เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม5[24\3\63]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม5[24\3\63]  (อ่าน 50463 ครั้ง)

ออฟไลน์ DESZCZ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ไม่รอดแน่ๆ ไม่รอดแน่ๆ

ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1962
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
เสร็จแน่ๆ.. หุหุหุ

ออฟไลน์ minneemint

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0
ขอให้ไม่รอด
เสร็จแน่ๆเลย

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
รอดูว่าใครจะเสร็จใคร แฝดนรก ระวังนะทำพี่ทีเขาเจ็บ เด๋วเขาไม่อยู่ด้วยนะ  :hao3:

ออฟไลน์ buathongfin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1244
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
ได้คิดบัญชีล่ะทีนี้ เอาเลยจัดเลยลูกทำมึนดีนัก

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
เสร็จแน่ๆ5555

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26

ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1

                                                               ตอนที่ 26   เคลียร์นะ


แกร๊งงงง!!



ผมก้มลงไปเก็บกุญแจก่อนจะเปิดประตูออกไป แต่ก็ต้องผงะเมื่อเห็นภูผากับฟ้าครามยืนขวางอยู่หน้าห้อง



“ดึกดื่นป่านนี้จะออกไปไหนหรอครับพี่ที” ภูผายิ้มแต่ตาไม่ได้ยิ้มไปด้วย



‘พี่ที! ออกมายัง? พี่ที’ เสียงไอ้ไก่ยังคงดังอยู่ในสายอย่างเป็นห่วง



“…..คะ…ครับๆ ๆ อาแอ๋ม ถึงแล้วใช่มั้ย ทีกำลังจะลงไปเดี๋ยวนี้แหละ” ผมพลิกลิ้นเพื่อเอาตัวรอดทันที พลางพยายามทำตัวให้ดูเป็นปกติที่สุด แม้ว่าจะรู้สึกตกใจกับสายตาของสองคนนั้นแค่ไหนก็ตาม ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาผมเคยเห็นไอ้ภูไอ้ครามมองผมด้วยแววตาแข็งกร้าวขนาดนี้มาก่อนเลย



ผมยกมือทำท่าห้ามไม่ให้ชวนคุยเพราะกำลังคุยโทรศัพท์อยู่



‘พี่ที…สองคนนั้นกลับไปถึงแล้วใช่มั้ย!?’



“ของเยอะมากเลยหรอครับ โอเค เดี๋ยวทีเรียกภูกับครามลงไปช่วยถือ อาแอ๋มรอตรงล็อบบี้นะทีจะลงไปเดี๋ยวนี้แหละ…ภู คราม … อาแอ๋มมาแน่ะ เห็นว่าเพิ่งกลับจากไปเที่ยวเลยแวะเอาของฝากมาให้ ลงไปช่วยกันถือหน่อยสิ” ผมต้องทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองลงไปที่ล็อบบี้ที่มีคนพลุกพล่านกว่านี้โดยเร็วที่สุด เมื่อเริ่มเข้าใจรางๆ แล้วว่าบางสิ่งบางอย่างที่ไอ้ไก่พยายามเตือนกำลังจะเกิดขึ้น ผมมีเซ้นส์ว่าผมต้องหนี ต้องลงไปข้างล่างเดี๋ยวนี้ไม่งั้นแย่แน่ๆ ไม่รู้หรอกว่าแย่เรื่องอะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมไปทำอะไรให้พวกมัน ผมรู้แต่ว่าถ้าผมไม่รีบลงไปตอนนี้ ผมอาจจะไม่มีโอกาสได้ลงไปอีกเลย



แต่ดูเหมือนความตื่นเต้นจะยิ่งทำให้ผมเหมือนขุดหลุมฝังตัวเองมากกว่าเดิม เพราะเสี้ยววินาทีที่คิดจะโกหกเพื่อเอาตัวรอด คนเดียวที่นึกออกว่าสองคนนี้จะต้องกลัวก็คืออาแอ๋ม … แต่ผมพลาดไป…ผมลืมไปว่าสองคนนี้โทรคุยกับอาแอ๋มแทบจะทุกวัน ยังไงก็ต้องรู้แน่ว่าแม่ตัวเองจะไปไหนมาไหนทำอะไรอยู่ แล้วด้วยความตกใจอีกเหมือนกันที่ทำให้ผมลืมคิดไปว่าใครมันจะถ่อเอาของฝากมาให้ตอนเกือบตีหนึ่ง…ทำไมผมไม่เอาคนอื่นมาอ้างวะ ไอ้พีท ไอ้โซล จะใครก็อ้างไปดิ บ้าเอ๊ย!



“อ้าว แม่มาหรอ? ขอคุยกับแม่หน่อยสิ”



“ก็ลงไปหาข้างล่างเลยดิ จะมาคุยผ่านโทรศัพท์ทำไม เปลืองตังค์” ผมพูดนิ่งๆ ก่อนจะกดตัดสายแล้วออกเดินนำไปที่ลิฟต์



ค่อยๆ เดิน ไม่ต้องรีบ อย่ามีพิรุธ .. ถ้าลงไปข้างล่างได้ก็ไม่มีอะไรแล้ว…



ภูผากระชากแขนรั้งผมไว้ก่อนที่ฟ้าครามจะเข้ามาแย่งมือถือจากมือผม



“คราม! เอาโทรศัพท์พี่คืนมา เล่นอะไรเนี่ย อาแอ๋มรออยู่นะ”



“หึ…เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าแม่ใช้เบอร์เดียวกับไอ้ขวด”



บ้าเอ๊ย! ความแตกจนได้



“คราม! มันจะมากไปแล้วนะ เอาโทรศัพท์พี่คืนมา”



ภูผากระชากให้ผมเดินตามกลับไปที่ห้อง ผมพยายามขืนตัวเอาไว้ ฟ้าครามเดินไปเปิดประตูรอ



“เข้าห้องกันเถอะพี่ที ไปคุยกันข้างในดีกว่า ข้างนอกมันร้อน” มันว่าแล้วก็ออกแรงกระตุกข้อมือแรงๆ ให้ผมก้าวตามเข้าไปในห้อง แต่ใครจะยอมตามเข้าไปง่ายๆ ผมเอามืออีกข้างจับขอบประตูไว้ กัดฟันกรอดแล้วยื่นขาอีกข้างไปเกี่ยวไว้อีกแรง ให้ตายยังไงผมก็ไม่เข้าไปในห้องเด็ดขาด!



“พี่ทีทำไมไม่เข้าห้องล่ะครับ? เข้ามาเถอะ ครามกับภูไปค่ายมาสนุกมากเลย ..ทนรอให้ถึงพรุ่งนี้ไม่ไหวจนต้องแล่นกลับมาเล่าให้ฟังเลยนะเนี่ย” ฟ้าครามยิ้มกว้างแต่ผมกลับมองว่ามันดูน่าขนลุก



ฟ้าครามแกะมือของผมที่เกาะขอบประตูออกไป ก่อนจะใช้ขาขัดจนผมหลุดออกจากประตูเสียหลักเซแท่ดๆ ไปตามแรงลากของภูผา



“ภูผา พี่เดินเองได้ ไม่ต้องลาก” ผมพยายามบังคับเสียงตัวเองให้นิ่ง แล้วใช้มืออีกข้างพยายามแกะมือภูผาที่กำรอบข้อมือผมออก



“แกะไปเถอะ ยังไงภูก็ไม่ปล่อย”



“ภู คราม พี่ว่าเราสองคนต้องไปเข้าใจอะไรผิดมาแน่ๆ พี่ว่าพี่อธิบายได้นะ.. ใจเย็นๆ มาค่อยๆ นั่งคุยกันเถอะ” ผมพยายามทอดเสียงให้ดูอ่อนลงถามอย่างใจเย็น ขณะที่ยอมเดินตามแรงลากของภูผาไปในที่สุดเพราะผมรู้ดีว่าตอนนี้หากยิ่งขัดขืนสองคนนี้ก็จะยิ่งไม่ยอมฟังเข้าไปใหญ่ เมื่อมันร้อน ผมต้องเย็น …ทั้งที่ความจริงผมก็กำลังโมโหสองคนนั้นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย ผมไม่ชอบนะที่จู่ๆ ก็ไม่พูดไม่จาเข้ามาฉุดกระชากลากถูกันแบบนี้ นี่พวกมึงเห็นกูเป็นตัวอะไรวะ กูพี่มึงนะ กูเป็นญาติมึง มีพระคุณกับมึง แล้วทำกับกูแบบนี้เหรอวะ ไหนว่ารักกูนักรักกูหนาไง!?



ขณะที่เตรียมจะหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟา ฟ้าครามก็เข้ามาจับข้อมืออีกข้างของผม



“ไปคุยกันในห้องครามดีกว่า จะได้เปิดแอร์”



แม้ใจนึงจะเตือนว่าไม่ควรเข้าไปในห้องนั้น แต่อีกใจกลับบอกว่าจะกลัวไปทำไมก็แค่เข้าไปคุยกัน ยังไงตอนนี้จะอยู่ตรงนี้ หรือในห้องนอนชะตากรรมผมมันคงไม่ต่างกัน ผมว่าน้องต้องเข้าใจอะไรผิดมาแน่ๆ ผมว่าสองคนนั้นน่าจะมีเหตุผลพอถึงจะขี้ใจร้อนไปหน่อยก็เถอะ แต่ถ้าน้องยอมเล่า และผมแก้ไขเรื่องที่เข้าใจผิดกันได้ ผมว่ามันสองคนต้องหายโกรธแน่นอน ขี้คร้านจะรีบขอโทษขอโพยแทบไม่ทัน



เห็นได้ชัดว่าเมื่อผมหยุดแสดงอาการขัดขืนอีกสองคนนั้นก็ดูจะลดความแข็งกร้าวลง อย่างน้อยมันสองคนก็ยอมที่จะทิ้งตัวลงนั่งขนาบผมตรงขอบเตียงอย่างหงุดหงิดแม้จะยังกำข้อมือผมกดติดเตียงไว้คนละข้างอย่างไม่ยอมให้หนีไปไหนก็ตาม



“โอเค …บอกพี่หน่อยได้มั้ยว่าโมโหอะไร” ผมทอดเสียงถามอย่างพยายามให้มันฟังดูนุ่มและอ่อนโยนที่สุด ทั้งที่ผมไม่ได้อยากจะทำแบบนี้เลย ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผมจะต้องมานั่งอธิบายอะไรให้มันฟังด้วย เราเป็นแค่ญาติกัน ก็แค่คนอาศัยอยู่ด้วยกัน ผมไม่เข้าใจว่าทำไมมันสองคนถึงมีปัญหากับผมมากมายขนาดนี้ …น่าเหนื่อยใจเป็นที่สุด น่าเบื่อเป็นที่สุด น่ารำคาญเป็นที่สุด!



แต่เอาเถอะ…ผมถนัดอยู่แล้วนี่นะไอ้การเสแสร้งว่าไม่โกรธไม่เคือง ยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลาน่ะ



เพราะในสายตาใครๆ ก็คาดหวังให้ผมเป็นคนอย่างนั้นนี่นา…



“หลายเรื่อง!” ภูผาตอบเสียงกระชากๆ ที่ฟังแล้วขัดหูเป็นที่สุด มันทำอย่างกับผมผิดเสียเต็มประดา ผมไม่เข้าใจมันเลยจริงๆ



“โอเค ..เรื่องที่หนึ่ง” ผมสูดหายใจเข้าลึกเพื่อยับยั้งอารมณ์ตัวเอง ก่อนจะแอบถอนหายใจออกมายาวๆ ..ค่อยรู้สึกอารมณ์เย็นลงหน่อย



“พี่หลอกพวกเราเรื่องไอ้ขวด”



“ยูโรทำไมหรอ” ผมเลิกคิ้ว ทั้งที่ในใจถึงกับบางอ้อนานแล้ว



“ที่จริงมันชื่อไก่ พี่บอกให้มันมาตีซี้ภูกับครามใช่มั้ย”



“ใช่ ไอ้ไก่เป็นน้องรหัสของไอ้ป๊อกเพื่อนพี่ พี่เห็นมันนิสัยดีน่าคบแถมยังจะซิ่วไปเรียนสาขาเดียวกับพวกเรา พี่เลยขอให้มันช่วยดูแลภูกับคราม เพราะยังไงไก่มันก็มีประสบการณ์มากกว่าเราปีนึง ที่ทางในมหา’ ลัยมันก็รู้หมด จะได้ช่วยแนะนำอะไรให้ได้บ้าง แต่ที่ไม่ได้บอกเราแต่แรกก็เพราะไอ้ไก่มันรับบทพี่เนียนซึ่งตอนนี้ภูกับครามก็คงจะรู้แล้ว บอกไว้ก่อนเลยว่าพี่ไม่ได้มีเจตนาจะรวมหัวกับมันแกล้งอะไรเราเลยนะ” … อีกอย่าง ผมแอบวางแผนเอาไว้อีกชั้นว่าต่อไปถ้าสามคนนั้นสนิทกันมากๆ แล้วไอ้ไก่คุมมันสองตัวอยู่ ผมจะกลับไปอยู่บ้านแล้วให้ไอ้ไก่มาอยู่กับมันสองตัวแทนผม..ลาขาดกันเสียที



“แต่พี่ก็ใช้มันจับตาดูพวกผมใช่มั้ยล่ะ!”



