๑๙ (ต่อ)
“ไง ไอ้เสือ นั่งหงอยเหมือนคนอกหัก ทะเลาะกับกานต์หรือวะ” เสียงรุ่นพี่ที่นับถือกันเหมือนพี่น้องแท้ ๆ เอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นคนเป็นน้องดูเงียบขรึมกว่าปกติ จากที่เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว หากแต่ใบหน้าหมองหม่น ดวงตาอมเศร้านั่นทำให้อัศม์เดชสงสัยหนัก
“เปล่าหรอกพี่เดช ผมแค่ผิดหวังก็เลยเสียใจน่ะ” ณัฐธีร์บอกเสียงเนือย สีหน้าไม่สดชื่นนัก
“ผิดหวัง ? เรื่องอะไรวะ” ยิ่งได้คำตอบยิ่งสงสัยหนัก คราวนี้อัศม์เดชขยับมานั่งฝั่งตรงกันข้าม ดวงตาคมกริบจ้องมองรอคำขยายความต่อจากปากรุ่นน้อง
“กานต์มีคนที่รัก แต่...ไม่ใช่ผม” ณัฐธีร์ตอบห้วน ยกเข่าขึ้นกอดเบือนหน้าไปอีกทาง กลืนความขมขื่นทั้งหมดลงคอ ทั้งสับสน เสียใจ ทุกอย่างยุ่งเหยิงไปหมด เขาไม่เป็นตัวของตัวเอง
“ผมพยายามใช้ความดีเอาชนะใจกานต์ แต่ก็เปล่าประโยชน์ ส่วนคนที่กานต์รัก เขาไม่ต้องทำอะไรเลย แถมทำให้กานต์เสียใจ แต่กานต์ก็ยังรักเขา ผมที่ทุ่มเททุกอย่าง ทำไมมันไม่มีค่าอะไรเลย” ณัฐธีร์ระเบิดความในใจ นัยน์ตาแดงก่ำ เขาเจ็บปวด น้อยใจจนฟุ้งซ่าน
“ไหนหลายคนบอกว่ารักคนดีไง ที่ผมทำ มันยังดีไม่พออีกหรือพี่เดช” เขาเงยหน้าขึ้นถามรุ่นพี่ ดวงตาเศร้าสร้อยเหมือนเด็กน้อยหลงทาง ยอมรับว่าเวลานี้อ่อนแอเหลือเกิน
“มันก็ใช่ ที่ส่วนใหญ่ปากก็บอกรักคนดี แต่เอาเข้าจริง ๆ มันเลือกไม่ได้หรอกว่าจะรักคนดีหรือไม่ดี จริง ๆ ส่วนมากก็หวังอยากให้คนที่ตัวเองรักเป็นคนดีต่างหากละ ไอ้ลูกหมา กานต์ไม่ได้รักคนดี เพียงแต่หวังว่าคนที่ตัวเองรัก มันจะเป็นคนดีก็เท่านั้นเอง ว่าแต่เจ้าคนนั้น มันดีหรือเปล่าล่ะ”
“ดีทุกอย่าง ยกเว้นนิสัย” ณัฐธีร์ตอบเสียงเรียบติดจะหมั่นไส้ไฮโซลูกชายนายธนาคาร แม้จะรู้ว่ากานต์ไม่ได้รักหมอนั่นที่ตรงนั้น หากแต่เป็นเสน่ห์เหลือร้ายของอัครวินท์ต่างหาก ที่ล่อลวงกระต่ายตัวน้อยติดบ่วงเข้าเต็ม ๆ
“เฮ่อ! เจ้าณัฐเอ้ย แกเองก็เคยมีสาวมาตกหลุมรัก น่าจะเข้าใจความรู้สึกลำบากใจของคนถูกรัก แต่เรารักเขาตอบไม่ได้นะเว้ย” อัศม์เดชตบบ่ารุ่นน้องพลางยกตัวอย่างให้คิด ณัฐธีร์นิ่ง เริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น เพราะเขารักรพีกานต์ ถึงมีสาวน้อยน่ารักพยายามเข้ามาสานสัมพันธ์ยังไงก็คว้าน้ำเหลวกลับไปทุกราย ความรู้สึกถูกรัก แต่รักตอบไม่ได้
“ทุกอย่างต้องใช้เวลา ความรักไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตนะเว้ย แกเองอายุเพิ่งจะยี่สิบ ยังต้องโต ต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ ไม่มีใครสมหวังทุกอย่างหรอกว่ะ แต่ก็ใช่ว่าจะมีใครผิดหวังทุกเรื่องนี่หว่า ไอ้ลูกหมา นี่แหละรสชาติชีวิต รู้ไว้ไอ้น้อง” อัศม์เดชกอดคอโยกศีรษะปลอบใจ เขาไม่ใช่คนอ่อนโยนอะไร ติดจะห่ามเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่เห็นเจ้าหมาน้อยที่โตมาด้วยกันแต่เล็กแต่น้อยเสียใจเลยอยากปลอบใจเสียหน่อย นี่เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่เขาได้เห็นณัฐธีร์ในมุมอ่อนแอ ปกติเก็บงำความรู้สึกเก่งยิ่งกว่าอะไร ทนถึกยิ่งกว่ากระสอบทราย
“ผมจะพยายามครับพี่เดช” เขาบอกอย่างไม่แน่ใจ ถ้ายังเจอหน้ากันอยู่เรื่อย ๆ แบบนี้มันก็ทำใจยากเอาการ
“เออ ถ้ายังไม่สบายใจก็อย่าเพิ่งไปเจอหน้าเขา ห่าง ๆ ออกมาก่อน พักเลียแผลใจเป็นคู่ซ้อมให้กูหน่อย” หนุ่มรุ่นพี่ยักคิ้วยั่ว
“โหย ให้ผมเป็นกระสอบทรายให้พี่น่ะสิ มือเท้าหนักยิ่งกว่าแรด พี่เตะมาที ไส้ผมแตกแน่ ๆ”
“เอาน่า เดี๋ยวกูแนะนำสาวแจ่ม ๆ มาดามอกให้ สาวฝรั่งสวย ๆ เพียบ สนเปล่า ๆ” ณัฐธีร์ส่ายหน้าเบา ๆ แทนคำตอบ ไม่มีกะจิตกะใจคิดถึงใคร ในห้วงคำนึงยังมีเพียงรพีกานต์ทุกลมหายใจเข้าออก เขาจะก้าวผ่านความรู้สึกนี้ไปได้อย่างไร จะมองหน้าคนที่รักหมดหัวใจได้อย่างไรในฐานะแค่พี่น้อง คำตอบของคำถามนี้ ณัฐธีร์ยังไม่รู้เลย
“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว จัดซักเพลงไหม” อัศม์เดชเดินไปหยิบกีตาร์โปร่งมายื่นให้ ก่อนกลับไปหยิบแก้วและขวดบรรจุน้ำอำพันยี่ห้อแพงติดมือมา
“ซักหน่อยไหม ย้อมใจ” หนุ่มรุ่นพี่ชวน ก็ว่าแปลกที่จู่ ๆ เจ้านี่ขอมาค้างที่คอนโดด้วย
“ทำไมอกหักแล้วต้องดื่มเหล้าด้วยพี่” ณัฐธีร์นั่งจ้องแก้วเหล้านิ่ง เขาดื่มได้แต่ไม่ชอบเท่าไหร่
“อ้าว ก็ถ้ามึงจะเอาน้ำเปล่าแล้วเมาดิบกูก็ไม่ว่า มันเป็นธรรมเนียมเว้ย ล้างน้ำตาด้วยน้ำเมาเนี่ย”
“เมาเหมือนหมาแล้วก็ตื่นมาบนเตียงกับใครก็ไม่รู้ พี่คิดว่าแบบนั้นมันคือการใช้ชีวิตคุ้มจริง ๆ น่ะหรือ” ชายหนุ่มส่ายหน้าระอา ไปกับเพื่อนทีไร จึงมักได้ตำแหน่งสารถีคอยขับรถพาเพื่อน ๆ กลับหอ สำหรับรายที่ไม่ไปต่อกับใครที่อื่น
“ทำไมเหมือนกูถูกหลอกด่าวะ โอ้ย ไอ้มหา มึงไปบวชเหอะ เผื่อชีวิตจะพบทางสว่าง ทำไมมึงไม่บวชเรียนสอบนักธรรมเอาดีทางนั้นไปตั้งแต่แรกวะ จะได้ไม่ต้องยุ่งกับทางโลก”
“ผมรักกานต์ บวชไปผ้าเหลืองคงร้อน ทำศาสนาเสื่อมเปล่า ๆ”
“เด็กวิศวะกินเหล้ากันดุชิบ มึงเป็นแกะหลงฝูงหรือวะ ห่าณัฐ เอาเหอะ แดกน้ำเปล่าละกันมึง กูแถมน้ำแข็งให้ อารมณ์มึงตอนนี้ไม่ต้องพึ่งเหล้าก็บิวต์เศร้าได้ไม่ยาก” อัศม์เดชรินน้ำเปล่าให้คนอกหัก ส่วนคนหักอกชาวบ้านอย่างเขาซัดเหล้าเพียว ๆ ไม่สะทกสะท้าน ณัฐธีร์ก็บ้าจี้พอที่จะยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นกระดกเหมือนดื่มเหล้า กีตาร์ในมือเริ่มอินโทรเบา ๆ คืนนี้พระจันทร์ตรงระเบียงคอนโดแจ่มกระจ่าง แต่เขาก็ทำได้แค่มอง
"ฉันทุ่มเทหมดเลยทุกอย่าง ยิ่งนานยิ่งหมดหวังจะเป็นคนของเธอ แต่เค้าเพิ่งเข้ามาไม่นานที่เธอเจอ
ก็ดูเธอพร่ำเพ้ออยากเจอเค้าทุกวัน ส่วนฉันที่เอาน้ำตาตั้งมากมาย มาแลกน้ำใจของเธอแค่นิดเดียว
เธอก็ยังทำให้ดูว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย เธอไม่เคยจะให้ เราเสียทีถึงเราทุ่มเทกว่านี้ก็ไม่มีทาง
อดทนเฝ้ารอให้เธอเห็นใจแค่ไหน ก็ยิ่งเลือนราง จดจำไว้อย่างเรามันยังไม่ใช่อยู่แล้ว
รักและหวังดีจากคนที่ไม่ใช่ จะมากมายแค่ไหนไม่มีค่าซักหน่อย ก็เทียบไม่ได้เลยกับเค้าที่เธอคอย
เค้าทำให้เล็กน้อยแต่เธอก็รักได้"
“ทำไมพี่เดช ฮึก ! ทำไมผมถึงไม่ใช่” น้ำตาร่วงผล็อย ๆ หยดแหมะลงบนสายกีตาร์ ก่อนจะไหลอาบเป็นสาย อัศม์เดชกอดคอปลอบใจ ณัฐธีร์จึงโผหาที่พึ่งจากไหล่หนามั่นคง
“คำตอบมันก็อยู่ในคำถามอยู่แล้วที่หว่าเจ้าณัฐ มึงก็รู้อยู่เต็มอกอยู่แล้วนี่ จะถามย้ำให้ตัวเองต้องเจ็บทำไม” ไหล่เพื่อนรุ่นน้องไหวสะเทือนด้วยความปวดร้าว บ่าหนาของอัศม์เดชชุ่มไปด้วยน้ำตา หนุ่มรุ่นพี่กระดกเหล้าลงคอ ปล่อยให้รุ่นน้องใช้ไหล่ของเขาซับน้ำตาต่อไปเงียบ ๆ เขารู้...เวลาจะเยียวยาทุกอย่างเอง เพียงแต่ต้องใช้เวลา มากน้อยอยู่ที่ความเข้มแข็งของแต่ละคน แต่เขารู้ว่าน้องรักจะผ่านมันไปได้ เจ้าณัฐมันอดทนมาได้ทุกอย่างจนทุกวันนี้ น้องของเขาจะต้องผ่านบททดสอบครั้งนี้ไปได้
“พี่ณัฐยังไม่มาหรือกานต์” รพินทร์ถามขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าไม่สบายใจของบุตรชายกำลังชะเง้อคอมองหาใครบางคน วันนี้ครบกำหนดนัดของหมอแต่ยังไร้วี่แววสารถีอาสาประจำตัว ณัฐธีร์ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นร่วมเดือนแล้ว เห็นบอกว่าไปแคมปิ้งพักผ่อนกับพี่เดช ทั้งนั้นสบายดีไม่ต้องเป็นห่วง
“พี่ณัฐ...คงไม่อยากเห็นหน้ากานต์แล้วครับพ่อ” น้ำเสียงหม่น สีหน้าหงอยลง รพินทร์ทิ้งกายลงนั่งข้างกาย มือลูบศีรษะกลมแผ่วเบา รพีกานต์โผเข้ากอดผู้เป็นบิดา ซุกหน้ากับแผ่นอกอุ่น ไม่สบายใจนักที่การซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตนจะทำให้สูญเสียคนแสนดีไป
“พูดอย่างนี้แสดงว่ากานต์ยังรู้จักพี่ณัฐไม่ดีพอ แถมกานต์กำลังดูถูกน้ำใจของพี่ณัฐนะรู้ไหม” รพินทร์เตือนสติ รายนี้งอแงกับพี่ณัฐจนเคยตัว
“กานต์...”
“พี่ณัฐรักกานต์มากกว่าที่กานต์รับรู้ได้อีกนะลูก รักมานานแล้ว และพ่อเชื่อว่าพี่ณัฐจะไม่มีวันทิ้งกานต์ไปไหน ถ้ากานต์ยังไม่มีคนดูแลที่ดีพอ”
“พ่อ...แต่”
“พ่อเห็นกานต์ เห็นพี่ณัฐมาตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยกนะลูก มีสักครั้งไหม ? ที่พี่ณัฐจะปล่อยมือน้องกานต์น่ะหือ จำวันที่ฝนตกได้ไหม พี่ณัฐยังเอาน้องขี่หลัง มีใบบัวโปะหัวเดินกลับบ้านด้วยกัน กานต์ของพ่อยังเอาใบบัวมาเล่นทำร่ม ขี่หลังพี่เขาร้องเพลงเสียงใส แล้วกบน้อยก็เป็นหวัดเสียงแหบวันต่อมา” ยิ่งฟังพ่อพูดก็ยิ่งรู้สึกผิด
“แต่ความรักมันเลือกที่เกิดไม่ได้นี่ลูก เลือกไม่ได้ว่าต้องรักใคร เพราะอย่างนั้น กานต์ต้องให้เวลาพี่ณัฐได้ทำใจ เชื่อเถอะ พี่ณัฐไม่มีวันปล่อยมือกานต์ของพ่อเด็ดขาด ถ้ายังไม่เจอคนดี ๆ พอมาดูแลกานต์อย่างที่พี่เขาเคยทำ” รพินทร์บอกอย่างเชื่อมั่น เขารู้มานาน ความรู้สึกของณัฐธีร์อยู่ในสายตาของเขามาตลอด เด็กรักดีคนนี้ เสียดายที่รพีกานต์ไม่ได้รับรัก เสียดายจริง ๆ
กริ๊ง ๆ
เสียงกริ่งจักรยานดังขึ้นไม่ไกลนักเมื่อร่างสูงเดินผ่านรั้วเข้ามาในอาณาเขตร่มรื่นของบ้านสไตล์ขนมปังขิง ณัฐธีร์เหลือบนัยน์ตาแลเลยไปยังต้นเสียง จักรยานคันเล็กแบบมีล้อพ่วงเคลื่อนล้อไปในสนามหญ้าหน้าบ้าน โดยเด็กชายฉายสิริ หรือหนูตะวันตัวน้อย มีสุนัขพันธุ์ไทยสีทองแดงตัวหนึ่งวิ่งกระดิกหางตามให้กำลังใจอยู่ใกล้ ๆ เจ้าตัวนี้ติดหนูตะวันมาก เป็นเพื่อนคู่บุญกันมาแต่บ้านหลังเก่า คุณรพินทร์เลยรับมาดูแลด้วยกันทั้งคนทั้งหมา ริมฝีปากที่เรียบสนิทมาหลายวันโค้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นภาพบริสุทธิ์ตรงหน้า ร่างเล็กจ้อยคงเพิ่งหัดขี่จักรยานล่ะมั้ง ด้านข้างตัวรถถึงมีล้อพ่วงติดอยู่ ชีวิตเล็ก ๆ ที่ถูกกักขังทารุณมาตลอดเป็นไปในทางที่ดีขึ้น เขาเองก็พลอยอิ่มเอมใจไปด้วย
“หนูตะวัน คุณรพินทร์ซื้อจักรยานให้ใหม่หรือครับ” เขาส่งเสียงทักพลางก้าวฉับ ๆ เข้าไปหา ใบหน้าใสหันขวับ แม้จะคุ้นกันบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีแววของความไม่ไว้ใจซุกซ่อนอยู่ในดวงตาคู่ใส หนูตะวันหวาดกลัวผู้ชายตัวใหญ่ นั่นคือสิ่งที่เขารู้มา แต่ณัฐธีร์ไม่ท้อ พยายามชวนคุยอยู่บ่อย ๆ ได้รับการตอบรับบ้าง ไม่ได้รับบ้าง เป็นสิ่งที่เข้าใจได้
“อยากลองขี่ได้แบบไม่ต้องใช้ล้อพ่วงไหม วิ่งฉิวเลยนา เดี๋ยวพี่ณัฐช่วยหัดให้ เอาไหมครับ” เขาตะล่อมด้วยนึกเอ็นดู ไร้เสียงตอบรับแต่แววตาใสมีแววสนใจกับข้อเสนอไม่น้อย
“แต่วันนี้ยังไม่ได้นะครับ พี่ณัฐจะมาพาพี่กานต์ไปธุระก่อน กลับมาเดี๋ยวพี่ณัฐมาหัดจักรยานให้หนูตะวันเลย” เขาบอกด้วยรอยยิ้มอบอุ่น แก้มขาวเริ่มมีสีมะเขือเทศหน่อย ๆ ยามถูกคนหล่ออย่างพี่ณัฐจ้องกันตรง ๆ แบบนี้ ใบหน้ากลมเฉไฉ สายตาหลุกหลิกเอียงอาย ก่อนหาทางออกด้วยการขี่จักรยานหนีไปทางอื่นดื้อ ๆ ณัฐธีร์มองเด็กชายขี้อายไม่คุ้นคนยิ้ม ๆ ก่อนนึกขึ้นได้
“หนูตะวัน พี่ไปเที่ยวมา มีของฝากให้หนูด้วยน้า กลับมาหาพี่ก่อนเร้ว” ณัฐธีร์ร้องเรียก มือล้วงลงในลงถุงของฝากที่หิ้วติดมือมา หยิบเค้กฝอยทองกับมะขามกวนที่มัดเป็นข้าวต้มมัดอันจิ๋วใส่ในกระจาดกับชะลอมชูให้ดูด้วยรอยยิ้ม รถจักรยานเบรกกึก คนขี่เอี้ยวตัวหันมามอง ท่าทีลังเลสนใจใคร่รู้ เพราะเคยถูกขังไม่ให้ออกไปไหนมาตลอดจนไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นหรือรู้จักอะไรมากนัก
“ส่วนตั๊กแตนนี่ พี่ตั้งใจสานมาให้ตะวันโดยเฉพาะ” ณัฐธีร์ชูตั๊กแตนสานจากใบมะพร้าวให้ดู เจ้าของดวงตาใสเหลือบมองอย่างสนใจ มือหนาใหญ่ยื่นทั้งขนมและตั๊กแตนดุ๊กดิ๊กส่งให้ หนูฉายสิริมองคนยื่นให้สลับกับมองของในมืออย่างช่างใจก่อนยื่นมือเล็ก ๆ มารับช้า ๆ ริมฝีปากน้อยขยับขมุบขมิบแต่ไร้เสียงพูดเช่นเคย
“กินขนมแล้วอย่าลืมแปรงฟันนะครับเด็กดี พี่ไปก่อนละ” มือหนาลูบศีรษะเล็กแผ่วเบา ร่างสูงเบือนหน้าเตรียมเดินเข้าไปข้างในบ้าน หากแต่มีบางอย่างรั้งชายเสื้อเอาไว้ เอี้ยวหน้ามาดูจึงเห็นเป็นหนูน้อยคนเก่า
“ว่าไงครับ” ณัฐธีร์ยอบกายลงนั่งบนส้นเท้า กุมบทสนทนาไว้เพียงฝ่ายเดียวเช่นเดิม ตัวเล็กปลิวลมจ้องเขาด้วยดวงตากลมไร้เดียงสาก่อนหลุบตาลงไม่กล้าสบตานาน ๆ เช่นเคย มือเล็กล้วงลงในกระเป๋าเอี๊ยมติดหน้าท้อง หยิบซองขนมส่งให้ ณัฐธีร์เลิกคิ้ว รับมาพลิกดูเห็นเป็นขนมอาลัวชิ้นจิ๋วในซองซิปล็อกเปิดกินง่ายแล้วหลุดหัวเราะ เดาไม่ยากว่าฝีมือคุณรพินทร์แน่ ๆ ทำเองแบบนี้ควบคุมปริมาณน้ำตาลได้ดีกว่าซื้อในท้องตลาด
“ให้พี่หรือครับ ให้พี่แล้วเวลาหนูตะวันหิวขนม หนูจะกินที่ไหนล่ะฮึ” ณัฐธีร์แกล้งแหย่เล่น รอยยิ้มกว้างผุดได้ง่ายดายด้วยความเอ็นดูเต็มกำลัง ดวงตาคมทอประกายอ่อนโยนยามทอดมองตัวเล็กปลิวลม สายลมเย็นเอื่อยพัดกลิ่นแป้งเด็กหอม ๆ ติดผิวอุ่นกรุ่นเข้าจมูก หนูน้อยยังคงไม่ปริปากตอบคำถาม นอกจากชี้มือเข้าไปในบ้าน ณัฐธีร์นึกถึงขวดโหลบรรจุขนมหลายขวดวางเรียงกันที่เคยเห็นแล้วอมยิ้ม ยังมีผลไม้ตามฤดูกาลที่คุณรพินทร์เตรียมไว้ให้กินไม่ขาด เตชะบุญแล้วหนูตะวัน ที่มาเจอกับคนที่นี่ เรื่องบาดแผลในใจต้องใช้เวลาเยียวยากันต่อไป เขาเองก็เช่นกัน
“ขอบคุณครับคนเก่ง งั้นพี่ขอตัวไปหาพี่กานต์ก่อนนะ หนูตะวันหัดขี่ให้คล่องก่อน เดี๋ยวพี่มาถอดล้อพ่วงออกให้นะครับ” เขาลูบศีรษะทุยแผ่วเบา สัมผัสเส้นผมอ่อนนุ่มราวเส้นไหม ริมฝีปากอุ่นแตะจรดหน้าผากมนเหมือนให้สัญญา ก่อนผละจากไป โดยมีดวงตากลมมองตามไม่ละ
รถยนต์แล่นไปเรื่อย ๆ โชเฟอร์หนุ่มเปิดเพลงคลอเบา ๆ ไม่ให้บรรยากาศเงียบจนเกินไป รพีกานต์เหลือบนัยน์ตาแลพี่ชายอยู่บ่อยครั้ง รู้สึกถึงความเฉยของอีกฝ่ายแล้วใจแป้วอย่างบอกไม่ถูก ณัฐธีร์รู้ตัวว่าถูกมอง เขาหันมายิ้มให้ รอยยิ้มบางอ่อนโยนฉาบบนริมฝีปากได้รูป มือหนายีศีรษะทุยเย้าหยอก เขาสบายใจขึ้นมากหลังจากไปแอดเวนเจอร์ขึ้นเหนือล่องใต้กับอัศม์เดช กลับมาเห็นเจ้าของใบหน้าใสสะอ้านแม้จะยังเจ็บปวด แต่ก็ไม่ฟูมฟายอย่างทุกที
“อื้อ พี่ณัฐ ไม่โกรธกานต์แล้วหรือครับ หายไปเป็นเดือนเลย” รพีกานต์เบี่ยงศีรษะหนีพัลวัล มือเรียวสางผมยุ่งเหยิงเข้าที่
“พี่ไม่เคยโกรธกานต์เสียหน่อย แค่หลบไปทำใจ” ณัฐธีร์ตอบเสียงเรียบ สายตามองตรงไปข้างหน้า รพีกานต์มองเสี้ยวหน้าคมแล้วอดรู้สึกสลดใจขึ้นมาไม่ได้
“พี่ณัฐ...”
“กานต์เป็นอย่างที่เคยเป็นนั่นแหละ พี่จะเป็นฝ่ายหยุดเอง พี่จะรักกานต์ ในแบบที่กานต์อยากให้พี่รัก” เขากลืนความรู้สึกบางอย่างลงคอ พยายามบอกตัวเองว่ามัน...เป็นไปไม่ได้
“ข้างหน้าเป็นปั๊ม คุณแม่อยากเข้าห้องน้ำไหม” หันมาถามอย่างใส่ใจเช่นเดิม ที่เปลี่ยนไปคือไม่ละลาบละล้วงเช่นเก่า
“ครับ” รพีกานต์พยักหน้า แม้จะรู้สึกหน่วงกับท่าทีเหมือนเฉยเมยในบางครั้ง แต่ณัฐธีร์ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเข้มแข็งขึ้น
“งั้นเดี๋ยวพี่แวะมินิมาร์ทไปซื้ออะไรรองท้องให้เนอะ หรือกานต์จะให้พี่ไปส่งก่อน”
“ไม่ต้องหรอกครับ แค่เข้าห้องน้ำเอง พี่ณัฐไปซื้อของเถอะ เสร็จแล้วเดี๋ยวกานต์มารอที่รถ” ตกลงกันเสร็จสรรพเรียบร้อย เมื่อรถเลี้ยวเข้าช่องจอด ต่างฝ่ายต่างก็ไปจัดแจงธุระของตน ห้องน้ำของปั๊มอยู่ห่างออกไปหน่อย ตอนรพีกานต์เข้าไปใช้บริการนั้น ใครคนหนึ่งก็เปิดประตูออกมาล้างมือพอดี สายตาสองคู่สบประสานกัน หัวใจของรพีกานต์เร่งจังหวะรัวขึ้นเมื่อได้เจอใครอีกคนแบบไม่คาดฝัน หากแต่ร่างเปรียวเลี่ยงที่จะทักทายสนทนากับเขา ทว่าเสียงที่ดังขึ้นแทรกความเงียบนั้นทำให้ชะงักเล็กน้อย
“ไม่คิดจะทักกันหน่อยหรือไง หรือว่าควงลูกชายนักการทูตจนพี่ตกกระป๋องไปแล้ว” รพีกานต์ขมวดคิ้วงง ปรายตามองคนหาเรื่องเหน็บแนมนิดหน่อยพลางส่ายหน้าไม่สนใจ มือผลักบานประตูหมายจะรีบเข้าไปทำธุระให้เสร็จ ๆ
ปัง ! แกร็ก !
ร่างเล็กหน้าแทบคำคะมำเมื่อร่างสูงใหญ่เบียดกายแทรกตามเข้ามาด้วย มือหนาปิดประตูลงล็อกเสร็จสรรพ หันมาหน้าถมึงทึง
“พี่วินตามกานต์เข้ามาทำไมเนี่ย” รพีกานต์โวยด้วยความไม่เข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่าย กลบเกลื่อนอาการเต้นรัวในอก สัมผัสชิดใกล้ ลมหายใจอุ่นจัด กลิ่นกายหอมกรุ่นคุ้นเคยของอัครวินท์ ทุกอย่างยังคงจารรอยเดิมเอาไว้อย่างแน่นหนา เพียงเท่านี้หัวใจที่เคยโหยหาเขามาตลอดก็เต้นเร่าในอก
“เดี๋ยวนี้ทำเมินใส่พี่หรือกานต์” น้ำเสียงฉุนเฉียวแสดงอาการไม่พอใจเต็มที่ ทั้งหงุดหงิดจากภาพวันนั้นเป็นทุนเดิมจึงอยากหาเรื่องเต็มที่ รพีกานต์ทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าที่ควร แถมท่าทีสะบัดหน้าหนีทำให้เขาผลุนผลันรีบตามเข้ามาไม่รู้ตัว
“พี่วินพูดบ้าอะไรเนี่ย พี่เองไม่ใช่หรือ ? ที่มีคนใหม่” รพีกานต์ย้อนเข้าให้บ้าง ยังผลให้คนตัวใหญ่นิ่งไป
“พี่วินออกไปเถอะครับ กานต์จะทำธุระ เราต่างมีชีวิตของใครของมันแล้วนะครับ” ทั้งที่ไม่มีคำบอกเลิกซักคำ รพีกานต์ประนีประนอมด้วยถ้อยคำอ่อนลง พูดเองเจ็บเอง เจอกันแถวนี้ พี่วินก็คงจะพาใครสักคนมาเที่ยวอีกตามเคย นึกถึงตรงนี้ความเจ็บปวดก็แล่นริ้ว คนลืมช้าคือคนแบกรับความเจ็บปวด ทั้งที่ฝ่ายหนึ่งต้องการจบการสนทนาแต่คนฟังกลับตีความไปอีกอย่าง
“ไล่พี่แบบนี้แสดงว่ามีคนรออยู่ข้างนอกสินะ กานต์ต้องการประชดพี่ใช่ไหม ต้องการเรียกร้องความสนใจให้พี่กลับมาหา ถึงได้ควงกับฉายฉานให้พี่เห็น เมียพี่เข้าใจเลือกนี่ เดือนรัฐศาสตร์เสียด้วย เสียใจด้วยนะ มุกนี้ไม่ใหม่ เคยมีคนใช้แล้ว และมันไม่ได้ผลกับพี่” อัครวินท์เยาะ หากในใจกำลังคุกรุ่นจริง ๆ ใช่ เคยมีคนใช้มุกนี้มาแล้วและคว้าน้ำเหลว แต่กับคนตัวเล็ก เขากลับรู้สึกโมโหขึ้นมาจริง ๆ
“พี่ฉายเกี่ยวอะไรด้วย พี่เขาเป็นเพื่อนพี่ณัฐ เคยเจอกันไม่กี่ครั้ง แล้วพี่วินมาซักไซ้กานต์แบบนี้ พี่เองก็ควงคนอื่นไปทั่วไม่ใช่หรือครับ กานต์เป็นแค่ของเล่นของพี่ เบื่อแล้วก็เขี่ยทิ้ง แล้วนึกยังไงมาวอแวกับของเล่นเก่า ๆ ที่พี่วินกระทืบมันพังไปแล้ว” ยิ่งพูดยิ่งเสียใจ ความน้อยใจแสดงออกผ่านดวงตาที่จ้องประสานไม่มีหลบ อัครวินท์สะอึก รู้อยู่แก่ใจว่าตนเองนั้นผิดเต็มประตู กระนั้นยังดึงดันจะเอาชนะ
“กานต์เป็นของพี่” เขาประกาศชัดถ้อยชัดคำ เลือกที่จะปัดทุกเหตุผลทิ้งไป ไม่รับฟังอะไรทั้งนั้น เขาต้องการคนของเขาคืน และเขาต้องได้
“พี่วินเห็นแก่ตัว ไม่มีเหตุผล ถอย ! ถ้าพี่ไม่ออกไป กานต์จะออกไปเอง” รพีกานต์ผลักอกหนา ทว่าข้อมือเล็กกลับถูกรวบยึด กายหนาดันร่างเล็กกว่าชิดผนัง บดเบียดร่างกายคลุกเคล้าเข้าหา ริมฝีปากร้อนผ่าวบดเบียดจาบจ้วงความหวานฉ่ำภายใน กลิ่นกายหอมคุ้นเคยยั่วเย้าอารมณ์ของอัครวินท์ลุกฮือ ริมฝีปากนุ่มนิ่มฉ่ำหวานทำเขาหัวหมุนเหมือนเคย ร่างกายร้อนพล่านด้วยความปรารถนา ฝ่ามือร้อนลูบไล้ผิวเนื้อเนียนนุ่ม ลมหายใจร้อนระอุกว่าเก่า
“อื้อ อย่า อุ๊บ!” รพีกานต์ขัดขืน ริมฝีปากเล็กถูกปิด เสียงกระซิบกระซาบลอดผ่านริมฝีปากได้รูปขณะลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดใบหู
“มีคนเข้ามา อยากให้เขาได้ยินก็ร้องดัง ๆ ร้องไปเลย แต่พี่ไม่หยุด” คนถูกขู่หุบปากฉับ เปิดโอกาสให้คนรุกรานยิ้มพราวในแววตาร้ายกาจ แขนหนาตวัดโอบเอวบางรั้งเข้าแนบชิด ริมฝีปากช่ำชองปรนเปรอรสจูบซาบซ่าน รพีกานต์หัวหมุนคว้าง ขาสั่นระริก ข้างนอกยังได้ยินเสียงคนคุยกัน มือเล็กกำอกเสื้ออีกฝ่ายแน่น หัวใจเต้นรัวทั้งยืนสั่นไปทั้งกาย รสจูบหวานล้ำสลับกับร้อนเร่าในบางที อัครวินท์รู้สึกตื่นเต้นและท้าทาย ยิ่งเหลือบมองใบหน้าส่ายไปมาแสดงการไม่ยินยอม แต่ไม่กล้าเปล่งเสียงให้เล็ดลอดออกไปยิ่งกระตุ้นเร้าอารมณ์ของเขา ชายเสื้อเลิกขึ้น ยอดอกสีอ่อนถูกครอบครองด้วยเรียวลิ้นชุ่ม รพีกานต์เงยหน้าเริดปิดปากกลั้นเสียงเต็มกำลัง แก้มขาวร้อนผ่าว ความร้อนวูบวาบแล่นพล่านทั้งกายด้วยไฟปรารถนาที่ถูกอีกฝ่ายจุด มือเล็กอ่อนแรงลงเรื่อย ๆพยายามผลักพยายามดันอีกฝ่ายแต่ดูเหมือนเรี่ยวแรงจะลดน้อยถอยลงทุกที
“อือ...” เสียงครางแผ่วเบาเปล่งผ่านลำคอ นัยน์ตาหวานฉ่ำกับสัมผัสที่อีกฝ่ายมอบให้ ไม่ว่าจะอย่างไรรพีกานต์ก็ไม่อาจต้านทานแรงดึงดูดจากผู้ชายที่ชื่ออัครวินท์ได้เลย ทั้งที่เขาเคยทำให้เจ็บช้ำน้ำใจมาไม่น้อย แต่พอถูกฝ่ามือร้อนลูบไล้สัมผัส ลมหายใจอุ่นผ่าวที่เป่ารดกันและกัน ร่างกายก็โอนอ่อนโดยง่าย รู้ตัวอีกที กางเกงก็หลุดจากสะโพกลงไปกองที่ข้อเท้า พร้อมริมฝีปากร้อนชุ่มที่เข้าครอบครองส่วนรัก
“พี่วิน !” เสียงนุ่มกระซิบกระซาบด้วยความตกใจ ที่เคยร่วมรักกันมาอัครวินท์ไม่เคยทำแบบนี้ให้มาก่อน มือเรียวพยายามผลักเขาออกห่าง หากชั้นเชิงปลายลิ้นกลับให้ทำรพีกานต์กระตุกเกร็ง แขม่วหน้าท้องด้วยความสยิวซ่าน มือที่ผลักเปลี่ยนเป็นแทรกไปตามเส้นนุ่มระบายความรู้สึกซ่านที่ได้รับ อือ...พี่วิน
อัครวินท์ปรนเปรอให้อย่างไม่นึกรังเกียจแม้แต่น้อย ทุกอณูร่างกายของรพีกานต์คือสิ่งวิเศษสำหรับเขา ปลายนิ้วยาวกดชำแรกเบิกทางยังส่วนคุ้นเคย หากรพีกานต์สะดุ้งโหยง นึกขึ้นได้ในทันทีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น หากแต่ตอนนี้เขากำลังตั้งครรภ์ อารามตกใจระคนห่วงลูกร่างเล็กออกแรงผลักเขาออกเต็มกำลังพลางขยับหนี
“ไม่ได้พี่วิน !” รพีกานต์สั่นหน้าหวือพัลวัน คุณหมอบอกว่าสามารถร่วมรักได้ แต่คนที่ไม่รู้เรื่องเช่นอัครวินท์ รพีกานต์ไม่แน่ใจว่าเขาจะโหมกำลังรุนแรงเพียงใด นึกแล้วแก้มขาวก็ให้แดงซ่านร้อนวูบวาบไปทั้งเนื้อทั้งตัวราวจับไข้ คนตัวใหญ่กำลังช้างสาร กินหวานกันได้ตลอดคืนจนรพีกานต์หลับพับคาอกมาแล้ว
“ทำไม” เสียงเข้มติดห้วน คิ้วเข้มขมวดอย่างไม่พอใจทันที
Trrrrr
- มีต่อด้านล่างค่ะ -