บทที่ 32 ภาพนิมิต
ตั้งแต่รู้ว่าตนเองกำลังตั้งท้องนาซีมก็นอนหลับได้ไม่สนิทมาเป็นเวลาสามราตรีแล้ว หลังจากล้มตัวลงนอนเมื่อใดเราก็มักฝันเห็นภาพเดิมซ้ำๆ จนตื่นขึ้นมากลางดึกของทุกคืน และนั่นพานทำให้คนข้างกายของนาซีมพักผ่อนน้อยไปด้วย
“เป็นอันใดนาซีม ฝันร้ายอีกแล้วหรือ”
คาริฟงัวเงียตื่นขึ้นมาถามเมื่อรู้สึกได้ว่านาซีมขยับตัว เจ้าชายน้อยจึงพลิกกายกลับไปหาคนรัก แล้วจึงกอดเอวอีกฝ่ายเอาไว้
“ข้าฝันเห็นเขาอีกแล้ว”
“ทาริคหรือ ฝันว่าอะไร”
“เหมือนเดิม เขานำไพร่พลมาล้อมกำแพงเมืองเอาไว้”
คาริฟมองหน้านาซีมท่ามกลางแสงจันทร์สลัวที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ก่อนจะเช็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ตามไรผมออกให้แล้วจึงจูบที่หน้าผากเบาๆ
“ไม่เป็นไร ข้าคาดการณ์ไว้แล้วว่ามันต้องนำทัพมาเอง ระหว่างนี้พวกเราก็เตรียมรับมือตามแผนที่คุยกันไว้”
“แต่ข้ากลัวว่าเขาจะมาถึงในเร็ววัน”
“มาเร็วก็จบเร็ว ข้าเองก็มิอยากให้สงครามยืดเยื้อนัก เจ้าอย่ากังวลมากเกินไป”
“...” ครั้นได้ยินคาริฟเอ่ยเช่นนั้นนาซีมก็พูดต่อไม่ได้ เพราะในค่ำคืนนี้ นอกจากเขาจะฝันเห็นทาริคที่หน้าประตูเมืองเอมาลีแล้ว นาซีมยังฝันเห็นคาริฟกำลังฟาดฟันอยู่ในสนามรบอีกด้วย แม้ท่าทีของเจ้าภูตราตรีจะดูไม่เหมือนผู้ที่กำลังปราชัย แต่รอยเลือดที่สาดกระเซ็นเปรอะบนเสื้อเกราะของคาริฟก็ทำให้นาซีมข่มตานอนต่อไม่ได้
เมื่อคาริฟเห็นคู่น้องยังทำคิ้วขมวดไม่เลิก เขาจึงจูบลงบนขมับของอีกฝ่ายเบาๆ แล้วเอาคำของท่านหมอฮาชิมาอ้าง
“จำมิได้หรือว่าท่านหมอสั่งอย่างไรก่อนกลับไปเมื่อกลางวัน”
“ให้พักผ่อนมากๆ” นาซีมเอ่ยคำที่หมอฮาชิบอกซ้ำอีกครั้ง
“ถูกแล้ว เจ้าต้องพักผ่อนให้มากๆ ลูกของเราจะได้โตเร็วๆ” คาริฟเอ่ยด้วยรอยยิ้มละมุนจนทำให้นาซีมต้องยิ้มตามไปด้วย
ตั้งแต่รู้ว่นาซีมตั้งครรภ์ เจ้าชายน้อยก็ยิ่งได้เห็นมุมอ่อนโยนของคู่ชีวิตมากขึ้น แม้ยามปรกติคาริฟจะอ่อนโยนกับเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่นี่คาริฟยังคอยพูดถึงเจ้าตัวเล็กบ่อยๆ ราวกับดีใจเหลือเกินที่เด็กคนนี้กำลังจะลืมตาดูโลก
ความอ่อนโยนและความเอาใจใส่ที่คาริฟแสดงออกมาเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้นาซีมรู้สึกสบายใจได้ในช่วงเวลาเช่นนี้ แม้จะรู้สึกเคร่งเครียดและเป็นกังวลกับสถานการณ์ที่ต้องเผชิญเท่าใดก็ตาม
