เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม5[24\3\63]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม5[24\3\63]  (อ่าน 50437 ครั้ง)

ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1


                                                              ตอนที่ 44 the final answer




“ขอบคุณสำหรับคำถามครับ…ผมคิดว่าแตกนอก…” เสียงภูผาหยุดไปครู่หนึ่งเหมือนเจ้าตัวพยายามจะเรียบเรียงคำพูดก่อนตอบ

ฟ้าครามและยูโรยืนลุ้นกับการตอบคำถามของภูผาอยู่ข้างเวทีด้านหลังม่าน คำถามที่ได้รับและคำตอบของไม้จัตวาเดือนคณะแพทย์ดูเหมือนจะเป็นการปิดฉากการประกวดในค่ำคืนนี้แล้วในสายตาของคนอื่นๆ คำถามนี้อาจจะฟังดูเป็นคำถามปลายปิดไม่มีคำตอบอื่นที่เหมาะสมไปกว่าคำตอบของเดือนคณะแพทย์อีกแล้ว แต่สำหรับฟ้าคราม เขากลับคิดว่ามันเป็นคำถามที่ซ่อนปลายเปิดเอาไว้แต่หลายคนมองไม่เห็นกันมากกว่า และคำตอบที่ดูเหมือนเพอร์เฟ็คของไม้จัตวาก็เป็นคำตอบที่แคบและมีแต่ช่องโหว่เต็มไปหมด!!

“…หรือแตกใน ก็อันตรายด้วยกันทั้งคู่ครับ”

“ก่อนอื่นผมจะขอตีความคำว่า’ แตก’ ก่อน… แตก หมายถึง แยกออกจากส่วนรวม ควบคุมเอาไว้ไม่อยู่ หรือการมีรอยแยก …คำถามที่ว่าแตกนอกหรือแตกในอย่างไหนจะอันตรายมากกว่ากันผมขอตีความออกมาเป็นในแต่ละบริบทให้ทุกคนฟังนะครับ”

“เนื่องจากตัวผมเองมาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์จึงขอเริ่มตีความในบริบทที่ใกล้ตัวผมที่สุดก่อน …ผมจะขอยกตัวอย่างง่ายๆ ให้เห็นภาพนะครับ อย่างแรกคือ บ้าน ที่พวกเราทุกคนอยู่อาศัยกัน ใครๆ ก็ต้องการจะอยู่ในบ้านที่ดีและแข็งแรง ไม่พังทลายลงมาง่ายๆ ใช่ไหมล่ะครับ รอยร้าวที่เกิดขึ้นกับตัวบ้านทั้งที่แตกร้าวออกมาให้เห็นภายนอก หรือแตกกร่อนผุพังซ่อนอยู่ภายในก็ถือเป็นสัญญาณไม่ดีด้วยกันทั้งคู่ เครื่องจักรที่เต็มไปด้วยกลไกซับซ้อนต่างๆ นานาหากเกิดความเสียหายไม่ว่าจะเสียหายจากภายนอกหรือเสียหายจากภายในเช่นฟันเฟืองแตก สายไฟขาด ก็อาจส่งผลให้ไลน์การผลิตต้องหยุดชะงักหรือเลวร้ายที่สุดก็อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนได้ ดังนั้นไม่ว่าจะแตกนอกหรือแตกในก็อันตรายพอกันครับ”

“แตก ในบริบทของความสัมพันธ์…สิ่งที่จะจบความสัมพันธ์ของคู่รักคู่หนึ่งได้มีอยู่สองประการ ประการแรกคือการแตกใน..คือปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างคนสองคน ไม่ว่าจะเป็นการเข้ากันไม่ได้ การไม่เข้าใจกัน ความไม่เชื่อใจ ฯลฯ ประการที่สองคือแตกนอก ความสัมพันธ์ร้าวฉานอันเกิดจากอิทธิพลของสิ่งภายนอกไม่ว่าจะเป็นมือที่สาม การกีดกันจากผู้อื่น ฐานะทางสังคมที่แตกต่าง …ดังนั้นในด้านความสัมพันธ์ไม่ว่าจะแตกนอกหรือแตกในก็นำไปสู่บทสรุปที่น่าเศร้าพอกันครับ”

“คำว่าแตกในบริบทของความสัมพันธ์ไม่ได้มีแค่เกี่ยวกับคนรักเท่านั้นนะครับ มันสามารถขยายความไปได้ถึงเรื่องความสามัคคีกันของคนในครอบครัว ความสามัคคีกันในหมู่เพื่อน ความสามัคคีกันของคนในสังคม รวมไปถึงความสามัคคีกันของคนในชาติด้วย…จากบทเรียนในอดีตจะเห็นได้ว่าสาเหตุหลักของการเสียกรุงศรีอยุธยาถึงสองครั้งสองครานั้นล้วนมาจากการแตกความสามัคคีของคนในชาติทั้งสิ้น ทำให้พม่ายกทัพมาตีเราได้อย่างง่ายดาย การที่เราแตกหักกับภายนอกอย่างพม่าและแตกคอกันเองในชาติล้วนแล้วแต่นำมาซึ่งสงครามและความสูญเสียที่ไม่ว่าผู้แพ้หรือผู้ชนะก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน”

“หากจะกล่าวถึงในบริบททางการแพทย์ ผมคิดว่าคุณไม้จัตวาก็ได้ให้ข้อมูลไว้ชัดเจนครบถ้วนดีจนผมไม่มีอะไรจะเสริมแล้วครับ ผมเองก็มีความเห็นเช่นเดียวกับเขาทุกประการ …”

ภูผามองไปยังกลุ่มของทีอีกครั้ง ทุกๆ คนต่างก็มองมาที่เขายกเว้นทีที่นั่งก้มหน้า แต่เขามั่นใจว่าพี่ทีจะต้องฟังอยู่ทุกคำ

“คำว่าแตกนอกกับแตกในนั้นตีความได้มากมายหลายบริบท เช่นเดียวกัน..สิ่งสุดท้ายที่ผมอยากจะฝากก็คือในโลกนี้ไม่มีอะไรถูกอะไรผิดหรอกครับ ทุกสิ่งมันขึ้นอยู่กับการตีความของคนทั้งนั้น อย่าเชื่อตามกันด้วยการตีความของคนส่วนใหญ่ ขอให้ทุกคนมั่นใจในการตีความบนพื้นฐานที่ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนของตัวเองเถอะครับ …ขอบคุณครับ”

ทั่วทั้งสนามเต็มไปด้วยความเงียบเพียงชั่วครู่ ก่อนเสียงปรบมือจะดังขึ้นอย่างถล่มทลาย คณะกรรมการและผู้ชมทุกคนต่างยืนขึ้นปรบมือให้กับการตอบคำถามที่น่าทึ่งของภูผา คำตอบที่ตีความได้อย่างลึกซึ้งครอบคลุมทุกบริบทแถมยังดึงคำตอบของคู่แข่งมาเสริมคำตอบตัวเองให้สมบูรณ์ของภูผาทำให้เตชินทร์และเลขาถึงกับอึ้ง เพราะไม่คิดว่าภูผาจะตอบคำถามสองแง่สองง่ามที่ส่งไปแกล้งเล่นๆ ได้อย่างแยบคายมีไหวพริบขนาดนี้ แต่เมื่อเตชินทร์ลองมาคิดดูดีๆ แล้วคำถามที่ส่งไปอาจจะดูเอื้อประโยชน์ให้ไม้จัตวาแต่ความจริงกลับเอื้อประโยชน์ให้ภูผามากกว่าซะงั้น!

ด้วยคำถามที่ฟังดูเหมือนเป็นคำถามปลายปิดที่น่าจะมีเพียงคำตอบเดียว บวกกับการที่ไม้จัตวาเป็นคนที่มาจากสายการแพทย์ คำถามนี้เหมือนเป็นการชี้นำไปในตัวอยู่แล้วว่าไม้จัตวาควรจะต้องตอบแบบใด นอกจากนี้การที่ได้ตอบเป็นคนแรกทำให้เดือนคณะแพทย์ไม่มีเวลาที่จะคิดไตร่ตรองนานนัก ทำให้คำตอบออกมาเป็นอย่างที่เห็น กลับกลายเป็นว่าการที่ภูผาได้ตอบเป็นคนที่สองกลับได้เปรียบกว่าเพราะคำตอบของไม้จัตวาที่ดูเพอร์เฟ็คไร้ช่องว่างนั้นบีบให้ภูผาต้องเลี่ยงไปตอบอย่างอื่นเพื่อไม่ให้ซ้ำกัน และการที่ได้ตอบเป็นคนที่สองก็ทำให้ภูผามีเวลาคิดหาคำตอบนานกว่าไม้จัตวาด้วย

หากเป็นคำถามอื่นที่ฟังดูรู้ว่าเป็นปลายเปิดชัดเจนแต่แรกล่ะก็ ไม้จัตวาอาจจะตอบได้ดีกว่าภูผาก็ได้ แต่เพราะความที่เรียนมาทางสายการแพทย์จึงทำให้ไม้จัตวาถูกชี้นำจากคำถามของเตชินทร์ได้ง่ายดายกว่าภูผาที่ไม่ได้เรียนสายนั้น แถมภูผายังนำเรื่องการแตกนอกแตกในที่มองยังไงก็น่าจะเกี่ยวข้องกับสายการแพทย์มากกว่า มาโยงเข้ากับสายวิศวะที่ตนเองเรียนอยู่ได้อย่างแนบเนียน

คำถามที่ดูเหมือนเอื้อให้คนหนึ่งชนะเลยกลับกลายเป็นคำถามที่เปลี่ยนผู้ชนะเป็นอีกคนที่ใครๆ ต่างก็คาดไม่ถึง

ภูผา…จารุวัฒน์ วรกิชเดชสกุล จากคณะวิศวกรรมศาสตร์จึงกลายเป็นผู้คว้าตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยในปีนี้ไปครองด้วยคะแนนทิ้งห่างคู่แข่งไปอย่างไม่เห็นฝุ่น ท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังไม่หยุดเป็นระยะเวลานาน…..







“เฮ้ย! ไอ้ขวดๆ ”

“ว่าไงแฝดนรกเพื่อนรัก”

“มึงช่วยถ่ายรูปพวกกูให้หน่อยดิ” ภูผายื่นมือถือของตัวเองให้กับหนุ่มหน้ามึน

“ก่อนขึ้นเวทีพวกมึงก็เซลฟี่กันไปเป็นล้านรูปแล้วไม่ใช่หรอวะ” ยูโรทำหน้าเอือมแต่ก็รับมาถือไว้แต่โดยดี

“อ่ะ จะถ่ายล่ะนะ”

“เดี๋ยวๆ ๆ มึงเล็งให้พี่ทีอยู่ตรงกลางหัวใจนะ โอเคป่ะ” พูดจบสองแฝดก็ทำแขนเป็นรูปหัวใจคนละครึ่งดวงจนได้รูปหัวใจใหญ่ๆ ตรงกลางระหว่างสองคนนั้น ไกลออกไปทีกำลังช่วยพวกสภานิสิตเก็บงานอยู่

ยูโรลดมือถือลง

“ทำไมพวกมึงไม่เข้าไปขอถ่ายด้วยดีๆ ล่ะ พี่ทีคงไม่ว่าหรอก แถมพวกมึงประกวดชนะอีกต่างหากยังไงพี่เค้าก็ต้องยอมถ่ายด้วยอยู่แล้ว มาทำแบบนี้กูดูแล้วน่าสงสารชิบหาย”

“เออน่ะ! ความสุขเล็กๆ ของพวกกู ถ่ายไปอย่าบ่น”

“ขยับแขนสูงขึ้นอีกหน่อย ซ้าย…ขยับขวาอีกนิดดด เห้ยๆ ๆ ซ้ายๆ ๆ ”

“โว้ยยยย! จะซ้ายจะขวาวะเอาให้แน่ดิ๊!”

“ก็พี่ทีแกเดินไปเดินมาอ่ะ!” ยูโรบ่น

“เออๆ ๆ ได้ยังเนี่ย เล็งให้พี่ทีอยู่ตรงกลางนะเว้ย ตรงกลาง”

“ได้แล้วๆ อยู่นิ่งๆ นะโว้ย เอ้ายิ้มมม” สองแฝดฉีกยิ้มกว้าง



แชะ







แม้ว่าการประกวดดาวเดือนจะสิ้นสุดลงไปแล้วแต่กระแสของภูผากับฟ้าครามกลับยังคงพุ่งขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ ยอดวิวงานประกวดในยูทูปพุ่งสูงเกือบเหยียบสามแสนวิวในคืนเดียวมากกว่ายอดวิวของงานประกวดในปีที่แล้วเสียอีก ไม่ว่าจะในเฟซบุ๊คหรือทวิตเตอร์ก็ได้รับการกล่าวถึงมากเป็นประวัติการณ์ เรียกได้ว่าตอนนี้ทุกคนในมหาวิทยาลัยไม่มีใครไม่รู้จักคู่แฝดเนื้อหอมภูผาและฟ้าครามจากคณะวิศวกรรมศาสตร์อย่างแน่นอน

รางวัลของผู้ชนะการประกวดนั้นได้รับการสนับสนุนจากสปอนเซอร์รายน้อยรายใหญ่มากมาย หนึ่งในนั้นคือการได้ถ่ายขึ้นปกนิตยสารวัยรุ่นชื่อดังอย่าง THE U ซึ่งด้วยความที่ภูผามีฝาแฝดคือฟ้าครามที่หน้าเหมือนกันราวกับแกะ ทางนิตยสารจึงให้ทั้งคู่ขึ้นปกพร้อมกันเป็นกรณีพิเศษ

หลังการวางแผงของนิตยสารเพียงไม่นานก็ปรากฏว่ายอดขายทะลุเป้า ขายหมดทุกแผงตั้งแต่สามวันแรกที่ออกจำหน่ายจนทำให้ทางโรงพิมพ์ต้องเร่งพิมพ์ซ้ำ ภูผาและฟ้าครามเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ หลังจากงานถ่ายปกนิตยสารก็เริ่มมีงานอื่นงอกตามขึ้นมาราวกับดอกเห็ดหน้าฝน ตั้งแต่งานเดินแบบให้นิสิตสาขาการออกแบบ งานเดินแบบของห้องเสื้อ t (wo) winTown ที่เน้นการผลิตเสื้อผ้าที่ออกแบบเป็นคู่ ไปจนถึงหนังสั้นธีสิสของนิสิตปอโทสาขากำกับภาพยนตร์ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองตั้งแต่ยังไม่ปล่อยทีเซอร์ออกมาด้วยซ้ำ เพียงแค่รู้ว่านักแสดงคือใครทุกคนต่างก็ตั้งตารอดูแล้วว่าการก้าวเดินไปสู่สาขาการแสดงของภูผาและฟ้าครามจะประสบความสำเร็จเหมือนการเดินแบบและถ่ายภาพนิ่งหรือไม่



อันที่จริงตอนเด็กๆ ภูผากับฟ้าครามก็เคยมีคนมาทาบทามให้ไปออกรายการเกมโชว์สำหรับเด็กทางโทรทัศน์เหมือนกันแต่ดันซนเกินจนทางรายการดูแลไม่ไหวจึงอดออกทีวีไปอย่างน่าเสียดาย นอกจากนี้ตอนพ่อแม่พาไปเดินห้างผู้จัดการก็เคยมาทาบทามให้ครอบครัวเขาถ่ายแบบลงโบรชัวร์โฆษณาสินค้าให้อีกด้วยแต่ก็ถูกคุณสินธุ์ปฏิเสธไปเพราะคุณสินธุ์เป็นถึงเจ้าของบริษัทนำเข้าเครื่องจักรอุตสาหกรรมจะให้ไปถ่ายแบบลงโบรชัวร์ห้างกับครอบครัวคงจะดูไม่เหมาะสักเท่าไหร่

