-13-
เมื่อซูกัสอายุครรภ์ได้ราว 6 สัปดาห์อาการแพ้ท้องก็ตามมาทันทีเหมือนเงาตามตัวและหนักขึ้นเรื่อยๆ จนหมออดรู้สึกสงสารเขาไม่ได้ ความรู้มากมายในหัวตีกันให้วุ่นจนไม่รู้จะเริ่มจากอะไรก่อนดี
“ตื่นแล้วเหรอครับ... ทานบิสกิตสักหน่อยนะ แล้วก็นอนพักต่อสักยี่สิบนาทีแล้วค่อยลุกนะครับ”
“ช่วงแรกๆ อย่าเพิ่งดื่มนม เปลี่ยนเป็นดื่มน้ำขิงระหว่างวันแทน”
“แต่ละมื้อไม่ต้องทานมาก แต่ทานวันละหลายๆ มื้อ”
“ถ้าอยากทานของเปรี้ยวก็ให้ทานผลไม้สดพวกสตรอเบอรี่แทนของดอง”
แต่ถึงจะพยายามหาวิธีไม่ให้แพ้มากก็เหมือนจะไม่หายซะทีเดียว
“อ้วก...แหวะ...” อาการคลื่นไส้อาเจียนเริ่มต้นในตอนเช้าและทุกครั้งที่ได้กลิ่นแปลกๆ จนซูกัสไม่สามารถย่างเท้าเข้าครัวได้เลย (ดีเท่าไรแล้วที่ไม่เหม็นหมอด้วย) ช่วงนี้หมอจึงเป็นคนทำอาหารที่เหมาะสำหรับคนท้องให้เขา โชคดีที่ตอนนี้หมอเรียนจบแล้วและเลือกเข้าคลินิกแค่สองสามวันต่อสัปดาห์เพื่อใช้เวลาที่เหลือดูแลซูกัสที่บ้าน
ซูกัสหิวบ่อย แต่ถ้ากินมากก็อาเจียนออกหมด อ่อนเพลียจนนอนทั้งวัน ท้องอืดและชอบบ่นว่าปวดหลัง จนหมออดกังวลไม่ได้ ความเครียดทำให้หมอพลอยมีอาการปวดหัวและอยากจะอาเจียนบ้างเป็นบางครั้ง
“น้ำขิงไหมครับหมอ” ซูกัสเอ่ยถามเมื่อหมอเดินออกจากห้องน้ำหลังจากโก่งคอกับอ่างล้างหน้าแต่ก็ไม่มีอะไรออกมานอกจากน้ำลายเหนียวๆ หมอรับแก้วน้ำขิงในมือเขามาดื่มแล้วถามเมื่อเห็นรอยยิ้มกลั้นขำในหน้าที่ซีดเซียวนั้น
“ขำอะไรครับ?”
“ไม่คิดว่าคุณหมอจะแพ้ท้องแทนผม” ซูกัสตอบยิ้มๆ ระหว่างเราเดินจากห้องน้ำไปที่ห้องรับแขก
“ทำไมล่ะ? เค้าว่าถ้าใครแพ้ท้องแทนเมียแปลว่ารักเมียมาก กัสไม่คิดว่าหมอรักกัสมากหรือไง?” หมอถามพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน
“ไม่รู้สิครับ มันไม่ค่อยวิทยาศาสตร์เลยอ่ะ”
“แล้วความรักมันฟังดูวิทยาศาสตร์ไหมล่ะ?” หมอวางแกวน้ำขิงไว้ที่โต๊ะชา และเราทั้งสองนั่งลงที่โซฟา
“นั่นสิครับ ไม่ค่อยวิทยาสาสตร์แต่หมอบอกว่าเชื่อในความรักนี่นา”
“ความจริงมีคนอธิบายความรักในหลักวิทยาศาสตร์ด้วยนะ พออ่านแล้วก็น่าเชื่อถืออยู่เหมือนกัน เพราะอธิบายโดยใช้หลักฮอร์โมนน่ะ”
“จริงเหรอครับ ความรักเกิดจากฮอร์โมน?” ซูกัสทวนคำคล้ายกับไม่เชื่อ
“กัสน่าจะเคยได้ยินคำว่าฟีโรโมนใช่ไหมล่ะ?”
“ครับ สารที่หลั่งออกมาแล้วเพศตรงข้ามได้กลิ่นก็เกิดความหลงใหล ฟังดูเหมือนจะธรรมดาแต่พอรู้ว่าสารนี้ผลิตมาจากรักแร้ก็รู้สึกทะแม่งๆ อ่ะ น่าจะเหม็นมากกว่าหอม”
“ที่จริงมันก็เกิดได้จากหลายจุดนะ ผิวหนังหรืออวัยวะอื่นๆ ก็ได้ แล้วฟีโรโมนก็ไม่ได้รับรู้ด้วยจมูกแต่รับรู้ด้วยสมองต่างหาก”
“ถ้างั้นที่หมอบอกว่าตัวผมหอมก็โกหกน่ะสิ”
“ไม่ได้โกหก รู้สึกจริงๆ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่ากลิ่นฟีโรโมน กลิ่นสบู่หรือว่า กลิ่นสาป”
“หมอ!!!” ซูกัสลากเสียงยาวมุ่ยหน้าเป็นเชิงตัดพ้อ
“ที่จริงแล้วฟีโรโมนเนี่ยมันก็เป็นแค่สารกระตุ้นที่ทำให้สนใจเท่านั้นนะ เหมือนตัวช่วยคัดสรรคนที่ใช่ให้เรา นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าคนบางคนอาจจะดีแสนดีแต่ทำยังไงเราก็ไม่รักอาจจะเพราะฟีโรโมนไม่ตรงกัน ส่วนทฤษฎีความรักเท่าที่จำได้จะมี 3 ช่วงนะคือ ช่วงเกิดตัณหา ช่วงคลั่งรัก แล้วก็ช่วงผูกพัน โดยฮอร์โมนเพศสองตัวคือเทสโทสเตอร์โรนกับเอสโตรเจนจะทำให้เกิดตัณหาอยาก...” หมอหันไปมองหน้าซูกัสด้วยดวงตาวาวหวาน
“อะฮึ่ม... อะไรหมอ...คิดทะลึ่งอีกล่ะสิ!” ซูกัสเดาถูกอีกครั้ง ทำให้หมอยิ้มรับเป็นคำตอบแล้วพล่ามต่อ
“เอ่อ...แล้วก็มีฮอร์โมนตัวอื่นๆ ที่ทำให้หลงใหล คิดถึงอีกฝ่ายจนไม่ได้กินไม่ได้นอน พอล่วงเลยช่วงคลั่งรักไปก็มีฮอร์โมนตัวอื่นที่ทำให้เกิดความผูกพันอยากอยู่กับคู่ของตัวเองไปตลอด ในสัตว์บางชนิดจึงพบว่ามันจะมีคู่ครั้งเดียวตลอดชีวิตของมันและหนูชนิดหนึ่งเมื่อคู่ของมันตายไป อีกตัวก็ตรอมใจตายตามไปด้วย”
“ถ้าหากคนรักของเรา เค้ารัก ซื่อสัตย์และดูแลเราอย่างดีที่สุดตลอดชีวิตของเขา ต่อให้รู้ว่าต้องตายไปพร้อมๆ กับเขามันคงจะเป็นความตายที่มีความสุขมากนะครับ” ซูกัสเอ่ยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงความซาบซึ้งพร้อมกับน้ำตาที่ไหลกลิ้งลงมาข้างแก้มทั้งๆ ที่ยิ้ม หมอยกมือขึ้นปาดน้ำตาเขาเบาๆ
“คุณแม่นี่อ่อนไหวจริงๆ เอะอะก็ร้องไห้ตลอด” หมอแซวซูกัสแล้วหัวเราะเบาๆ
“มันซึ้ง จริงๆ นะครับ” ซูกัสแก้ตัว ซึ่งหมอไม่รู้สึกแปลกใจอะไร เพราะมันเป็นอาการปกติของคุณแม่ตั้งครรภ์อยู่แล้วที่จะมีอารมณ์จนอยากร้องไห้อย่างไม่มีเหตุผล
“ที่จริงก็ซึ้ง แต่มันคงเกิดขึ้นได้ยากกับมนุษย์นะ เพราะอย่างน้อยชีวิตของเราก็ไม่ได้มีแค่คนรักเพียงอย่างเดียว ไหนจะพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง หรือแม้แต่ลูกของเรา”
“ครับ...เค้าคงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้กัสอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปถ้าหากไม่มีหมออยู่แล้ว... แต่ถ้าหากว่ากัสเป็นฝ่ายที่จากไปก่อน หมอก็ต้องอยู่ต่อไปให้ได้เพื่อลูกของเราเหมือนกันนะครับ”
หมอไม่ได้ตอบ เพียงยื่นมือไปกุมมือบางของซูกัสมากุมไว้ในอุ้งมือแล้วขยับตัวเขาหาเขา กดศีรษะเล็กให้ซบกับบ่าตัวเองพลางสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ รับรู้ได้ถึงกลิ่นหอมเจือจางบางอย่างที่ตรึงติดจมูก หมอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงชอบกลิ่นของผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และเพราะอะไรถึงชอบกลิ่นของซูกัสมาก หรือฟีโรโมนของซูกัสมันเป็นกลิ่นพิเศษที่ดึงดูดเพศเดียวกันมากกว่าเพศตรงข้าม ในระหว่างที่ความรักเล่นงานหมออย่างหนักหน่วงมาตลอดสองปีกว่านี้หมอเฝ้าถามตัวเองว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในช่วงไหนของความรัก...
ตัณหา เพ้อคลั่ง หรือผูกพัน หรืออาจจะพร้อมกันทั้งสามในเวลาเดียวกันก็เป็นได้...
ยังไงก็ตามหมอไม่อาจตอบรับคำขอของซูกัสได้ เพราะหมอก็ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันว่าหมอจะสามารถอยู่ต่อไปโดยไม่มีซูกัสได้จริงหรือเปล่า...
อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ ท้องซูกัสใหญ่กว่าปกติทั้งที่เป็นท้องแรก นั่นเป็นผลมาจากครรภ์แฝดทำให้หมอยิ่งหนักใจเพิ่มมากขึ้นไปอีก การมีลูกแฝดนอกจากทำให้แพ้ท้องมากขึ้นแล้วยังทำให้มีภาวะโลหิตจางและเป็นอันตรายมากทีเดียว หมอต้องให้กินธาตุเหล็กและต้องเตรียมเลือดไว้ในกรณีฉุกเฉิน และในระหว่างที่หมอไม่อยู่บ้าน หมอก็ไม่กล้าปล่อยให้ซูกัสอยู่คนเดียวเลย ดังนั้นหมอจึงพาซูกัสไปส่งที่บ้านของเขาตอนที่หมอมาทำงาน กำชับว่าหากมีอะไรผิดปกติให้โทรหาได้ตลอด
พอถึงวันหยุด หมอไปรับซูกัสที่บ้านแต่เช้า ซูกัสยังมีอาการอ่อนเพลียอยู่ตลอด แต่รู้สึกได้ว่าเขามีความสุข...
“ถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องดื่มกาแฟ” หมอบอกเขาเมื่อซูกัสเอ่ยปากว่าจะขอแวะไปร้านกาแฟสด ตอนที่หมอแวะเติมน้ำมัน
“ไม่ได้ดื่มกาแฟ แค่อยากกินชาเขียวสักแก้ว”
“ชาเขียวก็คาเฟอีนเยอะไม่ต่างจากกาแฟหรอกน่า ที่จริงก็ดื่มได้นะ แต่ต้องควบคุมไม่ให้เกินวันละ300 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ถ้าทำได้ไม่ดื่มเลยจะดีกว่า”
“เอ่อ...งั้นกัสไม่ดื่มแล้วก็ได้” เขาตอบเสียงอ่อย มองแล้วก็น่าสงสาร
“เป็นน้ำผลไม้แทนแล้วกันนะครับ” หมอสรุปคล้ายบังคับ หลังจากเติมน้ำมันเสร็จก็เลี้ยวรถเข้าซองแล้วลงไปซื้อน้ำผลไม้ในเซเว่น รวมถึงซาลาเปา มาให้ซูกัสกินแก้หิวด้วย
ระหว่างทางกลับบ้านซูกัสนั่งกินซาลาเปากับน้ำผลไม้ในรถ
“ดีนะคนที่ท้องเป็นผมไม่ใช่แม็กม่า รายนั้นน่ะติดกาแฟมากเลย ถ้าวันไหนไม่ได้กินวันนั้นหงุดหงิด ถ้าเขางอนผมล่ะก็ ผมต้องง้อโดยซื้อกาแฟสตาร์บัคส์มาให้กินทุกทีเลย ทั้งๆ ที่ถ้ามันซื้อเองเห็นกินแต่ลาเต้เซเว่น ราคานี่ต่างกันลิบลิ่ว”
หมอหัวเราะที่ซูกัสนินทาเพื่อนสนิทให้ฟัง หมอจำได้ว่าเคยพบหน้าเขาครั้งเดียวเองตอนที่แวะไปหาซูกัสที่มอ. แต่เรื่องราวของแม็กม่าจะถ่ายทอดจากปากซูกัสซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเหมือนแม็กม่าเป็นเพื่อนอีกคนหนึ่งของหมอทีเดียว
“จะว่าไปตั้งแต่ปิดเทอม กัสไม่ได้เจอแม็กเลยนะ ได้ข่าวว่ามันได้งานที่บริษัทนำเที่ยวแถวๆ ลาดพร้าว ชื่ออะไรอิดๆ นี่แหละ” ทำไมข้อมูลเบื้องต้นมันคุ้นๆ อย่างนั้นนะ...
“อิทธิฤทธิ์ คอป หรือเปล่า?” หมอถามกลับไปขำๆ เหมือนอยากจะแซวเล่นมากกว่าจริงจัง
“ใช่...เอ๊ะ! หมอรู้จักหรอ?” คำตอบรับของซูกัสทำให้หมอค่อนข้างแปลกใจ ไม่คิดว่าโลกจะกลมได้ขนาดนั้น...
“จะว่าไปก็รู้จักนะ... หรือว่าวันนี้เราจะแวะไปเยี่ยมเพื่อนซูกัสกันดีล่ะ?”
“หมอ... ผอมลงหรือเปล่า” อิฐถามทันทีที่เจอหน้า มันค่อนข้างแปลกใจที่หมอสามารถลากสังขารตัวเองมาพบมันถึงบริษัทได้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“เอ่อ...” หมอกำลังคิดว่าจะตอบอย่างไรไม่ให้เสียฟอร์มแต่ไม่ทัน...
“หมอเค้าแพ้ท้องน่ะครับ” ซูกัสตอบด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ ทำให้หมอหันไปมองด้วยสายตาคาดโทษแต่อีกฝ่ายยิ้มรับไม่แคร์...
“ว่าแต่ถ่อมาถึงนี่มีอะไรหรือเปล่า?” อิฐถามเป็นงานเป็นการ
“หมอพาซูกัสมาหาเพื่อนน่ะ บังเอิญมากว่าทำงานที่นี่พอดี”
“จริงเหรอ? บังเอิญจัง อยู่แผนกไหนล่ะ?”
“ทดลองงานอยู่แผนกบัญชีน่ะครับ”
“อ้อ... งั้นเดี๋ยวให้เลขาพี่พาซูกัสไปส่งหาเพื่อนนะครับ” อิฐบอกซูกัสอย่างใจดีแล้วยกหูโทรศัพท์ต่อสายในสั่งเลขาให้ทันที ไม่ถึงนาทีเลขาของอิฐก็เปิดประตูห้องเข้ามา
“ซูกัสไปคนเดียวได้ไหมครับ เดี๋ยวหมอขอคุยกับอิฐสักพักนึงนะแล้วเดี๋ยวจะตามไป” หมอบอกเขา
“ได้ครับ ถ้าผมหิวแล้วจะโทรตามนะ” เขาบอกอย่างอารมณ์ดี หมอพยักหน้ามองตามร่างเล็กที่ตอนนี้มองแล้วเหมือนเขาเริ่มมีพุงทั้งๆ ที่ร่างกายผอมซูบ..เดินออกจากห้องทำงานของอิฐไป
“น่ารักชิบ... แต่เหมือนโทรมๆ ไม่สบายหรือเปล่า” อิฐค่อนข้างสายตาดี ช่างสังเกตเชียว
“แพ้ท้อง...” หมอตอบเรียบๆ
“เออ ดี! แพ้ทั้งสองคน สรุปว่าใครท้องกันแน่ล่ะ?” อิฐถามด้วยน้ำเสียงแสดงความขบขัน แต่หมอไม่สนใจจะตอบคำถาม เพราะอยากคุยธุระอื่นมากกว่า
“อิฐ หาทนายให้หน่อยได้ไหม กูอยากเขียนพินัยกรรม”
“ฮะ!! เร็วไปไหมหมอ... เพิ่งจะ 32 เอง”
“เขียนไว้เฉยๆ ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะตายเร็วหรอก แต่เพราะผู้ชายจดทะเบียนสมรสไม่ได้ กูก็เลยอยากหาหลักประกันอะไรให้ซูกัสเท่านั้นเอง”
“ท่าหมอจะเป็นเอามากนะเนี่ย แต่ที่จริงซูกัสก็เป็นลูกคนมีเงิน เค้าคงไม่แคร์สมบัติพัสถานอะไรของหมอนักหรอกมั้ง หมอบอกว่าซูกัสรวยกว่าหมออีกไม่ใช่เหรอ?”
“อือ... มันไม่สำคัญหรอกว่าใครจะรวยกว่าใคร รู้แต่ว่าอยากยกทุกอย่างให้เฉยๆ เผื่อถ้าลูกโตขึ้นจะได้มีอะไรไว้ดูต่างหน้า”
“ลูก??” อิฐส่งเสียงสูงอย่างประหลาดใจ
“อือ... ซูกัสท้องได้สามเดือนแล้ว” หมอตอบเรียบๆ ไม่คิดจะปิดบัง
“หา? เพี้ยนหรือเปล่าเนี่ยหมอ ผู้ชายที่ไหนจะท้องได้?”
“ไม่เชื่อก็ช่าง แค่ตอบมาก็พอแล้วว่าหาทนายให้ได้ไหม?”
“อะ... ได้ๆ เดี๋ยวจะติดต่อทนายประจำตระกูลให้เลย”
“ขอบใจ” หมอบอกแล้วยิ้มบางๆ
“อืม... ถ้าหมอบอกว่าซูกัสท้องอยู่ แต่หมอแพ้ท้อง ก็แสดงว่าหมอแพ้แทนเมียสินะ?” หมอไม่แน่ใจว่าเขาอยากแซวเฉยๆ หรือนึกเชื่อหมอขึ้นแล้วจริงๆ แต่หมอก็ตอบกลับตามปกติ
“มีซะที่ไหนอาการแพ้ท้องแทนเมีย”
“อ้าว... แล้วที่หมอเป็นเรียกว่าอะไรล่ะ?”
“เห็นซูกัสแพ้ท้องมากก็เลยเครียดต่างหากล่ะ” ใช่ อาการพวกนี้เกิดจากความห่วงใจภรรยาและลูกเท่านั้นเอง แต่หมอไม่อาจบอกซูกัสไปตามตรงได้ว่าหมอเครียดเรื่องลูกหลายๆ อย่างเพราะกลัวซูกัสจะพลอยไม่สบายใจตามไปด้วยจึงต้องยอมรับกับซูกัสว่าแพ้ท้องแทน
“เครียดทำไมล่ะ แพ้ท้องก็เรื่องปกติไม่ใช่เหรอ”
“อาการแพ้ท้องน่ะมันมีสาเหตุมาจากฮอร์โมน hcg ยิ่งสูงก็ยิ่งแพ้ท้องมากและการที่ฮอร์โมนสูงมันก็ทำให้วินิจฉัยไปในทางที่ไม่ดีได้ด้วยจำพวกครรภ์เป็นพิษ ท้องนอกมดลูก รกผิดปกติ หมอก็เลยเครียด แต่ตอนนี้รู้สาเหตุแล้วว่าแพ้ท้องมากไม่ใช่เพราะความผิดปกติแต่เพราะมีลูกแฝด”
“ก็เลยหายเครียด?”
“เปล่า เครียดกว่าเดิมอีก”
“อะไรของหมอวะ” อิฐสบถทันที
“ความจริงแล้วการที่ซูกัสมีลูกแฝดมันไม่ใช่ความบังเอิญแต่เป็นความผิดพลาดของหมอเอง เพราะหมอไม่แน่ใจว่ามดลูกเทียมมีความแข็งแรงมากแค่ไหน กลัวว่าจะมีโอกาสสำเร็จต่ำ แล้วตอนฝังตัวอ่อนต้องเจาะหน้าท้องด้วยหมอสงสารซูกัสไม่อยากให้เจ็บตัวหลายรอบก็เลยฝังตัวอ่อนไปสองเลยกันพลาด ที่ไหนได้ติดทั้งสองก็เลยเป็นแฝด”
“ดีออกนะ คลอดทีเดียวสองคน ไม่ต้องท้องกันบ่อยๆ ไง”
“มันเสี่ยงหลายอย่างน่ะ แต่ถึงยังไงหมอก็จะพยายามดูแลพวกเขาให้ปลอดภัยจนคลอดให้ได้และ”
อิฐยิ้ม... เดินมาตบไหล่หมออย่างให้กำลังใจ
“ผู้ชายท้องได้น่ะเป็นเรื่องยากขนาดไหนใครๆ ก็รู้ ถ้าหมอเก่งมากถึงขนาดทำให้มันเกิดขึ้นได้ เรื่องอื่นๆ ก็จิ๊บจ๊อยว่ะ อย่าไปเครียดเลย”
“หวังอย่างนั้นเหมือนกัน...”