“เขาต้องโตเร็วแน่ รู้หรือไม่ว่าช่วงนี้ข้ากินอาหารเยอะขึ้นขนาดไหน”
แม้นาซีมจะรู้สึกคลื่นเหียนยามต้องขี่ม้าไปตามหอสังเกตการณ์ต่างๆ เพื่อช่วยทุกคนวางแนวทางในแผนการรบ แต่นาซีมก็ยังโชคดีที่กินอาหารได้ ท่านหมอฮาชิบอกว่าตามปรกติแล้วหากโอเมก้าท้องแปดในสิบคนจะเกิดอาการไม่อยากอาหารรวมกับอาการคลื่นเหียนเวียนหัว ทรมานมากกว่าเบต้าที่ท้องหลายเท่า
“ดีแล้ว เจ้าต้องกินให้มากๆ พักผ่อนให้มากๆ อยากกินสิ่งใดก็บอกข้า”
“เจ้าจะทำให้หรือ”
“ถ้าทำได้ข้าจะทำ แต่ถ้าทำไม่ได้ข้าจะหามาให้จนได้”
“เอาใจกันเกินไปแล้ว” นาซีมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะขยับขึ้นจูบปลายคางของเจ้าภูตราตรี แล้วว่า “ขอบคุณนะ แต่ข้าไม่ทำให้เจ้าลำบากเช่นนั้นหรอก ในภาวะสงครามเช่นนี้ ทุกคนกินอย่างไร ข้าก็จะกินอย่างนั้น ไม่มีอะไรที่อยากเป็นพิเศษ”
“ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าอยากกินเป็นพิเศษเลยจริงหรือ” คาริฟถาม “ข้าให้โอกาสเจ้าตอบอีกครั้งนะ ถ้าไม่บอกตอนนี้ ต่อไปอาจจะหาไม่ได้ง่ายๆ แล้ว”
“บาคาวา [1] ” เมื่อได้ยินว่าอาจจะหาไม่ได้แล้ว คนท้องก็เผลอตอบไปโดยไม่ทันคิด ซึ่งปฏิกิริยาของเขาก็ทำให้คาริฟหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
“ฮ่าๆๆ”
“เจ้าหัวเราะอันใดเล่า”
“ข้าขันคนที่บอกว่าไม่มีของที่อยากกินเป็นพิเศษน่ะ” เหมือนหยุดหัวเราะแล้วคาริฟจึงดึงนาซีมเช้ามากอดใกล้แล้วเอ่ยอย่างเอาใจ “เช่นนั้นราตรีนี้ก็หลับเสีย แล้วพรุ่งนี้ข้าจะหาบาคาวามาให้เจ้านะ”
คำหลอกล่อที่เหมือนผู้ใหญ่หลอกเด็กทำให้นาซีมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ยามนี้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมากจนไม่เก็บเอาเรื่องของความฝันมาคิดอีกต่อไป ทั้งคาริฟยังหันเหความสนใจเพิ่มด้วยการเล่าเรื่องร้านขนมในเอมาลีให้นาซีมฟัง ไม่นานก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังมาจากคนในอ้อมแขน เมื่อก้มลงมองก็พบว่านาซีมจมสู่ห้วงนิทราเรียบร้อยแล้ว
❂ …………………………….❂
รุ่งเช้าวันต่อมา นาซีมถูกเสียงร่าเริงของอันวาปลุกให้ตื่นขึ้นตั้งแต่ขอบฟ้ายังเป็นสีชมพู เด็กหนุ่มผู้นั้นทำหน้าที่ส่งสารจากจาเร็ดว่าตอนนี้กองทัพของคนเถื่อนได้เคลื่อนออกจากมาไอร่าเรียบร้อยแล้ว และพวกมันกำลังเข้าสู่แคว้นเอมาลีในไม่ช้า
“หากพวกมันเดินทางโดยไม่หยุดพัก คาดว่าภายในวันพรุ่งนี้กองทัพของทาริคจะเดินทางมาสมทบกับพวกที่อยู่นอกกำแพงเมือง” คาริฟคาดการณ์ จากนั้นจึงถามต่อ “ว่าแต่ราชาองค์อื่นรู้เรื่องนี้แล้วใช่หรือไม่ เช้านี้พวกเขามีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง”
“จาเร็ดให้คนไปรายงานตามที่ท่านสั่งแล้วขอรับ อีกเดี๋ยวคาดว่าจะเรียกหารือโดยพร้อมเพรียงกัน” อันวารายงานด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ก่อนจะถามถึงเจ้าชายแห่งโซราห์ที่ยังไม่เห็นหน้า “ว่าแต่เจ้าชายเล่าขอรับ ยังไม่ตื่นนอนหรือ”
“ยัง เข้าเพิ่งหลับไปก่อนรุ่งสางได้ไม่นาน” คาริฟบอกตามจริง
“แล้วเช่นนี้ท่านจะให้เจ้าชายเข้าร่วมหารือด้วยหรือไม่ขอรับ”
อันวารู้แล้วว่านาซีมท้อง เขาจึงเข้าใจถึงอาการแพ้ท้องที่อีกฝ่ายต้องเผชิญ อีกทั้งยามนี้เจ้าชายนาซีมยังวิตกกังวลเรื่องการศึกด้วย หากจะนอนไม่ได้ก็คงไม่แปลก
“ใจจริงข้าอยากให้เขาพัก แต่ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าข้าปล่อยเขาเอาไว้ที่นี่ เขาต้องเสียใจแน่”
คาริฟรู้นิสัยนาซีมดี แม้ทุกคนจะอยากให้เจ้าชายพักจากเรื่องเคร่งเครียดอย่างไร แต่อีกฝ่ายไม่มีวันยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่ ทั้งยังจะกล่าวโทษตนเองในภายหลังว่าเป็นภาระอีกด้วย ดังนั้นถ้าอยากจะปกป้องนาซีมจริงๆ แล้วล่ะก็ เขาจำต้องยอมให้เจ้าตัวร่วมสู้อย่างที่เจ้าชายควรจะได้สู้
“เช่นนั้นก็ให้เจ้าชายทำอย่างที่เจ้าชายอยากทำเถิดขอรับ เพราะอย่างไรเสียท่านคาริฟก็จะยืนเคียงข้างพระองค์อยู่แล้วมิใช่หรือ”
“ย่อมเป็นเช่นนั้นแน่นอน”
อันวามองคาริฟเผยรอยยิ้มที่ไม่มีผู้ใดได้เห็นมาหลายวันนอกจากเจ้าชายนาซีม เมื่อมองแล้วเขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าความผูกพันของทั้งคู่ช่างลึกซึ้งยิ่งนัก
“ตัวข้าแม้จะทำสิ่งใดไม่ได้มากนัก แต่ก็จะคอยช่วยท่านดูแลเจ้าชายอีกแรงนะขอรับ หากท่านต้องการสิ่งใดก็บอกข้าได้เสมอ”
“ขอบใจนะอันวา ข้าไม่มีสิ่งใดขอร้องเจ้าหรอก...” ทว่าก่อนจะเอ่ยว่าไม่มีสิ่งใดให้ช่วย คาริฟก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องที่เขาสัญญาว่าจะทำให้นาซีมในวันนี้ “จะว่าไป ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีอยู่อย่างหนึ่งที่อยากขอร้องเจ้า”
“เรื่องใดหรือขอรับ บอกมาได้เลยขอรับ” อันวาตบอกอาสา
“หากไม่รบกวนเกินไป ข้าอยากให้เจ้าช่วยหา...”
คาริฟบอกเสียงเบาราวกับกลัวว่าคนที่นอนอยู่ด้านในจะได้ยิน เมื่อเด็กหนุ่มได้ยิน เขาก็ทำตาโตก่อนจะยิ้มจนเห็นฟันขาวเป็นประกาย
“ได้สิขอรับ เรื่องเท่านี้สบายมากขอรับ”
“เช่นนั้นก็ฝากเจ้าด้วยนะ ข้าจะเข้าไปปลุกนาซีมก่อน อีกเดี๋ยวพวกเราคงต้องไปพบกับราชาอาฟาและราชาฟารุคแล้ว”
อันวารับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะอีกครั้ง ต่อจากนั้นเขาก็ออกจากห้องรับรองของนาซีมและคาริฟไป หัวหน้าเหล่าภูตราตรีจึงเดินผ่านม่านบังตาเข้าไปส่วนในของห้องเพื่อปลุกใครบางคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง
ก่อนถึงเตียงกว้างเขาแวะเปิดม่านที่หน้าต่างก่อนเป็นอันดับแรก แสงอาทิตย์ของเอมาลีวันนี้แรงนักเพราะยังไม่ทันไรก็กำจายความร้อนแผ่ซ่านลงมาเสียแล้ว
ครั้นคาริฟนั่งลงบนเตียงนุ่ม นาซีมก็ขยับตัวหันกลับมาและลืมตาขึ้น
“อันวามาหรือ” เจ้าชายเอ่ยถาม
คาริฟไม่ตอบในทันที เขาเกลี่ยผมที่ปรกหน้าออกให้อีกฝ่ายก่อน จากนั้นจึงหยักหน้า “ถูกแล้ว เจ้าตื่นนานแล้วหรือ”
“ไม่นาน ข้าได้ยินเสียงเขาคุยกับเจ้าแว่วๆ ไม่นานเจ้าก็กลับเข้ามา” นาซีมบอกตามตรง “มีเรื่องสำคัญหรือ เหตุใดเช้านี้อันวาจึงมาที่นี่”
“เขามาส่งข่าวแทนจาเร็ด”
“เรื่องอะไร”
“ทัพของทาริคออกจากมาไอร่าตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ยามนี้กำลังเข้าเขตแคว้นเอมาลี”
“เขาจะมาถึงเมืองหลวงคืนนี้หรือ”
“ข้าคาดว่าเป็นเช่นนั้น”
ได้ยินถึงตรงนี้นาซีมก็เงียบไป เขาลุกขึ้นนั่งพิงหลังกับหัวเตียง ใบหน้างามดูไม่สู้ดีนัก คาริฟจึงต้องขยับเข้าไปประคองกอดอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะใช้นิ้วนวดเบาๆ ตรงหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นราวกับกำลังคิดหนัก
“ไม่ทำหน้ายุ่งสิ” เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆ “อย่างไรนี่ก็เป็นสิ่งที่เราคาดกันไว้แล้วมิใช่หรือ”
“ถูกของเจ้า แต่ข้าก็อดคิดหนักไม่ได้อยู่ดี”
“เช่นนั้นรีบพวกเราอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่แล้วไปพบราชาอาฟากับราชาฟารุคดีหรือไม่ จะได้เตรียมการรับมือตามแผนที่เราวางไว้ และหากมีข่าวใดมาอีกเราจะได้คิดอ่านต่อไป”
“เอาสิ”
เมื่อรับคำแล้วคาริฟก็อุ้มนาซีมเข้าไปในห้องน้ำ แม้เจ้าชายจะร้องโวยวายว่าไม่ต้องแต่เจ้าภูตราตรีก็มิฟังเสียง
“ไม่เห็นต้องทำถึงเพียงนี้เลย คาริฟ” นาซีมเอ่ยขึ้นเมื่อคาริฟคอยอาบน้ำและช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้
“ข้ารู้ว่าเจ้าทำเองได้ แต่ยามใดที่เจ้ามีเรื่องให้คิดกระวนกระวาย จิตใจของเจ้าจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เช่นนั้นให้ข้าช่วยน่ะดีที่สุด”
นาซีมมองหน้าคนรักแล้วได้แต่ถอนหายใจ เขาได้แต่ขอบคุณในสิ่งที่อีกฝ่ายทำให้มาโดยตลอด มาตอนนี้พอถูกทักท้วงเรื่องที่ชอบเหม่อลอย นาซีมจึงพยายามดึงสติตนเองกลับมาให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะกังวลใจหรือเคร่งเครียดเพียงใด ตอนนี้ร่างกายของเขาก็มิใช่ของเขาคนเดียวอีกแล้ว ดังนั้นหากไม่อยากให้คาริฟลำบาก นาซีมต้องตั้งสติและทำจิตใจให้เข้มแข็งกว่านี้
วันข้างหน้าเขาอาจต้องพบเจออะไรอีกมาก สงครามเองก็เพิ่งเริ่ม จะมาขวัญอ่อนตอนนี้ไม่ได้ เมื่อคิดได้แล้วเจ้าชายก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยขอบคุณ
“ขอบคุณนะ”
“ขอบคุณอะไรกัน มานี่เถิด สวมเสื้อผ้าเสร็จแล้วข้าจะถักผมให้เจ้า”
“ได้สิ แต่ขอข้าผูกผ้าคลุมให้เจ้าก่อน” นาซีมเอ่ยก่อนจะหยิบผ้าคลุมสีดำประจำกายเจ้าภูตราตรีมาสวมให้
คาริฟมองน้องวุ่นวายกับการผูกปมผ้าคลุมแล้วอมยิ้ม ไม่รู้เพราะอะไรอยู่ๆ บรรยากาศที่นาซีมแผ่ออกมาจากตัวเองก็ให้ความรู้สึกสบาย ไม่อึดอัดเหมือนก่อนหน้า แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในใจ ขอเพียงเวลานี้น้องไม่ทำหน้ามุ่ยเขาก็พอใจมากแล้ว
ทั้งสองช่วยกันแต่งตัว เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงพากันออกจากห้องเพื่อมุ่งหน้าไปยังท้องพระโรงของราชวังเอมาลี
❂ …………………………….❂
ยามที่ดวงอาทิตย์คล้อยลง เป็นเวลาที่กองทัพของทาริคเดินทางมาถึงนอกกำแพงเมืองหลวงแคว้นเอมาลี ทหารของสองอาณาจักรต่างตรึงกำลังกันเอาไว้ไม่มีผู้ใดเริ่มลงมือก่อน
สถานการณ์ระหว่างกำแพงสูงว่าตึงเครียดแล้ว ในท้องพระโรงของเอมาลียิ่งทวีความตึงเครียดกว่า เพราะจากข่าวล่าสุดที่ได้รับมา กองทัพในมือทาริคนั้นมีกำลังพลเรือนแสน แต่กองกำลังของฝั่งเอมาลีมีแค่สามหมื่นนาย ถึงจะผนวกเอากำลังคนจากโฮมาที่เหลือรอดมากับราชาฟารุค กำลังพลของเหล่าภูตราตรีและหน่วยราชองครักษ์ของเจ้าชายนาซีม ทั้งหมดก็มีไม่ถึงห้าหมื่นนายเท่านั้น
ขณะที่ทุกคนกำลังช่วยกันขบคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับสถานการณ์เช่นนี้ อยู่ๆ ก็มีทหารนายหนึ่งตรงเข้าท้องพระโรงมาเพื่อแจ้งข่าวแก่ราชาอาฟา
“ขออภัยองค์ราชา”
“ว่ามา”
“ราชาทาริคแห่งโซราห์ส่งคนของเขาเข้ามายื่นสารถึงพระองค์ขอรับ”
“แล้วตอนนี้คนของมันอยู่ที่ใด”
“หน้าประตูเมืองทางทิศเหนือขอรับ”
“ไปพาตัวเข้ามา”
“ขอรับ”
เมื่อนายทหารผู้นั้นรับคำ ทุกคนในท้องพระโรงก็รอคอยการมาถึงของผู้ส่งสารจากฝ่ายตรงข้าม
ไม่นานนักประตูใหญ่หน้าท้องพระโรงก็เปิดอีกครั้ง คณะบุคคลที่เข้ามานั้นมีด้วยกันสามคน นาซีมมองแล้วสะดุดตากับชายที่อยู่ด้านหน้าทันที เพราะเขาเคยพบกันมาก่อนแล้วที่ซันดา
...นักบวชเชน
ส่วนสองคนด้านหลังมีซีญ่าคนสนิทของทาริค กับอีกคนที่นาซีมไม่รู้จัก
ผู้ที่ถือสารของทาริคมาคือนักบวชเชน เขาทำความเคารพราชาสองพระองค์ รวมทั้งก้มหัวให้นาซีมตามธรรมเนียมด้วย แม้ดวงตาของเขาที่จ้องนาซีมนั้นจะไม่น่าไว้ใจสักนิดก็ตาม
“ราชาทาริคมอบหมายให้ข้าเป็นตัวแทนในการส่งสารมาเจรจากับองค์ราชาอาฟา หวังว่าท่านจะนำไปพิจารณาขอรับ” เมื่อนักบวชอสรพิษนั่นพูดจบเขาก็นำสารมามอบให้แก่ราชาอาฟาด้วยตัวเอง “ราชาของเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าราชาอาฟาจะมีความคิดเห็นที่ตรงกัน เพื่อจะได้ไม่สูญเลือดเนื้อชาวซาร์เรียไปมากกว่านี้”
เมื่อทำหน้าที่ส่งสารให้ถึงมือราชาแห่งเอมาลีเรียบร้อยแล้ว คณะทูตของทาริคก็เดินทางกลับทันทีโดยไม่ดูปฏิกิริยาของราชาอาฟาก่อน
เมื่อคนของทาริคออกไปแล้ว ราชาอาฟาจึงให้คนสนิทเปิดอ่านสารนั้นให้ทุกคนในท้องพระโรงได้ยินพร้อมกัน
ในนั้นมีใจความโดยสรุปคือ อยากให้แคว้นเอมาลียอมเปิดประตูเมืองแก่โซราห์ในการนำของทาริคโดยดี และส่งตัวเจ้าชายนาซีมกับราชาฟารุคไปให้ หากทำเช่นนี้แล้วทาริคก็จะไม่ใช้กำลังกับแคว้นเอมาลี ทั้งยังจะยกให้เป็นพันธมิตรอันดับหนึ่ง แต่ถ้าไม่ยินยอม เอมาลีก็จะพบจุดจบเช่นเดียวกับโฮมา ซึ่งทาริคก็ให้เวลาราชาอาฟาในการตัดสินใจเจ็ดราตรี ระหว่างนี้จะไม่มีการโจมตีใดๆ เป็นอันขาด
แต่ถ้าราชาอาฟาปฏิเสธเงื่อนไขที่ทางนั้นหยิบยื่นให้ ทาริคก็จะนำกองทัพเกรียงไกรของตนบุกเข้าโจมตีเอมาลีทันที และจะไม่ยอมรามือจนกว่าเอมาลีจะพินาศไม่ต่างจากโฮมา
หลังจากอ่านสารแล้วราชาฟารุคก็กัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ ส่วนราชาอาฟาที่ถูกหยิบยื่นไมตรีให้พร้อมๆ กับการข่มขู่ก็หน้าตึงอย่างไม่พอใจเช่นกัน
มีเพียงนาซีมที่นิ่งเงียบและแสดงสีหน้าเรียบเฉยอยู่จนกระทั่งฟารุคเอ่ยถามความคิดของราชาอาฟา
“ท่านคิดจะทำอย่างไรอาฟา”
อาฟารู้ว่าหากเขายอม ประชาชนก็จะรอดพ้นจากภาวะสงครามที่ดูอย่างไรก็มีโอกาสชนะเพียงน้อยนิด แต่ถ้าเขายอมสิโรราบแก่ทาริค จะมีผู้ใดรับประกันว่าเอมาลีจะไม่ถูกกลืนกินในภายหลัง การยินยอมทำตามเงื่อนไขที่มาพร้อมคำขู่เกือบทุกประโยค จะต่างอะไรกับการลุกออกจากบัลลังก์ให้ทาริคนั่งเมืองแทน
“เจ้าว่าข้าควรทำเช่นไรเล่าฟารุค”
“ข้ามิอาจล่วงรู้ความคิดท่านได้ แต่ถ้าท่านเลือกที่จะเป็นพวกเดียวกับมัน ข้าก็คงต้องแลกชีวิตกับพระองค์ที่นี่!” ฟารุคเอ่ยพร้อมเอามือแตะที่ดาบ และนั่นส่งผลให้องครักษ์ของอาฟาพากับชักดาบออกมาปกป้องราชาของตนเองกันหมด
มีเพียงคาริฟ นาซีมและคนของพวกเขาเท่านั้นที่ยังยืนนิ่งไม่ขยับ เมื่ออาฟาเห็นดังนั้นก็ได้แต่ส่ายหัวเบาๆ กับความเลือดร้อนของฟารุคแล้วว่า
“หึ” อาฟาแค่นหัวเราะให้ราชาที่มีอายุคราวลูก ก่อนจะเอนหลังพิงบัลลังก์ด้วยท่าทีสบายๆ “วางดาบเจ้าลงเถิดฟารุค หากต้องการแลกชีวิตกับคนสักคนแล้วล่ะก็ คนผู้นั้นยอมอยู่ในสนามรบนอกกำแพงแคว้นเอมาลี มิใช่ที่นี่”
ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ราชาฟารุคก็หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ เก็บดาบเข้าฝักและเอ่ยเก้อๆ
“เช่นนั้นก็บอกกันดีๆ แต่แรกสิราชาเฒ่า...”
“เจ้าก็หัดอ่านสถานการณ์เสียบ้างเจ้าเด็กอ่อนหัด” อาฟาดุฟารุคต่อหน้าทุกคน จากนั้นก็ค่อยๆ ระบายลมหายใจออกมา “เวลานี้มิใช่เวลาที่เราจะมาระแวงกันเอง แต่เราต้องช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรในอีกเจ็ดราตรีข้างหน้า เพราะถ้าข้าตอบกลับไปว่าไม่ยินยอม ฝ่ายนั้นคงเดินหน้าบุกเอมาลีเต็มกำลัง และกำลังของพวกเรารวมกันก็น้อยกว่าฝั่งของมันมาก หากมิมีแผนการที่ดีพอ ข้ากลัวว่าเราจะต้านมันได้ไม่นาน จากที่ข้ารู้ ทาริคไม่เหมือนผู้อื่น มันไม่รู้จักกลัวตาย ทั้งยังมาเล่ห์นัก เราคงต้องตรองให้ดีว่าจะรับมือกับมันอย่างไร พวกท่านมีความคิดเห็นดีๆ หรือไม่เจ้าชายนาซีม คาริฟ”
หลังจากที่เห็นนาซีมและคาริฟเงียบอยู่นาน อาฟาจึงลองถามดูเผื่อว่าเจ้าชายแห่งโซราห์และหัวหน้าภูตราตรีจะมีแผนการในใจ
“ก่อนอื่น ข้าคิดว่าพวกเราต้องหาทางเพิ่มกำลังพลเสียก่อน”
“หมายความว่าอย่างไร ท่านอยากให้ข้าเกณฑ์ประชาชนมาเป็นทหารเพิ่มหรือ” อาฟาถาม
“ข้ารู้ว่าประชาชนของท่านส่วนใหญ่มิได้จับดาบสู้รบ แต่จับพู่กัน ขับร้องและเชี่ยวชาญงานศิลป์แขนงต่างๆ มากกว่า ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้เราควรใช้กำลังของคนหนุ่มให้เป็นประโยชน์ อย่างน้อยก็คัดมาร่วมกับกองกำลังระวังภัยประจำเมืองก็ยังดี เราจะได้แบ่งเอาทหารที่ถูกฝึกมาออกไปสู้ที่สนามรบได้มากกว่าเดิม” คาริฟแนะนำพร้อมกับให้เหตุผล
“ข้อนี้ข้าเองก็เห็นด้วยกับท่านคาริฟ” ฟารุคสนับสนุนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ราชาอาฟาวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียในใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วว่า
“เช่นนั้นก็คงต้องออกคำสั่งให้เกณฑ์กำลังพลมาร่วมรบ”
เมื่อตัดสินใจแล้วเขาก็หันไปสั่งความกับแม่ทัพของตนเพื่อให้จัดการในเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด พร้อมกับสั่งให้ช่วยกันจัดหาอาวุธเพิ่มเติมอีกเท่าตัว
กระทั่งราชาอาฟาจัดการเรื่องเพิ่มกำลังพลเรียบร้อย คาริฟที่รอโอกาสอยู่ก็เสนอขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง
“ข้ามีอีกเรื่องที่อยากให้พวกท่านพิจารณา”
“ว่ามาเถิดคาริฟ”
“นอกจากจะเพิ่มกำลังพลของฝ่ายเราแล้ว พวกเราต้องหาวิธีตัดกำลังของทาริคด้วย”
“แล้วท่านมีข้อเสนอหรือไม่”
“จากสายข่าวของเรายามนี้ ทาริคยึดมาไอร่าเป็นฐานที่มั่น หากเพลี่ยงพล้ำก็จะถอยทัพกลับไปตั้งหลักที่นั่นได้ อีกอย่างข้าคิดว่ามาไอร่าน่าจะเหมาะสำหรับเก็บเสบียงที่ส่งมาจากโฮมาเพื่อสนับสนุนกองทัพ ดังนั้นข้าคิดว่าเราควรเข้าไปจัดการที่นั่งเพื่อตัดกำลังของเขา”
“ด้วยวิธีใดเล่า”
“วิธีซุ่มโจมตีอย่างกองโจร”
“กองโจรหรือ”
“ถูกแล้ว ข้าและคนของข้าจะรับอาสาทำงานนี้เอง”
เนื่องจากวิธีการโจมตีอย่างกองโจรนั้นเป็นวิธีที่คาริฟถนัด ซ้ำยังใช้จำนวนคนน้อย และถ้าสำเร็จจะเกิดผลยิ่งใหญ่ เขาจึงเป็นฝ่ายรับอาสา
ทว่าเมื่อนาซีมได้ฟัง เจ้าชายกลับไม่เห็นด้วยนัก เพราะวิธีนี้ค่อนข้างเสี่ยงเกินไป หากได้ชื่อว่าที่แห่งนั้นเป็นจุดสำหรับเก็บเสบียงแล้ว ทาริคย่อมมีวิธีเก็บรักษาและคุ้มครองอย่างดีและแน่นหนามากเป็นแน่ เจ้าชายจึงพยายามคิดหาวิธีอื่นมาหักล้าง ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้น ภาพในนิมิตที่เขาฝันถึงเมื่อคืนก็ผุดขึ้นมาในสมอง
มันคือภาพคาริฟกำลังโรมรันกับศัตรู
ทว่ามีรายละเอียดบางอย่างที่เจ้าชายเพิ่งนึกขึ้นได้ ซ้ำยังเป็นรายละเอียดที่สำคัญอีกด้วย...
มาถึงตรงนี้ นาซีมก็รู้สึกเหมือนมีพลังบางอย่างส่องสว่างในความมืดมิด เขาไม่แน่ใจว่ามันคือพลังพิเศษหรือสิ่งที่นึกคิดไปเอง ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจของนาซีมเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริง เจ้าชายจึงเอื้อนเอ่ยออกมาท่ามกลางวงสนทนาที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด
“ไม่ใช่ที่มาไอร่า” นาซีมว่า คาริฟจึงหยุดฟังก่อนเอ่ยถาม
“หมายความว่าอย่างไรนาซีม ไม่ใช่มาไอร่าหรือ”
“ไม่ใช่” นาซีมตอบ ทว่าดวงตากลับไม่มองสบใครทั้งนั้น หากมันกลับทอดมองออกไปไกลราวกับเจ้าตัวไม่ได้กำลังพูดคุยอยู่กับคาริฟหรือใครในท้องพระโรง
อีกทั้งดวงตาคู่งามที่เคยเป็นสีน้ำตาลอ่อนก็เปลี่ยนสีราวกับไพลินงดงาม!
เรื่องประหลาดนี้ทำให้ทุกคนไม่อาจปริปากพูดแทรก ทั้งยังสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ที่แผ่ออกมาจากนาซีม
คาริฟย่อตัวลงนั่งข้างคนรักพร้อมกับจับมือเขาเอาไว้ “นาซีม...เจ้ากำลังจะพูดอันใด บอกข้าให้แจ้งแก่ใจได้หรือไม่”
ได้ยินคำถามนี้ นาซีมก็ละสายตาจากอะไรบางอย่างกลางอากาศ จากนั้นจึงใช้ดวงตาสีไพลินหันมาสบตาคาริฟแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยราวกับคนไม่รู้จักกันมาก่อน
“จงนำเหล่าภูตราตรีไปที่ซันดาเถิด หากไปที่แห่งนั้นท่านจักประสบกับชัยชนะอย่างแน่นอน...”
ครั้นพูดจบประโยค นาซีมก็หลับตาลง จากนั้นหมดสติลงไปทันที!
❂ …………………………….❂
[1] ขนมที่ทำจากแป้งฟิลโล ถั่วต่างๆ สลับกันเป็นชั้นแล้วราดด้วยน้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อม
ตอนนี้ก็จะเครียดหน่อยๆ
แต่ก็โค้งสุดท้ายแล้วค่ะ
ฝากติดตามด้วยน้า
ปล.อยากกินขนมจังเลย 5555