ในตอนแรกภูผากับฟ้าครามคิดว่าการถ่ายแบบขึ้นปกนั้นแปลกใหม่ดีไม่เคยลอง อีกทั้งพอปรึกษาพ่อแม่แล้วก็ไม่ได้ถูกห้ามอะไร ทั้งคู่จึงตอบตกลงรับคำเชิญจากทางนิตยสารเพราะคิดอยากหาอะไรทำแก้เซ็งอยู่พอดี

แทบจะเป็นไม่กี่ครั้งในชีวิตที่ภูผากับฟ้าครามได้รับคำชมว่ามีพรสวรรค์ ตากล้องถึงกับเอ่ยชมไม่หยุดปากว่าทั้งคู่โพสต์ท่าออกมาได้เป็นธรรมชาติและลื่นไหลจนถ้าไม่บอกว่าเป็นมือใหม่คงต้องเผลอคิดว่าเป็นนายแบบอาชีพที่ผ่านงานมาอย่างโชกโชนแน่ๆ ตอนแรกภูผากับฟ้าครามคิดว่าตากล้องแค่แกล้งชมเพื่อให้พวกเขาพอใจจึงเพียงแค่ยิ้มรับแล้วบอกว่าตัวเองยังเป็นแค่มือใหม่เท่านั้น ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีเจตนาจะถ่อมตัวเพราะฟ้าครามพูดตามความเป็นจริง แต่ทีมงานกลับมองว่าพวกเขานอกจากจะหน้าตาดีมีความสามารถแล้วยังอ่อนน้อมถ่อมตนทำให้ภูผาและฟ้าครามได้รับความเอ็นดูจากทุกคนเป็นอย่างมาก

หน้าตาดี มีความสามารถ เต็มไปด้วยพรสวรรค์ แต่ก็ยังอ่อนน้อมถ่อมตน

เป็นคำชมที่ภูผากับฟ้าครามไม่เคยได้รับมาก่อนในชีวิต (ยกเว้นคำแรก) เป็นครั้งแรกที่พวกเขาทำอะไรออกมาได้อย่างง่ายดาย สนุก ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แถมสิ่งที่ออกมายังเป็นที่พอใจของทุกๆ คนจนได้รับคำชื่นชม…ได้ค่าตอบแทนจากความสามารถ…เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หาเงินได้ด้วยตัวเอง…เป็นความรู้สึกที่น่าภาคภูมิใจโคตรๆ



(บทฟ้าคราม)

จำได้ว่างานถ่ายแบบกับ THE U พวกเขาสองคนได้ค่าขนมมาคนละหมื่น ก็เลยเอาไปอวดพี่ทีว่าจะเอาไปซื้อรองเท้าใหม่ เลยเจอเบิ้ดกะโหลกกันไปคนละทีแถมโดนบ่นยาวเหยียดเรื่องใช้เงินสิ้นเปลืองไม่รู้จักคิด จากนั้นพี่ทีก็สอนพวกเราเรื่องการวางแผนการใช้เงินอย่างละเอียดยิ่งกว่านักเศรษฐศาสตร์มาเอง พี่ทีบอกว่าพวกผมต้องรู้จักการบริหารเงินให้ดีกว่านี้ไม่อย่างนั้นแก่ตัวไปไม่มีเงินเก็บแล้วจะลำบาก อันที่จริงเรื่องการบริหารเงินเนี่ยพวกเขาก็เรียนมาตั้งแต่ประถมยันมอปลายแล้วนั่นแหละแต่ก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องจำเป็นต้องมานั่งวางแผนให้ปวดหัวเพราะพวกผมไม่เคยรู้จักคำว่าเงินทองขาดมือจนกระทั่งไปถังแตกตอนลงใต้นั่นแหละถึงได้พอจะรู้รสชาติของคำว่าไม่มีตังค์ดูบ้าง

เงินหนึ่งหมื่นที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองสอนอะไรให้พวกเรามากกว่าที่คิด อย่างแรกคือถ้าพี่ทีไม่เบรกเอาไว้มันก็คงหายไปในพริบตากลายเป็นรองเท้าคู่ที่ร้อยสามสิบแปดในตู้ที่ไม่รู้ว่าจะได้ใส่สักกี่ครั้งของผมไปแล้ว พอมาคิดดูมันก็น่าตกใจเหมือนกันนะ เงินเป็นหมื่นจะหายไปในชั่วพริบตาเพียงเพราะความอยากได้อยากมีเพียงเสี้ยววินาทีของผม ที่พี่ทีพูดมามันก็ถูก เท้าผมก็มีอยู่แค่คู่เดียวจะซื้อรองเท้าไปทำไมนักหนาเป็นร้อยๆ คู่ เด็กบนดอยบางคนไม่มีแม้แต่รองเท้าจะใส่ด้วยซ้ำ ฟังแล้วก็รู้สึกสงสารผมจึงแบ่งเงินหนึ่งพันโอนบริจาคเข้ามูลนิธิเพื่อเด็กชาวเขาในถิ่นทุรกันดาร

นอกจากนี้มันยังทำให้ผมรู้สึกละอายใจอย่างประหลาดที่คิดถึงแต่ตัวเอง ได้เงินมาก็คิดแต่ว่าจะเอาไปซื้ออะไรเพื่อปรนเปรอความต้องการของตน ไม่เคยคิดว่าจะแบ่งไปให้พ่อแม่เลยสักนิด คือผมไม่ได้ไม่อยากให้เงินพ่อแม่นะ แต่มันลืมคิดไปจริงๆ อาจจะเพราะพ่อแม่ผมท่านก็มีเงินอยู่แล้วพวกเราก็เลยไม่ทันนึกถึง แต่พี่ทีบอกว่าต่อให้พ่อแม่จะรวยอยู่แล้วก็ควรต้องให้ไม่ว่าท่านจะอยากได้หรือไม่ก็ตาม พี่ทีบอกให้ผมลองสมมติว่าตัวเองเป็นพ่อแม่ดู ว่าถ้าลูกเอาเงินที่หาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเองมาให้พวกเรารู้สึกอย่างไร…ก็ต้องดีใจและภาคภูมิใจในตัวลูกมากๆ อยู่แล้วสิที่ลูกเราหาเลี้ยงตัวเองได้ ลูกเรามีความสามารถ อีกอย่างพอมาคิดดูแล้วเงินที่พ่อแม่ให้ผมมาจนถึงตอนนี้ถ้าคิดรวมๆ แล้วก็หลายล้าน เงินแค่หมื่นเดียวของผมมันเทียบไม่ได้เลยจริงๆ

จากการได้พูดคุยกันในวันนั้นทำให้ผมยิ่งได้เห็นว่าพี่ทีเป็นคนที่มีความคิดละเอียดอ่อนแค่ไหน บางอย่างที่พวกผมคิดไม่ถึงเเต่พี่ทีกลับคิดได้ บางอย่างที่พวกผมคิดว่าวัยรุ่นทั่วไปไม่น่าจะคิดพี่ทีแกก็คิด เป็นคนที่แคร์ความรู้สึกคนอื่นมากกว่าที่แสดงออกภายนอกมากๆ ๆ ถึงมากที่สุด เผื่อแผ่ตั้งแต่คนใกล้ไปจนถึงคนไกล ในโลกใบนี้จะมีวัยรุ่นแบบพี่ทีสักกี่คนนะ ใครได้เป็นลูกนี่โคตรโชคดี แต่ถ้าได้มาเป็นคู่ชีวิตก็จะยิ่งโชคดียิ่งกว่า…

เงินห้าพันถูกนำไปให้พ่อกับแม่ในเย็นวันศุกร์ที่ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า พ่อกับแม่ดูดีใจมาก โดยเฉพาะแม่ที่ถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ พ่อแม่ดูจะภูมิใจในตัวพวกผมเอามากๆ แล้วก็ดูจะคาดไม่ถึงว่าพวกผมจะเอาเงินมามอบให้ด้วยถึงได้ทำหน้าตกอกตกใจกันขนาดนั้น ท่านรับเงินไปจากนั้นก็ให้คืนแล้วบอกว่าให้พวกผมเก็บเอาไว้เป็นขวัญถุง แต่พวกเรายืนยันที่จะไม่รับคืน แม่ก็เลยบอกกับพวกเรายิ้มๆ ว่าจะเอาไปต่อบุญให้พวกผม

ผมรู้สึกพูดไม่ออก เหมือนจะรู้สึกร้อนๆ ที่ขอบตา พ่อกับแม่รักพวกเรามากนั่นเป็นสิ่งที่พวกเรารู้ แต่วันนี้ความจริงนั้นยิ่งปรากฏให้เห็นเด่นชัด แม้แต่เงินที่รับไปก็ไม่คิดจะเอาไปใช้เพื่อตัวเอง แต่เอาไปใช้เพื่อเรา ทำบุญให้เรา ทุกๆ อย่างคิดและทำเพื่อลูกก่อนเสมอในขณะที่พวกผมมักคิดถึงแต่ตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ แต่นอกเหนือจากความรู้สึกนั้นก็คือมีความสุข ดีใจที่ทำให้คนที่รักเรามีรอยยิ้มหลังจากที่พวกผมชอบทำให้พ่อแม่กลุ้มใจตลอดมา บรรยากาศกำลังซึ้งได้ที่อยู่แล้วเชียวถ้าพี่เฟิร์สที่นั่งมองเงียบๆ มานานไม่พูดขึ้นมาว่า

“ให้แต่พ่อกับแม่ แล้วส่วนของพี่ล่ะ กูก็เปรียบเสมือนพ่อแม่คนที่สองของพวกมึงนะ จ่ายมาซะดีๆ ” พูดพลางกระดิกนิ้วดิ๊กๆ ท่าทางอย่างกับเจ้าของตลาดทวงค่าแผงกับแม่ค้าไม่มีผิด

ผมกับไอ้ภูมองหน้ากันแล้วกลอกตามองบน ควักกระเป๋าตังค์ออกมาควานหาเหรียญห้าสิบสตางค์ที่ชอบได้ทอนมาจากร้านสะดวกซื้อ

“อะไรเนี่ย ห้าสิบตังค์!? ไม่ยุติธรรม! ทำไมพ่อแม่ได้ตั้งห้าพันอ่ะ”

ผมกับไอ้ภูพร้อมใจกันเอานิ้วก้อยแคะหู ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงนกเสียงกา

“น้องมันคงเห็นแกดูไม่เต็มบาทน่ะสิไอ้เฟิร์ส มันเลยเติมให้อีกห้าสิบสตางค์ เผื่อจะได้เต็มบาทสักทีไง” พ่อพูดหน้าตาย จบประโยคพวกผมกับแม่ก็หัวเราะลั่น

“ครามป่าวว่าพี่เฟิร์สนะ พ่อเป็นคนพูด ฮ่าๆ ๆ ”

“พ่อว่าเฟิร์สไม่เต็มบาทหรอ!!” พี่เฟิร์สโวยวาย

“ก็เออน่ะสิ” จบประโยคของพ่อ ผมกับไอ้ภูก็ลงไปนอนกลิ้งบนพื้นหัวเราะกันจนตัวงอ ก่อนจะต้องรีบผุดลุกขึ้นวิ่งหนีลูกเตะของพี่ชาย

เสียงหัวเราะของพ่อกับแม่ดังไล่หลังมา ผสานกับเสียงหัวเราะของเราที่วิ่งหนีพี่เฟิร์สไปทั่วบ้าน แต่พอหันกลับไปมองกลับเห็นพี่เฟิร์สแกยิ้มมุมปากบางๆ ในแววตาแฝงไปด้วยความเอ็นดู





ครอบครัวนี่…มันดีจังเนอะ



------------------------------------------------------

ขอให้เติบโตและก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างามนะภูผา ฟ้าคราม ...แฟนๆ นักอ่านทุกคน ^^

ยังจำตอนน้องเล่นละครหลอกรุ่นพี่ว่าโดนผีป่าเล่นงานตอนออกค่ายได้มั้ย เล่นใหญ่จนเชื่อไปยันเพื่อนเลยนะ บ่งบอกว่านางทั้งสองมีพรสวรรค์ทางนี้จริงๆ 555 ก็บอกใบ้ไว้ตั้งเเต่เเรกเเล้วเนอะว่าแฝดมีพรสวรรค์ทางนี้ อิอิ

ปล. ปีที่เเล้วสามแฝดไม่ได้ขึ้นปกนิตยสารนะคะเพราะไม้โทปฏิเสธไปค่ะ





#เกียร์คู่

(@candleguard)


ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
พี่ทีเหมือนเดินผ่านไปผ่านมา บทน้อยนิ  :mew4:

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เมื่อไหร่พี่ทีใจยอมคบนะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ดีใจ ไรท์มา   :katai2-1:
กำลังคิดถึงอยู่พอดี  :mew1: :mew1: :mew1:
แม้แต่จะถ่ายรูป ก็ขอให้มีพี่ทีติดในรูป
จะนิดขะหน่อย ไกลๆก็ไม่เป็นไร  ยอมใจเลย    :-[

ภูผา ---- > ที <---- ฟ้าคราม   :กอด1: :กอด1: :กอด1:

       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ btoey

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
รอพี่ทีอยู่นะ

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1


                                       ตอนที่ 45 การคบกันที่ไม่ได้คบกัน





วันเวลามักผ่านไปเร็วเสมอ เผลอแป๊บเดียวการสอบปลายภาคเทอมหนึ่งก็ใกล้เข้ามาทุกทีๆ

“ Structure analysis หรอ? ” ผมกวาดตามองเพื่อนในภาคสามคนตรงหน้าที่จู่ๆ ก็เดินเข้ามาขอให้ผมช่วยติววิชา Structure analysis ซึ่งเป็นหนึ่งในวิชาสุดโหดของปีสามให้

“นะๆ ๆ ช่วยพวกกูหน่อยเถอะ คะแนนมิดเทอมพวกกูต่ำกว่ามีนโคตรๆ เลย ขนาดตั้งใจเรียนแล้วก็ยังเรียนไม่รู้เรื่องขืนเป็นอย่างนี้พวกกูติดเอฟแน่ๆ ” ไม่พูดเปล่า มีการยื่นมือถือที่แสดงคะแนนมิดเทอมของตัวเองมาให้ดูเป็นหลักฐานยืนยัน ผมมองตัวเลขในจอแต่ละคนแล้วก็ผงะ เห้ยย! คะแนนเต็มห้าสิบ มีนอยู่ที่35 แต่คะแนนของเจ้าพวกนี้แค่เลขหลักเดียวทั้งนั้นเลยนะ ชิบหายละ จะรอดกันไหมเนี่ย

“แต่กูยังอ่านไม่จบเลยนะ ไม่รู้จะว่างติวให้หรือเปล่า” ผมพูดอย่างลำบากใจ ปกติผมจะอ่านหนังสือสอบจบค่อนข้างเร็ว แต่วิชานี้มันยากจริงๆ อาจารย์ก็สอนไม่ค่อยรู้เรื่อง ชีทที่แจกก็เนื้อหาไม่ครบ ผมเลยเสียเวลามากกว่าปกติเพราะต้องไปหาหนังสือมาอ่านทำความเข้าใจเอาเอง

พอได้ยินอย่างนั้นเพื่อนๆ ก็ทำหน้าเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก ผมอดรู้สึกสงสารไม่ได้ วิชานี้ไม่เปิดซัมเมอร์ซะด้วย ถ้าติดเอฟจะต้องเรียนซ้ำอีกปีอย่างเดียวเท่านั้น

ผมเม้มปาก ก่อนจะถอนหายใจ

“งั้นอาทิตย์หน้านัดมาแล้วกัน แต่ต้องอ่านมาก่อนนะ ให้สอนใหม่หมดคงไม่ไหว”

“เห้ยยย! ขอบใจมากนะเว้ยที! พวกกูไม่ให้มึงเหนื่อยฟรีๆ หรอก ให้ชั่วโมงละพันเลย!” พอผมได้ยินคำนั้น คิ้วมันก็กระตุกทันที

“อย่าตีค่าน้ำใจกูเป็นเงิน” ผมพูดเสียงเรียบใบหน้าไร้รอยยิ้ม พวกมันเหวอกันไปเลย ผมมองนาฬิกาข้อมือเมื่อเห็นว่าได้เวลาที่เจ้าแฝดเลิกเรียนแล้วผมก็เก็บข้าวของลงในกระเป๋า

“เฮ้ยๆ ๆ อย่าเข้าใจผิด พวกกูไม่ได้หมายความอย่างนั้น คือพวกกูเกรงใจที่มารบกวนมึง…ก็เลยอยากจะตอบแทนอะไรบ้าง”

“ก็ได้…งั้นค่าสอนกูคิดชั่วโมงละสิบบาทค่าน้ำ แล้วอย่าให้เห็นว่าซื้อของอะไรแพงๆ มาเซ่นกูนะ ไม่งั้นเลิกติวจริงๆ ด้วย” ผมทำเสียงเข้ม ก่อนจะหันหลังสะพายกระเป๋าเดินออกจากห้องสมุดมา



เหลือเวลาอีกอาทิตย์กว่าๆ ก็จะเข้าสู่สัปดาห์ของการสอบแล้ว ผมนั่งอ่านวิชา Structure analysis ที่เหลือเป็นวิชาสุดท้ายอย่างเคร่งเครียดเพราะเพิ่งจะอ่านจบไปไม่ถึงครึ่งแถมเวลาที่จะได้ทวนก็น้อยลงเพราะต้องแบ่งไปติวให้เพื่อน ผมมองนาฬิกาที่ตอนนี้เข็มสั้นชี้เลขสาม บ่งบอกว่าได้ล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่มาสามชั่วโมงแล้ว

ผมปิดหนังสือลง หลับตาใช้นิ้วคลึงขมับอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะลุกไปนอนบนเตียงแล้วผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว



ความรู้สึกนุ่มๆ หยุ่นๆ แถวปากนี่มันอะไรกันนะ ผมหันหน้าหนี สัมผัสนั้นหายไปครู่หนึ่งก่อนจะมาวนเวียนแถวๆ ซอกคอแทน ผมย่นคอหนีอย่างจั๊กจี้ อะไรวะเนี่ย! น่ารำคาญเป็นบ้าเลย

“ที! ป่านนี้ยังไม่ตื่นอีกหรอลูก!! น้องมารอแล้วนะ” เสียงแหลมๆ ของแม่ปลุกผมให้สะดุ้งตื่น ชิบบบ เมื่อคืนลืมตั้งนาฬิกาปลุก แปดโมงแล้วหรอเนี่ย มีเรียนเก้าโมงซะด้วย!

“แม่ตักข้าวใส่ทับเปอร์แวร์ให้แล้ว เอาไปกินในรถเลยนะลูก รีบอาบน้ำแต่งตัวเร็วเข้า ลูกก็น่าจะรู้ว่าเช้าๆ รถมันติดแค่ไหน”

ผมอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว พอลงมาด้านล่างก็เห็นภูผากับฟ้าครามในชุดนักศึกษาเรียบร้อยกำลังนั่งสไลด์มือถือเล่นโซเชียลกันอยู่ พอเห็นผมก็เก็บมือถือแล้วเดินตามกันไปขึ้นรถที่จอดรออยู่หน้าบ้าน

หลังจากโซ้ยข้าวเสร็จในห้านาทีผมก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านในรถต่อ เหลือบมองผ่านกระจกมองหลังก็เห็นภูผากับฟ้าครามยังคงสไลด์มือถือนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กันอยู่สองคน

ตั้งแต่สองคนนี้เริ่มเป็นที่รู้จักจากงานประกวดดาวเดือน ภูผากับฟ้าครามก็ดูเหมือนจะยิ่งไม่สนใจการเรียนขึ้นเรื่อยๆ วันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาก็ได้ยินว่ารับงานถ่ายแบบอีกแล้วทั้งที่ใกล้จะสอบเข้าไปทุกที

“อ่านจบไปกี่รอบแล้ววะแฝดนั่งเล่นโทรศัพท์เนี่ย” ผมอดที่จะถามแบบแซะๆ ไม่ได้

“ยังไม่ได้อ่านซักวิชาเลยอ่ะ” ฟ้าครามยักไหล่

“ยังไม่อ่านสักวิชา?! อาทิตย์หน้าจะสอบอยู่แล้วนะเว้ยย!” ผมทวนสิ่งที่ฟ้าครามพูดอย่างตกใจ

“ก็มันอ่านไม่รู้เรื่องนี่นา พี่ทีติวให้หน่อยดิ ปกติพี่ทีอ่านของตัวเองจบก่อนเป็นอาทิตย์นี่นา ตอนนี้ก็น่าจะว่างแล้วใช่ป่ะ ติวให้หน่อยนะครับ น้าาาาา”

“พูดจริงน่ะ ยังไม่ได้อ่านจริงๆ หรอ” ผมถามย้ำอย่างเริ่มกังวล นึกเคืองพวกมันที่ไม่รู้จักห่วงตัวเองเลย ทำไมไม่มีความรับผิดชอบเลยวะชีวิตตัวเองแท้ๆ นี่กะจะพึ่งพาแต่ผมไปจนเรียนจบเลยหรือไงทำไมไม่ขวนขวายเอาเองบ้างวะ เพื่อนเก่งๆ ก็มีมากมายไม่ไปขอให้เขาติวให้ล่ะ ทำไมต้องเจาะจงแค่ผมคนเดียวด้วย แล้วไล่ให้พวกมันไปขอคนอื่นติวให้ตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วด้วย สัปดาห์ก่อนสอบแบบนี้ใครจะไปว่างติวให้พวกมันวะ ฮึ่ย! คิดแล้วก็หงุดหงิดตัวเองเว้ย ทำไมกูต้องมาเครียดแทนพวกมันด้วย พวกมันยังห่วงตัวเองไม่เท่าผมห่วงพวกมันเลย ทำไมกูเป็นคนแบบนี้ เบื่อตัวเองโว้ยยยย อยากเอาหัวโขกกำแพงให้นิสัยเปลี่ยนไปเหมือนในหนังจริงๆ เลย!!





(บทภูผา)

ทำยังไงดี อยากยิ้มจังเลยอ่ะ ฮะๆ ๆ

ผมพยายามกลั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถเมื่อเห็นว่าพี่ทีกำลังเต้นไปตามเกมของพวกผม (อีกแล้ว) ตอนนี้พี่ทีหน้าเครียดมากอ่ะ เครียดกว่าตอนนั่งอ่านหนังสือของตัวเองเมื่อกี้เสียอีก

ความจริงพวกผมอ่านจบทุกวิชาไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วแล้วล่ะครับ เพราะได้บทเรียนจากเมื่อตอนสอบกลางภาคที่มานั่งอ่านเอาโค้งสุดท้ายโคตรทรมานเหมือนตกนรกทั้งเป็น พวกผมเลยเอาใหม่ครับ เรียนเสร็จก็กลับไปทวนที่อาจารย์สอนทุกวัน พอใกล้สอบก็เอามาเปิดผ่านๆ อีกครั้ง ทำโจทย์อีกนิด ก็โอเคแล้ว สัปดาห์นี้ผมกับฟ้าครามก็เลยชิวๆ แค่กลับไปอ่านทวนเรื่อยๆ กันลืมจนกว่าจะถึงวันสอบก็พอแล้ว

คิดไม่ถึงกันล่ะสิว่าพวกผมจะขยันได้ขนาดนี้ ก็นะ…พวกเราขอพ่อกับแม่ว่าถ้าหากเทอมนี้ทำคะแนนได้เกรดสามจุดห้าขึ้นไปต้องยอมให้ผมกับครามกลับไปอยู่คอนโดได้อีกครั้ง พี่เฟิร์สทำหน้าเหมือนได้ยินอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ แม่ทำท่าจะค้านแต่พ่อกลับหัวเราะแล้วบอกว่า

‘เอาสิพ่อให้…ถ้าทำได้ล่ะก็นะ’

เพื่อทวงคืนรังรักของเรากับพี่ที ขยันแค่นี้มันไม่ตายหรอกครับ ถ้าได้กลับไปอยู่คอนโดเมื่อไหร่นะ จะล่อจะหลอกเอาพี่ทีไปกกบ่อยๆ เลยคอยดู ทุกวันนี้เจอพี่ทีแต่ละครั้งไม่เคยอยู่ในที่รโหฐานเลยเพราะฉะนั้นเรื่องที่จะทำรุ่มร่ามกับพี่แกนี่เป็นไปได้ยากมากๆ

คิดดูกว่าจะได้ ‘ จูบ’ ได้ ‘ไซร้’ นี่ก็ต้องผลัดกันดูต้นทางแล้วดูต้นทางอีก กลัวลุงกับป้ามาเห็นเข้าแล้วจะช๊อกเอา555

“นะๆ ติวให้หน่อย ไม่งั้นพวกครามติดเอฟแน่ๆ เลย พี่ทีไม่สงสารพวกเราหรอ งี๊ดๆ ๆ ” เอ๊ะ ไอ้เสียงสุดท้ายนี่มันยังไงอยู่นะ -*-

“ไม่มีเพื่อนเก่งๆ ติวให้ได้บ้างเลยหรอ” พี่ทีเม้มปาก ถ้าพี่ทีทำหน้าอย่างนี้เมื่อไหร่แสดงว่ากำลังคิดหนักอยู่แน่นอน เอาละเว้ยๆ จะตกหลุมพรางหรือไม่

“ไปขอให้เขาติวให้แล้ว แต่ไม่มีใครว่างติวให้เลยอ่ะ” ผมทำเสียงจ๋อยๆ

“ไอ้ไก่อ่ะ มันเคยเรียนปีหนึ่งมาก่อน ไม่ให้มันสอนล่ะ”

“มันบอกว่ามันโอนหน่อยกิตเอา มันลืมไปหมดแล้วอ่ะพี่ที”

“… สอบกี่วิชา”

“เจ็ด …แต่พี่ทีติวแค่แคลหนึ่ง ฟิ แล้วก็แลปฟิก็พอ ที่เหลือพวกภูอ่านเองได้” สามวิชานี้เนื้อหาเยอะสุดแล้ว จะได้ติวนานๆ คริๆ ๆ

“ฮะ! นี่มันวิชาสำคัญทั้งนั้นเลยนะ แล้วยังไม่อ่าน? ภู คราม พี่ว่าเราต้องคุยกันแล้วนะ …เราสองคนจะเอาแต่รอพึ่งพี่แบบนี้ทุกครั้งไม่ได้นะ โตแล้วเข้ามหา’ ลัยแล้วเป็นผู้ใหญ่แล้วต้องรับผิดชอบตัวเองสิ ห่วงอนาคตตัวเองซะบ้างอย่าทำเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องเล่นๆ ได้มั้ย ชีวิตมันไม่ใช่เกมนะเว้ยที่แพ้หรือเลือกทางผิดแล้วมันจะกดปุ่มรีเซตเล่นใหม่ได้อ่ะ ฟังอยู่มั้ยวะ! นี่! ยิ้มอะไร! พี่จะโกรธแล้วนะภูผาฟ้าคราม!”

คนอะไรทำไมบ่นได้น่ารักจัง…ไม่ไหวแล้ว อดยิ้มไม่ได้อ่ะ พี่ทีแม่งเหมือนพวกนางเอกซึนๆ ขี้โวยวายในซีรี่ย์เลย

หลังจากหูชากันไปพักใหญ่ พี่ทีก็กัดฟันพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า

“พรุ่งนี้หลังเลิกเรียนมาติวที่บ้านกู บอกไว้ก่อนนะ คราวหลังถ้าไม่อ่านหนังสือจะไม่ติวให้อีก แล้วก็ต่อไปอย่ามาขอให้ติวฉุกละหุกแบบนี้ด้วย กูไม่ได้ว่างหรือเก่งขนาดที่จะทิ้งหนังสือของตัวเองมาติวให้พวกมึงทุกครั้งนะ!”



(บทที)

ผมเดินถือเอกสารที่เตรียมมาติวเพื่อนๆ ขึ้นไปบนเวที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นกวาดตามองผู้คนกว่าร้อยชีวิตที่นั่งหน้าสลอนอยู่ในห้อง

เรื่องของเรื่องก็คือ หลังจากเพื่อนสามคนนั้นมาขอให้ผมติวให้แล้ว ก็ยังมีเพื่อนคนอื่นๆ มาขอให้ผมช่วยติวให้อีก พอผมบอกว่าติดติวให้คนอื่นแล้วเพื่อนที่มาทีหลังก็เลยมาขอแจมด้วย แล้วไปทำอีท่าไหนไม่รู้ ข่าวที่ว่าผมจะติวให้มันแพร่ไปไวมาก จนในที่สุดก็เป็นอย่างที่เห็น จากตอนแรกที่จะจองห้องติวของห้องสมุดก็เลยต้องทำเรื่องแจ้งคณะเพื่อขอเปิดห้องเลคเชอร์ขนาดสามร้อยที่นั่งแทน

เอาเถอะ ใช่ว่าจะเป็นครั้งแรกเสียเมื่อไหร่ ตอนปีหนึ่งปีสองผมก็เคยเปิดห้องสโลฟติวให้เพื่อนบ้างรุ่นน้องบ้างแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว

ผมเดินไปที่โต๊ะสำหรับผู้บรรยายที่ตอนนี้เต็มไปด้วยขนมนมเนยที่เพื่อนๆ ซื้อมาตั้งไว้ให้เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ แต่พอวางรวมกันแล้วก็เป็นกองขนาดย่อมเลยทีเดียว เคยบอกหลายครั้งแล้วนะว่าไม่ต้อง แต่ก็ไม่มีใครฟังจนผมคร้านจะปราม

ผมหันไปยิ้มให้เพื่อนๆ เล็กน้อย ผงกหัวเป็นเชิงขอบคุณ อุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ เครื่องฉายสไลด์ จอโปรเจ็คเตอร์ถูกเปิดเตรียมเอาไว้พร้อม นั่นทำให้ผมรู้สึกพอใจมากที่เพื่อนๆ เอาใจใส่อำนวยความสะดวกให้

ผมหยิบไมค์ขึ้นมาเปิด

“ทดสอบ 1 2 3 4 โอเค… ก่อนอื่นเผื่อใครยังไม่เคยติวกับเรานะครับ..กติกาของเรามีอยู่สามข้อ ข้อหนึ่ง ห้ามคุยแข่งกับเสียงเรา ข้อสอง ถามเมื่อเราเปิดโอกาสให้ถามโดยยกมือถามทีละคนไม่ต้องแย่งกัน และข้อสุดท้ายสำคัญมาก ห้ามถ่ายคลิปขณะที่เราสอนเพราะสไลด์ที่เอามาฉายไม่ใช่ของเรา ภาพบางภาพมีลิขสิทธิ์ เกิดคลิปหลุดไปเราจะซวยเอา แต่อนุญาตให้อัดเสียงได้ โอเคนะครับ”

เมื่อเห็นเพื่อนๆ พยักหน้าผมก็ยิ้มอย่างพอใจ

“โอเค เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา งั้นเรามาเริ่มติวกันเลย”



กว่าจะติวเสร็จก็กินเวลาหมดไปทั้งบ่าย รวมเวลาที่ใช้ไปก็เกือบสี่ชั่วโมง แสบคอไปหมดเลย วันนี้เหนื่อยมาก ทั้งอธิบาย ทั้งตอบคำถามเพื่อนๆ จนเสียงแหบเสียงแห้ง แต่พอได้รับคำขอบคุณ ได้เห็นรอยยิ้มของเพื่อนๆ ที่ดูเหมือนมีความมั่นใจกันมากขึ้นแล้วก็รู้สึกหายเหนื่อย เป็นปลิดทิ้ง อยากให้การสอบผ่านไปเร็วๆจัง ถ้าหากผลออกมาว่าไม่มีใครต้องซ้ำชั้นเพราะวิชานี้ผมคงดีใจมากๆ เลย





“นี่มันกระเป๋าอะไรเนี่ย?” ผมถามหลังจากเดินลงจากรถแล้วฝาแฝดเดินไปรับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่จากคนขับรถ

“กระเป๋าเสื้อผ้าไง ภูกับครามตัดสินใจแล้วว่าจะมาค้างกับพี่ทีจนกว่าจะสอบเสร็จ” ภูผาหันมาบอกผมตาใส ก่อนที่ฟ้าครามจะลากกระเป๋าใบใหญ่เข้าไปในบ้าน

“เห้ยยยย จะบ้าเรอะะะ ใครบอกให้มาค้างด้วยวะ!? บอกว่าจะติวไม่ได้บอกให้มาค้างซะหน่อย!” ผมโวยวาย

” ไม่รู้ไม่ชี้ๆ ” แล้วภูผาก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้านผมทันที ตอนนี้พ่อกับแม่ยังไม่เลิกงาน ส่วนทามก็เรียนพิเศษอยู่เลยเหลือแค่ผมคนเดียว พอขึ้นมาบนห้องก็เห็นไอ้แฝดกำลังรื้อที่นอนหมอนมุ้งจากห้องเก็บของเอามาปูพื้นกันยกใหญ่

ผมกอดอกมองภาพตรงหน้า ทำไมเหมือนเห็นเดจาวูเลยวะ

“นอนได้หรอ แคบอย่างกับหลืบแบบนี้”

“กว้างจะตายนอนได้ตั้งสองคน”

“พื้นมันแข็งนะ เดี๋ยวก็ปวดหลังหรอก”

“ปูผ้าหลายๆ ชั้นเอาก็ได้ เตรียมมาเพิ่มแล้ว”

“ช่วงนี้อากาศเย็นพี่ไม่เปิดแอร์นอนนะ”

ภูผากับฟ้าครามชะงักไปนิดหนึ่ง จนผมถึงกับต้องแอบกลั้นยิ้ม

“แค่พัดลมก็พอแล้ว ภูกับครามกินอยู่ง่ายจะตาย!”

“เร๊ออออ กล้าพูดนะ”





“หิวน้ำว่ะ เดี๋ยวมานะ” ฟ้าครามลุกขึ้นจากพื้น เสยผมที่ชื้นเหงื่อขึ้นพลางกระพือเสื้อที่สวมอยู่

“เผื่อกูด้วย” ภูผาตะโกนไล่หลัง

ผมนอนอ่านหนังสือฆ่าเวลา

“แล้วมาค้างนี่บอกอาแอ๋มรึยัง”

“แม่ไม่อยู่ ไปกาญฯ กับพี่เฟิร์ส แต่บอกพ่อละว่าจะมาค้างบ้านพี่ทีติวหนังสือ”

เมื่อจัดข้าวของเรียบร้อยแล้วภูผาก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งยื่นให้ผม

“อะไร?” ผมยันตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะรับมาถือไว้อย่างงงๆ พอเปิดดูก็พบว่ามันคือไดอารี่

ไดอารี่…กลายเป็นสิ่งที่ยึดโยงอยู่ในความสัมพันธ์อันซับซ้อนของพวกเราไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

ผมเปิดผ่านๆ ไล่ไปทีละหน้าโดยไม่ได้อ่าน จนกระทั่งเปิดมาถึงปกหลังสุดที่มีเกียร์หนึ่งอันแปะสกอตช์เทปติดเอาไว้

สำหรับเราชาววิศวะ…เกียร์คือหัวใจ… เกียร์อยู่ที่ใคร ก็แสดงว่าใจอยู่ที่คนนั้น

ผมยื่นไดอารี่คืนให้ภูผา

“พี่ทีเก็บไว้เถอะ เหมือนเล่มที่ผ่านๆ มา..”

“อย่างน้อยก็เอาเกียร์คืนไป เรียนวิศวะทั้งทีไม่มีเกียร์ไว้ขอสาว..เสียหน้าตายชัก” ผมพูดกลั้วหัวเราะเงยหน้าขึ้นสบตากับภูผาที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“จนกว่าจะถึงตอนนั้นภูฝากไว้ที่พี่ทีก่อนแล้วกัน…ระหว่างนี้ถ้าจะยืมไปห้อยเล่นภูก็ไม่ว่าหรอกนะ” เจ้าตัวยิ้มกว้างดวงตาโค้งเป็นรูปจันทร์เสี้ยว

จู่ๆ ภาพภูผานอนหนุนตักเอาศีรษะซุกท้องผมในวันนั้นก็แวบเข้ามาในหัว

‘พี่ที…เป็นแฟนกันนะ’

‘ภูรักพี่ที ในฐานะพี่ชายที่แสนดีของพวกเรา…’





เหมือนมีแสงไฟแล่นวาบเข้ามาในหัว





ผมเข้าใจทุกอย่างแล้ว







ภูผากับฟ้าครามยังรักผมอยู่… การที่สองคนนั้นยอมถอยกลับมาเป็นแค่น้องชายคงจะทำไปเพื่อให้ได้กลับมาใกล้ชิดผมอีกครั้งสินะ พอมานึกทบทวนดีๆ ผมถึงได้เอะใจขึ้นมา

ไม่มีน้องชายที่ไหนตื่นแต่เช้าแม้กระทั่งวันที่ตัวเองมีเรียนบ่ายเพื่อจะไปเรียนพร้อมกันกับพี่ชายหรอก (ถึงมีก็คงน้อย ใครมันจะอยากถ่อมาทั้งที่ไม่มีเรียนเช้าบ้างล่ะ จริงมั้ย)

น้องชายที่ไหนเขามาส่งพี่ชายขึ้นเรียนที่คณะทุกวันทั้งที่ตัวเองเรียนตึกเรียนรวมที่ห่างกันคนละโยชน์บ้าง?

น้องชายที่ไหนเขาต้องถ่อมากินข้าวด้วยกันกับพี่ชายทุกๆ พักกลางวันบ้าง?

น้องชายที่ไหนเขายัดเยียดไดอารี่ให้พี่ชายอ่านบ้าง?

น้องชายที่ไหนเขาแอบจูบแอบไซร้คอพี่ชายตัวเองบ้าง?

แล้วน้องชายที่ไหน…เขาเอาเกียร์ให้พี่ชายแทนที่จะเอาไปให้แฟนตัวเองบ้าง?





การกระทำของพวกแฝดที่มีต่อผมมันไม่ต่างจากการปฏิบัติต่อ ‘แฟน’ เลยสักนิด

ใช้คำว่า ‘พี่น้อง’ เพื่อให้ผมสบายใจ ในขณะที่ปฏิบัติต่อกันอย่าง ‘คนรัก’



อืมใช่…แบบนี้มันไม่ต่างจากการคบกันเลย



ร้ายมากนะ ภูผาฟ้าคราม



“แล้วถ้าพี่ไม่คืนล่ะ” ผมยกยิ้มมุมปาก

“ก็ยกให้ไปเลยละกัน”



ได้…ในเมื่อพวกนายตั้งใจจะคบกับพี่โดยไม่ให้พี่รู้ตัว



งั้นพี่ก็จะขอทำตามใจตัวเองสักครั้งก็แล้วกัน





-----------------------------------------------------------

ความสัมพันธ์นี้ช่าง complicate นัก … คบยังไงไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าคบ 555 รับรักยังไงไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่ารับรัก!

รอดูกันว่าพี่ทีจะทำตามหัวใจตัวเองยังไง



#เกียร์คู่

(@


ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
คิดถึงมากมาย หายไปนานเลยนิ  :จุ๊บๆ:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๒ ค่ะไรท์
ขอให้ไรท์ แข็งแรง สุขภาพดี ประสบแต่สิ่งดีๆ นะคะ  :mew1:

คิดถึงงงงงงงงงงงงงง  :mew1: :mew1: :mew1:
ดีใจ ไรท์มาต่อ   :katai2-1:

ที ยังเป็นคนดีมีน้ำใจ
เป็นคนเก่งของเพื่อน และของฟ้า ครามเสมอ  :hao3:
แล้วที ก็เข้าใจความรักของแฝด
แล้วก็ทำตามน้ำ ตามใจตัวเองที่ก็ชอบแฝดไปด้วย   :o8: :-[ :impress2:

แฝด ที   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ btoey

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2

ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1














ตอนที่ 46 เสน่ห์ปลายจวัก


โต๊ะกินข้าวบ้านเราวันนี้คึกคักกว่าเดิมเมื่อมีเจ้าแฝดมาร่วมวงด้วย

“ อื้อหืม! ภูกับครามทำเองหมดนี่เลยหรอลูก น่าทานจังเลย ” แม่มองอาหารหน้าตาน่าทานบนโต๊ะอย่างไม่อยากจะเชื่อ ทั้งแกงจืดตำลึงหมูสับ ปลานึ่งมะนาว ไก่ผัดขิง น้ำพริกกับผักลวก ถ้าผมไม่เห็นกับตาก็คงไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าสองคนนั้นมันทำเองจริงๆ ภาพไอ้ครามนั่งพับเพียบตำน้ำพริกยังติดตาผมอยู่เลย นึกถึงทีไรก็อดรู้สึกจั๊กกระเดียมไม่ได้ พวกมันโดนวิญญาณแดจังกึมเข้าสิงรึเปล่าวะเนี่ย ( เอ๊ะ แดจังกึมตำน้ำพริกเป็นด้วยหรอ-_-?)

“ แน่นอน! อร่อยด้วยนะป้าสา ชิมๆๆ ” ไอ้ภูตักปลานึ่งมะนาวใส่จานแม่ผมอย่างเอาอกเอาใจ

“ อร่อยจริงๆด้วย ตายแล้วยัยทาม! พี่ๆเค้าทำอาหารเก่งกว่าลูกอีกแน่ะ อายมั้ยเนี่ยเป็นสาวเป็นนางทำเป็นแต่ไข่เจียว ”

“ แม่อ๊าาาา น้อยใจนะ! ” ยัยทามทำแก้มป่องอย่างงอนๆเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้เป็นอย่างดี แต่ผมรู้ว่าน้องไม่ได้น้อยจงน้อยใจอะไรหรอก เทียบกับผมที่เป็นคนช่างคิดมากแล้วทามนี่แทบจะเป็นขั้วตรงข้ามคือแทบไม่คิดอะไรเลย

“ ไปหัดทำกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ฮึ ลุงจำไม่เห็นได้เลยว่าเราสองคนชอบทำอาหารด้วย ”

“ ตอนแรกก็ไม่ได้ชอบทำหรอกลุงเดช แต่ตั้งแต่ทำไข่พะโล้คราวก่อนออกมาอร่อยครามก็เลยเริ่มสนใจทำอาหารขึ้นมา แล้วพอลองหัดทำอย่างอื่นแล้วมันทำออกมาได้ดีก็เลยเริ่มชอบ ”

“ โอ้โห คนอะไรทั้งหล่อ ทั้งทำอาหารเก่ง นี่ถ้าไม่ได้เป็นญาติกันนะป้าจะยกยัยทามให้ไปเลย ”

“ ขอเปลี่ยนเป็นพี่ทีแทนได้มั้ยอ่ะครับ ”

            ผมสำลักผักลวกจนต้องคว้าแก้วน้ำขึ้นมาดื่มทันที

            พ่อกับแม่หัวเราะประสานเสียงกันดังลั่น พ่อถึงกับเอื้อมมือไปขยี้หัวไอ้ภูอย่างเอ็นดู ส่วนแม่ก็เอื้อมมือไปลูบหลังทามอย่างปลอบใจ

“ ทำไมพี่แฝดไม่เลือกทาม! ”

“ ก็ทามไม่ถอนขนรักแร้นี่นายาวเฟื้อยยังกับเถาวัลย์ ” ฟ้าครามตอบ เท่านั้นแหละน้ำในปากผมก็พุ่งทันที ผมคว้าทิชชูมาปิดปากก่อนจะหัวเราะพร้อมสำลักไปด้วยหน้าดำหน้าแดง

            ยัยทามรีบนั่งหุบแขนหน้าแดงทันที น้องสาวผมอะไรๆก็ดีหมดอยู่หรอก ยกเว้นอย่างเดียวคือมันขี้เกียจถอนขนรักแร้ ชอบปล่อยให้ยาวๆแล้วถอนทีเดียว พอผมกับแม่เตือนมันก็บอกว่าที่โรงเรียนยังมีคนไว้ยาวกว่า พวกผมนี่ถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว วัยรุ่นหญิงสมัยนี้เค้ามีแฟชั่นไว้ขนรักแร้แข่งกันแล้วหรอ

“ พอๆๆ เลิกแซ็วหนูได้แล้ว เดี๋ยวปั๊ดเอาขนรักแร้รัดคอเลย!” เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกระลอกก่อนที่หัวข้อสนทนาจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น

 



            หลังจากกินข้าวเสร็จพวกเราก็นั่งอ่านนั่งติวหนังสือกัน พอห้าทุ่มผมก็ปิดไฟนอนอย่างอ่อนเพลียโดยเปิดพัดลมส่ายไปส่ายมาเผื่อแผ่ให้ภูผากับฟ้าครามที่นอนอยู่ด้านล่างด้วย

            เป็นระยะเวลากว่าครึ่งชั่วโมงที่ผมนอนฟังเสียงผ้าเสียดสีกันจากการพลิกตัวไปมาของสองคนนั้น คนเคยนอนแอร์ทุกวัน ให้มานอนเปิดพัดลมตัวเดียวแถมส่ายไปส่ายมาแบบนี้คงจะทรมานน่าดูสินะ

            ใจนึงก็อยากจะทำเป็นไม่สนใจแล้วหลับๆไปซะ แต่อีกใจก็นึกสงสารขึ้นมาตงิดๆ

            เอาน่ะ ถือว่าตอบแทนสำหรับอาหารอร่อยๆเมื่อตอนเย็นก็แล้วกัน

            ผมขยับตัวลุกขึ้นจากเตียง ภูผากับฟ้าครามหยุดขยับแกล้งทำเป็นหลับทันที คงกลัวจะโดนผมล้อหากถูกจับได้ว่าตัวเองทนนอนพัดลมไม่ได้อย่างที่พูดล่ะสินะ

            แม้จะมืดแต่ผมก็อาศัยความเคยชินเดินไปเปิดแอร์ได้ในที่สุด ยี่สิบห้าองศาก็พอหนาวกว่านี้ผมก็ไม่ไหวเหมือนกัน

            ผมยืนมองภูผากับฟ้าครามที่นอนอยู่บนพื้นข้างเตียงผม แสงจันทร์ที่ส่องลอดผ้าม่านเข้ามาทำให้ผมเห็นใบหน้าสองคนนั้นอย่างเลือนราง แม้จะเห็นได้ไม่ชัดแต่ก็บอกได้เลยว่าหากมองข้ามอคติที่เคยมีแล้วภูผากับฟ้าครามก็เป็นผู้ชายที่หล่อมากๆ หล่อจนน่าสะท้านใจ ชายเสื้อที่เลิกขึ้นเผยให้เห็นหน้าท้องที่มีซิกแพ็คเรียงตัวสวยแม้ตอนนี้จะยังไม่ถึงกับเห็นเป็นลูกๆชัดเจนแต่ผมมันใจว่าอีกไม่นานมันจะขึ้นเป็นลอนสวยแน่นอน ทำไมผมถึงเพิ่งมาสังเกตนะว่าน้องมันมีเสน่ห์มากขนาดนี้ทั้งๆที่คนอื่นรอบตัวผมมองเห็นกันหมด แต่ผมกลับมองไม่เห็น

            บางที…อาจเป็นเพราะสายตาผมสั้นมากก็เลยมองอะไรที่ใกล้ตัวเกินไปไม่เห็นล่ะมั้ง

            พอเว้นระยะห่างจากกันถึงได้ค่อยมามองเห็น …เห็นไปถึงสิ่งที่อยู่ในใจของตัวเองที่ทนปิดกั้นมันมาตลอด

“ ฝันดีนะภูผา ” ริมฝีปากประทับลงบนหน้าผากของคนที่นอนหลับตาพริ้ม

“ ฝันดีครับฟ้าคราม ” อีกหนึ่งจุมพิตมอบให้แฝดผู้น้องเพื่อไม่ให้น้อยหน้ากัน

 





            ภายหลังจากที่ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดและเสียงดึงผ้าห่มของคนบนเตียงครู่หนึ่ง แพขนตาของภูผากับฟ้าครามก็กระตุกเบาๆก่อนจะค่อยๆแอบลืมตาหันไปมองคนบนเตียงที่หลับตาพริ้มหายใจสม่ำเสมอแล้วหันกลับมามองหน้ากัน

            พี่ทีคงคิดว่าพวกเขาหลับไปแล้วสินะถึงได้กล้าจูบกันแบบนี้

            ถ้าจะได้ใกล้ชิด ได้รับจุมพิตแบบนี้จากพี่ที ยอมอยู่ในฐานะ ‘ น้องชาย ’ ก็ไม่เลวร้ายไปเสียทีเดียวแฮะ

            ภูผากับฟ้าครามนอนมองหน้ากันพักใหญ่ ก่อนที่ภูผาจะกระตุกยิ้มมุมปากเยาะเย้ยอย่างผู้ชนะ





‘ เขาจูบกูก่อนว่ะ:p ’







 

.

.

.

         

“ เป็นไง ข้อสอบวันนี้ทำได้มั้ย ” ผมถามเมื่อเปิดประตูเข้าไปนั่งบนรถ

“ สบ๊าย! / ชิวๆ ” สองแฝดพูดพร้อมกัน

“ เออใช่ ลุงยศฮะ เดี๋ยวแวะตลาดแถวบ้านพี่ทีด้วยนะครับ ตรงทางลงสะพานเห็นใช่มั้ยครับ ”

“ ได้ครับ ” คนขับรถสูงวัยตอบรับก่อนจะออกรถ

“ อะไร วันนี้ก็จะทำของกินอีกแล้วหรอ ” ผมอดถามขึ้นมาไม่ได้

“ อื้ม! ภูกับครามมาอยู่บ้านพี่ทีฟรีๆก็อยากจะทำอะไรเป็นการตอบแทนบ้างอ่ะ มารบกวนหลายครั้งแล้ว ” ผมนิ่งไปกับสิ่งที่ได้ยิน ทำไมถึงรู้สึกว่าวันนี้เจ้าแฝดพูดจาน่ารักแบบนี้นะ น่ารักจนเขารู้สึกเอ็นดูขึ้นมาเลย

 “ ปลาจาระเม็ดนึ่งขิงอ่อนเห็ดหอม ไข่เจียวหมูสับ ผัดผักบุ้งไฟแดง ”

“ หา? ”

“ อยากกิน ทำให้กินหน่อย ”

            ผมลอบมองสีหน้าของภูผาฟ้าครามผ่านกระจกมองหลัง สองคนนั้นเลิกคิ้วสูงทำหน้าอย่างประหลาดใจก่อนจะยิ้มกว้าง

“ ตั้งตารอได้เลยพี่ที! ” แค่ผมบอกว่าอยากกินอะไรมันต้องทำหน้าดีใจขนาดนั้นเลยหรอวะ

“ แล้วอย่าใส่อะไรแปลกๆลงไปล่ะ ”

“ ??? ” 

“ อย่างพวก… เสน่ห์ยาแฝด ” 

            เย๊ดดดดดด ! กูพูดอะไรออกไปฟระเนี่ยยยยย!!

            ผมตะครุบปากตัวเองไว้แน่นนึกด่าตัวเองในใจที่พูดเล่นจนเลยเถิดไปเสียแล้ว คาดว่าตอนนี้หน้าผมคงแดงจนไม่รู้จะแดงยังไง โอ๊ย!!เมาข้อสอบหรอวะไอ้ที พูดอะไรออกไปเนี่ย ลุงคนขับรถแกก็อยู่นะเว้ย ไม่อายฟ้าอายดินบ้างเลย

“ อย่างพวกภูไม่ต้องใช้ของแบบนั้นหรอก…”

“ แค่มีเสน่ห์ปลายจวัก … ใครเจอลีลาจ้วง ควัก ตัก ของพวกเราก็ไม่น่ารอดแล้วล่ะครับ ”

“ +///+!! ” ผมหันหน้าหลบลุงยศไปทางกระจกข้างตัว

“ พี่ทีอยากลองดูมั้ย? ”

            ไม่โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!



 

“ เฮ้อออ สอบวันสุดท้ายแล้วโว้ยยย!! ” ไอ้ป๊อกแหกปากขณะที่พวกเรากำลังนั่งอ่านชีตรอเวลาเข้าสอบอยู่ที่ม้านั่งตอนพักกลางวัน

“ เห้ย!ที ถามหน่อยดิ ข้อนี้ไมตอบงี้อ่ะ ” ก้อยยื่นชีตมาตรงหน้าผม

“ อ๋อ ข้อนี้น่ะหรอ…” ผมสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ๆ วันนี้ไม่รู้เป็นอะไรรู้สึกเหมือนหายใจไม่เต็มปอดมาตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าตัวเองหายใจไม่เต็มที่ บางทีผมอาจจะเครียดสะสมไม่รู้ตัวจนมโนไปเองก็ได้

            ขณะที่ผมอธิบายไอ้ก้อย มันก็มองหน้าผมสลับกับชีตในมือไปด้วย สักพักมันก็เอามือมาแตะหน้าผากผม

“ ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา แต่ไมมึงหน้าซีดจังวะที ไหวมั้ยเนี่ย เป็นอะไรหรือเปล่า ” หลังก้อยพูดจบพวกที่เหลือก็เงยหน้าจากชีตขึ้นมามองหน้าผมเป็นตาเดียว

“ เออว่ะ ปากมึงซีดๆนะที อ่านหนังสือหักโหมหรอวะเมื่อคืน ” ไอ้แท็คขมวดคิ้วยื่นหน้าเข้ามาจ้องใกล้ๆ

“ เฮ้ย บ้าน่ะ กูสบายดีไม่ได้หักโหมอะไร … เออจริงสิ  เมื่อคืนเหมือนกูจะถ่ายไปตั้งสามรอบ ” ผมนึกย้อนกลับไปเมื่อวาน หลังกินข้าวเย็นเสร็จผมก็กลับขึ้นห้องมาอ่านหนังสือต่อ สักพักก็รู้สึกเหมือนลำไส้บิดมวนผมถึงกับต้องวิ่งไปเคาะประตูห้องน้ำที่ไอ้แฝดอาบอยู่เพื่อขอเข้าไปขี้ เพราะห้องน้ำอีกห้องแม่อาบอยู่

“ แล้ววันนี้ถ่ายอีกมั้ย? ”

“ เมื่อเช้าสองรอบ ”

“ กูว่ามึงท้องเสียแล้วแหละ ”

“ ก็คงงั้น แต่คิดว่าไม่น่ารุนแรงหรอก ตอนนี้ก็ไม่ได้ปวดอะไรแล้ว ”

“ กูว่าไปขอยาห้องพยาบาลกินหน่อยเหอะว่ะ ” ไอ้แท็คทำหน้าเป็นห่วง

“ เฮ้ย กูโอเคน่า หน้ากูมันก็ซีดๆเหลืองๆแบบนี้อยู่แล้วแหละ ไปๆอีกห้านาทีเข้าห้องสอบแล้วไปรอกันเถอะ ” ผมเก็บชีต ล้วงดินสอยางลบปากกามาใส่กระเป๋าเสื้อก่อนจะลุกขึ้นด้วยความรู้สึกโหวงๆ เหมือนจุดศูนย์ถ่วงในร่างกายมันแกว่งๆ

“ ไหวแน่นะที ” ก้อยแตะแขนผมพลางขมวดคิ้ว

“ ไหวๆ ” ผมพยักหน้ายิ้มๆเพื่อไม่ให้พวกเพื่อนๆเป็นห่วงกันไปมากกว่านี้ ไอ้โซลมองหน้าผมนิ่งๆอย่างพิจารณา ผมเลยยิ้มกว้างๆแล้วทำมือโอเคส่งให้มันไปทีนึงมันถึงได้ยอมละสายตาแล้วเดินนำไปที่ห้องสอบ

 

            ผมนั่งลงบนเก้าอี้นั่งสอบ ตรวจชื่อวิชาว่าถูกต้องไหม ข้อสอบหน้าครบหรือเปล่า เมื่อพบว่าทุกอย่างไม่มีปัญหาผมก็เซ็นชื่อที่ปกข้อสอบและกระดาษคำตอบก่อนจะเริ่มทำ

            ทำไมยิ่งทำยิ่งรู้สึกลอยๆนะ ผมมองนิ้วตัวเองที่กดเครื่องคิดเลขสั่นๆ ผมพยายามยืดหลังให้ตรงสูดหายใจเข้าลึกๆตั้งสติอีกครั้ง แต่เหมือนมันหายใจเข้าได้ไม่สุด ยิ่งพอหายใจออกยิ่งแล้วใหญ่ รู้สึกเหมือนหายใจออกไม่ค่อยได้ ผมกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอก่อนจะบังคับมือที่สั่นเทาและเย็นเฉียบให้เขียนคำตอบลงบนกระดาษ

            เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงยังมีเวลาอีกเหลือเฟือที่จะทำข้อสอบที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง ผมถูมือที่เย็นเฉียบเข้าด้วยกัน ลมหายใจเข้าออกเริ่มถี่สั้นขึ้นทุกที ผมเป็นอะไรไปนะ หรือว่าผมจะเครียดมากเกินไป…ก็ไม่น่าใช่ วิชานี้ไม่ได้ยากเลยแถมอ่านมาจนเป๊ะแล้วด้วย จะเครียดไปทำไมล่ะ

            ผมรวบรวมแรงฮึดเร่งทำข้อสอบแบบไม่คิดชีวิตเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะไม่ไหวแล้ว มือผมเย็นเฉียบ ร่างกายก็หนาวจนสั่นรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว หายใจก็รู้สึกไม่อิ่มเหมือนหายใจแล้วอากาศไม่เข้าปอด ครึ่งชั่วโมงต่อมาผมก็เก็บดินสอปากกาใส่กระเป๋าเสื้อค่อยๆลุกขึ้นจากเก้าอี้ ถือข้อสอบไปส่งให้กรรมการคุมสอบหน้าห้อง

            ขณะที่ผมเดินลงบันไดสโลฟเพื่อนบางคนก็เงยหน้าขึ้นมามองตามปกติเวลามีคนออกจากห้องสอบก่อนตัวเอง ไอ้โซลเป็นหนึ่งในคนที่เงยหน้าขึ้นมามองผม ผมส่งยิ้มให้มันแล้วเดินต่อไป

            อีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงโต๊ะกรรมการคุมสอบแล้ว จะได้รีบๆส่งข้อสอบแล้วเรียกแท็กซี่กลับบ้านไปนอนพักเสียที…



            ตุบ!!





“ ไอ้ที!!!!!! ”

 

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เกิดอะไรขึ้นอ่ะ!!!!

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
อาหาร​เป็นพิษ​

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เอาแล้ว แฝดลืมล้างมือก่อนทำอาการอ่ะป่าว  :a5:

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11

ออฟไลน์ akiko

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 620
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
พี่ทีแย่แล้ว แฝดมาด่วนๆๆๆ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เพราะปลาจะระเม็ดไม่สดหรือเปล่า  :hao4:
ที เลยท้องเสีย ถ่ายท้องหลายครั้ง  :z3:
ทำให้ร่างกายขาดน้ำแน่เลย    :เฮ้อ:
แฝด ที   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
น่ารักๆ จิมๆ   

ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
ที อย่าพึ่งเป็นไรไปนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
ตอนที่ 47 : มอง...มองเธอมาเเสนนาน



“ ไอ้ที!! ” ไอ้โซลประคองผมไว้ นอกจากนี้ยังมีไอ้แท็ค ไอ้ป๊อก ไอ้ก้อย แล้วก็เพื่อนแถวหน้ามาช่วยดูอย่างตกใจที่จู่ๆผมก็ทรุดลงไปกับพื้นห้อง

“ นักศึกษาทุกคนโปรดอยู่ในความสงบ กลับไปนั่งที่ครับ คนป่วยให้เป็นหน้าที่อาจารย์จัดการเองอย่าเข้ามามุง ” อาจารย์คุมสอบแหวกวงล้อมเพื่อนๆเข้ามาดูผมที่นั่งพิงหลังไอ้โซลอยู่

“ ไหวไหมนิสิต ” อาจารย์นั่งยองๆลงมาถาม

            ผมอยากจะตอบนะ แต่เหนื่อยมากเลย แค่เปล่งเสียงยังลำบากยากเย็น รู้สึกมึนๆลอยๆเหมือนอยู่ในความฝันก้ำกึ่งความจริง ผมส่ายหน้าเบาๆอย่างรู้สภาพตัวเองดี ก่อนจะหลับตาอย่างอ่อนเพลียพลางหายใจทางปากรวยริน

“ โทรเรียกรถพยาบาลทีครับ ”  อาจารย์หนุ่มหันไปบอกเจ้าหน้าที่ช่วยคุมสอบอีกคน

“ ผมขับรถไปส่งจะเร็วกว่ามั้ยครับอาจารย์ ” ไอ้โซลพูดเสียงเครียด

“ พวกคุณกลับไปนั่งสอบครับ เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วเดี๋ยวจะทำไม่ทันนะ ”

“ แต่…”

“ อาจารย์ครับ ผมทำเสร็จแล้วครับ เดี๋ยวผมขับรถให้เอง! ” เสียงหนึ่งดังขึ้น ผมอยากจะลืมตามองว่าตอนนี้สถานการณ์รอบตัวเป็นอย่างไรบ้าง แต่ก็ไม่ไหว ได้แต่กึ่งนั่งกึ่งนอนพิงไอ้โซลเอาไว้ ผมรับรู้สถานการณ์รอบข้างได้เพียงผ่านเสียงและสัมผัสเท่านั้น เหมือนผมจะถูกอุ้มขี่หลังใครสักคน ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายตามทางเดิน ผมซบหน้าลงกับแผ่นหลังของคนคนนั้นแล้วปล่อยให้สติหลุดลอยไป

            กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีผมก็มาถึงโรงพยาบาลมหา’ลัยแล้ว อาจารย์แพทย์เข้ามาตรวจซักประวัติก่อนจะสรุปว่าผมน่าจะอาหารเป็นพิษและอ่อนเพลียจากการเสียน้ำมากเกินไปนอนให้น้ำเกลือสักพักก็จะดีขึ้น

            สัมผัสของปลายเข็มแหลมค่อยๆแทงลงที่หลังมือก่อนจะตามมาด้วยผ้าก๊อตและเทปกาวเพื่อยึดเข็มและสายน้ำเกลือให้อยู่กับที่ อีกมือที่ยังว่างของผมถือก้านสำลีชุบแอมโมเนียอังบริเวณจมูกตัวเอง แม้จะไม่ค่อยชอบกลิ่นของมันแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพอดมแล้วรู้สึกได้สติมากขึ้น

            แอ๊ดดด

            ผมเหลือบตามองคนที่เปิดประตูเข้ามา ไอ้พีทประธานรุ่นปีสามนั่นเองที่เป็นคนช่วยแบกแล้วก็ขับรถพาผมมาส่งโรงพยาบาลแทนพวกไอ้โซลที่ยังทำข้อสอบกันไม่เสร็จ

“ เป็นไงบ้างที ดีขึ้นมั้ย ”

            ผมพยักหน้าพยายามฉีกยิ้มจางๆให้ ไอ้พีทยิ้มตอบก่อนจะลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง

‘ ขอบใจมาก ’ ผมอ้าปากพูดโดยไม่มีเสียง เพราะยังไม่ค่อยมีแรง ไอ้พีทพยักหน้ารับยิ้มๆบอกว่าไม่เป็นไรแล้วหยิบมือถือมานั่งเล่นขณะเฝ้าผมไปพลางๆ ผมเลยหลับตาลงอีกครั้ง

 

( บทพีท )

            ผมนั่งสไลด์โทรศัพท์เล่นแก้ว่างไปเรื่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งคนบนเตียงก็หลับไปซะแล้วล่ะครับ

            ผมวางมือถือลงกับขอบเตียงทอดสายตามองใบหน้าซีดขาวของคนตรงหน้าที่กำลังหลับไหลอย่างสงบ

            ผมเจอทีครั้งแรกตอนเรียนอยู่ม.6 ที่ห้างดังใกล้กับมหาวิทยาลัยของเราตอนนี้ เป็นธรรมดาที่เสาร์อาทิตย์เด็กสมัยนี้จะไปเรียนพิเศษที่กวดวิชากัน ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น อันที่จริงจะจ้างครูมาสอนพิเศษที่บ้านก็ได้แต่ผมชอบออกมาเรียนข้างนอกกับเพื่อนๆมากกว่าเรียนเสร็จจะได้เที่ยวต่อได้เลย

            ขณะที่ผมกับพวกเพื่อนๆกำลังจะเดินออกจากตัวห้างซึ่งมันต้องผ่านบริเวณที่ขายเครื่องประดับสำหรับผู้หญิงผมก็เหลือบไปเห็นเด็กผู้ชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกันคนหนึ่งกำลังกอดอกยืนมองกิ๊บหนีบผมที่อยู่ในโซนโปรโมชั่นลดราคา เด็กผู้ชายคนนั้นใส่เสื้อยืดกางเกงยีนสะพายกระเป๋าเก่าๆธรรมดาๆ แต่กลับยืนมองเครื่องประดับแบรนด์เนมนั่นตาเป็นมัน

            หึ…ตุ๊ดสินะ

            ผมแอบหยันอยู่ในใจ ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบคนประเภทนี้โดยเฉพาะพวกที่ออกสาวหรือตุ้งติ้งจีบปากจีบคอแสดงออกชัดเจนยิ่งเกลียดเข้าไส้ เห็นแล้วน่าขนลุก  แต่ถ้าเป็นพวกเกย์ที่รู้จักคีพลุคดีๆอันนั้นยังพอหยวนเพราะผมก็มีเพื่อนเป็นเกย์อยู่หลายคน

            แต่งตัวก็ออกจะแมน…คงจะเป็นอีแอบสินะ แต่พอเห็นของสวยๆงามๆลดราคาสันดานอีแอบมันคงเรียกร้องให้พุ่งเข้าไปหาเหอะๆ

            แล้วผมก็ไม่ได้สนใจมันอีกเกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำถ้าอาทิตย์ต่อมาไม่เห็นมันยืนอยู่ที่โซนเดิมเวลาเดิมเหมือนอาทิตย์ที่แล้วเป๊ะ!

            ท่าทางมันจะอยากได้มากนะเนี่ย แล้วทำไมไม่ซื้อวะ หรือจะไม่มีตังค์ เออก็คงจะอย่างนั้นดูแต่งตัวดิ ถึงมันจะแต่งตัวเรียบร้อยดูสะอาดสะอ้านแต่ของบนตัวมันไม่มีชิ้นไหนที่ผมกวาดตามองแล้วเป็นของมีราคาเลยสักชิ้น

            วันต่อมาซึ่งเป็นวันอาทิตย์ ที่เก่าเวลาเดิม ผมสงสัยว่ามันจะไปยืนมองเครื่องประดับตรงมุมนั้นอีกมั้ย พอเลิกเรียนปุ๊บผมก็เลยขอแยกจากเพื่อนๆแล้วมาแอบซุ่มดูอยู่แถวๆนี้ ไม่รู้ทำไมผมถึงทำแบบนั้นพอนึกย้อนกลับไปก็อดขำตัวเองไม่ได้จริงๆ

            ผมยืนมองของที่อยู่ตรงหน้า มันคือกิ๊บหนีบผมคริสตัลรูปทรงต่างๆไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ ผีเสื้อ นกยูง ฯลฯ จู่ๆผมก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าหรือมันไม่ได้จะซื้อไปใส่เองแต่ซื้อไปให้สาว?เพราะดูยังไงมันก็แม้นแมนอ่ะ ไม่น่าจะเป็นพวกอีแอบได้เลยจริงๆหลังจากสังเกตอย่างละเอียดเมื่อวาน

            ผมยกนาฬิกาขึ้นดู น่าจะได้เวลาแล้วมั้ง

            พอเงยหน้าขึ้นมาหมอนั่นก็กำลังเดินมาทางนี้จริงๆแถมเดินมากับผู้หญิงฝรั่งคนหนึ่งเสียด้วยโคตรอึ๋มเลยแม่จ้าววว

            ผมรีบเดินไปหลบอยู่แถวๆห้องลองเสื้อแล้วลอบมองสองคนนั้นที่เดินคู่กันมาพลางหัวเราะเป็นระยะๆ หมอนั่นเดินไปหยุดหน้าโซนนั้นแล้วหยิบกิ๊บขึ้นมาสองลาย พูดอะไรสักอย่างกับหล่อน

            อ้าว…ตกลงว่าจะซื้อให้ผู้หญิงจริงๆเหรอเนี่ย หน้าแตกเลยกรูนึกว่าซื้อไปใช้เอง

            แต่แล้วแหม่มคนนั้นก็เอากิ๊บไปทาบกับหัวเกรียนๆของหมอนั่นแล้วทำท่าครุ่นคิด หมอนั่นหัวเราะแล้วเอามือปัดๆมือของนางที่พยายามจะทาบกิ๊บกับหัวตัวเองออก สองคนนั้นพูดคุยกันอีกสักพัก หยิบชิ้นนู้นชิ้นนี้ขึ้นมาเลือกก่อนที่หมอนั่นจะตัดสินใจเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์แล้วเก็บของชิ้นนั้นใส่กระเป๋าตัวเอง

            โอ้โห! อีแอบแน่นอนฟันธง ถึงขนาดให้เพื่อนสาวชาวฝรั่งมาช่วยเลือกด้วย ว้อท เดอะ ฟัค!

            พอสองคนนั้นเดินจากไปผมก็เดินไปหยุดที่โซนนั้นอีกครั้ง กิ๊บรูปดอกไม้หายไป…ซื้อรูปดอกไม้ไปสินะ

“ ที่แท้จะแอบมาซื้อกิ๊บลดราคานี่เองถึงไม่ยอมไปเตะบอลกับพวกกู …ไม่คิดเลยนะว่าจริงๆแล้วมึงจะมีรสนิยมแบบนี้ ไม่เห็นต้องปิดกันเลยนะเพื่อน! ” ไอ้นอธเพื่อนผมโผล่มาจากไหนไม่รู้จู่ๆก็เข้ามากอดคอจากทางด้านหลังเล่นเอาสะดุ้งเฮือก

“ วะวะวะว๊าวววว กิ๊บเยอะแยะเลย น่ารักจังอ่ะตะเองง เค้าก็จะซื้อมั่ง ” ไอ้ฟลิ้นท์หยิบบรรดากิ๊บขึ้นมาทาบผมตัวเองแล้วหันมาทางผม

“ เหยแกรรร ชั้นสวยแมะ! ” ไอ้ฟลิ้นท์หันไปถามไอ้ดิว

“ หยุดได้แล้วโว้ยย พวกมึงกำลังเข้าใจกูผิด! ” ผมโวยวาย

“ กูว่าพวกกูเข้าใจไม่ผิดนะ มึงทั้งแอบมองผู้ชาย ทั้งยืนเลือกกิ๊บ ดูยังไง๊ยังไงก็… เอ่อ อืม ไม่เป็นไรนะเว้ยไอ้พีท ถึงมึงจะเป็นตุ๊ดพวกกูก็รับได้ มึงคงอึดอัดใจมานานสินะที่ต้องคอยปกปิดพวกกู” ไอ้ดิวตบบ่าผมทำหน้าเห็นอกเห็นใจจนน่าถีบ

“ ไม่ใช่แล้วโว้ยยย=[]=^^^ ” ไอ้พวกนั้นหัวเราะฮ่าๆอย่างสะใจ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผมก็โดนพวกมันแซวเรื่องกิ๊บตลอดจนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัยพวกมันก็ยังไม่เลิก คงกะแซวกันยันลูกบวชเลยสินะไอ้ห่าเพื่อนชั่ว!

            วันนี้เป็นวันมอบตัวและประชุมผู้ปกครองของนักเรียนรอบรับตรง ผมและเลขาของพ่อเดินถือเอกสารการมอบตัวต่างๆเข้าไปในคณะที่ตอนนี้ครึกครื้นเต็มไปด้วยบรรยากาศของรอยยิ้มของพ่อแม่ผู้ปกครองและนักเรียนที่สอบติด

            ไม่รู้ว่าโลกกลมหรือพรหมลิขิตเพราะทันทีที่ผมเดินมาดูบอร์ดเพื่อดูรอบเวลายื่นเอกสารของตัวเองก็ได้เจอกับหมอนั่นอีกครั้ง!!

            ผมยืนมองหมอนั่นอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองว่าจะมาติดคณะเดียวกันแถมเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกันอีกต่างหาก วันนี้คนตรงหน้าแต่งตัวเรียบร้อยในชุดนักเรียนโรงเรียนรัฐชื่อดังยืนคู่กับผู้หญิงวัยกลางคนแต่งกายภูมิฐานในชุดกระโปรงสีชมพูที่ผมของเธอติดกิ๊บคริสตัลสีพาสเทลรูปดอกไม้

            กิ๊บเมื่อตอนนั้นนี่นา! ที่แท้ก็ซื้อให้แม่หรอกหรอเนี่ย

“ คุณพีทครับ พวกเราได้รอบบ่ายโมง.. ” เสียงเลขาพ่อเรียกสติของผมกลับมาอีกครั้งนอกจากนี้มันยังทำให้หมอนั่นกับแม่หันมองมาทางผมอีกด้วย

            ผมรีบยกมือไหว้สวัสดีผู้ปกครองของอีกฝ่ายก่อนที่เธอจะรับไหว้ยิ้มๆ

“ หวัดดีเราชื่อทีอยู่โยธาฯ ” เจ้าตัวส่งยิ้มผูกมิตรที่แสนน่ามองมาให้ผม

“ หวัดดี เราชื่อพีท โยธาฯ…เหมือนกัน ”

            วันเปิดเทอมวันแรกผมตั้งใจจะชวนทีเข้ากลุ่มผมอันประกอบไปด้วยไอ้ฟลิ้นท์และไอ้ดิวที่ติดคณะเดียวกันมาด้วยอย่างปาฏิหาริย์ แต่ดูเหมือนจะช้าไปก้าวหนึ่งเพราะเหมือนทีจะถูกพวกไอ้โซลชักชวนเข้ากลุ่มไปเสียแล้ว ไอ้จะเข้าไปตีซี้กับกลุ่มไอ้โซลอีกทีก็ลำบากเพราะไอ้ดิวไม่ชอบขี้หน้าไอ้โซลมาตั้งแต่สมัยอยู่โรงเรียนเดียวกันแล้ว

            เฮ้อ เวรกรรมจริงๆ ทำไมต้องไปอยู่กลุ่มพวกนั้นด้วยนะ

            จากความรู้สึกสนใจในคราวแรก ค่อยๆพัฒนามาเป็นความชอบ ยิ่งได้อยู่ใกล้กัน ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ผมก็ยิ่งรู้สึกชอบทีมากขึ้นเรื่อยๆ การที่ผมคอยมองหมอนั่นอยู่ตลอดทำให้ผมได้เห็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่คนอื่นคงไม่สังเกตเห็นขนาดผม

             ผมรู้ว่าทีมักจะกัดปลายแหลมของไม้เสียบลูกชิ้นให้ทู่ทุกครั้งที่กินเสร็จก่อนจะเอาไปทิ้ง มันเป็นคนให้เกียรติผู้หญิงมากๆ ผมเคยได้ยินพวกผู้หญิงพูดกันว่าชอบทีที่สุดในบรรดาเพื่อนผู้ชายทั้งหมดเพราะทีเป็นสุภาพบุรุษกับผู้หญิงทุกคนไม่ว่าจะสวยหรือไม่สวย 

            ตอนไปค่ายผมเคยเห็นมันนั่งเอาหลอดเขี่ยมดขึ้นจากน้ำหวานในคูลเลอร์จนโดนเพื่อนบ่นว่าไปเอาน้ำชักช้า ครั้งหนึ่งเคยมีแมลงปอหลุดเข้ามาในห้องเรียน พอเลิกเรียนรอจนทุกคนออกจากห้องไปหมดแล้ว( แต่ผมแอบมองอยู่ข้างนอก ) ไอ้ทีก็ลุกขึ้นมาจับแมลงปอ! เป็นอะไรที่บ้ามากในความคิดผม แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อไอ้ทีไล่จับอยู่ราวๆสิบนาทีจู่ๆแมลงปอก็บินไปเกาะกำแพงข้างๆมันครับ แล้วทีก็กระพุ่มมือจับมันได้ง่ายๆเลย ผมค่อยๆเดินตามทีไปห่างๆ จนออกมานอกตึกห่างออกมาจากประตูทางเข้าเล็กน้อยมันก็แบมือปล่อยแมลงปอบินออกไป ความรู้สึกในตอนนั้นของผมนี่แบบ…ทำไมเป็นคนอ่อนโยนแบบนี้วะ เชี่ยยย!กูตกหลุมรักคนคนนี้ กูชอบคนแบบนี้จริงๆ!

            มองภายนอกไอ้ทีอาจเป็นแค่ผู้ชายที่ดูธรรมดาๆคนหนึ่งหน้าตาก็อยู่ในเกณฑ์โอเคไม่ถึงกับหล่อกระชากใจ แต่ก็จัดว่าหน้าตาดีดูสะอาดสะอ้าน ฐานะก็แค่ปานกลาง นอกจากเรียนเก่งแล้วก็ไม่มีอะไรที่ถนัดเป็นพิเศษอีก ดูยังไงก็ไม่น่าจะมีอะไรเตะตาผมได้เลย แต่มันเป็นคนดีครับ เป็นคนดีมากๆ ดีทั้งต่อหน้าและลับหลังเลยแหละ มันเป็นคนอ่อนโยน ผมชอบสายตาเวลามองคนอื่นของมันนะดูอบอุ่นอ่ะเป็นสายตาที่เหมือนแฝงความปรารถนาดีต่อคนอื่นตลอดเวลา             

               เพื่อนในรุ่นต่างรู้กันหมดว่าผมแอบชอบไอ้ทีมัน แม้แต่กลุ่มพวกไอ้โซลก็รู้ แต่ดูเหมือนจะมีแค่ทีคนเดียวที่ไม่รู้ตัวเอาเสียเลย

“ ไม่ใช่ไม่รู้ตัว แต่ทำเป็นไม่รู้ต่างหากล่ะ ” ไอ้ฟลิ้นท์บอกผม

            นั่นสินะ ผมแสดงออกชัดเจนขนาดนี้คนอื่นยังรู้เลยเจ้าตัวจะไม่รู้ได้ยังไง

            ทียังคงปฏิบัติกับผมเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปทั้งนั้น ไม่มีท่าทางแปลกๆ ไม่มีท่าทีอึดอัด ไม่มีสัญญาณอะไรที่แสดงถึงความหวั่นไหวแม้แต่ท่าทางไม่สบายใจหรือตีตัวออกห่างก็ยังไม่มี

            นั่นคือคำตอบที่ผมได้รับหรือเปล่า

            มันคือการปฏิเสธในแบบของคนใจดีใช่ไหม

            ผมล้มเลิกความตั้งใจที่จะบอกชอบกับทีตรงๆ ยอมที่จะแอบรักเงียบๆแบบนี้ไปเรื่อยๆท่ามกลางสายตาเห็นอกเห็นใจของชาวบ้าน เพื่อนผู้หญิงดูจะสงสารผมเป็นพิเศษถึงขนาดปฏิบัติต่อผมราวกับเพื่อนสาวคนหนึ่งในแก๊งก็มิปาน นี่กูดูน่าสงสารขนาดนั้นเลยหรอฟระ=-=;;

            เอาเถอะ อย่างน้อยจนถึงตอนนี้ทีก็ยังไม่มีใคร นั่นทำให้ผมสบายใจที่จะแอบรักต่อไปเรื่อยๆ

            อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่มีใคร

            ผมยังมีสิทธิ์

            ผมนั่งมองใบหน้ายามหลับของคนบนเตียงก่อนจะโน้มตัวเข้าไปกระซิบที่หูอีกฝ่าย



“ กูระ....  ”

 


------------------------------------------------------------------------------
 

**การช่วยเหลือเเมลงปอด้วยการจับใส่มือไปปล่อยข้างนอกควรกระทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งนะคะไม่งั้นมันอาจจะตายคามือเราเเทนค่ะTT**



เพิ่มเติม : ช่วงม.6ทีได้คอร์สเรียนภาษาอังกฤษฟรีมาจากการประกวดเรียงความชนะค่ะ ส่วนผู้หญิงฝรั่งคนนั้นเป็นอาจารย์ในสถาบันที่เผอิญกลับบ้านพร้อมกันทีก็เลยขอให้อาจารย์ช่วยเลือกกิ๊บเพราะตัวเองเลือกเครื่องประดับให้ผู้หญิงไม่เก่ง แล้วที่นางเอากิ๊บไปทาบกับหัวทีก็เพราะนางถามว่าแม่ของทีผมสีอะไร พอทีบอกว่าสีดำนางเลยไม่เอามาทาบกับผมตัวเองแต่เอาไปทาบกับผมทีแทนว่าเครื่องประดับจะเข้ากับสีผมแบบทีมั้ยค่ะ^^

- เราเคยเห็นคนจับแมลงปอด้วยมือเปล่าแล้วเอาไปปล่อยแบบพี่ทีจริงๆด้วยแหละ พี่เค้าพูดว่าอย่าหนีสิ เนี่ยจะพาออกไปปล่อยข้างนอกนะ แล้วแมลงปอมันก็หยุดให้จับง่ายๆจริงๆค่ะ! อะเมซิ่งสุดๆ รู้สึกประทับใจพี่คนนั้นก็เลยเอามาเขียนค่ะ><

- ประสบการณ์ตรงเลยนะ อาหารเป็นพิษจนเพื่อนหามเข้าโรงพยาบาลเนี่ย เราเข็ดขยาดสุดๆไปเลยค่ะ ตอนนั้นหายใจไม่ออกจนนึกว่าจะตายซะเเล้วT-T

-ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์นะคะ เราอ่านครบหมดเเละอ่านซ้ำหลายรอบด้วยเหมือนคนโรคจิตเลยเเหละ555 เราจำคนที่เม้นท์บ่อยได้นะคะ เช่นคุณ magnolia , areenart1984 , leenboy , sompong , B52 ,  ❣☾月亮☽❣ , jimmyjimmy , fullfinale ,shoi_toei ,  BABYBB ,songte , justwait ฯลฯ ต้องขอบคุณจริงๆที่มาเม้นท์ให้เกือบทุกตอนเลย ทุกครั้งที่เห็นชื่อเก่าๆมาเม้นท์เรามีความสุขมากกก เหมือนมีคนในครอบครัวมาต้อนรับทุกครั้งที่กลับบ้านเลย>///<







ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
กลับมาอัพแล้วหลังจากหายไปนาน

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
จริงๆก็ไม่ได้มาเม้นทุกตอนเลยนะคะ 5555555
บางทีดองไว้หลายตอนมาก เพราะไม่ได้เห็นว่าอัพนิยายแล้ว 555555
เป็นกำลังใจให้นะคะ จะคอยอ่านค่ะ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ธรรมดา​แต่​พิเศษ​

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ตาวาว เลย...... ไรท์มาลง รออยู่ ฮือออออ   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

พีท เห็นทีที่ร้านเครื่องประดับผู้หญิง ก็เข้าใจทีผิด
แล้วเพื่อนพีท ก็เข้าใจพีทผิดเหมือนกัน
นี่สินะ.....สิ่งที่เห็น ไม่ใช่ในสิ่งที่คิด เอ่อ....หรือ สิ่งที่เห็น ไม่ใช่ในสิ่งที่เป็น   :serius2:
หรือ กรงกรรมกรงเกวียน กรรมตามสนอง ธัมมะ ธัมโมไปอี๊ก  :z3:
แต่ที่แน่ๆ พีท หลงรักที ไปเรียบร้อย  o22 :really2: :เฮ้อ:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ว่าแต่ที พีทเป็นเอง  :laugh:

ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1

ตอนที่ 48  The twin’ s home


ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งสภาพแวดล้อมที่เห็นก็ทำให้ผมต้องหลับตาแล้วลืมขึ้นมาใหม่ก่อนจะมองไปรอบๆ อย่างมึนงง

ไม่ใช่โรงพยาบาล…ไม่ใช่ห้องผม…แล้วที่นี่มันที่ไหนวะ…ทำไมคุ้นจังเลย

ผมเอื้อมมือเปิดโคมไฟหัวเตียง แสงสีนวลตาสาดส่องไปทั่วเผยให้เห็นห้องที่ตกแต่งสไตล์วินเทจ ปลายเตียงมีทีวีจอแบนฝังเข้าไปในผนัง ด้านซ้ายมือคือประตูตู้เสื้อผ้าบิวท์อินบานใหญ่และห้องน้ำ ส่วนด้านขวาเป็นชุดโซฟากับโต๊ะกระจกที่มีแจกันดอกไม้วางประดับอยู่

ผมยกมือขึ้นนวดหัวคิ้ว จำได้แล้ว…ห้องนี้เคยมาพักอยู่ช่วงหนึ่งตอนเด็กๆ

…ห้องนอนแขกบ้านวรกิจเดชสกุล

ก๊อกๆ ๆ

ผมมองไปยังประตูห้องที่ค่อยๆ ถูกเปิดออก เป็นอาแอ๋มที่โผล่เข้ามาก่อนจะเปิดประตูค้างไว้ให้ภูผากับฟ้าครามถือถาดอาหารกับยาเดินตามมา

“อ้าว ทีตื่นแล้วหรอลูก ดีเลยอากำลังจะปลุกมาทานข้าวทานยาอยู่พอดีเชียว”

ฟ้าครามเข้ามาช่วยพยุงผมให้ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง จากนั้นภูผาก็กางโต๊ะเล็กวางลงบนเตียงพร้อมถาดอาหารและยา ผมได้แต่ขยับร่างกายตามแรงมือของอีกฝ่าย ตอนนี้รู้สึกแขนขาไม่มีแรงเลย ครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด ปวดหัวเหมือนมีคนเอาค้อนมาทุบ หนาวก็หนาว หิวก็หิว แต่พอมองข้าวต้มหน้าตาน่ากินตรงหน้าแล้วกลับรู้สึกพะอืดพะอมอยากจะอ้วกซะอย่างนั้น

ใจอยากจะเอ่ยถามว่าทำไมผมมาอยู่ที่นี่ แล้วมีใครโทรไปบอกที่บ้านผมหรือยังว่าผมเป็นอะไรตอนนี้พักอยู่ที่ไหน ทำไมภูผาฟ้าครามต้องพาผมมานอนที่นี่ไม่พาผมกลับไปส่งที่บ้าน แล้วผมอาหารเป็นพิษแบบนี้สองคนนั้นจะคิดมากหรือเปล่า จะคิดว่าเป็นความผิดของตัวเองไหม …แต่พอมองจากสีหน้าจ๋อยๆ ของสองคนนั้นผมก็พอจะเดาได้..นั่นไง ต้องคิดว่าเป็นความผิดของตัวเองอยู่แน่ๆ เลย

“รีบกินเถอะจ้ะ เดี๋ยวหายร้อนแล้วจะไม่อร่อย เสร็จแล้วจะได้กินยาแล้วนอนพักต่อตัวยังรุมๆ อยู่เลย หนาวมั้ยลูก?” อาแอ๋มลูบหน้าลูบแขนผมอย่างเป็นห่วงเป็นใย สัมผัสจากมือเย็นๆ ทำให้รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย พอผมพยักหน้าเบาๆ ภูผาก็หยิบรีโมทแอร์มาปรับอุณหภูมิให้

ฟ้าครามตักข้าวต้มขึ้นมาเป่าก่อนจะจ่อมาที่ปากของผม

“พี่ที…กินนะ”

ตอนแรกผมอยากจะปฏิเสธแล้วคว้าช้อนมาตักกินเอง แต่พอเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดของแฝดน้องผมก็เลยทำใจอ้าปากรับแต่โดยดี

พวกมึงเข้าใจผิดแล้ว! กูไม่ได้ท้องเสียเพราะอาหารเมื่อคืน แต่ท้องเสียเพราะกล้วยบวชชีกะทิบูดที่กินไปตอนกลางวันเมื่อวานต่างหากล่ะเฟ้ย หยุดทำท่าทางหางลู่หูตกกันซะทีเห็นแล้วรู้สึกไม่สบายใจไปด้วยเลย

แต่ช้อนที่ตักป้อนรัวๆ ก็ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดอธิบายอะไรเลย เอาวะ กินก่อนก็ได้ แล้วค่อยมาอธิบายกันทีหลัง

“แม่ คืนนี้ภูกับครามมานอนเฝ้าพี่ทีได้มั้ย”

เห้ย!! ไม่ต้องงงงงงง

“ไม่ต้องหรอกลูก แม่ว่าแม่จะมานอนเฝ้าพี่ทีอยู่แล้ว จะได้ตื่นมาคอยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้พี่เค้า ภูกับครามกลับห้องไปนอนเถอะวันนี้สอบมาทั้งวันคงจะเหนื่อยแย่แล้ว”

“ไม่เหนื่อยๆ นะๆ เดี๋ยวภูเช็ดตัวให้พี่ทีเอง แม่อ่ะเป็นผู้หญิงมาเช็ดตัวให้พี่ทีเขินตายเลย ให้ภูเช็ดดีกว่า แม่ไปนอนเหอะเดี๋ยวเฝ้าให้”

ให้พวกมึงเช็ดตัวนอนเฝ้าไข้เนี่ยนะ!? ม่ายยยยย ไม่อาววว อาแอ๋มอย่าไปยอมนะ ลูกชายอาจะฉวยโอกาสอะไรตอนผมป่วยบ้างก็ไม่รู้ อย่านะโว้ยยยย ตอนนี้ผมไม่มีแรงสู้นะT-T

ไม่ได้แล้ว ขืนไม่พูดออกไปมีหวังแย่แน่เลย!

ขณะที่ผมอ้าปากจะค้าน ช้อนข้าวต้มก็ยัดเข้ามาในปากผมทันทีด้วยฝีมือฟ้าครามที่ยักคิ้วให้อย่างรู้ทัน พอผมเคี้ยวๆ รีบกลืนจะพูดต่อฟ้าครามก็ทำท่าจะป้อนข้าวต้มเข้ามาอีกแต่คราวนี้ผมเบือนหน้าหนีเอามือดันแขนฟ้าครามไว้

“พี่ที…ไม่ดื้อดิ กินข้าวนะ หม่ำๆ ” ฟ้าครามปัดมืออันอ่อนแรงของผมออกก่อนจะเอื้อมมาจับคางผมให้หันมาหา ส่วนอีกมือก็ถือช้อนข้าวต้มจ่อปากจี้ให้ผมกินต่อ

หม่ำๆ บ้านมึงดิ! ไม่ใช่เด็กนะเฟ้ยย!!

เพียะ!!

“เจ้าคราม! พี่เค้ากินไม่ไหวทำไมไปบังคับแบบนั้นฮะ! เกิดพี่เค้าอ้วกแตกอ้วกแตนขึ้นมาจะทำยังไงเจ้าลูกคนนี้นี่ ดูแลคนป่วยไม่เป็นเลย! เอาจานไปเก็บ! …ทีลูก เดี๋ยวรอสักแปบแล้วค่อยทานยานะจ๊ะ ระหว่างนี้เช็ดตัวก่อนนะเดี๋ยวอาเช็ดให้” อาแอ๋มตีฟ้าครามแล้วดุยกใหญ่เมื่อหันมาเห็นไอ้ครามกำลังพยายามยัดข้าวต้มให้ผมกิน ไอ้ครามลูบแขนบริเวณที่โดนตีป้อยๆ ก่อนจะเหลือบมองผมแล้วทำปากขมุบขมิบ

“ทำปากขมุบขมิบอะไร! ว่าแม่หรอ!”

ผมมองข้ามไหล่อาแอ๋มไปสบตากับฟ้าคราม

“:p”

“ก็แม่เอาแต่เข้าข้างพี่ทีอ่ะ ตกลงใครลูกแม่กันแน่เนี่ย..ดูดิ! พี่ทีแลบลิ้นใส่ครามด้วย!!”

“พี่เค้าไม่ได้นิสัยเหมือนลูกนะ” ผมแอบกลั้นหัวเราะอยู่ข้างหลังอาแอ๋ม ดูสิ ผมเครดิตดีกว่าเจ้าแฝดแค่ไหนคนเป็นแม่อย่างอาแอ๋มยังไม่เชื่อมันเลย

“ภูก็เห็นนะ ดูดิๆ พี่ทีนั่งหัวเราะอยู่หลังแม่อ่ะ หันไปดูดิ”

ได้ยินอย่างนั้นผมจึงพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ แต่จู่ๆ ก็รู้สึกปวดมวนๆ ท้องขึ้นมา จากนั้นความรู้สึกคลื่นไส้ก็วิ่งขึ้นมาถึงลำคอ

“โอ๊กกกกก แหวะะะะะะะะ!!”

สุดท้ายผมก็ต้องย้ายไปนอนห้องไอ้แฝดเพราะดันอ้วกเลอะเตียง จะบ้าตาย ทำตัวเองแท้ๆ ฮือT-T




“โอ๊ย จั๊กจี้ คิกๆ …โอ๊ยย ” ผมได้แต่นอนดิ้นไปดิ้นมาอยู่บนเตียงหนีมือไอ้ภูที่พยายามจะเช็ดตัวให้ผมที่ตอนนี้สวมแค่เสื้อคลุมอาบน้ำเนื่องจากเพิ่งถอดเสื้อผ้าที่เลอะอาเจียนออกไป

“นิ่งๆ ดิพี่ที ภูเช็ดลำบากนะ” ไอ้ภูคว้าแขนผมไปอีกรอบก่อนจะเอาผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดพรืดๆ

เนี่ยนะดูแลคนป่วยเป็น ใครเค้าเช็ดกันแบบนี้วะ! เช็ดตัวคนป่วยมันควรใช้น้ำอุ่นเพื่อให้หลอดเลือดขยายตัวคลายความร้อนออกจากร่างกายได้ดีไม่ใช่หรอ แต่มันเล่นเอาน้ำเย็นเช็ดให้แบบนี้ไม่หนาวจับไข้กว่าเดิมก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว แถมเวลาเช็ดแขนใครเค้าเช็ดจากต้นแขนลงมานิ้วมือกัน มันต้องเช็ดจากมือไล่ขึ้นไปที่ต้นแขนเพื่อเปิดรูขุมขนต่างหาก ให้ตายเถอะตัวเองก็เคยอยู่โรงพยาบาลแท้ๆ ไม่ได้สังเกตเวลาพยาบาลเค้าเช็ดตัวให้เลยหรือไง

“ภู…พอเถอะ พี่เช็ดเองดีกว่า ” ผมเค้นเสียงพูดออกมาเบาๆ อย่างอ่อนเพลีย พยายามจะแย่งผ้าขนหนูในมืออีกฝ่ายมาถือเองแต่ภูผากลับชักมือหนี ผมพยายามเอามือปัดป้องไม่ให้มันเช็ดตัวให้ ก็มันหนาวนี่หว่า ยิ่งเช็ดยิ่งแย่แบบนี้อย่าเช็ดเลยเถอะ

“ภู…พี่หนาวนะ …ภูเช็ดผิดอ่ะ ”

“อะไรนะพี่ที? ไม่ได้ยินอ่ะ” ภูผาขมวดคิ้วก่อนจะเอียงหน้าเข้ามาใกล้

“ใช้น้ำอุ่นสิ พี่หนาว”

“เฮ้ย! พี่ทีตัวร้อนอยู่แล้ว ขืนเช็ดน้ำอุ่นก็ยิ่งร้อนอ่ะดิ ไม่ได้ๆ เช็ดน้ำเย็นแหละตัวจะได้หายร้อนไวๆ อดทนหน่อยนะพี่ที ถกเสื้อลงหน่อยภูจะเช็ดหลังให้”

โอ๊ย! จะบ้าเรอะะะ เช็ดน้ำเย็นสิจะยิ่งตัวร้อนกว่าเดิมT_T จะบ้าตาย ไม่สบายอยู่แล้วยังมาโดนรังแกเพิ่มอีก ผมว่าแทนที่จะหายอาจจะตายมากกว่านะแบบนี้

ผมจับข้อมือภูผาไว้แล้วส่ายหัวรัวๆ

“ห้ามใช้น้ำเย็น…เช็ดคนป่วยนะ…ต้องน้ำอุ่นหรือน้ำธรรมดา ”

“โอเคๆ ภูยอมก็ได้ แต่ให้แค่น้ำธรรมดาพอนะน้ำอุ่นไม่ได้ ภูรู้ว่าพี่ทีหนาวเลยอยากได้น้ำอุ่นแต่พี่ทีต้องอดทนดิไม่งั้นไข้มันจะไม่ระบายออกมานะครับ”

โอ๊ยยยยยย!! อกอีแป้นจะแตก ถ้าผมมีแรงมากกว่านี้นะจะลุกขึ้นมาเบิ้ดกะโหลกมันสักที เอาอะไรมาคิดว่าผมหนาวเลยไม่อดทนให้มันเช็ดน้ำเย็น ไม่เคยเรียนวิชาสุขศึกษาหรือไงวะ โฮยย อาแอ๋มเมื่อไหร่จะมาสักที อย่าปล่อยผมทิ้งไว้กับไอ้แฝดนรกนี่นานๆ จะได้มั้ย จะตายคามือมันอยู่แล้ววววT_T

หลังจากปลุกปล้ำกันอยู่พักใหญ่ภูผาก็เช็ดตัวให้ผมจนเสร็จ เป็นการเช็ดตัวที่ทรมานที่สุดในชีวิตผม ก็มันอ่ะเช็ดแปลกๆ ให้อารมณ์เหมือนลวนลามยังไงก็ไม่รู้ จะดิ้นหนีก็ไม่ค่อยจะมีแรง แถมน้ำธรรมดาที่มันเอามาเช็ดก็ยังเย็นไปอยู่ดีสำหรับผม หลังจากโดนจับใส่ชุดนอนแล้วผมก็ได้แต่นอนขดตัวฟันกระทบกันกึกๆ อยู่ใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ที่ห่มเท่าไหร่ก็ไม่หายหนาว

“พี่ทีตัวร้อนจี๋เลยอ่ะแม่!” นาทีนี้สติผมพร่าเบลอเกินกว่าจะแยกออกแล้วว่าเสียงภูผาหรือฟ้าคราม

สัมผัสเย็นๆ แตะลงบนหน้าผากผม

“ว้าย! จริงด้วย เมื่อกี้ยังตัวไม่ร้อนขนาดนี้เลยนี่นา”

“นั่นสิแม่ เพิ่งเช็ดตัวไปหยกๆ เองนะ” เพราะมึงนั่นแหละโว้ยมาหยกๆ อะไรล่ะ! = [] =^

“ครามไปกดน้ำอุ่นข้างล่างมาให้แม่หน่อย..สงสัยต้องเช็ดกันอีกรอบแล้วล่ะ ส่วนภูลงไปเอาเจลลดไข้ในตู้เย็นมานะลูก”

“เอ้า ไม่ใช้น้ำเย็นอ่ะแม่ พี่ทีตัวร้อนอยู่นะยิ่งใช้น้ำอุ่นก็ยิ่งร้อนสิ!”

“มะเหงกแน่ะ! อย่าบอกนะว่าเมื่อกี้เอาน้ำเย็นเช็ดน่ะ!?”

“ง่ะ…ไม่ได้เหรอ?”

“โอ๊ย! ตายแล้ว ชั้นไม่น่าปล่อยให้เธอดูแลเลย! รีบลงไปเอาของตามที่แม่สั่งเดี๋ยวนี้เลยนะ แล้วก็จำไว้ว่าคราวหลังห้ามใช้น้ำเย็นเช็ดตัวคนป่วยเด็ดขาด เดี๋ยวแม่จะทำให้ดูว่าที่ถูกต้องเขาทำยังไง ตายๆ ๆ โถ่ทีลูก…อาขอโทษนะจ๊ะ ลูกชายไม่ได้เรื่องของอามันทำให้เราเดือดร้อนอีกจนได้”

ผมโดนจับถอดเสื้อเช็ดตัวอีกรอบ ทั้งๆ ที่เพลียแทบตายอยู่แล้วก็ยังต้องฝืนขยับพลิกให้อาแอ๋มเช็ดตัวให้ กว่าจะเช็ดกันเสร็จก็ใช้เวลาพักหนึ่งซึ่งในความรู้สึกผมมันช่างนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ พอใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยเจลเย็นๆ ก็ถูกโปะลงบนหน้าผากตามมาด้วยความรู้สึกอบอุ่นจากผ้าห่มฟูนุ่มที่ถูกดึงขึ้นมาห่มให้จนถึงหน้าอก

ในที่สุดก็จะได้นอนเสียทีT_T ดีใจน้ำตาไหลพรากก

“แม่จะนอนเฝ้าพี่ทีห้องนี้ เดี๋ยวภูไปนอนกับพ่อแล้วครามไปนอนกับพี่เฟิร์สนะ”

“ไม่เอาอ่ะ ภูจะนอนห้องนี้!”

“แม่กลับไปนอนกับพ่อเหอะ เดี๋ยวพวกครามดูพี่ทีให้”

อย่า!!! ขอร้อง ไม่ต้องงงงง

ผมได้แต่กรีดร้องอยู่ในใจแต่ไม่สามารถพูดอะไรได้เพราะตอนนี้แม้แต่แรงจะลืมตายังไม่มีเลย

“ไม่ได้ ภูกับครามดูแลคนป่วยเป็นซะที่ไหน เกิดกลางค่ำกลางคืนพี่ทีเป็นอะไรไปลูกจะแก้ปัญหากันถูกหรอ”

“ก็เดี๋ยวถ้ามันมีอะไรภูก็ค่อยวิ่งไปปลุกแม่ไงครับ นะครับแม่ พี่ทีท้องเสียเป็นไข้แบบนี้ก็เพราะพวกภู ขอให้พวกเราได้ทำอะไรไถ่โทษบ้างเถอะนะครับ”

เข้าใจผิดแล้ว ไม่ได้ท้องเสียเพราะมึ๊งงง ไม่ต้องไถ่โทษษ

“…จ้ะๆ งั้นก็ตามใจ ถ้ามีอะไรก็ไปตามแม่แล้วกันนะลูก อ้อ ถ้าดึกๆ พี่ทีตัวร้อนอีกก็เช็ดตัวแบบที่แม่สอนไปนะ ส่วนเจลถ้าหายเย็นก็เอาลงไปเปลี่ยนอันใหม่ด้วยล่ะ”

ไม่นะอาแอ๋ม อย่าทิ้งผมมมมT-T

ปังงง





(บทฟ้าคราม)

“เที่ยงคืนแล้วหรอเนี่ย ถึงว่ารู้สึกง่วงๆ ” ผมคลานขึ้นไปทิ้งตัวลงนอนข้างๆ พี่ทีซึ่งนอนอยู่ริมเตียงด้านขวามือสุด

“เห้ย มึงอ่ะเหยิบไปดิ๊” ไอ้ภูคลานขึ้นมาแทรกกลางระหว่างผมกับพี่ที เฮ้! กูมาก่อนนะเว้ย มาแทรกแบบนี้ได้ไงไอ้น่าเกลียด!

“ไม่โว้ย! กูขึ้นมาก่อน กูจะนอนติดกับพี่ที มึงไปนอนอีกฝั่งเลย” ไม่พูดเปล่ารีบขยับตัวไปชิดกันไอ้ภูเข้ามาแทรกกลาง

“ไม่เหยิบใช่ป่ะ?”

“ไม่โว้ยยย มาก่อนได้ก่อน เหวออออ! ไอ้ชั่วภูหยุดนะโว้ยยย” ผมร้องเสียงหลงเมื่อไอ้ภูมันคว้าข้อเท้าผมลากลงจากเตียง ผมนี่ถึงกับตกใจตะเกียกตะกายคว้าผ้าห่มลากตามมาด้วยเลย

ตุ๊บบบ!!

โอ๊ย! เจ็บตูด ดีนะที่มีพรมไม่งั้นคงกระแทกแรงกว่านี้

“หึ เสร็จกู” ไอ้ภูล้มตัวลงนอนแทนที่ผม หน็อยแน่ คิดว่าผมจะยอมหรอ ไม่มีทาง!!

จากนั้นผมกับไอ้ภูก็ผลัดกันลากอีกฝ่ายลงจากเตียง ลากกันไปลากกันมาก็ฟัดกันอยู่บนพื้นเนี่ยแหละ นานแล้วนะที่ไม่ได้ก่อศึกแย่งชิงอะไรกันแบบนี้จะว่าไปก็สนุกดีแฮะ เหอๆ ๆ

“อือ…หนาว ”

เสียงครางของคนบนเตียงทำให้พวกผมต้องหยุดชะงัก พี่ทีกำลังนอนขดตัวเหมือนเด็กเล็กๆ ที่ต้องการความอบอุ่น ผมกับไอ้ภูมองหน้ากันแล้วสงบศึกโดยอัตโนมัติ เราช่วยกันเช็ดตัวพี่ทีอีกรอบจากนั้นก็อุ้มพี่ทีไปอยู่กลางเตียงแล้วขึ้นไปนอนขนาบคนละด้าน

ที่จริงมันก็ควรจะเป็นแบบนี้แหละ แต่ผมหมั่นไส้ไอ้ภูมันไง เหอะๆ

บอกเลยว่าแอร์ 28 องศาฯ สำหรับพวกเราที่นอนเปิด 16 องศาฯ ทุกวันนี่มันช่างร้อนบรรลัย แต่แค่นี้พี่ทีก็หนาวแล้ว พวกเราเลยได้แต่ต้องทน ผมกับไอ้ภูปกติจะใส่ชุดนอนกันเรียบร้อยแต่วันนี้ไม่ไหวละ ในที่สุดก็ต้องเปลี่ยนจากชุดนอนเป็นบ็อกเซอร์ตัวเดียวแทน เซ็กซี่ไปอีกก

ผมนอนลืมตามองเพดาน คงอีกพักใหญ่ๆ กว่าจะข่มตาหลับลงได้ ถ้าไม่ง่วงมากจริงๆ ผมนอนในที่ร้อนๆ ไม่หลับหรอก

“อือออ..” จู่ๆ พี่ทีก็หมุนตัวเข้ามาซุกที่อกผม หลังจากขยับยุกยิกจนได้ที่ที่น่าจะสบายแล้วก็ส่งเสียงกรนเบาๆ อย่างเป็นสุข

ผมสบตากับไอ้ภูในความมืดที่มองเห็นได้เลือนรางก่อนจะก้มลงไปหอมศีรษะพี่ทีฟอดใหญ่แล้วกอดรวบตัวพี่ทีเข้ามาจมอก

ไอ้ภูทำท่าหงุดหงิด แต่ผมรู้ว่ามันคงไม่มาแงะพี่ทีออกไปหรอกเพราะเดี๋ยวพี่ทีจะตื่น ไอ้ภูถดตัวต่ำลงนอนตะแคงซ้อนหลังพี่ทีจากนั้นก็เอาหน้าซุกซอกคออีกฝ่าย

“อืออออ” พี่ทีดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดของเราสองคน..คงจะรู้สึกอึดอัดล่ะมั้ง นี่พวกผมกำลังรังแกคนป่วยอยู่รึเปล่าวะ แต่พี่ทีขี้หนาวกอดแบบนี้ก็น่าจะดีแล้วไม่ใช่หรอ?

มืออุ่นๆ ของพี่ทีพยายามผลักอกผมออก แต่พอผมไม่ยอมขยับพี่ทีก็เริ่มใช้ศอกดันไอ้ภูที่อยู่ข้างหลังแทน

เรานอนมองพี่ทีพยายามผลักๆ ดิ้นๆ อยู่ครู่หนึ่ง เห็นแล้วน่าสงสารแต่ก็น่ารักดีอ่ะ ชอบจังเวลาพี่ทีป่วยแล้วหนีไปไหนไม่ได้เนี่ยแกล้งสนุ๊กสนุก

(จบบทฟ้าคราม)





แสงยามเช้าส่องลอดหน้าต่างเข้ามาในห้อง ผมค่อยๆ ลืมตาอย่างงัวเงีย ว่าจะขยับตัวบิดขี้เกียจ แต่ก็ขยับไม่ได้อย่างที่ต้องการ

ผมขมวดคิ้วผงกหัวขึ้นกวาดตามองว่ามันเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะต้องผงะที่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นไส้แสนวิชไปซะแล้ว แถมยังรู้สึกถึงอะไรแข็งๆ ที่มันทิ่มหน้าทิ่มหลังอีกต่างหาก เอิ่ม…แซนด์วิชอันนี้คุ้มจังให้ไส้กรอกตั้งสองชิ้น…บ้า! ไม่ใช่แล้ว!! +///+





ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
โอยยยยย ปวดหัวเลย ถ้าให้อยู่ด้วยนานๆ มีหวังทีช้ำแน่ๆ 5555555

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ปกติขนมปังจะห่อไส้กรอก แต่งวดนี้ไส้กรอกห่อขนมปัง  :hao6:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด