คาถาที่ 32 (ครึ่งหลัง)ในช่วงสี่วันที่ผ่านมานับตั้งแต่เคลียร์กับคมเขี้ยวรู้เรื่อง ดับเพลิงแค้นในตาของแต่ละคนจบลง เรียวจันทร์ก็ใช้ชีวิตอยู่ในฟาร์มอรุณพยัคฆ์ด้วยความสุขใจและอิ่มเอิบใจ ที่นี่ให้ความรู้สึกว่าเป็นบ้านเทียบเท่ากับบ้านหลังเดิมในสมัยที่เคยมีพ่ออยู่ด้วย แต่อันนี้พิเศษมากขึ้นเพราะนอกจากจะเป็นพื้นที่ของพ่อที่ทิ้งไว้ให้นาง ยังมีผู้ชายอีกคนที่ทำตัวเหมือนพ่อนางแต่แท้จริงคือเป็นผัว
“บอกให้เลิกใส่กางเกงขาสั้น ใส่แบบนี้เดินแก้ผ้าไปเลยสิ” เรียวจันทร์หันไปกะพริบตาวิ้งๆ ใส่คมเขี้ยวที่ยืนกอดอกมองนางด้วยใบหน้าหงุดหงิด แล้วก็หันไปเติมปากต่อจนเสร็จ
“หนูกล้าแก้นะ พี่เขี้ยวเถอะ กล้าให้หนูแก้เปล่า” เรียวจันทร์ถามอย่างทะเล้น คมเขี้ยวถอนหายใจหน้าตาเซ็งๆ
“จะใส่แบบนี้ออกไปเจอพ่อหนูอย่างนี้เหรอ วันนี้มีย่า มีญาติหนูมาเยอะแยะเลยไม่ใช่รึไง” เรียวจันทร์แอบเบะปากนิดหน่อยตอนคมเขี้ยวเรียกผู้ชายคนนั้นว่าเป็นพ่อนาง แต่ก็ว่าไม่ได้ อีกฝ่ายไม่รู้
“ไม่แคร์ค่ะ รับไม่ได้ก็กลับไป” นางพูดอย่างไม่ใส่ใจ และอันที่จริงนางก็ไม่ใส่ใจคนพวกนั้นอยู่แล้ว ที่ให้มาวันนี้เพราะจะได้พูดในสิ่งที่นางค้างคาอยากจะพูด รอบที่แล้วโกหกคมเขี้ยวว่าจะไปหาเป็ดเพื่อจะไปคุยกับเจ้าสัว แต่โดนไอ้ตัวเห้ที่ตอนนี้ติดคุกไปเรียบร้อยดักทำร้ายร่างกาย นี่นางก็พักจนมั่นใจว่ารอยบนหน้าหายไปแล้วเลยตามคนพวกนั้นมาที่ฟาร์ม
“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ” คมเขี้ยวถามด้วยความสงสัย เรียวจันทร์บึนปากน้อยๆ พร้อมกับไหวไหล่ขวา
“ออกไปกันเถอะ” เรียวจันทร์คว้ามือคมเขี้ยวและพาเดินออกไปจากห้องนอน บนบ้านไม่มีใครอยู่เพราะลงไปทำงานด้านล่างกันหมด คุณป๋าก็กำลังฟื้นฟูไร่องุ่น คุณแม่ก็กำลังดูแลเรื่องแปลงดอกไม้ ดินก็ดูแลในส่วนหมู่บ้านคาวบอย ป้าอุ่นกลายเป็นอีกหนึ่งแม่ครัวฝีมือดีของฟาร์ม ลุงอ๊อดสดชื่นกว่าเดิมเพราะได้สังคมใหม่ๆ ส่วนแก๊ปเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยแล้ว เรียวจันทร์ไม่อยากให้น้องไปๆ กลับๆ กรุงเทพฯ กับเขาใหญ่ เลยจัดการซื้อคอนโดให้แก๊ปอยู่แทน
‘ไม่เป็นไรครับพี่เรียว แก๊ปกลับไปอยู่บ้านก็ได้’
‘แต่บ้านเรากับมหาวิทยาลัยแก๊ปก็ไกลกันอยู่ดี ไม่เป็นไรหรอกน่ะ พี่ก็กะจะซื้อคอนโดติดรถไฟฟ้าอยู่แล้ว บ้านเราอยู่ในซอกในซอยเกิน’
‘เอางั้นเหรอครับ’
‘เอางั้นแหละ ถือว่าแก๊ปไปช่วยพี่ดูแลคอนโดด้วย จะพาเพื่อน พาสาวเข้าห้องก็ตามสบายนะจ๊ะ คริๆ’
เป็นอันว่าแก๊ปเลยย้ายไปอยู่คอนโดที่คุณนายนางซื้อใหม่ การตัดสินใจนั้นไม่ยาก นางเลือกคอนโดเดียวกับแจเร็ดนั่นแหละแค่คนละตึก นางชอบโลเคชั่นโซนนั้นอยู่แล้ว เดินเอื่อยๆ เรื่อยๆ ก็ห้าถึงเจ็ดนาทีถึงรถไฟฟ้า เอาไว้ไปนอนเวลามีงานใจกลางกรุง จะได้ไม่ต้องขับรถให้อารมณ์เสียกับจราจรเมืองไทย
“หนูจะไม่ให้ทำกับข้าวเลี้ยงพวกเขาจริงๆ เหรอ”
“ไม่ต้องค่ะพี่เขี้ยว อาหารว่างเบาๆ ก็พอ พวกเขาคงอยู่ไม่นานหรอก…” เรียวจันทร์ยิ้มมุมปากพร้อมกับยักคิ้วซ้ายหนึ่งที
“…อีกอย่าง พ้อยท์หลักเขาบอกว่า เขาอยากมาเที่ยวชมฟาร์ม ก็ให้เขาชมไปจนเป็นที่พอใจ”
เพราะได้แค่ชมเท่านั้นแหละ
คมเขี้ยวย่นคิ้ว มองเรียวจันทร์อย่างไม่ไว้วางใจในความคิดวิเคราะห์ของแม่ตัวดี ยิ่งเห็นรอยยิ้มใสซื่อที่ดูเหมือนจะประดิษฐ์ขึ้นมาเขาก็ยิ่งรู้สึกเสียววาบตามสันหลังแปลกๆ มันอาจจะไม่ได้มีอะไรร้ายแรงอย่างที่กำลังจินตนาการ แต่เวลาเห็นแอคติ้งสีหน้าครุ่นคิดขบคิดของเมียตัวเองแล้วก็ห้ามความกังวลใจไม่ได้
เรียวจันทร์ไม่ได้ถึงกับลงมานั่งรอเป็นจริงเป็นจัง นางให้คมเขี้ยวพาเดินดูการทำงานของคนงานในส่วนต่างๆ ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายเบาๆ คุณนายเหมือนแม่บ้านญี่ปุ่นในชุดเสื้อกันฝนสีใสกับรองเท้าบู๊ตสีขาว ส่วนคมเขี้ยวถือแค่ร่มหนึ่งอันกับใส่รองเท้าบู๊ตแค่นั้น
“พี่เขี้ยว หนูอยากได้เครื่องเล่นเพิ่มอะ หามาลงอีกสักสองอันไม่ได้เหรอ” เรียวจันทร์บอกหลังจากยืนพิจารณาม้าหมุนอยู่ครู่หนึ่ง
“ฮึ? เอาอะไรมาลง ฟาร์มเราไม่ใช่สวนสนุกนะ แค่นี้ก็พอแล้ว” เรียวจันทร์หน้างอ พูดเสียงเหวี่ยงเล็กๆ
“แต่หนูอยากได้อะ”
“จ้ะ งั้นหนูก็ไปดูแล้วกันว่าอยากได้อะไรมาเพิ่ม” วิ้งงง! ใบหน้าสวยฉีกยิ้มอย่างรวดเร็วเมื่อได้รับการตามใจ คมเขี้ยวทำหน้าอ่อนใจแต่ก็มีรอยยิ้มประดับบนหน้าจางๆ เรียวจันทร์แกล้งมองค้อน คมเขี้ยวยิ้มขำเบาๆ
คมเขี้ยวพาเดินมาดูในหมู่บ้านคาวบอยที่กำลังเนรมิตให้มีสีสันและความสนุกสนานมากขึ้นด้วยการเพิ่มของประดับตามบ้านตามตึกแต่ละหลัง มีการติดไฟเพิ่มเติม ตรงกลางหมู่บ้านที่เป็นลานน้ำพุก็จัดองค์ทรงเครื่องใหม่ คมเขี้ยวบอกว่าหลังหน้าฝนหมดไปจะจัดให้เต็มกว่านี้ ช่วงนี้ฝนตก บางอย่างเลยยังใส่เข้าไปไม่ได้
เดินดูงานในหมู่บ้านคาวบอยท่ามกลางสายฝนสักพักฝนก็หยุด และเป็นจังหวะที่พวกเจ้าสัววิโรจน์เดินทางมาถึงฟาร์มพอดี เรียวจันทร์กับคมเขี้ยวออกไปต้อนรับทุกคนที่ขนกันมาสองรถตู้ หนึ่งในนั้นมีนังเด็กเกาหลี ลูกสาวคนเล็กของเจ้าสัวที่เรียวจันทร์แสนยี้ เพราะความระริกระรี้ของนาง
“ฟาร์มใหญ่โตมากเลยนะ” หญิงสูงวัยท่าทางเจ้ายศเจ้าอย่างมองไปรอบๆ และเอ่ยชมด้วยรอยยิ้ม เรียวจันทร์ (ฝืนใจ) ยกมือไหว้บุคคลที่มีอายุมากกว่านาง บางคนนางไม่รู้หรอกว่าอายุมากกว่ารึเปล่า แต่ดูหน้าแล้วแก่ก็ยก
“สวัสดีจ้ะหลานเรียว” คุณหญิงคุณย่าผู้สูงศักดิ์เอ่ยทักหลานชายที่มีลักษณะเป็นหลานสาวมากกว่า แต่หล่อนก็ไม่นึกถือ หรือจริงๆ อาจจะถือแต่แสดงออกเยอะไม่ได้
เรียวจันทร์ยิ้มน้อยๆ เป็นการตอบรับ คุณนายกวาดตามองจำนวนคนที่มากันราวสิบสองคนเห็นจะได้ บางส่วนยกมือถือมาถ่ายรูป หัวหน้าทริปอย่างเจ้าสัววิโรจน์เดินเข้ามาทักทายคมเขี้ยวกับเรียวจันทร์
“พ่อดีใจนะที่เรียวอยากเจอพ่อ” เรียวจันทร์ยิ้มอ่อนแบบที่คมเขี้ยวรู้สึกว่ามันอ่อนเกินไปจนน่าหวั่นใจ
“เชิญตามสบายนะคะ มีอาหารว่างอยู่ในครัว” ญาติโกโหติกาทั้งหลายที่เรียวจันทร์ไม่คิดอยากนับหันมายิ้มให้นาง คุณนายยิ้มตอบกลับไปแบบพอประมาณ
“คนเนี้ยอะเหรอคะแฟนพี่เรียวจันทร์” เรียวจันทร์แทบจะถลึงตามองนังเด็กผีเกาหลี แต่ก็ทำเพียงเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ
“ใช่ครับ” คมเขี้ยวตอบอย่างสุภาพ ยัยเด็กคนนั้นมองคมเขี้ยวแบบครุ่นคิด ก่อนจะบิดปากเหมือนไม่ชอบใจ คมเขี้ยวทำเพียงเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่เรียวจันทร์นี่แทบจะปล่อยพลังใส่แล้ว
“ก็หล่อดีนะคะ แต่ไม่ใช่สเป็คหนู…” เรียวจันทร์ไม่สามารถห้ามเปลือกตาไม่ให้ขยับกว้างขึ้น นางมองนังน้องนอกไส้อย่างไม่ชอบใจเช่นกัน
“…อีกอย่าง เขาฐานะด้อยกว่าพี่เรียวไม่ใช่เหรอคะ เทียบเท่าก็ไม่ต่างจากผู้ใช้แรงงานในฟาร์มพี่เรียว” และแล้วเส้นก็ขาดผึง!
“ปากแบบเนี้ย ถ้ามีไว้แล้วไม่รู้จักพูดสิ่งดีๆ ก็ต้องมีไว้ตบ” เรียวจันทร์กระแทกเสียง เล่นเอานังเด็กเกาหลีผงะถอยหลังไปยืนข้างแม่ตัวเอง คนอื่นๆ เหวอไปตามๆ กัน คมเขี้ยวเองก็เหวอไปนิดหน่อยแต่ก็รู้จักอารมณ์ของเรียวจันทร์ดี
“เอ่อ พ่อขอโทษแทนน้องนะลูก เรียวไม่ได้คิดจะตบน้องจริงๆ ใช่มั้ย”
“คิดค่ะ อยากทำจริงๆ ด้วย แต่ยังเกรงใจ…” วิโรจน์มีสีหน้าตกใจเบาๆ เรียวจันทร์หันไปมองคนเป็นแม่ที่หน้าตาสะสวยพอๆ กับคุณนายโรสิตาของนาง
“…เชื่อว่าคุณอบรมแล้ว แต่ก็เชื่ออีกว่ายังอบรมไม่มากพอ” ภรรยาของวิโรจน์มีสีหน้าไม่พอใจกับคำพูดของเรียวจันทร์ ยืนมองหน้าคนอายุน้อยกว่ามากตาแข็ง แต่เรียวจันทร์ไม่แคร์
“เรียว ไม่เอา” คมเขี้ยวกระซิบ เรียวจันทร์เหมือนจะหยุด แต่นึกขึ้นได้ว่ามีสิ่งที่อยากพูดอีก
“เธอมีสิทธิ์ดูถูกคนอื่นๆ ได้ แต่ต้องไม่ใช่กับแฟนฉัน ไม่งั้น หล่อนจะได้รู้ว่าเวลาผีเจ้าที่เข้าสิงมันเป็นยังไง” แค่พูดขู่ แต่คมเขี้ยวกลับรู้สึกว่าเจ้าที่เข้าสิงเรียวจันทร์ไปแล้วครึ่งนึง
“เดี๋ยวนะคะ ทำไมต้องพูดจารุนแรงขนาดนั้นด้วย พี่น้องกันทั้งนั้นอะ” เรียวจันทร์หันไปมองหญิงสาวอีกคนที่ดูจะอายุน้อยกว่านาง และท่าทางคงเป็นพี่ของนังเด็กผีเกาหลี ท่าทางไม่เบาเหมือนกัน คงเป็นพวกหน้าใสแต่ใจติดเทอร์โบ
“อยากจะชมฟาร์มต่อหรือจะให้ตัดจบตอนนี้” หึ พี่น้องงั้นเหรอ ฉันเคยเจอกับคำว่าแม่ลูกมาแล้วย่ะ แค่เนี้ยเบามาก
“หลานเรียว ใจเย็นก่อนนะลูก ย่าไม่ได้อยากให้หลานมาทะเลาะกันเองแบบนี้” เรียวจันทร์เหลือบไปมองคนสูงวัยที่สุด แม้จะอารมณ์เริ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่อยากถอนหงอกคนแก่
“ผมว่า เรามาเที่ยว เราก็ไปเที่ยวกันเถอะนะครับ” ชายหนุ่มรูปหล่อ รูปร่างสูงแต่ไม่ใหญ่ หุ่นพอๆ กับคมเขี้ยวแต่เตี้ยกว่าคมเขี้ยวเอ่ยบอกอย่างใจเย็น เรียวจันทร์เหลือบมองแว้บเดียว
“ผมชื่อวินนะครับพี่เรียว” คุณนายขยับยิ้มให้เล็กน้อย คงเป็นพี่ชายของแม่สองสาว ท่าทางดูจะสุภาพและนุ่มนวลที่สุดในบรรดาพี่น้อง
“โชคดีที่มาตอนฝนหยุดแล้ว ถ้ายังไงก็เดินชมตามสบายเลยครับ” คมเขี้ยวบอกเพื่อตัดบท แม่ตัวดีจะได้ไม่จิกกัดใครอีก
พวกเจ้าสัววิโรจน์พากันเดินออกจากจุดที่ยืนอยู่ ภรรยาของเจ้าสัวมองเรียวจันทร์ด้วยความขุ่นเคือง แต่เรียวจันทร์กลับหน้าเชิด ลึกๆ ในใจนางไม่ชอบผู้หญิงคนนี้เพราะมาแทนที่แม่นาง แต่จะโทษเขาก็ไม่ได้ แม่นางก็คงทำวีรกรรมอะไรไว้เยอะจนพ่อต้องขอเลิก
“นึกยังไงถึงอยากมาเที่ยวกันตอนนี้” คมเขี้ยวมองคนกลุ่มนั้นที่เดินไปถ่ายรูปตามจุดต่างๆ ของฟาร์มแล้วพูดอย่างสงสัย
“ก็หนูชวนเขามาไง” เรียวจันทร์ย้ำเตือนความจำคมเขี้ยวกับสิ่งที่ตัวเองเคยบอกไปอีกที
“นั่นแหละ ยิ่งน่าสงสัยว่าทำไมถึงมา และทำไมหนูถึงไปชวนเขา” เรียวจันทร์ยิ้มน้อยๆ แต่สีหน้าเหมือนมองกล้องสองอยู่ คมเขี้ยวหรี่ตามองด้วยความไม่ไว้ใจอย่างแรง
“หนูมีเรื่องจะพูดกับเขา”
“แล้วทำไมไม่พูดไปเลยล่ะ”
“ไม่เอาอะ มาถึงแล้วพูดเลยก็เร็วไป ไม่สนุกสิ ให้เขาได้เดินชมบ้านของเราก่อน” คมเขี้ยวทำหน้างงไม่เข้าใจ เรียวจันทร์ยิ้มกริ่ม ยกมือขวาตีอกตัวเองเบาๆ และทำหน้าว่าเชื่อเจ๊
เดินชมฟาร์ม เดินถ่ายรูป เก็บองุ่นกิน ดื่มนมข้าวโพด และชมหมู่บ้านคาวบอยจบ พวกวิโรจน์ก็พากันมากินอาหารว่างที่โรงอาหาร โดยมีพวกคนงานนั่งกินอาหารกลางวันเสียงดังจอแจ ญาติที่มาด้วยสามสี่คนแยกโต๊ะนั่งอีกโต๊ะ คุณหญิงย่าของเรียวจันทร์หน้าเหวอไปนิดที่ต้องมานั่งกินกับคนเยอะแยะแบบนี้ แถมแต่ละคนก็ดูไม่ได้ให้ความเกรงใจเธอและครอบครัวเธอเลยสักนิด ไม่ใช่แค่หญิงสูงวัย แต่สามสาวที่เหลือก็ดูออกว่ามีอาการอึดอัด ไม่สบายเนื้อสบายตัวสักเท่าไหร่
แต่นั่นแหละที่เรียวจันทร์ต้องการ นางเบะปากน้อยๆ เมื่อเห็นนังเด็กเกาผีทำหน้าหยีคนงานที่เดินผ่านไปผ่านมา นังคนพี่แม้ไม่แสดงออกลายใหญ่แต่ก็รู้ว่าดัดจริตไม่เบา
“ทุกคนดูสนิทสนมกันดีจัง” วิโรจน์พูดพลางยกแก้วไวน์แดงขึ้นจิบ เรียวจันทร์หันมองน้องชายต่างแม่ของตัวเองที่ยกนมวัวจากฟาร์มขึ้นจิบจากแก้วสีใส
“อร่อยมั้ยคะน้องวิน” คนถูกถามยิ้ม ทั้งรู้สึกดีที่ได้ยินพี่ตัวเองเรียกน้องและยิ้มเสริมคำตอบตัวเอง
“อร่อยครับ รสชาติดีมากเลย”
“นั่นเป็นนมวัวจากแม่วัวที่สตรองที่สุดของฟาร์มเราค่ะ…” เรียวจันทร์ปรายตาไปทางเจ้าสัววิโรจน์ที่มองไปรอบๆ แว้บหนึ่ง
“…สตรองแค่ไหนต้องถามใจนางดู ขนาดมีคนใช้นางเป็นเครื่องมือขู่พวกเรา นางยังรอดตายกลับมาได้ และก็เบ่งนมมาให้ได้ดื่มกันนี่แหละค่ะ”
“ใครขู่ใครเหรอจ๊ะหลานเรียว” เรียวจันทร์ยิ้มให้หญิงย่า หันไปมองวิโรจน์ที่ทำหน้าสงสัยใคร่รู้
“พวกนายทุนมักมากน่ะค่ะ หวังอยากจะได้ที่ดินคนอื่นเขาไปทั่ว พอขอไม่ได้ล่ะก็ แย่งเอา แย่งด้วยวิธีโสโครก” เรียวจันทร์พูดเรียบๆ เนิบๆ แต่เน้นเสียงชัดเจนจนนางเห็นว่าสีหน้าวิโรจน์สะดุดไปนิดหนึ่งเช่นกัน
“ไวน์ที่พ่อดื่มอร่อยมั้ยคะ” เรียวจันทร์แสร้งถามเสียงหวาน วิโรจน์ยิ้มน้อยๆ แล้วพยักหน้า
“อร่อย กลมกล่อมดีมาก”
“แหม เรียวดีใจนะคะที่พ่อชอบ ไวน์ล็อตนี้เป็นล็อตที่มีคนแอบเข้าไปในโรงงานผลิตแล้วทำลายมันซะเละเลย…” บรรยากาศบนโต๊ะชวนหายใจไม่สะดวกแปลกๆ แต่เรียวจันทร์ไม่แคร์
“…เรียวเสียดายน่ะค่ะ เลยให้คนงานเก็บไว้ ไม่คิดว่ามันจะยังมีรสชาติอร่อยด้วย” ที่จริงนางไม่ได้ให้ใครเก็บไว้หรอก นางพูดไปงั้นแหละ ให้บทมันไหลลื่น
“โห มีคนทำอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ” เรียวจันทร์นึกขอบคุณน้องชายต่างแม่ของตัวเองที่ส่งบทมาให้นางแบบนี้
“มีสิคะ คนมันอยากได้ มันก็ทำได้หมดแหละ ไม่ใช่แค่นี้นะ มันยังฝากระเบิดมาให้ที่ฟาร์มด้วย”
“ระเบิดเหรอ?! น่ากลัวอ้ะ” ยัยเด็กเกาหลีอุทานด้วยสีหน้าสยอง เรียวจันทร์กระตุกยิ้ม หันมองใบหน้าอึดอัดของบิดาตัวเอง
“ใช่จ้ะ น่ากลัวมาก แล้วคนทำก็เลวมากด้วย” เรียวจันทร์มองหน้าวิโรจน์อย่างนิ่งงัน มองจ้องแบบที่นางไม่ได้ทำอารมณ์ให้ซับซ้อนใดๆ
“พ่อขอคุยกับเรียวหน่อยสิ”
“ไม่ค่ะ ถ้าจะคุยก็คุยตรงนี้ ถ้าไม่อยากให้ใครรู้เรื่อง ก็ให้เขาย้ายไปนั่งที่อื่น” เชื่อว่าวิโรจน์เริ่มจะรู้ตัวแล้วว่าลูกชายหน้าหวานของตัวเองต้องการจะสื่ออะไร วิโรจน์หันไปมองภรรยาและพยักหน้าให้หนึ่งที หญิงสาวเลยพาทุกคนลุกออกไปนั่งอีกโต๊ะที่อยู่ไม่ห่างกันมากนัก พอเหลือกันสองคนเรียวจันทร์ก็เปิดปากพูดต่อทันที
“เรียวมีหลักฐานทุกอย่าง ทั้งคำให้การของแม่เรียวเอง และหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอัน…” วิโรจน์ขบกรามเบาๆ
“…เรียวเชื่อว่าพ่อรู้จักเสี่ยจอมทัพ และคงรู้ด้วยว่าคนๆ นี้ถ้าได้กัดใคร กัดไม่ปล่อย ถ้าเขาแฉพ่อขึ้นมา อิทธิพลที่พ่อมีก็สู้ของจอมทัพไม่ได้ เพราะอิทธิพลจอมทัพมืดกว่าของพ่อเยอะ” เรียวจันทร์คิดว่าตัวเองใจดีมากแล้วที่ยังเรียกคนๆ นี้ว่าพ่อ
“หนูต้องการอะไร จะขู่พ่อ หรือจะแจ้งจับพ่อ”
“นี่คือการขอร้องจากเรียวจันทร์ ลูกชายของพ่อคนนึงที่พ่อไม่เคยเหลียวแล แต่วันนึงกลับมาสนใจเพราะอยากได้สมบัติของเรียว” วิโรจน์หน้านิ่ง ขยับปากเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ทำเพียงยิ้มเยาะ เรียวจันทร์ไม่สนใจอาการนั้น
“เรียวยังเรียกคุณว่าพ่อ เพราะถือว่าคุณให้กำเนิดเรียวมา แต่นับจากนี้ อย่ามายุ่งกับชีวิตของเรียวที่นี่อีก ที่ตรงนี้พ่ออาทิตย์ทิ้งไว้ให้เรียว และคมเขี้ยวกับครอบครัวเขาก็เป็นคนริเริ่มให้มันใหญ่โต พ่อจะมาชุบมือเปิบเอาไปง่ายๆ ไม่ได้” วิโรจน์อ้าปากจะพูด แต่เรียวจันทร์ยกมือห้ามหน้า (สวย) ดุ
“อย่าให้เรียวต้องแจ้งจับพ่อกับแม่ตัวเอง ชีวิตพ่อเพียบพร้อมอยู่แล้ว อย่าโลภไปมากกว่านี้ และอย่ายุ่งหรือคิดทำร้ายที่ดินของเรียวอีก เพราะถ้ามีอีกครั้ง เราจะเจอกันที่ชั้นศาล ซึ่งเรียวจะไม่ยอมแน่ๆ” เรียวจันทร์จ้องตาวิโรจน์อย่างท้าทาย ผู้ชายตรงหน้าเรียวจันทร์ขบกรามแน่น มองลูกตัวเองด้วยสายตาขุ่นเคือง
“เรียวจะไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เรียวจะไม่ขุดมันขึ้นมาอีก”
“มีใครรู้เรื่องนี้อีกมั้ย”
“ไม่มี และไม่ต้องกลัวว่าเรียวจะบอกใคร แต่ถ้ายังอยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเองด้วยวิธีการทุเรศๆ อีกล่ะก็ เรียวจะบอกคนทั้งประเทศพร้อมหลักฐานทุกอย่าง แล้วมาดู ว่าใครจะพังกว่ากัน”
Game on!
วิโรจน์มองสายตาเอาจริงของเรียวจันทร์อีกสักพักก่อนจะถอนหายใจด้วยความจำยอม เรียวจันทร์ยืดตัวเชิดคางขึ้นเล็กน้อยและยกยิ้มมุมปากด้วยความเหนือกว่า
ถือว่านี่คือการชดใช้บุญคุณที่ทำให้นางเกิดมาก็แล้วกัน
คมเขี้ยวกับเรียวจันทร์ยืนมองรถตู้สองคันขับออกไปจากฟาร์มในยามเย็นที่ไม่มีแสงอาทิตย์เนื่องจากฟ้าครึ้มตลอด เสียงฟ้าร้องครืนๆ บ่งบอกว่าอีกไม่นานท้องฟ้าคงคายเม็ดฝนออกมา
“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เป็นอะไรเนี่ย” คมเขี้ยวถามหลังจากเห็นแม่คุณนายยิ้มคล้ายว่ากำลังพอใจอะไรสักอย่างอยู่มาก
“เอ๊า รอยยิ้มมาจากการที่ภายในเราดี พอภายในเราดี มันก็ส่งผลมาถึงภายนอก ยิ้มเราเลยสดใส เพิ่มความสวยให้กับใบหน้าของหนู” คมเขี้ยวย่นคิ้วแล้วนึกในใจว่าอะไรวะ ถามแค่สั้นๆ ตอบมาซะยาวและเหมือนจะไม่ตรงประเด็นด้วย
“ถามจริง ไม่มีใครชมว่าสวยเหรอ ถึงชอบชมตัวเอง” คุณนายถลึงตาใส่สามี
“แล้วพี่เขี้ยวไม่คิดว่าหนูสวยเหรอ ห๊า?!” ร่างสูงยิ้มทะเล้น และส่งเสียงขำกับตาโปนๆ ของยัยคุณนายที่จ้องตัวเองอยู่
“สวยจ้าสวย” เขาน่ะประชด แต่ยัยคุณนาย…
“ก็คิดอยู่แล้วแหละว่าพี่เขี้ยวต้องคิดว่าหนูสวย ใบหน้าประจักษ์ขนาดนี้” จากที่ตาถลึงๆ เปลี่ยนเป็นยิ้มตาหวาน บิดตัวเขินน้อยๆ อย่างพอดิบพอดี คมเขี้ยวยิ้มระอาใจเล็กๆ
“เย็นแล้ว ไปทำกับข้าวไป ทำหน้าที่เมียหน่อย” ขี้เกียจจะเถียงด้วยแบบเมื่อก่อน เพราะเถียงไปยัยคุณนายเขาก็วกเข้าชมตัวเองตลอด
“เป็นเมียอยู่ในครัว แต่เป็นอีตัวบนเตียงนอน คิๆๆๆ” คมเขี้ยวยิ้มกว้างพร้อมหัวเราะกับใบหน้าเจ้าเล่ห์และเสียงหัวเราะเหมือนคนเส้นเสียงอักเสบ
“ใช่ ไม่มีใครสู้อีตัวเนี่ยได้อีกแล้ว” เรียวจันทร์หยุดหัวเราะฉับ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเหวอนิดหน่อย
“ทำไมพี่เขี้ยวออกเสียงคล้ายตัวเหี้ยเลยอะ” คมเขี้ยวกลั้นขำ มองใบหน้าสวยนิ่วคิ้วขมวด อ้าปากหวอครุ่นคิดจริงจัง
“บ้า ใครจะว่าเมียตัวเองเป็นตัวเหี้ยล่ะ คิดมาก ไปๆ” คมเขี้ยวเดินจูงมือแม่ตัวดีเดินกลับไปทางบ้านใหญ่ ในตอนนั้นฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา และแม่คุณนายนางก็เลิกคิดมากว่าผัวกำลังด่าตัวเอง เพราะนางเชื่อว่า
“เนอะ ไม่มีใครกล้าด่าคนแสนดีแสนวิเศษอย่างเรียวจันทร์ว่าตัวเงินตัวทองหรอก”
คมเขี้ยวหันไปพยักหน้าหงึกๆ ราวกับสนับสนุนความคิดเห็นนั้น
แต่ก็ต้องกลั้นขำจนเมื่อยแก้ม
แอร๊ยยยย ตอนหน้าก็จบแล้วววว แต่แม้ว่ามนตร์ขุ่นแม่จะจบลงแต่รับรองว่าไม่มีวันเสื่อมคลาย ความเฮี้ยน เอ้ย ความฮ็อตของขุ่นแม่จะยังอยู่ทุกหนแห่งทุกแหล่งของโลกนี้แน่นอนค่ะ
พี่เขี้ยวไม่ได้กลัวเมียนะคะ พี่เขี้ยวแค่ร้ากมากเลยไม่อยากขัดใจ อะไรที่ตามใจขุ่นแม่ได้ก็ตามดีกว่า ขัดไปก็ไม่ดี คริๆ
นี่คือสิ่งที่เรียวจันทร์ทำได้ดีที่สุดกับคนเป็นพ่อเป็นแม่แล้วจริงๆ ค่ะ ขอร้องครั้งสุดท้าย และขอเจอเป็นครั้งสุดท้ายทั้งพ่อและแม่ ทำได้ดีที่สุดแล้วสำหรับลูกคนนึงที่ไม่คิดจะตอบแทนบุญคุณแต่ก็ไม่อยากเนรคุณอะไรไปมากกว่านี้
ขุ่นแม่ทำดีที่สุดละเนอะะะ
ใครอยากต่อมนตร์พิเศษ ตอนนี้มีรอบสต๊อกนะจ๊ะ อิๆ ขายของเนียนๆ แถมในเล่มยังมีตอนของน้องดินด้วยยย ฮิ้วววว รายละเอียดอ่านได้ที่เพจค้า
ขอขอบคุณคนอ่านที่ติดตามอ่านเรื่องนี้กันอยู่มากๆ นะคะ ขอบคุณที่รักและสนุกไปกับเรื่องราวในแบบที่เป็น คอมเม้นคือแรงกำลังใจของคนเขียน แม้อาจจะไม่มากแต่ก็ดีใจที่ยังมีคนคอยเม้นเป็นแรงขับเคลื่อนดีๆ ให้อยู่เสมอ