ตอนที่ 19
กลิ่นหอมฉุยของอาหารบนเตาเป็นสัญญาณว่ามันใกล้ได้เวลาปลงเต็มที่ ลองชิมอีกครั้งก่อนจะปิดเตาแก๊สเมื่อรสชาติได้ตรงตามต้องการ จนกระทั่งผมจัดการทุกอย่างเรียบร้อยจึงเดินเข้าไปในห้องนอนที่วินนอนอยู่ทันที
ในที่สุดคนรักของผมก็ไม่สบายจนได้ รับรู้ได้ถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างเล็กในอ้อมกอดเมื่อตอนรุ่งสาง ยังดีที่มันไม่ได้รุนแรงอะไรมากนักไม่อย่างนั้นผมคงร้อนใจมากกว่านี้แน่ๆ แค่นี้ผมก็รู้สึกผิดมากแล้วที่เป็นสาเหตุให้วินต้องไม่สบาย
“ตื่นแล้วเหรอครับ?” เดินเข้าห้องมาก็เห็นคนป่วยนั่งนิ่งๆอยู่บนเตียงเรียบร้อย ใบหน้าหวานแดงเล็กน้อยเนื่องจากพิษไข้ แต่ดูเหมือนว่าอารมณ์คนป่วยนั้นคงไม่ค่อยแจ่มใสเท่าไหร่ เมื่อเห็นอาการผมเลยรีบทรุดตัวลงไปนั่งข้างๆแล้วอังมือไปที่หน้าผากเล็กทันที
“พะ พัต...ขอโทรศัพท์” วินช้อนตาแดงๆขึ้นมาอ้อนหลังจากที่ผมเช็คแล้วว่าตัวเขาไม่ได้ร้อนขึ้นอย่างที่นึกกังวล แม้ว่าจะคอยเช็ดตัวให้บ่อยๆก็ไม่ได้ทำให้ผมวางใจแต่อย่างใด
“จะโทรหาใครครับ” แม้จะสงสัยแต่ก็เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ของวินที่วางอยู่โต๊ะข้างเตียงให้ทันที อีกคนรับไปโดยไม่พูดอะไรนอกจากกดหน้าจอโทรศัพท์ไม่กี่ครั้งแล้วก็เอาขึ้นแนบหู
“แม่...หนูปวดหัว” ผมไม่แปลกใจที่เขาโทรหาแม่ แต่แปลกใจกับสรรพนามที่เขาแทนตัวเองนี่แหละ...ไม่เคยได้ยินวินแทนตัวเองแบบนี้มาก่อนเลยซักครั้ง ดูน่ารักมากเสียจนผมต้องยิ้มออกมา
“หนูไม่สบาย ตัวอุ่นๆ...ไม่หนัก...ไม่เอา...พัตเช็ดตัวให้แล้ว...หนูไม่หิว...ไม่เอา” นั่งฟังวินคุยโทรศัพท์กับแม่อยู่อย่างนั้น เจ้าตัวไม่ได้สนใจผมแล้วครับ ปากเล็กเบะออกเหมือนจะร้องไห้แต่ก็ไม่ร้อง
ผมไม่รู้ว่าแม่วินพูดอะไรกับเขาบ้าง แต่อยู่ๆอีกคนก็ยื่นโทรศัพท์มาให้
“แม่จะคุยกับพัต” ผมเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจที่ท่านจะคุยด้วย
“สวัสดีครับ” ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะลุกออกจากเตียงมาคุยที่ริมระเบียงเนื่องจากเห็นวินล้มตัวลงกับที่นอน ไม่อยากให้เสียงคุยโทรศัพท์รบกวนคนป่วย
(วินเป็นยังไงบ้างพัต เป็นหนักรึเปล่า) เสียงท่านถามออกมีอาการร้อนรนเล็กน้อย แน่นอนอยู่แล้วในเมื่อลูกชายป่วยทั้งคน
“ไม่มากเท่าไหร่ครับ ยังไม่ถึงขั้นต้องไปหาหมอ ผมคอยเช็ดตัวให้ตลอดแต่ว่ายังไม่ได้ให้ทานข้าวทานยาเพราะวินพึ่งตื่นครับ”
(งั้นเหรอจ๊ะ งั้นแม่ฝากพัตดูแลวินหน่อยนะลูก วันนี้พ่อกับแม่ดันติดงานเลยแวะไปดูแลวินไม่ได้)
“ไม่มีปัญหาครับคุณแม่ไม่ต้องห่วง ผมสัญญาว่าจะดูแลวินอย่างดีที่สุด”
(จ๊ะ นี่ตื่นมาคงงอแงเลยสิ...พัตต้องปวดหัวแน่ๆ เวลาวินป่วยนี่งอแงมากนะจ๊ะ ขัดใจเขานิดนึงไม่ได้เลย)
“ก็ยังไม่งอแงเท่าไหร่นะครับ” คงเพราะว่าพึ่งตื่นด้วย อาการแรกที่ผมเห็นคือแค่ร้องจะคุยกับแม่ก็เท่านั้น
(งั้นก็ดีแล้วจ๊ะ แม่อยากให้พัตเตรียมใจไว้ก่อน ถ้าอยู่เฉยๆวินงอแงแบบไม่มีเหตุผลก็ต้องพยายามใจเย็นนะจ๊ะ)
“ครับ ไม่มีปัญหา”
(จ๊ะ งั้นแม่ฝากวินด้วยนะ เดี๋ยวแม่ต้องวางแล้ว)
“ได้ครับ สวัสดีครับ” พอวางสายเรียบร้อยก็เดินกลับมาในห้อง บนเตียงมีเด็กนอนมองตามผมที่เดินเข้ามาหาตาไม่กระพริบ แถมยังทำหน้าเหมือนงอนอะไรผมด้วย
“เป็นไงบ้างครับ ปวดหัวมากไหม” เดินมานั่งลงที่เดิมแล้วก้มหน้าลงไปถามคนป่วย กระชับผ้าห่มที่อยู่เพียงระดับอกให้เขยิบขึ้นมาถึงคอ แม้ว่าในห้องจะไม่ได้เปิดแอร์แต่ก็ไม่วางใจ
ผมเปิดหน้าต่างหมดทุกบานแทนเครื่องปรับอากาศแล้วก็เปิดพัดลมเพดานเบาๆไม่ให้ร้อนจนเกินไป อากาศโปร่งๆถ่ายเทสะดวกจะได้ทำให้วินรู้สึกดีขึ้น
“ปวดหัว...”
“มากไหมครับ ไปหาหมอรึเปล่า”
“ไม่เอา ไม่ไป” แค่ถามว่าจะไปหาหมอไหมคนป่วยก็เริ่มงอแงซะแล้ว อีกคนทำหน้ายุ่งยากใจใส่จนผมต้องรีบบอก
“โอเคครับ ไม่ไปก็ไม่ไป...ทานข้าวกันหน่อยเนอะจะได้ทานยา พัตทำข้ามต้มหมูที่วินชอบให้ด้วย” ตอนนี้เป็นเวลา11โมงนิดๆ เลยเวลาอาหารเช้าจนเกือบจะถึงเวลาอาหารเที่ยงอยู่แล้ว ให้เขารีบทานข้าวจะได้ทานยาพักผ่อน
ดีที่ว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์ไม่อย่างนั้นต้องได้หยุดเรียนทั้งคู่แน่ๆ แต่ถ้าพรุ่งนี้วินยังไม่หายดีผมก็คงต้องให้ขาดเรียน ส่วนตัวผมก็คงให้ไอ้กิมกับไอ้จีนเช็คชื่อให้แทนเหมือนกัน
“พัตทานรึยัง”
“ยังครับ รอทานพร้อมวินไง” วินพยักหน้าหงึกหงักให้จนผมยิ้มออกมาก่อนจะลูบหัวคนป่วยเบาๆแล้วลุกไปตักข้าวต้มที่ทำไว้แล้วเรียบร้อย มีสองชามทั้งของเขาและของผม ถือถาดอาหารเข้ามาเสร็จก็เอาวางไว้ก่อนแล้วพยุงวินขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง
“ปวด
" พอลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงได้วินก็เอ่ยออกมา
“ปวดตัวเหรอ หรือปวดตรงไหน” ไม่แปลกเลยที่วินจะปวดตามเนื้อตามตัว เมื่อคืนยอมรับว่าตัวเองก็เอาแต่ใจไม่น้อย แม้ว่าผมจะพยายามทำเบาที่สุดแล้วแต่ครั้งแรกของวินก็คงถือว่าหนักสำหรับร่างเล็กๆน่าดู
“ปวดทุกตรง” วินทำท่าเหมือนจะร้องไห้แต่ไม่ใช่แบบที่ผู้ใหญ่ร้อง ดูเหมือนเด็กงอแงเสียมากกว่า คงจะเป็นอย่างที่คุณแม่บอกว่าเขาจะงอแงเป็นพิเศษในช่วงที่ป่วย ปกติแล้ววินไม่ใช่คนขี้แยอะไร ถึงจะดูเหมือนเด็กแต่มีเหตุผลเสมอ
“งั้นก็รีบกินข้าวนะครับ จะได้ทานยา...ทานยาแล้วจะได้หายปวด” ลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงแล้วหยิบชามข้าวต้มขึ้นมา ใช้ช้อนคนแล้วเป่าเล็กน้อย ตักเป็นคำเล็กๆเป่าอีกสองสามทีแล้วยื่นไปจ่อปากบางที่ซีดเซียวซึ่งวินก็อ้ารับไปอย่างง่ายดาย เรื่องกินแม้แต่ตอนป่วยก็ไม่มีปัญหา
“ทำไมไม่ทานพร้อมกัน” ป้อนได้ไม่กี่คำก็ถามขึ้นมา
“ก็พัตป้อนวินอยู่นี่ไง” ส่วนตัวผมแล้วไม่ได้เป็นอะไรจะทานตอนไหนย่อมได้อยู่แล้ว ห่วงแต่คนป่วยนี่แหละที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ
“นั่นสิเนอะ” เหมือนว่าเจ้าตัวจะพูดกับตัวเองเสียมากกว่าว่าในเมื่อผมก็ป้อนเขาอยู่แบบนี้แล้วจะเอามือที่ไหนไปทาน พอป่วยแล้ววินดูรวนๆ คิดนู้นคิดนี่คงจะประมวลออกมาช้ากว่าปกติ ส่วนหน้าหวานแค่ดูซีดเซียวกว่าเดิมเล็กน้อยแต่ไม่ได้ถือว่าแย่มากอะไร
ผมป้อนคนตัวเล็กไปเรื่อยๆจนเจ้าตัวบอกว่าไม่ไหวแล้วถึงได้พอ จากนั้นก็อุ้มวินให้ไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำให้เรียบร้อย ออกมาก็จัดการเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ใหม่(แม้ว่าเขาจะเขินแค่ไหนก็ตามที่ต้องเปลือยตัวต่อหน้าผม) เอายามาให้ทานวินก็รับไปกินอย่างว่าง่าย
ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยจึงห่มผ้าให้เขาได้นอนพักผ่อน ส่วนผมเองก็นั่งกินข้าวต้มที่เย็นชืดไปแล้วข้างๆเตียง คนป่วยไม่ได้หลับแต่อย่างใดแม้ว่าผมจะย้ำให้เขานอนแค่ไหนก็ตาม วินก็ยังคงนอนตะแคงมองผมกินข้าวอยู่อย่างนั้นทั้งที่ตาเริ่มปรือเพราะฤทธิ์ยา พอผมกินเสร็จเขาก็เรียกขึ้นทันที
“พัต...”
“ครับ?” คิดไว้แล้วว่าคงมีเรื่องที่จะคุยด้วย
“...” คนเรียกทำหน้าขมวดมุ่นแล้วกลับเงียบเฉยไปซะอย่างนั้นไม่ได้เอ่ยอะไรต่ออีก ผมวางชามข้าวต้มที่กำลังเก็บไว้ที่โต๊ะแล้วขยับขึ้นไปหาร่างที่นอนอยู่ที่เตียง
“ว่าไงครับ จะเอาอะไรหรือเปล่า” วางมือลงที่หน้าผากเล็กเพื่อวัดความร้อน ถือว่าดีขึ้นมากแต่ยังไม่หายสนิท พอเรียกผมแล้วไม่พูดอะไรก็ทำให้อดกังวลไม่ได้ กลัววินจะรู้สึกไม่ดีกว่าเดิม
“...ม ตะ ติม”
“หืม? อะไรนะครับ พัตไม่ได้ยิน” เสียงเล็กๆที่แหบพร่าเพราะพิษไข้ดังลึกในลำคอ มันไม่ถูกส่งออกมาจนผมเองก็ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าวินพูดอะไร อาการของคนตรงหน้ามีเพียงแค่หลบตาตอนที่พูดเท่านั้น ผมเลยยังสรุปไม่ได้ว่าวินจะต้องการสื่อสารอะไรกันแน่
“อยากกินไอติม” ได้ยินแม้จะเบาเต็มทีก็ตาม
“ไม่เอาครับ ไม่สบายอยู่ นอนนะๆ” ตอบแบบไม่ลังเลยเลยซักนิด อยากตามใจทุกอย่างไม่อยากขัดใจแม้แต่อย่างเดียวถ้าทำได้ แต่เรื่องนี้ที่ไม่ยอมเพราะไม่อยากให้วินป่วยมากกว่าเดิม แม้จะนิดเดียวแค่ไหนผมก็ไม่ยอมเสี่ยง
“ไม่เอา จะเอาไอติม
"
“วินครับ...ทานไม่ได้ เดี๋ยวปวดหัวไม่หาย” พยายามพูดอย่างใจเย็น
“ฮึก” โอเค โอเคเลยจริงๆ ไม่มีพูดพร่ำทำเพลง แค่เพียงเอ่ยย้ำออกไปอีกครั้งว่าไม่ได้น้ำตาวินก็ร่วงพราวลงมา จากที่นั่งอยู่ผมจึงรีบขยับตัวลงไปนอนกอดทันที
“ที่พัตไม่ให้กินเพราะเป็นห่วงนะ ถ้าวินไม่สบายหนักกว่าเดิมคนที่ลำบากจะเป็นวินเอง แล้วพ่อกับแม่วินจะยิ่งเป็นห่วงมากขึ้น พัตเองก็ด้วย...แค่เป็นแค่นี้ก็เป็นห่วงจะแย่แล้วนะครับ” แรงสะอื้นน้อยๆยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่ได้ร้องไห้หนักอะไรแต่การที่วินมีน้ำตามันก็เป็นสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นเลยซักนิด
“ฮะ เมื่อไหร่จะ ฮึก หาย”
“ถ้าอยากรีบหายก็ต้องนอนพักให้มากๆ ทานยาให้ครบ ไม่กินของเย็นด้วย” ไล้มือไปทั่วหลังเล็กเบาๆอย่างปลอบโยน คนป่วยมักอารมณ์อ่อนไหวง่าย เขาย่อมรู้สึกไม่ดีไวกว่าคนปกติอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นความใจเย็นคือสิ่งที่ผมต้องยึดเป็นหลัก
“หายแล้ว ตะ ต้องให้กินเลยนะ” มีข้อต่อรองด้วย
“ครับ แต่ต้องหายสนิทเลยนะ”
“อื้อ”
“งั้นนอนเนอะ ตื่นมาจะได้หายเร็วๆ” อีกคนขยับเช้ามาซุกตัวในอ้อมกอดมากขึ้น ผมลูบหลังเขาไปมาเบาๆเหมือนกล่อมเด็ก คงเนื่องจากอาการป่วยและยาที่เริ่มออกฤทธิ์เลยทำให้วินหลับไปในเวลาไม่นาน
เมื่อแน่ใจว่าคนป่วยหลับสนิทผมจึงค่อยๆลุกจากเตียง
“หายไวๆนะที่รัก” กดจูบไปที่หน้าผากเล็กเบาๆ ขยับผ้าห่มให้ชิดคางคนป่วยมากขึ้น มองหน้าเล็กๆที่ผมหลงรักแล้วได้แต่ขอให้เขาหายป่วยไวๆ
........................
“เป็นไงบ้างลูก”
“ดีขึ้นมากแล้วครับแม่” วินตอบคำถามของแม่ตัวเองพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ วันนี้ท่านทั้งสองมาเยี่ยมลูกชายตัวเองตั้งแต่เช้า
เราสองคนต้องขาดเรียนเพราะวินยังไม่หายดี แม้ว่าเจ้าตัวจะยืนยันหนักหนาว่าไปไหวแต่ผมก็ไม่อยากเสี่ยงเลยสั่งให้หยุดเรียนหนึ่งวัน
“เลยต้องมาขาดเรียนทั้งสองคนเลย” แม่ของวินหันมายิ้มให้ผมเล็กน้อย คุณพ่อก็นั่งข้างเตียงไม่ห่าง แต่ท่านทำเพียงมองมาอย่างเงียบๆตามสไตล์
“ก็พัตแหละ วินบอกว่าไหวก็ไม่ยอมให้ไปเรียน” ได้ทีฟ้องใหญ่เลย
“แต่แม่ว่าก็ดีนะจ๊ะ เผื่อยิ่งไปเรียนยิ่งจะเป็นหนักขึ้น...แต่เกรงใจพัตแย่ต้องมาขาดเรียนไปด้วย” ท่านหันมาพูดกับผมด้วยความเกรงใจ ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว การดูแลวินเป็นหน้าที่ผมถ้าผมไม่ดูแลวินแล้วจะเป็นใครกัน
“ไม่เป็นไรครับ” ถึงวันนี้ไปเรียนก็คงไม่เข้าหัวอยู่ดี
“แล้วไปทำอีท่าไหนถึงป่วยขึ้นมาได้” คำถามของพ่อวินทำเอาเราทั้งคู่เงียบกริบ คนป่วยดูเหมือนจะหน้าแดงขึ้นมาหน่อยๆ
“ก็...คงพักผ่อนน้อยอ่ะป๊า” ผมอมยิ้มน้อยๆกับคำตอบของอีกคน
ก็...พักผ่อนน้อยจริงๆ คำตอบของเขาไม่ได้โกหกเลยซักนิด แค่ไม่ได้บอกว่าทำไมถึงได้พักผ่อนน้อยก็เท่านั้น
“ดูแลตัวเองบ้างสิเรา” คนเป็นพ่อเอ่ยพร้อมกับลูบหัวลูกชายเบาๆ
“ครับ วินจะพยายามดูแลตัวเองอย่างดี พ่อกับแม่ไม่ต้องห่วงเลยน๊า”
“นี่พี่สาวเราพอรู้ว่าป่วยนี่เป็นห่วงใหญ่ แถมยังน้อยใจที่น้องเขาไม่โทรหาอีก”
“ ก็วินกลัวพี่วรรณเป็นห่วงนี่ครับ บอกพี่วรรณด้วยนะว่าให้รีบกลับมาหาไวๆ วินคิดถึงจะแย่”
ผมยืนฟังบทสนทนาทุกอย่างอย่างเงียบๆโดยไม่พูดอะไร เพลินเสียอีกที่ได้ยินวินกลับมาคุยจ้อเหมือนเดิม
Rrrrrrr~
แต่แล้วอยู่ดีๆเสียงโทรศัพท์ผมก็ดังขึ้นให้ต้องรีบล้วงออกจากกระเป๋ากางเกงก่อนที่จะดังรบกวนทุกคนไปมากกว่านี้
“ขออนุญาตินะครับ” เอ่ยบอกพ่อกับแม่วินแล้วรีบเดินออกมารับสายแม่ที่โทรเข้ามาทันที
“ครับแม่”
(อยู่ไหนจ๊ะ)
“อยู่ห้องครับ”
(ได้ยินข่าวว่าน้องวินไม่สบายเป็นไงบ้างลูก) ข่าวแม่ไวเสียเหลือเกิน
“ดีขึ้นมากแล้วครับ แต่วันนี้ผมยังไม่ให้ไปเรียน อยากให้แน่ใจว่าหายสนิทจริงๆ”
(ดีแล้วจ้ะ พัตต้องเดูแลน้องวินดีๆรู้ไหม เอาลูกเขามาแบบนี้ดูแลไม่ดีระวังพ่อกับแม่เขาไม่ยอมยกให้)
“ครับผม สัญญาเลยว่าจะดูแลอย่างดี”
(ดีแล้วลูก เดี๋ยวว่างๆแม่จะพาพ่อไปหานะ) อยากมาหาวินมากกว่ามาหาผมเสียอีก แม่ผมเอ็นดูวินมาก โทรหาผมแต่ถามหาวินตลอด
“ครับแม่”
(จ๊ะ งั้นแม่วางนะ)
“ครับ สวัสดีครับ” ผมเก็บโทรศัพท์ลงที่เดิมจากนั้นจึงกลับเข้าไปในห้อง
“พ่อกับแม่คงต้องกลับแล้วเพราะมีประชุม เดี๋ยวเอาไว้แม่มาหาใหม่นะจ๊ะ” คุณแม่เอ่ยบอกผมทันทีที่เข้าไป
“ได้ครับ มาได้ทุกครั้งตามที่คุณแม่สะดวกได้เลย”
“ไม่อยากให้กลับเลย” วินพูดขึ้นมาทั้งๆที่ยังกอดพ่อตัวเองแน่น
“หรือเราจะกลับไปอยู่บ้าน วันจันทร์หน้าค่อยมาใหม่” พ่อวินถามขึ้น
“วินมีเรียนเช้าตั้งสองวันเลย เดี๋ยวเอาไว้กลับวันพฤหัสทีเดียวเลยดีกว่า” บ้านวินอยู่คนละฝั่งกับที่มอ ถ้ามีเรียนคงต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่ถึงจะมาทันโดยที่รถไม่ติด
“แล้วแต่เราแล้วกัน ดูแลลูกฉันดีๆล่ะ” ประโยคหลังท่านหันมากำชับผม
“ครับ” พ่อแม่วินหอมและกอดลูกตัวเองใหญ่ ก่อนที่เราจะออกจากห้องไปส่งท่านทั้งสองกลับบ้าน วินมีสีหน้าอาลัยอาวรณ์เล็กน้อยแต่ก็ยังยิ้มได้อยู่ มีเพียงสายตาที่ดูซึมๆเท่านั้น
“เป็นไรครับ” ผมถามคนที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกัน
“คิดถึงพ่อกับแม่จัง” หัวเล็กๆเอนลงมาบนไหล่กว้างอย่างออดอ้อน คงเพราะอาการป่วยที่ยังไม่หายร้อยเปอร์เซ็นต์เลยทำให้อ่อนไหวง่ายกว่าปกติ
“วันพฤหัสก็ได้กลับแล้ว เดี๋ยวพัตไปส่งถึงที่ หายห่วง” เอื้อมมืออ้อมไปกอดไหล่เล็กเข้ามา ลูบแผ่วๆไปตามแขนเล็กเบาๆ
“มารับเราด้วยนะ”
“แน่นอนครับ” รถวินเรียกได้ว่าแทบไม่ได้ใช้เลยทีเดียว เอามาจอดไว้เฉยๆที่ลานจอดคอนโด ส่วนมากเราจะใช้รถผมมากกว่า
“ง่วงจัง” ตอนนี้พึ่งจะแปดโมงเช้า ก็ไม่แปลกที่จะง่วง
“งั้นก็นอน เดี๋ยวพัตปลุกมากินข้าวอีกทีตอนเที่ยง”
“อื้อ” ตอบรับเพียงเท่านี้คนที่พิงไหล่อยู่ก็ค่อยๆนิ่งไป ถ้าเขาอยากนอนแบบนี้ก็ให้นอนไป ไว้หลับสนิทผมค่อยอุ้มไปนอนบนเตียงดีๆ
ช่วงที่วินหลับจะได้ถือโอกาสนี้ไปเอาของให้วินที่ห้องด้วย ผมให้คนที่บ้านลำเลียงของจากคอนโดนู้นมาเรื่อยๆ แต่มีบางอย่างที่ต้องดูแลเองจึงต้องเข้าไปจัดการ
..............................
“อ้าววิน ไม่สบายดีขึ้นแล้วเหรอ” เสียงไอ้กิมทักคนข้างตัวผมขึ้นในตอนที่เรานั่งอยู่ม้าหินอ่อนหน้าคณะสถาปัตย์
วันนี้เรามีเรียนบ่ายเหมือนกันแต่ผมต้องมาก่อนเพราะมีงานส่ง วินเลยออกมาพร้อมกันทีเดียว
“อื้อ หายดีแล้วล่ะกิม”
“ดีแล้วๆ...ไอ้จีนถึงไหนแล้ว” ประโยคหลังมันหันมาถามผม
“จะถึงแล้ว” ไอ้กิมพยักหน้ารับแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตอบไลน์ที่ดังไม่หยุด คงเป็นสาวอีกตามเคย
ผมไม่มีไรทำเลยนั่งมองคนตัวเล็กที่อมยิ้มกับโทรศัพท์ผมไม่หยุดแทน วินเงยหน้าขึ้นมาแล้วยิ้มตาหยีใส่ก่อนจะยื่นโทรศัพท์มาให้ดู เป็นคลิปหมาเห็นของกินที่ชอบแล้วทำตาโตใส่ ก็น่ารักดี
“อยากเลี้ยงเนอะ” อีกคนพึมพำบอก
“ตอนนี้เลี้ยงคนนี้ก็เปลืองจะแย่” ยกมือขึ้นโยกหัวเล็กเบาๆ วินหันมายู่ปากใส่
“ไม่เห็นเปลืองเลย”
“จริงเหรอ กินจุกว่าหมาอีกนะเนี้ย”
“พัตอ่ะ!” วินตีแขนผมเบาๆก่อนจะหันกลับไปสนใจโทรศัพท์ในมือต่อ
ที่จริงผมก็อยากเลี้ยงหมานะ แต่สถานที่เราไม่ค่อยเอื้ออำนวย ไม่มีพื้นที่ให้หมาวิ่งเล่นซักเท่าไหร่ เอาไว้ย้ายไปอยู่บ้านที่มีสนามกว้างๆค่อยว่ากัน ผมไม่คิดจะอยู่คอนโดตลอดไปอยู่แล้ว
“มายด์กับออมมายัง” ถามถึงเพื่อนสองคนของวิน ถ้าเพื่อนเขามาแล้วผมจะได้เดินไปส่งที่คณะแล้วกลับมาส่งงานของตัวเอง
“ออกมากันแล้ว คงใกล้แล้วแหละ”
“งั้นเดินไปเลยก็ได้ครับ กว่าจะถึงคงพอดีกัน”
“อื้อ” วินตอบรับพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ของผมคืนมาให้
“กูไปส่งวินที่คณะเดี๋ยวมา” หันมาบอกไอ้กิมที่กำลังกดโทรศัพท์มือเป็นระวิง
“ตามบาย”แม้แต่ตอบมันยังไม่เงยหน้ามองผมด้วยซ้ำ
“ไปครับ” เอื้อมมือไปคว้ากระเป๋าเขามาถือแล้วจับมือเล็กๆเดินออกมา คณะเขากับคณะผมจะว่าใกล้ก็ใกล้จะว่าไกลก็ไกล แต่ใช้เวลาเดินพอสมควรเหมือนกัน “เย็นนี้แม่พัตจะแวะมาทานข้าวด้วยนะ”
“ทำไมพัตไม่บอกเราก่อน ของในตู้เย็นหมดแล้ว” วินหันมาถามตาตื่นเลย
“ไม่เป็นไรครับ แม่จะทำอาหารมาให้” คุณแม่จะทำของมาบำรุงน้องวินของท่าน บ่นว่าเพราะผมดูแลไม่ดีจนทำให้วินป่วย
“ได้ไงกัน ผู้ใหญ่มาทั้งที”
“แม่เตรียมตัวทำมาแล้ว ไว้คราวหน้าวินค่อยจัดการเนอะ”
“ไม่ยอมบอกเราก่อนอ่ะ” อีกคนยังคงกระเง้ากระหงอดไม่เลิก
“คราวหน้าสัญญาว่าจะบอกแต่เนิ่นๆ” ยิ้มเอาใจส่งไปให้ด้วย
“ลองไม่บอกดิ”
“หูย โหดด้วย” ท่าทางคำพูดควรจะดูน่ากลัวแต่หน้าหวานๆนั่นช่างไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย ไม่ว่าวินจะทำหน้าดุแค่ไหนมันก็ออกมาน่ารักอยู่ดี
“โหดมากกกกก พูดเลย”
“ครับๆ เชื่อครับ” เดินคุยกันมาเรื่อยๆจนถึงหน้าคณะวิน เห็นเพื่อนเขาสองคนกำลังยืนรออยู่พอดี “พัตไปแล้วนะ”
“อื้อ ตั้งใจเรียนนะ”
“ครับ วินห้ามถอดเสื้อกันหนาวนะ” ถึงอากาศจะร้อนแค่ไหนผมก็บังคับให้เขาใส่เสื้อมา กลัวว่าไข้จะกลับมาอีก
“รู้แล้ว บ๊ายบาย” คนตัวเล็กโบกมือให้ก่อนจะเดินไปหาเพื่อนตัวเอง ส่วนผมก็เดินกลับคณะ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
“เพราะตาพัตดูแลเราไม่ดีใช่ไหมถึงป่วยได้ แย่จริงๆเลยลูกคนนี้”
“ไม่เลยครับ พัตดูแลวินดีมากเลยครับคุณแม่” ผมมองสองแม่ลูกที่คุยกันอยู่โดยไม่พูดอะไร นาทีนี้ผมทำอะไรก็ผิดครับ ตั้งแต่แม่กับพ่อมานี่โดนเหน็บไปหลายครั้งแล้ว
“นี่หายดีจริงๆใช่ไหมลูก”
“หายดีแล้วครับ กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมเลย..คุณแม่กับคุณพ่อล่ะครับเป็นไงบ้าง ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนอย่าลืมดูแลสุขภาพนะครับ”
“น่ารักจริงๆ พ่อกับแม่แข็งแรงดีจ้ะ...น้องวินทานอาหารเยอะๆนะลูก ตัวเล็กนิดเดียวเอง”
มีการตักอาหารให้ด้วย ผมกับพ่อมองหน้ากันเล็กน้อยราวกับทำใจ อะไรแม่ก็น้องวินๆ ผมกับพ่อกลายเป็นหมาหัวเน่าไปแล้ว
ต่างคนต่างนั่งกินข้าว มีเพียงแม่และวินที่พูดคุยกัน แม่จัดแจงนั่งข้างวินเรียบร้อยจนผมต้องนั่งกร่อยอยู่คนเดียวอีกฝั่ง ถึงแม้วินจะส่งสายตามาหาบ้างแต่มันก็ไม่ค่อยจะช่วยอะไรเลย แม่แย่งแฟนผมไปอยู่กับตัวแล้ว
“พัต ย้ายไปอยู่บ้านดีไหม” อยู่เฉยๆแม่ก็ถามขึ้นในขณะที่วินล้างจานอยู่ในครัว
“อะไรนะครับแม่”
“แม่กลัวน้องวินอึดอัด อยู่คอนโดมันก็ไม่เหมือนบ้าน เดี๋ยวแม่ดูบ้านให้ซักหลังดีไหม” นี่แม่คิดไปมากกว่าผมอีกนะเนี้ย ไม่ใช่ว่าผมไม่คิดเพียงแต่มันก็ยังเร็วไป ตอนนี้ทุกอย่างก็โอเคดี
“ไม่เป็นไรครับแม่ ผมเองก็คิดเพียงแต่มันก็ยังเร็วไป เอาไว้รอเป็นขั้นตอนดีกว่า”
“พ่อก็ว่าอย่างนั้น ทำอะไรปุปปับเดี๋ยววินตกใจแย่ นี่ก็พึ่งย้ายมาอยู่ด้วยกันไม่นานเองคุณ เรื่องของเด็กให้เขาตกลงกันเองจะดีกว่า” พ่อช่วยพูดกับแม่ให้อีกแรง
“เอางั้นก็ได้จ้ะ แม่ถามเผื่อไว้ ถ้าเรายังชอบที่จะอยู่นี่กันแม่ก็ไม่ว่า”
“ครับแม่ เอาไว้ถ้าผมจะย้ายจะบอกแม่ทันที”
“จ้ะ” แม่ผมตอบรับเบาๆแล้วหันไปดูโทรทัศน์ต่อ เป็นจังหวะเดียวกับที่วินออกมาจากห้องครัวพอดี ทีนี้ไม่ต้องพูดกัน ผมกับพ่อกลายเป็นคนไม่มีตัวตนเช่นเคย==
TBC.