อ๋อ ที่แท้ก็ไม่พอใจเรื่องนี้เองเหรอ คงคิดว่าผมไม่ไว้ใจพวกมันเลยต้องหาคนมาช่วยจับตามองสินะ …ก็ถูกแล้วนี่? มันสองตัวชอบสร้างแต่เรื่อง ใจร้อน เอะอะโวยวาย ชอบเรียกร้องความสนใจ โตป่านนี้แล้วยังรับผิดชอบตัวเองควบคุมตัวเองไม่ได้เลยก็สมควรแล้วไม่ใช่หรอที่ผมจะหาคนมาช่วยจับตาดูพวกมันไว้น่ะ…



“..งั้นพี่ถามหน่อย ถ้าไม่ห่วงพี่จะทำแบบนี้มั้ย? หรือจะเอาแบบที่พี่ไม่สนใจอะไรเราทั้งนั้น ไม่ดูดำดูดี อยากจะไปทำอะไรที่ไหนก็ไม่สนใจ ภูกับครามอยากให้พี่ทำแบบนั้นกับเราใช่มั้ย? จะเอาแบบนั้นก็ได้นะ ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องมานั่งเป็นห่วงให้เหนื่อย เอายังไง ถ้าไม่ชอบก็เลิกคบไอ้ไก่ไปเลย มันเพื่อนเยอะ ขาดเราสองคนไปก็ไม่ตายหรอก”



“……….”



“เรื่องที่หนึ่งเคลียร์นะ” เมื่อได้ฟังผมอธิบาย ไอ้แฝดนรกก็ดูเหมือนจะเย็นลงบ้างแล้ว นับว่าเป็นสัญญาณที่ดี ดีกว่าเมื่อกี้ที่โมโหฟาดงวงฟาดงาไม่ฟังอะไรเลย



“ต่อไปเรื่องที่สอง?”



“เมื่อกี้พี่ทีโกหกภูกับครามทำไมว่าแม่มาหา”



“ก็ภูกับครามน่ากลัว ทำท่าเหมือนจะเข้ามาต่อยพี่ พูดดีๆ ก็ไม่ฟัง ..พี่มีหนึ่ง พวกนายมีสอง ถึงเราจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ถ้าโมโหอะไรมันก็เกิดขึ้นได้ใช่ป่ะขนาดพี่น้องแท้ๆ ยังฆ่ากันตายได้เลย พี่ก็คนนะเว้ย รักตัวกลัวตายเหมือนกัน อย่างน้อยพี่ก็อยากลงไปตั้งหลักข้างล่าง เผื่อพวกเราจะฆ่าพี่จะได้มีคนมาห้ามทัน ไม่งั้นติดคุกหัวโต…ในคุกไม่มีแอร์นะเออ” ผมพยายามพูดขำๆ เพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายลง แล้วมันก็เป็นอย่างที่ผมต้องการ ภูผากับฟ้าครามหลุดยิ้มออกมาจริงๆ ตั้งแวบนึง



“โอเค เคลียร์แล้ว” ฟ้าครามพยักหน้า มือที่กำข้อมือผมไว้จนเลือดแทบไม่เดินค่อยผ่อนกำลังลง



“ก็ดีแล้ว …ยังมีเรื่องอื่นอีกมั้ย มาเคลียร์กันให้จบๆ ไปเลย”



“มี…เรื่องสุดท้าย…”



กรี๊งงงงง กรี๊งงงงงงงงง



เสียงโทรศัพท์ที่ห้องรับแขกดังขึ้น



“เฮ้ย ปล่อยก่อน พี่จะไปรับโทรศัพท์”



“ช่างมันดิพี่ มาเคลียร์กันก่อน เรื่องสุดท้ายแล้ว”



กรี๊งงงงงง กรี๊งงงงงงงงง กรี๊งงงงงงงงงง กรี๊งงงงงงงงงงงงงง



ผมว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ เลยว่ะ ไม่งั้นโทรศัพท์ที่ใช้ติดต่อภายในคอนโดคงไม่ดังตอนเกือบตีสองแบบนี้หรอก



กรี๊งงงงงง กรี๊งงงงงงงงง กรี๊งงงงงงงงงง กรี๊งงงงงงงงงงงงงง



“ภูผา ฟ้าคราม ปล่อยก่อน” ผมกระชากมือออกเบาๆ แต่สองคนนั้นยังคงดึงรั้งไว้แล้วมองมาด้วยสายตาตัดพ้อไม่พอใจ



กรี๊งงงงงง กรี๊งงงงงงงงง กรี๊งงงงงงงงงง กรี๊งงงงงงงงงงงงงง



“แป๊บเดียว…ภูผา…ฟ้าคราม… นะครับ” นี่คือที่สุดของผมแล้วจริงๆ ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยทำเสียงอ่อนเสียงหวานกับใครแบบนี้มาก่อนเลยนะ!



ผมผละออกมาได้ในที่สุด ..



“ฮัลโหล ครับ”

‘ขออภัยที่โทรมารบกวนนะคะ..คือว่ามีคนมาขอเข้าพบคุณน่ะค่ะ แจ้งชื่อว่าคุณปีใหม่ นอกจากนี้ก็ยังมีนักศึกษาอีกสี่ห้าคนตามมาด้วยเห็นว่ามีธุระด่วนแต่ติดต่อคุณไม่ได้ คุณจะลงมาพบเอง หรือ จะให้ดิฉันนำพวกเขาขึ้นไปพบดีคะ’



แสงแห่งความรอดสาดส่องมายังผมแล้ว!



“อ้อ รุ่นน้องผมเอง รบกวนพาขึ้นมาเลย ด่วนเลยนะครับ”





ปีใหม่ที่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงพร้อมด้วยไอ้ไก่และน้องปีสองอีกสามสี่คนตามมาลากไอ้แฝดนรกกลับค่ายถึงที่ ผมสบตาไอ้ไก่ด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง ซึ่งมันก็กลอกตาทำหน้าเหนื่อยใจใส่ผมแล้วยิ้มบางๆ มาให้ …โอเคไก่ ต่อไปมึงบอกให้ทำอะไรกูจะไม่อิดออดอีกเลย สัญญา!



ไอ้ปีใหม่ด่าไอ้แฝดอย่างโกรธจัด ตั้งแต่รู้จักรุ่นน้องคนนี้มา ผมไม่เคยเห็นมันโกรธขนาดนี้มาก่อน มันโกรธจนหน้าแดงก่ำ เส้นเลือดที่ขมับโป่งออกมาจนผมเห็นมันเต้นตุบๆ เป็นจังหวะ มันขมวดคิ้วจนเกิดรอยลึกที่หว่างคิ้วชัดเจน เป็นครั้งแรกที่ผมได้ประจักษ์ว่าอาการ ‘โกรธจนตัวสั่น’ มันเป็นยังไง



ไอ้ภูไอ้ครามแม่งก็กวนตีน ตอนไอ้ปีใหม่ด่ามันก็ทำเป็นไม่สนใจฟัง ภูผาทำเป็นยกนิ้วก้อยขึ้นมาแคะหู ฟ้าครามก็ทำเป็นหาวแล้วมองฝ้ามองเพดาน ไอ้ปีใหม่นี่ปรี๊ดจนเกือบจะถลาจะเข้าไปตั๊นหน้าไอ้แฝดหลายรอบแล้ว ดีที่เพื่อนๆ มันรั้งตัวไว้ทัน ทั้งที่จริงๆ ผมก็รู้สึกได้แหละว่าปีสองคนอื่นๆ ก็ไม่พอใจกับท่าทางไม่สำนึกผิดแถมยังกวนประสาทของภูผากับฟ้าครามเหมือนกัน



ผมเองก็ไม่ชอบใจนิสัยของภูผากับฟ้าครามเหมือนกัน บวกกับนึกกังวลว่าในอนาคตหากมันสองคนติดนิสัยแบบนี้ไปจนทำงานจะทำยังไง….ไม่เคารพคนที่อาวุโสกว่า…ไม่เคารพกติกาของหมู่คณะ…แล้วแบบนี้จะอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขได้อย่างไร?



…คงต้องให้บทเรียนกันสักหน่อย



“ภู…คราม ถ้าเอาเกียร์มาจากรุ่นพี่ไม่ได้..พี่จะไม่คุยเรื่องสุดท้ายที่ติดไว้อีก” ผมพอจะเดาออกแหละว่าเรื่องสุดท้ายที่สองคนนั้นอยากจะเคลียร์ด้วยมันเป็นเรื่องอะไร



“ปีใหม่…การที่ปีหนึ่งจะได้รับเกียร์นี่ต้องทำยังไงบ้าง” ผมถาม



“ต้องได้รับการยอมรับจากรุ่นพี่ครับ” ปีใหม่ตอบผมอย่างสุภาพ ความโกรธที่มีบนใบหน้าเริ่มจางหายไปเมื่อเริ่มจะเข้าใจอะไรบางอย่าง



“ถูกต้อง…เข้าใจแล้วนะภูผา ฟ้าคราม ว่าจะเอาเกียร์มาได้ยังไง”



“พี่ที!!! // พี่ที!!!” ไอ้ภูไอ้ครามร้องเรียกผมเสียงหลง แต่ตอนนี้ผมไม่กลัวมันจะลุกขึ้นมาทำอะไรผมหรอก ก็ผมมีพวกมากกว่าแล้วนี่



“น้องปีหนึ่งเป็นความรับผิดชอบของปีสองโดยเฉพาะประธานรุ่นอย่างคุณ จัดการให้เต็มที่ตามแต่จะเห็นสมควรนะประธานรุ่น ผมมอบอำนาจให้คุณ” ผมพูดแค่นั้นก่อนจะรีบเดินออกจากห้องเพื่อที่จะได้ไม่ต้องต่อปากต่อคำอะไรกับไอ้แฝดต่ออีก ปล่อยให้ไอ้ปีใหม่มันจัดการละกัน ผมเชื่อว่ามันน่าจะหาวิธีโหดๆ มาจัดการสองคนนั้นได้อยู่..



ก็ได้แต่หวังล่ะนะ ว่าพวกปีสองจะช่วยกันดัดนิสัยไอ้แฝดเวรตะไลนั่นแทนผมได้บ้าง



ในที่สุด ค่ำคืนนี้ความวุ่นวายทุกอย่างก็ปิดฉากลงได้เสียที



ผมยืนเอาหลังพิงประตู ริมฝีปากที่เคยฉีกยิ้มเสมอค่อยๆ ราบเรียบกลายเป็นเส้นตรง



คืนนี้คงต้องไปขอค้างที่หอไอ้ป๊อก…



แล้วพรุ่งนี้ไม่สิ นี่มันจะตีสี่แล้ว …เอาเป็นว่าไว้ตื่นมาเมื่อไหร่ผมค่อยคิดแล้วกันว่าจะทำยังไงถึงจะไม่ต้องอยู่ที่คอนโดนั่นอีกโดยไม่ทำให้พ่อแม่และอาแอ๋มรู้สึกไม่ดี





ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ …ไม่ไหวแล้วว่ะ





ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องย้ายออกมาให้ได้ ผมจะย้ายออกแน่นอน ผมมั่นใจจริงๆ



--------------------------------------------------------------------------


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
พี่ทีเอาอยู่

ออฟไลน์ duck-ya

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ทำไมไม่คิดถึงใจทีบ้างเลยยยย
เนี่ยย แล้วถ้าทีย้ายไปจะทำยังไง
เอาแต่ใจไม่เคยคิดถึงสิ่งที่จะตามมาเลยอ่ะ
โตแล้วต้องคิดให้เยอะกว่านี้นะ
ทีเองก็ต้องชังใจดีๆว่าสิ่งที่ทำอยู่ตัวเองจะโอเคกับมันและผลจริงมั้ย
รอลุ้นต่อค่าาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4

ออฟไลน์ DESZCZ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สงสารที อ่านแล้วอึดอัดกับการที่พูดไม่ได้  :katai1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
นับถือความใจเย็นของที  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

การไล่ล่าจับแฝด คงโกลาหลสุดๆเป็นประวัติการรับน้อง  :m16: :m16: :m16:
ไม่มีใครวุ่นวายเท่าแฝดอีกแล้ว  :angry2:
เห็นใจที แต่ก็เห็นใจแฝด  :z3:
        :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
คิดจะหนี น้องมันคงยอมหลอกเท๊อ

ออฟไลน์ sompong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ทีจะโดนลุมโทรมไหมอ่ะ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
คนแก่ก็มั่นใจว่า ทีคงต้องอยู่ที่คอนโดต่อไปอยู่ดี  :hao3:

ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1962
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
เกือบไปล่ะพี่ที

ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
  ตอนพิเศษ  เช็งเม้งหรรษา! (ครึ่งแรก)

(นี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนทีอยู่ม.2 สองแฝดอยู่ป.6 ค่ะ)




“แม่ ปีนี้ไปเช็งเม้งวันที่เท่าไหร่” ผมถามขณะนอนกระดิกเท้าดูทีวีอยู่ในห้องพ่อแม่ที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำชื่นใจ



“26 มีนา ทีว่างมั้ยล่ะ” พ่อตอบแทน



“ขอดูก่อนอ่ะพ่อ แล้วมีใครไปบ้าง”



“ก็มีบ้านเรากับบ้านนู้น แค่นี้แหละ … ไปรถตู้บ้านอาแอ๋ม” พ่อบอก



“ขี้เกียจไปอ่ะพ่อ แดดก็ร้อน นั่งรถก็นาน ไปตั้งสระบุรี” ผมหยิบรีโมตขึ้นมาเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ



“ที พูดอย่างนี้ได้ไง บรรพบุรุษท่านเสียใจหมด” แม่เอ็ดผมอย่างไม่จริงจังนัก ท่านรู้ดีว่าผมไม่ชอบการนั่งรถ มันอึดอัด น่าเบื่อเหมือนโดนขัง



“ขอโทษคร้าบบบ” ผมตบปากตัวเองสามที แล้วยกมือไหว้ขอโทษบรรพบุรุษ



“ทีปิดเทอมอยู่ไม่ใช่หรอลูก หรือว่าวันนั้นมีนัดกับเพื่อน ถ้าไม่ติดอะไรก็น่าจะไปกับแม่นะ ปีนึงไหว้ครั้งเดียวเอง”



“อาแอ๋มเอาเจ้าแฝดไปด้วย วุ่นวายตายชัก ผมขี้เกียจดูน้องอ่ะแม่” ผมบ่น ก็มันจริงนี่ ปีไหนที่สองคนนั้นไปด้วยนะป่วนตลอด ชอบมือบอนไปแกะนู่นจับนี่ ปากก็เสียไปด่าหลุมนู้นหลุมนี้ เขาไม่เอาตายก็บุญแล้ว พี่เฟิร์สก็ไม่ช่วยดู แถมพออาแอ๋มเห็นว่าผมไปด้วย ก็ชอบบอกให้ผมช่วยดูน้องไม่ให้ไปซนทุกทีเลย คนนึงก็อยากจะไปทางโน้น อีกคนก็อยากจะไปดูทางนี้ ให้ตายสิ ฉีกตัวกูไปคนละครึ่งเลยเอามั้ย! = [] =^^^



“เอ้า เค้าก็อยู่ของเค้า เราก็อยู่ของเราไปสิ”



“=_=” เฮ้อ แม่ไม่มาเป็นผมแม่คงไม่รู้หรอก ป่วยการจะอธิบาย



“ทามไปมั้ยลูก” พ่อถามทามที่นั่งอ่านการ์ตูนอยู่บนเก้าอี้นุ่มนิ่มหน้าตาคล้ายจานดาวเทียม



“ไปอยู่แล้ว อยู่บ้านก็ไม่มีอะไรจะทำอ่ะพ่อ…พี่ทีไปด้วยกันเถอะ นะๆ ๆ ”



ผมแบะปากเล็กน้อยก่อนจะยักไหล่



“ไปก็ได้ ไงก็ไม่ติดอะไรอยู่แล้ว”





ปังๆ ๆ ๆ !



“พี่ที ตื่นๆ ๆ ๆ ” เสียงยัยทามดังแหลมมาแต่ไกล พร้อมกับเสียงตบประตูปลุกให้ตื่น



ปังๆ ๆ ๆ ๆ ๆ !!!



ผมลุกไปเปิดประตูอย่างงัวเงีย ก่อนจะกลับมานอนต่อ ถ้าไม่ลุกทามมันก็จะเคาะอยู่นั่นแหละครับ



“พี่ทีแม่บอกให้ไปอาบน้ำ อาแอ๋มกับอาสินธุ์มารอแล้ว”



ผมหยิบหมอนขึ้นมาปิดหู โอ๊ยยย ไม่อยากตื่นเลย เมื่อคืนดันนอนดึกเพราะอ่านนิยายสืบสวนเพลินไปหน่อย



“ตื่นๆ ๆ ๆ ๆ ๆ!!!!!” ทามกระชากผ้าห่มออกจากตัวผมแต่ผมยื้อไว้สุดแรง



“โอ๊ย!! ไม่เอา ไม่ไปแล้ว ไปบอกแม่ไป ง่วง! จะนอน!” เวลาที่นอนไม่พอจะเป็นเวลาเดียวที่ผมควบคุมตัวเองไม่ค่อยอยู่ซึ่งใครๆ ในบ้านต่างก็รู้ดี



แรงยื้อยุดผ้าห่มหยุดลง ผมซุกหน้าลงกับหมอนฟูนุ่มอีกครั้ง ผ่อนลมหายใจแล้วหลับต่อ



“พี่ทีตื่นได้แล้ววววว” ทำไมเสียงทามมันเปลี่ยนไปวะ



“ตื่นเถิดชาวไทยอย่ามัวหลับใหลลุ่มหลงงงง ชาติจะลืมรำวง ก็เพราะเราทั้งหลายยยย” เรืองดำรงเว้ย! ไม่ใช่ลืมรำวง-*-



“นำโมมมม ไต่ซือ ไต่ปุ่ย กิ่วโค่ว กิวหลั่ง กวงไต่ เล้งก่ำ ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น” ไอ้บ้า! กูยังไม่ตาย กูหลับแล้วตื่นเฟ้ย!



“อาทีเอ๊ยยย พระอาทิตย์จาส่องดากเลี้ยวนา ตื่นได้เลี้ยว อั๊วหิวไส้จาขาดเลี้ยว ไม่มาไหว้อั๊วซักที” ใครสักคนดัดเสียงแหลมๆ พูดล้อเลียนสำเนียงจีนปนไทยที่อาม่าผมชอบพูดตอนยังมีชีวิตอยู่



“อาตี๋ อั๊วอยากกินฮ่อยจ๊อเลี้ยวววว เมื่อไหร่ลื้อจามาไหว้”



“เฮ้ย! ล้อเลียนบรรพบุรุษมันสนุกมากมั้ยฮะ ไอ้ฝาแฝด!” ในที่สุดผมก็ทนต่อเสียงเจี๊ยวจ๊าวกวนประสาทไม่ไหว ต้องลืมตาตื่นในที่สุด ตรงหน้าผมปรากฏเด็กหนุ่มตัวสูงโย่งสองคนใส่เจลซะผมตั้ง สวมเสื้อยืดสีแดงที่อกซ้ายปักรูปมังกรทองขดตัวเป็นเลขแปด สวมกางเกงสามส่วนสีดำยืนทำหน้าใสยิ้มกวนตีนอยู่ข้างเตียงผม



“หนี่ห่าวเช็งเม้ง ^ (+++) ^”



ผมมองหน้าพวกมันอย่างมึนๆ ฉีกยิ้มบางๆ ทักทายอย่างรักษามารยาท เหลือบมองนาฬิกาที่บอกว่าตอนนี้หกโมงเช้าแล้วก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ลากผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง



“ไม่ไป ไจ้เจี้ยน”



“ป้าสาคร้าบ!! พี่ทีบอกว่าไม่ไปแล้วววว!” สองคนนั้นตะโกนขึ้นไปยังชั้นสามที่แม่ผมแต่งตัวอยู่ ไม่นานแม่ก็ลงมาปลุกผมด้วยการไล่ปิดพัดลมในห้องจากนั้นก็เดินเข้ามาดึงขาผมลากลงจากเตียงด้วยแรงมหาศาลจนผมตกใจรีบตะกายเกาะหัวเตียงเอาไว้แทบไม่ทันตอนที่ร่างกายท่อนล่างกำลังจะลงไปอยู่บนพื้น เมื่อเห็นว่าผมยอมเด้งตัวลุกแม่ถึงยอมรามือ โอ๊ย ตกใจหมด บอกกี่ครั้งแล้วเนี่ยว่าอย่าปลุกแบบนี้ หัวใจจะวาย!



“ท่องแม่สิบสองย้อนกลับซิ”



ผมยันตัวขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก ขยี้หัวอย่างมึนๆ



“สิบสอง หนึ่ง สิบสองงงง”



“เอ๊ะ บวชมาตั้งสองครั้งแล้วยังไม่มีสติอีก! แม่บอกว่าย้อนกลับไงที”



“สิบสอง สิบสอง เป็น ร้อยสี่สิบสี่”



“สิบสอง สิบเอ็ด เป็น …โอ๊ย! เป็นไรวะ …” พอต้องใช้สมองผมก็เริ่มจะสร่างจากอาการง่วงขึ้นเรื่อยๆ แล้วล่ะครับ=_=



“132” หนึ่งในฝาแฝดช่วยผม



“เออ ใช่ๆ ร้อยสามสอง ขอบใจๆ ” แล้วผมก็ท่องต่อจนจบแบบมึนๆ ในที่สุดผมก็ตาสว่างหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง แม่ยัดผ้าขนหนูใส่มือผมแล้วไล่ไปอาบน้ำให้เสร็จภายในห้านาที ก่อนที่แม่จะเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเลือกชุดให้ผม เจ้าแฝดลงไปนอนกลิ้งบนเตียงผมยังกับเตียงตัวเอง มือก็เอื้อมหยิบนู่นหยิบนี่บนหัวเตียงมาดูอย่างหนุกหนาน =_=



“เฮ้ย! อย่ารื้อดิแฝด”



“น้องดูนิดดูหน่อยจะหวงอะไรนักหนา ไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลยนะที!” ขณะที่แม่หันมาว่าผม ไอ้แฝดที่ถือที่ทับกระดาษลายมัมมี่ กับ ไม้บรรทัดเขาวงกตของผมอยู่ก็หันมายิ้มให้แล้วแอบแลบลิ้นใส่น้อยๆ



“แม่เข้าข้างน้องมันไมอ่ะ! แม่ดูน้องดิ มันแลบลิ้นล้อเลียนทีด้วย” ผมฟ้องแม่ยิกๆ ทันทีที่แม่หันไปมองสองคนนั้นก็ทำหน้าใสซื่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ประมาณว่าเก๊าไม่ได้ทำไรเลยนะ พี่ใส่ร้ายเก๊าทำไมอ๊า ไรเง๊ -*-



“แม่คอยดูน้องไว้ด้วย อย่าปล่อยให้มันรื้อโต๊ะทีนะแม่”



“จะไปอาบได้หรือยัง?” แม่หันมามองผมพลางจิ๊ปากอย่างรำคาญ



“ครับๆ ๆ ไปแล้วครับ”



“ตั้งแต่มาเจอเธอเท่านั้น ช่างสุขใจเหลือเกิน ขอร้องให้เธออย่าเมิน ช่วยรักษาใจ” พ่อผม



“พี่จ๋า ถ้าพูดจริงน้องก็คงรับได้ ถ้าไม่ได้มาหลอกกกก น้องก็เต็มใจจะรักกันกกก” แม่ผม



หลอง ปัน (ตึ๊งตึ๊งตึ๊ง) หลอง เหล่า (ตึ๊งตึ๊งตึ๊ง) หม่าน เหล โถ้ว โถ้ว ก๊อง โสย เหว่ง ปั๊ด เหย้า” นี่เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ส่งประกวดโดยอาเขย และ อาแอ๋ม

……..

“หากคนอย่างช้านนนน ตายยยย จากกก ปายยยย เทอออ เศร้าใจรึเปล่า” จากพี่เฟิร์สผู้ซึ่งกำลังอกหัก=_=’ ’

…………..

“ซา รัง งา มี ชิน ซา รัง นอล วอน ฮา จา นา นา นี รอ เค นอล โม ดึน กอล ดา อิล นึน แด โด โช อา นอ มา นึล ซา รัง แฮ คา จี มา นัน ชอง มัล พา โบ กา ทา ซอ คือ ฮึน ฮัน ซา รัง มวอน จี โมล รา ซอ ” อันนี้ฟังไม่ออก รู้แต่ว่าเป็นเพลงเกาหลี ติ่งนรกส่งประกวด

…………



“บอกกับฉันสักนิดได้ไหมว่าเธอก็คิดอยู่หน่อยๆ ว่าเธอก็แอบชอบฉันไม่ใช่น้อย ให้ใจฉันได้ชื่นฉ่ำ เมื่อเฝ้าคอย เฝ้าคอยให้เธอหันมา (มองฉันซะที) ” นี่ยัยทาม



ไมโครโฟนถูกส่งมาถึงมือผมเป็นคนสุดท้าย



“ไม่อ่ะครับ ทีไม่ชอบร้องเพลง” ว่าแล้วก็ส่งไมค์กลับไปให้หัวคิวอย่างพ่อกับแม่อีกครั้ง



“พี่ทีร้องเพลงห่วยหรอ ปีที่แล้วก็ไม่ร้อง ปีที่แล้วๆ ๆ ก็ไม่ร้อง”



“สงสัยเสียงเป็ด ก้าบๆ ๆ ”



“เดี๋ยวเถอะ! ภูผา ฟ้าคราม ขอโทษพี่เค้าเดียวนี้เลย! ปากไม่ดีจริงๆ เชียว” อาแอ๋มดุเจ้าแฝดเสียงเขียว



“ขอโต้ดก๊าบบบบ // ขอโต้ดก๊าบบบบ” ขอโทษได้ไม่จริงใจเล้ย=_=



“โด่ ทามจะบอกให้ พี่ทีร้องเพลงเพราะกว่าพี่แฝดอีก” ยัยน้องสาวตัวดีรีบปกป้องศักดิ์ศรีแห่งเสียงเพลงให้ผมทันที



“ไม่เชื่ออออออ” ไอ้แฝดทำหน้ากวนประสาทใส่ทาม ทามเลยหันไปกดเลือกเพลงแล้วยัดไมค์ใส่มือผมอย่างไม่ยอมให้ปฏิเสธอีก



ผมได้แต่ถอนหายใจอย่างหน่ายๆ แต่เอาเถอะ ร้องสักเพลงแล้วกันจะได้จบๆ



“…. If I had to live my life without you near me , The days would all be empty , The nights would seem so long……. ...”



https://www.youtube.com/watch?v=uREzF8ZTCTI



“…” พอผมร้องจบ ทุกคนก็เงียบสนิท ก่อนที่อาสินธุ์พ่อของเจ้าแฝดจะปรบมือให้ผมยกใหญ่



“อาไม่รู้มาก่อนเลยนะว่าทีจะร้องเพลงเพราะขนาดนี้ แหมซ่อนคมนะเรา!”



“เพราะอ่ะ! เพราะจริงๆ ด้วย พี่ที ร้องอีกเพลงได้ป่ะ” เจ้าแฝดรบเร้า ชะโงกหัวจากเบาะหลังมาหาผมด้านหน้า



“ไม่เอาแล้ว พอๆ ๆ ” ผมส่งไมค์คืนทามก่อนจะหันหน้าเข้ากระจก หลับตาลงเป็นการตัดบท







และแล้วเราก็มาถึงสุสาน ณ จังหวัดสระบุรี ที่เเดดร้อนบรรลัย



“พี่ทีๆ ”



“ฮะ?”



“ภูต้องอธิษฐานเป็นภาษาอะไรอ่ะ ภูกลัวว่าถ้าอธิษฐานเป็นภาษาไทยแล้วเจ้าจะฟังไม่ออก แต่ภูพูดภาษาจีนไม่เป็นอ่ะ”



“เอางี้…” สองคนนั้นชะโงกหน้าเข้ามาใกล้อย่างตั้งใจฟัง



“ภูกับครามก็ขอเป็นภาษาอังกฤษละกัน มันเป็นภาษาสากล เทพเจ้าน่าจะฟังออก”



“– [] --” << หน้าฝาแฝด



ชอบถามอะไรแปลกๆ ผมไม่ได้เป็นเทพ จะไปรู้มั้ยล่ะนั่น!







หลังจากไหว้เทพเจ้าต่างๆ ที่ปกปักคุ้มครองสุสานแห่งนี้เสร็จแล้ว เราก็ขับรถตรงไปยังฮวงซุ้ยบรรพบุรุษของพวกเรากัน



ภูผากับฟ้าครามรับหน้าที่ปีนขึ้นไปบนเนินหญ้าเพื่อประดับประดาฮวงซุ้ยของอากงอาม่าด้วยดอกดาวเรืองและกระดาษสายรุ้ง ผมกับทามนั่งพับกระดาษเงินกระดาษทอง พี่เฟิร์ส ตั้งเสาสำหรับจุดประทัด ส่วนพวกพ่อแม่ช่วยกันเตรียมอาหารไหว้



ผมนั่งพับกระดาษเงินกระดาษทองพลางเหลือบมองเจ้าฝาแฝดไปด้วย เออ ต้องยอมรับแฮะว่าพวกนี้ตกแต่งฮวงซุ้ยเก่งจริงๆ มันเอาดอกดาวเรืองวางล้อมป้ายหลุมศพ เอากระดาษสายรุ้งประดับเป็นรูปดาวกระจาย ปิดท้ายด้วยการโปรยกระดาษแก้วสีๆ ชิ้นเล็กชิ้นน้อย จนว๊อบแว๊บไปหมด ก่อนที่สองคนนั้นจะปีนกลับลงมาดื่มน้ำแล้วนั่งพักข้างๆ ผมกับทาม



“พี่ทีๆ ” โอ๊ย! ทำไมขยันเรียกกูจัง-*- ไม่ไปเรียกพี่ชายแท้ๆ มึงที่ยืนอยู่ตรงโน้นล่ะฟระ



“หือ มีไร?”



“เราเผารถกระดาษ แล้วอากงอาม่าจะได้ขับจริงหรอ”



“ไม่รู้สิ” ผมก็สงสัยเหมือนกัน ตอนเด็กๆ ผมเคยถามแม่ว่าทำไมเราต้องเผาเงินกระดาษ เสื้อผ้า รองเท้า บ้าน มือถือ ไอแพด ไอโฟนกระดาษด้วย อากงอาม่าจะได้ใช้จริงเหรอ แล้วอากงอาม่าจะใช้เป็นหรือเปล่า แม่ก็คงไม่รู้เลยบอกผมแค่ว่ามันเป็นธรรมเนียมเขาเผากันมาหลายต่อหลายรุ่น เรามีหน้าที่สืบต่อก็เผาไปเถอะ=_=’ ’



“แล้วในนรกจะมีปั๊มให้อากงอาม่าเติมน้ำมันหรอ ทำไมไม่เผาปั๊มน้ำมันส่งไปด้วยล่ะ” บางทีผมน่าจะเผาไอ้คนช่างถามให้ไปอยู่กับอากงอาม่านะ จะได้รู้ว่ารถกระดาษไม่เติมน้ำมันแล่นได้ยังไง



“ปากเสีย ตบปากเลยนะคราม อากงอาม่าอยู่บนสวรรค์ ไม่ใช่นรก!” ผมว่าอย่างไม่พอใจ แต่อีกฝ่ายกลับเลิกคิ้วแปลกใจแทนที่จะสำนึกผิด



“รู้ได้ไงว่านี่คราม?”



“เดา” ผมตัดบทอย่างรำคาญก่อนจะกลับไปสนใจการพับกระดาษเงินกระดาษทองเป็นรูปเงินตำลึงอีกครั้ง



“ทาม ไปเอาดอกไม้หลังรถมาให้แม่หน่อยซิลูก” ทามลุกออกไปหยิบดอกไม้ให้แม่ จึงเหลือแค่ผมกับเจ้าแฝดที่นั่งอยู่ด้วยกัน



“พี่ทีๆ ”



“อะไรอีกล่ะ” ผมชักจะรำคาญพวกมันมากขึ้นทุกทีๆ ไหนแม่บอกว่าถ้าผมไม่ชอบก็ให้ต่างคนต่างอยู่ไง ไหงมันมาทำตัวติดกับผมเป็นตังเมแบบนี้ล่ะฟะ!



“อากงอาม่าไลน์มาแหละ!” ภูผาชูสมาร์ทโฟนในมือขึ้น



จะมามุกไหนของมันอีกฟระ-_- อ่ะ ฟังซะหน่อยก็ได้



“เออ แล้วอากงอาม่าว่าไงบ้างล่ะ” ผมรับมุก



“อากงอาม่าบอกว่าไม่ต้องเผาไอโฟน 5s มาให้แล้วนะ”



“ทำไมล่ะ?”



“กงม่าบอกว่า สตีฟ จ๊อบส์ อีมาเปิดตัวไอโฟน 8s บนสวรรค์เลี้ยวววว”



พอฟังภูผาเล่าจบผมก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างทนไม่ไหว โอ๊ย! มุกพวกมันนี่สุดยอดเลยว่ะ! เราสามคนหัวเราะท้องคัดท้องแข็งลงไปกลิ้งกันอยู่บนเสื่อจนโดนดุว่าให้สำรวม ก่อนจะโดนไล่ให้ไปช่วยพี่เฟิร์สเผากระดาษเงินกระดาษทอง



“โห คราม มึงดูแบ๊งค์นี่ดิ ใบเดียวมีค่าตั้ง 1,000,000,000,000 บาท เลยว่ะ”



“แล้วเผาตั้งหลายปึก คิดดูอากงอาม่าจะรวยขนาดไหนเนอะ ของปีที่แล้วยังใช้ไม่หมดเลยมั้ง” พี่เฟิร์สเสริมขณะที่โยนบรรดาแบงก์ต่างๆ ลงไปในกองไฟ



“ถ้าตายแล้วรวยขนาดนี้ ภูขอตายตอนนี้เลยได้ไหมอ่ะ ฮ่าๆ ๆ ”



“บนสวรรค์คงเงินเฟ้อน่าดู” ผมพึมพำกับตัวเองอย่างขำๆ



----------------------------------------------------------------------------------------------

ขอยืมมุกตลกเช็งเม้งจาก http://dekwad.exteen.com/20090315/entry และ

เพจ เฮ้ย คมมากขอยืมไปปอกมะม่วงหน่อย https://www.facebook.com/peeling.the.mango/posts/574766782598959




ร่วมหวีดร้องกับเราได้ที่ #เกียร์คู่(@candleguard)
เหงาจรุงงง มาคุยกันเยอะๆนะ เดะเข้าไปอ่าน อิอิ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-03-2018 00:23:39 โดย candleguard »

ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
                                                                      (ครึ่งหลัง)


(ภูผา & ฟ้าคราม)



“กงม่าบอกว่า สตีฟ จ๊อบส์ อีมาเปิดตัวไอโฟน 8s บนสวรรค์เลี้ยวววว”



เราสองคนแอบมองพี่ทีหัวเราะท้องคัดท้องแข็งจนลงไปนอนกลิ้งกับเสื่อ พลางคิดในใจว่าดีจังที่พี่ทีกลับมาหัวเราะได้แบบนี้ …ดีกว่าตอนนั้นเยอะเลย …ดีกว่าเมื่อสองปีก่อนตอนที่อากงอาม่าเพิ่งเสียไปในเวลาไล่เลี่ยกัน…



เราสองคนจำได้ดี ตอนนั้นพวกเราเป็นแค่เด็กป.4 ส่วนพี่ทีเรียนอยู่ป.6 ถึงอายุจะยังน้อยแต่เราก็โตพอที่จะมีความคิดอ่านเป็นของตัวเอง



เราไม่รู้ว่าความรู้สึกของการที่ต้องสูญเสียคนที่รักไปตลอดกาลมันเป็นยังไงหรอกเพราะอากงอาม่าฝั่งพ่อเสียไปตั้งแต่เราสองคนยังไม่เกิด ส่วนอากงอาม่าฝั่งแม่ หรือก็คือฝั่งพี่ทีก็ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันเลยไม่ได้ผูกพันอะไรเท่าไหร่ ตอนที่รู้ข่าวว่าอากงอาม่าเสียแล้วเรายังรู้สึกเฉยๆ เลยด้วยซ้ำ



เราเห็นพี่ทีอุ้มทามที่เอาแต่ร้องไห้ขึ้นมานั่งตัก กอด และลูบหัวปลอบโยน ทามร้องไห้จนเหนื่อยและหลับไป พี่ทีไม่มีน้ำตาซักหยด ผู้ใหญ่ทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพี่ทีเป็นเด็กที่เข้มแข็งเหลือเกิน



จริงเหรอ…?



คนที่แม้แต่เวลาที่อยากจะร้องไห้ก็ยังร้องไม่ได้ เรียกว่าเข้มแข็งจริงหรือ



เวลาที่พระสวด พี่ทีมักจะแอบหายตัวไปอย่างเงียบๆ เสมอ แล้วก็จะกลับมาอีกครั้งตอนพักสวดเพื่อช่วยเสิร์ฟของว่างให้แขก



เราอยากรู้ว่าพี่ทีไปไหน ก็เลยแอบสะกดรอยตามแบบที่เห็นในหนัง



เราเห็นพี่ทีเปิดประตูรั้วเดินเข้าไปหลังโบสถ์ที่มืดและเปลี่ยวไร้ซึ่งผู้คน ทรุดตัวลงนั่งพิงกำแพง ยกมือขึ้นมากอดเข่าทั้งสองข้าง ก่อนจะร้องไห้สะอึกสะอื้น



เราสองคนตกใจจนทำอะไรไม่ถูก



เพราะตั้งแต่จำความได้ เราไม่เคยเห็นพี่ทีร้องไห้มาก่อนเลย พี่ทียิ้มแย้มแจ่มใส ถึงบางทีจะชอบทำหน้าเหมือนรำคาญพวกเราบ้าง แต่ท้ายที่สุดก็ยังยอมยิ้มให้



พี่ทีร้องไห้หนักมาก แต่กลับไม่มีเสียงอะไรดังลอดออกมาให้ได้ยินสักแอะ จะมีก็แต่เสียงสะอื้นที่กลั้นเอาไว้ไม่ได้จริงๆ …สะอื้นจนตัวสั่นไปหมด เราสองคนก็เคยร้องไห้ ทั้งตอนที่ตกจากปีนต้นไม้ หรือตอนที่โดนพ่อตี แต่ก็ไม่เคยร้องไห้หนักเท่านี้ …เราไม่เคยเห็นใครร้องไห้ได้น่าเศร้าขนาดนี้มาก่อน …ร้องเหมือนคนหัวใจจะสลาย



พี่ทีน่าสงสารมาก…



พอเสียงสวดเงียบลง พี่ทีก็เอาชายเสื้อเช็ดหน้าเช็ดตา เข้าห้องน้ำหลังวัดครู่หนึ่ง แล้วก็กลับไปที่ศาลา



…ด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ



เป็นอย่างนี้อยู่ตลอดเจ็ดวัน จนกระทั่งงานศพผ่านพ้นไป เราได้เจอกันอีกครั้งตอนงานครบรอบ 100 วัน พี่ทีดูไม่เป็นอะไรแล้ว ส่วนทามที่ตอนนั้นยังเด็กมากก็ลืมความเศร้าไปได้อย่างรวดเร็ว กลับมายิ้มแย้มแจ่มใสหัวเราะได้เหมือนเดิม



แต่พี่ทีไม่ใช่ … แม้จะไม่ได้ดูอาการหนักเหมือนเมื่อหลายเดือนก่อน แต่แววตาที่เคยสุกใสกลับหม่นหมองเหมือนมีม่านหมอกปกคลุมอยู่ตลอดเวลา



เราไม่อยากเห็นพี่ทีเป็นแบบนี้เลย



…แต่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงให้พี่เค้ากลับมาเป็นเหมือนเดิม เด็กซนๆ ที่ดีแต่สร้างปัญหาอย่างภูผากับฟ้าครามน่ะเหรอจะทำอะไรได้ นอกจากเล่นซนแล้วก็ทำให้คนอื่นเดือดร้อนไม่เว้นแต่ละวัน



แล้วในที่สุดเราก็คิดออกแต่วิธีที่ตัวเองถนัด…ปล่อยมุกฮาบ้างแป้กบ้าง รื้อข้าวของ กวนประสาท สร้างเรื่องน่าปวดหัว



แต่มันก็ได้ผล พี่ทีหายซึมไปเลย ตลอดสัปดาห์ที่เราไปค้างบ้านพี่ทีตอนครบรอบร้อยวัน ไม่มีวันไหนที่พี่ทีไม่โกรธ ไม่มีวันไหนที่พี่ทีไม่หัวเราะ บางวันเราก็ทำให้เขาทั้งขำทั้งโมโหได้ในเวลาเดียวกัน



เราเก่งมั้ยล่ะ !



…ถึงเราจะทำให้พี่หายเศร้าไม่ได้ แต่เราก็ทำให้พี่ลืมมันได้เป็นพักๆ



…ถึงเราจะทำให้พี่โกรธ แต่มันก็คือการปลอบใจในแบบของเรา



…โกรธภูกับครามให้มากๆ …จะรำคาญก็เอาเลย เต็มที่



                 อย่างน้อยก็ดีกว่าต้องเห็นหน้าเศร้าๆ กับน้ำตาของพี่อีก


…โกรธจนลืมความเศร้าไปให้หมด



                  แต่ทุกครั้งที่หายโกรธ อย่าลืมยิ้มให้ภูกับครามนะ




“ภูกับครามก็ขอเป็นภาษาอังกฤษละกัน มันเป็นภาษาสากล เทพเจ้าน่าจะฟังออก”



“China god คับ I want handsome man (ประเทศจีน เทพเจ้า คับ ผม ต้องการ ผู้ชาย หล่อๆ) ” ผมอธิษฐานว่าขอให้ตัวเองหล่อๆ ด้วยภาษาอังกฤษอ่อนแอประสาเด็กป.6ที่ไม่ตั้งใจเรียนสักเท่าไหร่



“Me too , handsome handsome rich rich , l want father mather P’ First happy much much (ผมก็ต้องการผู้ชายหล่อๆ ด้วย หล่อๆ รวยๆ , ผม ต้องการ พ่อ แม่ พี่เฟิร์ส มีความสุข มาก มาก) ” ผมขอให้ตัวเองหล่อเหมือนกัน ทั้งหล่อ ทั้งรวย แล้วก็ขอให้พ่อแม่กับพี่เฟิร์สมีความสุขมากๆ ^^





“And we want P’ T don’ t cry , smile very much ,and happy forever”



---------------------------------------------------------------



ปล. ภาษาอังกฤษของภูกับครามไม่ถูกไวยากรณ์อย่างแรง ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างนะคะ 555 (แต่ก็เด็กป.6อ่ะเนอะ เอาไรมาก)


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
แหม มันกวนตั้งแต่เด็กเลยเว้ย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ มนุษย์สาววาย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เขาก็รักของเขามาตั้งแต่เด็กเนอะ 555555555555555555

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
 

:mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
โธ่  แฝดแอบรักพี่ทีเขามาตั้งแต่เด็กหรือเนี่ย  :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
มุขแฝด ไอโฟน8  สุดยอดดดดด   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
หือออ ไอโฟน 8 มาา

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1

                                                   ตอนที่ 27  ขอลายเซ็นหน่อยคร้าบบบบ


ผมเดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าห้องคลอดอย่างเป็นกังวล ในใจก็นึกภาวนาให้ปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูก หยาดเหงื่อไหลซึมจนเปียกไปทั้งฝ่ามือแม้อากาศในโรงพยาบาลจะเย็นเฉียบสักแค่ไหน ผมป้ายมือที่เปียกกับกางเกงด้วยความกระวนกระวายใจก่อนจะกุมมือเดินกลับไปกลับมาใหม่อีกรอบาลที่เดินออกมาข้างนอกทันที



“ยินดีด้วยนะคะคุณพ่อ ปลอดภัยทั้งแม่และลูกเลยค่ะ” เมื่อได้ยินสิ่งที่นางพยาบาลพูด ผมก็แทบจะกระโดดตัวลอยร้องตะโกนด้วยความดีใจให้ก้องโรงพยาบาล ผมเป็นพ่อคนแล้ว! ผมเป็นพ่อคนแล้ว!!!!



ผมผลักประตูเปิดเข้าไปทันที ภรรยาคนสวยของผมมองมาด้วยรอยยิ้มอ่อนแรงแต่ก็เต็มไปด้วยความสุข ผมรีบคว้ามือเธอมากุมไว้พลางจูบหน้าผากซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความรัก

เมื่อไฟหน้าห้องคลอดดับลง ผมถลาเข้าไปหานางพยาบ



“ขอบคุณนะเอิ้บ ขอบคุณที่อดทนเพื่อเราและลูก ขอบคุณที่ทำให้เราได้เป็นพ่อคนนะครับ” ผมยิ้มกว้างอย่างมีความสุข ก่อนจะต้องขมวดคิ้วเมื่อนางพยาบาลอุ้มห่อผ้าสีฟ้าตรงมาที่เตียงสองห่อ



เอิ้บยิ้มกว้างรับเอาห่อผ้าสองห่อนั้นมา ก่อนจะหันมาหาผม



“ใหม่ดูสิ เราได้ลูกแฝดด้วยนะ!”



ไม่นะ…ทำไมผมรู้สึกว่าหนังตาขวามันกระตุกยิบๆ ชอบกล



“ใหม่จะลองอุ้มลูกดูมั้ย?” ผมกลืนน้ำลาย ก่อนจะยื่นมืออันสั่นเทาไปรับห่อผ้าสองห่อนั้นมา



“ชื่อภูผา กับ ฟ้าคราม ดีมั้ย?”



ผมละสายตาจากใบหน้าเปื้อนยิ้มของภรรยา ก้มลงมองทารกแฝดในอ้อมแขน ก่อนจะต้องตกใจจนตาแทบถลนที่ลูกของผมหน้าเป็นผู้ใหญ่ แต่ตัวดันเป็นเด็กทารก



ผมยืนช็อกจนขยับเนื้อขยับตัวไม่ได้ เด็กทารกหน้าผู้ใหญ่หัวเราะคริๆ อิ๊ๆ ดังลั่นห้องคลอดเหมือนสะอกสะใจกับท่าทางของผม เอิ้บยิ้มแย้มชอบใจที่ลูกของเธอดูเป็นเด็กอารมณ์ดี



บ้า ! นี่มันเด็กผี ลูกปีศาจชัดๆ!!!



ผมโยนห่อผ้าสองห่อนั้นทิ้งราวกับเป็นของร้อน ทั้งเอิ้บ ทั้งหมอและพยาบาลในห้องผ่าตัดพากันหวีดร้องตกใจกับการกระทำของผมไม่เว้นแม้แต่ตัวผมเองที่เพิ่งได้สติ ผมโยนลูกตัวเองทิ้งได้ยังไง!?



แล้วผมก็ต้องตกใจเป็นคำรบสองเมื่อทารกแฝดสองคนนั้นเกาะอยู่ที่เท้าผม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นฉีกยิ้มกว้างถึงหูอย่างน่าสยดสยอง



“พี่ปีใหม่…ขอลายเซ็นหน่อย / พี่ปีใหม่…ขอลายเซ็นหน่อย”



“ม่ายยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!! ”





(ที)



ผมตื่นแต่เช้ามาอาบน้ำอย่างสดชื่น ในที่สุดงานรับน้องก็ผ่านพ้นไปแล้ว สายรหัสก็เฉลยแล้ว วันนี้สายผมจะนัดเลี้ยงสายหลังเลิกเรียน มากันครบทุกคนตั้งแต่พี่ที่จบไปปีล่าสุดจนถึงน้องปีหนึ่งตัวหลักของงานในวันนี้ เห็นไอ้อ๊อตน้องรหัสผมบอกว่าหลานรหัสผมชื่อซินเซียร์ อืม ชื่อแปลกดี ได้ยินพวกปีสองคุยกันว่าน้องคนนี้หน้าตาน่ารักมากแถมยังโก๊ะสุดๆ ไปเลย คงจะเป็นผู้หญิงท่าทางเปิ่นๆ มั้งเนี่ย ผมยังไม่มีโอกาสได้เห็นตัวจริงสักที ก็เพราะผมมัวแต่จับตาดูไอ้แฝดนรกนั่นแหละ เลยไม่มีเวลาไปส่องน้องคนอื่นเลย



ผมถือหม้อไก่ผัดขิงไปอุ่น ก่อนจะเอาปลาสามตัวที่เอาออกมาละลายน้ำแข็งนานแล้วลงไปทอดในกระทะ พอเหลืองกรอบดีแล้วก็ตักใส่จาน เทน้ำจิ้มลงในถ้วยใบเล็กๆ ก่อนจะนำทั้งหมดไปตั้งที่โต๊ะกินข้าว แล้วเดินกลับมาทอดไข่ดาวอีกสี่ฟอง อันนี้ผมไม่ได้กินเองหรอกนะ ของภูผากับฟ้าครามต่างหาก ตั้งแต่ตอนติวหนังสือแล้วที่ผมรู้ว่าสองคนนี้ชอบกินไข่ดาวสองฟองทุกเช้า



ผมเปิดโทรทัศน์นั่งดูข่าวยามเช้าพลางนั่งกินข้าวไปด้วย กินเสร็จก็เอาจานไปวางที่ซิงค์รอให้ไอ้แฝดมันมาล้าง ผมออกไปยืนรับอากาศยามเช้าที่ระเบียงพลางทอดสายตาออกไปแสนไกล



นับจากวันรับน้องที่ไอ้แฝดก่อเรื่องหนีออกมาก็ผ่านมาอาทิตย์นึงแล้ว จำได้ว่าคืนนั้นในที่สุดไอ้ปีใหม่ก็ลากภูผากับฟ้าครามกลับไปได้สำเร็จ ไอ้ขวดเล่าให้ผมฟังว่าพอกลับไปถึงภูผากับฟ้าครามโดนพวกปีสองด่าซะยกใหญ่ ทั้งๆ ที่ถ้าคืนนั้นไม่หนีออกมา สองคนนั้นก็จะได้เกียร์จากพี่รหัสของตัวเอง แต่พอเกิดเรื่องพี่รหัสของสองคนนี้ก็เลยไม่ยอมออกมาแสดงตัว มันสองคนก็เลยไม่มีเกียร์ ซึ่งก็เท่ากับว่าไม่ได้รับรุ่น



คุณอาจจะสงสัยว่าไม่ได้รุ่น ไม่มีพี่รหัส แล้วจะทำไมหรอ?



สำหรับมหา’ ลัยผมมันก็ไม่อะไรหรอกครับ มีหลายคนเหมือนกันที่ไม่เอารับน้อง ไม่เอาเกียร์ ไม่เอารุ่น ไม่เอาสายรหัส มาเรียนก็คือเรียนอย่างเดียวไม่สนใจอย่างอื่น หรือไม่ก็ไปสนิทกับเพื่อนคณะอื่นมากกว่า แต่สำหรับผม ผมว่าการรับเกียร์รับรุ่นเป็นสิ่งจำเป็นนะ จะได้มีพวกรุ่นพี่คอยช่วยให้คำปรึกษาเรื่องต่างๆ จบไปทำงานบางทีก็จะได้มีเส้นสาย แถมยังฝึกการเข้าสังคมด้วย ผมคิดมาดีแล้วว่ายังไงก็ต้องทำให้ไอ้ภูไอ้ครามเอารุ่นให้ได้ เพื่ออนาคตของพวกมันเองด้วย



รู้สึกว่าไอ้ใหม่จะสั่งให้สองคนนั้นไปตามล่าลายเซ็นปีสองให้ครบทุกคนถึงจะได้เกียร์ ยังกับสมัยที่มอผมยังใช้ระบบโซตัสไม่มีผิด ไอ้การล่าลายเซ็นเนี่ย



ผมเอนหลังลงบนเก้าอี้หวาย ประสานมือสองข้างไว้ที่หน้าท้อง มองดวงอาทิตย์สีแดงกลมโตที่เหมือนไข่แดงของไข่ดาวที่ผมทอดให้ภูผากับฟ้าครามไม่มีผิด



…ผมปรารถนาให้คืนวันอันสงบสุขนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ … ถึงจะต้องอยู่กับไอ้แฝด ที่ถึงจะกวนประสาท น่ารำคาญบ้างในบางที บางคราวก็ทำให้ผมทั้งสุขทั้งทุกข์ในเวลาเดียวกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบ่อยครั้งผมมักจะยิ้มและหัวเราะเสียงดังเพราะสองคนนี้โดยไม่รู้ตัว เอาจริงๆ มาอยู่กับภูผาฟ้าครามมันก็ไม่ได้แย่ ถ้าเราอยู่กันแบบพี่น้อง …จนกว่าสองคนนั้นจะได้เกียร์มา เราจะยังคงสภาพนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรเกินเลยไปมากกว่านั้น ซึ่งผมชอบแบบนี้ มันสบายใจกว่ามาก



ถ้าภูผากับฟ้าครามรักผมแบบพี่ชาย ผมยังพอทนอยู่กับพวกมันได้ แต่นี่ไม่ใช่ สองคนนั้นกำลังเรียกร้องในสิ่งที่เกินเลยไปมากกว่านั้นจากผม และเมื่อผมให้ไม่ได้ ผมก็ควรที่จะก้าวออกมาก่อนที่พวกมันจะยิ่งถลำลึกไปมากกว่านี้



ผมเคยถามตัวเองว่าถ้าหากภูผากับฟ้าครามเป็นคนคนเดียวกัน เป็นผู้หญิง และไม่ใช่ญาติ ผมจะรักภูผากับฟ้าครามได้ไหม…



…คำตอบที่ได้ช่างน่ากลัว…มันไม่ได้น่ากลัวที่คำตอบ แต่น่ากลัวที่ผมตอบได้อย่างรวดเร็วและไม่มีความลังเลเลยสักนิด



วันก่อน ผมลองถามไอ้แท็คดู เพราะเห็นว่าในกลุ่มผมมันดูพึ่งพาได้มากที่สุดแล้ว



‘แท็ค กูถามไรมึงหน่อยดิ’



‘หืม มีไรวะ?’



‘คือว่า…ถ้ามีผู้หญิงคนนึงชอบเข้ามาจุ้นจ้านวุ่นวายกับชีวิตมึง บางทีก็ทำให้มึงรำคาญ บางทีก็ชอบทำเรื่องยุ่งให้มึงไปคอยแก้ แต่ผู้หญิงคนนี้ทำให้มึงหัวเราะบ่อยมาก อยู่ด้วยแล้วไม่เคยเบื่อ บางทีก็ชอบออดอ้อนเหมือนเด็กๆ แต่บางครั้งก็แอบเจ้าเล่ห์แบบที่มึงคาดไม่ถึง…’



ไอ้แท็คฟังอย่างตั้งใจพลางขมวดคิ้วนิดๆ ‘อ่าหะ’



‘ไม่ว่าผู้หญิงคนนี้จะทำอะไรให้มึงโกรธแค่ไหน สุดท้ายมึงก็ใจอ่อนยอมยกโทษให้เธอทุกที ถึงมึงจะรำคาญเธอสักแค่ไหน แต่สุดท้ายมึงก็ละสายตาไปจากเธอไม่ได้ซะทุกที วันๆ มึงก็คอยมองแต่เธอคนนี้ว่าจะไปก่อเรื่อง ไปทำเปิ่นอะไรอีกหรือเปล่า เธอเด็กกว่ามึงไม่กี่ปี เป็นคนตรงไปตรงมา แล้ววันนึงเธอก็มาบอกว่าชอบมึง แล้วก็พยายามทำทุกวิถีทางให้มึงรับรักเค้า เป็นมึง มึงจะรักผู้หญิงคนนี้ไหมวะ’



ไอ้แท็คยิ้มขำ พลางมองหน้าผมประมาณว่าถามอะไรของมึงวะ



‘ไม่รู้ดิ ก็คงชอบมั้ง ฟังๆ ดูแล้วก็น่ารักดีออก’



'หรอวะ แล้วมึงชอบเค้าหรอวะ’



‘กูว่าน่าจะชอบแหละ ก็มึงบอกว่าต่อให้ทำผิดแค่ไหนก็ยกโทษให้ได้ทุกครั้ง กูว่าถ้ากูมีโมเม้นท์นี้ กูคงชอบผู้หญิงคนนี้ไปแล้วล่ะ’



‘…’ ชักเครียด



‘ถ้าคบกันเมื่อไหร่อย่าลืมพามาแนะนำด้วยล่ะ มึงพูดซะกูอยากเห็นตัวเลยนะเนี่ย ฮะๆ ๆ ’



‘เฮ้ย! กูแค่สมมติเว้ย’



ไอ้แท็คมองหน้าผมเหมือนไม่อยากเชื่อ แต่ก็ไม่ได้ไล่บี้ต่อ มันยิ้มขำๆ ก่อนจะยักไหล่



‘โอเคๆ เรื่องสมมติก็เรื่องสมมติ’







ผมถอนหายใจ ยกมือขึ้นทุบแขนเก้าอี้อย่างโมโหปนอัดอั้น….ทำไมวะ!? …ทำไมไม่เกิดมาเป็นผู้หญิง ทำไมต้องเกิดมาเป็นญาติกู ทำไมไม่เกิดมาคนเดียวจะเกิดมาสองคนทำเหี้ยอะไร ต่อให้เป็นผู้หญิงจริงผมก็ไม่คิดจะแต่งเมียสองคนหรอกนะ ผมน่ะเป็นคนรักเดียวใจเดียว แต่จะให้ผมเลือกคนใดคนหนึ่งผมก็ทำไม่ได้ คนที่ไม่ถูกเลือกคงน่าสงสารน่าดู



แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่ากูจะมานั่งกลุ้มใจไปทำไมในเมื่อเรื่องที่ผมสมมติขึ้นมันไม่มีวันเป็นจริง สองคนนั้นไม่มีทางกลายเป็นผู้หญิง แล้วผมก็คงไม่มีวันต้องมานั่งกลุ้มใจว่าจะเลือกแต่งกับคนพี่หรือคนน้องด้วย



ผมควรจะทำยังไงดี …เรื่องของผมกับสองคนนั้น มันดูจะเป็นไปไม่ได้เลย ผมมองไม่เห็นอนาคตของพวกเราเลยสักนิด



ผมควรจะจัดการความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจเหล่านี้ยังไงดี ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันหมายความว่ายังไง ผมไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจทำแบบไหน ผมไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองจะต้องมานั่งเสียดายเรื่องที่สองคนนั้นไม่ใช่ผู้หญิง ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมานั่งสมมตินู่นนี่ให้วุ่นวายเพื่อหาคำตอบให้กับตัวเอง ผมไม่รู้ว่าควรจะให้คำตอบสองคนนั้นว่ายังไง ผมไม่รู้ว่าที่จริงแล้วผมอยากจะย้ายออกไปไหม ผมไม่รู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงที่ผมอยากจะย้ายออกไปมันคืออะไร มันเป็นเพราะผมเหนื่อยใจกับการเสแสร้งจริงๆ น่ะหรือ ผมไม่รู้ว่าที่ตัวเองไม่รู้ความจริงคือแกล้งไม่รู้หรือไม่รู้จริงๆ กันแน่



ผมไม่คิดว่าจะมีใครตกหลุมรักคนที่แทบไม่มีอะไรเหนือกว่าตัวเองเลยสักอย่างเลยนะ มันจะเป็นไปได้ยังไงที่จะหลงรักคนที่ก่อเรื่องก่อราวมากมายให้คอยตามแก้ ทำตัวให้น่าเป็นห่วงจนใจเราร้อนรุ่มราวกับอยู่ในเปลวไฟตลอดเวลา



หรือผมควรจะเลิกคิด แล้วปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปในสิ่งที่มันเป็น อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด



หรือผมควรจะเลิกหลอกตัวเองได้แล้ว



แล้วผมหลอกอะไรตัวเอง ?



ผมมองลงไปด้านล่าง แล้วก็เผอิญเห็นภูผากับฟ้าครามกำลังกลับจากการวิ่งจ๊อกกิ้งพอดี



ผมเท้าคางกับราวระเบียงมองสองคนนั้นเงียบๆ



แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อหนึ่งในสองคนนั้นเงยหน้าขึ้นมา ผมหยิบแว่นขึ้นมาสวมเพื่อที่จะได้มองเห็นสองคนนั้นให้ชัดขึ้น



ภูผากับฟ้าครามเงยหน้ายิ้มกว้างให้ผมพลางโบกไม้โบกมือทักทาย



ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่าที่เห็นว่ารอยยิ้มของภูผาและฟ้าครามช่างดูเจิดจ้าจริงๆ เจิดจ้ายิ่งกว่าแสงอาทิตย์ยามเช้านี้เสียอีก เป็นรอยยิ้มที่ผมเห็นแล้วรู้สึกมีพลังขึ้นมาอย่างประหลาด



ผมยิ้มบาง โบกมือตอบ



บางที เราก็ไม่ควรจะไปกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึงใช่ไหม…



เรื่องในอนาคตก็ปล่อยให้ผมในอนาคตเป็นคนจัดการแล้วกัน







อาทิตย์ต่อมา เย็นวันหนึ่งขณะที่กำลังนั่งกินข้าวด้วยกัน ภูผากับฟ้าครามก็หยิบสมุดล่าลายเซ็นขึ้นมาอวด



“พี่ทีดูสิ อีกยี่สิบคนภูก็จะได้ลายเซ็นครบแล้วนะ” ภูผายิ้มร่าเริง ผมรู้สึกตกใจไม่คิดว่ามันสองคนจะล่าลายเซ็นรุ่นพี่ได้เร็วขนาดนี้ ปีสองน่ะมีตั้งสองร้อยกว่าคน นี่เหลือแค่ยี่สิบคนเองหรอเนี่ย ผมคิดว่าพวกปีสองจะเล่นตัวกันมากกว่านี้ซะอีก ทำไมถึงให้ลายเซ็นง่ายๆ แบบนี้ ภูผากับฟ้าครามไปขอท่าไหนของมันวะ!?



“อืม เก่งนี่นา” ผมพยายามจะยิ้มให้เหมือนไม่มีอะไร ทั้งที่ในใจวูบโหวง ใกล้ได้เวลาที่ตัวผมในอนาคตจะต้องจัดการเรื่องในอนาคตแล้วสินะ จะทำยังไงดี ผมรู้สึกไม่สบายใจเลย ผมจะต้องให้คำตอบที่ทำร้ายจิตใจน้องจริงๆ น่ะหรอ แล้วหลังจากให้คำตอบเราจะกลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมได้ไหม หรือสุดท้ายผมควรจะต้องย้ายออกไปจริงๆ



“…พี่ทีอย่าลืมที่สัญญาเอาไว้นะ” ภูผากับฟ้าครามสบตาผมอย่างสื่อความหมาย บรรยากาศสบายใจตอนนั่งกินข้าวเมื่อกี้เหมือนจะจางหายไป (สำหรับผม) ใกล้หมดเวลาที่ผมจะทำเป็นแกล้งไม่รับรู้ เล่นเป็นพี่น้องหรรษาแล้วสินะ



“อืม ไม่ลืมหรอก”



หรือผมควรรีบย้ายออก…ก่อนที่จะต้องให้คำตอบ…ก่อนที่จะทำให้ใครบางคนต้องเจ็บปวด





(ปีใหม่)



“ใหม่ สามอาทิตย์แล้วนะ จะไม่เซ็นให้น้องเค้าจริงๆ เหรอ” เอิ้บถามขณะที่เราพากันเดินออกจากห้องเลคเชอร์ ผมมองซ้ายมองขวาอย่างระแวงว่าไอ้แฝดนรกจะมาดักหน้าห้องเหมือนเมื่อวานหรือเปล่า พอไม่เห็นจึงหันกลับไปคุยต่อ



“ไว้เราพอใจจะให้เมื่อไหร่เราก็ให้เมื่อนั้นแหละ” ผมว่าอย่างไม่ยี่หระ แต่เอิ้บกลับทำแก้มป่องไม่พอใจ



“ใหม่อ่ะะะะ น้องก็มาง้อแล้ว เลิกแกล้งน้องเถอะ”



“เอ๊ะ ไอ้สองตัวนั่นมันมาติดสินบนอะไรเอิ้บป่ะเนี่ย” ผมหรี่ตามองแฟนตัวเองที่คงจะหลงลูกอ้อนจอมกะล่อนของเจ้าแฝดนรกนั่นเข้าให้แล้ว ดูเหมือนสองคนนั้นจะเลือกขอลายเซ็นพวกผู้หญิงก่อน ลูกอ้อนมันแพรวพราวน่าดูกูเห็นมากับตา พี่คนสวยอย่างนู้น พี่คนน่ารักอย่างนี้ อยากได้ลายเซ็นพี่สาวจังเลย ลายเซ็นพี่จะสวยเหมือนหน้าพี่มั้ยน้อออ เพื่อนผมบางคนถึงกับสั่งให้หอมแก้มแลกลายเซ็นเลยก็มี กลายเป็นขวัญใจสาววิศวะไปซะแล้ว ธรรมดาซะที่ไหน บทจะป่วนก็ทำเอาปวดหัวกันทั้งค่าย บทจะอ้อนก็ทำสาวๆ ใจละลายกันเป็นแถบ



แล้วพอได้ลายเซ็นพวกผู้หญิง มีหรือจะไม่ได้ลายเซ็นพวกผู้ชายที่ยอมก้มหัวให้ทรัพยากรอันน้อยนิดในคณะ



ไอ้เด็กสองคนนี้มันวายร้ายชัดๆ



“โถ่ ใหม่ ..ใหม่แกล้งน้องไปตั้งเยอะแล้วนะ”



“เราแกล้งอะไร? เราแค่หลบหน้าเฉยๆ ”



“แล้วที่ให้ไปขอเบอร์อาจารย์ปกรณ์ อาบน้ำสุนัขใต้ตึก เดินบัลเล่ต์รอบสนามฟุตบอล บอกรักหลอดไฟกลางโรงอาหาร เข้าไปรองน้ำแอร์ห้องแล็ปที่มีแต่พัดลม ไปขอยามคณะแต่งงาน ชวนต้นหางนกยูงข้างคณะแพทย์ออกเดต คัดสูตรฟิสิกส์ร้อยชุด ทำความสะอาดห้องสโมฯ ใช้พีทาโกรัสคำนวณความสูงตึกอธิการบดี ขัดเกียร์ที่ลานกว้าง นี่ไม่เรียกว่าแกล้งใช่ป่ะ”



เย้ย! รู้ได้ไงวะ กูอุตส่าห์แอบทำลับหลังแล้วนะ ={}=;;



“เอิ้บเข้าใจผิดแล้ว ที่เราให้น้องไปขอเบอร์อาจารย์ปกรณ์เพราะอีกหน่อยอาจจะได้ใช้ไง แล้วเราเห็นหมาใต้คณะมันเริ่มมอมแมมแล้วเลยขอแรงน้องมันช่วยอาบ ให้ไปขอยามแต่งงานอะไรเพ้อเจ้อ! เราแค่ให้น้องไปผูกมิตรกับยาม อีกอย่างให้คัดสูตรก็ดีแล้วไงจะได้ไม่ลืม” ผมพยายามแถแบบสีข้างเลือดออกซิบๆ



“ไม่ต้องมาแถเลยนะ ไม่รู้ล่ะ เราขอสั่งให้ใหม่เซ็นให้น้องไม่เกินอาทิตย์หน้า.. เราอยากเลี้ยงสายแล้ว!” โอ๊ย! อะไรจะรักพวกมันขนาดน้านนนน มันเป็นลูกเธอเรอะ! สนใจกรูบ้างกรูแฟนนะครับ นั่นมันแค่เด็กเปรตแอ๊บใส (ไสย) อย่าไปหลงเชื่อมันเซ่!



ทุกคนอ่านไม่ผิดหรอกครับ ภูผาฟ้าคราม เจ้าแฝดตัวแสบนั่นเป็นน้องรหัสของเอิ้บทั้งคู่ ฝันกูนี่ลางบอกเหตุชิบหาย!



ตอนจับสลากผมดีใจฉี่แทบราดที่ไม่ได้ไอ้สองตัวนั่น แต่ดูเหมือนความซวยจะชอบผมเข้าแล้วมั้งครับ ถึงทำให้คนใกล้ตัวสุดๆ อย่างแฟนผมเธอจับได้ไอ้ภู!



‘ใหม่ๆ ๆ เราได้น้องภูเป็นน้องรหัสด้วยแหละ ^O^’



‘…’ = [] =! เมื่อคืนเพิ่งฝันว่าได้พวกมันมาเป็นลูกหยกๆ เล่นเอาตาค้างยันเช้า นี่ได้ตาค้างยามบ่ายอีกรอบ



‘อีกคนชื่อน้องพล ว้า…ไปขอแลกน้องครามมาดีกว่า จะได้ครบคู่ อิอิ’ แล้วเธอก็ไปขอแลกเอาฟ้าครามมาจากไอ้เฮนรี่ จบเลยครับTvT



“โอเคๆ ๆ ไม่เกินอาทิตย์หน้าก็ได้ พอใจมั้ยครับคุณแฟน” โห่ ยังแกล้ง เอ๊ย! สั่งสอนไม่หนำใจเลย แต่ช่างเถอะ รามือแค่นี้ก็ได้ เห็นแก่แม่ของลูกในอนาคต -..-



…แน่นอนว่าต้องไม่ใช่ลูกแฝดเด็ดขาด!







(ภูผา)



“กูทนไม่ไหวแล้วนะเว้ย! ปีโป้แม่งเล่นตัวฉิบหายเลยว่ะ” ไอ้ครามตะโกนเสียงดังก่อนจะโยนสมุดล่าลายเซ็นที่ขาดลายเซ็นประธานรุ่นอย่างพี่ปีโป้ เอ๊ย! ปีใหม่แค่คนเดียว ตามตื๊อมาจะครบเดือนแล้วยังไม่ยอมเซ็นให้ซะที ดาราดังยังไม่หวงลายเซ็นเท่านี้เลยนะ -_- ‘’



“เออ กูโคตรแค้นแม่งเลย ให้กูไปชวนต้นไม้ออกเดต อาจารย์แพทย์เกือบนึกว่ากูเรียนจนเพี้ยน” ผมเสริม



“ตอนนี้ถ้ามีสอบคัดสูตรนะ กูว่ากูเก็ตเอเลยว่ะ” ไอ้ครามพูดประชดก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะทำงาน เปิดไดอารี่มาเขียนระบายอารมณ์ พวกผมยังเขียนไดอารี่ส่งพี่ทีอย่างสม่ำเสมอทุกสิ้นเดือนนะครับ ถึงพี่แกจะไม่ได้ว้อนเลยก็ตาม



“ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ทีนะ กูไม่มีทางไปตามตื๊อแม่งหรอก เชอะ” ไอ้ครามยังบ่นต่อ



“แย่งแฟนปีโป้เลยดีมั้ยวะ แก้แค้นๆ ” ผมเสนอเล่นๆ ไอ้ครามหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างถูกอกถูกใจ



“น่าสนว่ะ ปีโป้กระอักเลือดแน่ๆ กร๊ากกกก อกหักดังเป๊าะ”



แล้วมันก็กลับไปนั่งเขียนไดอารี่ต่อ ส่วนผมก็นอนเล่นเกมในไอโฟน เฮ้อออ เย็นวันศุกร์นี่มันดีจริงๆ



ผ่านไปพักหนึ่ง ผมก็ได้ยินเสียงปิดสมุดพร้อมกับเสียงหมุนเก้าอี้ดังขึ้นเบาๆ จึงเงยหน้าขึ้นจากจอ แล้วก็สบตากับไอ้ครามที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว



“ภู กูไม่อยากไปตื๊อปีโป้แล้วว่ะ กูเบื่อ กูเหนื่อย กูทนไม่ไหวแล้ว…แต่กูก็อยากได้เกียร์ไปให้พี่ที”



“……” ไอ้ครามพูดในสิ่งที่ตรงใจผมทุกอย่างเลยครับ ตื๊อรุ่นพี่สองร้อยกว่าคน แล้วมาติดที่คนสุดท้ายที่เคี้ยวยากกว่าใครอยู่เกือบเดือนอีก บอกตามตรงความอดทนผมก็ใกล้หมดแล้ว นี่ยังเอาคืนกันไม่พออีกหรือไง จะยื้อไว้อีกนานสักแค่ไหนอีก



“เฮ้ย หรือพี่ทีแอบสั่งให้ปีโป้ยื้อไว้วะ”



“ไม่หรอก….” ผมแสดงอาการไม่เห็นด้วย แต่ก็เริ่มลังเลตามคำพูดของไอ้คราม



“อย่าลืมเรื่องไอ้ขวดดิ นั่นพี่ทีก็อยู่เบื้องหลังนะ เห็นตีหน้านิ่งยิ้มแบบนั้น ที่จริงเจ้าแผนการน่าดู”



“…………” เออ จริง เห็นด้วย



“มึงจำเกียร์ที่กูเก็บมาได้ปะ?”



“ไอ่เกียร์ที่ได้มาตอนปีนน้ำตกครั้งนั้นอ่ะนะ”



“เออ เอาอันนั้นไปให้พี่ทีเหอะ” ว่าแล้วไอ้ครามก็หยิบกล่องข้างหัวเตียงออกมาคุ้ยหา



“แต่มันมีอะไรเขียนไว้ข้างในด้วยนะ แถมยังเลขอะไรนั่นอีก น่าจะเป็นเลขรุ่น กูว่าอย่าเลยว่ะ เดี๋ยวโดนจับได้”



“ก็แค่ยื่นให้ดูว่าเอามาได้แล้วนะ อย่าให้พี่ทีเห็นข้างในดิ รีบโชว์รีบเก็บก็จบ”



“…….”



“มึงเห็นด้วยป่ะวะไอ้ภู กูรู้นะว่ามึงก็ขี้เกียจไปง้อปีโป้แล้ว”



ผมนิ่งไปสักพัก พยายามคิดไตร่ตรอง ก่อนจะตอบ



“…ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวนะ”


ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
                                                                    ตอนที่ 28 : หน่วง



“เฮ้ย หรือพี่ทีแอบสั่งให้ปีโป้ยื้อไว้วะ”

“อย่าลืมเรื่องไอ้ขวดดิ นั่นพี่ทีก็อยู่เบื้องหลังนะ เห็นตีหน้านิ่งยิ้มแบบนั้น ที่จริงเจ้าแผนการน่าดู”

“มึงจำเกียร์ที่กูเก็บมาได้ปะ?”

“ไอ่เกียร์ที่ได้มาตอนปีนน้ำตกครั้งนั้นอ่ะนะ”

“เออ เอาอันนั้นไปให้พี่ทีเหอะ”

“…ก็เป็นความคิดที่ไม่เลวนะ”




ผมเหม่อมองไปนอกหน้าต่างที่มีผ้าม่านสีรุ้งหม่นกรองแสงอาทิตย์ยามโพล้เพล้เอาไว้…ผ้าม่านที่ครั้งหนึ่งภูผากับฟ้าครามเคยบ่นว่าดูหลอนๆ เพราะแขวนมาตั้งแต่สมัยอากงอาม่ายังอยู่สองคนนั้นมองว่าน่ากลัว แต่ผมกลับชอบและไม่เคยคิดจะเปลี่ยน

เหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะมันทำให้ผมนึกถึงคนสองคนที่รักผมโดยไม่ต้องมีเหตุผลใดๆ มารองรับ คนที่ซื่อสัตย์ต่อผม คนที่ไม่มีวันทรยศผม

ใช่…ไม่ทรยศต่อผม




หลังจากแอบไปได้ยินบทสนทนาที่ภูผาและฟ้าครามคุยกันดังลอดประตูห้องนอนที่ปิดไม่สนิท ผมรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่ ปลายนิ้วมือเย็นเฉียบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มือที่ยกขึ้นจะเคาะประตูเรียกให้สองคนนั้นออกมาทานข้าวพลันหมดแรงขึ้นมาดื้อๆ

ผมผละออกจากหน้าประตูห้องนอนสองแฝด เดินกลับเข้าห้องนอนตัวเองเพื่อเก็บเสื้อผ้าด้วยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มาสะดุ้งอีกทีตอนได้ยินเสียงเคาะเรียกที่หน้าห้อง

เรากินข้าวเย็นด้วยกัน หัวเราะเฮฮาไปกับรายการเกมโชว์สุดโปรด ผมยิ้มด้วยความรู้สึกว่างเปล่า ได้แต่มองภูผากับฟ้าครามที่ทำตัวเหมือนปกติทุกอย่าง ไม่มีหลุดเผยพิรุจในสิ่งที่กำลังจะทำออกมาสักนิด

‘พี่ทีว่าทีมไหนจะชนะหรอ ภูว่าทีมฟ้าอ่ะ แม่งโคตรเจ๋ง!’

‘แต่ครามว่าทีมสีแดง ฮีจินวิ่งเร็วมากเลย’

‘นั่นไง! กูบอกแล้ว ว่าสีแดงๆ ฮู้วววว’ ฟ้าครามตบเข่าฉาดอย่างชอบใจเมื่อทีมที่ตัวเองเชียร์เข้าเส้นชัยไปก่อน

ผมมองรอยยิ้มของภูผากับฟ้าคราม…ไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อนเลย

‘เออพี่ที ครามมีอะไรจะให้ดูแหละ …แต่นแต๊น! เหลือลายเซ็นสุดท้ายแล้วน้า’ นั่นสิ พวกนายก็พยายามกันมาถึงขนาดนี้แล้ว พี่ก็เห็นความพยายามของเรา แล้วทำไมอีกแค่ลายเซ็นเดียวถึงไม่ไปเอามา? ทำไมถึงต้องคิดวิธีนั้น

ข้าวทุกคำที่กลืนลงคอช่างฝืดเฝื่อนเสียจริง

‘วันจันทร์ที่จะถึงนี้ ภูแน่ใจว่าพี่ปีใหม่ต้องเซ็นให้แน่ๆ รอเห็นเกียร์ได้เลยพี่ที’ เกียร์ของใครไม่รู้ที่ไปเก็บมาได้น่ะหรอ?

ผมอธิบายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ รู้แต่ว่ามันจุกมากๆ เลยล่ะ

‘อ้าว! พี่ทีชอบทอดมันไม่ใช่หรอ เอาไปกินเยอะๆ ดิ’

พอเห็นกับข้าวที่สองคนนั้นตักให้ผมอย่างเอาอกเอาใจ ผมก็ยิ่งกลืนไม่ลง

มันอาจจะติดสิ่งที่เรียกว่าก้อนสะอื้น

นานมากแล้วจริงๆ ที่ผมไม่ได้รู้สึกอยากจะร้องไห้มากขนาดนี้

อยากจะร้องไห้…แต่ต้องยิ้มให้

ผมบอกกับสองคนนั้นว่าอาทิตย์นี้จะกลับบ้านเพราะไม่ได้กลับมาสองอาทิตย์แล้ว ตอนแรกสองคนนั้นก็พยายามรั้งผมไว้ให้อยู่ด้วยกันช่วงสุดสัปดาห์ แต่ผมก็อ้างว่าไม่ได้เจอหน้าพ่อแม่กับน้องสาวตั้งนานแล้ว หลังจากที่ต้องอธิบายกันอยู่นานในที่สุดผมก็ถูกปล่อยออกจาก ‘กรงมนุษย์’ ชั่วคราวเพื่อกลับสู่ที่พักพิงใจอันสะบักสะบอม

ผมนึกสมน้ำหน้าตัวเอง

คติประจำใจของผมคือ ต้องไม่ให้โอกาสใครเป็นครั้งที่สาม…

แต่กับภูผาและฟ้าคราม มันไม่ใช่แค่ครั้งที่สาม แต่มันเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วน

…ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นคนใจดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

ตอนนี้ยังไม่มีใครกลับมาที่บ้านเลย ทามคงยังเรียนพิเศษไม่เสร็จ ส่วนเย็นวันศุกร์แบบนี้ พ่อกับแม่มักจะชอบออกไปดินเนอร์กันสองต่อสองนอกบ้านเป็นประจำ

ผมปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ

รู้สึกตกใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่าเรื่องแค่นี้ทำไมต้องร้องไห้ด้วย

…แต่เมื่อใคร่ครวญด้วยหัวใจที่เจ็บปวดแล้ว ผมก็ได้คำตอบให้กับตัวเอง

คำตอบที่ผมกลัวและปฏิเสธมาโดยตลอด

แต่ตอนนี้ผมอ่อนแอเกินกว่าจะคิดหาเหตุผลมาหลอกตัวเองแล้วจริงๆ





ผม….รักภูผา กับ ฟ้าคราม





รักแบบที่พ่อรักแม่ ไม่ใช่แบบที่ผมรักทาม

บ้า มันบ้าชะมัด …ทำไมผมต้องไปรักสองคนนั้นด้วย

ผมไม่อยากรัก แต่มันก็รักไปแล้ว และผมก็บอกไม่ได้ด้วยว่าความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนนี้ผมรู้สึกอยากชกตัวเองสักเปรี้ยงให้หายเจ็บใจจริงๆ

รู้อะไรมั้ย ผมน่ะถึงจะดูเป็นคนใจดี ยิ้มแย้ม เข้าหาง่าย แต่อันที่จริงแล้วผมเป็นคนที่รักใครยากมากนะ เพราะตอนที่อากงอาม่าตาย ผมเสียใจมาก มันรู้สึกเหมือนใจจะสลาย ผมยอมรับการพลัดพรากจากคนที่รักไม่ได้

…นี่จึงเป็นเหตุผลที่ผมไม่ยอมเรียนหมอ …ผมทนเห็นการเจ็บการตายของคนอื่นๆ ไม่ได้เช่นกัน เพราะผมรู้ดีว่ามันเจ็บปวดแค่ไหนที่ต้องสูญเสียคนที่รักไปตลอดกาล

รักมาก ทุกข์มาก …รักน้อย ทุกข์น้อย… ไม่รัก ไม่ทุกข์

ผมบอกกับตัวเอง ว่าชีวิตนี้จะร้องไห้อีกแค่สามครั้งเท่านั้น คือตอนที่พ่อตาย แม่ตาย และทามตาย เพราะสามคนนี้…ผมรักมาก แคร์มาก

ถ้าผมรักใคร ผมจะดูแลเทคแคร์อย่างดี คนคนนั้นจะเป็นเหมือนหัวใจอีกดวงของผม คนคนนั้นจะมีอิทธิพลต่อผมในทุกๆ ทาง

ผมไม่เคยรู้สึกเจ็บขนาดนี้เลย มันเจ็บแบบหน่วงๆ เหมือนโดนตุ้มเหล็กเหวี่ยงใส่กลางอกหลายๆ รอบ ไม่ได้ทำให้เกิดบาดแผลภายนอก แต่กลับบดขยี้ให้อวัยวะภายในบอบช้ำแหลกเหลวจนคืนรูปไม่ได้อีก

ผมอยากจะกระอักเลือด เข้าใจแล้วว่าความรู้สึกของคนที่ถูกคนที่ตัวเองเชื่อใจหักหลังมันเป็นยังไง

น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลลงอาบแก้มจนใบหน้าเปียกชุ่ม ไม่ว่าจะใช้หลังมือปาดออกสักกี่สิบครั้งก็ไม่มีวี่แววว่ามันจะเหือดหายไปเลย ผมเศร้า ผมเสียใจ ผมรู้สึกเหมือนโดนหักหลัง ผมโกรธ ผมผิดหวัง ผมเหนื่อย ผมท้อ ผมรักสองคนนั้นมาก แต่ผมเกลียดมันสองคนมากกว่า

ผมเอนตัวลงบนเตียง ซบใบหน้าลงกับหมอน ร้องไห้จนน้ำตาเปียกปอนเป็นวงกว้าง

ผมอนุญาตให้ตัวเองอ่อนแอได้แค่ตอนนี้ ตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ ผมจะไม่เสียน้ำตาให้กับเรื่องนี้อีก






“พี่ที! กลับมาบ้านทำไมไม่โทรบอกก่อนอ่ะ!” ทามร้องอย่างประหลาดใจเมื่อเข้าบ้านมาแล้วเจอผมนั่งซดชายสี่หมี่เกี๊ยวพร้อมกับดูสารคดีสัตว์โลกไปด้วย พอเห็นหน้าน้องสาวที่ไม่ได้เจอมาสองอาทิตย์ทั้งที่เมื่อก่อนได้เจอกันแทบทุกเย็น ผมก็อดรู้สึกคิดถึงขึ้นมาไม่ได้ มือวางช้อนตะเกียบแล้วอ้าแขนออก น้องสาวตัวแสบก็รู้หน้าที่ โยนกระเป๋าเป้ทิ้งแล้วพาตัวเองเข้ามาในอ้อมกอดของผมทันที

“ฮื้มมมมม คิดถึงพี่ทีจังเลย!” เรากอดกันแน่น ต่างคนต่างเหมือนแข่งว่าใครจะรัดอีกฝ่ายได้แน่นกว่ากัน

“อาทิตย์นี้ไม่มีงานคณะแล้วหรอ?” ทามผละออกไปเก็บกระเป๋ามาตั้งบนเก้าอี้ดีๆ

“ไม่มีแล้ว มีอีกทีก็สิ้นเดือนเลย”

“จริงอ่ะ! งั้นอาทิตย์หน้าก็จะกลับมาใช่มั้ย”

“ใช่” ผมพยักหน้ายิ้มๆ ….ไม่ใช่แค่อาทิตย์หน้านะ จากนี้ไปก็จะกลับบ้านทุกวันเหมือนเมื่อก่อนด้วย

ที่จริงทามกินข้าวมาจากที่เรียนพิเศษแล้ว แต่พอเห็นผมนั่งกินบะหมี่ก็ชักอยากกินเลยหยิบช้อนมาแจมชามผม ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรแถมคีบลูกชิ้นหมูใส่ช้อนให้ด้วย เราสองคนพี่น้องนั่งดูเจาะสายพันธุ์ฉลามอย่างเพลิดเพลิน ไม่นานพ่อแม่ก็กลับบ้านมาพร้อมของกินมากมายที่ซื้อมาฝาก ทั้งสองคนประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นผมกลับมาบ้านโดยไม่บอกกล่าว แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรแค่ถามเฉยๆ แล้วเราสี่คนพ่อแม่ลูกก็ล้อมวงกินหวานเย็นชามโต พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

“เออแม่…ทีว่าจะย้ายกลับมาอยู่บ้านเราศุกร์หน้านี้นะ ”

“อ้าว ทำไมล่ะ” ทุกคนหันมามองผมเป็นตาเดียว

“ทีอยู่กับไอ่แฝดมาเดือนครึ่งแล้ว เห็นมันดูแลตัวเองได้แล้วอ่ะแม่ ที่มหา’ ลัยน้องก็ดูลงตัวแล้วด้วย ทีเลยว่าจะกลับมาอยู่บ้าน เรื่องค่าขนมที่อาแอ๋มให้ทีเป็นคนจ่ายให้น้องรายสัปดาห์ ทีให้น้องมันบริหารเองตั้งนานแล้ว ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร”

“เหรอ ” พ่อตอบรับนิ่งๆ พลางมองมาที่ผมอย่างครุ่นคิด

“แล้วทีก็สังเกตแล้วว่าน้องมันอยู่กันเองได้จริงๆ แบบว่ามันมีความรับผิดชอบพอตัวเลย ทีก็เลยคิดว่าทีน่าจะออกมา บางทีน้องมันอยากจะทำอะไรตามประสาวัยรุ่นมันก็อาจจะอึดอัดที่มีพี่อย่างทีอยู่ด้วย คือ..ทีไม่ได้หมายถึงเรื่องไม่ดีนะ แบบ…พ่อเข้าใจใช่มั้ยคนเรามันก็ต้องมีโมเม้นท์ที่รู้สึกว่าเราโตพอแล้วอยากทำอะไรโดยไม่มีคนมาคอยคุมบ้างไรงี้ แบบ…จะให้ทีอธิบายยังไงดี …แบบ…” ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่เข้าท่าขึ้นไปทุกที จะอธิบายยังไงให้พ่อแม่เข้าใจดี ตอนนี้ผมรู้สึกรวนๆ กับสายตาพ่อแม่ที่มองมานิ่งๆ อย่างตั้งใจฟังนั่นแล้ว

ทามหันไปสนใจฉลามหัวค้อนในโทรทัศน์ต่อ ส่วนพ่อแม่ยังมองที่ผมเหมือนจะบอกว่าเล่ามาสิ ฟังอยู่

ผมขุดเหตุผลร้อยแปดพันเก้าขึ้นมาพูดให้พ่อแม่ฟัง กะว่ายังไงวันนี้ก็ต้องทำให้พ่อกับแม่ยอมรับการตัดสินใจครั้งนี้ของผมให้ได้ แม่พยักหน้าฟังผมเล่านู่นพูดนี่เป็นคุ้งเป็นคาว ส่วนพ่อมองผมแล้วทำเสียงอืออาในลำคอประมาณว่าตั้งใจฟังอยู่ แต่ตามองมาที่ผมเหมือนคิดอะไรบางอย่าง นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกร้อนตัวจึงต้องขุดเหตุผลและเรื่องเล่าในชีวิตประจำวันขึ้นมาเสริมให้ดูน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้น



เมื่อเริ่มไม่มีอะไรจะงัดขึ้นมาพูด ผมจึงหยุดเพื่อรอดูว่าพ่อกับแม่จะมีความเห็นว่าอย่างไร



พ่อมองผมนิ่งๆ แล้วทิ้งคำถามที่ทำเอาผมได้แต่อึ้ง












“แล้วจริงๆ เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่?”


----------------------------------------------------------------------------------------------------------



- เหนือฟ้ายังมีฟ้านะพี่ที เหอะๆ

- รูมเมทเราบอกว่า ‘พี่ทีแม่งเยอะ ยอมๆ สักทีเหอะ แฝดน่ารักจะตาย’ ด้วยล่ะ เรานอนคิดทั้งคืนเลยนะว่าเยอะตรงไหนวะ!? -_-??? เห้ย ไม่เห็นจะเยอะตรงไหนเลยนะ เลยนั่งเถียงกับเมทอีกสองคนอยู่ค่อนคืน…


ติดเเท็ก#เกียร์คู่ (@candleguard) มากรีดร้อง โวยวาย วิจารณ์นิยายกันได้นะฮับ ><
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-03-2018 18:33:12 โดย candleguard »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เพราะที ได้ยินที่แฝดคุยกันเรื่องเกียร์ที่เก็บได้
ทีเลยเสียใจที่แฝดจะหลอกทีอีกแล้ว

ที หนีแฝดกลับบ้าน
แต่พ่อทีกลับสงสัยที่ทีพยายามที่จะกลับมาอยู่บ้านไม่อยู่กับแฝด

คราวนี้ที ต้องคิดผิดเรื่องแฝดเรื่องเกียร์
แฝด ต้องเอาเกียร์จริงมาให้ทีดูแน่ๆ
รอดู ทีจะจัดการตัวเองอย่างไร  :ling1: :ling1: :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด