♥ Fall in you Special: Love to Love ♥
ตอนพิเศษ 5
ก่อนหน้านี้ผมได้ไลน์ไปหาพี่ทีม เพื่อบอกหัวข้อเรื่องที่จะใช้ทำโปรเจค ซึ่งปรากฏว่า พวกเราได้คิวเกือบท้ายๆ เพราะว่ารุ่นพี่ปีสี่เขาได้มีการจับฉลากกันไปแล้ว ว่าใครจะได้คิวที่เท่าไหร่ ส่วนสายรหัสไหนที่มีแค่รุ่นพี่ปีสอง พี่ปีสี่เขาก็เสียสละให้เป็นคิวท้ายๆ เพื่อที่น้องๆ จะได้มีเวลาเตรียมตัวกันมากขึ้น
ก็เท่ากับว่ากลุ่มของผม มีเวลาเตรียมตัวจนเกือบจะถึงงานโอเพ่นเฮ้าส์แต่ยังไง ผมก็คิดว่าหากเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้ มันก็น่าจะเป็นผลดีต่อเรามากกว่า..“มึง..อา..จารย์..งด..เรียน” ผมจัดการโทรหาเพื่อนสนิท เพื่อบอกข่าวการงดเรียนวิชาจิตวิทยาสำหรับคนหูหนวกในวันนี้ ซึ่งมันคงจะเป็นข่าวดีสำหรับคนที่ยังไม่ได้ลุกขึ้นจากที่นอน แต่สำหรับผมที่อาบน้ำแต่งตัว กินข้าวจนเสร็จตั้งแต่เช้าตรู่ เหตุเพราะวันนี้ พี่เนย์จะไปหาข้อมูลที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยอื่น พร้อมกับพวกพี่เอ้และเพื่อนคนอื่นๆในสาขา ก็เลยต้องเข้ามารับเพื่อนที่พักอยู่ที่หอใน ผมจึงถือโอกาสติดรถมาด้วย
แต่ก็ไม่คิดว่าจะมาเจอแจ็กพอตอะไรแบบนี้“แล้วเพื่อนคนอื่นรู้กันยัง?” ไอ้คินถามกลับด้วยน้ำเสียงงัวเงีย เพราะเวลานี้มันเพิ่งจะเจ็ดโมงสี่สิบห้าเท่านั้น
“น่า..จะ..ยัง”
“เออๆ งั้นเดี๋ยวกูโทรบอกให้” ไอ้คินวางสายไปแล้ว ส่วนผมก็ตัดสินใจเดินลงบันไดทีละขั้น พลางคิดลำดับกิจกรรมที่ควรจะทำในวันว่างๆอย่างนี้ กระทั่งเดินออกจากอาคารเรียนมาจนถึงห้องสมุดโดยไม่รู้ตัว ผมก็ตัดสินใจเดินเข้าไปนั่งเล่นในนั้น และก็รอจนกว่าเวลาจะล่วงเลยมาถึงตอนเก้าโมง ผมถึงค่อยส่งข้อความไปบอกน้องๆ ว่าเช้าวันนี้ผมว่าง
‘เช้าวันนี้พี่ว่างนะ พอดีอาจารย์งดสอน ถ้าจะนัดเจอกันตอนนี้ก็ได้ หรือว่าจะเจอกันตอนบ่ายก็แล้วแต่เลย’ เมื่อช่วงเวลาที่หมายตาเดินทางมาถึง ผมก็พักการอ่านหนังสือเอาไว้ก่อน เพื่อที่จะได้ส่งไลน์บอกน้องๆ
แต่ดูเหมือนว่า เวลาเช้าๆอย่างนี้ น้องๆอาจจะยังไม่ตื่น หรือไม่ก็อาจจะยังซักผ้า ตากผ้าอยู่ก็ได้
จะว่าไปพอนึกถึงเรื่องงานบ้านงานเรือนแบบนี้ขึ้นมา ผมก็อดคิดถึงเรื่องๆหนึ่งไม่ได้ คือทุกช่วงวันหยุดที่ผมต้องกลับไปค้างที่หอในตั้งแต่สมัยปีหนึ่งเทอมสอง พี่เนย์จะชอบแอบมาซักผ้าให้ผมประจำเลย ผมเคยบอกตั้งหลายทีแล้วว่าไม่ต้อง แต่คนขยันก็ทำเพียงแค่รับปากไปงั้นๆ แล้วพอวันหยุดเวียนมาอีกครั้ง เสื้อผ้าที่ใส่แล้วของผม ก็มักจะถูกซักจนสะอาด พร้อมกับพับเก็บไว้ในตู้อย่างดี
จนตอนนี้ผมก็คร้านที่จะพูด เพราะเมื่อพูดไปแล้ว พี่เนย์ก็ไม่ยอมฟังที่ผมพูดเลยหากถามว่าประทับใจมั้ย ก็ตอบได้เลยว่าผมประทับใจมาก ที่พี่เนย์มาทำอะไรแบบนี้ให้ คือพูดตรงๆเลยว่า อยู่กับพี่เนย์ ผมสบายจริงๆ แทบไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ว่าจะล้างห้องน้ำ ล้างจาน ซักผ้า ตากผ้า เพราะพี่เนย์เขาทำของเขาเองหมด แล้วก็ไม่เคยจะบ่นด้วย
เห็นจะมีอยู่เรื่องเดียวที่บ่นเยอะหน่อย ก็คือช่วงที่ผมแอบไปฝึกบริหารปากแล้วอีกฝ่ายไม่เห็น จนเข้าใจผิดไปนั่นแหละ ติ้ง!
‘ผมโอเคนะพี่รัน ยังไงวันนี้ก็ว่างทั้งวันอยู่แล้ว’
‘ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรอโบว์ให้คำตอบก่อน ไม่รู้ว่าติดธุระอะไรหรือเปล่าถึงยังไม่อ่านไลน์ จะโทรไปหาพี่ก็ไม่มีเบอร์ แล้วก็เกรงใจด้วย’
‘เดี๋ยวผมโทรตามให้’ ปาล์มบอกแค่นั้น แล้วเจ้าตัวก็หายเงียบไป ผมจึงกลับมาอ่านหนังสือฆ่าเวลาอีกครั้ง
ติ้ง!
‘หนูตากผ้าเสร็จแล้ว ขออาบน้ำแป๊บเดียวค่ะ พี่รันเราจะนัดเจอกันที่ไหนดีคะ?’ เมื่อน้องโบว์ก็ส่งข้อความแสดงการมีตัวตนกลับมา ผมจึงอ่านข้อความนั้นผ่านทางโนติตรงหน้าจอโทรศัพท์
‘ตอนนี้พี่อยู่ห้องสมุด นัดเจอกันที่โรงอาหารกลางมั้ย?’ ผมสไลด์หน้าจอโทรศัพท์เพื่อเข้าไปตอบข้อความ
‘งั้นพี่รันรออยู่หน้าหอสมุดเลยนะคะ เดี๋ยวหนูกับปาล์มไปหาเอง สักประมาณสิบโมงครึ่งเนอะ’
‘โอเคครับ’
หลังจากตกลงกับน้องรหัสเรียบร้อยแล้ว ผมก็เหลือบตามองเวลา ก็พบว่าตอนนี้มันใกล้จะสิบโมงแล้ว ผมจึงนั่งอ่านหนังสือสลับกับดูเวลาผ่านทางหน้าจอโทรศัพท์ จนกระทั่งน้องโบว์ไลน์มาบอกว่าตอนนี้กำลังรออยู่ที่หน้าห้องสมุด ซึ่งทั้งสองคนมารับผมก่อนเวลานัดหมายเกือบๆ จะสิบนาที
เป็นแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่าเด็กๆ เขาหายไปอาบน้ำหรือว่าวิ่งผ่านน้ำกันแน่“ทำ..ไม..มา..กัน..เร็ว..จัง.. อาบ..น้ำ..จริง..หรือ..เปล่า..เนี่ย” ทันทีที่ขึ้นมานั่งตรงเบาะหลัง ผมก็รีบเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย
“ก็หนูกลัวพี่รันรอนานนี่คะ ก็เลยรีบสุดชีวิต.. นี่.. หนูรีบจนไม่ทันได้แต่งหน้าด้วย” ผมขำน้องโบว์ที่หันมาโชว์หน้าสดให้ดู ซึ่งถ้าจำไม่ผิด ผู้หญิงส่วนใหญ่จะไม่ค่อยออกจากบ้านในขณะที่ยังไม่ได้แต่งหน้า หรือไม่ก็มีอีกกรณีนึง คือแฟนไม่ชอบให้แต่งหน้า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ฝ่ายหญิงก็ต้องหน้าเป๊ะในระดับนึง
“พี่รันเมื่อกี้ปาล์มมันล้อหนูด้วย นิสัยไม่ดีเนอะ” โบว์ว่าพลางหันไปเหน็บแนมสารถีที่ยังคงชอบอยู่ในความเงียบงันเหมือนทุกครั้งที่เจอกัน
“ก็โบว์เร่งคนอื่น แต่ตัวเองดันชักช้าทำไมล่ะ?” ปาล์มเริ่มต่อล้อต่อเถียงขึ้น จนผมยังนึกแปลกใจ
“ก็แล้วยังไงล่ะ ทางนี้ก็รีบสุดๆแล้ว! อ้อ ที่หน้าเรามันตลก ก็เพราะเราไม่ทันได้แต่งหน้าไง ใครผิด ปาล์มนั่นแหละ รู้มั้ยว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติสำหรับผู้หญิงแค่ไหน?” โบว์ยังคงเถียงคอเป็นเอ็นใส่ปาล์มที่เป็นน้องรหัสอีกคนของผม
“…” ปาล์มไม่ตอบแต่ท่าทางจะแอบแสดงปฏิกิริยาอะไรสักอย่าง โบว์ถึงได้บ่นงุ้งงิ้งอยู่คนเดียว ขณะที่เจ้าตัวก็แต่งหน้าให้ตัวเองไปด้วย ส่วนผมที่รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นส่วนเกิน ก็ได้แต่แอบอมยิ้ม เพราะดูเหมือนน้องรหัสทั้งสองของผมจะสนิทสนมกันดี แถมยังมีแนวโน้มจะแอบชอบกันด้วยหรือเปล่า อันนี้ผมยังไม่แน่ใจ แต่ผมก็คิดว่าน่าจะใช่
“เห้อ~ ขี้เกียจพูดละ พี่รันคะ เดี๋ยวเราไปนั่งคุยกันที่ร้านกาแฟนอกมหาลัยกันนะ ร้านนี้บรรยากาศดีมากเลยค่ะ แล้วก็เงียบสงบดีด้วย” พอโบว์เถียงกับสารถี จนอีกฝ่ายพ่ายแพ้ไปแล้ว น้องก็หันมาบอกข้อมูลของร้านที่เจ้าตัวหมายตาไว้
“อื้อ” ผมจึงส่งเสียงตอบกลับไปในลำคอ เพราะผมไม่ได้หมายตาร้านไหนเป็นพิเศษอยู่แล้ว จากนั้นผมก็นั่งเอนตัวลงแนบกับประตูด้านข้าง เพื่อมองบรรยากาศด้านนอกตัวรถ
จนกระทั่งผมตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบงันไปตลอดทางคาเฟ่ที่โบว์เลือก บรรยากาศของร้านจะออกแนวสวนสไตล์อังกฤษ ซึ่งวินาทีแรกที่เข้ามาในร้าน ก็สามารถรับรู้ได้ถึงบรรยากาศร่มรื่นแบบเต็มๆ เพราะตั้งแต่พวกเราเดินผ่านรั้วเหล็กเข้ามา ก็จะมีต้นไม้หลากหลายชนิด มาคอยต้อนรับการมาเยือนของพวกเราอย่างแน่นขนัด จนเต็มทั้งสองข้างทาง และเมื่อเดินลึกเข้ามาเรื่อยๆ ก็จะพบกับรูปปั้นประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ และสิ่งของสำหรับประดับตกแต่งอื่นๆ อีกมากมาย ที่มองดูแล้วก็แลเข้ากันได้ดีกับสวนสไตล์นี้
หลังจากเดินชมร้านจนเกือบจะครบทุกซอกทุกมุมแล้ว พวกเราก็ตัดสินใจเลือกที่นั่งในห้องแอร์ ที่เป็นบ้านกระจกหลังเล็กๆ แซมเนื้อไม้สีขาวสะอาดตา ที่สามารถมองเห็นบรรยากาศด้านนอกจนเกือบจะรอบทิศทาง อีกทั้งวันนี้อากาศก็ยังร้อนตามปกติของประเทศไทย และเราก็มีจุดประสงค์ที่จะต้องใช้พื้นที่ของร้านเป็นเวลานานด้วย
ห้องแอร์จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเราในเวลานี้“เราจะทานของหนักกันเลย หรือว่าจะเป็นของหวานเบาๆก่อนดีคะ” โบว์หันมาถามความเห็นจากผม เมื่ออีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้าก็จะเที่ยงตรงแล้ว
“พี่..แล้ว..แต่..โบว์..เลย” ผมตอบ พลางเปิดเมนูที่พนักงานเอามาให้ ไปที่หน้าเมนูเครื่องดื่ม จากนั้นก็ไล่สายตามองหาบลูเลม่อนที่ผมโปรดปราน แต่แล้วผมกับพบเมนูใหม่ที่น่าสนใจ
“ลา..เวน..เดอร์..เลม่อน..โซดา” ผมหันไปสั่งกับพนักงานที่มารอรับออร์เดอร์ โดยพยายามจะรวบคำให้กระชับอย่างยากลำบาก ซึ่งเธอก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไร นอกจากยกยิ้มให้และก้มหน้าก้มตาจดออร์เดอร์
“โรสโซดาค่ะ” โบว์ก้มหน้าดูเมนูอยู่ครู่ใหญ่ ไม่นานน้องก็เงยหน้าขึ้นมาสั่งเครื่องดื่ม พลางยกยิ้มให้กับพนักงาน จากนั้นน้องก็พลิกเมนูไปยังหน้าเมนูของหวาน
“ผมเอาบลูเลม่อนโซดาครับ” ฝ่ายคนพูดน้อยที่สุดของกลุ่ม ก็ได้ฤกษ์สั่งเครื่องดื่มอย่างคนอื่นเขาบ้าง แต่เมนูที่เจ้าตัวสั่ง ดันทำเอาผมต้องรีบหันไปจ้องหน้า
ก็เพราะว่า มันเป็นเมนูเดียวที่ผมชอบ แล้วก็ชอบมากๆด้วย“เอาฮันนี่โทสต์มั้ยคะ หนูกลัวจะไม่ชอบเค้กกันน่ะค่ะ” น้องโบว์เงยหน้าขึ้นมาถามความเห็นพลางยิ้มแหยๆ บ่งบอกให้รู้ว่าใจจริงแล้ว เจ้าตัวคงจะอยากสั่งเค้กมาก แต่เพราะวันนี้เธอมากับผู้ชายถึงสองคน เธอก็เลยไม่กล้าจะสั่งของหวานที่มีแนวโน้มว่าผมหรือปาล์มอาจจะไม่ชอบ ซึ่งผมก็ไม่ชอบแหละ แต่ก็กินได้
“แล้วแต่โบว์เลย”
“ฮันนี่โทสต์นั่นแหละ” ผมพูดยังไม่ทันขาดคำ ปาล์มก็แสดงความคิดเห็นต่อทันที นั่นจึงเป็นการตัดสินอันเด็ดขาด
สุดท้ายแล้วของหวานสำหรับเราในวันนี้ก็คือ ‘ฮันนี่โทสต์’“ปะ..ปาล์ม..ชอบ..บลู..เล..ม่อน..เหมือน..กัน..เหรอ?” พอได้โอกาส ผมก็รีบหาเรื่องคุยกับน้องรหัสแสนจะพูดน้อยทันที
“ครับ” รุ่นน้องตรงหน้าตอบเพียงสั้นๆ จากนั้นก็ยกยิ้มนิดๆ แตกต่างจากตอนที่คุยกับสาวหมวยตาตี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ
“พี่..ก็..ชอบ..ไว้..พี่..จะ..กลับ..ไป..นั่ง..ลิสต์..ราย..ชื่อ..ร้าน..แล้ว..ส่ง..ให้..เอา..มั้ย” ผมเสนอตัวอย่างกระตือรือร้น เพราะผมอยากจะมีส่วนร่วมที่ทำให้ปาล์มรู้สึกดีกับสาขาวิชาของเรา จนกระทั่งเขาไม่คิดอยากจะโอนย้ายไปยังสาขาอื่น
“ถ้าไม่ลำบากพี่ ผมก็โอเคครับ” พอน้องเปิดทางให้ ผมก็รีบยกยิ้มด้วยความดีใจ
“หนูอ่านนิทานแล้วนะคะพี่รัน สั้นดีค่ะ” หลังจากเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ และโบว์ก็ได้จิบนิดๆจนสมใจ น้องก็เริ่มเกริ่นถึงประเด็นสำคัญ ที่ทำให้พวกเราสายรหัสมารวมตัวกันในวันนี้
“…” ผมหัวเราะให้กับคำวิพากษณ์วิจารณ์นั้นด้วยความเอ็นดูนิดๆ เพราะน้องยังไม่รู้ว่า ในความสั้นมันซ่อนความยากสำหรับเด็กปีหนึ่งเอาไว้มากมาย
“วันนั้นพี่ทีมบอกว่า ปีหนึ่งต้องเป็นคนเล่าเรื่องใช่มั้ยครับ แล้วเราจะแบ่งกันยังไงดี” ปาล์มถามอย่างเป็นการเป็นงาน
“พี่..ว่า..จะ..แบ่ง..กัน..คน..ละ..ครึ่ง..เรื่อง” ผมออกความคิดเห็น พลางมองหน้าน้องๆทั้งสองคน ซึ่งมันเป็นความคิดเห็นที่แฟร์ๆดี น้องก็เลยไม่คัดค้านอะไร
“กลุ่ม..เรา..มี..เวลา..ทำ..จน..จะ..ถึง..ช่วง..งาน..โอเพ่น..เฮ้าส์.. แต่..พี่..คิด..ว่า.. ถ้า..เรา..เริ่ม..ต้น..ได้..เร็ว.. เรา..ก็..จะ..มี..เวลา..ฝึก..ได้..นาน..กว่า..คน..อื่น” ผมค่อยๆพูดออกมาอย่างช้าๆ ชัดๆ จนคนฟังต้องคอยพยักหน้าเป็นระยะ เหมือนเขากำลังคอยลุ้นให้ผมพูดจนจบประโยค ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกดี เพราะว่าพี่เนย์ก็ไม่ได้มีท่าทางแบบนี้ในตอนที่ผมพูด แม้กระทั่งไอ้หมอก ไอ้คิน คุณพ่อ คุณแม่ ก็ด้วย
เพราะทุกคนต่างก็มีลักษณะเฉพาะของตัวเองที่ทำให้ผมอุ่นใจ“ก็ดีครับ เพราะเราก็ยังไม่รู้ว่าเทอมสองจะงานเยอะหรือเปล่าด้วย อีกอย่างสอบไฟนอลก็ท่าทางจะหนักอยู่เหมือนกัน” ปาล์มพยักหน้าพลางตอบเป็นประโยคที่ยาวที่สุดตั้งแต่รู้จักกันมา
“งั้น..เรา..เริ่ม..แปล..ภาษา..มือ..กัน..เลย..ดี..ไหม” ผมถามพลางหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋า เพื่อเตรียมจะสไลด์หน้าจอและเปิดไปยังคลังรูปภาพที่ผมได้ทำการแคปนิทานเรื่อง ‘นกเค้าแมวผู้รอบรู้’ เอาไว้
“งั้นหนูจองตั้งแต่สามบรรทัดแรก สิ้นสุดตรงประโยคที่ว่าไม่มีใครเชื่อเลย” โบว์วางโทรศัพท์ของตัวเองลงกลางโต๊ะ จากนั้นก็ชี้ประโยคที่เธอจับจอง ฝ่ายปาล์มก็นิ่งเงียบ ไม่มีปากมีเสียง มติจึงเป็นเอกฉันท์
“ปาล์มฝึกพร้อมเราด้วยนะ จะได้พัฒนาภาษามือไปด้วย” พอฮันนี่โทสต์มาเสิร์ฟขัดจังหวะการเอาจริงเอาจังของเรา โบว์ก็รีบประเดิมของหวานเมนูนั้นก่อนคนแรก พร้อมกับหันไปขอความร่วมมือจากแฝดรหัสของตัวเองอย่างมีนัยยะ
“ไม่ใช่ว่าโบว์ความจำไม่ค่อยดี แล้วจะให้เราช่วยจำที่พี่รันสอนหรอกนะ” ปาล์มพูดนิ่งๆ แต่กลับทำเอาน้องโบว์เด็กหมวยถึงกับเบะปากบ่นงุบงิบอยู่คนเดียว จนผมอดจะยิ้มให้กับท่าทางน่ารักของน้องรหัสตัวเองไม่ได้
“เด็กๆ..อย่า..ทะ..เลาะ..กัน” ผมห้ามปรามแกมหัวเราะ เพราะดูท่าทางแล้ว เด็กๆจะชอบลับฝีปากใส่กันบ่อยมาก
“เริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ หนูพร้อมแล้ว!” น้องโบว์ย่นจมูกใส่ผม จากนั้นเจ้าตัวก็เริ่มแสดงท่าทางกระตือรือร้นออกมาอย่างเห็นได้ชัด ผมจึงเริ่มเป็นจริงเป็นจังขึ้น
“งั้น..เริ่ม..ที่..ประ..โยค..ณ..ป่า..แห่ง..หนึ่ง..ก่อน..นะ” ผมพูดขึ้น พลางทำท่า ‘ณ ป่าแห่งหนึ่ง’ ให้น้องๆดู
“พี่รันนนนน โหยยยย ยากอ่ะ สอนแยกคำเถอะค่ะ หนูมึน” โบว์ร้องโหยหวนออกมาทันทีที่ผมทำภาษามือของประโยคเมื่อครู่ให้ดู ซึ่งมันยังไม่ถึงเศษหนึ่งส่วนสี่ของเนื้อเรื่องทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ
“ประ..โยค..นี้.. ถ้า..เป็น..การ..เล่า..นิ..ทาน.. ก็..จะ..ใช้..ท่ามือ..ท้อง..ฟ้า.. ท่ามือ..แผ่น..ดิน.. ท่ามือ..ป่า.. เพราะ..การ..เล่า..นิ..ทาน..เรา..จะ..ต้อง..เล่า..ถึง..สภาพ..แวด..ล้อม..ด้วย.. แล้ว..ก็..ต้อง..โอ..เว่อร์..แอค..ติ้ง..นิด..นึง” ผมอธิบาย พลางหันไปควานหากระดาษโน้ตกับปากกาในกระเป๋าสะพายใบโปรดของตัวเอง จากนั้นก็เขียนอธิบายให้น้องเข้าใจว่า
‘ณ ป่าแห่งหนึ่ง = ท่ามือท้องฟ้า + ท่ามือแผ่นดิน + ท่ามือป่า’
“ท่ามือ..ท้อง..ฟ้า” ผมพูดพลางทำมือจับจีบเหมือนรำไทยทั้งสองข้างในระดับอก จากนั้นก็เลื่อนมือทั้งสองข้างให้สวนทางกันเป็นครึ่งวงกลม โดยมือที่เคยจับจีบไว้ ต้องค่อยๆแบออกจนครบทั้งห้านิ้ว ซึ่งก็จะพอดีกับจังหวะการวาดมือให้สวนทางกัน จนกลายเป็นครึ่งวงกลม ขณะที่สายตาก็ต้องมองตามจังหวะการเลื่อนฝ่ามือของเราไปด้วย โดยผมได้เพิ่มแอคติ้งเข้าไปอีกหน่อย ด้วยการสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ยกยิ้มแบบไม่เห็นฟัน
“ลอง..ทำ..ดู” ผมออกคำสั่งกับน้องๆทั้งสอง พลางมองแต่ละคนอย่างจดๆจ้องๆสลับกัน แต่เพราะการมองทั้งสองคนพร้อมกันมันทำให้ผมมองได้ไม่ละเอียด ผมก็เลยให้น้องทำให้ดูทีละคน
“โบว์..ก่อน” หลังจากผมออกปากให้โบว์เริ่มทำเป็นคนแรก น้องก็โชว์ภาษามือของตัวเองให้ผมดูอย่างคล่องแคล่ว เพียงแต่น้องยังไม่กล้าเล่นสีหน้ามากมายนัก คงเพราะยังอยู่ปีหนึ่งด้วยแหละ ซึ่งช่วงนั้นผมเองก็เป็น เพิ่งจะมากล้าทำแบบโอเว่อร์หน่อยก็ตอนขึ้นปีสอง เพราะต้องเล่านิทานอยู่บ่อยๆ
“ปาล์ม..ต่อ..เลย” หลังจากปาล์มทำท่า ‘ท้องฟ้า’ ให้ดูแล้ว ผมก็เข้าใจแหละว่า น้องยังไม่กล้าออกสเต็ปอะไรมาก เพราะขนาดน้องโบว์ที่เป็นผู้หญิงยังไม่กล้าทำท่าทางแบบโอเว่อร์ซักเท่าไหร่เลย
“คำ..ต่อ..ไป..เป็น..ท่ามือ..แผ่น..ดิน” ผมพูดพลางหงายข้อมือข้างขวาออกมาตรงหน้า พร้อมกับกำมือเหมือนกำลังขยำอะไรสักอย่าง จากนั้นก็พลิกฝ่ามือข้างนั้นให้คว่ำลง ก่อนจะขยับปลายนิ้วทั้งห้าขึ้นลงเหมือนกำลังพิมพ์แชทบนแป้นคีย์บอร์ด โดยองศาของการเลื่อนมือนั้นให้เป็นครึ่งวงกลมสั้นๆ
“อันนี้ง่าย หนูทำได้” โบว์ว่าอย่างนั้น ซึ่งเจ้าตัวก็ทำได้จริงๆ ส่วนปาล์มเองก็ไม่มีปัญหา
“ต่อ..ไป..เป็น..ท่ามือ..ป่า” ผมพูดพลางทำมือเหมือนรูปดอกบัว โดยปลายนิ้วโป้งจะต้องแตะกับปลายนิ้วชี้ทั้งสองข้าง จากนั้นก็เลื่อนมือทั้งสองข้างขึ้นสลับกันกลางอากาศ พร้อมกับปล่อยปลายนิ้วโป้งให้ออกห่างจากปลายนิ้วชี้ คล้ายกับท่าทางของดอกไม้กำลังเบ่งบาน ซึ่งเราจะต้องทำวนอยู่แบบนั้นประมาณสี่ห้าครั้ง เพื่อแสดงถึงการเกิดของต้นไม้ที่มีอยู่มากมายในป่า พร้อมกับอมลมไว้ในแก้มด้วย
แต่สำหรับคนทั่วไป ถ้าได้เห็นท่ามือของคำว่า ‘ป่า’ ก็จะนึกถึงตัวตลกโบโซ่ ตอนกำลังเลี้ยงลูกบอลอยู่กลางอากาศ
“ท่านี้ก็ง่าย เหมือนตัวตลกโบโซ่กำลังเลี้ยงลูกบอลเลย” น้องโบว์ใช้ภาษามือตามผม จากนั้นก็ออกปากพูดในแบบที่ผมคิดเป๊ะๆ
“ที..นี้..ลอง..ทำ..แบบ..รวบ..ทุก..คำ..เลย..นะ..โบว์..เริ่ม..ก่อน” ผมว่า พลางหันไปมองน้องโบว์ ซึ่งเธอดูเหมือนจะไม่มั่นใจนัก แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็ทำได้สำเร็จ แม้ว่าจะกระท่อนกระแท่นเต็มที เพราะประโยคๆนึง ดันรวมภาษามือของคำอื่นๆถึงสามคำด้วยกัน
“ต่อ..ไป..เป็น..นก..เค้า..แมว..นะ” ผมพูด พลางทำให้น้องๆดูก่อน จากนั้นก็ฉีกกระดาษโน้ตใบแรก แปะไว้บนโต๊ะ แล้วก็เริ่มเขียนแยกคำให้น้องๆดู ว่า ‘นกเค้าแมว = ท่ามือนก + ท่ามือตาโต’
“ท่ามือ..นก” ผมพูดพลางยกมือข้างขวาขึ้น โดยชูแค่นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ให้ตั้งฉากกันในระดับปาก จากนั้นก็เลื่อนนิ้วชี้ลงมาจรดกับนิ้วโป้งจนมีลักษณะคล้ายกับ ‘ปากนก’ แล้วค่อยกางมือทั้งสองข้างเป็นวงแคบๆ เหมือน ‘ปีก’ ก่อนจะสะบัดข้อมือทั้งสองข้างสักหนึ่งที แสดงถึงท่าทางของการ ‘บิน’
“ท่ามือ..ตาโต” ผมพูดพลางทำมือกลมๆ เหมือนท่าที่เด็กๆชอบทำเมื่อใช้กล้องส่องทางไกล จากนั้นผมก็ให้น้องรหัสทั้งสองคนลองใช้ภาษามือแบบรวบคำ ที่มันแปลความหมายได้ว่า ‘นกเค้าแมว’
กระทั่งทั้งสองคนทำได้แล้ว ผมก็ให้เริ่มทำใหม่ตั้งแต่ประโยคแรกยันคำสุดท้ายที่ผมสอน ซึ่งครั้งแรกๆ น้องๆ ก็มึนกันไปตามระเบียบ แต่พอผมทำให้ดูแบบรวบรัดอีกครั้ง น้องก็เริ่มประติดประต่อได้ ผมจึงให้ทั้งสองคนพักทานของหวานและดื่มน้ำกันก่อน เพราะเดี๋ยวมันจะเย็นชืดไปมากกว่านี้ และอีกไม่นานก็จะเที่ยงแล้วด้วย
“พี่..ไป..เข้า..ห้อง..น้ำ..ก่อน..นะ” ผมพูดพลางยกยิ้ม และเดินออกจากโต๊ะ โดยทิ้งกระเป๋าสะพายเอาไว้ ซึ่งผมก็ลืมถามโบว์ไปเลยว่าห้องน้ำอยู่ไหน ผมจึงต้องเดินไปที่เคาน์เตอร์ด้านหน้า ที่ลูกค้าสามารถเดินเข้ามาสั่งอาหารหรือเครื่องดื่มเองได้ เพราะจะมีพนักงานคอยรับรองอยู่ตลอดเวลา
“ห้องน้ำ..ไปทาง..ไหน..ครับ” ผมพยายามจะพูดกับพนักงาน โดยการรวบคำให้กระชับอีกครั้ง แม้ว่ามันจะยากลำบากมากๆ แต่ที่ต้องทำ ก็เพราะผมต้องการจะปกป้องตัวเองจากความหวาดกลัวในส่วนลึกที่ยังคงมีอยู่
“เดินเลยบ้านเรือนกระจกไปจนสุด จากนั้นนั้นก็เลี้ยวซ้ายค่ะ” พนักงานฉีกยิ้มพลางให้คำแนะนำอย่างดี จนผมต้องยิ้มตอบและก้าวเดินออกมาด้วยความโล่งใจ พลางอดคิดไม่ได้ว่า อนาคตผมจะเป็นล่ามภาษามือได้จริงๆน่ะเหรอ
“โดดเรียนเหรอ?” หลังจากทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย จนจะเดินออกมาล้างมือข้างนอก ผมก็สะดุ้งด้วยความตกใจ เพราะไม่ทันเห็นว่ามีคนมายืนรออยู่ตรงหน้าทางเข้าห้องน้ำ ซึ่งใครคนนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากผู้ชายที่เมื่อเช้าทำหน้าที่เป็นสารถีมาส่งผมจนถึงโรงอาหาร ส่วนเจ้าตัวเขาก็เลยไปรับเพื่อนที่อยู่หอใน
“อาจารย์..งด” ผมส่ายหัวพลางตอบคำถามพี่เนย์ ที่ไม่รู้ว่าทราบได้ยังไงว่าผมกำลังอยู่ในห้องน้ำ
“มึงเอาแต่เหม่อ เลยไม่เห็นกู” พี่เนย์พูดขึ้น ราวกับอ่านใจผมได้ ขณะที่ผมก็ทำได้แค่ส่งยิ้มให้คนในกระจก ขณะที่กำลังล้างมือข้างนอก
“แล้วตอนกลับ จะกลับพร้อมกันมั้ย?” พี่เนย์ถาม เมื่อผมกำลังดึงกระดาษทิชชู่มาซับฝ่ามือให้แห้ง
“ยัง..ไม่รู้..เลย..ครับ..ว่า..จะ..เสร็จ..เมื่อ..ไหร่” ผมตอบพลางทิ้งกระดาษทิชชู่ลงถังขยะใกล้ๆมือ
“แสดงว่าต่างคนต่างกลับ.. ถ้างั้นก็เจอกันที่ห้อง” พี่เขาพูดพลางยกมือขึ้นยีหัวผม จากนั้นก็เดินนำหน้าไปอย่างเชื่องช้า ขณะที่ผมก็เดินตามแผ่นของอีกฝ่ายไปเงียบๆ
“แล้วมึงมายังไง?” จู่ๆพี่เนย์ก็หยุดเดิน จนผมแทบจะเบรกฝีเท้าของตัวเองไม่ทัน
“น้อง..รหัส..เอา..รถ..ยนต์..มา”
“อืม” ผู้ชายที่ผมเจอโดยบังเอิญ เขาพูดเพียงแค่นั้น แล้วก็เดินหายลับไปกับสวนสวยๆของคาเฟ่แห่งนี้ทันที
ตั้งแต่เช้าจรดบ่าย โปรเจคของสาขาก็ยังย่ำอยู่กับที่ เพราะถ้าหากผมยัดน้องมากไป น้องก็จะสับสน ผมเลยให้พวกเขาทบทวนภาษามือแค่สองประโยคแรกก่อน เนื่องจากรายละเอียดของมันก็เยอะมากพอสมควร ซึ่งระหว่างนั้นผมก็ถือโอกาสไปเดินเล่นรอบๆร้าน ทำให้ผมไปเจอมุมนั่งเล่นริมแม่น้ำท่าจีน ที่ทั้งร่มรื่นและเงียบสงบ ผมจึงนั่งเล่นอยู่แถวนั้นประมาณชั่วโมงนึง ถึงค่อยกลับไปดูน้องๆ ว่าซักซ้อมกันไปถึงไหน จากนั้นผมก็เริ่มสอนประโยคต่อไปอีกสามประโยค ก่อนจะให้สายรหัสทั้งสองได้เริ่มทบทวนภาษามือตั้งแต่ประโยคแรกจนถึงประโยคสุดท้าย แต่พอน้องยังดูสับสนและไม่ค่อยคล่อง ผมก็ให้เวลาพวกเขาได้ทบทวนในสิ่งที่ผมสอนกันตามลำพังอีกสักหนึ่งชั่วโมง โดยครั้งนี้ผมเลือกที่จะเดินไปสั่ง ‘บลูเลม่อน’ ที่ปาล์มออกปากว่าอร่อย ซึ่งอร่อยที่ว่า รสชาติของมันจะต้องเข้มข้นเท่าเทียมกัน ไม่ใช่มีเพียงรสใดรสหนึ่งที่โดดเด่น แถมส่วนมาก รสที่โดดออกมาก็มักจะเป็นรสเปรี้ยว ของเลม่อนเพียงอย่างเดียว มันจึงทำให้เมนูนี้ ไม่อร่อยเท่าที่ควร แต่สำหรับร้านนี้ ผมให้คะแนนเต็มสิบ เพราะว่ามันอร่อยอย่างที่ปาล์มว่าจริงๆ
ผมถือแก้วบลูเลม่อนแบบที่ใช้สำหรับนำกลับบ้าน เดินผ่านโซนบ้านไม้ที่ถูกตกแต่งด้วยข้าวของสไตล์วินเทจ เรื่อยมาจนถึงม้านั่งยาวใต้ร่มไม้ บริเวณริมแม่น้ำท่าจีน ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งปักหลักอยู่ที่นี่อีกหน
ตอนนี้เวลาประมาณห้าโมงเย็นแล้ว เพราะเมื่อครู่ผมใช้เวลาสอนน้องไปนานพอสมควร ทำให้ท้องฟ้าขณะนี้เริ่มมองดูแล้วสบายตา จากนั้นผมก็ขยับตัวเพื่อหยิบโทรศัพท์ที่เอายัดไว้ที่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะสไลด์หน้าจอเข้าสู่แอพพลิเคชั่นสำหรับการแชท และส่งข้อความไปหาใครบางคนที่เจอกันเมื่อตอนเที่ยง
‘ไว้เรามาฝึกอ่านออกเสียงที่นี่ด้วยกันดีไหมครับ’
ติ้ง!
‘อืม ตอนนี้กูอยู่หอแล้วนะ’
‘อ้อ’
‘มึงจะหาอะไรกินเข้ามาเลย หรือว่าจะรอกินพร้อมกัน’
‘ผมกินไปเลยดีกว่าครับ ยังไม่แน่ใจว่าจะกลับเมื่อไหร่’
‘ครับ’
ประมาณสามทุ่มตรง ผมก็มาถึงหอพี่เนย์โดยสวัสดิภาพ เพราะปาล์มอาสาจะขับรถมาส่งให้ถึงที่ เนื่องจากไฟฟ้าแถวๆนั้น จู่ๆก็ดับมืดตลอดทาง จนน้องเกรงว่าจะอันตรายหากทิ้งผมลงตรงหน้าปากซอยตามที่เอ่ยปาก ด้วยความที่วันนี้น่าจะเป็นคืนเดือนมืด ขณะที่ผมเดินเข้าไปในหอ ผมก็ต้องใช้แสงไฟจากหน้าจอโทรศัพท์ และต้องก้าวเดินอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ตัวเองพลาดท่าตกบันได หรือไปชนอะไรเข้า
กระทั่งมาถึงห้องพัก ผมก็ตั้งท่าจะเคาะประตู แต่ก็แอบกลัวว่าพี่เนย์อาจจะหลับไปแล้ว เพราะอีกฝ่ายคงไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำนอกจากการนอน ระหว่างรอให้ไฟติดแน่ๆ ผมก็เลยตัดสินใจไขกุญแจเข้าไปเงียบๆ ก่อนจะถอดรองเท้าให้เบาที่สุด และทำตัวให้ชินกับความมืด โดยการค่อยๆก้าวเดินไปยังที่วางกระเป๋า ซึ่งก็คือหลังตู้ใส่หนังสือจนแทบจะเหมือนโจรย่องเบาอยู่แล้ว
“ค่อย..ยัง..ชั่ว” หลังจากนั้นผมก็ลองเดินไปเปิดก๊อกน้ำตรงริมระเบียงที่พี่เนย์เปิดประตูอ้าเอาไว้ เพื่อทดสอบว่ามีน้ำหรือไม่
เพราะถ้าไม่มี ผมคงต้องยอมนอนเน่าแบบไม่สบายตัวทั้งคืนเมื่อเตรียมเสื้อผ้าและหยิบผ้าเช็ดตัวจนครบแล้ว ผมก็เดินตรงไปยังห้องน้ำ จากนั้นก็ล็อคประตูอย่างแน่นหนา พลางถอดเสื้อผ้าด้วยความรวดเร็ว เพราะผมคิดถึงเตียงนอนจะแย่แล้ว
“รัน” ผมชะงักการก้าวเดิน เมื่อได้ยินเสียงของพี่เนย์ดังก้องอยู่ในห้องน้ำอันมืดมิด
“พี่..อยู่..ใน..นี้..เหรอ..ครับ?” ผมถามด้วยความไม่มั่นใจ หรืออีกนัยน์นึงก็หมายความว่า ผมวาดหวังว่าอย่าให้เป็นแบบนั้น
“อยู่ดิ มึงน่ะเข้ามาไม่ดูตาม้าตาเรือเลย” พี่เนย์พูดขึ้นท่ามกลางความมืด
“…” ผมจึงได้แต่นิ่งเงียบ เพราะสิ่งที่ผมหวัง มันกลับไม่กลายเป็นจริง จนพาลอยากจะโทษพี่เนย์ที่ไม่ยอมจุดเทียนให้แสงสว่างขณะอาบน้ำ
“ไฟแม่งดับตั้งแต่ทุ่มนึง เห็นว่าหม้อแปลงระเบิด มึงคิดดูว่ากูอยู่กับความมืดมานานแค่ไหน” พี่เนย์พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ที่มันฟังดูแล้วให้ความรู้สึกแตกต่างจากทุกครั้ง เพราะเนื้อเสียงของอีกฝ่าย มันฟังดูแหบพร่าเป็นพิเศษ
“…” ผมเงียบ ขณะที่สมองกำลังประมวลคำพูดอ้อมโลกของพี่เนย์ ที่บอกว่าไฟดับนานแล้ว และเจ้าตัวก็อยู่กับความมืดมานานเหมือนกัน ดังนั้นการที่เราอยู่ท่ามกลางความมืด มันก็จะทำให้เราชินกับความมืดนั้น
และ..มองเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวได้ชัดเจน--------------------------------------------------------
ตอนนี้ปั่นเสร็จเร็วกว่าที่คิดไปซะงั้น เราใช้เวลานั่งงมอยู่หนึ่งวันเต็มๆ เพราะมันยากมากกับการตีความ คำบรรยาย เราเลยไปหาวีดิโอดู แล้วค่อยเขียนให้ผู้รู้ตรวจอีกที ซึ่งครั้งนี้ทำให้เราก็รับรู้ได้ถึงความยากของการจินตนาการจากการเขียนบรรยายเป็นรูปภาพภาษามือหนักมาก เพราะขนาดเราบางคำยังจินตนาการไม่ออก แล้วคนอ่านจะมองภาพออกมั้ย คือเราพยายามจะใช้คำเปรียบเปรยโดยเอาสิ่งที่คนทั่วไปใช้กัน มาบรรยาย แต่บางทีเราก็นึกไม่ออกว่าท่าทางนั้นมันควรเรียกว่าอะไร สรุปว่ายากมากจริงๆค่ะ
ปล. 1 พี่เนย์ใสๆ อาบน้ำไม่จุดเทียน อิอิ ให้ซีนเค้าหน่อยเนอะ ช่างเป็นพระเอกที่มีบทน้อยมาก
ปล. 2 ภาษามือของตอนนี้ดูได้ที่สารบัญภาษามือในเด็กดีเช่นเดิมค่ะ >
จิ้ม