผลอแป๊บเดียวการสอบปลายภาคเทอมหนึ่งก็ใกล้เข้ามาทุกทีๆ

“ Structure analysis หรอ? ” ผมกวาดตามองเพื่อนในภาคสามคนตรงหน้าที่จู่ๆ ก็เดินเข้ามาขอให้ผมช่วยติววิชา Structure analysis ซึ่งเป็นหนึ่งในวิชาสุดโหดของปีสามให้

“นะๆ ๆ ช่วยพวกกูหน่อยเถอะ คะแนนมิดเทอมพวกกูต่ำกว่ามีนโคตรๆ เลย ขนาดตั้งใจเรียนแล้วก็ยังเรียนไม่รู้เรื่องขืนเป็นอย่างนี้พวกกูติดเอฟแน่ๆ ” ไม่พูดเปล่า มีการยื่นมือถือที่แสดงคะแนนมิดเทอมของตัวเองมาให้ดูเป็นหลักฐานยืนยัน ผมมองตัวเลขในจอแต่ละคนแล้วก็ผงะ เห้ยย! คะแนนเต็มห้าสิบ มีนอยู่ที่35 แต่คะแนนของเจ้าพวกนี้แค่เลขหลักเดียวทั้งนั้นเลยนะ ชิบหายละ จะรอดกันไหมเนี่ย

“แต่กูยังอ่านไม่จบเลยนะ ไม่รู้จะว่างติวให้หรือเปล่า” ผมพูดอย่างลำบากใจ ปกติผมจะอ่านหนังสือสอบจบค่อนข้างเร็ว แต่วิชานี้มันยากจริงๆ อาจารย์ก็สอนไม่ค่อยรู้เรื่อง ชีทที่แจกก็เนื้อหาไม่ครบ ผมเลยเสียเวลามากกว่าปกติเพราะต้องไปหาหนังสือมาอ่านทำความเข้าใจเอาเอง

พอได้ยินอย่างนั้นเพื่อนๆ ก็ทำหน้าเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก ผมอดรู้สึกสงสารไม่ได้ วิชานี้ไม่เปิดซัมเมอร์ซะด้วย ถ้าติดเอฟจะต้องเรียนซ้ำอีกปีอย่างเดียวเท่านั้น

ผมเม้มปาก ก่อนจะถอนหายใจ

“งั้นอาทิตย์หน้านัดมาแล้วกัน แต่ต้องอ่านมาก่อนนะ ให้สอนใหม่หมดคงไม่ไหว”

“เห้ยยย! ขอบใจมากนะเว้ยที! พวกกูไม่ให้มึงเหนื่อยฟรีๆ หรอก ให้ชั่วโมงละพันเลย!” พอผมได้ยินคำนั้น คิ้วมันก็กระตุกทันที

“อย่าตีค่าน้ำใจกูเป็นเงิน” ผมพูดเสียงเรียบใบหน้าไร้รอยยิ้ม พวกมันเหวอกันไปเลย ผมมองนาฬิกาข้อมือเมื่อเห็นว่าได้เวลาที่เจ้าแฝดเลิกเรียนแล้วผมก็เก็บข้าวของลงในกระเป๋า

“เฮ้ยๆ ๆ อย่าเข้าใจผิด พวกกูไม่ได้หมายความอย่างนั้น คือพวกกูเกรงใจที่มารบกวนมึง…ก็เลยอยากจะตอบแทนอะไรบ้าง”

“ก็ได้…งั้นค่าสอนกูคิดชั่วโมงละสิบบาทค่าน้ำ แล้วอย่าให้เห็นว่าซื้อของอะไรแพงๆ มาเซ่นกูนะ ไม่งั้นเลิกติวจริงๆ ด้วย” ผมทำเสียงเข้ม ก่อนจะหันหลังสะพายกระเป๋าเดินออกจากห้องสมุดมา



เหลือเวลาอีกอาทิตย์กว่าๆ ก็จะเข้าสู่สัปดาห์ของการสอบแล้ว ผมนั่งอ่านวิชา Structure analysis ที่เหลือเป็นวิชาสุดท้ายอย่างเคร่งเครียดเพราะเพิ่งจะอ่านจบไปไม่ถึงครึ่งแถมเวลาที่จะได้ทวนก็น้อยลงเพราะต้องแบ่งไปติวให้เพื่อน ผมมองนาฬิกาที่ตอนนี้เข็มสั้นชี้เลขสาม บ่งบอกว่าได้ล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่มาสามชั่วโมงแล้ว

ผมปิดหนังสือลง หลับตาใช้นิ้วคลึงขมับอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะลุกไปนอนบนเตียงแล้วผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว



ความรู้สึกนุ่มๆ หยุ่นๆ แถวปากนี่มันอะไรกันนะ ผมหันหน้าหนี สัมผัสนั้นหายไปครู่หนึ่งก่อนจะมาวนเวียนแถวๆ ซอกคอแทน ผมย่นคอหนีอย่างจั๊กจี้ อะไรวะเนี่ย! น่ารำคาญเป็นบ้าเลย

“ที! ป่านนี้ยังไม่ตื่นอีกหรอลูก!! น้องมารอแล้วนะ” เสียงแหลมๆ ของแม่ปลุกผมให้สะดุ้งตื่น ชิบบบ เมื่อคืนลืมตั้งนาฬิกาปลุก แปดโมงแล้วหรอเนี่ย มีเรียนเก้าโมงซะด้วย!

“แม่ตักข้าวใส่ทับเปอร์แวร์ให้แล้ว เอาไปกินในรถเลยนะลูก รีบอาบน้ำแต่งตัวเร็วเข้า ลูกก็น่าจะรู้ว่าเช้าๆ รถมันติดแค่ไหน”

ผมอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว พอลงมาด้านล่างก็เห็นภูผากับฟ้าครามในชุดนักศึกษาเรียบร้อยกำลังนั่งสไลด์มือถือเล่นโซเชียลกันอยู่ พอเห็นผมก็เก็บมือถือแล้วเดินตามกันไปขึ้นรถที่จอดรออยู่หน้าบ้าน

หลังจากโซ้ยข้าวเสร็จในห้านาทีผมก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านในรถต่อ เหลือบมองผ่านกระจกมองหลังก็เห็นภูผากับฟ้าครามยังคงสไลด์มือถือนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กันอยู่สองคน

ตั้งแต่สองคนนี้เริ่มเป็นที่รู้จักจากงานประกวดดาวเดือน ภูผากับฟ้าครามก็ดูเหมือนจะยิ่งไม่สนใจการเรียนขึ้นเรื่อยๆ วันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาก็ได้ยินว่ารับงานถ่ายแบบอีกแล้วทั้งที่ใกล้จะสอบเข้าไปทุกที

“อ่านจบไปกี่รอบแล้ววะแฝดนั่งเล่นโทรศัพท์เนี่ย” ผมอดที่จะถามแบบแซะๆ ไม่ได้

“ยังไม่ได้อ่านซักวิชาเลยอ่ะ” ฟ้าครามยักไหล่

“ยังไม่อ่านสักวิชา?! อาทิตย์หน้าจะสอบอยู่แล้วนะเว้ยย!” ผมทวนสิ่งที่ฟ้าครามพูดอย่างตกใจ

“ก็มันอ่านไม่รู้เรื่องนี่นา พี่ทีติวให้หน่อยดิ ปกติพี่ทีอ่านของตัวเองจบก่อนเป็นอาทิตย์นี่นา ตอนนี้ก็น่าจะว่างแล้วใช่ป่ะ ติวให้หน่อยนะครับ น้าาาาา”

“พูดจริงน่ะ ยังไม่ได้อ่านจริงๆ หรอ” ผมถามย้ำอย่างเริ่มกังวล นึกเคืองพวกมันที่ไม่รู้จักห่วงตัวเองเลย ทำไมไม่มีความรับผิดชอบเลยวะชีวิตตัวเองแท้ๆ นี่กะจะพึ่งพาแต่ผมไปจนเรียนจบเลยหรือไงทำไมไม่ขวนขวายเอาเองบ้างวะ เพื่อนเก่งๆ ก็มีมากมายไม่ไปขอให้เขาติวให้ล่ะ ทำไมต้องเจาะจงแค่ผมคนเดียวด้วย แล้วไล่ให้พวกมันไปขอคนอื่นติวให้ตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วด้วย สัปดาห์ก่อนสอบแบบนี้ใครจะไปว่างติวให้พวกมันวะ ฮึ่ย! คิดแล้วก็หงุดหงิดตัวเองเว้ย ทำไมกูต้องมาเครียดแทนพวกมันด้วย พวกมันยังห่วงตัวเองไม่เท่าผมห่วงพวกมันเลย ทำไมกูเป็นคนแบบนี้ เบื่อตัวเองโว้ยยยย อยากเอาหัวโขกกำแพงให้นิสัยเปลี่ยนไปเหมือนในหนังจริงๆ เลย!!





(บทภูผา)

ทำยังไงดี อยากยิ้มจังเลยอ่ะ ฮะๆ ๆ

ผมพยายามกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถเมื่อเห็นว่าพี่ทีกำลังเต้นไปตามเกมของพวกผม (อีกแล้ว) ตอนนี้พี่ทีหน้าเครียดมากอ่ะ เครียดกว่าตอนนั่งอ่านหนังสือของตัวเองเมื่อกี้เสียอีก

ความจริงพวกผมอ่านจบทุกวิชาไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วแล้วล่ะครับ เพราะได้บทเรียนจากเมื่อตอนสอบกลางภาคที่มานั่งอ่านเอาโค้งสุดท้ายโคตรทรมานเหมือนตกนรกทั้งเป็น พวกผมเลยเอาใหม่ครับ เรียนเสร็จก็กลับไปทวนที่อาจารย์สอนทุกวัน พอใกล้สอบก็เอามาเปิดผ่านๆ อีกครั้ง ทำโจทย์อีกนิด ก็โอเคแล้ว สัปดาห์นี้ผมกับฟ้าครามก็เลยชิวๆ แค่กลับไปอ่านทวนเรื่อยๆ กันลืมจนกว่าจะถึงวันสอบก็พอแล้ว

คิดไม่ถึงกันล่ะสิว่าพวกผมจะขยันได้ขนาดนี้ ก็นะ…พวกเราขอพ่อกับแม่ว่าถ้าหากเทอมนี้ทำคะแนนได้เกรดสามจุดห้าขึ้นไปต้องยอมให้ผมกับครามกลับไปอยู่คอนโดได้อีกครั้ง พี่เฟิร์สทำหน้าเหมือนได้ยินอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ แม่ทำท่าจะค้านแต่พ่อกลับหัวเราะแล้วบอกว่า

‘เอาสิพ่อให้…ถ้าทำได้ล่ะก็นะ’

เพื่อทวงคืนรังรักของเรากับพี่ที ขยันแค่นี้มันไม่ตายหรอกครับ ถ้าได้กลับไปอยู่คอนโดเมื่อไหร่นะ จะล่อจะหลอกเอาพี่ทีไปกกบ่อยๆ เลยคอยดู ทุกวันนี้เจอพี่ทีแต่ละครั้งไม่เคยอยู่ในที่รโหฐานเลยเพราะฉะนั้นเรื่องที่จะทำรุ่มร่ามกับพี่แกนี่เป็นไปได้ยากมากๆ

คิดดูกว่าจะได้ ‘ จูบ’ ได้ ‘ไซร้’ นี่ก็ต้องผลัดกันดูต้นทางแล้วดูต้นทางอีก กลัวลุงกับป้ามาเห็นเข้าแล้วจะช๊อกเอา555

“นะๆ ติวให้หน่อย ไม่งั้นพวกครามติดเอฟแน่ๆ เลย พี่ทีไม่สงสารพวกเราหรอ งี๊ดๆ ๆ ” เอ๊ะ ไอ้เสียงสุดท้ายนี่มันยังไงอยู่นะ -*-

“ไม่มีเพื่อนเก่งๆ ติวให้ได้บ้างเลยหรอ” พี่ทีเม้มปาก ถ้าพี่ทีทำหน้าอย่างนี้เมื่อไหร่แสดงว่ากำลังคิดหนักอยู่แน่นอน เอาละเว้ยๆ จะตกหลุมพรางหรือไม่

“ไปขอให้เขาติวให้แล้ว แต่ไม่มีใครว่างติวให้เลยอ่ะ” ผมทำเสียงจ๋อยๆ

“ไอ้ไก่อ่ะ มันเคยเรียนปีหนึ่งมาก่อน ไม่ให้มันสอนล่ะ”

“มันบอกว่ามันโอนหน่อยกิตเอา มันลืมไปหมดแล้วอ่ะพี่ที”

“… สอบกี่วิชา”

“เจ็ด …แต่พี่ทีติวแค่แคลหนึ่ง ฟิ แล้วก็แลปฟิก็พอ ที่เหลือพวกภูอ่านเองได้” สามวิชานี้เนื้อหาเยอะสุดแล้ว จะได้ติวนานๆ คริๆ ๆ

“ฮะ! นี่มันวิชาสำคัญทั้งนั้นเลยนะ แล้วยังไม่อ่าน? ภู คราม พี่ว่าเราต้องคุยกันแล้วนะ …เราสองคนจะเอาแต่รอพึ่งพี่แบบนี้ทุกครั้งไม่ได้นะ โตแล้วเข้ามหา’ ลัยแล้วเป็นผู้ใหญ่แล้วต้องรับผิดชอบตัวเองสิ ห่วงอนาคตตัวเองซะบ้างอย่าทำเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องเล่นๆ ได้มั้ย ชีวิตมันไม่ใช่เกมนะเว้ยที่แพ้หรือเลือกทางผิดแล้วมันจะกดปุ่มรีเซตเล่นใหม่ได้อ่ะ ฟังอยู่มั้ยวะ! นี่! ยิ้มอะไร! พี่จะโกรธแล้วนะภูผาฟ้าคราม!”

คนอะไรทำไมบ่นได้น่ารักจัง…ไม่ไหวแล้ว อดยิ้มไม่ได้อ่ะ พี่ทีแม่งเหมือนพวกนางเอกซึนๆ ขี้โวยวายในซีรี่ย์เลย

หลังจากหูชากันไปพักใหญ่ พี่ทีก็กัดฟันพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า

“พรุ่งนี้หลังเลิกเรียนมาติวที่บ้านกู บอกไว้ก่อนนะ คราวหลังถ้าไม่อ่านหนังสือจะไม่ติวให้อีก แล้วก็ต่อไปอย่ามาขอให้ติวฉุกละหุกแบบนี้ด้วย กูไม่ได้ว่างหรือเก่งขนาดที่จะทิ้งหนังสือของตัวเองมาติวให้พวกมึงทุกครั้งนะ!”



(บทที)

ผมเดินถือเอกสารที่เตรียมมาติวเพื่อนๆ ขึ้นไปบนเวที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นกวาดตามองผู้คนกว่าร้อยชีวิตที่นั่งหน้าสลอนอยู่ในห้อง

เรื่องของเรื่องก็คือ หลังจากเพื่อนสามคนนั้นมาขอให้ผมติวให้แล้ว ก็ยังมีเพื่อนคนอื่นๆ มาขอให้ผมช่วยติวให้อีก พอผมบอกว่าติดติวให้คนอื่นแล้วเพื่อนที่มาทีหลังก็เลยมาขอแจมด้วย แล้วไปทำอีท่าไหนไม่รู้ ข่าวที่ว่าผมจะติวให้มันแพร่ไปไวมาก จนในที่สุดก็เป็นอย่างที่เห็น จากตอนแรกที่จะจองห้องติวของห้องสมุดก็เลยต้องทำเรื่องแจ้งคณะเพื่อขอเปิดห้องเลคเชอร์ขนาดสามร้อยที่นั่งแทน

เอาเถอะ ใช่ว่าจะเป็นครั้งแรกเสียเมื่อไหร่ ตอนปีหนึ่งปีสองผมก็เคยเปิดห้องสโลฟติวให้เพื่อนบ้างรุ่นน้องบ้างแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว

ผมเดินไปที่โต๊ะสำหรับผู้บรรยายที่ตอนนี้เต็มไปด้วยขนมนมเนยที่เพื่อนๆ ซื้อมาตั้งไว้ให้เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ แต่พอวางรวมกันแล้วก็เป็นกองขนาดย่อมเลยทีเดียว เคยบอกหลายครั้งแล้วนะว่าไม่ต้อง แต่ก็ไม่มีใครฟังจนผมคร้านจะปราม

ผมหันไปยิ้มให้เพื่อนๆ เล็กน้อย ผงกหัวเป็นเชิงขอบคุณ อุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ เครื่องฉายสไลด์ จอโปรเจ็คเตอร์ถูกเปิดเตรียมเอาไว้พร้อม นั่นทำให้ผมรู้สึกพอใจมากที่เพื่อนๆ เอาใจใส่อำนวยความสะดวกให้

ผมหยิบไมค์ขึ้นมาเปิด

“ทดสอบ 1 2 3 4 โอเค… ก่อนอื่นเผื่อใครยังไม่เคยติวกับเรานะครับ..กติกาของเรามีอยู่สามข้อ ข้อหนึ่ง ห้ามคุยแข่งกับเสียงเรา ข้อสอง ถามเมื่อเราเปิดโอกาสให้ถามโดยยกมือถามทีละคนไม่ต้องแย่งกัน และข้อสุดท้ายสำคัญมาก ห้ามถ่ายคลิปขณะที่เราสอนเพราะสไลด์ที่เอามาฉายไม่ใช่ของเรา ภาพบางภาพมีลิขสิทธิ์ เกิดคลิปหลุดไปเราจะซวยเอา แต่อนุญาตให้อัดเสียงได้ โอเคนะครับ”

เมื่อเห็นเพื่อนๆ พยักหน้าผมก็ยิ้มอย่างพอใจ

“โอเค เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา งั้นเรามาเริ่มติวกันเลย”



กว่าจะติวเสร็จก็กินเวลาหมดไปทั้งบ่าย รวมเวลาที่ใช้ไปก็เกือบสี่ชั่วโมง แสบคอไปหมดเลย วันนี้เหนื่อยมาก ทั้งอธิบาย ทั้งตอบคำถามเพื่อนๆ จนเสียงแหบเสียงแห้ง แต่พอได้รับคำขอบคุณ ได้เห็นรอยยิ้มของเพื่อนๆ ที่ดูเหมือนมีความมั่นใจกันมากขึ้นแล้วก็รู้สึกหายเหนื่อย เป็นปลิดทิ้ง อยากให้การสอบผ่านไปเร็วๆจัง ถ้าหากผลออกมาว่าไม่มีใครต้องซ้ำชั้นเพราะวิชานี้ผมคงดีใจมากๆ เลย





“นี่มันกระเป๋าอะไรเนี่ย?” ผมถามหลังจากเดินลงจากรถแล้วฝาแฝดเดินไปรับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่จากคนขับรถ

“กระเป๋าเสื้อผ้าไง ภูกับครามตัดสินใจแล้วว่าจะมาค้างกับพี่ทีจนกว่าจะสอบเสร็จ” ภูผาหันมาบอกผมตาใส ก่อนที่ฟ้าครามจะลากกระเป๋าใบใหญ่เข้าไปในบ้าน

“เห้ยยยย จะบ้าเรอะะะ ใครบอกให้มาค้างด้วยวะ!? บอกว่าจะติวไม่ได้บอกให้มาค้างซะหน่อย!” ผมโวยวาย

” ไม่รู้ไม่ชี้ๆ ” แล้วภูผาก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้านผมทันที ตอนนี้พ่อกับแม่ยังไม่เลิกงาน ส่วนทามก็เรียนพิเศษอยู่เลยเหลือแค่ผมคนเดียว พอขึ้นมาบนห้องก็เห็นไอ้แฝดกำลังรื้อที่นอนหมอนมุ้งจากห้องเก็บของเอามาปูพื้นกันยกใหญ่

ผมกอดอกมองภาพตรงหน้า ทำไมเหมือนเห็นเดจาวูเลยวะ

“นอนได้หรอ แคบอย่างกับหลืบแบบนี้”

“กว้างจะตายนอนได้ตั้งสองคน”

“พื้นมันแข็งนะ เดี๋ยวก็ปวดหลังหรอก”

“ปูผ้าหลายๆ ชั้นเอาก็ได้ เตรียมมาเพิ่มแล้ว”

“ช่วงนี้อากาศเย็นพี่ไม่เปิดแอร์นอนนะ”

ภูผากับฟ้าครามชะงักไปนิดหนึ่ง จนผมถึงกับต้องแอบกลั้นยิ้ม

“แค่พัดลมก็พอแล้ว ภูกับครามกินอยู่ง่ายจะตาย!”

“เร๊ออออ กล้าพูดนะ”





“หิวน้ำว่ะ เดี๋ยวมานะ” ฟ้าครามลุกขึ้นจากพื้น เสยผมที่ชื้นเหงื่อขึ้นพลางกระพือเสื้อที่สวมอยู่

“เผื่อกูด้วย” ภูผาตะโกนไล่หลัง

ผมนอนอ่านหนังสือฆ่าเวลา

“แล้วมาค้างนี่บอกอาแอ๋มรึยัง”

“แม่ไม่อยู่ ไปกาญฯ กับพี่เฟิร์ส แต่บอกพ่อละว่าจะมาค้างบ้านพี่ทีติวหนังสือ”

เมื่อจัดข้าวของเรียบร้อยแล้วภูผาก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งยื่นให้ผม

“อะไร?” ผมยันตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะรับมาถือไว้อย่างงงๆ พอเปิดดูก็พบว่ามันคือไดอารี่

ไดอารี่…กลายเป็นสิ่งที่ยึดโยงอยู่ในความสัมพันธ์อันซับซ้อนของพวกเราไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

ผมเปิดผ่านๆ ไล่ไปทีละหน้าโดยไม่ได้อ่าน จนกระทั่งเปิดมาถึงปกหลังสุดที่มีเกียร์หนึ่งอันแปะสกอตช์เทปติดเอาไว้

สำหรับเราชาววิศวะ…เกียร์คือหัวใจ… เกียร์อยู่ที่ใคร ก็แสดงว่าใจอยู่ที่คนนั้น

ผมยื่นไดอารี่คืนให้ภูผา

“พี่ทีเก็บไว้เถอะ เหมือนเล่มที่ผ่านๆ มา..”

“อย่างน้อยก็เอาเกียร์คืนไป เรียนวิศวะทั้งทีไม่มีเกียร์ไว้ขอสาว..เสียหน้าตายชัก” ผมพูดกลั้วหัวเราะเงยหน้าขึ้นสบตากับภูผาที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“จนกว่าจะถึงตอนนั้นภูฝากไว้ที่พี่ทีก่อนแล้วกัน…ระหว่างนี้ถ้าจะยืมไปห้อยเล่นภูก็ไม่ว่าหรอกนะ” เจ้าตัวยิ้มกว้างดวงตาโค้งเป็นรูปจันทร์เสี้ยว

จู่ๆ ภาพภูผานอนหนุนตักเอาศีรษะซุกท้องผมในวันนั้นก็แวบเข้ามาในหัว

‘พี่ที…เป็นแฟนกันนะ’

‘ภูรักพี่ที ในฐานะพี่ชายที่แสนดีของพวกเรา…’





เหมือนมีแสงไฟแล่นวาบเข้ามาในหัว





ผมเข้าใจทุกอย่างแล้ว







ภูผากับฟ้าครามยังรักผมอยู่… การที่สองคนนั้นยอมถอยกลับมาเป็นแค่น้องชายคงจะทำไปเพื่อให้ได้กลับมาใกล้ชิดผมอีกครั้งสินะ พอมานึกทบทวนดีๆ ผมถึงได้เอะใจขึ้นมา

ไม่มีน้องชายที่ไหนตื่นแต่เช้าแม้กระทั่งวันที่ตัวเองมีเรียนบ่ายเพื่อจะไปเรียนพร้อมกันกับพี่ชายหรอก (ถึงมีก็คงน้อย ใครมันจะอยากถ่อมาทั้งที่ไม่มีเรียนเช้าบ้างล่ะ จริงมั้ย)

น้องชายที่ไหนเขามาส่งพี่ชายขึ้นเรียนที่คณะทุกวันทั้งที่ตัวเองเรียนตึกเรียนรวมที่ห่างกันคนละโยชน์บ้าง?

น้องชายที่ไหนเขาต้องถ่อมากินข้าวด้วยกันกับพี่ชายทุกๆ พักกลางวันบ้าง?

น้องชายที่ไหนเขายัดเยียดไดอารี่ให้พี่ชายอ่านบ้าง?

น้องชายที่ไหนเขาแอบจูบแอบไซร้คอพี่ชายตัวเองบ้าง?

แล้วน้องชายที่ไหน…เขาเอาเกียร์ให้พี่ชายแทนที่จะเอาไปให้แฟนตัวเองบ้าง?





การกระทำของพวกแฝดที่มีต่อผมมันไม่ต่างจากการปฏิบัติต่อ ‘แฟน’ เลยสักนิด

ใช้คำว่า ‘พี่น้อง’ เพื่อให้ผมสบายใจ ในขณะที่ปฏิบัติต่อกันอย่าง ‘คนรัก’



อืมใช่…แบบนี้มันไม่ต่างจากการคบกันเลย



ร้ายมากนะ ภูผาฟ้าคราม



“แล้วถ้าพี่ไม่คืนล่ะ” ผมยกยิ้มมุมปาก

“ก็ยกให้ไปเลยละกัน”



ได้…ในเมื่อพวกนายตั้งใจจะคบกับพี่โดยไม่ให้พี่รู้ตัว



งั้นพี่ก็จะขอทำตามใจตัวเองสักครั้งก็แล้วกัน





-----------------------------------------------------------

ความสัมพันธ์นี้ช่าง complicate นัก … คบยังไงไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าคบ 555 รับรักยังไงไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่ารับรัก!

รอดูกันว่าพี่ทีจะทำตามหัวใจตัวเองยังไง



#เกียร์คู่

(@

หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 45 การคบกันที่ไม่ได้คบกัน [2\1\62]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 03-01-2019 06:29:24
คิดถึงมากมาย หายไปนานเลยนิ  :จุ๊บๆ:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 45 การคบกันที่ไม่ได้คบกัน [2\1\62]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-01-2019 07:08:14
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๒ ค่ะไรท์
ขอให้ไรท์ แข็งแรง สุขภาพดี ประสบแต่สิ่งดีๆ นะคะ  :mew1:

คิดถึงงงงงงงงงงงงงง  :mew1: :mew1: :mew1:
ดีใจ ไรท์มาต่อ   :katai2-1:

ที ยังเป็นคนดีมีน้ำใจ
เป็นคนเก่งของเพื่อน และของฟ้า ครามเสมอ  :hao3:
แล้วที ก็เข้าใจความรักของแฝด
แล้วก็ทำตามน้ำ ตามใจตัวเองที่ก็ชอบแฝดไปด้วย   :o8: :-[ :impress2:

แฝด ที   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 45 การคบกันที่ไม่ได้คบกัน [2\1\62]
เริ่มหัวข้อโดย: btoey ที่ 03-01-2019 10:33:39
จนได้นะพี่ที
:katai4:
 :pig4: :L1: :pig4: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 45 การคบกันที่ไม่ได้คบกัน [2\1\62]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 07-01-2019 00:19:07
ทีโอเคแล้วใช่ไหม :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 46 เสน่ห์ปลายจวัก [15\3\62]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 15-03-2019 22:56:22














ตอนที่ 46 เสน่ห์ปลายจวัก


โต๊ะกินข้าวบ้านเราวันนี้คึกคักกว่าเดิมเมื่อมีเจ้าแฝดมาร่วมวงด้วย

“ อื้อหืม! ภูกับครามทำเองหมดนี่เลยหรอลูก น่าทานจังเลย ” แม่มองอาหารหน้าตาน่าทานบนโต๊ะอย่างไม่อยากจะเชื่อ ทั้งแกงจืดตำลึงหมูสับ ปลานึ่งมะนาว ไก่ผัดขิง น้ำพริกกับผักลวก ถ้าผมไม่เห็นกับตาก็คงไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าสองคนนั้นมันทำเองจริงๆ ภาพไอ้ครามนั่งพับเพียบตำน้ำพริกยังติดตาผมอยู่เลย นึกถึงทีไรก็อดรู้สึกจั๊กกระเดียมไม่ได้ พวกมันโดนวิญญาณแดจังกึมเข้าสิงรึเปล่าวะเนี่ย ( เอ๊ะ แดจังกึมตำน้ำพริกเป็นด้วยหรอ-_-?)

“ แน่นอน! อร่อยด้วยนะป้าสา ชิมๆๆ ” ไอ้ภูตักปลานึ่งมะนาวใส่จานแม่ผมอย่างเอาอกเอาใจ

“ อร่อยจริงๆด้วย ตายแล้วยัยทาม! พี่ๆเค้าทำอาหารเก่งกว่าลูกอีกแน่ะ อายมั้ยเนี่ยเป็นสาวเป็นนางทำเป็นแต่ไข่เจียว ”

“ แม่อ๊าาาา น้อยใจนะ! ” ยัยทามทำแก้มป่องอย่างงอนๆเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้เป็นอย่างดี แต่ผมรู้ว่าน้องไม่ได้น้อยจงน้อยใจอะไรหรอก เทียบกับผมที่เป็นคนช่างคิดมากแล้วทามนี่แทบจะเป็นขั้วตรงข้ามคือแทบไม่คิดอะไรเลย

“ ไปหัดทำกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ฮึ ลุงจำไม่เห็นได้เลยว่าเราสองคนชอบทำอาหารด้วย ”

“ ตอนแรกก็ไม่ได้ชอบทำหรอกลุงเดช แต่ตั้งแต่ทำไข่พะโล้คราวก่อนออกมาอร่อยครามก็เลยเริ่มสนใจทำอาหารขึ้นมา แล้วพอลองหัดทำอย่างอื่นแล้วมันทำออกมาได้ดีก็เลยเริ่มชอบ ”

“ โอ้โห คนอะไรทั้งหล่อ ทั้งทำอาหารเก่ง นี่ถ้าไม่ได้เป็นญาติกันนะป้าจะยกยัยทามให้ไปเลย ”

“ ขอเปลี่ยนเป็นพี่ทีแทนได้มั้ยอ่ะครับ ”

            ผมสำลักผักลวกจนต้องคว้าแก้วน้ำขึ้นมาดื่มทันที

            พ่อกับแม่หัวเราะประสานเสียงกันดังลั่น พ่อถึงกับเอื้อมมือไปขยี้หัวไอ้ภูอย่างเอ็นดู ส่วนแม่ก็เอื้อมมือไปลูบหลังทามอย่างปลอบใจ

“ ทำไมพี่แฝดไม่เลือกทาม! ”

“ ก็ทามไม่ถอนขนรักแร้นี่นายาวเฟื้อยยังกับเถาวัลย์ ” ฟ้าครามตอบ เท่านั้นแหละน้ำในปากผมก็พุ่งทันที ผมคว้าทิชชูมาปิดปากก่อนจะหัวเราะพร้อมสำลักไปด้วยหน้าดำหน้าแดง

            ยัยทามรีบนั่งหุบแขนหน้าแดงทันที น้องสาวผมอะไรๆก็ดีหมดอยู่หรอก ยกเว้นอย่างเดียวคือมันขี้เกียจถอนขนรักแร้ ชอบปล่อยให้ยาวๆแล้วถอนทีเดียว พอผมกับแม่เตือนมันก็บอกว่าที่โรงเรียนยังมีคนไว้ยาวกว่า พวกผมนี่ถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว วัยรุ่นหญิงสมัยนี้เค้ามีแฟชั่นไว้ขนรักแร้แข่งกันแล้วหรอ

“ พอๆๆ เลิกแซ็วหนูได้แล้ว เดี๋ยวปั๊ดเอาขนรักแร้รัดคอเลย!” เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกระลอกก่อนที่หัวข้อสนทนาจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น

 



            หลังจากกินข้าวเสร็จพวกเราก็นั่งอ่านนั่งติวหนังสือกัน พอห้าทุ่มผมก็ปิดไฟนอนอย่างอ่อนเพลียโดยเปิดพัดลมส่ายไปส่ายมาเผื่อแผ่ให้ภูผากับฟ้าครามที่นอนอยู่ด้านล่างด้วย

            เป็นระยะเวลากว่าครึ่งชั่วโมงที่ผมนอนฟังเสียงผ้าเสียดสีกันจากการพลิกตัวไปมาของสองคนนั้น คนเคยนอนแอร์ทุกวัน ให้มานอนเปิดพัดลมตัวเดียวแถมส่ายไปส่ายมาแบบนี้คงจะทรมานน่าดูสินะ

            ใจนึงก็อยากจะทำเป็นไม่สนใจแล้วหลับๆไปซะ แต่อีกใจก็นึกสงสารขึ้นมาตงิดๆ

            เอาน่ะ ถือว่าตอบแทนสำหรับอาหารอร่อยๆเมื่อตอนเย็นก็แล้วกัน

            ผมขยับตัวลุกขึ้นจากเตียง ภูผากับฟ้าครามหยุดขยับแกล้งทำเป็นหลับทันที คงกลัวจะโดนผมล้อหากถูกจับได้ว่าตัวเองทนนอนพัดลมไม่ได้อย่างที่พูดล่ะสินะ

            แม้จะมืดแต่ผมก็อาศัยความเคยชินเดินไปเปิดแอร์ได้ในที่สุด ยี่สิบห้าองศาก็พอหนาวกว่านี้ผมก็ไม่ไหวเหมือนกัน

            ผมยืนมองภูผากับฟ้าครามที่นอนอยู่บนพื้นข้างเตียงผม แสงจันทร์ที่ส่องลอดผ้าม่านเข้ามาทำให้ผมเห็นใบหน้าสองคนนั้นอย่างเลือนราง แม้จะเห็นได้ไม่ชัดแต่ก็บอกได้เลยว่าหากมองข้ามอคติที่เคยมีแล้วภูผากับฟ้าครามก็เป็นผู้ชายที่หล่อมากๆ หล่อจนน่าสะท้านใจ ชายเสื้อที่เลิกขึ้นเผยให้เห็นหน้าท้องที่มีซิกแพ็คเรียงตัวสวยแม้ตอนนี้จะยังไม่ถึงกับเห็นเป็นลูกๆชัดเจนแต่ผมมันใจว่าอีกไม่นานมันจะขึ้นเป็นลอนสวยแน่นอน ทำไมผมถึงเพิ่งมาสังเกตนะว่าน้องมันมีเสน่ห์มากขนาดนี้ทั้งๆที่คนอื่นรอบตัวผมมองเห็นกันหมด แต่ผมกลับมองไม่เห็น

            บางที…อาจเป็นเพราะสายตาผมสั้นมากก็เลยมองอะไรที่ใกล้ตัวเกินไปไม่เห็นล่ะมั้ง

            พอเว้นระยะห่างจากกันถึงได้ค่อยมามองเห็น …เห็นไปถึงสิ่งที่อยู่ในใจของตัวเองที่ทนปิดกั้นมันมาตลอด

“ ฝันดีนะภูผา ” ริมฝีปากประทับลงบนหน้าผากของคนที่นอนหลับตาพริ้ม

“ ฝันดีครับฟ้าคราม ” อีกหนึ่งจุมพิตมอบให้แฝดผู้น้องเพื่อไม่ให้น้อยหน้ากัน

 





            ภายหลังจากที่ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดและเสียงดึงผ้าห่มของคนบนเตียงครู่หนึ่ง แพขนตาของภูผากับฟ้าครามก็กระตุกเบาๆก่อนจะค่อยๆแอบลืมตาหันไปมองคนบนเตียงที่หลับตาพริ้มหายใจสม่ำเสมอแล้วหันกลับมามองหน้ากัน

            พี่ทีคงคิดว่าพวกเขาหลับไปแล้วสินะถึงได้กล้าจูบกันแบบนี้

            ถ้าจะได้ใกล้ชิด ได้รับจุมพิตแบบนี้จากพี่ที ยอมอยู่ในฐานะ ‘ น้องชาย ’ ก็ไม่เลวร้ายไปเสียทีเดียวแฮะ

            ภูผากับฟ้าครามนอนมองหน้ากันพักใหญ่ ก่อนที่ภูผาจะกระตุกยิ้มมุมปากเยาะเย้ยอย่างผู้ชนะ





‘ เขาจูบกูก่อนว่ะ:p ’







 

.

.

.

         

“ เป็นไง ข้อสอบวันนี้ทำได้มั้ย ” ผมถามเมื่อเปิดประตูเข้าไปนั่งบนรถ

“ สบ๊าย! / ชิวๆ ” สองแฝดพูดพร้อมกัน

“ เออใช่ ลุงยศฮะ เดี๋ยวแวะตลาดแถวบ้านพี่ทีด้วยนะครับ ตรงทางลงสะพานเห็นใช่มั้ยครับ ”

“ ได้ครับ ” คนขับรถสูงวัยตอบรับก่อนจะออกรถ

“ อะไร วันนี้ก็จะทำของกินอีกแล้วหรอ ” ผมอดถามขึ้นมาไม่ได้

“ อื้ม! ภูกับครามมาอยู่บ้านพี่ทีฟรีๆก็อยากจะทำอะไรเป็นการตอบแทนบ้างอ่ะ มารบกวนหลายครั้งแล้ว ” ผมนิ่งไปกับสิ่งที่ได้ยิน ทำไมถึงรู้สึกว่าวันนี้เจ้าแฝดพูดจาน่ารักแบบนี้นะ น่ารักจนเขารู้สึกเอ็นดูขึ้นมาเลย

 “ ปลาจาระเม็ดนึ่งขิงอ่อนเห็ดหอม ไข่เจียวหมูสับ ผัดผักบุ้งไฟแดง ”

“ หา? ”

“ อยากกิน ทำให้กินหน่อย ”

            ผมลอบมองสีหน้าของภูผาฟ้าครามผ่านกระจกมองหลัง สองคนนั้นเลิกคิ้วสูงทำหน้าอย่างประหลาดใจก่อนจะยิ้มกว้าง

“ ตั้งตารอได้เลยพี่ที! ” แค่ผมบอกว่าอยากกินอะไรมันต้องทำหน้าดีใจขนาดนั้นเลยหรอวะ

“ แล้วอย่าใส่อะไรแปลกๆลงไปล่ะ ”

“ ??? ” 

“ อย่างพวก… เสน่ห์ยาแฝด ” 

            เย๊ดดดดดด ! กูพูดอะไรออกไปฟระเนี่ยยยยย!!

            ผมตะครุบปากตัวเองไว้แน่นนึกด่าตัวเองในใจที่พูดเล่นจนเลยเถิดไปเสียแล้ว คาดว่าตอนนี้หน้าผมคงแดงจนไม่รู้จะแดงยังไง โอ๊ย!!เมาข้อสอบหรอวะไอ้ที พูดอะไรออกไปเนี่ย ลุงคนขับรถแกก็อยู่นะเว้ย ไม่อายฟ้าอายดินบ้างเลย

“ อย่างพวกภูไม่ต้องใช้ของแบบนั้นหรอก…”

“ แค่มีเสน่ห์ปลายจวัก … ใครเจอลีลาจ้วง ควัก ตัก ของพวกเราก็ไม่น่ารอดแล้วล่ะครับ ”

“ +///+!! ” ผมหันหน้าหลบลุงยศไปทางกระจกข้างตัว

“ พี่ทีอยากลองดูมั้ย? ”

            ไม่โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!



 

“ เฮ้อออ สอบวันสุดท้ายแล้วโว้ยยย!! ” ไอ้ป๊อกแหกปากขณะที่พวกเรากำลังนั่งอ่านชีตรอเวลาเข้าสอบอยู่ที่ม้านั่งตอนพักกลางวัน

“ เห้ย!ที ถามหน่อยดิ ข้อนี้ไมตอบงี้อ่ะ ” ก้อยยื่นชีตมาตรงหน้าผม

“ อ๋อ ข้อนี้น่ะหรอ…” ผมสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ๆ วันนี้ไม่รู้เป็นอะไรรู้สึกเหมือนหายใจไม่เต็มปอดมาตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าตัวเองหายใจไม่เต็มที่ บางทีผมอาจจะเครียดสะสมไม่รู้ตัวจนมโนไปเองก็ได้

            ขณะที่ผมอธิบายไอ้ก้อย มันก็มองหน้าผมสลับกับชีตในมือไปด้วย สักพักมันก็เอามือมาแตะหน้าผากผม

“ ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา แต่ไมมึงหน้าซีดจังวะที ไหวมั้ยเนี่ย เป็นอะไรหรือเปล่า ” หลังก้อยพูดจบพวกที่เหลือก็เงยหน้าจากชีตขึ้นมามองหน้าผมเป็นตาเดียว

“ เออว่ะ ปากมึงซีดๆนะที อ่านหนังสือหักโหมหรอวะเมื่อคืน ” ไอ้แท็คขมวดคิ้วยื่นหน้าเข้ามาจ้องใกล้ๆ

“ เฮ้ย บ้าน่ะ กูสบายดีไม่ได้หักโหมอะไร … เออจริงสิ  เมื่อคืนเหมือนกูจะถ่ายไปตั้งสามรอบ ” ผมนึกย้อนกลับไปเมื่อวาน หลังกินข้าวเย็นเสร็จผมก็กลับขึ้นห้องมาอ่านหนังสือต่อ สักพักก็รู้สึกเหมือนลำไส้บิดมวนผมถึงกับต้องวิ่งไปเคาะประตูห้องน้ำที่ไอ้แฝดอาบอยู่เพื่อขอเข้าไปขี้ เพราะห้องน้ำอีกห้องแม่อาบอยู่

“ แล้ววันนี้ถ่ายอีกมั้ย? ”

“ เมื่อเช้าสองรอบ ”

“ กูว่ามึงท้องเสียแล้วแหละ ”

“ ก็คงงั้น แต่คิดว่าไม่น่ารุนแรงหรอก ตอนนี้ก็ไม่ได้ปวดอะไรแล้ว ”

“ กูว่าไปขอยาห้องพยาบาลกินหน่อยเหอะว่ะ ” ไอ้แท็คทำหน้าเป็นห่วง

“ เฮ้ย กูโอเคน่า หน้ากูมันก็ซีดๆเหลืองๆแบบนี้อยู่แล้วแหละ ไปๆอีกห้านาทีเข้าห้องสอบแล้วไปรอกันเถอะ ” ผมเก็บชีต ล้วงดินสอยางลบปากกามาใส่กระเป๋าเสื้อก่อนจะลุกขึ้นด้วยความรู้สึกโหวงๆ เหมือนจุดศูนย์ถ่วงในร่างกายมันแกว่งๆ

“ ไหวแน่นะที ” ก้อยแตะแขนผมพลางขมวดคิ้ว

“ ไหวๆ ” ผมพยักหน้ายิ้มๆเพื่อไม่ให้พวกเพื่อนๆเป็นห่วงกันไปมากกว่านี้ ไอ้โซลมองหน้าผมนิ่งๆอย่างพิจารณา ผมเลยยิ้มกว้างๆแล้วทำมือโอเคส่งให้มันไปทีนึงมันถึงได้ยอมละสายตาแล้วเดินนำไปที่ห้องสอบ

 

            ผมนั่งลงบนเก้าอี้นั่งสอบ ตรวจชื่อวิชาว่าถูกต้องไหม ข้อสอบหน้าครบหรือเปล่า เมื่อพบว่าทุกอย่างไม่มีปัญหาผมก็เซ็นชื่อที่ปกข้อสอบและกระดาษคำตอบก่อนจะเริ่มทำ

            ทำไมยิ่งทำยิ่งรู้สึกลอยๆนะ ผมมองนิ้วตัวเองที่กดเครื่องคิดเลขสั่นๆ ผมพยายามยืดหลังให้ตรงสูดหายใจเข้าลึกๆตั้งสติอีกครั้ง แต่เหมือนมันหายใจเข้าได้ไม่สุด ยิ่งพอหายใจออกยิ่งแล้วใหญ่ รู้สึกเหมือนหายใจออกไม่ค่อยได้ ผมกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอก่อนจะบังคับมือที่สั่นเทาและเย็นเฉียบให้เขียนคำตอบลงบนกระดาษ

            เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงยังมีเวลาอีกเหลือเฟือที่จะทำข้อสอบที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง ผมถูมือที่เย็นเฉียบเข้าด้วยกัน ลมหายใจเข้าออกเริ่มถี่สั้นขึ้นทุกที ผมเป็นอะไรไปนะ หรือว่าผมจะเครียดมากเกินไป…ก็ไม่น่าใช่ วิชานี้ไม่ได้ยากเลยแถมอ่านมาจนเป๊ะแล้วด้วย จะเครียดไปทำไมล่ะ

            ผมรวบรวมแรงฮึดเร่งทำข้อสอบแบบไม่คิดชีวิตเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะไม่ไหวแล้ว มือผมเย็นเฉียบ ร่างกายก็หนาวจนสั่นรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว หายใจก็รู้สึกไม่อิ่มเหมือนหายใจแล้วอากาศไม่เข้าปอด ครึ่งชั่วโมงต่อมาผมก็เก็บดินสอปากกาใส่กระเป๋าเสื้อค่อยๆลุกขึ้นจากเก้าอี้ ถือข้อสอบไปส่งให้กรรมการคุมสอบหน้าห้อง

            ขณะที่ผมเดินลงบันไดสโลฟเพื่อนบางคนก็เงยหน้าขึ้นมามองตามปกติเวลามีคนออกจากห้องสอบก่อนตัวเอง ไอ้โซลเป็นหนึ่งในคนที่เงยหน้าขึ้นมามองผม ผมส่งยิ้มให้มันแล้วเดินต่อไป

            อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงโต๊ะกรรมการคุมสอบแล้ว จะได้รีบๆส่งข้อสอบแล้วเรียกแท็กซี่กลับบ้านไปนอนพักเสียที…



            ตุบ!!





“ ไอ้ที!!!!!! ”

 
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 46 เสน่ห์ปลายจวัก[15\3\62]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 15-03-2019 23:55:25
เกิดอะไรขึ้นอ่ะ!!!!
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 46 เสน่ห์ปลายจวัก[15\3\62]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 16-03-2019 01:30:48
อาหาร​เป็นพิษ​
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 46 เสน่ห์ปลายจวัก[15\3\62]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 16-03-2019 02:08:14
เอาแล้ว แฝดลืมล้างมือก่อนทำอาการอ่ะป่าว  :a5:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 46 เสน่ห์ปลายจวัก[15\3\62]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 16-03-2019 04:52:01
อ่าวว พี่ที!
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 46 เสน่ห์ปลายจวัก[15\3\62]
เริ่มหัวข้อโดย: akiko ที่ 16-03-2019 18:02:57
พี่ทีแย่แล้ว แฝดมาด่วนๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 46 เสน่ห์ปลายจวัก[15\3\62]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-03-2019 19:07:53
เพราะปลาจะระเม็ดไม่สดหรือเปล่า  :hao4:
ที เลยท้องเสีย ถ่ายท้องหลายครั้ง  :z3:
ทำให้ร่างกายขาดน้ำแน่เลย    :เฮ้อ:
แฝด ที   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 46 เสน่ห์ปลายจวัก[15\3\62]
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 16-03-2019 21:01:46
น่ารักๆ จิมๆ   
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 46 เสน่ห์ปลายจวัก[15\3\62]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 17-03-2019 19:18:59
ที อย่าพึ่งเป็นไรไปนะ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 47 : มอง...มองเธอมาเเสนนาน[8\6\62]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 08-06-2019 09:59:13
ตอนที่ 47 : มอง...มองเธอมาเเสนนาน



“ ไอ้ที!! ” ไอ้โซลประคองผมไว้ นอกจากนี้ยังมีไอ้แท็ค ไอ้ป๊อก ไอ้ก้อย แล้วก็เพื่อนแถวหน้ามาช่วยดูอย่างตกใจที่จู่ๆผมก็ทรุดลงไปกับพื้นห้อง

“ นักศึกษาทุกคนโปรดอยู่ในความสงบ กลับไปนั่งที่ครับ คนป่วยให้เป็นหน้าที่อาจารย์จัดการเองอย่าเข้ามามุง ” อาจารย์คุมสอบแหวกวงล้อมเพื่อนๆเข้ามาดูผมที่นั่งพิงหลังไอ้โซลอยู่

“ ไหวไหมนิสิต ” อาจารย์นั่งยองๆลงมาถาม

            ผมอยากจะตอบนะ แต่เหนื่อยมากเลย แค่เปล่งเสียงยังลำบากยากเย็น รู้สึกมึนๆลอยๆเหมือนอยู่ในความฝันก้ำกึ่งความจริง ผมส่ายหน้าเบาๆอย่างรู้สภาพตัวเองดี ก่อนจะหลับตาอย่างอ่อนเพลียพลางหายใจทางปากรวยริน

“ โทรเรียกรถพยาบาลทีครับ ”  อาจารย์หนุ่มหันไปบอกเจ้าหน้าที่ช่วยคุมสอบอีกคน

“ ผมขับรถไปส่งจะเร็วกว่ามั้ยครับอาจารย์ ” ไอ้โซลพูดเสียงเครียด

“ พวกคุณกลับไปนั่งสอบครับ เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วเดี๋ยวจะทำไม่ทันนะ ”

“ แต่…”

“ อาจารย์ครับ ผมทำเสร็จแล้วครับ เดี๋ยวผมขับรถให้เอง! ” เสียงหนึ่งดังขึ้น ผมอยากจะลืมตามองว่าตอนนี้สถานการณ์รอบตัวเป็นอย่างไรบ้าง แต่ก็ไม่ไหว ได้แต่กึ่งนั่งกึ่งนอนพิงไอ้โซลเอาไว้ ผมรับรู้สถานการณ์รอบข้างได้เพียงผ่านเสียงและสัมผัสเท่านั้น เหมือนผมจะถูกอุ้มขี่หลังใครสักคน ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายตามทางเดิน ผมซบหน้าลงกับแผ่นหลังของคนคนนั้นแล้วปล่อยให้สติหลุดลอยไป

            กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีผมก็มาถึงโรงพยาบาลมหา’ลัยแล้ว อาจารย์แพทย์เข้ามาตรวจซักประวัติก่อนจะสรุปว่าผมน่าจะอาหารเป็นพิษและอ่อนเพลียจากการเสียน้ำมากเกินไปนอนให้น้ำเกลือสักพักก็จะดีขึ้น

            สัมผัสของปลายเข็มแหลมค่อยๆแทงลงที่หลังมือก่อนจะตามมาด้วยผ้าก๊อตและเทปกาวเพื่อยึดเข็มและสายน้ำเกลือให้อยู่กับที่ อีกมือที่ยังว่างของผมถือก้านสำลีชุบแอมโมเนียอังบริเวณจมูกตัวเอง แม้จะไม่ค่อยชอบกลิ่นของมันแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพอดมแล้วรู้สึกได้สติมากขึ้น

            แอ๊ดดด

            ผมเหลือบตามองคนที่เปิดประตูเข้ามา ไอ้พีทประธานรุ่นปีสามนั่นเองที่เป็นคนช่วยแบกแล้วก็ขับรถพาผมมาส่งโรงพยาบาลแทนพวกไอ้โซลที่ยังทำข้อสอบกันไม่เสร็จ

“ เป็นไงบ้างที ดีขึ้นมั้ย ”

            ผมพยักหน้าพยายามฉีกยิ้มจางๆให้ ไอ้พีทยิ้มตอบก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง

‘ ขอบใจมาก ’ ผมอ้าปากพูดโดยไม่มีเสียง เพราะยังไม่ค่อยมีแรง ไอ้พีทพยักหน้ารับยิ้มๆบอกว่าไม่เป็นไรแล้วหยิบมือถือมานั่งเล่นขณะเฝ้าผมไปพลางๆ ผมเลยหลับตาลงอีกครั้ง

 

( บทพีท )

            ผมนั่งสไลด์โทรศัพท์เล่นแก้ว่างไปเรื่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งคนบนเตียงก็หลับไปซะแล้วล่ะครับ

            ผมวางมือถือลงกับขอบเตียงทอดสายตามองใบหน้าซีดขาวของคนตรงหน้าที่กำลังหลับไหลอย่างสงบ

            ผมเจอทีครั้งแรกตอนเรียนอยู่ม.6 ที่ห้างดังใกล้กับมหาวิทยาลัยของเราตอนนี้ เป็นธรรมดาที่เสาร์อาทิตย์เด็กสมัยนี้จะไปเรียนพิเศษที่กวดวิชากัน ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น อันที่จริงจะจ้างครูมาสอนพิเศษที่บ้านก็ได้แต่ผมชอบออกมาเรียนข้างนอกกับเพื่อนๆมากกว่าเรียนเสร็จจะได้เที่ยวต่อได้เลย

            ขณะที่ผมกับพวกเพื่อนๆกำลังจะเดินออกจากตัวห้างซึ่งมันต้องผ่านบริเวณที่ขายเครื่องประดับสำหรับผู้หญิงผมก็เหลือบไปเห็นเด็กผู้ชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกันคนหนึ่งกำลังกอดอกยืนมองกิ๊บหนีบผมที่อยู่ในโซนโปรโมชั่นลดราคา เด็กผู้ชายคนนั้นใส่เสื้อยืดกางเกงยีนสะพายกระเป๋าเก่าๆธรรมดาๆ แต่กลับยืนมองเครื่องประดับแบรนด์เนมนั่นตาเป็นมัน

            หึ…ตุ๊ดสินะ

            ผมแอบหยันอยู่ในใจ ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบคนประเภทนี้โดยเฉพาะพวกที่ออกสาวหรือตุ้งติ้งจีบปากจีบคอแสดงออกชัดเจนยิ่งเกลียดเข้าไส้ เห็นแล้วน่าขนลุก  แต่ถ้าเป็นพวกเกย์ที่รู้จักคีพลุคดีๆอันนั้นยังพอหยวนเพราะผมก็มีเพื่อนเป็นเกย์อยู่หลายคน

            แต่งตัวก็ออกจะแมน…คงจะเป็นอีแอบสินะ แต่พอเห็นของสวยๆงามๆลดราคาสันดานอีแอบมันคงเรียกร้องให้พุ่งเข้าไปหาเหอะๆ

            แล้วผมก็ไม่ได้สนใจมันอีกเกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำถ้าอาทิตย์ต่อมาไม่เห็นมันยืนอยู่ที่โซนเดิมเวลาเดิมเหมือนอาทิตย์ที่แล้วเป๊ะ!

            ท่าทางมันจะอยากได้มากนะเนี่ย แล้วทำไมไม่ซื้อวะ หรือจะไม่มีตังค์ เออก็คงจะอย่างนั้นดูแต่งตัวดิ ถึงมันจะแต่งตัวเรียบร้อยดูสะอาดสะอ้านแต่ของบนตัวมันไม่มีชิ้นไหนที่ผมกวาดตามองแล้วเป็นของมีราคาเลยสักชิ้น

            วันต่อมาซึ่งเป็นวันอาทิตย์ ที่เก่าเวลาเดิม ผมสงสัยว่ามันจะไปยืนมองเครื่องประดับตรงมุมนั้นอีกมั้ย พอเลิกเรียนปุ๊บผมก็เลยขอแยกจากเพื่อนๆแล้วมาแอบซุ่มดูอยู่แถวๆนี้ ไม่รู้ทำไมผมถึงทำแบบนั้นพอนึกย้อนกลับไปก็อดขำตัวเองไม่ได้จริงๆ

            ผมยืนมองของที่อยู่ตรงหน้า มันคือกิ๊บหนีบผมคริสตัลรูปทรงต่างๆไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ ผีเสื้อ นกยูง ฯลฯ จู่ๆผมก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าหรือมันไม่ได้จะซื้อไปใส่เองแต่ซื้อไปให้สาว?เพราะดูยังไงมันก็แม้นแมนอ่ะ ไม่น่าจะเป็นพวกอีแอบได้เลยจริงๆหลังจากสังเกตอย่างละเอียดเมื่อวาน

            ผมยกนาฬิกาขึ้นดู น่าจะได้เวลาแล้วมั้ง

            พอเงยหน้าขึ้นมาหมอนั่นก็กำลังเดินมาทางนี้จริงๆแถมเดินมากับผู้หญิงฝรั่งคนหนึ่งเสียด้วยโคตรอึ๋มเลยแม่จ้าววว

            ผมรีบเดินไปหลบอยู่แถวๆห้องลองเสื้อแล้วลอบมองสองคนนั้นที่เดินคู่กันมาพลางหัวเราะเป็นระยะๆ หมอนั่นเดินไปหยุดหน้าโซนนั้นแล้วหยิบกิ๊บขึ้นมาสองลาย พูดอะไรสักอย่างกับหล่อน

            อ้าว…ตกลงว่าจะซื้อให้ผู้หญิงจริงๆเหรอเนี่ย หน้าแตกเลยกรูนึกว่าซื้อไปใช้เอง

            แต่แล้วแหม่มคนนั้นก็เอากิ๊บไปทาบกับหัวเกรียนๆของหมอนั่นแล้วทำท่าครุ่นคิด หมอนั่นหัวเราะแล้วเอามือปัดๆมือของนางที่พยายามจะทาบกิ๊บกับหัวตัวเองออก สองคนนั้นพูดคุยกันอีกสักพัก หยิบชิ้นนู้นชิ้นนี้ขึ้นมาเลือกก่อนที่หมอนั่นจะตัดสินใจเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์แล้วเก็บของชิ้นนั้นใส่กระเป๋าตัวเอง

            โอ้โห! อีแอบแน่นอนฟันธง ถึงขนาดให้เพื่อนสาวชาวฝรั่งมาช่วยเลือกด้วย ว้อท เดอะ ฟัค!

            พอสองคนนั้นเดินจากไปผมก็เดินไปหยุดที่โซนนั้นอีกครั้ง กิ๊บรูปดอกไม้หายไป…ซื้อรูปดอกไม้ไปสินะ

“ ที่แท้จะแอบมาซื้อกิ๊บลดราคานี่เองถึงไม่ยอมไปเตะบอลกับพวกกู …ไม่คิดเลยนะว่าจริงๆแล้วมึงจะมีรสนิยมแบบนี้ ไม่เห็นต้องปิดกันเลยนะเพื่อน! ” ไอ้นอธเพื่อนผมโผล่มาจากไหนไม่รู้จู่ๆก็เข้ามากอดคอจากทางด้านหลังเล่นเอาสะดุ้งเฮือก

“ วะวะวะว๊าวววว กิ๊บเยอะแยะเลย น่ารักจังอ่ะตะเองง เค้าก็จะซื้อมั่ง ” ไอ้ฟลิ้นท์หยิบบรรดากิ๊บขึ้นมาทาบผมตัวเองแล้วหันมาทางผม

“ เหยแกรรร ชั้นสวยแมะ! ” ไอ้ฟลิ้นท์หันไปถามไอ้ดิว

“ หยุดได้แล้วโว้ยย พวกมึงกำลังเข้าใจกูผิด! ” ผมโวยวาย

“ กูว่าพวกกูเข้าใจไม่ผิดนะ มึงทั้งแอบมองผู้ชาย ทั้งยืนเลือกกิ๊บ ดูยังไง๊ยังไงก็… เอ่อ อืม ไม่เป็นไรนะเว้ยไอ้พีท ถึงมึงจะเป็นตุ๊ดพวกกูก็รับได้ มึงคงอึดอัดใจมานานสินะที่ต้องคอยปกปิดพวกกู” ไอ้ดิวตบบ่าผมทำหน้าเห็นอกเห็นใจจนน่าถีบ

“ ไม่ใช่แล้วโว้ยยย=[]=^^^ ” ไอ้พวกนั้นหัวเราะฮ่าๆอย่างสะใจ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผมก็โดนพวกมันแซวเรื่องกิ๊บตลอดจนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยพวกมันก็ยังไม่เลิก คงกะแซวกันยันลูกบวชเลยสินะไอ้ห่าเพื่อนชั่ว!

            วันนี้เป็นวันมอบตัวและประชุมผู้ปกครองของนักเรียนรอบรับตรง ผมและเลขาของพ่อเดินถือเอกสารการมอบตัวต่างๆเข้าไปในคณะที่ตอนนี้ครึกครื้นเต็มไปด้วยบรรยากาศของรอยยิ้มของพ่อแม่ผู้ปกครองและนักเรียนที่สอบติด

            ไม่รู้ว่าโลกกลมหรือพรหมลิขิตเพราะทันทีที่ผมเดินมาดูบอร์ดเพื่อดูรอบเวลายื่นเอกสารของตัวเองก็ได้เจอกับหมอนั่นอีกครั้ง!!

            ผมยืนมองหมอนั่นอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองว่าจะมาติดคณะเดียวกันแถมเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกันอีกต่างหาก วันนี้คนตรงหน้าแต่งตัวเรียบร้อยในชุดนักเรียนโรงเรียนรัฐชื่อดังยืนคู่กับผู้หญิงวัยกลางคนแต่งกายภูมิฐานในชุดกระโปรงสีชมพูที่ผมของเธอติดกิ๊บคริสตัลสีพาสเทลรูปดอกไม้

            กิ๊บเมื่อตอนนั้นนี่นา! ที่แท้ก็ซื้อให้แม่หรอกหรอเนี่ย

“ คุณพีทครับ พวกเราได้รอบบ่ายโมง.. ” เสียงเลขาพ่อเรียกสติของผมกลับมาอีกครั้งนอกจากนี้มันยังทำให้หมอนั่นกับแม่หันมองมาทางผมอีกด้วย

            ผมรีบยกมือไหว้สวัสดีผู้ปกครองของอีกฝ่ายก่อนที่เธอจะรับไหว้ยิ้มๆ

“ หวัดดีเราชื่อทีอยู่โยธาฯ ” เจ้าตัวส่งยิ้มผูกมิตรที่แสนน่ามองมาให้ผม

“ หวัดดี เราชื่อพีท โยธาฯ…เหมือนกัน ”

            วันเปิดเทอมวันแรกผมตั้งใจจะชวนทีเข้ากลุ่มผมอันประกอบไปด้วยไอ้ฟลิ้นท์และไอ้ดิวที่ติดคณะเดียวกันมาด้วยอย่างปาฏิหาริย์ แต่ดูเหมือนจะช้าไปก้าวหนึ่งเพราะเหมือนทีจะถูกพวกไอ้โซลชักชวนเข้ากลุ่มไปเสียแล้ว ไอ้จะเข้าไปตีซี้กับกลุ่มไอ้โซลอีกทีก็ลำบากเพราะไอ้ดิวไม่ชอบขี้หน้าไอ้โซลมาตั้งแต่สมัยอยู่โรงเรียนเดียวกันแล้ว

            เฮ้อ เวรกรรมจริงๆ ทำไมต้องไปอยู่กลุ่มพวกนั้นด้วยนะ

            จากความรู้สึกสนใจในคราวแรก ค่อยๆพัฒนามาเป็นความชอบ ยิ่งได้อยู่ใกล้กัน ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ผมก็ยิ่งรู้สึกชอบทีมากขึ้นเรื่อยๆ การที่ผมคอยมองหมอนั่นอยู่ตลอดทำให้ผมได้เห็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่คนอื่นคงไม่สังเกตเห็นขนาดผม

             ผมรู้ว่าทีมักจะกัดปลายแหลมของไม้เสียบลูกชิ้นให้ทู่ทุกครั้งที่กินเสร็จก่อนจะเอาไปทิ้ง มันเป็นคนให้เกียรติผู้หญิงมากๆ ผมเคยได้ยินพวกผู้หญิงพูดกันว่าชอบทีที่สุดในบรรดาเพื่อนผู้ชายทั้งหมดเพราะทีเป็นสุภาพบุรุษกับผู้หญิงทุกคนไม่ว่าจะสวยหรือไม่สวย 

            ตอนไปค่ายผมเคยเห็นมันนั่งเอาหลอดเขี่ยมดขึ้นจากน้ำหวานในคูลเลอร์จนโดนเพื่อนบ่นว่าไปเอาน้ำชักช้า ครั้งหนึ่งเคยมีแมลงปอหลุดเข้ามาในห้องเรียน พอเลิกเรียนรอจนทุกคนออกจากห้องไปหมดแล้ว( แต่ผมแอบมองอยู่ข้างนอก ) ไอ้ทีก็ลุกขึ้นมาจับแมลงปอ! เป็นอะไรที่บ้ามากในความคิดผม แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อไอ้ทีไล่จับอยู่ราวๆสิบนาทีจู่ๆแมลงปอก็บินไปเกาะกำแพงข้างๆมันครับ แล้วทีก็กระพุ่มมือจับมันได้ง่ายๆเลย ผมค่อยๆเดินตามทีไปห่างๆ จนออกมานอกตึกห่างออกมาจากประตูทางเข้าเล็กน้อยมันก็แบมือปล่อยแมลงปอบินออกไป ความรู้สึกในตอนนั้นของผมนี่แบบ…ทำไมเป็นคนอ่อนโยนแบบนี้วะ เชี่ยยย!กูตกหลุมรักคนคนนี้ กูชอบคนแบบนี้จริงๆ!

            มองภายนอกไอ้ทีอาจเป็นแค่ผู้ชายที่ดูธรรมดาๆคนหนึ่งหน้าตาก็อยู่ในเกณฑ์โอเคไม่ถึงกับหล่อกระชากใจ แต่ก็จัดว่าหน้าตาดีดูสะอาดสะอ้าน ฐานะก็แค่ปานกลาง นอกจากเรียนเก่งแล้วก็ไม่มีอะไรที่ถนัดเป็นพิเศษอีก ดูยังไงก็ไม่น่าจะมีอะไรเตะตาผมได้เลย แต่มันเป็นคนดีครับ เป็นคนดีมากๆ ดีทั้งต่อหน้าและลับหลังเลยแหละ มันเป็นคนอ่อนโยน ผมชอบสายตาเวลามองคนอื่นของมันนะดูอบอุ่นอ่ะเป็นสายตาที่เหมือนแฝงความปรารถนาดีต่อคนอื่นตลอดเวลา             

               เพื่อนในรุ่นต่างรู้กันหมดว่าผมแอบชอบไอ้ทีมัน แม้แต่กลุ่มพวกไอ้โซลก็รู้ แต่ดูเหมือนจะมีแค่ทีคนเดียวที่ไม่รู้ตัวเอาเสียเลย

“ ไม่ใช่ไม่รู้ตัว แต่ทำเป็นไม่รู้ต่างหากล่ะ ” ไอ้ฟลิ้นท์บอกผม

            นั่นสินะ ผมแสดงออกชัดเจนขนาดนี้คนอื่นยังรู้เลยเจ้าตัวจะไม่รู้ได้ยังไง

            ทียังคงปฏิบัติกับผมเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปทั้งนั้น ไม่มีท่าทางแปลกๆ ไม่มีท่าทีอึดอัด ไม่มีสัญญาณอะไรที่แสดงถึงความหวั่นไหวแม้แต่ท่าทางไม่สบายใจหรือตีตัวออกห่างก็ยังไม่มี

            นั่นคือคำตอบที่ผมได้รับหรือเปล่า

            มันคือการปฏิเสธในแบบของคนใจดีใช่ไหม

            ผมล้มเลิกความตั้งใจที่จะบอกชอบกับทีตรงๆ ยอมที่จะแอบรักเงียบๆแบบนี้ไปเรื่อยๆท่ามกลางสายตาเห็นอกเห็นใจของชาวบ้าน เพื่อนผู้หญิงดูจะสงสารผมเป็นพิเศษถึงขนาดปฏิบัติต่อผมราวกับเพื่อนสาวคนหนึ่งในแก๊งก็มิปาน นี่กูดูน่าสงสารขนาดนั้นเลยหรอฟระ=-=;;

            เอาเถอะ อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ทีก็ยังไม่มีใคร นั่นทำให้ผมสบายใจที่จะแอบรักต่อไปเรื่อยๆ

            อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่มีใคร

            ผมยังมีสิทธิ์

            ผมนั่งมองใบหน้ายามหลับของคนบนเตียงก่อนจะโน้มตัวเข้าไปกระซิบที่หูอีกฝ่าย



“ กูระ....  ”

 


------------------------------------------------------------------------------
 

**การช่วยเหลือเเมลงปอด้วยการจับใส่มือไปปล่อยข้างนอกควรกระทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งนะคะไม่งั้นมันอาจจะตายคามือเราเเทนค่ะTT**



เพิ่มเติม : ช่วงม.6ทีได้คอร์สเรียนภาษาอังกฤษฟรีมาจากการประกวดเรียงความชนะค่ะ ส่วนผู้หญิงฝรั่งคนนั้นเป็นอาจารย์ในสถาบันที่เผอิญกลับบ้านพร้อมกันทีก็เลยขอให้อาจารย์ช่วยเลือกกิ๊บเพราะตัวเองเลือกเครื่องประดับให้ผู้หญิงไม่เก่ง แล้วที่นางเอากิ๊บไปทาบกับหัวทีก็เพราะนางถามว่าแม่ของทีผมสีอะไร พอทีบอกว่าสีดำนางเลยไม่เอามาทาบกับผมตัวเองแต่เอาไปทาบกับผมทีแทนว่าเครื่องประดับจะเข้ากับสีผมแบบทีมั้ยค่ะ^^

- เราเคยเห็นคนจับแมลงปอด้วยมือเปล่าแล้วเอาไปปล่อยแบบพี่ทีจริงๆด้วยแหละ พี่เค้าพูดว่าอย่าหนีสิ เนี่ยจะพาออกไปปล่อยข้างนอกนะ แล้วแมลงปอมันก็หยุดให้จับง่ายๆจริงๆค่ะ! อะเมซิ่งสุดๆ รู้สึกประทับใจพี่คนนั้นก็เลยเอามาเขียนค่ะ><

- ประสบการณ์ตรงเลยนะ อาหารเป็นพิษจนเพื่อนหามเข้าโรงพยาบาลเนี่ย เราเข็ดขยาดสุดๆไปเลยค่ะ ตอนนั้นหายใจไม่ออกจนนึกว่าจะตายซะเเล้วT-T

-ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์นะคะ เราอ่านครบหมดเเละอ่านซ้ำหลายรอบด้วยเหมือนคนโรคจิตเลยเเหละ555 เราจำคนที่เม้นท์บ่อยได้นะคะ เช่นคุณ magnolia , areenart1984 , leenboy , sompong , B52 ,  ❣☾月亮☽❣ , jimmyjimmy , fullfinale ,shoi_toei ,  BABYBB ,songte , justwait ฯลฯ ต้องขอบคุณจริงๆที่มาเม้นท์ให้เกือบทุกตอนเลย ทุกครั้งที่เห็นชื่อเก่าๆมาเม้นท์เรามีความสุขมากกก เหมือนมีคนในครอบครัวมาต้อนรับทุกครั้งที่กลับบ้านเลย>///<






หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 47 : มอง...มองเธอมาเเสนนาน[8\6\62]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 08-06-2019 10:34:14
กลับมาอัพแล้วหลังจากหายไปนาน
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 47 : มอง...มองเธอมาเเสนนาน[8\6\62]
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 08-06-2019 10:38:50
จริงๆก็ไม่ได้มาเม้นทุกตอนเลยนะคะ 5555555
บางทีดองไว้หลายตอนมาก เพราะไม่ได้เห็นว่าอัพนิยายแล้ว 555555
เป็นกำลังใจให้นะคะ จะคอยอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 47 : มอง...มองเธอมาเเสนนาน[8\6\62]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-06-2019 13:16:51
ธรรมดา​แต่​พิเศษ​
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 47 : มอง...มองเธอมาเเสนนาน[8\6\62]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-06-2019 20:25:10
ตาวาว เลย...... ไรท์มาลง รออยู่ ฮือออออ   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

พีท เห็นทีที่ร้านเครื่องประดับผู้หญิง ก็เข้าใจทีผิด
แล้วเพื่อนพีท ก็เข้าใจพีทผิดเหมือนกัน
นี่สินะ.....สิ่งที่เห็น ไม่ใช่ในสิ่งที่คิด เอ่อ....หรือ สิ่งที่เห็น ไม่ใช่ในสิ่งที่เป็น   :serius2:
หรือ กรงกรรมกรงเกวียน กรรมตามสนอง ธัมมะ ธัมโมไปอี๊ก  :z3:
แต่ที่แน่ๆ พีท หลงรักที ไปเรียบร้อย  o22 :really2: :เฮ้อ:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 47 : มอง...มองเธอมาเเสนนาน[8\6\62]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-06-2019 22:36:01
ว่าแต่ที พีทเป็นเอง  :laugh:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 48 : The twin’ s home [6\9\62]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 06-09-2019 12:49:52

ตอนที่ 48  The twin’ s home


ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งสภาพแวดล้อมที่เห็นก็ทำให้ผมต้องหลับตาแล้วลืมขึ้นมาใหม่ก่อนจะมองไปรอบๆ อย่างมึนงง

ไม่ใช่โรงพยาบาล…ไม่ใช่ห้องผม…แล้วที่นี่มันที่ไหนวะ…ทำไมคุ้นจังเลย

ผมเอื้อมมือเปิดโคมไฟหัวเตียง แสงสีนวลตาสาดส่องไปทั่วเผยให้เห็นห้องที่ตกแต่งสไตล์วินเทจ ปลายเตียงมีทีวีจอแบนฝังเข้าไปในผนัง ด้านซ้ายมือคือประตูตู้เสื้อผ้าบิวท์อินบานใหญ่และห้องน้ำ ส่วนด้านขวาเป็นชุดโซฟากับโต๊ะกระจกที่มีแจกันดอกไม้วางประดับอยู่

ผมยกมือขึ้นนวดหัวคิ้ว จำได้แล้ว…ห้องนี้เคยมาพักอยู่ช่วงหนึ่งตอนเด็กๆ

…ห้องนอนแขกบ้านวรกิจเดชสกุล

ก๊อกๆ ๆ

ผมมองไปยังประตูห้องที่ค่อยๆ ถูกเปิดออก เป็นอาแอ๋มที่โผล่เข้ามาก่อนจะเปิดประตูค้างไว้ให้ภูผากับฟ้าครามถือถาดอาหารกับยาเดินตามมา

“อ้าว ทีตื่นแล้วหรอลูก ดีเลยอากำลังจะปลุกมาทานข้าวทานยาอยู่พอดีเชียว”

ฟ้าครามเข้ามาช่วยพยุงผมให้ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง จากนั้นภูผาก็กางโต๊ะเล็กวางลงบนเตียงพร้อมถาดอาหารและยา ผมได้แต่ขยับร่างกายตามแรงมือของอีกฝ่าย ตอนนี้รู้สึกแขนขาไม่มีแรงเลย ครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด ปวดหัวเหมือนมีคนเอาค้อนมาทุบ หนาวก็หนาว หิวก็หิว แต่พอมองข้าวต้มหน้าตาน่ากินตรงหน้าแล้วกลับรู้สึกพะอืดพะอมอยากจะอ้วกซะอย่างนั้น

ใจอยากจะเอ่ยถามว่าทำไมผมมาอยู่ที่นี่ แล้วมีใครโทรไปบอกที่บ้านผมหรือยังว่าผมเป็นอะไรตอนนี้พักอยู่ที่ไหน ทำไมภูผาฟ้าครามต้องพาผมมานอนที่นี่ไม่พาผมกลับไปส่งที่บ้าน แล้วผมอาหารเป็นพิษแบบนี้สองคนนั้นจะคิดมากหรือเปล่า จะคิดว่าเป็นความผิดของตัวเองไหม …แต่พอมองจากสีหน้าจ๋อยๆ ของสองคนนั้นผมก็พอจะเดาได้..นั่นไง ต้องคิดว่าเป็นความผิดของตัวเองอยู่แน่ๆ เลย

“รีบกินเถอะจ้ะ เดี๋ยวหายร้อนแล้วจะไม่อร่อย เสร็จแล้วจะได้กินยาแล้วนอนพักต่อตัวยังรุมๆ อยู่เลย หนาวมั้ยลูก?” อาแอ๋มลูบหน้าลูบแขนผมอย่างเป็นห่วงเป็นใย สัมผัสจากมือเย็นๆ ทำให้รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย พอผมพยักหน้าเบาๆ ภูผาก็หยิบรีโมทแอร์มาปรับอุณหภูมิให้

ฟ้าครามตักข้าวต้มขึ้นมาเป่าก่อนจะจ่อมาที่ปากของผม

“พี่ที…กินนะ”

ตอนแรกผมอยากจะปฏิเสธแล้วคว้าช้อนมาตักกินเอง แต่พอเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดของแฝดน้องผมก็เลยทำใจอ้าปากรับแต่โดยดี

พวกมึงเข้าใจผิดแล้ว! กูไม่ได้ท้องเสียเพราะอาหารเมื่อคืน แต่ท้องเสียเพราะกล้วยบวชชีกะทิบูดที่กินไปตอนกลางวันเมื่อวานต่างหากล่ะเฟ้ย หยุดทำท่าทางหางลู่หูตกกันซะทีเห็นแล้วรู้สึกไม่สบายใจไปด้วยเลย

แต่ช้อนที่ตักป้อนรัวๆ ก็ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดอธิบายอะไรเลย เอาวะ กินก่อนก็ได้ แล้วค่อยมาอธิบายกันทีหลัง

“แม่ คืนนี้ภูกับครามมานอนเฝ้าพี่ทีได้มั้ย”

เห้ย!! ไม่ต้องงงงงงง

“ไม่ต้องหรอกลูก แม่ว่าแม่จะมานอนเฝ้าพี่ทีอยู่แล้ว จะได้ตื่นมาคอยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้พี่เค้า ภูกับครามกลับห้องไปนอนเถอะวันนี้สอบมาทั้งวันคงจะเหนื่อยแย่แล้ว”

“ไม่เหนื่อยๆ นะๆ เดี๋ยวภูเช็ดตัวให้พี่ทีเอง แม่อ่ะเป็นผู้หญิงมาเช็ดตัวให้พี่ทีเขินตายเลย ให้ภูเช็ดดีกว่า แม่ไปนอนเหอะเดี๋ยวเฝ้าให้”

ให้พวกมึงเช็ดตัวนอนเฝ้าไข้เนี่ยนะ!? ม่ายยยยย ไม่อาววว อาแอ๋มอย่าไปยอมนะ ลูกชายอาจะฉวยโอกาสอะไรตอนผมป่วยบ้างก็ไม่รู้ อย่านะโว้ยยยย ตอนนี้ผมไม่มีแรงสู้นะT-T

ไม่ได้แล้ว ขืนไม่พูดออกไปมีหวังแย่แน่เลย!

ขณะที่ผมอ้าปากจะค้าน ช้อนข้าวต้มก็ยัดเข้ามาในปากผมทันทีด้วยฝีมือฟ้าครามที่ยักคิ้วให้อย่างรู้ทัน พอผมเคี้ยวๆ รีบกลืนจะพูดต่อฟ้าครามก็ทำท่าจะป้อนข้าวต้มเข้ามาอีกแต่คราวนี้ผมเบือนหน้าหนีเอามือดันแขนฟ้าครามไว้

“พี่ที…ไม่ดื้อดิ กินข้าวนะ หม่ำๆ ” ฟ้าครามปัดมืออันอ่อนแรงของผมออกก่อนจะเอื้อมมาจับคางผมให้หันมาหา ส่วนอีกมือก็ถือช้อนข้าวต้มจ่อปากจี้ให้ผมกินต่อ

หม่ำๆ บ้านมึงดิ! ไม่ใช่เด็กนะเฟ้ยย!!

เพียะ!!

“เจ้าคราม! พี่เค้ากินไม่ไหวทำไมไปบังคับแบบนั้นฮะ! เกิดพี่เค้าอ้วกแตกอ้วกแตนขึ้นมาจะทำยังไงเจ้าลูกคนนี้นี่ ดูแลคนป่วยไม่เป็นเลย! เอาจานไปเก็บ! …ทีลูก เดี๋ยวรอสักแปบแล้วค่อยทานยานะจ๊ะ ระหว่างนี้เช็ดตัวก่อนนะเดี๋ยวอาเช็ดให้” อาแอ๋มตีฟ้าครามแล้วดุยกใหญ่เมื่อหันมาเห็นไอ้ครามกำลังพยายามยัดข้าวต้มให้ผมกิน ไอ้ครามลูบแขนบริเวณที่โดนตีป้อยๆ ก่อนจะเหลือบมองผมแล้วทำปากขมุบขมิบ

“ทำปากขมุบขมิบอะไร! ว่าแม่หรอ!”

ผมมองข้ามไหล่อาแอ๋มไปสบตากับฟ้าคราม

“:p”

“ก็แม่เอาแต่เข้าข้างพี่ทีอ่ะ ตกลงใครลูกแม่กันแน่เนี่ย..ดูดิ! พี่ทีแลบลิ้นใส่ครามด้วย!!”

“พี่เค้าไม่ได้นิสัยเหมือนลูกนะ” ผมแอบกลั้นหัวเราะอยู่ข้างหลังอาแอ๋ม ดูสิ ผมเครดิตดีกว่าเจ้าแฝดแค่ไหนคนเป็นแม่อย่างอาแอ๋มยังไม่เชื่อมันเลย

“ภูก็เห็นนะ ดูดิๆ พี่ทีนั่งหัวเราะอยู่หลังแม่อ่ะ หันไปดูดิ”

ได้ยินอย่างนั้นผมจึงพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ แต่จู่ๆ ก็รู้สึกปวดมวนๆ ท้องขึ้นมา จากนั้นความรู้สึกคลื่นไส้ก็วิ่งขึ้นมาถึงลำคอ

“โอ๊กกกกก แหวะะะะะะะะ!!”

สุดท้ายผมก็ต้องย้ายไปนอนห้องไอ้แฝดเพราะดันอ้วกเลอะเตียง จะบ้าตาย ทำตัวเองแท้ๆ ฮือT-T




“โอ๊ย จั๊กจี้ คิกๆ …โอ๊ยย ” ผมได้แต่นอนดิ้นไปดิ้นมาอยู่บนเตียงหนีมือไอ้ภูที่พยายามจะเช็ดตัวให้ผมที่ตอนนี้สวมแค่เสื้อคลุมอาบน้ำเนื่องจากเพิ่งถอดเสื้อผ้าที่เลอะอาเจียนออกไป

“นิ่งๆ ดิพี่ที ภูเช็ดลำบากนะ” ไอ้ภูคว้าแขนผมไปอีกรอบก่อนจะเอาผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดพรืดๆ

เนี่ยนะดูแลคนป่วยเป็น ใครเค้าเช็ดกันแบบนี้วะ! เช็ดตัวคนป่วยมันควรใช้น้ำอุ่นเพื่อให้หลอดเลือดขยายตัวคลายความร้อนออกจากร่างกายได้ดีไม่ใช่หรอ แต่มันเล่นเอาน้ำเย็นเช็ดให้แบบนี้ไม่หนาวจับไข้กว่าเดิมก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว แถมเวลาเช็ดแขนใครเค้าเช็ดจากต้นแขนลงมานิ้วมือกัน มันต้องเช็ดจากมือไล่ขึ้นไปที่ต้นแขนเพื่อเปิดรูขุมขนต่างหาก ให้ตายเถอะตัวเองก็เคยอยู่โรงพยาบาลแท้ๆ ไม่ได้สังเกตเวลาพยาบาลเค้าเช็ดตัวให้เลยหรือไง

“ภู…พอเถอะ พี่เช็ดเองดีกว่า ” ผมเค้นเสียงพูดออกมาเบาๆ อย่างอ่อนเพลีย พยายามจะแย่งผ้าขนหนูในมืออีกฝ่ายมาถือเองแต่ภูผากลับชักมือหนี ผมพยายามเอามือปัดป้องไม่ให้มันเช็ดตัวให้ ก็มันหนาวนี่หว่า ยิ่งเช็ดยิ่งแย่แบบนี้อย่าเช็ดเลยเถอะ

“ภู…พี่หนาวนะ …ภูเช็ดผิดอ่ะ ”

“อะไรนะพี่ที? ไม่ได้ยินอ่ะ” ภูผาขมวดคิ้วก่อนจะเอียงหน้าเข้ามาใกล้

“ใช้น้ำอุ่นสิ พี่หนาว”

“เฮ้ย! พี่ทีตัวร้อนอยู่แล้ว ขืนเช็ดน้ำอุ่นก็ยิ่งร้อนอ่ะดิ ไม่ได้ๆ เช็ดน้ำเย็นแหละตัวจะได้หายร้อนไวๆ อดทนหน่อยนะพี่ที ถกเสื้อลงหน่อยภูจะเช็ดหลังให้”

โอ๊ย! จะบ้าเรอะะะ เช็ดน้ำเย็นสิจะยิ่งตัวร้อนกว่าเดิมT_T จะบ้าตาย ไม่สบายอยู่แล้วยังมาโดนรังแกเพิ่มอีก ผมว่าแทนที่จะหายอาจจะตายมากกว่านะแบบนี้

ผมจับข้อมือภูผาไว้แล้วส่ายหัวรัวๆ

“ห้ามใช้น้ำเย็น…เช็ดคนป่วยนะ…ต้องน้ำอุ่นหรือน้ำธรรมดา ”

“โอเคๆ ภูยอมก็ได้ แต่ให้แค่น้ำธรรมดาพอนะน้ำอุ่นไม่ได้ ภูรู้ว่าพี่ทีหนาวเลยอยากได้น้ำอุ่นแต่พี่ทีต้องอดทนดิไม่งั้นไข้มันจะไม่ระบายออกมานะครับ”

โอ๊ยยยยยย!! อกอีแป้นจะแตก ถ้าผมมีแรงมากกว่านี้นะจะลุกขึ้นมาเบิ้ดกะโหลกมันสักที เอาอะไรมาคิดว่าผมหนาวเลยไม่อดทนให้มันเช็ดน้ำเย็น ไม่เคยเรียนวิชาสุขศึกษาหรือไงวะ โฮยย อาแอ๋มเมื่อไหร่จะมาสักที อย่าปล่อยผมทิ้งไว้กับไอ้แฝดนรกนี่นานๆ จะได้มั้ย จะตายคามือมันอยู่แล้ววววT_T

หลังจากปลุกปล้ำกันอยู่พักใหญ่ภูผาก็เช็ดตัวให้ผมจนเสร็จ เป็นการเช็ดตัวที่ทรมานที่สุดในชีวิตผม ก็มันอ่ะเช็ดแปลกๆ ให้อารมณ์เหมือนลวนลามยังไงก็ไม่รู้ จะดิ้นหนีก็ไม่ค่อยจะมีแรง แถมน้ำธรรมดาที่มันเอามาเช็ดก็ยังเย็นไปอยู่ดีสำหรับผม หลังจากโดนจับใส่ชุดนอนแล้วผมก็ได้แต่นอนขดตัวฟันกระทบกันกึกๆ อยู่ใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ที่ห่มเท่าไหร่ก็ไม่หายหนาว

“พี่ทีตัวร้อนจี๋เลยอ่ะแม่!” นาทีนี้สติผมพร่าเบลอเกินกว่าจะแยกออกแล้วว่าเสียงภูผาหรือฟ้าคราม

สัมผัสเย็นๆ แตะลงบนหน้าผากผม

“ว้าย! จริงด้วย เมื่อกี้ยังตัวไม่ร้อนขนาดนี้เลยนี่นา”

“นั่นสิแม่ เพิ่งเช็ดตัวไปหยกๆ เองนะ” เพราะมึงนั่นแหละโว้ยมาหยกๆ อะไรล่ะ! = [] =^

“ครามไปกดน้ำอุ่นข้างล่างมาให้แม่หน่อย..สงสัยต้องเช็ดกันอีกรอบแล้วล่ะ ส่วนภูลงไปเอาเจลลดไข้ในตู้เย็นมานะลูก”

“เอ้า ไม่ใช้น้ำเย็นอ่ะแม่ พี่ทีตัวร้อนอยู่นะยิ่งใช้น้ำอุ่นก็ยิ่งร้อนสิ!”

“มะเหงกแน่ะ! อย่าบอกนะว่าเมื่อกี้เอาน้ำเย็นเช็ดน่ะ!?”

“ง่ะ…ไม่ได้เหรอ?”

“โอ๊ย! ตายแล้ว ชั้นไม่น่าปล่อยให้เธอดูแลเลย! รีบลงไปเอาของตามที่แม่สั่งเดี๋ยวนี้เลยนะ แล้วก็จำไว้ว่าคราวหลังห้ามใช้น้ำเย็นเช็ดตัวคนป่วยเด็ดขาด เดี๋ยวแม่จะทำให้ดูว่าที่ถูกต้องเขาทำยังไง ตายๆ ๆ โถ่ทีลูก…อาขอโทษนะจ๊ะ ลูกชายไม่ได้เรื่องของอามันทำให้เราเดือดร้อนอีกจนได้”

ผมโดนจับถอดเสื้อเช็ดตัวอีกรอบ ทั้งๆ ที่เพลียแทบตายอยู่แล้วก็ยังต้องฝืนขยับพลิกให้อาแอ๋มเช็ดตัวให้ กว่าจะเช็ดกันเสร็จก็ใช้เวลาพักหนึ่งซึ่งในความรู้สึกผมมันช่างนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ พอใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยเจลเย็นๆ ก็ถูกโปะลงบนหน้าผากตามมาด้วยความรู้สึกอบอุ่นจากผ้าห่มฟูนุ่มที่ถูกดึงขึ้นมาห่มให้จนถึงหน้าอก

ในที่สุดก็จะได้นอนเสียทีT_T ดีใจน้ำตาไหลพรากก

“แม่จะนอนเฝ้าพี่ทีห้องนี้ เดี๋ยวภูไปนอนกับพ่อแล้วครามไปนอนกับพี่เฟิร์สนะ”

“ไม่เอาอ่ะ ภูจะนอนห้องนี้!”

“แม่กลับไปนอนกับพ่อเหอะ เดี๋ยวพวกครามดูพี่ทีให้”

อย่า!!! ขอร้อง ไม่ต้องงงงง

ผมได้แต่กรีดร้องอยู่ในใจแต่ไม่สามารถพูดอะไรได้เพราะตอนนี้แม้แต่แรงจะลืมตายังไม่มีเลย

“ไม่ได้ ภูกับครามดูแลคนป่วยเป็นซะที่ไหน เกิดกลางค่ำกลางคืนพี่ทีเป็นอะไรไปลูกจะแก้ปัญหากันถูกหรอ”

“ก็เดี๋ยวถ้ามันมีอะไรภูก็ค่อยวิ่งไปปลุกแม่ไงครับ นะครับแม่ พี่ทีท้องเสียเป็นไข้แบบนี้ก็เพราะพวกภู ขอให้พวกเราได้ทำอะไรไถ่โทษบ้างเถอะนะครับ”

เข้าใจผิดแล้ว ไม่ได้ท้องเสียเพราะมึ๊งงง ไม่ต้องไถ่โทษษ

“…จ้ะๆ งั้นก็ตามใจ ถ้ามีอะไรก็ไปตามแม่แล้วกันนะลูก อ้อ ถ้าดึกๆ พี่ทีตัวร้อนอีกก็เช็ดตัวแบบที่แม่สอนไปนะ ส่วนเจลถ้าหายเย็นก็เอาลงไปเปลี่ยนอันใหม่ด้วยล่ะ”

ไม่นะอาแอ๋ม อย่าทิ้งผมมมมT-T

ปังงง





(บทฟ้าคราม)

“เที่ยงคืนแล้วหรอเนี่ย ถึงว่ารู้สึกง่วงๆ ” ผมคลานขึ้นไปทิ้งตัวลงนอนข้างๆ พี่ทีซึ่งนอนอยู่ริมเตียงด้านขวามือสุด

“เห้ย มึงอ่ะเหยิบไปดิ๊” ไอ้ภูคลานขึ้นมาแทรกกลางระหว่างผมกับพี่ที เฮ้! กูมาก่อนนะเว้ย มาแทรกแบบนี้ได้ไงไอ้น่าเกลียด!

“ไม่โว้ย! กูขึ้นมาก่อน กูจะนอนติดกับพี่ที มึงไปนอนอีกฝั่งเลย” ไม่พูดเปล่ารีบขยับตัวไปชิดกันไอ้ภูเข้ามาแทรกกลาง

“ไม่เหยิบใช่ป่ะ?”

“ไม่โว้ยยย มาก่อนได้ก่อน เหวออออ! ไอ้ชั่วภูหยุดนะโว้ยยย” ผมร้องเสียงหลงเมื่อไอ้ภูมันคว้าข้อเท้าผมลากลงจากเตียง ผมนี่ถึงกับตกใจตะเกียกตะกายคว้าผ้าห่มลากตามมาด้วยเลย

ตุ๊บบบ!!

โอ๊ย! เจ็บตูด ดีนะที่มีพรมไม่งั้นคงกระแทกแรงกว่านี้

“หึ เสร็จกู” ไอ้ภูล้มตัวลงนอนแทนที่ผม หน็อยแน่ คิดว่าผมจะยอมหรอ ไม่มีทาง!!

จากนั้นผมกับไอ้ภูก็ผลัดกันลากอีกฝ่ายลงจากเตียง ลากกันไปลากกันมาก็ฟัดกันอยู่บนพื้นเนี่ยแหละ นานแล้วนะที่ไม่ได้ก่อศึกแย่งชิงอะไรกันแบบนี้จะว่าไปก็สนุกดีแฮะ เหอๆ ๆ

“อือ…หนาว ”

เสียงครางของคนบนเตียงทำให้พวกผมต้องหยุดชะงัก พี่ทีกำลังนอนขดตัวเหมือนเด็กเล็กๆ ที่ต้องการความอบอุ่น ผมกับไอ้ภูมองหน้ากันแล้วสงบศึกโดยอัตโนมัติ เราช่วยกันเช็ดตัวพี่ทีอีกรอบจากนั้นก็อุ้มพี่ทีไปอยู่กลางเตียงแล้วขึ้นไปนอนขนาบคนละด้าน

ที่จริงมันก็ควรจะเป็นแบบนี้แหละ แต่ผมหมั่นไส้ไอ้ภูมันไง เหอะๆ

บอกเลยว่าแอร์ 28 องศาฯ สำหรับพวกเราที่นอนเปิด 16 องศาฯ ทุกวันนี่มันช่างร้อนบรรลัย แต่แค่นี้พี่ทีก็หนาวแล้ว พวกเราเลยได้แต่ต้องทน ผมกับไอ้ภูปกติจะใส่ชุดนอนกันเรียบร้อยแต่วันนี้ไม่ไหวละ ในที่สุดก็ต้องเปลี่ยนจากชุดนอนเป็นบ็อกเซอร์ตัวเดียวแทน เซ็กซี่ไปอีกก

ผมนอนลืมตามองเพดาน คงอีกพักใหญ่ๆ กว่าจะข่มตาหลับลงได้ ถ้าไม่ง่วงมากจริงๆ ผมนอนในที่ร้อนๆ ไม่หลับหรอก

“อือออ..” จู่ๆ พี่ทีก็หมุนตัวเข้ามาซุกที่อกผม หลังจากขยับยุกยิกจนได้ที่ที่น่าจะสบายแล้วก็ส่งเสียงกรนเบาๆ อย่างเป็นสุข

ผมสบตากับไอ้ภูในความมืดที่มองเห็นได้เลือนรางก่อนจะก้มลงไปหอมศีรษะพี่ทีฟอดใหญ่แล้วกอดรวบตัวพี่ทีเข้ามาจมอก

ไอ้ภูทำท่าหงุดหงิด แต่ผมรู้ว่ามันคงไม่มาแงะพี่ทีออกไปหรอกเพราะเดี๋ยวพี่ทีจะตื่น ไอ้ภูถดตัวต่ำลงนอนตะแคงซ้อนหลังพี่ทีจากนั้นก็เอาหน้าซุกซอกคออีกฝ่าย

“อืออออ” พี่ทีดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดของเราสองคน..คงจะรู้สึกอึดอัดล่ะมั้ง นี่พวกผมกำลังรังแกคนป่วยอยู่รึเปล่าวะ แต่พี่ทีขี้หนาวกอดแบบนี้ก็น่าจะดีแล้วไม่ใช่หรอ?

มืออุ่นๆ ของพี่ทีพยายามผลักอกผมออก แต่พอผมไม่ยอมขยับพี่ทีก็เริ่มใช้ศอกดันไอ้ภูที่อยู่ข้างหลังแทน

เรานอนมองพี่ทีพยายามผลักๆ ดิ้นๆ อยู่ครู่หนึ่ง เห็นแล้วน่าสงสารแต่ก็น่ารักดีอ่ะ ชอบจังเวลาพี่ทีป่วยแล้วหนีไปไหนไม่ได้เนี่ยแกล้งสนุ๊กสนุก

(จบบทฟ้าคราม)





แสงยามเช้าส่องลอดหน้าต่างเข้ามาในห้อง ผมค่อยๆ ลืมตาอย่างงัวเงีย ว่าจะขยับตัวบิดขี้เกียจ แต่ก็ขยับไม่ได้อย่างที่ต้องการ

ผมขมวดคิ้วผงกหัวขึ้นกวาดตามองว่ามันเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะต้องผงะที่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นไส้แสนวิชไปซะแล้ว แถมยังรู้สึกถึงอะไรแข็งๆ ที่มันทิ่มหน้าทิ่มหลังอีกต่างหาก เอิ่ม…แซนด์วิชอันนี้คุ้มจังให้ไส้กรอกตั้งสองชิ้น…บ้า! ไม่ใช่แล้ว!! +///+




หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 48: The twin’ s home [6\9\62]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 06-09-2019 21:17:07
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 48: The twin’ s home [6\9\62]
เริ่มหัวข้อโดย: BABYBB ที่ 06-09-2019 21:56:08
โอยยยยย ปวดหัวเลย ถ้าให้อยู่ด้วยนานๆ มีหวังทีช้ำแน่ๆ 5555555
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 48: The twin’ s home [6\9\62]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 06-09-2019 22:39:34
ปกติขนมปังจะห่อไส้กรอก แต่งวดนี้ไส้กรอกห่อขนมปัง  :hao6:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 48: The twin’ s home [6\9\62]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-09-2019 23:20:59
ดีใจ  ไรท์มา   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ว่าและ ..... โอละพ่อเลย เรื่องอาหารเป็นพิษ  :mew2:
ที่แท้มาจากกล้วยบวชชีบูด  o22 :เฮ้อ:
ที้.....รู้ว่ามันบูดยังไปกินอีก ถถถถถถถ 
ก็อยากให้แฝดได้ใกล้ชิดที ......  :-[
แต่เห็นสภาพแล้วสงสารทีมากกกกกกกกก   :z3: :really2: :เฮ้อ:
เอิ่ม…แซนด์วิชอันนี้คุ้มจังให้ไส้กรอกตั้งสองชิ้น…........   :m20: :laugh: :pigha2: o18
แฝด  ที   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 48: The twin’ s home [6\9\62]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 07-09-2019 02:12:58
ฮือๆๆๆ  ไม่เอานิยายไตรมาสนะไรท์
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 48: The twin’ s home [6\9\62]
เริ่มหัวข้อโดย: meteexp ที่ 09-09-2019 12:03:41
รอครับ
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 48: The twin’ s home [6\9\62]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 05-12-2019 16:12:38

ตอนที่ 49



            นี่มันอะไรวะเนี่ย

            ผมนอนตัวแข็งอยู่ในวงแขนของเจ้าแฝดนรกอย่างไม่รู้จะทำหน้าแบบไหนดี ข้างหน้าก็ฟ้าครามนอนเปลือยเปล่าก่ายแขนพาดคอผม ข้างหลังก็ภูผาที่ใช้ต้นขาสองข้างหนีบขาผมไว้ไม่ยอมปล่อย ด้วยความที่เรานอนชิดกันมากอะไรๆมันก็ต้องสัมผัสกันเป็นธรรมดา ผมได้แต่นอนหน้าซีดสลับแดงทำตัวไม่ถูกอยู่พักใหญ่

“ งืมมม…พี่ที ”  ฟ้าครามพึมพำด้วยน้ำเสียงแหบพร่ามือที่พาดอยู่บนคอรั้งใบหน้าให้โน้มเข้าไปใกล้มากขึ้น ฟ้าครามซุกใบหน้าลงที่ซอกคอของผมก่อนจะนิ่งไปแล้วกรนออกมาเบาๆ

            ผมเหลือบมองนาฬิกา เพิ่งจะหกโมงครึ่งยังเร็วไปที่จะปลุกสองคนนี้ให้ตื่นขึ้นมาง้องแง้งวุ่นวายแต่เช้าตรู่ ค่อยๆเอามือดันหน้าฟ้าครามออกจากซอกคอ อีกฝ่ายขมวดคิ้วทำเสียงอืออาเหมือนรำคาญก่อนจะมุดหน้าเข้ามามากขึ้นจนผมต้องกลั้นหัวเราะในลำคอเพราะความจั๊กจี้ ยิ่งหดคอหนีฟ้าครามก็ยิ่งซุกจนผมทนไม่ไหวต้องดิ้นถอยไปด้านหลังชิดอกภูผา

“ อา… ” ภูผาครางอยู่ข้างหู บดเบียดท่อนล่างเข้ามาจนผมสะดุ้งเมื่อส่วนแข็งเกร็งปริศนาแนบชิดอยู่กับบั้นท้ายของผม

“ อือออ…อยาก…..แฮ่กๆ ”

“ ร้อน….ร้อน….”

“ …อยาก…”

“ ….ร้อนนนน ”

            ผมพยายามดึงขาตัวเองออกจากต้นขาของภูผาส่วนด้านบนก็ดิ้นรนสุดแรงด้วยการดันอกฟ้าครามออกไปจากตัว 

“ ภูผา! ฟ้าคราม! อย่ามาเล่นบ้าๆนะ พี่รู้ว่าพวกนายตื่นกันแล้ว!! ” 

            ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สองคนนั้นยังคงกอดและถูไถเข้าร่างกายเข้ากับตัวผมไม่หยุดจนผมเองก็เริ่มรู้สึกแปลกๆขึ้นมาเหมือนกัน

“ ภูผาฟ้าคราม! หยุดเดี๋ยวนี้ ! ไม่งั้นพี่จะโกรธแล้วนะ! ” ผมไม่กล้าพูดเสียงดังมากเพราะกลัวคนนอกประตูจะผ่านมาได้ยินแล้วเปิดมาเจอภาพแปลกๆของพวกเราเข้า

            มือเย็นๆของภูผาสอดเขามาใต้เสื้อนอนก่อนจะลูบไล้ขึ้นไปยังหน้าอกแล้วหยิกที่หัวนมผม

“ อ๊า!!! ” ผมร้องเสียงหลงอย่างตกใจ

“ พี่ที…อาห์…. ” ร่างของภูผาและฟ้าครามบดเบียดเข้ากับตัวผมทั้งด้านหน้าและด้านหลัง พยายามเอาไส้กรอกร้อนๆนั้นเสียดสีไปตามตัวผมโดยมีเพียงเนื้อผ้าบางๆของชุดนอนกั้นเอาไว้

            ผมตื่นกลัวจนมือไม้สั่นไปหมด ได้แต่นอนตัวแข็งปล่อยให้สองคนนั้นเล้าโลมอย่างทำอะไรไม่ถูก จะหนีก็หนีไม่ได้ ขู่ไปก็ไม่ฟังทำเป็นหูทวนลมอีกต่างหาก นี่หรือคือการกระทำของคนที่พร่ำบอกว่ารักกัน รู้สึกแย่ชะมัด…เหมือนกำลังโดนข่มขืนเลย

“ ไม่เอานะภูผาฟ้าคราม! พอได้แล้ว!! อย่าทำเลยนะ…ฮึก  ”  พอผมคว้ามือฟ้าครามไว้ภูผาที่อยู่ด้านหลังก็จะทำหน้าที่แทน พอผมหันไปคว้ามือภูผา ฟ้าครามก็จะเป็นคนเล้าโลมต่อเรียกได้ว่าช่วยกันทำงานไม่มีขาดตอนเลยทีเดียว

            ผมทั้งร้องไห้ทั้งอ้อนวอนแต่สองคนนั้นก็ไม่ยอมหยุด ท่ามกลางหยาดน้ำตาที่หลั่งรินร่างกายไม่รักดีกลับตอบสนองต่อการกระตุ้นของคนทั้งคู่ ความรู้สึกหวาดกลัว ผิดหวัง และละอายรัดหัวใจจนแทบหายใจไม่ออก

“ ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!! ”

 

 

            พรวด!!!

“ แฮ่กๆๆๆๆ ” ผมหายใจหอบถี่ ดวงตาเบิกโพลงมองไปรอบตัวอย่างตื่นตระหนกแต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีร่างเปลือยเปล่าของภูผาฟ้าครามอยู่บนเตียงอย่างที่คิด ก้มลงมองตัวเองเสื้อผ้าก็ยังอยู่ครบ เหลือบมองนาฬิกาก็ไม่ใช่หกโมงครึ่งแต่เป็นแปดโมงเช้า ผมเอามือลูบหน้าผากที่เต็มไปด้วยเหงื่อ ปล่อยให้ตัวเองนั่งหอบเพียงลำพังบนเตียงจนตั้งสติได้แล้วจึงถอนหายใจออกมา

            ฝันซ้อนฝัน

            โชคดี…ที่เป็นแค่ความฝัน

            น้องไม่ได้ข่มขืนผม…ภูผาฟ้าครามไม่มีทางทำเรื่องเลวร้ายแบบนั้น ตอนที่ผมปฏิเสธคำขอเป็นแฟนของสองคนนั้นก็เหมือนกัน ทั้งที่ผมเกือบจะเพลี่ยงพล้ำแต่ในท้ายที่สุดสองคนนั้นก็ขืนใจผมไม่ลง

            ตรู๊ดดดดดดดดดดด ตรู๊ดดดดดด

            ผมเอื้อมมือคว้าโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาแนบหู

‘ ที ตื่นหรือยังลูก ’ เสียงอาแอ๋มดังมาตามสาย

“ ตื่นได้สักพักแล้วครับ กำลังจะไปอาบน้ำ ”

‘ เสื้อผ้าอาจัดไว้ให้แล้วนะวางอยู่ปลายเตียงเห็นใช่มั้ย เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จแล้วลงมาทานข้าวทานยานะลูก ลงมาไหวไหมถ้าไม่ไหวอาจะให้เมดยกขึ้นไปให้ ’

“ ไหวครับอาแอ๋ม ขอบคุณมาก ”

            ผมคว้ามือถือตัวเองที่วางอยู่หัวเตียงมาปลดล็อก มีสายโทรเข้ามาไม่ต่ำกว่ายี่สิบสาย ไหนจะไลน์ที่แจ้งเตือนเด้งรัวๆอีก ผมใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงโทรกลับและพิมพ์ตอบเพื่อนๆที่ทักมาถามอย่างเป็นห่วงอาการของผม หลังวางสายจากแม่ที่บอกว่าจะแวะมารับกลับบ้านตอนเย็นผมก็คว้าผ้าเช็ดตัวและชุดสำหรับเปลี่ยนเดินเข้าไปในห้องน้ำ ถอดเสื้อและกางเกงนอนกำลังจะโยนใส่ตะกร้าแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นกางเกงนอนสีและลายเดียวกันกับที่ผมใส่นอนเมื่อคืนอยู่ในนั้นอีกตัว

            ไม่แปลกที่จะมีชุดนอนซ้ำกันเพราะเสื้อผ้าส่วนใหญ่อาแอ๋มจะซื้อเหมือนกันสองชุดทุกครั้ง แต่ที่ผมแปลกใจก็คือทำไมมีแต่กางเกงนอนไม่มีเสื้อ ปกติภูผากับฟ้าครามไม่นอนถอดเสื้อนะ

            พอผมลงมาด้านล่างภูผากับฟ้าครามที่นอนดูทีวีอยู่ที่ห้องนั่งเล่นก็กุลีกุจอพาผมไปนั่งที่โต๊ะทานข้าวก่อนจะเดินไปตักข้าวต้มปลามาเสิร์ฟให้ด้วยตัวเอง รู้สึกแปลกๆยังไงไม่รู้ที่จะต้องมองหน้าภูผาฟ้าครามหลังจากฝันแบบนั้นไป โอ๊ย!มันก็แค่ฝันเลิกฟุ้งซ่านได้แล้วไอ้ที ทำตัวเหมือนเดิมๆๆท่องไว้

“ เช้านี้กินอาหารอ่อนๆไปก่อนนะพี่ที เพิ่งจะดีขึ้นไม่อยากให้กินอาหารหนัก ” ภูผาวางชามข้าวต้มส่งกลิ่นหอมฉุยลงตรงหน้าผม ส่วนฟ้าครามก็รินน้ำเปล่ามาวางให้พร้อมแก้วใส่ยาเล็กๆ

“ ขอโทษนะ เพราะอาหารที่พวกครามทำเมื่อวานซืนพี่ทีก็เลยท้องเสียเลย แต่ข้าวต้มชามนี้รับรองว่าปลอดภัยแน่ ครามกินไปสองชั่วโมงแล้วยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ”

“ เข้าใจผิดแล้ว พี่ไม่ได้ท้องเสียเพราะของที่พวกเราทำหรอก แต่เป็นเพราะเผลอกินกล้วยบวชชีที่กะทิมันบูดเข้าไปก่อนหน้านั้นต่างหากล่ะ ถ้าเป็นเพราะของที่ภูกับครามทำจริงป่านนี้บ้านพี่ก็ท้องเสียกันทุกคนแล้วรวมถึงพวกนายด้วย ” ผมอธิบายไปใช้ช้อนคนข้าวต้มไปด้วย อืม หอมดี กลิ่นใช้ได้เลยแฮะ

            ผมค่อยๆคนข้าวต้มให้คายความร้อนออกมาเป็นไอสีขาวกรุ่น ภูผากับฟ้าครามย้ายตัวเองมานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วเท้าคางจ้องหน้าผมนิ่ง เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเราสามคน

            เมื่อก่อนเวลาอยู่กับพวกมันผมจะอึดอัดรำคาญใจกับความอ้อนมืออ้อนตีน แต่ตอนนี้กลับอึดอัดยิ่งกว่าเป็นร้อยเท่าก็เพราะสถานะของเรามันโคตร’ คอมพลิเคท ’เลยไงล่ะ

“ แล้วพวกอาแอ๋มไปไหน? ” ผมพูดขึ้นทำลายความเครียดที่น่าอึดอัด

 “ อ๋อ แม่กินข้าวเสร็จแล้ว ตอนนี้ยืนคุมคนงานที่มาซ่อมน้ำพุอยู่อ่ะ ส่วนพ่อกับพี่เฟิร์สไปทำงาน ”

            ผมพยักหน้ารับรู้ เมื่อเห็นว่าข้าวต้มน่าจะกินได้แล้วจึงค่อยๆใช้ช้อนตักใส่ปาก

“ อร่อย! ” ผมอดจะอุทานขึ้นมาอย่างทึ่งๆไม่ได้ ข้าวต้มสีขาวนวลหอมกรุ่นกับเนื้อปลาที่มีรสหวานตามธรรมชาติไม่มีกลิ่นคาวเลยสักนิดยิ่งกินก็ยิ่งหยุดไม่ได้

            ผมก้มหน้าก้มตาตักข้าวต้มใส่ปากจนกระทั่งความรู้สึกหิวบรรเทาลงไปถึงได้ลดความเร็วในการตักอาหารใส่ปากลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกสองคนที่ผมลืมไปซะสนิทว่านั่งอยู่ด้วยเพราะถูกความหิวบังตา

            ลมหายใจเหมือนจะสะดุดไปครู่หนึ่งเมื่อสบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่ทอประกายอ่อนโยนของภูผาและฟ้าคราม สองคนนั้นเท้าคางยิ้มบางๆมองผมกิน แทนที่พอผมเงยหน้าขึ้นมาแล้วพวกมันจะซ่อนสายตากลับกลายเป็นว่าพวกนั้นสบตากับผมโดยไม่คิดเบี่ยงไปทางอื่นราวกับจะยืดอกยอมรับว่าพวกมันแอบมองผมอยู่ต่อให้ผมรู้ตัวพวกมันก็โนสนโนแคร์

            เฮ้อ…เป็น ‘น้องชาย’ ที่มีสายตาชวนให้ลำบากใจเสียจริง-///-

“ พี่ที…ภูจะถาม ”

“ ถามว่า? ”

“ ถ้าไม่ดูปานที่ข้อมือพี่ทีแยกพวกเราออกตั้งแต่เมื่อไหร่ คงไม่ใช่ตอนเช็งเม้งเมื่อหลายปีก่อนใช่มั้ย เหมือนพี่ทีจะแยกได้ก่อนหน้านั้นแล้ว ”

            จู่ๆมาถามอะไรแบบนี้ แต่เอาเถอะก็ไม่มีอะไรเสียหายนี่นะ ตอบตามความจริงไปแล้วกัน

“ น่าจะตอนพี่มาอยู่บ้านนี้ตอนเด็กๆช่วงที่อาแอ๋มชวนมาเรียนเทนนิสกับพวกภูล่ะมั้ง รู้สึกพี่จะอยู่ปอห้าแล้วพวกนายก็อยู่ปอสาม ” ใช่ ถ้าแยกออกโดยเรียกชื่อไม่ผิดเลยก็คงเป็นตอนนั้นนั่นแหละ อันที่จริงก่อนหน้านั้นจะเรียกว่าแยกไม่ออกก็ไม่เชิง ผมมักจะเรียกฟ้าครามว่า ‘คนพี่’ เรียกภูผาว่า ‘คนน้อง’ แต่สองคนนั้นกลับท้วงว่าภูผาต่างหากที่เป็นคนพี่อยู่ทุกครั้งไปทำให้ผมในตอนนั้นรู้สึกสับสนมาก ทั้งที่ความรู้สึกมันบอกแบบนั้น ทั้งที่แยกออก ทั้งที่ไม่เคยเรียกสลับเลยสักครั้ง แต่กลับไม่ถูกต้องงั้นเหรอ? ผมยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้ดี ทุกครั้งที่พบสองคนนี้ผมจะรู้สึกสับสนและอึดอัดเพราะสิ่งที่รู้สึกนั้นไม่ตรงกับสิ่งที่น้องและพ่อแม่บอกผมเลย จากนั้นเป็นต้นมาผมก็ไม่เคยเรียกสองคนนั้นแบบเจาะจงตัวอีก จะเรียกก็เรียกรวมๆกันไปเลยว่า ‘แฝด’

            การที่ความจริงมันขัดกับสิ่งที่รู้สึกอยู่ข้างในมันทำให้ผมเขว รู้สึกหงุดหงิดอย่างประหลาด รู้สึกว่ามันไม่ใช่ ไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่คิดว่าพ่อแม่จะโกหกผม จนกระทั่งมาอยู่ที่บ้านวรกิจเดชสกุลถึงได้รู้ความจริงว่าฟ้าครามนั้นเกิดก่อนถือว่าเป็น ‘ คนพี่ ’ จริงๆ แต่ด้วยญาติฝั่งอาสินธุ์เขาถือว่าฟ้าครามออกมาก่อนเพราะได้ภูผาเสียสละให้ดังนั้นจึงให้เรียกภูผาเป็น ‘คนพี่’ แทน เรื่องนี้แม้แต่ภูผากับฟ้าครามก็ไม่เคยรู้มารู้เอาพร้อมผมตอนที่พวกเรานั่งทานข้าวด้วยกันแล้วอาแอ๋มเล่าย้อนความหลังนั่นแหละ

            หลังจากรู้ความจริงในวันนั้นความขุ่นมัวที่ตกตะกอนในใจก็ราวกับถูกร่อนตะแกรงเททิ้งไป ค่อยรู้สึกว่ามันถูกต้อง มันตรงกับความรู้สึกเราหน่อย

            ทีแรกก็ว่าจะเริ่มเรียกชื่อ ‘ภูผา’ ‘ฟ้าคราม’ ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วแหละถ้าไม่มีบทสนทนานี้เกิดขึ้นมาก่อน

‘ แฝด พวกนายหน้าเหมือนกันขนาดนี้ แล้วเวลามีแฟนจะไม่ลำบากเหรอ ’ ผมถามขณะนั่งมองเด็กชายสองคนที่มีหน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบกำลังช่วยกันต่อรางรถไฟของเล่นอยู่บนพื้นห้อง

‘ ลำบากยังไงอ่ะ-o- ’ คนพี่ ไม่สิ ฟ้าครามเงยหน้าขึ้นมาถามตาแป๋ว

‘ ก็ถ้าแฟนพวกนายจำพวกนายสลับกัน เกิดแฟนครามดันไปหอมภูแทน ครามไม่หึงเหรอ ’

            สองแฝดกอดอกทำหน้าคิด

‘ จริงด้วย พี่ทีพูดถูก! ’

‘ งั้นภูจะแต่งงานกับคนที่แยกภูกับครามออก ใครแยกไม่ออกจะไม่แต่งด้วยเด็ดขาด ’

‘ อ้าว แล้วถ้าชาตินี้ไม่มีใครแยกพวกนายออกเลยล่ะ ’

‘ ครามก็แต่งกับพี่ทีแล้วกันเพราะครามชอบพี่ทีมากถึงจะแยกไม่ออกก็ไม่เป็นไร ’

            ด้วยความกลัวว่าเจ้าแฝดนั่นจะชอบผมมากไปกว่านี้แล้วตามราวีไม่เลิกไม่ราผมเลยแกล้งทำเป็นแยกพวกมันไม่ออกต่อไปจนกระทั่งขึ้นมอต้น ตอนนั้นไปไหว้บรรพบุรุษพร้อมพวกอาแอ๋มแล้วดันหลุดปากเรียกชื่อฟ้าครามเข้าตอนโมโห ก็เลยต้องเลยตามเลยนับแต่นั้นมา

“ จริงดิ! แล้วทำไมเรียกแต่แฝดๆๆล่ะ ” ก็กูกลัวพวกมึงจะยิ่งชอบกูเกาะกูมากกว่าเดิมน่ะสิตอนนั้น-*-

“ ก็พอใจจะเรียก มีไรมั้ย ”

“ ไม่มีครับ // ไม่มีครับ  ”

“ ภูผาหรือฟ้าครามก็ได้ ไปซื้อของเป็นเพื่อนแม่หน่อยสิลูกกกก ” เสียงอาแอ๋มเจื้อยแจ้วมาก่อนตัวเสียอีก

“ ซื้อไรอ่ะแม่ ไม่ไปได้มั้ยอ่ะร้อน ”

“ ก็พวกเสื้อผ้าแล้วก็วัตถุดิบทำกับข้าวนิดหน่อยน่ะลูก ” ผมนึกรู้ทันทีว่าวันนี้อาแอ๋มคงตั้งใจจะลงครัวเองเพราะพ่อแม่ผมจะมาที่นี่ ด้วยความเกรงใจผมจึงอาสา

“ เดี๋ยวทีไปเป็นเพื่อนครับ ” ทานเสร็จพอดี ผมวางช้อนคว้ายาใส่ปากแล้วกลืนน้ำตาม ก่อนจะลุกขึ้นยืนแต่ก็ถูกมือนุ่มๆของอาแอ๋มดันให้นั่งลงไปเหมือนเดิม

“ ไม่ได้ๆเราเพิ่งจะดีขึ้นอยู่บ้านพักผ่อนไปนั่นแหละจ้ะ เดี๋ยวอาให้น้องอยู่เป็นเพื่อนคนนึง”

“ ก็พาคนงานไปช่วยหิ้วของสิแม่ ” ฟ้าครามว่า

“ แม่จะไปซื้อเสื้อผ้าด้วยไงจ๊ะเลยอยากได้คนไปช่วยเลือก น้องแฝดไม่สงสารแม่หรอแก่ปูนนี้แล้วให้ไปช้อปปิ้งคนเดียวเปล่าเปลี่ยวเอกา มีลูกก็เหมือนไม่มี กระซิกๆ ” โอ้โห เล่นใหญ่มากครับอาแอ๋ม รู้เลยว่าไอ้แฝดถอดแบบใครมา

“ ภู...มึงเป็นพี่ต้องเสียสละ ไปเลย ”

“ มึงแหละพี่ เกิดก่อนกูตั้งสี่นาที ”

“ เดี๋ยวเถอะ! มึงๆกูๆพูดจาไม่เพราะเลยลูก ตบปากสามที ปฏิบัติ! ”

            ไอ้แฝดนรกหยุดเถียงกันชั่วคราว มันถอนหายใจกลอกตามองบนแล้วตบปากตาเองเบาๆสามทีก่อนจะทำท่ากำอากาศบริเวณปากแล้วโยนทิ้งข้ามไหล่

“ คิก ” ผมอดขำไม่ได้ เพราะเห็นไอ้แฝดถูกสั่งให้ตบปากตัวเองแบบนี้มาตั้งแต่เด็กจนโต มันดู…น่ารักปนตลกแปลกๆอ่ะ

            เพราะเป่ายิงฉุบแพ้สุดท้ายภูผาก็เลยต้องไปกับอาแอ๋มจนได้ นานๆทีจะได้อยู่กับแฝดแค่คนใดคนหนึ่งแฮะ

“ พี่ที ”

“ หือ ”

“ เล่นเกมกันมั้ย ”

            ผมพยักหน้ารับคำชวนก่อนจะตามฟ้าครามไปที่ห้องนั่งเล่น เจ้าตัวเดินไปนั่งที่พรมหน้าโต๊ะวางทีวีก่อนจะเปิดตู้หยิบเครื่องเล่นเกมมาต่ออย่างคล่องแคล่ว

“ โอ๊ย!ครามบอกแล้วไงว่าอย่าวางระเบิดอ่ะพี่ที! ” อ้าว อุตส่าห์ได้ไอเทมนี้มาจะไม่ใช้เลยมันก็เสียดายนี่หว่าแถมมันยังฆ่าซอมบี้ได้เป็นวงกว้างด้วย ข้อเสียอย่างเดียวคือถ้าไม่ระวังอาจระเบิดตัวเองหรือผู้เล่นคู่หูไปด้วยถ้าหลบไม่ทัน แหะๆ

“ ขอโทษๆ มันเผลอกดโดน ”

“ พี่ทีๆ! บนหัวๆ!! ”

            ผมรีบบังคับให้ตัวละครยิงไปยังซอมบี้ที่มาจากด้านบน ก่อนจะเดินตามตัวของฟ้าครามเข้าไปบุกทะลวงดันเจี้ยนซอมบี้

“ โอ๊ย!ทำไมพี่ทีไม่ใช้ปืนกลอ่ะมันมาเยอะแล้วนะระวังหลังให้ดีดิ ”

“ เดี๋ยวนะ อันนี้หรอ ”

“ นั่นมันไรเฟิล โง่ป่ะเนี่ยพี่ ”

“ เฮ้ยๆๆมาแล้ว!! อ้าว กระสุนหมด!! ”

“ พี่ทียืนเฉยๆเดี๋ยวครามยิงปกป้องเอง ”

            เล่นไปเล่นมากลายเป็นว่าผมแทบไม่ได้สู้เลย ฟ้าครามยิงคนเดียวเกือบหมด กลายเป็นว่าผมมีหน้าที่แค่เดินไปเก็บไอเทมหลังจากฟ้าครามฆ่าซอมบี้ได้ รู้สึกทุเรศยังไงไม่รู้

“ เปลี่ยนเกมเหอะ เบื่อละ” ผมว่า

“ ไมอ่ะพี่ที อ่ะๆๆครามให้ฆ่าตัวนี้ก็ได้ ” ฟ้าครามหยุดยิงบอสซอมบี้แล้วเดินหนี ตัวบอสมันเลยหันมาเล่นงานตัวผมแทน

“ โอ๊ย!พี่ที ครามให้ฆ่าบอสไม่ใช่ไปให้บอสฆ่านะเว่ย! ” ฟ้าครามโวยวายหัวฟัดหัวเหวี่ยง

“ นี่! แค่เกมอย่าเยอะได้ป่ะ! ชักจะรำคาญแล้วนะ!! ” ผมเผลอขึ้นเสียงโดยไม่รู้ตัว แต่มันรู้สึกโกรธจริงๆอ่ะ ก็แค่เกมทำไมต้องซีเรียสขนาดนั้น นี่มันบ่นมันด่าผมไปกี่ครั้งแล้ววะตั้งแต่เล่นด้วยกัน เกินไปแล้วนะโว้ย !

            กริบบบ

            ฟ้าครามถึงกับอึ้งไปเมื่อโดนผมขมวดคิ้วขึ้นเสียงใส่ พอเห็นท่าทางอย่างนั้นของน้องผมถึงได้รู้สึกตัวว่าทำอะไรลงไป

            ผมสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะผ่อนออกมาช้าๆ นึกตกใจตัวเองเหมือนกันที่อารมณ์ขึ้นง่ายกว่าปกติทั้งที่เมื่อก่อนเจอมากกว่านี้ผมยังทนมาได้แล้วเลย

“ ชอบมั้ย ” ผมปรับน้ำเสียงและสีหน้าให้กลับมาเรียบเฉยเหมือนเดิมก่อนถามเสียงเรียบ

“ ฮะ!? ชอบอะไรหรอ..พี่ที ” ฟ้าครามถามด้วยน้ำเสียงแผ่วๆ อาการชักสีหน้าไม่พอใจเมื่อกี้หายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น คนปากจัดขี้โวยวายตอนเล่นเกมหายไปแล้ว ที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้มีเพียงชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่กำลังทำตัวเองให้เล็กลงด้วยการห่อไหล่หดคออย่างหงอๆ

“ ตอนพี่ขึ้นเสียงว่าครามกลับ ครามชอบมั้ย ”

“ พี่ที เมื่อกี้นี้ครามเผลอไปจริงๆ ขอทะ.. ”

“ พี่ถามเราว่าชอบมั้ย ครามตอบไม่ตรงคำถามนะ ”

“ …ไม่ชอบ ” อีกฝ่ายตอบเบาๆก้มหน้าหลบสายตา

“ ทีนี้ครามก็รู้แล้วใช่มั้ยว่าพี่รู้สึกไง ครามรู้สึกแบบไหนพี่ก็รู้สึกแบบนั้นนั่นแหละ”

“…”

“ ครามลองสมมติว่าตัวเองเป็นพี่ดูสิ…คนที่เล่นเกมไม่เก่งแต่ก็อยากจะเล่นกับน้องเพราะคิดแค่ว่าอยากจะหาอะไรสนุกๆทำด้วยกัน แต่กลับต้องมาโดนด่าโดนว่าแถมยังทำตัวกระฟัดกระเฟียดใส่เมื่อไม่ได้ดั่งใจ ทั้งๆที่มันก็แค่เกม ถ้าครามเป็นพี่ครามจะรู้สึกยังไง มันใช่เรื่องเหรอ ”

“ …”

“ คิดว่ามันคุ้มมั้ย ต้องทำให้พี่โกรธเพื่อแลกกับชัยชนะที่ให้ความภาคภูมิใจแค่ชั่วคราว ”

“…”

“…ต่อไปก่อนจะทำจะพูดอะไรลองสมมติดูนะว่าถ้าครามเป็นอีกฝ่ายครามจะรู้สึกยังไง แล้วครามจะไม่พลาดเหมือนในวันนี้ ”

“ พี่ที…ครามขอโทษ ”

“ เบื่อจะฟังแล้วสันดานเสีย ขอโทษไปก็ไม่เคยปรับปรุงตัว เอื่อมระอาเป็นบ้า ”

“!!...”

“ เป็นไงคำพูดแบบไม่คิดของพี่ เจ็บมั้ยล่ะ ”

“ เจ็บ..จุกเหมือนโดนชกใต้ลิ้นปี่เลยพี่ที ”

“ …คราวนี้จะยกโทษให้ ถ้าคราวหลังพูดไม่คิดอีกพี่จะโกรธจริงๆแล้วนะ”

“ อ้าว! งั้นตอนนี้ก็โกรธปลอมๆอยู่อ่ะดิ ” ฟ้าครามสวนทันทีก่อนจะเอามือตะครุบปากตัวเองเมื่อเพิ่งรู้ตัวว่าปากไวอีกแล้ว

“ ขอโทษครับ ”

“ เฮ้อ…” ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอกเหนื่อยใจ แต่พอเห็นท่าทางสำนึกผิดและยอมรับฟังคำสั่งสอนอย่างว่าง่ายของน้องมันแล้วผมก็ใจอ่อนโกรธไม่ลงได้แต่เอื้อมมือไปยีหัวฟ้าครามเบาๆ เราสองคนต่างนั่งเงียบกันไปพักใหญ่หน้าจอทีวีที่ขึ้นคำว่า ‘ GAME OVER ’

“ ขอบคุณนะพี่ที ” จู่ๆฟ้าครามที่เงียบไปนานก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ผมหันไปมองถึงได้เห็นว่าฟ้าครามกำลังยิ้มบางๆมองมาที่ผมด้วยแววตาอ่อนแสงที่มีประกายความยินดีเจืออยู่

“ เรื่องอะไร? ”

“ ก็เรื่องที่เตือนที่บอกกันตรงๆเมื่อกี้นี้ไง ขอบคุณที่ยั้งครามนะเพราะบางทีครามก็เผลอตัวไปไม่ทันคิดจริงๆ…พี่ทีอย่าเพิ่งเอือมครามนะ อะไรที่ไม่ดีไม่ถูกก็คอยบอกคอยสอนครามแบบเมื่อกี้นี้หน่อย บางทีครามก็ไม่รู้จริงๆว่าทำแบบนั้นแบบโน้นมันไม่เหมาะ พี่ทีต้องบอกครามนะ อย่าปล่อยให้ครามทำต่อไปจนโดนพี่ทีเกลียดแบบไม่รู้ตัว …เมื่อกี้ที่พี่ทีพูดออกมาครามตกใจมาก..แต่ตอนนี้ดีใจมากกว่าที่พี่ทียอมบอกว่ารู้สึกยังไงออกมาตรงๆ คราวหลังก็ทำแบบนี้นะ รู้สึกยังไงก็พูดออกมา ครามจะได้รู้แล้วก็ไม่ทำอีก ” 

“ … ” ผมมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยได้ยินใครพูดกับผมแบบนี้เลยสักครั้ง รู้สึกเหมือนจิตใจที่เว้าแหว่งเพราะเอาชิ้นส่วนไปเติมให้แต่คนอื่นกำลังได้รับการเติมเต็ม บางทีนี่อาจจะเป็นคำที่ผมอยากได้ยินจากคนที่รักมาตลอด

            พูดได้จริงๆเหรอ…พูดแล้วจะไม่ถูกเกลียดใช่ไหม จะยังรักผมเหมือนเดิมใช่มั้ย จะยอมรับในความเป็นตัวผมจริงๆใช่มั้ย…

“ ครามชอบพี่ที ชอบมากจนไม่อยากถูกพี่ทีเกลียด พี่ทีจะเอาแต่ใจไม่ยิ้มไม่ใจดีด้วยยังไงครามก็ยังชอบ ครามชอบทุกความคิดทุกเรื่องที่ดีและไม่ดีของพี่ ครามชอบพี่ทีที่เป็นพี่ที ” ฟ้าครามมองตาผมแล้วเอ่ยออกมาอย่างจริงจังจนผมไม่กล้าคิดว่าน้องมันกำลังล้อเล่น

            ผมเอามือปิดปากหันหน้าหลบไปอีกทาง แก้มมันชักจะร้อนขึ้นทุกทีๆจนผมกลัวว่าฟ้าครามจะสังเกตเห็น

“ ในฐานะอะไร…ชอบในฐานะอะไร ”

“ พี่ทีอยากให้อยู่ในฐานะอะไรครามก็อยู่ทั้งนั้น ”

“ ฟังดู Loser จังนะ... ”

“ พี่ทีไม่เคยได้ยินหรอว่าความรักน่ะ ใครรักก่อนถือว่าแพ้… ”

“…”

“ ครามแพ้พี่ทีแล้ว พี่ทีจะทำยังไงก็แล้วแต่พี่ทีเถอะ ”

 

 

#เกียร์คู่

(@candleguard)





-------------------------------------------------------------------------------------------------

 
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 49: ผู้เเพ้ในเกมรัก [5\12\62]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 05-12-2019 21:22:31
 o13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 49: ผู้เเพ้ในเกมรัก [5\12\62]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 05-12-2019 23:28:54
รออีกแฝดมาเผยความในใจ  :laugh:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 49: ผู้เเพ้ในเกมรัก [5\12\62]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-12-2019 09:59:58
วาบหวามกับความฝันของที  :impress2: :impress2: :impress2:
รอฝันของทีกับของแฝดเป็นจริง  :z1:
คราม สารภาพรักแบบจริงจัง  :o8:
แบบที่ว่ารักตัวตนของที ทั้งที่ดี และไม่ดี  :-[
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) ตอนที่ 49: ผู้เเพ้ในเกมรัก [5\12\62]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 01-03-2020 16:08:17
side story  : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม4



เรื่องนี้เกิดขึ้นช่วงสอบปลายภาคเทอมหนึ่งของพวกเรา..


‘ทุกคน เรามีเรื่องจะขอร้อง’ ไอ้ไมค์พูดขึ้น ผมหันไปมองอย่างประหลาดใจเพราะร้อยวันพันปีมันไม่เคยขอให้พวกผมช่วยอะไรเลย

เรื่องก็มีอยู่ว่าไอ้ไมค์อยากจะขอเอาลูกแมวสามตัวมาค้างที่ห้องคืนนึงเพราะพรุ่งนี้มันเหลือสอบเช้าอีกวิชาเดียวถึงจะกลับบ้านได้ ทีนี้บ้านมันขอลูกแมวจากคนรู้จักไว้แล้วคนรู้จักคนนั้นก็กำลังจะไปต่างจังหวัดไอ้ไมค์เลยจำเป็นต้องไปรับลูกแมวมาก่อนที่เขาจะไป

‘ลูกแมวเหรอ! เอาดิๆ ๆ กูชอบแมวมากๆ เลย’ ไอ้วาดีอกดีใจออกนอกหน้า

‘เห้ย แล้วจะไม่โดนลุงยามจับได้หรอวะ’ ผมเตือน หอพวกเราจะมียามนั่งเฝ้าที่ประตูทางเข้าเพื่อคอยสกรีนคนเข้าออกหอและมียามคอยเดินตรวจตามชั้นในแต่ละช่วงของวันอีกด้วย

‘คืนเดียวเอง ความไม่แตกหรอกปอพวกเราก็ช่วยๆ กันปิดสิ’ ไอ้ต้นว่า

‘มาๆ ๆ วางแผนกันดีกว่าว่าจะเอาแมวขึ้นหอยังไงดี’ รู้สึกว่าอะไรที่มันผิดกฎมึงดูจะกระตือรือร้นที่จะทำเป็นพิเศษเลยนะไอ้วา

และแล้ววันปฏิบัติการแอบเอาลูกแมวขึ้นหอก็มาถึงตอนนี้พวกเราสี่คนยืนอยู่ที่ลานจอดรถหน้าหอพักพร้อมกล่องกระดาษใส่ลูกแมวอีกหนึ่งใบ

ผมมองกล่องในมือไอ้ไมค์อย่างคิดหนัก จะรอดมั้ยวะเนี่ยคือลูกแมวสามตัวของมันคึกมากอ่ะ ไม่รู้แดกกระทิงแดงเข้าไปหรือไงถึงได้กระโดดกระเด้งกันไปมาอยู่ในกล่องเสียงดังตุ้บตั้บแถมยังร้องเมี้ยวๆ ๆ แข่งกันดังลั่นทะลุออกมานอกกล่องเลย นี่มันเหนือความคาดหมายของผมมาก ตอนแรกผมคิดว่ามันจะเป็นลูกแมวน่ารักๆ นอนเงียบๆ ให้พวกผมพาขึ้นหอได้สบายๆ เสียอีก งานงอกแล้วมั้ยล่ะ=_=;;

‘เอาไงดีวะ แมวแม่งร้องเสียงดังยังกะโอเปร่า’ ไอ้ต้นหันมาปรึกษา

‘เอางี้เปลี่ยนแผน เดี๋ยวกูเข้าไปชวนลุงยามแกคุยก่อน พอพวกมึงได้จังหวะก็รีบเดินเข้าไปเลยนะทำเป็นคุยกันสนุกสนานหัวเราะให้มันดังๆ กลบเสียงลูกแมว’ ไอ้วาวางแผนเป็นฉากๆ ที่เราเลือกขนแมวกันช่วงเวลานี้ก็เพราะมันบอกว่ายามกะนี้มันซี้ที่สุดนั่นแหละ

ไอ้วาเดินเข้าไปก่อนเป็นคนแรกมันยืนเท้าแขนกับโต๊ะลุงแกจากนั้นก็เริ่มโฟ่ไม่หยุดปาก

‘กูชักเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่ะ’ ไอ้ไมค์เริ่มมือไม้สั่นเมื่อพวกเรากำลังจะเดินเข้าไปในตึก

‘ทำการใหญ่ใจต้องเหี้ยม’ ไอ้ต้นวางมือบนบ่าไอ้ไมค์ด้วยสีหน้าจริงจังจนผมอดขำไม่ได้

‘พูดยังกับจะเเอบเอาแมวขึ้นไปแดก’ ผมว่า

‘ถอยไม่ได้แล้ว ไปโว้ย’ ไอ้ต้นเอื้อมมือกอดคอไอ้ไมค์ฉุดให้มันเดินเข้าไปในหอ

‘อุวะฮ่าๆ หนังแม่งโคตรตลกเลยเนอะมึง คุ้มค่าบัตรจริงๆ เลย ฮ่าๆ ๆ ๆ’ ไอ้ต้นขึ้นบทสนทนา

‘เออ กูโคตรชอบฉากนวดแผนไทยเลย พีคสัสๆ กร๊ากๆ ๆ ๆ ๆ ’ ผมรับมุกทันที ตอนนี้พวกเราก้าวเข้าใกล้จุดที่ไอ้วากับลุงยามอยู่เข้าไปทุกทีๆ แล้ว

ตุ๊บตั๊บๆ เมี้ยวววว มิ้วววว เงี้ยววว เมี้ยววว

เฮ้ยย! มึงมาร้องเสียงดังอะไรตอนนี้อีกวะ- [] =เดี๋ยวก็โดนยามจับได้กันพอดี

พวกผมสามคนเหลือบตามองหน้ากันอย่างลนๆ จะหันหลังกลับก็ไม่ได้ด้วยเพราะลุงยามแกมองมาทางพวกผมแล้ว

หรือวิ่งเข้าไปเลยดีวะ ไม่ได้ๆ ๆ ยิ่งดูมีพิรุธหนักเลยแบบนั้น

ตุ้บตั้บๆ ๆ กุกๆ ๆ ๆ

โว๊ยยย ไอ้แมวผีพวกนี้นี่ไม่รู้กาลเทศะเอาซะเลย!

ผมเห็นไอ้วามันหันไปพูดอะไรสักอย่างแล้วลุงยามแกก็เอี้ยวตัวไปหยิบมือถือของแกที่ชาร์จแบตอยู่ด้านหลัง จังหวะนั้นผมรีบลากคอไอ้ไมค์เดินผ่านเข้าไปแบบใส่ตีนผี พอพ้นรัศมีสายตาของยามแกพวกผมก็ถอนหายใจกันยกใหญ่ ก่อนจะเงยหน้ามายิ้มให้กันอย่างขบขัน นี่พวกเรากำลังทำอะไรกันอยู่วะ ปัญญาอ่อนสิ้นดี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแอบสนุกอยู่เหมือนกัน

พอเปิดกล่องออกมาปุ้บผมก็ได้เห็นลูกแมวขนขาวแซมดำสามตัว ไอ้ต้นร้องอู้วหูวล้วงมือเข้าไปลูบๆ มันอย่างเอ็นดู ผมนั่งมองไอ้ไมค์แกะอาหารกระป๋องแล้ววางลงไปในกล่อง ลูกแมวกรูกันเข้าไปกินอาหาร ท่าทางมันจะหิวมากเลยนะเนี่ย

ปัง ตึกๆ ๆ

ไอ้วาเปิดประตูวิ่งเข้ามาในห้อง ถลามาชะโงกหน้าดูลูกแมวทันที

‘น่ารักว่ะะะะ’ ไอ้วาตาเป็นรูปหัวใจไปแล้วครับ

‘เนอะ’ ไอ้ไมค์หันไปยิ้มให้ไอ้วา

ไอ้วาเป็นคนเดียวในห้องที่สอบเสร็จแล้วแต่ยังไม่กลับบ้านเพราะจะอ่านหนังสือเตรียมสอบหมอดังนั้นมันจึงถูกไอ้ไมค์ไหว้วานให้ช่วยดูแลแมวในระหว่างที่พวกเราอ่านหนังสือและไปสอบกัน ซึ่งไอ้วาก็ตกปากรับคำอย่างเต็มอกเต็มใจ

วันต่อมาพอผมสอบเสร็จกลับมาที่ห้อง เปิดมาปุ๊บนี่แบบ อื้อฮือกลิ่นฉี่แมวโคตรฉุนเลย ที่จริงกลิ่นนี้มันก็มีมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วแหละแต่วันนี้ดูเหมือนจะแรงขึ้นอีกทั้งสาบทั้งฉุน

‘มึงดู’ ไอ้วากอดอกชี้ไปที่เตียงของมัน

ผมมองตามมือมันแล้วก็หัวเราะ ถอดผ้าปูไปซักแบบนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าเกิดอะไรขึ้น

‘เป็นไง ยังชอบแมวอยู่มั้ย’ ผมหัวเราะหึๆ ขณะเปลี่ยนเสื้อไปด้วย

‘กูจะเลิกชอบมันแล้ว โอ๊ย โคตรซนเลย เมื่อกลางวันมันร้องเสียงดังมากแล้วยามก็เดินผ่านหน้าห้องตั้งสามกูเลยต้องเปิดเพลงแมวคริสต์มาสกลบ ดูดิกล่องมันเปื่อยฉี่จนขาดพวกมันเลยออกมาข้างนอกกระโดดกระเด้งไปทั่วห้อง แล้วแม่งก็ปีนขึ้นไปฉี่บนเตียงกูอ่ะ เหม็นหึ่งเลย คืนนี้กูจะนอนยังไงล่ะเนี่ยTvT’ ไอ้วาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ไอ้ท่าทางตื่นเต้นที่จะได้เล่นกับลูกแมวนี่หายไปหมดเลย เห็นหน้าตาเข็ดขยาดของมันแล้วผมก็อดขำไม่ได้

ไอ้วานั่งพิงเตียงไอ้ไมค์มองลูกแมวก้มหน้าก้มตากินอาหารกระป๋อง ผมลงไปนั่งข้างๆ ใช้นิ้วคีบคอเจ้าตัวนึงขึ้นมาอยู่ในระดับสายตา

‘ตะกละนะมึงน่ะ’ ผมจ้องหน้ามันแล้ววางลงที่เดิม

ผมกับไอ้วานั่งมองลูกแมวกินอาหารเงียบๆ กันสองคน

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผมไม่เคยได้ยินไอ้วาพูดว่าชอบแมวอีกเลย





‘พวกมึงง เจปีนี้มีใครกินมั่ง’ ไอ้วาถาม

‘เราไม่กิน’ ไอ้ไมค์

‘ม่ายกินนน’ ไอ้ต้น

‘กูกิน’ ผมตอบ

‘ห๊ะ!! มึงเนี่ยนะไอ้ปอ ไม่อยากจะเชื่อ!!’ ไอ้วาทำตาโตมองผมอย่างเคลือบแคลง

‘ทำไมฮะ หน้ากูมันดูใจบาปหยาบช้ามากนักหรือไง’

‘ป๊าวววว’

‘เดี๋ยวมะรืนจะเอาขนมจีนน้ำยาเจที่บ้านมาฝากนะทุกคน ไม่อยากจะอวดว่าขนมจีนที่บ้านกูทำนี่อร่อยกว่าแบบไม่เจอีกนะ’

‘กินๆ ๆ ’ ไอ้ต้นตอบรับแบบไม่ต้องคิด

- สองวันต่อมา –

พวกเราสี่คนนั่งล้อมวงกินขนมจีนน้ำยาเจกันบนพื้น ผมไม่คาดหวังอะไรมากกับพวกอาหารเจหรอกถึงจะไม่อร่อยก็กินได้อยู่ดี แต่ทันทีที่เข้าปากคำแรกผมก็ถึงกับตาโต

‘เห้ยยยย!! อร่อยจรูงงง>..<’ ไม่ใช่เสียงผมครับ เสียงไอ้ต้น=_=

‘อร่อยกว่าแบบไม่เจอีกแฮะ’ ผมชมก่อนจะใช้ช้อนตักเฉพาะน้ำยาขึ้นมากินแล้วพยายามวิเคราะห์ว่ามันมีอะไรเป็นส่วนประกอบบ้าง

‘ใช่มั้ยล่ะ!’ ไอ้วากอดอกทำหน้าภูมิใจนักหนาทั้งที่ก็ไม่ได้ทำเองแต่เป็นคนแบกมาเฉยๆ

‘เห้ย ลืมไป แม่ติดผักมาให้ด้วย’ มันวิ่งออกไปหยิบของที่ตู้เย็นก่อนจะกลับมาพร้อมถุงผักอันประกอบไปด้วยถั่วงอก ใบโหระพา แครอทหั่นฝอย แล้วก็แตงกวา

พวกผมตักผักใส่จานแต่ไอ้วาไม่มีทีท่าจะตักสักนิด นั่งกินขนมจีนราดน้ำยาเพียวๆ ของมันไป

‘วา ไม่กินผักเหรอ’ ไอ้ไมค์ถาม

‘ไม่อ่ะ ไม่ชอบ พวกมึงเอาไปให้หมดเลยไม่ต้องเผื่อกู’

ผมตักแครอทใส่จานมันพูนๆ

‘ไอ้บ้าปอ! ทำไรเนี่ย’ มันโวยวายจะตักคืน ผมก็ยกจานหนี

‘อร่อยดี กินดู’ ไอ้วามันเป็นคนขี้งกไม่กล้าทิ้งของหรอกครับ ถ้าไม่มีใครรับไปมันก็จะฝืนกินเอง

พอถูกพวกผมคะยั้นคะยอให้กินแครอทมากๆ เข้าไอ้วาเลยยอมกินจนได้

‘เฮ้ย! ก็ไม่แย่นี่หว่า’

‘เห็นมะ’ ผมยิ้ม

แล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาไอ้วาก็เริ่มหัดกินผักชนิดอื่นๆ นอกจากแครอท







บางทีเบื่อมาม่าพวกเราก็ลงมากินข้าวที่โรงอาหารโต้รุ่งด้วยกัน

‘ทำไมแตงโมไม่หวานเลยวะ เย็นก็ไม่เย็น’ กินข้าวเสร็จไอ้วาก็ต่อด้วยแตงโม

ผมดูดน้ำพุทราก่อนจะวางแล้วหยิบมือถือขึ้นมาเล่น ไอ้วาจิ้มแตงโมมาแช่ในแก้วผม

‘นี่! เม็ดแตงโมตกในแก้วกูหมดแล้ว’

‘เฮ้ย! ใช้ได้ว่ะ เย็นแถมหวานขึ้นด้วย ฮ่าๆ ๆ ’

ผมได้แต่มองแก้วน้ำพุทราที่มีเม็ดแตงโมอยู่ก้นแก้วของตัวเองแล้วยิ้มละเหี่ย







บางวันไอ้วานึกคึกขึ้นมามันก็จะหาเรื่องแกล้งชาวบ้านชาวช่อง วันนี้ทุกคนกลับมาที่ห้องแล้วยกเว้นไมค์ ไอ้วารีบเดินไปล็อกประตู

แกร๊กๆ ๆ

เสียงไอ้ไมค์ไขกุญแจเป็นสัญญาณเรียกให้ไอ้วากับไอ้ต้นรีบวิ่งไปช่วยกันเอาตัวดันประตูเอาไว้ ส่วนผมนั่งห้อยขาอยู่บนเตียงชั้นบนมองพวกมันเล่นกันเป็นเด็กๆ

‘วา เปิดประตู’

‘บอกรหัสมาก่อน!’ ไอ้วาหัวเราะคิกคักกับไอ้ต้น จะว่าไปไอ้ต้นนี่เหมือนลิ่วล้อไอ้วาชะมัดจะทำอะไรเป็นเห็นดีเห็นงามร่วมด้วยช่วยกันตลอด

‘…’ ไอ้ไมค์มันเป็นคนนิ่ง ไอ้วาเล่นแบบนี้ไอ้ไมค์จะทำยังไงผมก็ชักอยากเห็นแฮะ

แกร๊กๆ ๆ ไอ้ไมค์ยังพยายามหมุนลูกบิดประตู

‘บอกรหัสมาก่อน ไม่งั้นไม่เปิดนะ’

‘…’

‘เอางี้ ร้องเมี้ยวๆ ก็ได้ เดี๋ยวเปิดเลย คิกๆ ๆ ’

‘เปิดประตูเร็ววา’

‘ร้องเมี้ยวๆ ๆ ก่อนดี้!’

‘ไม่-_-’

‘เร็วๆ ๆ เมี้ยวๆ ๆ แค่นิดเดียวเอง’

ไอ้ไมค์เงียบไปพักใหญ่ ไอ้วากับไอ้ต้นเห็นไอ้ไมค์ไม่ตอบสนองก็หมดสนุกเลยเลิกดันประตู คุณชายไมค์เดินมาดนิ่งเข้ามาชิวๆ

‘มานี่เลยวา’ ไอ้ไมค์จับไอ้วาล็อกคอด้วยแขนข้างเดียว อีกข้างก็ทำเป็นกำปั้นขยี้ขมับไอ้วาจนร้องโอดโอย

‘โอ๊ย! ใครก็ได้ช่วยด้วย ปีศาจแมวยักษ์ทำร้ายหนุ่มหล่อไม่มีทางสู้ โอ๊ยๆ ๆ ’

หนุ่มหล่อไม่มีทางสู้งั้นเหรอ=_=

‘โอ๊ยเจ็บๆ ๆ ไมค์กูยอมแล้ว ปล่อยกูเถอะน้า’ ไอ้วาใช้สองมือจับแขนที่ล็อกคออย่างพยายามจะดึงออกแต่ไอ้ไมค์มันข้อแข็งกว่าจึงไม่สะเทือนเลยสักนิด

‘ต้นนนนน ช่วยด้วยยยย ปอออออ ช่วยด้วยยยยย’ ไอ้ต้นหนีไปหลบในห้องน้ำแล้วมั้งนั่น

หึ! เจอคนจริงเข้าไปเป็นไงล่ะ ผมยิ้มสะใจแทนไอ้ไมค์

‘ไมค์ ปล่อยกูเถอะน้า เมี้ยวๆ ๆ ๆ กูยอมเป็นแมวของมึงแล้วเนี่ย เมตตาเค้านะเมี้ยววววว’

ร้องเป็นแมวจนเสียงแหบไอ้ไมค์ถึงได้ยอมปล่อย พอไอ้ต้นกลับมาไอ้วาก็รีบฟ้องทันทีว่าต้นก็ร่วมด้วย แต่ไอ้ไมค์กลับทำหน้านิ่งไม่ได้ลุกไปทำอะไรไอ้ต้น ไอ้วาเลยโวยวายเรียกร้องหาความยุติธรรมเสียยกใหญ่ท่ามกลางรอยยิ้มขบขันของพวกผมทุกคน



--------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม4 [1\3\63]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-03-2020 17:30:33
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม4 [1\3\63]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 01-03-2020 23:09:20
 :-[ :-[
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม4 [1\3\63]
เริ่มหัวข้อโดย: tiger2006 ที่ 02-03-2020 00:07:17
 o13 :mew1:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม4 [1\3\63]
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 02-03-2020 21:44:08
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม4 [1\3\63]
เริ่มหัวข้อโดย: Bebii123 ที่ 17-03-2020 15:51:31
รอน๊าาาาาา  :pig4: :o8:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม4 [1\3\63]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 24-03-2020 09:46:43
side story : Where R U อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม 5





ประตูเข้ามาในห้องก็เห็นไอ้วากำลังดูลายมือไอ้ไมค์อยู่

‘โห ไมค์ มึงอายุยืนมากเลยนะเนี่ย เส้นยาวถึงข้อมือแหน่ะ’

‘เส้นนี้น่ะหรอ’

‘ใช่ๆ อื้อฮือ มึงเป็นคนแข็งแรงมากๆ เลยนะเนี่ย ไม่ค่อยป่วยเลยใช่มั้ย’

‘อือใช่’

‘มึงใช้เงินเก่งปานกลางนะ’

ไอ้ไมค์พยักหน้าท่าทางจะตรงแฮะ

‘เฮ้ย ไหนดูให้กูบ้าง’ ผมแบมือไปตรงหน้า

‘กูต่อไมค์เว้ย ตามคิวๆ ’ ไอ้ต้นรีบออกปากปกป้องสิทธิ์ดูดวงของมันทันที

‘เออๆ ๆ ต่อมึงก็ได้’

พอมาถึงตาไอ้ต้น ไอ้วาก็ทำนายให้ห้าหกอย่าง ไอ้ต้นทำหน้าตื่นตาตื่นใจบอกว่าตรงไม่ขาดปาก ขณะที่ไอ้วากำลังจะดูให้ผมไอ้ต้นก็ถามว่าไอ้วายังดูอย่างอื่นเป็นอีกมั้ยนอกจากห้าหกอย่างที่บอกมันไป

ไอ้วาทำหน้าคิดก่อนจะทำหน้าเหมือนนึกอะไรได้ มันปล่อยมือผมกลับไปจับมือไอ้ต้นอีกรอบ

‘กูจะดูให้ว่าชาติที่แล้วมึงมีอาชีพอะไร’

ฟังดูน่าสนใจ ผมกับไอ้ไมค์เลยกอดอกดูใกล้ๆ ไอ้วาหยิบปากกาเมจิกแบบลบไม่ออกขึ้นมาจรดลงบนฝ่ามือไอ้ต้น

‘ต้องใช้ปากกาด้วยอ่อวะ?’

ไอ้วาพยักหน้านิ่งๆ ก่อนตอบ ‘ต้องดูลายมือคู่กับคำนวณวันเดือนปีเกิดมึงอ่ะ’

‘เกิดวันที่?’

‘แปด’

ไอ้วาดึงฝ่ามือไอ้ต้นเข้าไปใกล้หน้ามันจนพวกผมสามคนมองไม่เห็นว่าไอ้วามันเขียนอะไร

‘เดือน?’

‘พฤศจิกายน’

หลังจากถามปีเกิดและเวลาเกิดเรียบร้อยไอ้วาก็เขียนยุกยิกลงบนมือไอ้ต้น จากนั้นก็สั่งให้ไอ้ต้นกำมือข้างนั้นไว้อย่าเพิ่งเปิดดู

‘ชาติที่แล้วมึงเป็นทหาร’

‘รู้ได้ไงอ่ะ’ ไอ้ต้นท่าทางตื่นเต้น

‘เพราะมึงต้องไปรบ แบมือดูสิ’

บนฝ่ามือไอ้ต้นเต็มไปด้วยเลขที่เขียนมั่วๆ และรูปอุนจิแลบลิ้น พร้อมข้อความ ‘อย่าลืมไป(รบ)ลบนะจ๊ะ;p’

ผมกับไอ้ไมค์สตั๊นไปสามวิก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น

โอ๊ยยยยย ไอ้วา ทำไมมึงแสบแบบนี้วะ กร๊ากกกก!!





วันหนึ่งในตอนเช้าตรู่ ไอ้วากับไอ้ต้นส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันอยู่ที่ระเบียง หนวกหูชะมัด ไม่สงสารคนมีเรียนแค่บ่ายอย่างผมกับไอ้ไมค์บ้างเลย

‘โอ้โห เหี้ยตัวใหญ่อย่างกับจระเข้แน่ะ!’

‘เหี้ย! ใหญ่เหี้ยๆ!’ เสียงไอ้ต้น

‘รุ่นพี่บอกว่ามอเราถ้าเห็นเหี้ยแสดงว่าจะได้เอแหละ’

‘ใช่ๆ ๆ พี่กูก็บอกงั้น’

‘get Aๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ’

‘get Aๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ’

‘โอ๊ย! จะบูชาเหี้ยก็ไปบูชากันที่อื่น คนจะหลับจะนอน!’

‘รีบตบปากเลยไอ้ปอ เดี๋ยวท่านเหี้ยก็ลงทัณฑ์ให้มึงแดกเอฟหรอก’

‘ก่อนกูจะแดกเอฟมึงนั่นแหละจะแดกตีนกูถ้ายังไม่หยุดแหกปากแต่เช้าแบบนี้’

‘เกรี้ยวกราดดุดันราวกระทิง’

‘เออ!!’ ผมตลบผ้าห่มคลุมโปง





วันนี้ผมกับไอ้วามีเรียนแค่ช่วงบ่าย ในห้องจึงเหลือแค่เราสองคนเพราะต้นกับไมค์มีเรียนเช้า

หึๆ ๆ ได้เวลาล้างแค้น

‘เหี้ยยยยย!!! เหี้ยตัวใหญ่เหี้ยๆ เลยโว้ยยย มาดูเร็วไอ้วา’

‘ZZZ’

‘get Aๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ!!!!! ไอ้วา รีบมาขอเอเหี้ยเร็วๆ โว้ย เดี๋ยวมันไปก่อนนะ’

‘ZZZ’

‘ตื่นๆ ๆ ๆ ออกมาดูเร็วมึง!!!’

‘เฮ้ย! น้อง’

‘เหี้ย!’ ผมสะดุ้งโหยง พี่หนวดเฟิ้มห้องข้างๆ ที่หน้าตากำลังอารมณ์เสียแบบสุดๆ โผล่หน้ามาที่ระเบียง

‘เบาๆ หน่อยดิวะ คนอื่นเค้าจะนอน แหกปากเหี้ยไรแต่เช้าฮะไอ้เหี้ย!’

‘ขอโทษครับพี่ๆ ’

‘อย่าให้มีอีกนะ’

‘ครับพี่ๆ ’ ผมก้มหัวขอโทษปลกๆ พอกลับเข้ามาในห้องก็เห็นไอ้วานอนกอดหมอนข้างกลั้นหัวเราะจนตัวงอ

เหี้ยเอ๊ย!!!





พรึ่บ!

แย่ชะมัด จู่ๆ ก็ไฟดับ หอถูกๆ ก็อย่างนี้แหละ

ผมวางดินสอที่กำลังนั่งทำโจทย์ก่อนจะหยิบมือถือเปิดไฟฉายเดินออกไปนอกห้อง วันนี้พวกที่เหลือมันไปเดินตลาดอินเตอร์กันส่วนผมไม่ไปเพราะจะประหยัดตังค์ สิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจT-T

พัดลมก็ดับ เฮ้อ ออกไปนั่งนอกห้องดีกว่า

ห้องอื่นก็เปิดประตูออกมานั่งข้างนอกกัน เป็นครั้งแรกที่ผมมีโอกาสคุยกับเพื่อนข้างห้องและห้องตรงข้าม หลังจากไฟมาผมก็กลับเข้าห้อง

เฮ้อ เงียบจังแฮะ





พรุ่งนี้มีสอบเก็บคะแนนผมเลยเปิดไฟที่หัวเตียงนอนอ่านหนังสือ ไอ้ไมค์นอนอ่านนิยายกำลังภายในออนไลน์อย่างที่เป็นมาทุกคืน ไอ้ต้นนอนดูซีรี่ย์สืบสวนในโน้ตบุ๊ค ส่วนไอ้วานั่งอยู่ที่โต๊ะกำลังอ่านหนังสือสอบกสพท.อย่างขะมักเขม้น

ผมชอบบรรยากาศแบบนี้นะ บางทีเราไม่จำเป็นต้องคุยกันก็ได้ ขอแค่ได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบโดยมีคนอื่นๆ อยู่ด้วยกันเงียบๆ ก็พอแล้ว

แมลงตัวหนึ่งบินมาเล่นแถวๆ ไฟหัวเตียงผมเลยเอามือปัดๆ มันออกไป พอมันตกลงมาบนต้นขาผมก็เอามือปัดอีกแต่มันก็ไม่หลุดไปผมเลยเอามือบี้มันเต็มแรงจนแบนแต๋คาขาผมไปเลย ผมหยิบซากมันลงไปทิ้งที่ถังขยะนอกระเบียงก่อนจะเทน้ำล้างมือแล้วกลับมานอนอ่านหนังสือต่อ

เช้าวันต่อมาต้นขาผมก็มีรอยไหม้สีแดงเป็นแถบยาวปรากฏขึ้น มันทั้งคันทั้งแสบ ต้องเป็นเพราะแมลงเมื่อคืนแน่ๆ ผมเลยลงไปซื้อแป้งเย็นมาทาบรรเทาอาการแสบคัน แต่พอตกเย็นผื่นก็ยิ่งแดงมากขึ้น บางแห่งเริ่มเกิดร่องรอยคล้ายแผลพุพอง แผลบนต้นขาผมตอนนี้มันน่ากลัวมาก เหมือนคนโดนน้ำร้อนสาดไม่มีผิด

‘วา มึงดูดิ’ ผมถกขากางเกงให้มันดู

‘เฮ้ย! น้ำร้อนลวกหรอวะ รีบไปล้างน้ำเย็นก่อนๆ!’ ไอ้วาดูเป็นเดือดเป็นร้อนกว่าผมที่โดนเสียอีก

‘ไม่ใช่ว่ะ เหมือนจะโดนพิษแมลง’

‘ซี๊ดดดดดด เจ็บมั้ยเนี่ย’ มันทำหน้าแหยงๆ

‘แสบแล้วก็คันมากๆ เป็นมาสองวันแล้ว’

‘สองวัน!? แล้วไม่ไปหาหมอ’

‘กูไม่คิดว่าจะเป็นหนักขนาดนี้ นึกว่าเดี๋ยวมันก็หายเอง ที่ไหนได้แปบเดียวกลายเป็นงี้ไปแล้ว’

โอ๊ย คันแผล ผมอดเอานิ้วไปถูๆ ตรงขอบแผลไม่ได้

เพียะ!

‘อย่าเกา! เดี๋ยวลาม …มึงรอกูแปบ ไปโรง’ บาลกันเหอะ’ ไอ้วายัดหนังสือเตรียมสอบใส่เป้ หยิบเสื้อยืดมาใส่ทับเสื้อกล้าม

‘กูไปคนเดียวได้ มึงอ่านสืออยู่นี่เหอะ จะสอบแล้วนี่’

‘กู-จะ-ไป-ด้วย หุบตูดแล้วช่วยกูปิดไฟปิดพัดลมเร็วเข้า’

กว่าสองชั่วโมงกว่าจะได้เข้าตรวจ หมอบอกช่วงนี้มีนิสิตมาหาหมอด้วยอาการแบบผมเป็นจำนวนมาก สาเหตุคือแมลงก้นกระดก หรือเรียกแบบคิ้วๆ ก็แมลงเฟรชชี่เพราะส่วนใหญ่เฟรชชี่หอในมักจะโดนกันเพราะหอนั้นล้อมรอบด้วยต้นไม้รกครึ้มและสระน้ำแถมอากาศช่วงนี้ยังชื้นเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นหน้าฝนแมลงก้นกระดกเลยระบาดมาก ถ้าปิดประตูมุ้งลวดไม่สนิทมันก็จะตามเข้ามาเล่นไฟในห้อง

หลังจากทุกคนในห้องรู้เรื่องนี้ก็ช่วยระวังกันแจ พวกเราจะเช็กประตูมุ้งลวดทุกครั้งที่มีการเปิดปิดว่าสนิทดีหรือไม่ ถ้าใครในห้องเผลอเปิดประตูทิ้งไว้คนที่เหลือก็จะรีบเตือนทันที โดยเฉพาะผมที่หวาดกลัวแมลงก้นกระดกขึ้นสมองไปแล้วทุกครั้งก่อนนอนผมจะต้องสะบัดหมอนสะบัดผ้าห่มเผื่อตรวจดูว่าไม่มีแมลงถึงจะหลับลงได้

ทายาไปได้สองสัปดาห์แผลก็ดีขึ้นแต่ก็ทิ้งร่องรอยน่าเกลียดเอาไว้ให้เห็นเป็นอนุสรณ์

‘ซื้อยาทาให้มันจางลงหน่อยดีมั้ย รีบทาก่อนที่มันจะเป็นแผลเป็นเหอะ’ ไอ้วาผู้เกาะติดอาการผมทุกวันเสนออย่างเป็นห่วง

‘อืม รอยมันชัดน่ากลัวจริงๆ แหละ หาไรทาก็ดีเหมือนกัน’

ไอ้วาพาผมนั่งรถเมล์มอไปร้านยาของคณะเภสัชฯ

‘หวัดดีครับอาจารย์ ผมพาเพื่อนมาขอคำปรึกษาหน่อยนะครับ’

ผมโชว์แผลที่ต้นขาให้อาจารย์ผู้หญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีดู พอเห็นแผลปุ๊บอาจารย์ก็ทักทันทีว่า

‘โดนแมลงก้นกระดกมาใช่ไหม’ ว่าพลางชี้ไปที่บอร์ดความรู้ด้านข้าง ในซองพลาสติกใสที่ติดอยู่บนบอร์ดมีซากแมลงก้นกระดกที่ส่วนท้องมีสีส้มนอนแอ้งแม้งอยู่ เสียดายที่มันตายแล้วเลยไม่เห็นว่าส่วนก้นมันชี้ขึ้น

‘ใช่เลยครับอาจารย์ ผมไปหาหมอมาอาการดีขึ้นแล้วแต่รอยมันไม่ค่อยหายน่ะครับ อาจารย์พอจะมียาตัวไหนแนะนำบางมั้ยครับที่ทาแล้วแผลมันจะจางลง’

อาจารย์ของไอ้วาแนะนำยาให้หลายตัว มีหลายแบบหลายราคา สุดท้ายผมก็เลือกที่ราคากลางๆ จ่ายค่ายาในชื่อไอ้วาเพราะนิสิตคณะเภสัชฯ จะซื้อยาได้ถูกกว่านิสิตทั่วไป



วันหนึ่งไอ้วาเกิดไปเจอปกนิยายแฟนตาซีหน้าตาน่าอ่านเรื่องหนึ่งเข้า พอถามไอ้ไมค์ก็ปรากฏว่ามันเคยอ่าน ไอ้วาเลยไปนั่งพิงเตียงฟังไมค์สปอยด์อย่างสนุกสนาน

‘กี่เล่มจบวะไมค์’

‘15 มั้งถ้าจำไม่ผิด แต่มันเก่าแล้วนะไม่รู้จะหาซื้อได้อยู่มั้ย เราอ่านตอนปอห้าแน่ะ’ โห นานมาก

หลังจากนั้นไอ้วาก็กระเสือกกระสนตามหานิยายชุดนี้เลือดตาแทบกระเด็น แต่พอเห็นราคาขายมือสองในเว็บก็ทำตาโต

‘แพงขนาดนี้ไม่อ่านก็ได้เว้ย!’ มันกระฟัดกระเฟียด

ผมคิดว่ามันคงตัดใจไปแล้ว แต่สองเดือนต่อมามันก็หอบหนังสือนิยายสิบห้าเล่มสภาพใหม่เอี่ยมอ่องกลับห้องมาด้วยใบหน้าปลื้มปีติ

ไอ้ไมค์ลุกไปดู

‘กูเขียนแบบฟอร์มเสนอซื้อหนังสือเข้าห้องสมุดออนไลน์ไปว่ะ แค่เขียนเล่นๆ ไม่คิดว่าเขาจะซื้อเข้ามาให้จริงๆ ดูดิใหม่เอี่ยมอ่องเลย! โอ๊ยย ดีใจจจจ’

‘โห สมแล้วที่เป็นห้องสมุดของประชาชน ยอมฟังคำขอของประชาชนจริงๆ ด้วย’ ไอ้วาชมห้องสมุดไม่ขาดปาก

‘ดูสิๆ ปกในประทับตราว่า ‘ตามคำเรียกร้อง’ ด้วยนะ’ มันเปิดโชว์

‘แทนที่จะมานั่งอ่านหนังสือพวกนี้ ไม่เอาเวลาไปอ่านกสพท.วะ’ ผมว่า

‘…’ ไอ้วาหยุดนิ่งไปเลย

‘มึงต้องลำดับความสำคัญให้ถูกนะวา โตแล้วกูไม่พูดอะไรมากหรอก แค่จะเตือนไว้’

‘เอาน่าปอ ให้วาไว้อ่านคลายเครียดตอนพักไง’ ไมค์ว่า

‘ไอ้ปอพูดถูก กูดีใจจนลืมไปเลย เพราะปีที่แล้วกูมัวแต่บ้าการ์ตูนก็เลยพลาด ปีนี้กูต้องไม่พลาดอีก ขอบใจนะที่เตือน’

แล้ววันต่อมาผมก็ต้องช่วยไอ้วาหอบหนังสือกลับไปคืนโทษฐานที่เป็นคนทัก อ้าว! เป็นงั้นไป-*-





การสอบปลายภาคใกล้เข้ามาทุกที รวมถึงการสอบกสพท.ก็ด้วย ไอ้วากำลังสู้ศึกสองทางเหมือนคนจับปลาสองมือ ผมได้แต่มองมันอย่างเป็นห่วงแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ตอนนี้มันดูเหนื่อยและโทรมมาก มันผอมลงกว่าตอนแรกที่เราเจอกันเยอะ เห็นมันบ่นว่าตั้งแต่เข้ามหา’ ลัยน้ำหนักก็ลงไปห้าโลแล้ว

เห็นยิ้มแย้มแบบนั้นที่จริงก็เครียดจนน้ำหนักลดเลยนะ

‘ทำไมมึงถึงอยากเรียนหมอ’ ผมถามทั้งที่เดาคำตอบได้อยู่แล้ว

‘รวยดี’

‘กูว่าแล้ววววว’ งกอย่างมันก็คงมีเหตุผลนี้เหตุผลเดียวล่ะ! ทำไมซื้อหวยไม่ถูกอย่างนี้บ้างวะ

‘มึงคิดดู แค่นั่งเฉยๆ ก็มีคนมายกมือไหว้เอาตังค์มาให้ถึงที่ จะมีสักกี่อาชีพกันที่ลูกค้าต้องยกมือไหว้คนขายวะ’

‘ก็จริง’

‘เงินเดือนก็ดี ทีนี้พ่อแม่กูจะได้สบายเสียทีไม่ต้องทำงานอีกแล้ว กูจะเลี้ยงพ่อแม่ให้สุขสบายเอง พ่อแม่อยากไปเที่ยวประเทศไหนกูก็จะพาไป แล้วก็จะส่งน้องชายเรียนสูงๆ ทุกคนจะต้องมีความสุขมากแน่ๆ ’

‘กูนึกภาพมึงเป็นหมอหน้าเลือดออกเลย’ แบบที่รักษาคนไข้ให้หายแล้วฆ่าให้ตายด้วยบิลค่ารักษาน่ะ..

‘กูไม่ได้จะขูดรีดประชาชนโว้ยย กูก็ทำงานโรง’ บาลรัฐรักษาคนจนแล้วก็รับจ๊อบเอกชนรักษาคนรวยไงเล่า’

อ่อ ยังดีที่มันยังคิดจะตอบแทนสังคมอยู่บ้างไม่ได้จะโกยอย่างเดียว





จู่ๆ ไอ้ไมค์ที่แข็งแรงมาตลอดก็ป่วยอย่างไม่มีเหตุผล มันไข้ขึ้นนอนซมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ได้ยินว่าคนที่แข็งแรงมากๆ ถ้าหากป่วยขึ้นมาก็จะเป็นหนักกว่าคนทั่วไปสงสัยจะจริง

พวกเราสามคนพยายามโน้มน้าวให้ไอ้ไมค์ไปหาหมอ แต่มันหัวแข็งมากให้ตายยังไงก็ไม่ยอมไปเด็ดขาดจนพวกเราจนปัญญาจะพาไป

ไอ้วาค้นกล่องยาสารพัดนึกที่มันหอบมาจากบ้านกุกกักๆ ได้ยามาสองเม็ด

‘ไมค์อันนี้ยาลดไข้ ส่วนอันนี้ยาแก้แพ้ มึงไม่ยอมไปหาหมอก็กินนี่ไปก่อนละกัน’

‘เดี๋ยวมันก็หายเองแหละวา’ ไอ้ไมค์ตอบหน้าเซียว

‘ไม่ได้! มึงต้องกินนะ ไข้ขึ้นสูงมากเลย’

ผมกับไอ้ต้นยืนมองไอ้วาพยายามบังคับให้ไอ้ไมค์กินยาตาปริบๆ คนป่วยกับคนไม่ป่วยยื้อยุดกันอยู่นาน ในที่สุดไอ้วาก็ชนะ

‘ต้น มึงโทรแจ้งองค์การเภสัชฯ ดิ๊’

‘โทรไมวะ’ เป็นไอ้วาที่ถามแทน

‘แจ้งจับเภสัชกรเถื่อน ใบประกอบวิชาชีพก็ไม่มีริมาจัดยาให้เพื่อนกู’

‘ไอ้บ้า! กูเภสัชกรเถื่อน มึงก็วิศวกรเถื่อนเหมือนกันนั่นแหละ!’ แล้วมันก็เอาขวดยาเปล่าปาใส่ผม แต่ผมหลบทัน ว้ายยยย ไม่โดน :-p





‘เฮ้ย ต้น กูมีความคิดดีๆ แล้ว สนป่ะๆ ’ เวลาจะทำเรื่องไม่เป็นเรื่องไอ้วามักเริ่มด้วยการชวนไอ้ต้นก่อนเสมอ

‘อะไรเหรอ’

‘ไปกดไอติมกินกันอีกดีกว่า คราวนี้กูจะกดให้สูงกว่าครั้งที่แล้วๆ ๆ มาเลย!’

จำได้ว่าหลังจากครั้งแรกไอ้ต้นไอ้วาก็ไปกดไอศกรีมที่ร้านนั้นบ่อยมาก เรียกได้ว่าแทบขาดทุนเพราะเจอมือมารอย่างไอ้วาเลยก็ว่าได้ มันกดได้สูงมากจนกินครึ่งชั่วโมงยังไม่หมดอ่ะคิดดู ถึงขนาดที่ว่าโคนที่ใส่มายุ่ยคามือเพราะบรรจุไอศกรีมนานเกินต้องวิ่งหาจานมาใส่กันหกแทบไม่ทัน

‘มันจะล้มก่อนอ่ะดิวา’

‘คราวนี้กูมีวิธีใหม่รับรองคุ้มสุดๆ ’ ว่าแล้วไอ้วาก็หยิบกล่องทับเปอร์แวร์ขึ้นมา

‘มึงรออยู่หน้าร้านพร้อมกล่องนี้นะ พอกูออกมาจากร้านปุ๊บจะได้รีบคว่ำไอติมใส่ลงไปเลย กูจะกดแบบที่ว่าโคนเดียวกินได้สี่คนเลยอ่ะ!’

นั่นไงกูว่าแล้วววว!!

ขออธิบายนะเผื่อใครลืมไปแล้ว เมื่อเทอมก่อนมีร้านสะดวกซื้อสัญชาติญี่ปุ่นเพิ่งมาเปิดใกล้หอพวกเรา ร้านนี้จะมีขายไอศกรีมโคนขายแบบให้กดเอง คือเราแค่ซื้อโคนราคา20บาทแล้วเดินไปกดที่เครื่อง ใครกดได้เท่าไหร่ก็เอาไปเท่านั้น ใครกดเก่งก็ได้เยอะ กดไม่เก่งก็ได้น้อยลดหลั่นกันไป

แล้วไอ้วาแม่งก็กดเก่งมากกกกกกกกก ทุกครั้งที่มันกดพนักงานจะต้องมองเหลียวหลังอ่ะคิดดูสิ

‘โอ้โห แหร่มเลย กูเอาด้วยๆ เอากล่องกูไปด้วยกดมาสองโคนเลยวา กูจะเก็บไว้กินพรุ่งนี้’ โคนนึงมึงกะเเดกยันพรุ่งนี้เลยเรอะ=[]=

‘กูไม่เอานะ รู้สึกมันดูทุเรศยังไงพิกล-_-’ ผมว่า ไอ้ห่าวานี่บ้านก็มีอันจะกินชอบทำตัวเหมือนยาจก

‘ไมค์อ่ะ’ ไมค์ส่ายหัว มันสองคนเลยไม่เซ้าซี้ ต่างพากันคว้าทัปเปอร์แวร์เดินออกไปอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ

‘อ้าว ไมกลับมาเร็วจัง’ ผมถาม

‘ร้านปิดปรับปรุง=_=’ ’’ ไอ้วาตอบอย่างหงุดหงิด

‘สงสัยมันรู้ว่าพวกกูจะไปถล่ม ฮ่าๆ ๆ ๆ ’ ไอ้ต้นหัวเราะ ไอ้วาฟังอย่างนั้นแล้วก็หัวเราะตาม

‘ไม่เป็นไร เปิดเมื่อไหร่ไว้เจอกัน!! กูไม่ล้มเลิกความตั้งใจหรอกโว้ย’

‘ชวนกูด้วยๆ ’

ไอ้วากับไอ้ต้นนี่มุ่งมั่นในการทำเรื่องทุเรศเหลือเชื่อนะครับ-_-



--------------------------------------------------------------------------------------------



แมลงก้นกระดก...แมลงพิษร้ายที่มาพร้อมกับฝน เพียงแค่ปัด สัมผัส ก็เกิดแผลพุพอง ปวดแสบปวดร้อนเหลือเกิน!



แมลงก้นกระดก มาจากไหน

แมลงก้นกระดก (Rove Beetle) หรือในชื่อ ด้วงก้นกระดก ด้วงปีกสั้น ด้วงก้นงอน และแมลงเฟรชชี่ จะพบได้มากที่บริเวณใกล้แหล่งน้ำ นาข้าว หรือตามพงหญ้า โดยเฉพาะในหน้าฝนจะมีการระบาดของแมลงชนิดนี้ในต่างจังหวัด หรือในเมือง และบนตึกสูง ๆ ก็พบได้บ้างเช่นกัน

แมลงก้นกระดก รูปร่างเป็นอย่างไร





แมลงก้นกระดกเป็นแมลงมีปีกขนาดเล็ก ลำตัวยาวประมาณ 7-10 มิลลิเมตร ส่วนหัวมีสีดำ ปีกน้ำเงินเข้ม ปีกมีลักษณะสั้นและแข็ง และส่วนท้องมีสีส้ม แมลงชนิดนี้มักจะงอส่วนท้ายขึ้น-ลงเมื่อเกาะตัวอยู่กับพื้น เลยได้ชื่อเก๋ ๆ ว่าแมลงก้นกระดกนั่นเองค่ะ

แมลงก้นกระดก ทำไมถึงร้าย

ของเหลวในร่างกายของแมลงก้นกระดกจะมีสารเพเดอริน (Paederin) เป็นส่วนประกอบ ซึ่งสารพิษชนิดนี้สามารถทำลายผิวหนังและเซลล์เนื้อเยื่อ เมื่อเราสัมผัสโดน แมลงก้นกระดกก็จะปล่อยของเหลวออกมา ทำให้ปวดร้อน คัน ปวดแสบ ผิวไหม้ มีผื่นแดง ตุ่มน้ำ เป็นหนองขึ้นตามบริเวณผิวหนังที่โดนสัมผัส

แผลจากแมลงก้นกระดกมีลักษณะอย่างไร





                             ภาพจาก https://www.matichon.co.th/local/news_379762

เมื่อโดนพิษแมลงก้นกระดกไปประมาณ 6-12 ชั่วโมง เราจะเริ่มมีอาการแสบ คัน บริเวณผิวหนัง ต่อมาก็จะเกิดเป็นผื่นแดงที่มีขอบเขตชัดเจน ลักษณะแผลจากแมลงก้นกระดกจะเป็นแผลรอยแดง หรือเป็นรอยไหม้ในลักษณะเป็นทางยาว ร่วมกับตุ่มน้ำพองและตุ่มหนอง

แผลจากแมลงก้นกระดก รักษาอย่างไร

หากแมลงก้นกระดกมาสัมผัสตัวเราแล้ว ให้รีบล้างผิวด้วยน้ำเปล่า ฟอกสบู่ และประคบเย็นในบริเวณที่สัมผัสกับแมลงโดยตรง จากนั้นให้คอยสังเกตอาการและการเปลี่ยนแปลงที่ผิวหนัง หากเกิดรอยแดงเล็กน้อยสามารถหายเองได้ใน 2-3 วัน ไม่จำเป็นต้องทายาใด ๆ แต่ถ้าอาการผื่นเป็นมากขึ้นหรือมีตุ่มน้ำพองเกิดขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกวิธี

วิธีป้องกันตัวเองจากแมลงก้นกระดก
- ห้ามสัมผัสหรือบี้แมลงก้นกระดก ให้ใช้วิธีเป่าหรือใช้อุปกรณ์ปัดออกไปให้พ้นตัวแทนการสัมผัส
- ควรตรวจตราที่นอน หมอน ผ้าห่มให้เรียบร้อยก่อนนอน
- ควรปิดประตู หน้าต่าง ห้องนอนให้มิดชิด โดยเฉพาะเวลากลางคืน
- ในช่วงกลางคืนควรเปิดไฟเท่าที่จำเป็น โดยเฉพาะในห้องนอน หากไม่จำเป็นก็ควรปิดไฟเอาไว้ เพราะแมลงก้นกระดกชอบออกมาเล่นแสงไฟตามบ้านเรือนคน

อ้างอิงจาก https://health.kapook.com/view55456.html



______________________
ขอบคุณสำหรับทุกเม้นท์ค่า>< ช่วงนี้อยู่บ้านเลี่ยงเดินทางกันนะคะ เป็นห่วงเด้อออ
อ่านนิยายวนไปต่ะ!
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม5[24\3\63]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 24-03-2020 22:31:38
ร้านเปิดเมื่อไหร่ ฝากซื้อด้วยนะ 2 โคน  :m12:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม5[24\3\63]
เริ่มหัวข้อโดย: candleguard ที่ 25-03-2020 09:45:35
ร้านเปิดเมื่อไหร่ ฝากซื้อด้วยนะ 2 โคน  :m12:

 อร่อยนะ คนเขียนไปกดมาละ โคตรคุ้มม เสียดายที่วันที่เอาทัพเปอร์เเวร์ไปร้านมันปิดหนี 555 :-[
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม5[24\3\63]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 08-04-2020 06:52:23
รีบๆคบสักที รอนานแล้วเด้อ~
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม5[24\3\63]
เริ่มหัวข้อโดย: BankkunG23 ที่ 10-04-2020 15:02:26
สนุกมากๆ มาต่อไวไวนะครับ :mew1:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม5[24\3\63]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-04-2020 15:24:44
 ดีใจมากๆ ไรท์มาต่อแล้วววว  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
คิดถึง แฝด ที   :z3:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม5[24\3\63]
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 20-04-2020 00:01:54
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม5[24\3\63]
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กง้อเเง้ ที่ 06-07-2020 21:25:17
 :hao5:อยากอ่านต่อแล้ว
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม5[24\3\63]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-07-2020 07:20:29
คิดถึงไรท์แล้วนะ   :mew2: :mew6:
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม5[24\3\63]
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 12-07-2020 06:59:03
 o13
หัวข้อ: Re: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม5[24\3\63]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-11-2020 08:53:17
ไรท์ หายอ่ะ.....  :mew2:
คิดถึง ที แฝด   :z3: :z3: :z3:
มาต่อนะไรท์  มีคนคอยอยู่    :ling1:
       :L1: :L1: :L1: