พิมพ์หน้านี้ - เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Moony_Darling ที่ 24-03-2016 15:12:34

หัวข้อ: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 24-03-2016 15:12:34
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************



สวัสดีจ้า :mew1:  มาเปิดนิยายเรื่องที่สอง(เรื่องแรก สนใจจิ้มโล้ด อเวจีเสน่หา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=45048.msg2925305#msg2925305)) แนวMpreg  เรื่องนี้ผู้ชายนายเอกของเรื่องท้องได้นะคะ เราได้ไอเดียพล็อตมาจากมนุษย์สองเพศน่ะค่ะ เลยลองแต่งแนวนี้ ดีไม่ดียังไงติชมได้จ้า :mc4:


เสน่หา...รักเอย

สารบัญ

ตอน๑ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3341753#msg3341753) :: ตอน๒ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3341767#msg3341767) :: ตอน๓ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3341777#msg3341777) :: ตอน๔ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3342556#msg3342556) :: ตอน๕ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3342569#msg3342569) :: ตอน๖ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3343330#msg3343330) :: ตอน๗ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3343663#msg3343663) :: ตอน๘ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3344056#msg3344056) :: ตอน๙ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3344396#msg3344396) :: ตอน๑๐ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3344870#msg3344870) :: ตอน๑๑ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3348324#msg3348324) :: ตอน๑๒ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3377220#msg3377220) :: ตอน๑๓ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3386947#msg3386947) :: ตอน๑๔ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3399183#msg3399183) :: ตอน๑๕ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3417504#msg3417504) :: ตอน๑๖ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3420528#msg3420528) :: ตอน๑๗ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3443739#msg3443739) ::ตอน๑๘ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3511524#msg3511524) ::ตอน๑๙ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3564306#msg3564306) :: ตอน๒๐ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3569317#msg3569317) ::ตอน๒๑ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3583027#msg3583027) ::ตอน๒๒ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3595192#msg3595192) ::ตอน๒๓ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3606166#msg3606166) ::ตอน๒๔ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3621436#msg3621436) ::ตอนน๒๕ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3626624#msg3626624) ::ตอน๒๖ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3662011#msg3662011)::ตอน๒๗ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3692899#msg3692899)::
ตอน๒๘ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3706044#msg3706044)::
ตอน๒๙ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3729820#msg3729820)::
ตอน๓๐ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3749068#msg3749068)::
ตอน๓๑ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3824189#msg3824189)::
ตอนจบ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52698.msg3831530#msg3831530)::

เกริ่นนำ

"แก้วดอกน้อย ลอยลม ระทมรัก
สุดจะหัก อาลัย ใจถวิล
ดอกแก้วช้ำ น้ำคำ น้ำตาริน
ขวัญชีวิน สิ้นรัก หักเยื่อใย"

คนหนึ่งให้รักด้วยหัวใจ อีกหนึ่งนั้นไซร้
ลวงลม เสพสมเพียงกายา




กำเนิดรพีกานต์


ซ่า...

“แดดร้อนเปรี้ยง ฝนตกลงมาได้ยังไงนี่”

เสียงทุ้มนุ่มพึมพำขณะเงยหน้ามองท้องฟ้าช่วงสี่โมงเย็น เขาส่ายหน้าให้กับความแปรปรวนของสภาพอากาศขณะเลี้ยวรถเต่าสีครีมเข้าไปในรั้วบ้าน

แง๊ อุแว้ อุแว้ แง๊

เสียง ๆ หนึ่งแว่วมาไม่ไกลนัก รพินทร์เงี่ยหูฟังจับทิศทางเสียง คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างสงสัย

“เสียงลูกแมวหรือเสียงเด็ก?”

ดูเหมือนเสียงจะเงียบไป ชายหนุ่มจึงละความสนใจหันหลังเดินกลับเข้าบ้าน

แง๊ แง๊ แง๊

ชัดเลย คราวนี้ชัดกว่าเก่าราวกับเจ้าของเสียงจะกวักมือร้องเรียกเขาให้คอยก่อน รพินทร์หันกลับมาอีกครั้ง เงี่ยหูฟังพร้อมเดินตามเสียง

ถังขยะหน้าบ้านคือปลายทางกำเนิดเสียง รพินทร์ขมวดคิ้ว รีบเดินออกมาดูอย่างรวดเร็ว

...อย่างที่คิดไว้...

ร่างเล็ก ๆ ของทารกแรกเกิดกำลังร้องไห้จ้ามองเห็นเหงือกแดงแจ๋ ทั้งหน้าทั้งตัวแดงก่ำ กายบอบบางดิ้นปัดป่ายสั่นเทาในห่อผ้าคลุมสีขมุกขมัว เขาถลาเข้าไปตระกองอุ้มอย่างเวทนา น้ำตาเจ้าตัวน้อยไหลพรากเป็นสายราวเขื่อนทำนบแตก ร้องจนเสียงแหบเสียงแห้ง สำลักน้ำลายอัก ๆ เหมือนใจจะขาด เนื้อตัวมีมดแดงรุมกัดอยู่หลายตัว รพินทร์รีบปัดออกให้พร้อมอุ้มขึ้นแนบอกลูบหลังปลอบขวัญ ทารกน้อยผวาเข้าหาอกอุ่นอย่างคนขวัญหาย

“ถูกทิ้งนานแค่ไหนแล้วนี่เจ้าหนู”

เขาพึมพำขณะสำรวจหามดทั่วกายบางเผื่อยังมีรอดสายตาหลงเหลือ เหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นใครก่อนจะพากลับเข้าบ้านเพราะสายฝนยังคงโปรยปราย

“สายสะดือยังไม่ทันจะแห้งก็เอามาทิ้ง เฮ่อ จิตใจคนเราหนอ ตากแดดตากลมโดนมดกัดมานานเท่าไรแล้ว แล้วนี่ยังโดนฝนอีก”

รพินทร์เอ่ยขณะมองสบดวงตาบวมแดงในอ้อมกอด เจ้าตัวแดงหยุดร้องจ้าแต่ยังไม่คลายสะอื้นฮัก ๆ มือเล็กซีดกำนิ้วมือใหญ่แน่นอย่างคนขวัญหนีหาที่พึ่ง

“ขวัญเอ้ย ขวัญมานะเจ้าหนู”

 รพินทร์ปลอบขณะวางทารกลงบนโซฟา มือขาวคลี่ผ้าอ้อมออกสำรวจบาดแผลก่อนจะอุทานอย่างตกใจ

“คุณพระช่วย! อะไรกันนี่ เด็กคนนี้มีสองเพศในร่างเดียว!”

 :L2:

หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(๒๔/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 24-03-2016 15:26:39
เสน่หา...รักเอย ตอนที่ ๑


...อย่าหวังว่าฉันจะคุกเข่าให้ แม้จะปวดรวดร้าวเพียงใด คราวนี้คงไม่มีวัน
ไม่มีน้ำตา ไม่มีคำลา ไม่ขอตื้นตัน ไม่มีแม้สิ่งผูกพัน ไม่มีวันหวนกลับไปหา...

แว่วเสียงบทเพลงหวานเพราะพริ้งเสนาะหูจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงรุ่นคลาสสิกสมัยคุณปู่ที่ยังใช้งานได้ดี เสียงหวานกังวานดังไปทั่วอาณาบริเวณ บ้านไม้สไตล์วินเทจทรงขนมปังขิงสีครีมหลังงามที่ยืนตัวอยู่ท่ามกลางแมกไม้ไทยร่มรื่น กลิ่นบุปผชาติหอมฟุ้งกำจายทั่วบริเวณบ้าน สกุณานกน้อยส่งเสียงเจื้อยแจ้วจิ๊บ ๆ ขณะจิกกินลูกไม้ สายลมเย็น ๆ พัดโชยเอื่อยเฉื่อยอย่างสงบเงียบ บ่งบอกถึงกลิ่นอายความสงบร่มรื่นของบ้านร่วมสมัยราวกับมีมนตร์ขลัง

...อย่าหวังว่าฉันยังฝันอาลัย แม้จะเกิดมีแผลดวงใจ คงสูญไปจากอุรา
สิ้นกันแล้วเรา สิ้นความมัวเมา สิ้นคำบัญชา สิ้นความรัก สิ้นเมตตา สิ้นวาสนากันที...

เสียงเพลงหวานหูโดยศิลปินแห่งชาติที่โด่งดังในสมัยเก่าก่อนยังคงดังคลอกับเสียงน้ำไหลจ๊อก ๆ จากตุ่มน้ำผุด ให้ความรู้สึกเย็นสบายใจแก่คนที่นั่งทัดดอกจำปีชิดใบหู ร่างสมส่วนนั่งคลอเพลงเบา ๆ ขณะมือสาละวนกับการพับกลีบดอกบัวเพื่อนำขึ้นหิ้งถวายพระก่อนนอน

“ยาพิษ บนน้ำผึ้งเพียงหยด ช่างรุนแรงเหมือนกรด รดราดบนดวงชีวี กว่าจะรู้ กินใจเสียกร่อนเต็มที เกือบจะสาย เกือบสิ้นดี เกือบไม่มีชีพอยู่เป็นคน”

รพินทร์ชอบเพลงท่อนนี้เป็นพิเศษ เจ้าตัวเผลอร้องออกเสียงเสียดังขณะสายตาจดจ้องที่กลีบดอกบัว ไม่ทันเฉลียวหลังเมื่อร่างโปร่งบางของหนุ่มน้อยวัยสิบเจ็ดฝนย่างเข้าปีที่สิบแปดกำลังย่องเบามาใกล้ ๆ

...แปะ...

มือบางปิดเข้าที่ดวงตาของรพินทร์ ก่อนเจ้าของมือซุกซนจะฉีกยิ้มสดใส ดวงตาเป็นประกายดุจดวงดาวเปล่งแสงจะเอื้อนเอ่ยเสียงร้องใสกังวานต่อเนื้อเพลง

“สาปแล้วความรักไม่ขอปองใจ ล้างกรรมเก่าสิ้นสูญกันไป อย่าหวนมาใกล้อีกหน
อุทิศเคราะห์กรรม จากความทรงจำห่างไกลกมล สาปอุทิศบาปเวรจงดล ให้แก่คนเป็นมารหัวใจ”

 เจ้าตัวร้องเพลงพลางละมือออกแล้วเอี้ยวตัวมานั่งยิ้มหวานจ๋อยอวดเขี้ยวเล็ก ๆ กับลักยิ้มสดใสสว่างโลกให้ผู้เป็นบิดาตรงหน้า รพินทร์ยิ้มหวานตอบ ละมือจากดอกบัวพับกลีบเสร็จพลางลุกขึ้นจับมือลูกชายเข้าคู่เต้นรำเข้าจังหวะ เสียงร้องประสานเสียงดังประสานขึ้นไม่ดังนัก

“ยาพิษ บนน้ำผึ้งเพียงหยด ช่างรุนแรงเหมือนกรด รดราดบนดวงชีวี
กว่าจะรู้ กินใจเสียกร่อนเต็มที เกือบจะสาย เกือบสิ้นดี เกือบไม่มีชีพอยู่เป็นคน”

“สาปแล้วความรักไม่ขอปองใจ ล้างกรรมเก่าสิ้นสูญกันไป อย่าหวนมาใกล้อีกหน
อุทิศเคราะห์กรรม จากความทรงจำห่างไกลกมล สาปอุทิศบาปเวรจงดล ให้แก่คนเป็นมารหัวใจ...”

สองพ่อลูกส่งยิ้มให้กันเมื่อเพลงจบ ทั้งคู่ละมือจากกัน รพีกานต์ทิ้งตัวลงนั่งใกล้ ๆ บิดาผู้ที่เลี้ยงดูอบรมมา รพินทร์ยื่นมือเรียวทาบบนแก้มขาวเนียนของบุตรชายพลางเอ่ย

“โตเป็นหนุ่มจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว รักใครก็ขอให้รักจริง ๆ อย่าลวงหลอกกันให้อีกฝ่ายช้ำใจนะลูก น้องกานต์”

“ครับ พ่อพินทร์” รพีกานต์รับปากหนักแน่น

“กานต์กลับมาแล้ว สวัสดีครับ”

 เสียงนุ่มกังวานออดอ้อนฉอเลาะผู้เป็นพ่อ มือเรียวสวยกระพุ่มไหว้บุพการีอ่อนช้อยนอบน้อม เป็นเสน่ห์ที่รพินทร์มองแล้วเอ็นดูนักหนาสมกับที่อบรมมาเองกับมือ ยิ่งนานวันยิ่งรักยิ่งห่วงขึ้นทุกที

“เห็นดอกบัวแล้วน้ำลายสออยากกินแกงส้มไหลบัวเลยแฮะ”

รพีกานต์เอ่ยยิ้ม ๆ ขณะเอื้อมมือมาหยิบดอกบัวช่วยพับ

“เอาซี พ่อหั่นไหลบัวไว้รอท่าล่ะ งานนี้เดาว่ายังไงก็ไม่รอเก้อแน่ ๆ เพิ่งได้กุ้งสดเขาพายเรือผ่านมาขายตรงท่าน้ำหลังบ้าน เดี๋ยวน้องกานต์เอากระเป๋านักเรียนไปเก็บแล้วโขลกเครื่องแกงเลยนะลูก เอาให้ดังสนั่นไปสามบ้านแปดบ้านเลยเทียว”

รพินทร์บอกกลั้วหัวเราะ ก่อนจะให้เหตุผลสำทับอีกว่า

“โขลกน้ำพริกเครื่องแกงดัง ๆ เขาว่าบ้านนั้นมีเสน่ห์ปลายจวัก”

“โขลกเสียงดังแล้วบ้านข้าง ๆ เขาจะไม่ขว้างจานขว้างกะละมังมาใส่หัวหรือฮะ?”

 รพีกานต์แกล้งเย้าบิดาเล่นทั้งที่รู้ความหมายของการโขลกน้ำพริกดัง ๆ ดี รพินทร์ได้ฟังแล้วจึงตีเพี๊ยะเข้าที่แขนบางเจ้าคนเล่นลิ้นร้อยเล่ห์

“เอ๊ะ ลูกคนนี้ เขาจะถือถ้วยถือชามมาขอแบ่งละสิไม่ว่า ขี้คร้านจะตักแจกแทบหมดหม้อ ถ้ามีลูกสาวคงรีบจองตัวเอาไว้ก่อน”

 คนพูดแจงสีหน้าแช่มชื่น

 “ครับพ่อพินทร์ เดี๋ยวกานต์จะโขลกให้อร่อยเหาะดังไปหน้าปากซอยเลยเชียว”

เด็กหนุ่มตอบหน้าแฉล้มก่อนจะรีบฉวยกระเป๋านักเรียนวิ่งดุ๊ก ๆ เข้าบ้าน ไม่วายเหลือบมองดอกปีบสีขาวร่วงหล่นโรยกระจายไปตามทางเดินปูด้วยอิฐศิลาแลงราวกับมีใครเอามาโปรย รพีกานต์แวะเก็บดอกที่ร่วงบนพุ่มไม้กะนำไปแช่ในแจกันแก้ว วางไว้ห้องรับแขกให้กลิ่นหอมละมุนคอยต้อนรับอาคันตุกะของบ้าน บ้านของพ่อรพินทร์เป็นบ้านไม้ร่วมสมัยแบบที่เรียกว่า บ้านทรงขนมปังขิง ฝีมือการออกแบบของคุณปู่ที่เป็นสถาปนิกมีชื่อ คุณพ่อรพินทร์รักการปลูกต้นไม้ดอกไม้และการจัดสวนมาก บริเวณบ้านปลูกดอกไม้ไทยหลากชนิดส่งกลิ่นขจรหอมฟุ้งจรุงใจแก่ผู้พบผ่าน สร้างมนตร์เสน่ห์ความประทับใจแก่ผู้มาเยือนยิ่งนัก

 รพินทร์มองแผ่นหลังบางของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกที่เขาดูแลมาเกือบสิบแปดปีกำลังก้ม ๆ เงย ๆ เก็บดอกปีบข้างบ้าน แม้จะไม่ได้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขจริง ๆ แต่เมื่อชีวิตถูกกำหนดให้ได้มาพบกัน รพินทร์จึงรักรพีกานต์เหมือนลูกในไส้ ตลอดมารพินทร์เฝ้าอบรมป้อนสิ่งดี ๆ เป็นตัวที่ดีแก่ลูกมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นคำพูดคำจา กิริยาท่าทางไม่เคยหยาบโลนให้ลูกเห็น ด้วยหวังจะให้ความรักของเขาได้ชดเชยในสิ่งที่รพีกานต์ขาดไปได้บ้าง

“แค่พ่อรพินทร์รักและเมตตาเลี้ยงดูกานต์มา ส่งเสียให้กานต์ได้เรียนหนังสือเหมือนคนอื่น ๆ เท่านี้ก็เป็นพระคุณมากมายจนกานต์ไม่รู้จะตอบแทนยังไงหมดแล้วครับ ขอบคุณพ่อรพินทร์นะครับที่ช่วยกานต์ไว้ในวันนั้น”

รพีกานต์พนมมือไหว้บนอกผู้เป็นพ่อด้วยความซาบซึ้งใจนักหนา รพินทร์ให้เขาทุกอย่างทั้งความรัก ความเมตตา การศึกษาเอาไว้หาเลี้ยงตน รพีกานต์ไม่เห็นประโยชน์ที่จะไปเรียกร้องอะไรเพิ่มเติมในเมื่อที่มีอยู่ก็มีความสุขนักหนา

“พ่ออยู่กับกานต์ไม่ได้ตลอดชีวิตนะลูก วันหนึ่งข้างหน้ากานต์ก็ต้องมีครอบครัวเป็นของกานต์เอง ค่านิยมสมัยนี้อาจจะฉาบฉวยไปบ้าง แต่ทั้งหมดทั้งมวลล้วนขึ้นอยู่ที่ตัวเรา กานต์เข้าใจที่พ่อสอนไหมลูก”

“เข้าใจครับ กานต์จะรักใครก็จะรักให้จริง”

รพีกานต์กอดกระชับเอวบิดา ปีกอบอุ่นที่ปลอดภัยสำหรับรพีกานต์เสมอ รพินทร์เลี้ยงลูกสมัยใหม่พอตัวทำให้พ่อลูกเปิดอกคุยกันได้เหมือนเพื่อน เหมือนพี่ชาย นอกเหนือจากความเป็นพ่อลูก รพีกานต์จึงสนิทกับพ่อมากกว่าเพื่อนเสียอีก
   

เสียงโขลกเครื่องแกงโป๊ก ๆ ดังลั่นขึ้นในเวลาไม่นานนัก รพินทร์ถือถาดหวายสานที่วางบัวพับเรียบร้อยแล้วเดินเข้าบ้านยิ้ม ๆ ตรงไปที่ห้องครัว ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนกำลังนั่งขัดสมาธิโขลกเครื่องแกงขะมักเขม้น กลิ่นกระชายโขลกละเอียดหอมยั่วน้ำลาย ข้าวที่หุงไว้เกือบสุกพ่นไอพวยพุ่งออกจากหม้อส่งกลิ่นหอมกรุ่นฉุย ๆ เขาเปิดตู้กับข้าวหยิบกุ้งสดแกะเปลือกแล้วเรียบร้อย น้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ ไหลบัวพระเอกของงานหั่นพร้อมในถ้วย วางทั้งหมดลงบนโต๊ะครอบด้วยฝาชีสานหันมาบอกลูก
   
“วันนี้น้องกานต์ลงมือเป็นพ่องานเองเลยนะลูก พ่อจะรอชิมฝีมือ”
   
“ฮะ พ่อ”

รพีกานต์พยักหน้ารับคำหันไปสนใจเครื่องแกงในครกต่อ รพินทร์เชื่อในฝีมือลูกชายว่ารสมือดีไม่ต่างจากเขา สมัยนี้ไม่จำเป็นต้องเฉพาะผู้หญิงเท่านั้นหรอกที่จะต้องทำอาหาร งานบ้านงานเรือน ผู้ชายก็ทำงานเหล่านี้ได้ รพินทร์หัดให้ลูกรู้จักช่วยงานบ้านงานเรือนเผื่ออนาคตแต่งงานมีเหย้ามีเรือนก็จะได้ช่วยภรรยาทำได้ ผู้หญิงจะได้ไม่ต้องลำเค็ญมากนัก รพินทร์ไม่รู้หรอกว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร แต่สำหรับเขาแล้ว คำว่า “แม่” นี้เสียสละเหลือเกิน ทั้งงานบ้านงานเรือนแล้วไหนจะเลี้ยงลูกอีก ซึ่งคนจะเป็นคู่ชีวิตกันก็ควรจะช่วยกันแบ่งเบา

ร่างโปร่งนั่งมองกายบางคดเครื่องแกงใส่หม้อพร้อมหยิบจับเครื่องปรุงเติมลงไปท่าทางคล่องแคล่วก็อดจะภูมิใจไม่ได้
   
กลิ่นหอมฉุยของแกงส้มไหลบัวลอยแตะจมูกบ้านใกล้เรือนเคียง คนที่กำลังตรวจข้อสอบเด็กท้องร้องจ๊อก ๆ ประท้วงขึ้นทันทีที่ได้กลิ่น ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอลุกจากเก้าอี้ออกมายืนชะเง้อชะแง้มองหาต้นกลิ่นหอม ๆ

วิศรุตเป็นครูสอนเด็กประถมโรงเรียนละแวกบ้าน เขาเพิ่งย้ายมาพักบ้านญาติได้ไม่นานจึงยังไม่รู้จักใครดีนัก รพินทร์มองร่างสูงหน้าตาคมเข้มแบบไทยแท้กำลังชะเง้อชะแง้คอแทบเคล็ดก็อดหัวเราะคิกไม่ได้ ร่างโปร่งเดินไปกระซิบกระซาบบอกลูกชาย

“น้องกานต์ทำเสร็จแล้วแบ่งกับข้าวไปให้เพื่อนบ้านข้าง ๆ หน่อยนะลูก”

รพินทร์บอกก่อนจะเดินเข้าบ้านไป รพีกานต์เหลียวมองทางชานเรือนเพื่อนบ้านทันได้สบตากับชายหนุ่ม เด็กหนุ่มยิ้มบางให้ วิศรุตเกาท้ายทอยแก้เก้อ

รพีกานต์ตักแกงใส่ถ้วยวางในถาดสำรับ มีน้ำพริกลงเรือเครื่องเคียงผักสดกับไข่เจียวดอกโสนวางเสริมไปด้วย เพราะพ่อรพินทร์บอกว่าคุณครูวิศรุตเพิ่งย้ายมายังไม่รู้จักใคร รพีกานต์อยากให้เขาได้ลองชิมหลากหลายหน่อยจึงตักแบ่งไปอย่างละนิดละหน่อย เสร็จเรียบร้อยจึงยกสำรับเดินออกไปนอกบ้าน มือบางกดกริ่งหน้าบ้านก่อนจะยืนรอด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม ไม่นานนักร่างสูงใหญ่จึงได้เยี่ยมหน้าออกมา

 “ สวัสดีครับ”

เจ้าของใบหน้าผ่องแฉล้มฉีกยิ้มสว่างสดใสเอ่ยทักทายเมื่อเจ้าของบ้านติดกันเปิดประตูรั้วออกมา

“วันนี้ที่บ้านทำแกงส้มไหลบัวกับน้ำพริกลงเรือไข่เจียวดอกโสน คุณพ่อบอกให้แบ่งมาให้คุณครูลองชิมดูน่ะครับ”

 รพีกานต์บอกพร้อมยื่นสำรับบรรจุกับข้าวตามที่เอ่ยบอกให้เจ้าของร่างสูง วิศรุตเหลือบมองหลังคาเพื่อนบ้านแวบหนึ่ง ภาพใบหน้าขาวผ่องที่ขับโฟร์คเต่าผ่านหน้าบ้านเมื่อเช้าผุดขึ้นในมโนภาพ

“ขอบคุณนะครับ เอ่อ ขอเรียกว่าน้องนะครับ น้อง...”

“กานต์ครับ ส่วนคุณพ่อชื่อ คุณพ่อรพินทร์” รพีกานต์แนะนำตัวยิ้มแย้ม

“พี่ชื่อวิศรุตนะครับ เรียกพี่รุตก็ได้”

“ครับพี่รุต คุณพ่อเห็นพี่รุตเพิ่งย้ายมาเลยให้กานต์ยกกับข้าวมาทักทายเพื่อนบ้านน่ะครับ”

รพีกานต์บอก วิศรุตนิ่งไปนิด คุณรพินทร์สังเกตเห็นเขาด้วยหรือ

“ ฝากขอบคุณคุณพ่อน้องกานต์ด้วยนะครับ แล้วก็ขอบคุณน้องกานต์ด้วยที่อุตสาห์ยกมา”

“ครับพี่รุต ว่าง ๆ แวะไปทานข้าวด้วยกันได้นะครับ ทานหลาย ๆ คนจะได้อร่อย”

รพีกานต์เอ่ยชวนด้วยไมตรี วิศรุตยิ้มรับคำชวนนั้น


 :mew1:  เพลงในเนื้อเรื่องชื่อว่าเพลงไม่มีวัน ของศิลปินแห่งชาติ คุณสุเทพ วงศ์คำแหง นะคะ คุณพ่อเราร้องให้ฟังเลยใส่ลงในนิยายด้วย เพลงเก่า ๆ เพราะมาก
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 24-03-2016 15:33:23
ชะอุ้ย เนื้อหาน่าติดตามมากเรื่องนี้

นายเอกจะท้องกี่รอบกันแน่เนี่ย :hao3:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 24-03-2016 15:42:30
เสน่หา...รักเอย ตอนที่ ๒


รพินทร์กับรพีกานต์ช่วยกันยกโต๊ะออกมาตั้งหน้าบ้านเหมือนทุกๆเช้าเพื่อรอตักบาตร วันนี้สองพ่อลูกตื่นกันตั้งแต่ตีสี่เพื่อมาเก็บดอกจำปาทำจำปาดองบูชาพระ และเก็บมะลิกรองมาลัย เก็บดอกไม้เสร็จเรียบร้อย รพินทร์แยกตัวไปทำอาหารใส่บาตร มอบหน้าที่กรองมาลัยให้รพีกานต์ เด็กหนุ่มตักน้ำฝนใส่หม้อเติมสารส้มสะตุลงไปแล้วยกขึ้นตั้งไฟขณะหันไปจัดเรียงดอกจำปาที่เพิ่งเก็บมาสดๆเรียงใส่ในขวดโหล รอให้น้ำเดือด ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วจึงนำมาเทใส่ขวดโหลที่เรียงดอกจำปาไว้แล้ว จากนั้นปิดฝาเป็นอันเสร็จ ได้จำปาดองสำหรับบูชาพระ พ่อรพินทร์บอกว่าจำปาดองบูชาพระเป็นภูมิปัญญาไทย สามารถเก็บได้เป็นร้อยปีโดยดอกไม่เหี่ยวเมื่อเก็บไว้นาน ๆ น้ำที่แช่จะเปลี่ยนสีไปเป็นสีของจำปี และห้ามเปิดฝาเด็ดขาดเพราะอากาศเข้าแล้วจำปาจะดำ ไม่สวย ดอกจำปาที่บ้านออกดอกมาก พ่อรพินทร์มักทำจำปาดองเป็นของฝากเวลาไปรดน้ำดำหัวญาติผู้ใหญ่ช่วงสงกรานต์ หรือแจกจ่ายเพื่อนอาจารย์ด้วยกันนำไปบูชาพระ

“ใส่บาตรตอนเช้าทุกวันเลยนะครับ”

วิศรุตเอ่ยทักสองพ่อลูกที่กำลังยืนรอใส่บาตร รพินทร์แต่งตัวเรียบร้อยในชุดพร้อมไปทำงานกับรพีกานต์ที่ใส่ชุดนักเรียนมัธยมปลายผมเผ้าหวีเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน

“คุณครูมาใส่ด้วยกันสิครับ”

รพินทร์เอ่ยชวนด้วยไมตรี วิศรุตยกถาดสำรับมาตั้งด้วยกันรอพระ

“น้องกานต์กำลังรอลุ้นผลสอบเข้าสินะคุณรพินทร์”

หลวงตาถามไถ่หลังใส่บาตรกรวดน้ำให้พรแล้วเรียบร้อย

“ครับ หลวงตา ถ้าเข้าคณะที่หวังได้คงดีไม่น้อย อุตส่าห์เตรียมตัวตั้งแต่มอสี่ ตาณัฐก็มาช่วยติวให้บ่อย ๆ ”

 รพินทร์ลูบหัวศีรษะทุยลูกชายโทนอย่างรักใคร่เอ็นดู ขณะส่งยิ้มบางให้ณัฐธีร์ ลูกศิษย์ก้นกุฏิหลวงตาที่พากเพียรจนได้เข้าเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยชื่อดัง

ณัฐธีร์รู้จักมักจี่กับครอบครัวนี้มาตั้งแต่วัยเยาว์ ที่รู้จักกันได้ก็เริ่มจากที่รพินทร์พารพีกานต์ไปวัดเพื่อคุยเรื่องเจ้าภาพสลากภัต เด็กชายรพีกานต์ตัวจ้อยแอบพ่อออกมาเล่นที่ลานวัดใต้ต้นพิกุล มือเล็กป้อมเก็บดอกพิกุลใส่มือกะจะเอาไปเล่นขายของ แต่กลับถูกเด็กเกเรรังแกจนร้องไห้จ้า ณัฐธีร์กวาดลานวัดแถวนั้นเห็นเหตุการณ์ตลอดจึงเข้ามาช่วย กลายเป็นเรื่องเป็นราวเมื่อเด็กเกเรไปฟ้องพ่อแม่ว่าถูกเด็กวัดรังแก รพินทร์ซึ่งเดินตามหารพีกานต์ทันได้ยินเข้าพอดี รู้สึกไม่ชอบใจที่พ่อแม่เด็กเกเรชี้หน้าด่าทอณัฐธีร์ว่า “ลูกไม่มีพ่อมีแม่สั่งสอน” ชายหนุ่มก้มถามลูกชายได้ความว่า ฝ่ายนั้นมารังแกรพีกานต์ก่อนและณัฐธีร์มาช่วยไว้ กลายเป็นณัฐธีร์ถูกใส่ไคล้ทั้งที่ยังไม่ได้ไต่ถามให้ดี

 รพินทร์ไม่ได้เอ่ยตำหนิโดยตรงแต่ใช้สายตาตำหนิแทนนั่นทำให้ครอบครัวนั้นถึงกับหน้าจ๋อยเอ่ยขอโทษเสียงอ่อยแต่กลับไม่ยอมขอโทษณัฐธีร์ ก่อนจะจากไปโดยที่ยังฝากบาดแผลให้กับเด็กชาย รพินทร์ปลอบโยนพร้อมทั้งบอกให้รพีกานต์ขอบคุณ มือเล็กป้อมที่ยกขึ้นประนมไหว้ขอบคุณโดยไม่อิดออดเพราะณัฐธีร์อายุมากกว่าทำให้ณัฐธีร์ประทับใจตั้งแต่คราวนั้น เด็กชายหาก้านดอกหญ้ามาร้อยดอกพิกุลทำกำไลให้เด็กน้อย ทั้งคู่จึงสนิทกันนับแต่นั้น ความพากเพียรของณัฐธีร์จุดประกายความเพียรพยายามให้รพีกานต์รู้จักเตรียมความพร้อมในการอ่านหนังสือและตั้งใจเรียนเรื่อยมา

“พากเพียรหวังสิ่งใดไว้ก็ขอให้สมหวังนะ” หลวงตาอวยพร

“ขอบคุณครับหลวงตา”

รพีกานต์ประนมมือไว้รับพร หลวงตาอุ้มบาตรเดินนำไปก่อน แต่คนหน้าทะเล้นยังไม่วายหันมายิ้มแป้นแล้นใส่

“เข้าที่เดียวกับพี่ได้ เทหน้าตักเลี้ยงลอดช่องน้ำกะทิยายพิมเลย เอ้า”

ณัฐธีร์ใจป้ำ ลอดช่องน้ำกะทิยายพิมแก้วละสิบบาทใส่ในหม้อดินเผาวางในสาแหรกเดินหาบเร่ขายไปตามทาง มีตั่งตัวเล็กให้สำหรับลูกค้านั่งกิน อิ่มหนำสำราญจ่ายเงินแล้วก็หาบย้ายไปขายต่อที่อื่นเรื่อย ๆ สองหนุ่มติดใจความหอมหวานของกะทิกอปรกับสงสารยายแกด้วย จึงอุดหนุนประจำ

“เขาจะกินให้ตัวกระเป๋าฉีก คอยดู คนหน้าใหญ่” รพีกานต์หน้ายู่ใส่พี่ชาย

“ตัวใหญ่กว่ามดหน่อยเดียว ระวังจะท้องแตกตายเป็นชูชก” ณัฐธีร์ต่อล้อ

“หน่อยแน่ คนขี้แกล้ง”

รพีกานต์หน้างอเป็นปลาทูแม่กลอง  มือเรียวยกขึ้นป้องปากส่งเสียง

“หลวงตาครับ พี่ณัฐแกล้งน้องกานต์อีกแล้วครับ”

รพีกานต์งัดไม้เด็ดออกมาใช้ ซึ่งได้ผลทุกคราวไปเวลาเถียงสู้อีกฝ่ายไม่ได้

“เจ้าณัฐ! มานี่เลย แกล้งน้องอยู่ได้”

 เสียงเอ็ดทำให้ณัฐธีร์หดหัวแต่ไม่วายหันมาคาดโทษคนเจ้าเล่ห์

“ฝากไว้ก่อนนะ เจ้าตัวดี”

“ไม่รับฝากหรอก แบร่” รพีกานต์แลบลิ้นปลิ้นตาล้อเลียนใส่เป็นลิงเป็นค่าง

“น้องกานต์”

 รพินทร์ปรามฝ่ายตัวเองบ้างไม่ให้เลยเถิดเกินงาม รพีกานต์หน้าจ๋อย ณัฐธีร์หันมายักคิ้วหลิ่วตาล้อเลียนคนหน้างอคอหัก รพินทร์ส่ายหน้ายิ้ม ๆ ตั้งแต่เล็กจนโตก็มีณัฐธีร์นี่ล่ะที่เล่นหัวยอมให้น้องน้อยมาตลอด


“พี่ณัฐ กานต์อยากฟังเพลง ร้องให้ฟังหน่อย”

 เสียงใสร้องบอกขณะทิ้งตัวปุหนุนตักพี่ชายอย่างคุ้นเคย

“พี่ร้องเพลงวัยรุ่นไม่เป็นหรอก”

 ณัฐธีร์บอกทั้งที่ตายังอยู่กับหน้าหนังสือ

“เอาเพลงอะไรก็ได้ที่พี่ณัฐชอบ ร้องให้ฟังหน่อยนะ นะ” รพีกานต์ออดอ้อน

“เพลงเดียวนะ พี่จะอ่านหนังสือเตรียมสอบ”

“ก็ได้ครับ”

 รพีกานต์ยิ้มตาปิดที่พี่ชายตามใจ ณัฐธีร์ปิดหนังสือลงพร้อมยื่นมือหยิบใบไม้ที่ร่วงใส่ผมน้องออกให้ สายตาคมทอดลงจดจ้องยังดวงตากวางคู่งามขณะเริ่มร้องเพลง

*เปรียบเธอเพชรงามน้ำหนึ่ง หวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า หยาดเพชรเกล็ดแก้วแววฟ้า ร่วงมาจากฟ้าหรือไร
หยาดมาแล้วอย่าช้ำโศก ปล่อยคนทั้งโลกร้องไห้ หยาดเพชรเกล็ดแก้วผ่องใส นั้นอยู่ไกลเกินผูกพัน
แม้ยามเพชรหยาดจากฟ้า ร่วงลงมาฟ้าคงไหวหวั่น ดวงดาวก็พลอยเศร้าโศกศัลย์ มิอาจกลั้นน้ำตาอาลัย
เอื้อมมือคว้าหยาดเพชรแก้ว เผลอรักแล้วจึงฝันใฝ่ หยาดเพชรหยาดละอองผ่องใส แม้อยู่ในความมืดมน


แปะ แปะ แปะ
   
“พี่ณัฐร้องเพลงเพราะมาก ตานี่หวานเยิ้ม อย่าไปทำตาอย่างนี้ใส่ใครเข้าล่ะ เดี๋ยวสาวหลงตายเลย”

รพีกานต์ปรบมือเปาะแปะชื่นชมไม่วายกำชับ
   
“พี่จะไปทำใส่ใครได้”

“เหอะ อย่าให้พูด สาว ๆ ที่โรงเรียนนะชอบพี่ณัฐกันตั้งหลายคน แต่เขาว่าพี่ณัฐหยิ่ง ยิ้มให้ก็ทำเฉย จริงสิ ทำไมพี่ณัฐไม่ไปประกวดร้องออกทีวีล่ะ เผื่อชนะ ได้เงินได้ออกอัลบั้มด้วยนะ มีแฟนคลับ คนรู้จักครึ่งประเทศเลยนะ”

รพีกานต์คุยจ้อเสียงใส เขาชอบเสียงร้องของณัฐธีร์ เสียงทุ้มนุ่มขับกล่อมให้เพลิดเพลินเหมือนล่องลอยในอากาศ ร่างบางนอนรอคำตอบพี่ชายตาแป๋ว

“ไม่ล่ะ เดี๋ยวดัง กัน เดอะ สตาร์จะหมอง ร้องประกวดเอาเงินรางวัลตามงานวัดมาซื้อปลากริมไข่เต่าให้ตัวยุ่งกินก็พอแล้ว”

ณัฐธีร์ลูบศีรษะทุยก้มมองใบหน้านวล

“นี่พี่ณัฐ ตัวรู้ไหม เพื่อนที่โรงเรียนถามล่ะว่า พี่ณัฐเป็นเกย์หรือเปล่า ไม่เห็นสนใจสาวเลย สาว ๆ สวย ๆ มาชอบก็ตั้งเยอะ”

“โธ่เอ๋ย เด็กวัดอย่างพี่จะมีปัญญาเอาเงินที่ไหนไปเลี้ยงสาวกันล่ะ ลำพังเงินจากทำงานพิเศษก็ต้องใช้กับการเรียน พี่ไม่มีเวลาให้สาวที่ไหนหรอก”

“พี่ณัฐเรียนตั้งวิศวะ เดี๋ยวตัวเรียนจบมีงานทำ ตัวก็รวยแล้ว”

“เอาไว้ให้ถึงเวลานั้นก่อนเถอะ ที่ซุกหัวนอนยังเป็นก้นกุฏิหลวงตาอยู่เลย เอาล่ะ เงียบได้แล้วตัวยุ่ง พี่จะอ่านหนังสือเสียหน่อย เสร็จแล้วเดี๋ยวพาไปกินไอติม”

“ไม่ ๆ วันนี้พ่อรพินทร์ทำปลากริมไข่เต่า พ่อบอกให้กานต์มาชวนพี่ณัฐไปกินด้วยกัน ตัวจะได้ไม่ต้องเปลืองเงิน เอาไว้พี่ณัฐรวยแล้ว กานต์จะให้พี่ณัฐขุนกานต์ให้อ้วนฉุเป็นหมูเลย”

เสียงใสบอกพร้อมปิดเปลือกตาลงฉับเป็นการหยุดรบกวน ตักพี่ชายอุ่นและปลอดภัยสำหรับร่างบางเสมอ

“หมูจิ๋วล่ะสิ ให้เลี้ยงตลอดชีวิตยังได้เลย”

ณัฐธีร์พึมพำมองคนที่นอนหลับหนุนบนตักเขา ใบหน้าเรียวขาวผ่อง คิ้ว ตา จมูก ปาก ทุกอย่างดูลงตัวเสริมให้รพีกานต์น่ามอง หอมกลิ่นอ่อน ๆ ของแป้งเด็กติดกายโปร่งเสมอตั้งแต่เล็กจนโต พี่ชายกับน้องน้อยที่จูงมือเล่นหัวกันมาแต่เด็ก ครอบครัวรพีกานต์ไม่เคยรังเกียจเด็กวัดอย่างเขา เด็กน้อยหน้าแป้นแต่งกายสะอาดสะอ้านมักมีขนมมาเผื่อแผ่เด็กวัดมอมแมมตลอด ณัฐธีร์เข้าเรียนไปโรงเรียนก่อน รพีกานต์น้องน้อยมักจะมาชะเง้อคอยขนมของฝากจากพี่ชายทุกวัน ทั้งที่ขนมที่บ้านนั้นมีมากมาย แต่เด็กชายกลับอร่อยขนมราคาถูกที่พี่ชายเจียดเงินซื้อมาให้ รพินทร์รู้อย่างนั้นจึงทำขนมใส่ห่อให้ณัฐธีย์เอาไปกินที่โรงเรียนเพื่อที่เด็กชายจะได้เก็บเงินไว้ยามจำเป็นโดยไม่ถูกน้องน้อยเบียดเบียนมากนัก

วันเดือนปีเคลื่อนผ่าน จนณัฐธีร์สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ รพีกานต์กระโดดเหยง ๆ ตัวลอยเหมือนตัวเองเป็นฝ่ายสอบเข้าได้เสียเอง มือบางถึงกับแคะออมสินที่อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบจากเงินค่าทำงานพิเศษที่อุตส่าห์ตามไปทำกับณัฐธีร์ซื้อของขวัญฉลองให้พี่ชาย ณัฐธีร์ดีใจหนักหนาจนน้ำตาคลอ เขาสัญญากับตัวเองว่าจะดูแลน้องน้อยให้ดีที่สุด

...น้องน้อยของพี่ชาย...


 :กอด1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 24-03-2016 16:00:10
เสน่หา...รักเอย ตอนที่ ๓


“พ่อครับ!”

 เสียงร้องเรียกดังลั่นตั้งแต่หน้าบ้านตามมาด้วยเสียงวิ่งตึก ๆ ตรงมาหา รพินทร์เงยหน้าจากดอกจำปาที่กำลังจะเสียบลงในเข็มร้อยเป็นอุบะผูกเข้ากับตาข่ายหน้าช้างแขวนริมหน้าต่าง ดอกจำปาที่บ้านออกดอกสะพรั่งต้น รพินทร์จึงเก็บมาประดิดประดอยตกแต่งบ้านยามมีเวลา

สายตาเอ็นดูมองร่างโปร่งบางที่กำลังยิ้มแป้นวิ่งเข้ามาหา รพินทร์วางงานในมือลงเตรียมอ้าแขนรับขวัญลูกชาย และก็ไม่ผิดคาดเมื่อรพีกานต์วิ่งหลุน ๆ เข้ามากอดเอวหมับพร้อมซุกหน้าส่งเสียงอู้อี้

“พ่อครับ กานต์ทำได้แล้ว”

เสียงนุ่มสั่นเครือด้วยความปลื้มปริ่มยินดีอย่างเก็บอาการไว้ไม่มิด รพินทร์กอดกระชับร่างเล็กพลางลูบแผ่นหลังบางเป็นเชิงรับรู้ด้วยความภูมิใจ

“เก่งมาก กานต์เก่งมากลูก จากนี้ต้องตั้งใจเรียนมาก ๆ นะ ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยกานต์จะต้องรับผิดชอบตัวเอง อาจารย์เขาจะไม่มาเคี่ยวเข็ญคอยจ้ำจี้จ้ำไชอะไรแล้ว”

รพินทร์เอ่ยกับลูกชาย

“นี่พ่อทำฟักทองเชื่อมไว้ต้อนรับนิสิตใหม่เลยนะลูก”

 รพินทร์เปิดฝาครอบถ้วยเบญจรงค์ลวดลายอ่อนช้อยออกให้ดู ฟักทองเหลืองอร่ามแกะสลักเป็นรูปดอกกุหลาบสวยงามน่ากินอวดโฉมรอชิมอยู่ข้างใน รพีกานต์มองด้วยความปลาบปลื้มแกมฉงนเพราะแกะสลักต้องใช้เวลาพอควร

“พ่อรู้มาก่อนแล้วหรือครับ”

คิ้วเรียวขมวดอย่างสงสัย

“ณัฐแอบโทรมาบอกน่ะ รายนั้นดีใจกระโดดโลดเต้นเหมือนถูกรางวัลใหญ่”

“พี่ณัฐนี่นะ แอบบอกพ่อก่อนกานต์ได้ไง”

รพีกานต์ทำท่ากระฟัดกระเฟียดแสนแง่แสนงอนพี่ชายตัวดีที่แอบคาบข่าวมาบอกพ่อก่อน แต่ถึงจะทำท่าแบบนั้นไปก็ใช่ว่าจะติดใจเอาความใครได้นานเสียเมื่อไหร่

 “แต่เอาเถอะ กานต์ได้กินของอร่อยฝีมือพ่อจะยกโทษให้ก็แล้วกัน ขอบคุณครับพ่อ โห สวยจนกานต์ไม่กล้ากิน” รพีกานต์ตื้นตันกับทุกสิ่งที่พ่อรพินทร์มีให้เขามาโดยตลอด

“ลูกพ่ออุตส่าห์สอบเข้าได้ทั้งที รับขวัญกันหน่อย”

รพินทร์หยิบตลับทองเหลืองเปิดฝาออก สร้อยคอทองคำแวววาวถูกหยิบออกสวมใส่คอลูกชาย พร้อมสมุดบัญชีเปิดออกเป็นชื่อของรพีกานต์

“เงินในบัญชีนี้พ่อเปิดไว้ให้ตั้งแต่กานต์ยังแบเบาะ มีเงินเข้าบัญชีทุกเดือนไม่มากไม่มายอะไร มันจะเป็นทุนรอนสำหรับกานต์หลังเรียนจบนะลูก”

รพินทร์ไม่ได้เปิดให้ดูว่าในบัญชีมีเงินเท่าไหร่ มือเรียวพับสมุดเก็บใส่ซองดังเก่าพลางหันมายิ้มให้ลูกชาย รพีกานต์น้ำตารินด้วยความเต็มตื้น สองมือประนมไหว้ลงแนบอกผู้เป็นบิดา เขาได้รับสิ่งดี ๆ จากผู้เป็นพ่อมากมายเหลือเกิน

“กานต์ไม่รู้จะหาคำไหนมาขอบคุณพ่อแล้ว บุญคุณที่พ่อมีต่อกานต์ ชดใช้ยังไงก็ไม่มีทางหมด”


“เป็นคนดี ตั้งใจเรียน มีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ พ่อขอกานต์แค่นี้ ทำให้พ่อได้ไหม”

“กานต์สัญญาครับ”

รพีกานต์ยิ้มทั้งน้ำตา มือเรียวหยิบผ้าเช็ดหน้าซับคราบน้ำตาออกก่อนจะเริ่มลงมือกินฟักทองเชื่อมฝีมือบิดา

“เอ ตาณัฐบอกจะไปเก็บฝักบัวในสระหลังบ้าน พ่อว่าพี่เขาไปนานแล้วนะ กานต์กินเสร็จแล้วไปดูหน่อยนะลูก”

“งั้นกานต์ยกไปกินกับพี่ณัฐนะครับ จะไปต่อว่าคนแอบส่งข่าวเสียหน่อย”

รพีกานต์ว่าพลางทำหน้าหมั่นไส้เสียเต็มประดา ร่างบางยกถ้วยฟักทองเชื่อมเดินตรงไปที่ศาลากลางน้ำในสระบัวหลังบ้าน มือวางถ้วยลงพลางชะเง้อ

“พี่ณัฐ พี่ณัฐอยู่ไหน”

เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับ รพีกานต์เดินลงไปที่เรือ ฉวยไม้พายจ้ำลงน้ำสอดส่ายสายตาหา

“ไปแอบหลบที่ไหน หรือว่าไปแล้ว เชอะ เก็บเม็ดบัวกินคนเดียวก็ได้”

ร่างโปร่งพูดขณะเก็บฝักบัวใส่เรือ อารามไม่ระวังไม่ทันรู้ถึงบางอย่างที่เคลื่อนเข้ามาใกล้เรือ

แฮ่!

“เฮ้ย!”

 รพีกานต์ฉวยไม้พายหมายจะฟาดให้ด้วยความตกใจ ณัฐธีร์ไหวหลบพร้อมหัวเราะเอิ๊กอ๊ากถูกอกถูกใจที่แกล้งหยอกเอินอีกคนให้ใจหายใจคว่ำได้

“พี่ณัฐบ้า  บ้าที่สุด”

รพีกานต์ต่อว่าด้วยความเข่นเขี้ยวพลางฟาดไม้พายตีน้ำกระจายใส่คนช่างแกล้ง ณัฐธีร์ทำหน้าเจ้าเล่ห์ว่ายน้ำเข้าหา

“ไม่ต้องมาล่มเรือกานต์เลยนะ คนบ้า คนเขาอุตส่าห์เอาขนมมาแบ่ง ไม่ให้กินด้วยแล้ว”

รพีกานต์ค้อนควักหน้างอ คนตัวโตเหวี่ยงตัวขึ้นเรือพร้อมกุมมือบางง้องอน

“พี่ขอโทษ อย่างอนน้า เดี๋ยวเก็บเม็ดบัวให้กินเยอะ ๆ เลยเอ้า”

ณัฐธีร์ตะล่อมเอาใจคนหน้างอคอหัก

“พี่ณัฐชอบแกล้งกานต์”

คนหน้างอไม่ยอมง่าย ๆ รพีกานต์ทำหน้ามุ่ยเป็นขนมบูด

“โตแล้วยังแสนงอน รักหรอกถึงหยอกเล่น จะเข้ามหาวิทยาลัยอยู่แล้วยังไม่เลิกขี้งอนพี่อีก”

ณัฐธีร์เย้าพร้อมแกะเม็ดบัวจากฝักป้อนคนแสนงอน

“จริงสิ เรื่องเข้ามหาวิทยาลัย เขาโป้งพี่ณัฐแล้ว แอบมาบอกพ่อก่อนได้ไง”

รพีกานต์นึกขึ้นได้ป้อนความผิดให้ณัฐธีร์อีกกระทง

“ไม่บอกแล้วจะได้เซอร์ไพรส์คนเก่งหรือ พี่อุตส่าห์ขูดมะพร้าวคั้นน้ำกะทิราดฟักทองเชื่อมเลยนะ กะว่ายังไงก็ต้องได้เห็นคนขี้แยเป่าปี่”

ณัฐธีร์พูดพลางแกะเม็ดบัวป้อนอีกเม็ด

“พี่ณัฐบ้า ชอบทำให้กานต์เสียนิสัย เขางอนตัวก็ง้อก็ตามใจเขาอยู่เรื่อย”

 รพีกานต์ต่อว่ากะบึงกะบอน

“แล้วไม่แปลกใจหรือ ทำไมพี่ถึงตามใจ ชอบแกล้งให้งอนแล้วคอยตามง้อ ใครมาชอบพี่ก็ไม่ชอบเขาตอบน่ะหือ”

ณัฐธีร์จ้องใบหน้าขาวไม่มีท่าทีล้อเล่น รพีกานต์ประหม่ากับสายตาที่แปลกไปจากทุกที ใบหน้านวลเสหลบสายตาก้มหน้างุด

“ไม่รู้หรอก ตัวจะบอกว่าเพราะอยู่แต่กับเด็กกะโปโลแบบเขา ก็เลยไม่มีเวลาจีบสาวล่ะสิ”

รพีกานต์เถียงข้าง ๆ คู ๆ ไปเรื่อยจนได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่จึงเงยหน้ามอง

“เฮ่อ คนเรา เคยคิดอะไรเข้าข้างตัวเองบ้างไหม”

ณัฐธีร์ส่ายหน้าคัดไม้พายเข้าฝั่ง

“คิดอะไรหรือ”

รพีกานต์ถามพี่ชายตาใส

“ก็คิดว่าสิ่งที่พี่ทำมันหมายความว่ายังไงน่ะ คิดบ้างไหม”

ณัฐธีร์เอ่ยทั้งไม่มองหน้า คราวนี้ถึงทีพี่ชายงอนบ้าง

“พี่ณัฐ...”

รพีกานต์ครางชื่อพี่ชายเสียงแผ่ว

“พี่อยากดูแลกานต์นะ อยากดูแลกานต์ไปตลอดชีวิตของพี่จนกว่าจะตายจากกัน ที่พี่ทำบุญร่วมกับกานต์บ่อย ๆ ก็เพราะพี่หวังว่าถ้าชาติหน้ามีจริง พี่จะได้เกิดมาเจอกานต์อีก ไม่ใช่แค่ชาตินี้”

ณัฐธีร์ระบายสิ่งที่คั่งค้างอยู่ในใจออกมา มาถึงขั้นนี้แล้วถึงเวลาที่เขาควรสารภาพกับร่างเล็กตรงหน้าเสียที

“พี่ณัฐ คือกานต์...”

รพีกานต์อ้ำอึ้งด้วยคิดไม่ถึงมาก่อน

“กานต์รู้สึกอะไรกับพี่บ้างไหม”

น้ำเสียงณัฐธีร์เว้าวอนทั้งสีหน้าและแววตา

“กานต์ไม่รู้...”

รพีกานต์ตอบเสียงแผ่วอย่างสับสน เขาตั้งใจจะเป็นผู้ชายแท้มาตลอดไม่คิดว่าจะถูกผู้ชายด้วยกันสารภาพรัก ที่ผ่านมารพีกานต์คิดว่าณัฐธีร์เป็นพี่ชายที่แสนดีมาตลอด

“พี่ขอโทษที่ทำให้กานต์ลำบากใจ”

 ณัฐธีร์เสียงอ่อย ใบหน้าสลดอ้อยสร้อยอย่างผิดหวังจนรพีกานต์อดสงสารไม่ได้ มือบางยื่นกุมปลอบประโลมพี่ชาย

“คือ กานต์ไม่รู้จะอธิบายยังไง กานต์มีพี่ณัฐมาตลอดตั้งแต่เด็ก เป็นทั้งพี่ เพื่อน ที่ปรึกษา ทุกอย่างรองจากพ่อรพินทร์ พี่ณัฐคอยปกป้องกานต์ อาหารที่หัดทำครั้งแรกพี่ณัฐก็อาสาเป็นหน่วยกล้าตายชิมให้ แม้แต่ร่างกายกานต์ที่ไม่ปกติเหมือนคนอื่นพี่ณัฐก็ไม่เคยรังเกียจ กานต์ไม่รู้ว่าจะเรียกความรู้สึกนี้ว่ายังไง แต่กานต์อุ่นใจที่มีพี่ณัฐ”

“มันคือความผูกพัน พี่เองก็ผูกพันกับกานต์ มันหยั่งรากลึกจนรักไม่รู้ตัว”

ณัฐธีร์เฉลยพร้อมกุมมือบางตอบส่งสายตาเสน่หาให้

“พี่ณัฐ...”

รพีกานต์ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร แต่เขาไม่อยากให้พี่ชายแสนดีคนนี้ต้องผิดหวังเลย

“กานต์อาจจะยังไม่รักพี่ก็ไม่เป็นไร แต่พี่อยากขอโอกาส กานต์ให้พี่ได้ไหม รังเกียจเด็กวัดแบบพี่หรือเปล่า”

“ถ้าดูถูกตัวเองอีก กานต์จะโกรธจริง ๆ ด้วย กานต์เองก็ไม่ได้ดีเด่นอะไรไปกว่าพี่ณัฐเลยนะ เพียงแต่กานต์โชคดีได้เจอคนดีก็เท่านั้นเอง แล้วอีกอย่าง กานต์กลัว...”

 เสียงนุ่มสั่นเครือบ่งบอกว่าความหวาดกลัวนั้นหนักอึ้ง

“กลัวอะไรหรือ”

“ถ้ากานต์ตอบรับพี่ณัฐไม่ได้ พี่ณัฐจะโกรธกานต์จนหนีหายไปเลยไหม จะปิดกั้นตัวเองจนไม่สนใจใครเลยหรือเปล่า”

รพีกานต์พรั่งพรูความในใจ ใบหน้าฉายแววกังวล

“ไม่หรอก พี่จะไม่หนีไปไหน พี่สัญญา พี่จะรักน้องน้อยของพี่ไปแบบนี้ล่ะ ไม่ว่าจะในฐานะอะไร”

ณัฐธีร์กระชับมือบางยืนยันมั่นเหมาะ

“พี่ณัฐรับปากกานต์แล้วนะ”

ใบหน้าใสจ้องตาเอาคำตอบ

“ครับ พี่รับปาก แต่กานต์จะให้โอกาสพี่จีบกานต์ใช่ไหม ให้โอกาสพี่ณัฐคนนี้ได้พิสูจน์ตัวเองว่าพี่จะดูแลน้องน้อยของพี่ได้หรือเปล่า”

ณัฐธีร์ขยับเข้าใกล้ด้วยสายตาเปี่ยมความหวัง

“อืม กะ ก็ได้”

เสียงนุ่มอึกอักตอบทั้งก้มงุดซ่อนใบหน้าหวานแดงซ่าน ณัฐธีร์ยิ้มพรายได้ทีรุกเข้าหาต่อด้วยเสียงทุ้มกระเซ้าเย้าแหย่ให้คนแก้มแดงเขินหนักกว่าเก่า

“งั้น พี่ขอมัดจำเป็นแก้มหอม ๆ ของกานต์หน่อยได้ไหม”

 ณัฐธีร์ก้มกระซิบเสียงทุ้มต่ำตรงหน้า รพีกานต์ตาโตเมื่อได้ยิน ใบหน้าใสเงยขึ้นพร้อมฉวยก้านฝักบัวฟาดคนช่างแกล้ง

“พี่ณัฐบ้า ได้คืบจะเอาศอก กานต์จะฟ้องหลวงตา”

 ณัฐธีร์หัวเราะปัดป้องพัลวันก่อนจะกุมมือบางแนบอกส่งเสียงหวานออดอ้อนน้องน้อยตาหวานเชื่อม

“กานต์จะใจร้ายฟ้องว่าพี่รักกานต์หรือ”

 รพีกานต์เสหน้าหลบ ใบหน้าแดงก่ำลามไปยังใบหู

“นะครับคนดี น้องน้อยของพี่ รู้ไหมว่าหวง เข้ามหาวิทยาลัยแล้วเดี๋ยวมีคนตัดหน้าเลยต้องรีบจองไว้ก่อน”

ณัฐธีร์กุมมือบางออดอ้อน

“ไม่เอา เดี๋ยวพ่อเห็น”

 รพีกานต์ก้มหน้างุดเอียงอายยามมือบางซุกอยู่ในอุ้งมืออุ่นด้วยความรู้สึกต่างจากทุกที

“คุณรพินทร์ร้อยตาข่ายหน้าช้างแขวนหน้าต่างอยู่ ไม่เห็นหรอก น่านะ นิดเดียว”

ณัฐธีร์พูดหวานเข้าล่อ

“นิดเดียวจริงนะ”

รพีกานต์ต่อรองกล้า ๆ กลัว ๆ

“อื้อ นิดเดียว”

ณัฐธีร์พยักหน้ารัวพร้อมยื่นหน้าเข้าใกล้แก้มขาวที่เปลี่ยนเป็นสีเลือดฝาด รพีกานต์ก้มหน้างุดด้วยความอาย

อะแฮ่ม!

เสียงขัดจังหวะดังขึ้นไม่จริงจังนักขณะปลายจมูกโด่งกำลังจะแตะแก้มนวลพอดี ทั้งสองร่างสะดุ้งผละออกจากกันพร้อมหันไปยังต้นทางเสียง

ชะอุ้ย!

“เห็นหายมานานทั้งคู่ กลัวจะตกน้ำตกท่า”

รพินทร์บอกเสียงเรียบเรื่อยไม่แสดงอาการใด ๆ เพราะก่อนหน้าณัฐธีร์ได้มาสารภาพกับเขาแล้ว รพินทร์ไม่ขัดหากมันเป็นความต้องการของคนสองคนที่ปรารถนาจะครองรักใช้ชีวิตร่วมกัน รพีกานต์เกาแก้มน้อย ๆ แก้เก้อที่ถูกผู้เป็นบิดาเห็นภาพน่าอาย
   
“จริงสิ พี่ณัฐ กานต์อยากไปเยี่ยมเพื่อนหน่อย พี่ณัฐจำเพื่อนกานต์ที่ชื่อฝ้ายได้ นั่นล่ะ ฝ้ายไม่ยอมมาเรียนเลย ขาดเรียนหลายวันจนหมดสิทธิ์สอบ กานต์อยากไปเยี่ยมหน่อย เดี๋ยวกานต์บอกพ่อรพินทร์แล้วพี่ณัฐไปกับกานต์หน่อยนะ”

“ได้สิ กานต์อยากให้พี่ทำอะไร พี่ตามใจกานต์ทุกอย่างอยู่แล้ว”

“พี่ณัฐนี่นะ ป้อเช้าป้อเย็นแบบนี้กานต์จะไปไหนรอด”

รพีกานต์ทำหน้ายู่กลบเกลื่อนอาการขวยอาย

“ไม่ได้หรอก ต้องเร่งทำคะแนนไว้ เดี๋ยวกานต์เข้ามหาวิทยาลัยแล้วเจอคนหล่อ ๆ สวย ๆ ขึ้นมา พี่แย่เลย”

ณัฐธีร์แจงเหตุผล

“บ้าน่า ใครจะรักกันง่ายขนาดนั้น” รพีกานต์แย้งขึ้นมาทันที

“กานต์เชื่อเรื่องรักแรกพบไหมล่ะ ถ้ากานต์ได้เจอใครแล้วคนนั้นทำให้กานต์ใจเต้นรัวเหมือนจะกระดอนออกมาจากอก นั่นล่ะคือความรัก ไม่เอาดีกว่า แนะมากเดี๋ยวกานต์ไปรักคนอื่น พี่ณัฐคนนี้คงได้เป็นหมาวัดแหงนมองดอกฟ้าถูกคนอื่นเชยชม”

ณัฐธีร์บ่ายเบี่ยงไปเรื่องอื่น

“สำนวนจีบสาวลิเก๊ลิเก นี่ถ้าพี่ณัฐไปสมัครเข้าคณะพ่อเพชรแถวตลาดนะ มีหวังแม่ยกติดตรึม”

“ไม่เอาหรอก เอาไว้จีบคนแถวนี้คนเดียวนี่ล่ะ ให้หลงพี่หัวปักหัวปำเลย เพี้ยง! ท่องคาถาจองหัวใจ”

 ณัฐยิ้มหวานเชื่อมให้ ทั้งสองยิ้มให้แก่กันก่อนจะพากันไปขออนุญาตพ่อเพื่อไปเยี่ยมเพื่อน



“ฝ้าย ฝ้ายอยู่ไหม”

รพีกานต์ตะโกนเรียกเข้าไปในบ้านที่ดูเงียบเชียบ บ้านไม้ชั้นเดียวมีใต้ถุนสูงทรงโบราณแบบชาวบ้าน ๆ ปลูกต้นไม้มงคลรอบบ้านร่มรื่น รั้วบ้านเป็นแบบไม้ระแนงผ่านร้อนผ่านฝนมานานหลายปีจนมีบางส่วนจับตัวเป็นคราบตะใคร่สีเขียว มีเถาตำลึงเลื้อยพันรอบๆชูยอดอ่อนสลอนเห็นแล้วน้ำลายสออยากเด็ดไปทำแกงจืดตำลึงหมูสับ หรือไม่อย่างนั้นยอดกระถินอ่อน ๆ ริมรั้วก็น่าเด็ดไปเหมือดกินกับขนมจีนน้ำพริกน้ำยานัก

“บ้านปิดเงียบเชียบขนาดนี้ ไม่น่าจะมีคนอยู่นะกานต์”

ณัฐธีร์ชะเง้อคอมองก่อนหันมาปรึกษากันกับรพีกานต์ ใบหน้าใสชะเง้อมองอีกครั้งก่อนจะพยักหน้าชวนกันหันหลังกลับ

ก๊อกแก๊ก

เสียงก๊อกแก๊กเหมือนคนขยับกลอนหน้าต่างดังขึ้นจากในบ้านทั้งคู่จึงหันไปมอง บานหน้าต่างเปิดออกพร้อมใบหน้าซีดผมเผ้ายุ่งเหยิงของเด็กสาวโผล่เยี่ยมออกมามอง

“กานต์”

เสียงครางเรียกชื่อแผ่วเบาเมื่อเห็นว่าผู้มาเยี่ยมเป็นใคร

“กานต์รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวเราลงไปเปิดประตูรั้วให้”

เด็กสาวผลุบหายเข้าไปข้างในไม่นานจึงเดินออกมาเปิดประตูรั้วบ้าน แวบแรกที่เห็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนในชุดคลุมท้องรพีกานต์ตกใจไม่น้อย ฝ้ายนำเพื่อนหัวหน้าชั้นเข้าไปนั่งโซฟาไม้ใต้ถุนบ้านพร้อมยกขันทองเหลืองใส่น้ำฝนโรยดอกมะลิหอมเย็นมารับแขก ร่างในชุดคลุมท้องสีอ่อนมองเห็นส่วนนูนยังไม่มากทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามก่อนเอ่ยปากเปิดประเด็น

“อย่างที่กานต์เห็นนั่นแหละ เราท้อง ก็เลยไม่ได้ไปเรียนอีก เพราะเราไม่อยากทำบาป แค่ทำให้พ่อแม่เสียใจก็บาปมากพอแล้ว”

ฝ้ายเอ่ยเสียงเครือ

“แล้วเพื่อนในห้องเรา มีใครรู้เรื่องอีกไหม”

“เราไม่กล้าบอกใครหรอกกานต์ เราอาย นี่ก็ขังตัวอยู่ในบ้านตลอดไม่กล้าโผล่หน้าออกไปไหนให้ประจานพ่อแม่ ฮึก”

 ฝ้ายยกมือขึ้นปิดใบหน้าด้วยความเสียใจ

“แล้วพ่อของเด็กล่ะฝ้าย”

“อย่าพูดถึงคนสารเลวพรรค์นั้นเลย เราผิดเองที่ปล่อยตัว รักสนุก กิน ดื่ม เที่ยวกลางคืนไม่เว้นแต่ละวัน ใครห้ามใครเตือนบอกสอนอะไรก็ไม่ฟัง สุดท้ายก็ป่องไม่มีพ่อถึงเพิ่งคิดได้ ฮึก เรามันเลวกานต์ เราทำให้พ่อกับแม่ต้องเสียใจ”

 ฝ้ายพรั่งพรูความในใจด้วยความรู้สึกผิดเต็มเปี่ยม

“อะไรที่ผิดพลาดไปแล้วก็ถือเป็นบทเรียนนะ”

ณัฐธีร์เตือนสติ เพราะก่อนหน้าเขาเองก็เคยเห็นเพื่อนรพีกานต์คนนี้ควงกับเพื่อนในคณะเขาออกเที่ยวกลางคืนบ่อย ๆ ทั้งที่ยังเรียนอยู่แค่มัธยมแท้ ๆ

“ขอบใจกานต์มากที่มาเยี่ยมเรา แล้วนี่กานต์สอบติดคณะอะไรหรือ”

“เราติดคณะอักษรศาสตร์”

“กานต์ทั้งเก่งแล้วก็นิสัยดี เราดีใจด้วยนะ”

ฝ้ายแสดงความยินดีจากใจจริงเพราะตั้งแต่เรียนด้วยกันมา รพีกานต์เป็นคนที่มีน้ำใจกับทุกคนจึงมักเป็นที่รักของอาจารย์และเพื่อน ๆ เสมอ

“งั้นเราไม่รบกวนฝ้ายแล้ว อย่าคิดมากนะ ถ้ามีอะไรให้เราช่วยก็โทรหาเราได้ตลอด แล้วไม่ต้องห่วงว่าเราจะเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร เราไม่พูดหรอก สบายใจได้”

“ขอบใจนะกานต์ ขอบใจจริง ๆ ”

สองหนุ่มโบกมือลาเพื่อนร่วมชั้นก่อนเดินจากมา สิ่งที่พ่อรพินทร์พร่ำสอนรพีกานต์ได้ประจักษ์แก่สายตาแล้ว แต่กระนั้นก็อดเห็นฝ่ายหญิงที่ต้องแบกรับผลของความผิดพลาดไว้ฝ่ายเดียวไม่ได้

“กานต์สงสารฝ้ายจัง”

“ฝ้ายได้รับบทเรียนชีวิตแล้ว ต่อไปจะทำอะไรคงต้องคิดให้มากกว่าเก่า”

ณัฐธีร์ลูบศีรษะทุยประโลม

“แต่กานต์ไม่ต้องห่วงนะ พี่ณัฐคนนี้จะไม่ทำให้กานต์ต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่าท้องก่อนแต่งแน่นอน”

ณัฐธีร์ยิ้มฉีกยิ้มแฉ่งกระลิ้มกระเหลี่ยก่อนจะถูกศอกถองสีข้างเข้าให้พร้อมคนถองหน้าแดงก่ำ

“พี่ณัฐบ้า เขาไม่แต่งกับตัวหรอก รอจนแก่หงำเหงือกไปเถอะ”


 :hao7: :hao7:

 
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)
เริ่มหัวข้อโดย: ศตรัศมี ที่ 24-03-2016 16:37:30
ดูท่าจะดราม่าหนัก นายเอกจะได้คู่กับใครน๊อออ? อิอิ รอตอนต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 24-03-2016 16:51:18
ดราม่าน้ำตานองแน่ ๆ เลย
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 24-03-2016 19:47:31
ดราม่าหนักแน่ๆ อาจจะทั้งเรื่องเลยมั้งนี่ ใครเป็นพระเอกยังเดาไม่ถูกเลย  :mew2:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)
เริ่มหัวข้อโดย: donut4top ที่ 24-03-2016 23:44:29
ขอชื่นชมนะคะภาษาสละสลวย อ่านแล้วลื่นไหลดี สัมผัสได้ถึงมาม่าต้มย้ำน้ำข้นทะเลเดือด อ่านแล้วตั้งคำถามว่าใครจะเป็นพระเอก? พ่อของลูกมีกี่คน?  :mew2:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 25-03-2016 00:15:59
สนุกมากๆคับ เพิ่งมาอ่าน อ่านเกริ่นนำเรื่องแล้วติดใจมากๆชอบมาๆคับ อ่านแล้วอยากให้ณัฐเป็นพระเอกเลยอ่ะ
   รอ รออ่านตอนใหม่คับ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 25-03-2016 11:18:40
เสน่หา...รักเอย ตอนที่๔


“ตื่นเต้นไหม นิสิตใหม่”

 รพินทร์เอ่ยถามยิ้ม ๆ สายตาทอดมองร่างโปร่งในชุดนิสิตเรียบร้อยสำหรับการเข้าเรียนวันแรก หลังละมือจากการสอนรพีกานต์ผูกเนคไทเสร็จ

“ตื่นเต้นสุด ๆ เลยครับพ่อ วันไปรับน้องทำกิจกรรมนะ สนุกสุด ๆ พวกพี่ ๆ ใจดีมากแล้วกานต์ได้รู้จักเพื่อนต่างคณะหลายคนเลยครับ ได้เจอเพื่อนคณะเดียวกันด้วย”

 เสียงใสบ่งอารมณ์แสนยินดีที่แสดงออกมา

“ไปใส่บาตรก่อนนะลูก พี่ณัฐมารอแล้ว พ่อทำอาหารกล่องเบนโตะไว้ให้กานต์เอาไปกินระหว่างทาง ที่จริงกานต์ไม่ต้องระหกระเหินกลับมานอนบ้านก็ได้ น่าจะนอนที่หอพัก จะได้ไม่ต้องตื่นออกจากบ้านตั้งแต่ไก่โห่”

“กานต์คิดถึงพ่อนี่ครับ เปิดเรียนวันแรกยังไงก็อยากให้พ่ออวยพร พรใด ๆ ก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่าพรของพระประจำบ้านหรอก อีกอย่างช่วงนี้กานต์กิจกรรมเยอะ อาจจะไม่ได้กลับบ้าน กานต์เป็นห่วงกลัวพ่อจะเหงา”

ร่างเล็กกอดเอวบิดาอย่างออดอ้อน

“เหงาก็โทรมาได้ เดี๋ยวนี้มีแอพพลิเคชันคุยกันแบบเห็นหน้าได้แล้ว คงคลายเหงาได้บ้าง กานต์นั่นแหละ จะติดเพื่อนจนลืมพ่อเสียหรือเปล่า”

รพินทร์จูบขมับบางอย่างรักใคร่พากันเดินไปหน้าบ้าน

“ไม่ลืมหรอกฮะ คุยทางโทรศัพท์จะสู้ได้กอดพุงกะทิไปด้วยได้ยังไง”

รพีกานต์ว่าพลางสวมกอดออเซาะ

“แน้ มาว่าพ่ออ้วนเสียอีก คิดถึงหนัก ๆ ว่างแล้วก็ขับรถมาสิ พ่อซื้อรถให้กานต์สะดวกขับไปไหนมาไหนได้แล้วนี่ กานต์โตแล้ว แต่ดูท่าคงจะไม่ได้ขับเองเสียล่ะมั้ง โน่น สารถียิ้มแฉ่งรอบริการอยู่โน่น”

 รพินทร์เย้าขณะสายตาเหลือบมองไปทางหนุ่มวิศวะสถาบันเดียวกับลูกชาย ณัฐธีร์ตั้งโต๊ะรอท่าไว้ก่อนแล้ว หนุ่มหล่อในชุดนิสิตยิ้มแต้ที่เห็นร่างโปร่งในชุดสถาบันเดียวกันวันแรก

“หล่อเหมือนกันนะเนี่ย ดูไม่ค่อยกะโปโลแล้ว แต่หล่อน้อยกว่าพี่นิดนึง”

 ณัฐธีร์เย้า ผลคือกำปั้นเล็กชกเข้าที่แขน ทั้งสองหยุดล้อเล่นเมื่อพระเดินบิณฑบาตมาถึง ทั้งสามตักบาตรและรับพรร่วมกันก่อนรพินทร์จะให้พรทั้งคู่สำทับอีกหน

“ตั้งใจเรียนนะทั้งคู่ รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา อดทนพากเพียรไม่กี่ปี จะได้เอาไว้ใช้เลี้ยงดูตัวเองไปตลอดชีวิต”

“ครับพ่อ/ครับคุณรพินทร์”

ทั้งคู่ประนมมือรับพรก่อนณัฐธีร์จะเดินไปขับรถออกมาจอดรับรพีกานต์ที่หน้าบ้าน รพินทร์มองรถของลูกชายที่ขับเคลื่อนจากไปด้วยความรู้สึกเป็นห่วงแปลก ๆ ทั้งที่รพีกานต์ไม่ใช่คนเกเรแต่ความรู้สึกนี้รพินทร์ก็อธิบายไม่ถูกอีกเช่นกัน



 
“เราตื่นเต้นจังเลยกานต์ ใกล้ถึงคณะเราขึ้นประกวดแล้ว”

 เสียงหวานเพราะพริ้งของสาวน้อยนิสิตใหม่ที่กำลังรอขึ้นเวทีการแสดงในงานประกวดดาวเดือนของแต่ละคณะกระซิบกระซาบแก่รพีกานต์ด้วยความตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่ ซึ่งตัวรพีกานต์เองก็ตื่นเต้นไม่น้อยเพราะทั้งคู่ต่างเป็นตัวแทนดาวและเดือนของคณะที่จะเข้าประกวดแสดงความสามารถในการคว้าตำแหน่งดาวและเดือนของมหาวิทยาลัย รพีกานต์กระชับมือบางของเพื่อนร่วมคณะเรียกกำลังใจ

“ไม่เป็นไรนะ ทำให้เต็มที่”

รพีกานต์สูดลมหายใจลึกเรียกกำลังใจพลางนึกถึงใบหน้าของบิดาไปด้วยก่อนร่างโปร่งจะก้าวขึ้นเวทีไปเมื่อได้ยินเสียงประกาศเรียกชื่อตัวแทนคณะของตน



“เฮ้ยวิน ที่เดินอยู่กลุ่มเดียวกับน้องมึงนั่น ใช่เดือนอักษรหรือเปล่าวะ หน้าหวานอย่างกับผู้หญิง ตุ๊ดแอบหรือเปล่าวะ ผิวขาวใสฉิบ”

เสียงร้องทักขณะสายตาจับจ้องมองยังกลุ่มนิสิตใหม่ที่เพิ่งเลิกเรียนภาคเช้าและกำลังเดินมาหาอะไรกิน

“ไม่แอบหรอกมึง เปิดเผยอย่างโจ่งครึ่ม ประธานชั้นปีของปีสาม คณะวิศวะเทียวรับเทียวส่งทุกวัน”

เสียงคุยแข่งกับเสียงเซ็งแซ่อึงมี่ของเหล่านิสิตในโรงอาหารยามพักเที่ยงเอ่ยถึงเจ้าของใบหน้าขาวเนียนละม้ายไปทางอิสตรีจนชวนเข้าใจผิด

“อัครวินท์” มองร่างโปร่งของชายหนุ่มท่าทีนุ่มนวลที่เดินมากับไอยวริญท์ผู้เป็นน้องสาวของเขา ก่อนที่ไอยวริญท์จะเดินสะดุดข้อเท้าพลิก ร่างโปร่งผู้นั้นจึงพยุงหญิงสาวไปนั่งบนเก้าอี้ม้าหินอ่อนขณะตัวเองยอบตัวลงช่วยถอดรองเท้าพร้อมยื่นมือไปจับดูข้อเท้าให้ ท่าทีเอียงอายน้อย ๆ และสายตาหวั่นไหวยามหลุบมองชายหนุ่มที่กำลังนวดเท้าให้ตนเองของไอยวริญท์ทำให้อัครวินท์ผู้เป็นพี่ชายที่มองอยู่ก่อนแล้วอ่านสายตาได้ไม่ยากว่าน้องสาวคิดเช่นไรอยู่ ทั้งที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้แสดงท่าทีหยาบโลนจ้วงจาบแก่น้องสาวของเขาแต่อัครวินท์กลับรู้สึกไม่ชอบขี้หน้ารพีกานต์เสียอย่างนั้น ดวงหน้าขาวใสสะอาดสะอ้าน ท่วงท่ากิริยาอ่อนโยนละมุนละไมเหมือนดวงแก้วงามที่อัครวินท์อยากจะทำลายให้แตกล้างตามวิสัยอันธพาล

“เฮ้ย พวกมึง กูมีอะไรสนุก ๆ ให้เล่นว่ะ”

อัครวินท์เอ่ยขณะสายตาจ้องมองเจ้าของใบหน้าใสไม่วางตาอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก ใบหน้าหล่อเหลาดีกรีอดีตเดือนคณะบริหารฯ ยกยิ้มร้ายกาจเมื่อคิดแผนชั่วเล่นสนุกได้



“รินเจ็บมากไหม เท้าคงยังไม่ชินกับรองเท้าคัทชูน่ะ รินรอเราตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวเราไปซื้อน้ำแข็งมาประคบให้ก่อนแล้วก็แผ่นกันรองเท้ากัดด้วย อ้อ จริงสิ รินอยากกินอะไร เดี๋ยวเราซื้อมาให้นั่งกินตรงนี้เลย จะได้ไม่ต้องเดินบ่อย”

รพีกานต์เงยหน้าถามเจ้าของดวงหน้าหวานงดงามราวภาพวาดนางในวรรณคดีอย่างอ่อนโยน จิตใจคนฟังไหวหวั่นกับน้ำเสียงทุ้มนุ่มอย่างห่วงใย ไอยวริญท์แก้มขึ้นสีเรื่อด้วยไม่เคยเจอใครอ่อนโยนเท่านี้มาก่อน ทั้งพี่ชายและเพื่อนพี่ชายล้วนกักขฬะทำให้หญิงสาวไม่ชอบใจเท่าไหร่

“เรากินอะไรก็ได้ ขอบคุณกานต์มากนะ”

“ไม่เป็นไรหรอก เพื่อนกันนี่นา รินรอเราตรงนี้นะ เราจะรีบไปรีบมา”

รพีกานต์ยิ้มให้อ่อนโยนก่อนจะรีบเดินดุ่ม ๆ จากไป ไอยวริญท์มองตามด้วยความเสียดาย

“ถ้ากานต์ไม่ใช่คนรักของพี่ณัฐก็คงดี อย่างเราพอจะมีโอกาสบ้างไหมนะ ผู้ชายดี ๆ กลายเป็นแบบนี้กันหมด ทั้งกานต์ทั้งแฟนกานต์ เฮ่อ!” ไอยวริญท์รำพึงรำพันอย่างนึกเสียดายเมื่อนึกถึงพี่ชายแสนเกเรของตัวเอง


“โอ๊ะ! ขอโทษครับ”

รพีกานต์ละล่ำละลักขอโทษขอโพยอย่างตกใจเมื่อมือบางรับแก้วน้ำที่สั่งซื้อจากแม่ค้าก่อนจะหันมาชนอั่กเข้ากับแผงอกแน่นเต็มรักจนน้ำกระฉอกหกรดเสื้อของคนถูกชน รพีกานต์ตาเบิกโตกับคราบน้ำขยายวงกว้างบนเสื้อขาว ดวงตาสวยตวัดขึ้นมองเจ้าของร่างสูงก่อนจะชะงักนิ่งราวต้องมนต์ โครงหน้าหล่อเหลาลอยเด่นหราตรงหน้าพาเอาใจสั่นหวิว คิ้วเข้มหนา จมูกโด่ง นัยน์ตาคมกริบที่ทำเอาคนสบตาด้วยใจสั่นหวั่นไหวหัวใจเต้นผิดจังหวะจนลืมทุกอย่างไปชั่วขณะ

“จะจ้องพี่อีกนานไหม หื้ม”

 เสียงทุ้มเอ่ยกับคนยืนนิ่งจ้องเขาตาค้างขณะสายตาคมกริบทอดเสน่หาไม่ได้ละจากดวงตาคู่สวยของอีกฝ่าย รพีกานต์สะดุ้งได้สติ

“อ๊ะ ขะ ขอโทษครับพี่ ผมไม่ได้ตั้งใจ ถ้ายังไงเดี๋ยวผมเอาเสื้อไปซักให้นะครับ”

รพีกานต์ยกมือไหว้ขอโทษทั้งข้าวของเต็มมือ แก้มขาวร้อนผ่าวกับสายตาที่มองมา

“เอาเบอร์มาสิ”

 อัครวินท์เอ่ยทั้งจ้องใบหน้าขาวไม่วางตา

“ครับ?” รพีกานต์เลิกคิ้วอย่างสงสัย

“เอาเบอร์โทรศัพท์ของน้องมาให้พี่ เดี๋ยวพี่จะโทรบอกให้เราเอาเสื้อพี่ไปซัก”

อัครวินท์แจงจุดประสงค์ขณะมือควักโทรศัพท์ออกมาเตรียมกดเบอร์

“เอ่อ ครับ เบอร์ XX-XXXX-XXXX ครับ”

รพีกานต์บอกอย่างไม่ติดใจอะไรด้วยอีกฝ่ายเป็นผู้ชายเหมือนกัน

“จะให้พี่เมมชื่อว่าอะไรดีครับ”

อัครวินท์ทำน้ำเสียงเจ้าชู้เย้าหยอกด้วยสายตาและก็ได้ผลเมื่อแก้มขาวร้อนผ่าว

“กะ กานต์ครับ”

 รพีกานต์เอ่ยตะกุกตะกักหลบสายตาคม

“พี่ชื่อวิน อยู่คณะบริหารปีสอง ไลน์กานต์ขึ้นโชว์ในไลน์พี่แล้ว เดี๋ยวพี่ไลน์หานัดเจอกันตอนเย็นนะครับ”

 อัครวินท์โชว์โทรศัพท์ที่ขึ้นไลน์ของรพีกานต์ให้ดูยิ้ม ๆ รพีกานต์ใจเต้นไม่เป็นส่ำหลบสายตาคมด้วยหวั่นไหว หัวใจเต้นกระหน่ำแทบทะลุออกมานอกอก ใช่ว่าจะไม่เคยถูกผู้ชายจีบ เพียงแต่นี่เป็นครั้งแรกที่รพีกานต์แพ้สายตาของคนตรงหน้านี้จนไม่เป็นตัวของตัวเอง

“เอ่อ ครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ พอดีเพื่อนกำลังรออยู่น่ะครับ”

“ก็ไปสิ”

อัครวินท์ยกยิ้มทอดสายตาหว่านเสน่ห์เต็มที่ รพีกานต์หลบสายตาวูบรีบจ้ำอ้าวจากไปทันที
   
“หึ หมูในอวย ดูท่าจะหลอกฟันได้ไม่ยาก”

อัครวินท์มองร่างที่เร่งเดินจนขาแทบขวิด มือหนากดพิมพ์ข้อความหยอดทำคะแนนอีกหน่อย
   
“ชุดนิสิตว่าน่ารักแล้ว ชุดไปรเวทในไลน์ยิ่งน่ารักกว่า”


 :mew3: :mew1:

ดีใจที่มีคนชอบน้า มีกำลังใจขึ้นเยอะเลย  :L2:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๕)(๒๕/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 25-03-2016 11:49:11
เสน่หา...รักเอย ตอนที่ ๕


“วันนี้พี่มีประชุมที่องค์การนิสิต กานต์กินข้าวกับเพื่อนไปก่อนเลยนะครับ”

ข้อความทางไลน์จากณัฐธีร์สั่นเตือนขึ้นหลังจากรพีกานต์เรียนคาบสุดท้ายของวันเสร็จพอดี ตอนนี้เปิดภาคเรียนเข้าเทอมที่สองแล้ว ซึ่งรพีกานต์เองก็ปรับตัวเข้ากับชีวิตในมหาวิทยาลัยได้ดี หลังเรียนเสร็จรพีกานต์จึงไม่ได้ไปไหน ใบหน้าใสยิ้มบางพิมพ์ข้อความตอบกลับไปทันที

“ครับพี่ณัฐ แล้วให้กานต์ซื้ออะไรไว้รอไหม”

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพี่กินกับเพื่อน ๆ ในองค์การนี่แหละ กานต์อย่าคิดถึงพี่จนกินข้าวไม่ลงน้า เดี๋ยวผอมลงแล้วคุณพ่อจะพาลคิดว่าพี่ดูแลกานต์ไม่ดี เกิดไม่ยกกานต์ให้ขึ้นมา พี่แย่แน่ๆ คงต้องไปนั่งร้องไห้กระซิก ๆ ใต้ต้นผักชี”

“รักกานต์นะครับ”

ณัฐธีร์ตอบข้อความกลับมาหวานจ๋อยพร้อมส่งสติกเกอร์ไลน์น่ารัก ๆ มาให้ รพีกานต์อมยิ้มส่ายหน้าน้อย  ๆ อย่างเอ็นดูในความพยายามสุดทะเล้นของพ่อหนุ่มวิศวะ ตั้งแต่รพีกานต์เข้าเรียนที่นี่ ณัฐธีร์ก็เทียวมารับมาส่งอย่างเปิดเผยตลอด แม้จะอายแสนอายเพราะอีกฝ่ายเป็นที่รู้จักพอตัวในมหาวิทยาลัย โผล่มาหาที่คณะที เพื่อน ๆ ก็ล้อที  รพีกานต์เห็นรอยยิ้มเปี่ยมด้วยความหวังเต็มเปี่ยมของณัฐธีร์แล้วก็ไม่กล้าเอ่ยทัดทานอะไร เพราะอย่างไรเสียน้องน้อยกับพี่ชายก็ผูกพันกันมานานนม รพีกานต์ไม่อยากปิดโอกาสความตั้งใจของณัฐธีร์ถึงแม้ว่าจะปิดโอกาสของตัวเองก็ตาม รพีกานต์ไม่เข้าใจความรู้สึกของความรักมากนัก คิดแค่ว่าหากเป็นณัฐธีร์ก็คงจะอยู่ด้วยกันได้เหมือนที่ผ่านมา

...ยามเมื่อพี่ชายพายเรือพาน้องน้อยล่องผ่านกระแสธารา ลำนาวาแหวกฝ่ากระแสสินธุ์ มือน้องเอื้อมเด็ดก้านบัวสาย หมายมั่นจักแกงส้มสายบัวให้พี่ชายได้เอมอิ่ม นี่กระมังเรียกว่า... “รัก”...

ปกติณัฐธีร์จะไปกินข้าวกับกลุ่มรพีกานต์ด้วยเพราะไม่อยากให้น้องน้อยห่างเพื่อนมากนัก หรือไม่ก็พารพีกานต์มากินข้าวด้วยกันกับกลุ่มเพื่อนของเขาคล้ายเปิดตัวกลาย ๆ หรือบางครั้งก็ไปกันสองต่อสอง แต่ละวันผ่านไปเรียบเรื่อยราวสายน้ำไหลเอื่อย ณัฐธีร์ยังคงเฝ้าดูแลรพีกานต์สม่ำเสมอควบคู่ไปกับความรับผิดชอบอื่น ๆ

“เฮ่อ อิจฉาคนแถวนี้จังน้า มีรุ่นพี่สุดหล่อในฝันของสาว ๆ ดีกรีประธานชั้นปีสาม คณะวิศวะมาคอยรับคอยส่งแบบเปิดตัวสุด ๆ เราเป็นผู้หญิงแท้ ๆ ยังหาไม่ได้อย่างนี้เลย”

เสียงหยอกเอินดังขึ้นลอย ๆ เมื่อเพื่อนสาวในกลุ่มเห็นรพีกานต์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วอมยิ้ม

“เรากับพี่ณัฐรู้จักกันตั้งแต่เด็ก พี่ณัฐก็แค่แวะมาหาน่า”

 รพีกานต์บอกปัดทั้งใบหน้ายังเจือรอยยิ้ม

“จริงเหรอ ตอบเป็นเซเลบไปได้นะ กานต์นี่ล่ะก็ พี่ณัฐเขาแสดงออกขนาดนั้น กานต์ยังเล่นตัวไม่ยอมรับอีก ถ้าเป็นเรานะ ควงแขนโชว์ไปแล้ว พี่ณัฐเห็นอย่างนี้ป๊อบเหมือนกันนะ พี่เราเป็นรุ่นน้องเรียนคณะเดียวกันยังปลื้มเลย เคยพูดให้ฟังอยู่บ่อย ๆ ว่าพี่ณัฐนิสัยดีมาก ๆ”

เสียงเพื่อนสาวในกลุ่มเอ่ยถึงณัฐธีร์ให้ฟัง ซึ่งรพีกานต์รู้อยู่แล้วด้วยคบหากันมาแต่เล็กแต่น้อย กลับบ้านทีไร ก็มักจะได้มาลัยดอกพิกุลมาวางไว้ข้างหมอนส่งกลิ่นหอมฟุ้งให้นึกถึงคนอุตส่าห์เพียรร้อย

...พี่ไม่มีสายสร้อยทองมาคล้องเจ้า มีเพียงพิกุลกรองมาลัยเก็บร้อยเอา หวังเพียงเจ้านวลลออจะพอเห็นใจ...

พี่ณัฐของน้องน้อยน่ารักเสมอ

ติ๊ง

“แค่เห็นหน้าไกล ๆ เสื้อของพี่ก็อยากจะลอยไปหาคนน่ารัก”

 เสียงข้อความไลน์ของใครบางคนดังเตือนขึ้น เมื่อเลื่อนเปิดดูรพีกานต์ถึงกับแก้มร้อนกับข้อความที่เขาส่งมา ยังไม่ทันจะมองหา เสียงเพื่อนสาวในกลุ่มก็ดังทักขึ้นมาเสียก่อน

“อ้าว นั่นพี่วิน พี่ชายของรินนี่ มาทำไมที่นี่ หูย คนนี้ก็อีกคน เห็นทีไรใจละลาย อยากถวายตัวเป็นพี่สะใภ้ของรินจะได้ไหม”

เสียงหนึ่งในกลุ่มเพื่อนร้องขึ้นเมื่อสายตาหันไปเห็นเมอร์เซเดสคันหรูจอดหราเด่นสง่าอยู่หน้าคณะ พร้อมโชเฟอร์หนุ่มหล่อดีกรีเดือนมหาวิทยาลัยปีที่แล้วนั่งอยู่ข้างในเหมือนมารอใครสักคน ไอยวริญท์ส่ายหน้าปลง ๆ ก่อนเอ่ย

“อันนี้คงต้องถามพี่วินเองแล้วล่ะ แล่นมาถึงที่นี่ได้ก็คงไม่พ้นมาจีบสาวแถวนี้ล่ะมั้ง พี่วินเจ้าชู้จะตาย ฟันทิ้งเรี่ยราด ใครเผลอรักเผลอชอบเข้าไม่พ้นน้ำตาเช็ดหัวเข่า”

คำพูดจากปากไอยวริญท์ผู้เป็นน้องสาวทำเอารพีกานต์ได้ยินถึงกับจุกแปลก ๆ กระนั้นก็ยังฟังสาว ๆ คุยกันไปเงียบ ๆ

“หูย รินตอบแบบดิสเครดิตพี่ชายสุด ๆ”

“ก็มันจริงนี่นา รินเตือนแล้วนะ รินเบื่อจะตายที่ต้องคอยรับโทรศัพท์เพื่อฟังเสียงคร่ำครวญของบรรดาสาว ๆ ที่ถูกพี่วินเขี่ยทิ้งน่ะ คนอย่างพี่วินมีอะไรดีนะ ถึงจะเป็นพี่ชายของรินก็เถอะ แต่ผู้ชายประเภทนี้รินไม่คิดจะคบเป็นแฟนเด็ดขาด พี่วินมีดีแค่หล่อกับรวยเท่านั้นแหละ รวยก็รวยจากเงินของพ่อแม่ นอกนั้นไม่เห็นมีอะไรดี ใครคิดจะรักจะชอบพี่ชายรินต้องเผื่อใจไว้มาก ๆ หน่อยละกัน เพราะรินไม่เคยเห็นพี่วินจริงจังกับใครเสียที”

 ไอยวริญท์เอ่ยอย่างฉาดฉานตรงไปตรงมาไม่หมกเม็ดสักนิด แต่กระนั้นก็ยังไม่วายเห็นหลายคนกลายเป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟอยู่เนือง ๆ

“อย่างพี่ชายไม่ชอบ แล้วคุณหนูไอยวริญท์ชอบผู้ชายแบบไหนล่ะค่ะ”

เสียงกระเซ้าเย้าแหย่ดังขึ้นทำเอาไอยวริญท์ถึงกับเงียบกริบพูดต่อไม่ออก

“แหม ๆ ถึงกับพูดไม่ออก แบบไหนกันน้อที่จะคว้าหัวใจสาวสวยดาวคณะผู้เพียบพร้อมของเราได้”

“แบบไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละ ขอแค่เป็นคนดีก็พอ”

ไอยวริญท์ตอบให้พอผ่านคำถามนี้ไป จะให้หญิงสาวบอกได้อย่างไรว่า แบบที่ชอบคือแบบคนที่เป็นเจ้าของพลาสเตอร์ยาที่ปิดตรงรอยรองเท้าคัทชูกัดให้ ซึ่งก็ยืนอยู่ข้าง ๆ กันนี่เอง...รพีกานต์คือเจ้าของพลาสเตอร์อันนั้น

“อุ๊ย นางเอก ตอบเป็นนางเอกอีกแล้ว”

กลุ่มเพื่อน ๆ ยังหยอกเอินไอยวริญท์ไม่เลิกทำให้เรื่องของรพีกานต์ตกไป แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้ถามอะไรมากเพราะสายตาทุกคู่ต่างเพ่งความสนใจไปที่ชายหนุ่มร่างสูงหล่อเหลาที่เปิดประตูรถลงมา

“โหย เทพบุตรออร่าฟุ้งกระจายพาราชรถมาเกย ทำยังไงจะได้เป็นตุ๊กตาหน้ารถกันล่ะเนี่ย ถึงจะหล่อแบบร้าย ๆ แต่ถ้าได้สักครั้งจะเป็นพระคุณอย่างสูง”

“ไปทำหน้าก่อนไหมแม่คุณ เพ้อออกมาแต่ละอย่าง ไม่ได้เช็คสภาพหน้าตัวเองเลย สวยได้อย่างรินก็ว่าไปอย่าง แต่รินเป็นน้องตัดไป ว่าแต่ เอ...พี่วินเหมือนจะมองมาทางนี้ด้วยนะ แกว่าพี่เขาปิ๊งใครในนี้หรือเปล่า”

เสียงเพื่อนสาวบอกก่อนจะเหลียวมองซ้ายขวา รพีกานต์ถึงกับสะดุ้ง ดวงตาคู่หวานเผลอสบตาเข้ากับสายตาคมก่อนจะรีบเสหลบด้วยหัวใจเต้นกระหน่ำแทบหลุดออกมานอกอก ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขามองมาทางนี้

“เอ่อ เราขอตัวก่อนนะ วันนี้พี่ณัฐติดงานที่องค์การนิสิต มารับไม่ได้น่ะ”

รพีกานต์บอกก่อนจะรีบจ้ำอ้าวออกไปจากตรงนั้นทันที

“อ้าว งั้นกานต์...”

ไอยวริญท์ไม่ทันจะเรียกไว้ทัน ร่างโปร่งบางก็เดินลิ่ว ๆ หายไปจากตรงนั้นเสียแล้ว ไอยวริญท์มองตามแผ่นหลังที่หายลับไปอย่างงง ๆ

“ว่าจะชวนไปเดินเล่นหน้ามอเสียหน่อย พี่ณัฐก็ไม่ได้มารับ กานต์จะรีบไปไหน ทำอย่างกับเห็นผี”

 ไอยวริญท์พึมพำอย่างไม่เข้าใจก่อนจะเดินไปหาพี่ชาย

“พี่วินมาทำไมหรือคะ”

“ได้ข่าวว่าคณะนี้มีคนน่ารักเยอะ เลยว่าจะมาส่องดู”

อัครวินท์ตอบทั้งล้วงกระเป๋ากางเกง สายตาคมเหลือบมองทางที่ใครบางคนจงใจหนีหน้าเขาไปเล็กน้อย

“พี่วินนี่น้า รินเบื่อรับโทรศัพท์สายสาว ๆ ที่โทรมาคร่ำครวญเรื่องพี่วินจะแย่แล้วนะคะ”

“ก็ไม่ต้องรับสิ ไม่เห็นยาก บล็อกเบอร์ไปซะก็สิ้นเรื่อง”

อัครวินท์บอกอย่างไม่ยี่หระ

“พี่วินไม่รับผิดชอบความรู้สึกคนอื่นบ้างเลย ระวังไว้เถอะ ถ้าเผลอไปรักใครจริง ๆ เข้า เขาจะไม่เชื่อคำพูดของพี่ก็เพราะพฤติกรรมแบบนี้ของพี่นี่แหละ รินไปดีกว่า”

 ไอยวริญท์บอกก่อนจะเลี่ยงไปอีกทาง  หล่อนไม่ได้สนใจหรอกว่าพี่ชายจะคบใครคนไหน เพราะที่ผ่านมาหญิงสาวก็ไม่เคยก้าวก่ายเรื่องของพี่ชายอยู่แล้ว

ร่างสูงหล่อเหลาชนิดที่ใครเดินผ่านก็เหลียวมองยืนนิ่งมองตรงไปยังทิศทางที่ใครบางคนจงใจหลบหน้าเขาไป มุมปากได้รูปยกยิ้มร้ายอย่างนึกสนุก ก่อนจะเดินกลับไปที่รถพร้อมสตาร์ตเครื่องออกตัวไปจอดยังสถานที่แห่งหนึ่ง มือเรียวอย่างคุณชายควักโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความส่ง

“หนีพี่ทำไมครับ ไหนบอกจะเอาเสื้อไปซักให้พี่ไม่ใช่หรือไง”

อัครวินท์ส่งข้อความพร้อมนั่งรออย่างใจเย็นก่อนจะเห็นร่างบางเดินโต๋เต๋เข้ามาใกล้หอพักที่ชายหนุ่มไปสืบมาได้ รพีกานต์หยุดเดินเยื้องจากหน้ารถของเขาไปนิดหน่อย ในมือบางมีโทรศัพท์ที่กำลังพิมพ์ข้อความส่งกลับมาให้เขา

“พี่วินฝากมากับรินก็ได้ครับ กานต์กับรินเจอกันทุกวันที่มีเรียนอยู่แล้ว”

รพีกานต์ตอบกลับก่อนจะหย่อนโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง หากแต่ยังไม่ทันจะก้าวเท้าเดินเข้าข้างใน ใครบางคนก็เปิดประตูรถก้าวลงมา พร้อมเดินมาหยุดประจันหน้ากันใกล้ ๆ

“ไม่อยากฝากริน ฝากรินแล้วพี่ไม่ได้เห็นหน้ากานต์”

เสียงทุ้มชวนเสน่หาเอ่ยพร้อมหลุบสายตามองร่างเล็กกว่า รพีกานต์อ้าปากค้างอย่างพูดไม่ออกขณะเงยหน้าสบตากับเขา หัวใจที่เพิ่งปรับเข้าจังหวะเดิมได้รัวกระหน่ำอีกครั้งจนแก้มขาวแดงซ่าน

“พะ พี่วินมาได้ยังไงครับ”

“เด็กเกเรแอบเบี้ยวรีบจ้ำอ้าวหนีพี่มา พี่เลยต้องรีบขับรถตามมาดักรอถึงนี่”

“คือ กานต์ไม่ได้ตั้งใจจะหนีนะครับ แต่กานต์คิดว่าพี่วินคงมีธุระกับริน กานต์เลยขอตัวแยกมาก่อน”

รพีกานต์ตอบตะกุกตะกักทั้งไม่มองหน้า แก้มขาวรู้สึกร้อนผะผ่าวไปหมด

“พี่ไม่ได้มีธุระกับริน พี่มีกับกานต์ต่างหาก วันนี้กานต์ว่างไหม”

 อัครวินท์ล้วงกระเป๋าถามด้วยมาดเท่กินขาด คนตรงหน้าไม่ต่างจากลูกเจี๊ยบน้อยไร้เดียงสาในสายตาของเขา

“ก็ ไม่ได้จะไปไหนครับ”

รพีกานต์พูดปดไม่เป็นจึงได้แต่ตอบไปตามจริงทั้งที่ยังก้มหน้างุด ไม่เคยไม่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้กับใครคนไหนมาก่อน

“งั้นไปกินข้าวเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ ได้ไหมครับ...น้องกานต์”

อัครวินท์ก้มหน้าลงต่ำเอ่ยกระซิบกับคนตรงหน้าพร้อมส่งสายตาแบบที่เคยใช้กับผู้หญิงคนอื่น ๆ ได้ผล รพีกานต์กระพริบตาด้วยหัวใจสั่นไหว คำพูดของไอยวริญท์ดังก้องเตือนใจอีกครั้ง

“พี่วินเจ้าชู้จะตาย ฟันทิ้งเรี่ยราด ใครเผลอรักเผลอชอบเข้าไม่พ้นน้ำตาเช็ดหัวเข่า”


 :mew4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๕)(๒๕/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: คนริมคลอง ที่ 25-03-2016 11:54:18
ฟังไว้ด้วยนู๋กานต์  :hao4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๕)(๒๕/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 25-03-2016 14:48:15
ภาษาสวยจริง แต่ดูท่าจะดรามาหนัก คงต้องออกตัวไว้ก่อนว่าต้องรอให้เรื่องราวคืบหน้าไปเยอะๆหน่อยถึงจะกล้าอ่าน
ไม่งั้นกลัวจะค้างคาใจ ทำงานทำการไม่ได้
อ่านบทนำแล้วสงสัยอัษศดิณย์ขืนใจกานต์หรือเปล่า ถ้าใช่คงแย่
หวังว่าอัษศดิณย์คงไม่ได้เป็นญาติกับอัครวินท์นะ
แล้วที่กานต์ผ่าตัด (น่าจะเอามดลูกออก) นี่เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ผ่าตัดเสร็จแล้วกลับไปเรียน... แล้วลูกล่ะ
ให้กำลังใจคนเขียนจ๊ะ

ปล.อยากให้กานต์มีความสุข
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๕)(๒๕/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 25-03-2016 16:16:45
 :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๕)(๒๕/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 25-03-2016 18:43:06
เอาละสิกานต์ โดนหยอดคำหวานๆแล้ว น้ำหยดลงหิน หินมันยังกร่อน เริ่มสนุกแล้วสิ ไม่รู้จะลุ้นยังไงให้กานต์รักณัฐ บทเกริ่นนำก็บอกแล้วว่าจะเป็นไง
รอ รอ รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๕)(๒๕/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 26-03-2016 01:12:41
กานต์นี่น้า... มีพี่ณัฐคนดีอยู่ใกล้ๆไม่เอา   :z3:

 :serius2:


ไปใจเต้นแรงกับอิตะวินได้
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๕)(๒๕/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: ekuto ที่ 26-03-2016 06:47:23
ติดตามครับ

ค้างคา T^T

พี่วิน ไอ้เลว
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๕)(๒๕/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 26-03-2016 07:34:22
รู้สึกว่าได้น้ำตาท่วมจอแน่ๆ แล้วณัฐจะเป็นยังไง ใครจะเป็นพระเอก แงงงงง
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๕)(๒๕/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 26-03-2016 09:16:14
กานต์ตัดมดลูกก่อนเข้ามหาลัยใช่รึเปล่าคะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๖)(๒๕/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 26-03-2016 10:41:39
เสน่หา...รักเอย ตอนที่๖


“เอ่อ คือ กานต์...”

 รพีกานต์เอ่ยน้ำเสียงตะกุกตะกักด้วยความประหม่า สายตาคมปลาบยังคงจดจ้องมาไม่วางตา รพีกานต์แก้มร้อนผ่าวอย่างทำอะไรไม่ถูก กลีบปากอิ่มสีธรรมชาติเผยอน้อย ๆ อย่างคิดคำพูดไม่ออกดูเย้ายวนชวนให้อัครวินท์ย่างเท้าเข้าหาใกล้กว่าเก่าจนได้กลิ่นน้ำหอมราคาแพงผสมกลิ่นกายของเขาชวนให้หัวใจเต้นตึกตัก รพีกานต์หัวใจสั่นไหวรุนแรง ทั้งที่เคยถูกณัฐธีร์จับมือถือแขนแต่ทุกอย่างเป็นไปอย่างทะนุถนอมแตกต่างจากสายตาของอัครวินท์ในตอนนี้ สายตาอันตรายแต่กระนั้นรพีกานต์ก็ไม่อาจละสายตาไปจากคนตรงหน้า

“น้องกานต์รังเกียจที่จะทานข้าวกับพี่หรือครับ อ้อ ลืมไป น้องกานต์คงลำบากใจถ้าแฟนรู้เข้าว่ากานต์ไปทานข้าวกับพี่”

อัครวินท์ทำเสียงน้อยใจเสียเต็มประดา

“ไม่ใช่นะครับ กานต์กับพี่ณัฐยังไม่ได้เป็นแฟนกัน”

 รพีกานต์ส่ายหน้าปฏิเสธทันควันด้วยท่าทีร้อนรนเมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของเขา ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อยด้วยประโยคต่อมา

“คือ พี่ณัฐชอบกานต์แล้วขอโอกาสให้กานต์พิจารณาดู กานต์สนิทกับพี่ณัฐมานานก็เลย เลย...”

“ไม่กล้าปฏิเสธ กลัวพี่ณัฐเสียใจ”

อัครวินท์ต่อคำพูดให้ สายตาคมวาววับอย่างได้ใจที่ได้รู้อะไร ๆ จากปากรพีกานต์ ใบหน้าขาวพยักหน้าหงึกหงอย ๆ อย่างยอมรับเหมือนเด็กยอมรับว่าทำผิด อัครวินท์ย่ามใจที่คิดจะรุก

...แค่รักหรือไม่รักยังไม่รู้ใจตัวเอง ใสซื่อไม่ทันคนแบบนี้ ไม่นานคงได้ตัวมานอนกอดฟรี ๆ บนเตียง หึ...

“แล้วแบบนี้คนที่ชอบน้องกานต์จะกล้าเข้าหาหรือครับ แล้วถ้าน้องกานต์เจอคนที่ชอบขึ้นมา น้องกานต์จะบอกพี่ณัฐยังไง หรือว่า จริง ๆ แล้วน้องกานต์ก็รักพี่ณัฐเหมือนกัน”

อัครวินท์เอ่ยถามเสียงเรียบขรึม

“กานต์ คือ กานต์”

รพีกานต์อึกอักไม่รู้จะตอบยังไง ดวงตาคู่สวยฉายแววสับสนอย่างปิดไม่มิด เปิดโอกาสให้อัครวินท์ย่ามใจขยับเท้าเข้าหา ใบหน้าคมโน้มลงกระซิบเหนือกลุ่มผมนุ่ม กลิ่นแชมพูหอมอ่อน ๆ ลอยเข้าจมูกให้อัครวินท์สูดดม

“เราไปหาที่คุยที่อื่นกันนะครับ พี่หิวแล้ว ตรงนี้ใกล้ทางเข้าหอพักน้องกานต์ คนผ่านไปผ่านมาตลอด”

 รพีกานต์เพิ่งรู้สึกตัวเหลียวมองซ้ายขวาเห็นจริงดังที่อัครวินท์ว่า ถึงตอนนี้จะไม่มีใครผ่านมา แต่ก็ไม่แน่หรอก ร่างโปร่งสบตากับกับร่างสูงอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจก้าวขึ้นรถไปกับเขา รถของอัครวินท์ติดฟิล์มรอบคันรถจึงไม่ต้องกังวลเรื่องคนเห็น แม้จะรู้สึกไม่สบายใจนัก แต่ความรู้สึกลึก ๆ ก็กระซิบยุยงให้รพีกานต์ก้าวขึ้นรถมากับเขา


รพีกานต์ทำสีหน้าแปลกใจไม่น้อยกับร้านอาหารที่อัครวินท์พามา ร้านเป็นร้านออกแนวคลาสสิกบรรยากาศดีติดริมแม่น้ำ ดนตรีในร้านเป็นแนวเรโทร ออกไปทางแนวลีลาศเพราะมีฟลอร์เล็ก ๆ กลางร้านสำหรับให้ลูกค้าได้ออกมาเต้นรำหลังดื่มด่ำกับบรรยากาศสุดแสนโรแมนติกในขณะที่ลิ้มรสชาติอาหารเสร็จแล้ว ซึ่งดูไม่น่าจะใช่สไตล์ของอัครวินท์เท่าไหร่แต่อีกฝ่ายกลับดูคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี รพีกานต์อดคิดถึงคุณพ่อรพินทร์ขึ้นมาไม่ได้ เพราะคุณพ่อชอบฟังเพลงเก่าแนวอมตะคลาสสิกนัก ยิ่งเพลงของศิลปินแห่งชาติอย่างคุณสุเทพ วงศ์กำแหง คุณพ่อรพินทร์ของรพีกานต์ยิ่งชื่นชอบมาก หากมีโอกาสคุณพ่อรพินทร์แวะมาเยี่ยม รพีกานต์จะชวนคุณพ่อมาฟังเพลงไพเราะที่นี่ด้วยกัน

กำลังคิดเพลิน ๆ ผู้จัดการร้านก็เดินสีหน้ายิ้มแย้มออกมาทักทายพูดคุยอย่างเป็นกันเองกับอัครวินท์ คล้ายกับรู้จักมักคุ้นกันดีก่อนจะเดินนำพาสองหนุ่มไปมุมที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวสำหรับทั้งคู่

“ครอบครัวพี่มักมาทานอาหารกันที่นี่บ่อย ๆ น่ะ”

อัครวินท์ไขความกระจ่างหลังจากหย่อนก้นลงนั่งเรียบร้อย ก่อนหน้าชายหนุ่มไม่วายแสดงความเป็นสุภาพบุรุษด้วยการเลื่อนเก้าอี้ให้รพีกานต์ได้นั่งก่อน สีหน้ารพีกานต์อ่านง่าย แค่น้องทำคิ้วขมวดอัครวินท์ก็รู้ความคิดแล้ว

“กานต์อยากทานอะไรสั่งได้เลยนะครับ มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง อุตส่าห์ล่อลวงชวนมาทานเป็นเพื่อนได้ นี่พี่เสี่ยงกับสหบาทาเด็กวิศวะมาก ๆ เลยนะ อาหารที่นี่อร่อยมาก กุ้งนี่ใช้กุ้งแม่น้ำสด ๆ ปลาก็เหมือนกัน เอาไว้วันหลังพี่จะชวนกานต์มาทานข้าวกับครอบครัวพี่นะครับ”

อัครวินท์ร่ายยาวหว่านล้อมก่อนจะปล่อยหมัดฮุกที่ทำเอาคนฟังถึงกับตาโต

“พี่วิน...”

 รพีกานต์ครางเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงแผ่วด้วยความอึ้ง อัครวินท์หันไปสั่งเมนูอาหาร มีหันมาถามความต้องการของรพีกานต์ในการตัดสินใจด้วย เมื่อบริกรรับเมนูไปแล้วชายหนุ่มจึงหันมาคุยกับคนตรงหน้าระหว่างรออาหารลำเลียงมาเสิร์ฟ

“ว่าแต่เอ กานต์เองก็รู้จักกับยัยรินน้องสาวของพี่นี่นา ยัยรินเผาอะไรพี่ให้กานต์ฟังบ้างนะ ไม่พ้นต้องบอกว่าพี่เจ้าชู้จีบผู้หญิงเรี่ยราดแน่ ๆ กานต์ถึงทำสีหน้าหวาดระแวงพี่ขนาดนี้”

อัครวินท์เอ่ยแทงใจดำราวกับหยั่งรู้ รพีกานต์หลบสายตาคมวูบเพราะเป็นอย่างที่อัครวินท์พูดมาจริง ๆ

“กานต์ก็เห็นนี่ครับว่าพี่เป็นยังไง มันก็ไม่แปลกไม่ใช่หรือที่จะมีคนเข้าหาพี่มากมาย ลำพังแค่หน้าตาพวกเขาเหล่านั้นพี่จะรู้ได้ยังไงล่ะครับว่าใครเป็นยังไง พี่ก็ต้องลองคบดูก่อนจริงไหม พอคบแล้วรู้ว่าไม่ใช่ มันก็ต้องเลิกรากันเป็นธรรมดา แบบนี้สินะที่กานต์มองว่าพี่คบใครเรี่ยราด”

 อัครวินท์เบือนหน้ามองออกไปข้างนอกยังวิวแม่น้ำพลางถอนหายใจเหนื่อยหน่าย

 “สมัยนี้คนมองกันแค่เปลือกนอก หน้าตาดีมีรถขับ ผู้หญิงก็ดาหน้าเข้ามาไม่หวาดไหว เห็นแบบนี้พี่เองก็เสียใจนะ ที่ถูกมองแบบนั้นทั้งที่พี่ไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอะไรเลยกับคนที่...พี่ต้องใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ”

อัครวินท์แสร้งเอ่ยความในใจเพื่อชักจูงยืดยาวก่อนจะเว้นระยะนิดหนึ่งแล้วจู่โจมให้คนตรงหน้าหน้าแดง รพีกานต์ได้ยินชัดเจนทุกอย่าง แก้มขาวร้อนผ่าวแดงปลั่งขณะที่ดวงตาคู่หวานหลุบลงหลบสายตาคม รพีกานต์ไม่ได้เอ่ยคำพูดอะไรนอกจากนั่งเขินอายให้อีกฝ่ายมองเป็นอาหารตาเล่น อาหารที่สั่งไปถูกลำเลียงมาเสิร์ฟช่วยให้รพีกานต์ได้เงยหน้าขึ้นมา อัครวินท์ไม่รอช้า เนื้อปลาชิ้นโตถูกตักไปวางในจานอีกฝ่ายเพื่อเอาใจทันที

รพีกานต์เอ่ยขอบคุณเสียงแผ่วก่อนจะตักชิ้นเนื้อปลาเข้าปาก อาหารที่นี่รสชาติดีอย่างที่อัครวินท์ว่า เสียงบทเพลงแว่วหวานขับกล่อมให้บรรยากาศการรับประทานอาหารเต็มไปด้วยความโรแมนติกโดยมีสายตาคมคอยจ้องมองผ่านแสงเทียนบนโต๊ะเป็นระยะ มื้ออาหารผ่านไปท่ามกลางอาการเก้อเขินของรพีกานต์ที่มีอัครวินท์คอยตักอาหารเอาใจให้เป็นระยะ จวบจนนักดนตรีขึ้นอินโทรเพลงที่รพีกานต์แสนคุ้นเคยเพราะคุณพ่อรพินทร์เปิดแผ่นเพลงนี้ให้ฟังบ่อย ๆ ดังขึ้น

...เพียงคำเดียว...

“น้องกานต์ให้เกียรติเต้นกับพี่เพลงนี้ได้ไหมครับ”

อัครวินท์ลุกจากโต๊ะพร้อมโค้งให้ มือหนายื่นออกมาตรงหน้าร่างโปร่งที่กำลังทำอะไรไม่ถูก

“พี่วิน กานต์เป็นผู้ชายนะครับ แล้ว...”

“ไม่เป็นไรหรอก เราไม่ต้องไปเต้นที่ฟลอร์ก็ได้ เต้นกันสองคนตรงนี้ มุมนี้จัดพิเศษเผื่อคู่รักอยากเต้นกันสองคนน่ะ นะครับ เดี๋ยวเพลงจะจบแล้ว”

อัครวินท์เร่งเร้าในที รพีกานต์อึกอักนิดหน่อยก่อนจะตัดสินใจวางมือบนมือหนาด้วยความตื่นเต้น ในเมื่อเขาไม่แคร์ รพีกานต์ก็จะไม่แคร์เหมือนกัน

...เพียงคำเดียวที่ปรารถนา อยากฟังให้ชื่นอุรา ใจพะว้าภวังค์...

หัวใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำยามได้แนบชิดในระยะใกล้ สายตาหลุบต่ำมองแผ่นอกหนาแต่กระนั้นก็ยังรู้สึกถึงสายตาร้อนแรงจากเขาที่มองมา มือบางเย็นเฉียบด้วยความตื่นเต้น ภาวนาขออย่าให้เขาได้ยินเสียงหัวใจกันเลยหนา

“น้องกานตื่นเต้นหรือครับ มือเย็นเชียว งั้นพี่จะร้องเพลงกล่อมนะ จะได้หายกลัวพี่”

มือหนาเกลี่ยหลังมือบางเบา ๆ เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยร้องคลอตามบทเพลง รพีกานต์เงยหน้าสบตาเขาอย่างคาดไม่ถึงว่าคนอย่างอัครวินท์จะร้องเพลงท่วงทำนองนี้ได้ แถมยังขับร้องได้ไพเราะจับใจจนคนฟังอย่างรพีกานต์รู้สึกราวกับตกอยู่ในห้วงมนตร์แห่งความฝันที่มีเพียงรพีกานต์กับเขาแค่สองคน สายตาคมจ้องสบกับดวงตาคู่หวานสื่อความหมายลึกซึ้งขณะที่ริมฝีปากได้รูปเอื้อนเอ่ยบทเพลงราวกับจะสารภาพความในใจออกมาเป็นบทเพลงแสนหวานสะกดหัวใจคนฟัง รพีกานต์รู้สึกราวกับตัวลอย หูไม่ได้ยินเสียงอะไรรอบข้างนอกจากเสียงเพลงจากคนตรงหน้า และสายตาของเขาที่ราวกับจะสะกดหัวใจดวงนี้ให้ยอมสิโรราบ

เพียงคำเดียวที่ปรารถนา อยากฟังให้ชื่นอุรา ใจพะว้าภวังค์
นานเท่านาน พี่คอยจะฟัง คำนี้คำเดียวที่หวัง จะฟังจากปากดวงใจ
คำคำนี้มีค่าใหญ่หลวง พี่รัก พี่แหน พี่หวง เพียงดั่งดวงฤทัย
พี่ไม่เคยเฉลยกับใคร แต่แล้วพี่บอกเจ้าไป เพื่อให้เจ้าตอบเช่นกัน
..มีหลายคราที่เคย เหมือนเจ้าจะเอ่ย เปิดเผยเฉลยคำนั้น
โอ แล้วใยอัดอั้น มิกล้าจำนรรจ์ กลับตื้นกลับตัน ทรวงใน
ฤา เจ้ามีคู่เคียงอุรา เจ้ารักเป็นหนักเป็นหนา ตรึงติดตราหัวใจ
จึงจดจำถ้อยคำพี่ไว้ แอบเอาไปบอกคู่ใจ ทอดทิ้งพี่ให้อกตรม
ฤา เจ้าลืมถ้อยคำคำนี้ จึงทำไม่รู้ไม่ชี้ ดังไม่มีเยื่อใย
แม้น..เจ้าลืมเจ้าเลือนเคลื่อนคลาย พี่เตือนให้อีกก็ได้
ก็รักอย่างไร เจ้าเอย




“แม้น..เจ้าลืมเจ้าเลือนเคลื่อนคลาย พี่เตือนให้อีกก็ได้ ก็ “รัก”อย่างไร เจ้าเอย”

เสียงร้องเพลงคลอเบา ๆ ในรถกับบทเพลงสุดไพเราะและหวานซึ้งติดตรึงตราใจคนฟังที่เพิ่งได้ยินมาจากร้านอาหารแล้วครั้งหนึ่ง คนขับร้องบทเพลงแสนหวานเหลือบมองคนข้างกายที่นั่งรถกลับมาด้วยกันเป็นระยะ รพีกานต์นั่งเม้มปากเงียบไม่เอ่ยคำพูดใดออกมา ดวงตาคู่สวยหวานมีแววสับสนเล็ก ๆ หัวใจยังคงเต้นกระหน่ำไม่เป็นจังหวะ หลังเสร็จจากเต้นรำด้วยกัน เจ้าของใบหน้าหวานก็เอาแต่หลบสายตาคมที่คอยแต่จะจดจ้องราวกับจะยั่วล้อกันให้ปั่นป่วน อัครวินท์จ่ายเงินค่าอาหารซึ่งรพีกานต์ยื่นความจำนงหารจ่ายกันคนละครึ่งแต่ก็ถูกอีกฝ่ายรั้งมือบางเอาไว้พร้อมเกลี่ยเบา ๆ ให้รพีกานต์หน้าแดงสบจังหวะให้อัครวินท์จ่ายค่าอาหารมื้อนั้นเองและพากลับมาส่ง

กึก

จู่ ๆ เมอร์เซเดสคันหรูก็จอดลงกะทันหัน รพีกานต์หันมองคนขับที่เปิดประตูรถออกไปโดยไม่พูดอะไร ร่างโปร่งกำลังจะอ้าปากเรียก หากอัครวินท์ก็ปิดประตูลงพร้อมเดินอ้อมมาเปิดประตูฝั่งรพีกานต์ออก

“น้องกานต์มากับพี่หน่อยนะครับ”

 รพีกานต์ขมวดคิ้วอย่างสงสัยแต่กระนั้นร่างโปร่งก็ลงจากรถเดินตามเขามา อัครวินท์จอดรถชิดไว้มุมหนึ่งก่อนจะพารพีกานต์เดินขึ้นไปกลางสะพาน ใบหน้าหล่อเหลาแหงนมองพระจันทร์ใกล้คืนวันเพ็ญพร้อมเอ่ยคำพูดที่คนฟังแก้มแดงเรื่อ

“ใกล้วันลอยกระทงแล้ว ปีนี้คนที่พี่อยากลอยกระทงด้วย เขาจะเมตตายอมมาลอยกับพี่ไหมน้า”

อัครวินท์ยืนเกาะราวสะพานเอ่ยรำพึงรำพัน รพีกานต์เดินมาหยุดยืนข้าง ๆ พร้อมเงยหน้ามองพระจันทร์ส่องสว่างใกล้จะเต็มดวงด้วยความรู้สึกอบอุ่นปนสับสนอย่างบอกไม่ถูกที่ได้ยืนเคียงกันกับเขามองพระจันทร์ด้วยกันแบบนี้

“อย่างพี่วินจะมีใครกล้าปฏิเสธ ขี้คร้านสาว ๆ จะแย่งกันเป็นตุ๊กตาหน้ารถเสียมากกว่า”

รพีกานต์เอ่ยขึ้นเบา ๆ ขนาดในร้านอาหารตอนเดินเข้าไปและเดินกลับออกมายังไม่วายมีหญิงสาวแอบมองชายหนุ่มไม่วางตา

“แล้วไงล่ะครับ พวกนั้นไม่ใช่คนที่พี่อยากลอยกระทงด้วยนี่นา คนที่พี่อยากลอยด้วย มีคนหวงอย่างกับไข่ในหิน”

สายตาคมจับจ้องใบหน้าสวยภายใต้แสงจันทร์ แวบหนึ่งอัครวินท์อดยอมรับไม่ได้ว่าอีกฝ่ายผุดผ่องดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก ใบหน้าที่ไม่ได้ปรุงแต่งดูงดงามตามธรรมชาติด้วยเครื่องหน้าที่ลงตัว คิ้วยาว ปาก จมูก สวยแบบไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม แพขนตาที่งอนยาวขับให้ดวงตาดูหวานติดตรึงตา มองได้ไม่รู้เบื่อ สายลมอ่อนพัดพรายกลิ่นกายหอมอ่อนละมุนละไมของรพีกานต์ลอยเข้าจมูกให้ความรู้สึกดีจนเกือบจะลืมไปว่าตนเองนั้นชิงชังพวกลักเพศแค่ไหน

...แม่ของเขาต้องเจ็บช้ำเพราะพ่อรักผู้ชาย อัครวินท์เกลียดและอยากทำลายความรักที่ผิดเพี้ยนนี้ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาจงเกลียดจงชังรพีกานต์กับณัฐธีร์ เกลียดแบบงี่เง่าไร้เหตุผล อยากทำลายความรักผิดธรรมชาติให้ย่อยยับ...

“พี่มีคอนโดแถวบางแสน น้องกานต์อยากไปนั่งรถเลียบชายหาด ทานอาหารทะเลอร่อย ๆ กับพี่ไหมครับ แล้วยังไงเราไปเที่ยวต่อที่เกาะล้านก็ได้”

อัครวินท์หันมาเอ่ยชวนคนข้างกาย เมื่อเห็นรพีกานต์ดูสับสนและกังวลชายหนุ่มจึงเริ่มรุกต่อ

“น้องกานต์คงรังเกียจและไม่ไว้ใจพี่ ใช่สิ พี่มันเจ้าชู้ นิสัยแย่ รินคงบอกกานต์แบบนั้น เพราะพี่เคยทำให้เพื่อนของรินต้องเสียใจ ตั้งแต่นั้นมารินก็ไม่เคยมองพี่ดีอีกเลย”

อัครวินท์เอ่ยอย่างตัดพ้อ รพีกานต์เกาะราวสะพานแน่น สูดลมหายใจเข้าปอดลึกก่อนตัดสินใจเอ่ยถามบางอย่างออกมา

“พี่วินครับ กานต์ขอถามอะไรสักหน่อยได้ไหม กานต์ต้องการความชัดเจน ไม่อยากรู้สึกว่ากานต์คิดเข้าข้างตัวเองไปคนเดียว สิ่งที่พี่วินกำลังแสดงออกกับกานต์มันคืออะไรหรือครับ”

รพีกานต์สบตาด้วยใบหน้าจริงจังกับเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่สะกดหัวใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้า

“พี่ยังไม่บอกตอนนี้หรอก คำ ๆ นั้นมันมีค่ามากไม่ใช่หรือครับ พี่ไม่บอกให้กานต์ได้ยินง่าย ๆ หรอก แต่สิ่งที่กานต์กำลังรู้สึก กานต์คิดไม่ผิดหรอกครับคนดี”

อัครวินท์ยิ้มอ่อนสบตากับเจ้าของดวงตาคู่สวย กลายเป็นรพีกานต์ที่เก้อเขินสายตาของเขาเสียเองจนต้องหันหลบ ปากบางเม้มเข้าหากันอย่างคิดหนัก

“แต่เราเพิ่งจะได้เจอกันนะครับ”

 มือรพีกานต์บีบกับราวสะพานอย่างตื่นเต้น หัวใจเต้นกระหน่ำจนประหม่าไปหมด กระนั้นก็ยังพยายามควบคุมน้ำเสียงให้ปกติที่สุด ไม่ให้เขารู้ได้ง่าย ๆ หรอกว่ารพีกานต์ตื่นเต้นแค่ไหน อัครวินท์นับเป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้ร่างโปร่งเสียการควบคุมตัวเองได้แบบนี้

“สำหรับกานต์อาจใช่ แต่สำหรับพี่ พี่เคยเจอกานต์มาก่อนหน้านี้แล้วตั้งแต่เทอมที่แล้ว ช่วงเปิดเทอมใหม่ ถึงขั้นเก็บเอาไปฝันถึงก็หลายครั้ง กานต์เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับน้องสาวพี่ พี่เห็นกานต์เดินไปไหนกับพวกยัยรินบ่อยไป แต่ไม่กล้าเข้าหา  องครักษ์พิทักษ์กานต์ไม่เปิดช่องว่างให้เลย กานต์ดูนี่สิ”

คำตอบของอัครวินท์มาพร้อมกับโทรศัพท์ที่ยื่นมาให้ดู เป็นรูปแอบถ่ายรพีกานต์ตอนไม่รู้ตัวในอิริยาบถต่าง ๆ ทำเอารพีกานต์อ้าปากค้าง แก้มขาวร้อนผ่าว ดวงตาสวยหวานหลุบลงลอกแลกหลบทำอะไรไม่ถูก มือไม้ไปไม่เป็นจนต้องจับราวสะพานแน่นกว่าเก่า

“แต่กานต์...กานต์เป็นผู้ชายนะครับ กานต์มีสรีระร่างกายที่เหมือนกันกับพี่วิน กานต์...อาจให้ความสุขกับพี่วินได้ไม่เท่าผู้หญิง แล้วกานต์อาจทำให้พี่วินถูกมองแปลก ๆ”

“ที่กานต์พูดมานั่น พี่ณัฐเองก็ชอบกานต์ที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมเป็นพี่บ้างจะไม่ได้”

 อัครวินท์ยื่นมือกุมมือบางที่จับราวสะพานแน่น ความอุ่นของฝ่ามือที่ส่งถึงกันทำให้รพีกานต์กัดริมฝีปากแน่นอย่างพยายามจะหักห้ามใจไม่ให้หวั่นไหว

...หยุดนะหัวใจ อย่าเต้นแรงถึงเพียงนี้ กลัวเขาจะไม่รู้หรือว่า หวั่นไหวกับเขาแค่ไหน...

“มันไม่เหมือนกันนะครับ พี่ณัฐเป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้เป็นลูกชายไฮโซมีชาติตระกูลที่คนในแวดวงสังคมต่างรู้จักอย่างพี่วิน เวลาเราไปไหนมาไหนด้วยกัน เราอาจถูกนินทาหรือมองอย่างประหลาดสำหรับคนที่ไม่เข้าใจ แต่เดี๋ยวมันก็ผ่านไป นามสกุลของพี่ณัฐก็ไม่ได้ทำให้เป็นที่จับตามองอย่างพี่วิน พี่วินจะทนกับคำนินทาได้หรือครับ แล้วยังจะครอบครัวพี่อีก”

รพีกานต์พูดอย่างหดหู่ด้วยความหวาดกลัวเล็ก ๆ

กลัว...ว่าเขาจะมาลวงหลอก เพราะว่าเขาทั้งหล่อและรวย ตัวเลือกมีมากมาย

กลัว...ว่าครอบครัวเขาจะรับไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องเลิกรา

กลัว...ว่าแวดวงสังคมไฮโซของเขาจะไม่เหมาะกับตัวเอง นกน้อยโผผินขึ้นสูงเกินกำลังตน หลงไปอยู่ในหมู่หงส์ สุดท้ายตกลงมาเจ็บเจียนตาย

...ยอมรับว่ากลัวเหลือเกิน...

แต่เหนือกว่าความกลัวใด คือ กลัวหัวใจตัวเอง ที่พลอยจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แล่นถลาจะไปหาแต่เขาเสียเรื่อย

“กานต์เชื่อเรื่องรักแรกพบไหมล่ะ ถ้ากานต์ได้เจอใครแล้วคนนั้นทำให้กานต์ใจเต้นรัวเหมือนจะกระดอนออกมาจากอก นั่นล่ะคือความรัก" คำพูดณัฐธีร์ที่เคยว่าไว้ผุดขึ้นหัวทำให้จิตใจยิ่งว้าวุ่นสับสน อัครวินท์มองคนคิ้วขมวดแทบผูกปมพลางฉวยโอกาสรุกคืนทำคะแนน

“กานต์กลัวเรื่องนี้เองหรือ ไม่ใช่เรื่องที่พี่เป็นคนไม่ดีใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย พี่จะถือโอกาสนี้พิสูจน์ให้กานต์ได้เห็น ว่าพี่รู้สึกต่อกานต์จริง ๆ ไม่ใช่ความรู้สึกฉาบฉวย ให้โอกาสพี่นะครับ ถึงเราจะเพิ่งรู้จักกันแต่กานต์รู้ไหม พี่รู้สึกอิจฉาพี่ณัฐมากเลยนะที่เขาได้เจอและใช้เวลากับกานต์มาตั้งนาน”

อัครวินท์กุมมือบางพลางหันตัวบางให้หันมาเผชิญหน้ากันด้วยสายตาแน่วแน่

 “ให้เวลานับจากนี้เป็นของพี่ได้ไหม ให้โอกาสพี่แล้วเราจะร่วมฝ่าฟันทุกอย่างไปด้วยกัน ถ้าครอบครัวยอมรับไม่ได้พี่ก็จะออกมา ยกทุกอย่างให้ยัยรินดูแลก็ได้ พี่ไม่ต้องการอะไรนอกจากกานต์”

“พี่วิน คือกานต์...”

รพีกานต์อึกอักอย่างสับสนด้วยณัฐธีร์เองก็เคยขอโอกาสนี้เช่นกัน ตอนนั้นรพีกานต์ไม่รู้จักอะไรคือความรัก คิดแค่ว่าถ้าเป็นพี่ชาย รพีกานต์ก็สามารถอยู่กับพี่ณัฐได้ตลอดไป ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกับอัครวินท์ด้วยความรู้สึกสับสนไม่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้ สีหน้าลำบากใจ ดวงตาสั่นไหวอย่างประหม่า คิดไม่ตก แต่ไม่ได้ชักมือออกปฏิเสธ ทำให้อัครวินท์ถือโอกาสรุกต่อ

“กานต์ยังไม่ต้องตอบพี่ตอนนี้ เพราะกานต์เองก็ให้โอกาสพี่ณัฐเหมือนกัน ขอแค่พี่ได้เป็นเพียงตัวเลือกของกานต์ก็ยังดี ให้เวลาเป็นคำตอบสำหรับกานต์นะครับ ถึงผลสุดท้ายคำตอบจะออกมาแบบไหนพี่ก็จะยอมรับให้ได้ พี่รอกานต์ได้เสมอ พี่รอคนที่ใช่มาได้ตั้งนาน ทำไมพี่จะรอกานต์ไม่ได้ล่ะ”

 อัครวินท์ยิ้มอบอุ่นปลอบประโลมให้ร่างบางคลายกังวล รพีกานต์เงยหน้าขึ้นยิ้มละไมอย่างขอบคุณที่เขาไม่เร่งรัดกัน รอยยิ้มสว่างไสวตราตรึงใจจนอัครวินท์ชะงักไปครู่หนึ่ง

“ขอบคุณพี่วินที่เข้าใจกานต์นะครับ”

“ไม่เป็นไร กานต์สบายใจได้ นี่พี่พากานต์มาเถลไถลนานแล้ว เรากลับกันนะครับ”

อัครวินท์ยิ้มอ่อนโยนพลางยีผมนุ่มหยอกเย้าก่อนทั้งคู่จะพากันไปขึ้นรถเพื่อไปส่งรพีกานต์ยังที่พัก

“พี่วินจอดตรงนี้นะครับ เดี๋ยวกานต์เดินเข้าไปเอง”

รพีกานต์บอกเพราะเมื่อกี้ณัฐธีร์เพิ่งส่งข้อความมาหาบอกว่าเลิกประชุมแล้วและกำลังจะมาหารพีกานต์ที่หน้าหอพัก เมอร์เซเดสคันหรูจอดเทียบฟุตบาทเพื่อให้ร่างเล็กได้ลงพร้อมยื่นถุงใส่เสื้อนิสิตที่เปื้อนคราบน้ำให้ รพีกานต์ยื่นมือออกมารับ ถือโอกาสให้อัครวินท์ได้จับมือบางนุ่มนิ่มพร้อมส่งสายตาเสน่หาหวานหยาดเยิ้มปานจะกลืนกินให้อีกฝ่ายได้เขินอาย ก่อนร่างโปร่งจะรีบรับถุงเสื้อและเปิดประตูรถลงไปเดินนำหน้าลิ่ว ๆ ขาแทบขวิด อัครวินท์ยกยิ้มพอใจก่อนจะออกรถโดยไม่วายแกล้งชะลอตามร่างบาง รพีกานต์หันมาค้อนควักให้อีกฝ่ายหัวเราะขำก่อนจะแล่นรถจากไป เหลือบมองกระจกหลังเห็นสายตาร่างบางมองตามรถของเขาอยู่ อัครวินท์ก็ย่ามใจนัก

รถของอัครวินท์แล่นมาถึงหน้าหอพักรพีกานต์ สายตาคมเหลียวมองร่างสูงในชุดชอปวิศวะกำลังยืนรอรพีกานต์อย่างกระวนกระวายก่อนจะยกยิ้มเย้ย

...มดแดงเฝ้าพวงมะม่วง เฝ้ารักเฝ้าหวงมานานนม สุดท้ายมะม่วงนั้นก็ถูกคนอื่นเชยชมไม่เหลือหรอ...


“พี่ณัฐมารอกานต์นานไหมครับ”

รพีกานต์เอ่ยถามเมื่อเดินมาถึงหน้าหอพักแล้วเจอณัฐธีร์ยืนรออยู่ก่อนแล้ว

“กานต์ไปไหนมา พี่เพิ่งมาถึงเมื่อครู่ กานต์หิวไหม ทานอะไรหรือยัง”

 ณัฐธีร์ถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย

“กานต์ทานกับเพื่อนมาแล้วครับพี่ณัฐ พอดีกานต์ทำเสื้อเพื่อนเลอะน่ะครับ เลยไปเอาเสื้อมาซักคืนให้”

รพีกานต์บอกพลางชูถุงใส่เสื้อให้ดูด้วยความรู้สึกผิดลึก ๆ ที่โกหกพี่ชาย แต่รพีกานต์ยังไม่ได้เป็นอะไรกับอัครวินท์เสียหน่อย อายุน้อยกว่าหน่อย เรียกเพื่อนคงไม่ผิดมากใช่ไหม ถึงอัครวินท์จะสารภาพว่ารู้สึกอย่างไรกับรพีกานต์ก็เถอะ

“พี่ซักให้นะ รับรองจะรีดให้เรียบกริบเลย กานต์จะได้ไม่ต้องเหนื่อย”

 ณัฐธีร์กุลีกุจอขันอาสาเอาใจพร้อมยื่นมือมาดึงถุงเสื้อไปจากมือรพีกานต์ หากแต่รพีกานต์เบี่ยงมือหนีเสียก่อน

“ไม่เป็นไรครับพี่ณัฐ กานต์ทำเลอะ กานต์ก็ต้องรับผิดชอบ กานต์โตแล้วนะ”

 รพีกานต์บอกพี่ชาย

“ขอโทษครับ พี่ลืมตัวคิดว่ากานต์ยังเป็นน้องน้อยของพี่อยู่เรื่อย อ้อ จริงสิ ใกล้ลอยกระทงแล้ว พี่แวะมาจองตัวกานต์ก่อนเลย ห้ามไปกับใครที่ไหนด้วยล่ะ หรือกานต์จะกลับบ้านไปลอยกับคุณพ่อ พี่จะได้ขับรถให้”

ณัฐธีร์บอกน้องน้อย

“พี่ณัฐ”

รพีกานต์ครางเรียกชื่อพี่ชายอย่างพูดไม่ออก

“สระน้ำของมหาวิทยาลัยเรามีตำนานนี่นา พี่จะพากานต์ไปลอยกับพี่นะครับ น้องน้อยของพี่ชาย”

ณัฐธีร์มองรพีกานต์ด้วยแววตามีประกายเปี่ยมไปด้วยความหวัง รพีกานต์ยิ้มบางแบ่งรับแบ่งสู้ขณะเดินนำณัฐธีร์กลับขึ้นห้องเพื่อไปเที่ยวหาเหมือนเคย ทั้งคู่พักกันคนละที่ ณัฐธีร์แชร์ค่าห้องกับเพื่อนร่วมคณะเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ส่วนรพีกานต์ไม่มีปัญหาด้านการเงินจึงพักอะพาร์ตเมนต์ที่สะดวกสบายกว่า

“ใกล้วันลอยกระทงแล้ว ปีนี้คนที่พี่อยากลอยกระทงด้วย เขาจะเมตตายอมมาลอยกับพี่ไหมน้า”

“อย่างพี่วินจะมีใครใกล้กล้าปฏิเสธ ขี้คร้านสาว ๆ จะแย่งกันเป็นตุ๊กตาหน้ารถเสียมากกว่า”

“แล้วไงล่ะครับ พวกนั้นไม่ใช่คนที่พี่อยากลอยกระทงด้วยนี่นา คนที่พี่อยากลอยด้วย มีคนหวงอย่างกับไข่ในหิน”




อัครวินท์เดินแกว่งกุญแจผิวปากเล่นอย่างอารมณ์ดีเข้ามาในบ้าน ขณะขายาวกำลังจะก้าวขึ้นบันไดชั้นสองก็บังเอิญเจอกับไอยวริญท์น้องสาวที่กำลังเดินลงบันไดมาชั้นล่างพอดี ไอยวริญท์อดแปลกใจไม่ได้ที่ได้เห็นพี่ชายอารมณ์ดีกว่าปกติ แถมกลับเข้าบ้านเร็วกว่าทุกทีจึงเอ่ยถาม

“พี่วินไปอารมณ์ดีอะไรมาคะ ผิวปากหวือเชียว”

 ไอยวริญท์กระเซ้าพี่ชายน้อย ๆ หากอัครวินท์กลับส่งยิ้มขอบคุณมาให้

“พี่ต้องขอบคุณรินนั่นแหละที่ช่วยให้พี่อารมณ์ดีขนาดนี้” ขอบคุณรูปที่เธอแอบถ่ายรพีกานต์เอาไว้ให้พี่ฉกมาเป็นข้ออ้างป้ออีกฝ่าย

“รินน่ะหรือคะ รินว่ารินยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ”

ไอยวริญท์ถามด้วยความสงสัยเต็มประดา

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำเรื่องเพลงไง พี่ไปล่ะ วันนี้พี่อารมณ์ดีสุด ๆ”

อัครวินท์ยีผมน้องสาวเล่นก่อนจะละมือเดินขึ้นบันไดชั้นบนไปเพื่อจะส่งข้อความทำคะแนนกับใครบางคน ไอยวริญท์มองตามพี่ชายด้วยใบหน้าฉงนไม่เข้าใจนักก่อนจะส่ายหน้าก้าวเท้าลงบันไดต่อ อันที่จริงมุกพาไปรับประทานอาหารท่ามกลางแสงเทียนในบรรยากาศโรแมนติกก็มาจากที่อัครวินท์หลอกถามน้องสาวจนได้รู้ความจริงว่า รพีกานต์ชอบเพลงอะไรแนวไหน ก่อนจะโทรไปเตี๊ยมกับร้านอาหารไว้เพื่อขอมุมส่วนตัวในการเต้นรำเพื่อให้เขาได้มีโอกาสใกล้ชิดกับรพีกานต์ ส่วนเรื่องร้องเพลงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาเพราะตอนเด็กอัครวินท์เคยเข้าประกวดร้องเพลงชิงรางวัลถ้วยพระราชทานจนได้เข้าถึงรอบสุดท้าย แม้จะไม่ได้รางวัลชนะเลิศ แต่ก็แพ้คะแนนคนชนะไปเพียงนิดเดียว แน่นอนว่าแม้โตขึ้น ชายหนุ่มก็ยังคงมีทักษะการร้องเพลงได้ไพเราะ เสียแต่อัครวินท์ไม่เอาอ่าวนอกจากเสเพลไปวัน ๆ

แกรก แอ๊ด

เสียงประตูลูกบิดจากห้องฝั่งตรงข้ามเปิดออกพร้อมร่างของผู้เป็นประมุขของบ้านก้าวออกมาจากห้อง “อินทัช” มองร่างของบุตรชายที่ถอดแบบความหล่อเหลามาจากเขาเมื่อครั้งยังเป็นหนุ่มอย่างไม่ผิดเพี้ยน

“วันนี้อารมณ์ดีอะไรมาเจ้าวิน ผิวปากหวือเชียว”

“ก็นิดหน่อยครับ อ้อ ขอบคุณคุณพ่อนะครับที่ทำให้ผมคิดหาอะไรสนุก ๆ เล่นก็เบื่อได้”

อัครวินท์บอกก่อนจะหันหน้าหนีเดินไปที่ห้องตนเองพร้อมเปิดประตูเข้าห้องไปโดยไม่สนใจผู้เป็นบิดาอีก อินทัชมองบุตรชายด้วยความหนักใจ อัครวินท์ไม่สนิทใจกับเขาเหมือนเก่าตั้งแต่เด็กชายบังเอิญไปเจอรูปเขากับคนรักเก่า แถมถูกผดาชไม ภรรยาที่เขาจำต้องแต่งงานด้วยใส่ร้ายป้ายสีต่าง ๆ นานาเพื่อให้ลูกเกลียดเขา เกลียดในสิ่งที่เขาเป็นและรัก เพียงเพราะเขาไม่สามารถรักหล่อนได้ หล่อนได้เขามาเพียงร่างกายเท่านั้น

เพราะความรักที่แสนดีงามอย่างรพินทร์ยังคงติดตรึงในใจเขาจวบจนวันนี้

“คุณสบายดีนะ รพินทร์ แสงสว่างของผม”


มีต่อด้านล่างค่ะ  :katai5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๕)(๒๕/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 26-03-2016 10:42:40
ฮัดเช้ย! 

จู่ ๆ เจ้าของร่างโปร่งที่กำลังพับดอกบัวบูชาพระก็จามออกมาเสียอย่างนั้น รพินทร์ขนลุกซู่อย่างบอกไม่ถูก วิศรุตที่กำลังหัดพับดอกบัวด้วยกันเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

“คุณรพินทร์ไม่สบายหรือครับ”

“เปล่าหรอกครับ สงสัยจะคันจมูกเฉย ๆ”

“อยู่ ๆ ก็จามแสดงว่ามีคนกำลังคิดถึง สงสัยต้องเป็นน้องกานต์แน่เลย ลอยกระทงน้องกานต์จะกลับมาลอยกระทงกับคุณพ่อไหมครับ”

“ยังไม่รู้เลยครับ ถ้าอยากกลับก็คงจะกลับมาพร้อมพี่ณัฐนั่นแหละ”

“ดูคุณรพินทร์จะไว้ใจณัฐมากเลยนะครับ ถึงยอมรับเรื่องนั้นได้”

“ผมเห็นณัฐมาตั้งแต่เด็ก เด็กคนนี้ประพฤติตัวดีมาตลอด เรื่องที่ขออนุญาตคบหากับกานต์ ผมอยากให้กานต์เป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตัวเอง กานต์โตขึ้นทุกวัน น้องต้องเรียนรู้อะไรผิดอะไรถูกด้วยตัวเองครับ แค่ลำพังต้องต่อสู้กับสายตาคนที่ไม่เข้าใจก็แย่แล้ว ผมไม่อยากซ้ำเติมจนน้องขาดที่พึ่ง ยังไงกานต์ก็เป็นลูกของผม ผมพร้อมจะรักและเข้าใจกานต์ครับ ถ้าน้องเลือกทางนั้นจริง ๆ”

“แล้วถ้าเป็นคุณรพินทร์เองบ้างล่ะครับ คุณรพินทร์พอจะเปิดใจได้ไหม ถ้าจะมีผู้ชายสักคนรู้สึกดี ๆ กับคุณ”

 วิศรุตถามพลางจ้องใบหน้าขาวนวล รพินทร์สบตากับเขาด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก นับจากผิดหวังจากความรักเก่าจนเกือบคิดฆ่าตัวตาย แต่เผอิญว่าได้เจอกับทารกน้อยถูกนำมาทิ้ง ร่างเล็ก ๆ ที่ดิ้นปัดป่ายส่งเสียงร้องไห้จ้าเหงือกแดงแจ๋เพื่อหาทางรอดเสมือนชี้ทางสว่างให้แก่เขาไม่คิดสั้น เด็กคนหนึ่งที่ถูกนำมาทิ้งยังพยายามดิ้นรนเพื่อให้รอดชีวิต แล้วตัวเขาเองที่มีพร้อมทุกอย่าง ขาดก็แต่ความรักที่มันภิณท์พังจากคนไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน มันจะหนักหนาจนไม่อาจมีแรงหายใจต่อได้เชียวหรือ รพินทร์สูดหายใจลึก ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะไม่หันกลับไปหาเขาอีก มือบางอุ้มร่างเล็ก ๆ เดินเข้าบ้านพร้อมรับเลี้ยงเป็นลูก

“รพีกานต์...แสงสว่างอันเป็นที่รัก”

กานต์ของพ่อ

ขอบคุณลูกที่ทำให้พ่อคิดได้ในวันนั้น



ติ๊ง

“ง่วงยังครับ คนตัวหอม หอมเหมือนกลิ่นเด็กทารก”

เสียงข้อความไลน์ดังขึ้นขณะที่รพีกานต์อาบน้ำเสร็จเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำพอดี รพีกานต์เดินมาดูโทรศัพท์ก่อนจะผุดยิ้มออกมาไม่รู้ตัวเมื่อรู้ว่าเป็นข้อความจากใคร

“บ้า ทำไมต้องเปรียบเทียบว่าหอมเหมือนกลิ่นเด็กทารกด้วยครับ กานต์ใช้แป้งเด็กก็ต้องหอมอ่อน ๆ อยู่แล้ว”

รพีกานต์พิมพ์ตอบกลับไปก่อนจะได้อิโมชันรูปจูบกลับมา พร้อมข้อความ ม๊วฟ ๆ แสดงให้เห็นมุมทะเล้นขี้เล่นของเขา รพีกานต์หัวเราะคิกอย่างเอ็นดูพ่อคนกะล่อนเดือนมหาวิทยาลัยสุดหล่อของปีที่แล้ว กับคนอื่น อัครวินท์ก็ใช้มุกจีบแบบนี้หรือเปล่าหนอ ถึงได้ขยับป้อกันไม่ขาด

ดูเหมือนแค่พิมพ์ข้อความหาจะไม่เพียงพอ เมื่อเพลย์บอยหนุ่มตัดสินใจวิดีโอคอลหาให้เห็นหน้าเห็นตาให้ชื่นใจ รพีกานต์สะดุ้งเล็กน้อย สายตากวาดมองเช็คความเรียบร้อยของห้องและชุดที่กำลังใส่ก่อนจะกดรับด้วยหัวใจเต้นกระหน่ำอย่างห้ามไม่อยู่

“รับช้าแบบนี้ ห้องรกอยู่แน่เลย เอ๊ะ หรือว่ากำลังเซ็กซี่อยู่เลยกลัวพี่เห็น ว้า อดเลย น้องกานต์ใจร้าย”

อัครวินท์ทำหน้ามู่ทู่เป็นปลาบู่ชนเขื่อนอยู่บนเตียงในชุดนอนเรียบร้อย ผู้ชายตัวใหญ่ทำท่างอแงเหมือนเด็กแถมท่าทางของเขายังทำให้หัวใจคนมองอดสั่นไหวแปลก ๆ ไม่ได้

“พี่วินทะลึ่ง”

“พูดอย่างนี้แสดงว่าพี่เดาถูก ไหนบอกมาสิว่า พี่เดาถูกว่าห้องกานต์รก หรือเดาถูกว่ากานต์กำลังโป้”

“พี่วิน! ยัง ยังไม่จบอีกนะ”

“เขินพี่ทำไม ไหนบอกว่าเป็นผู้ชายเหมือนกัน มีอะไรเหมือน ๆ กับพี่ไงครับ”

อัครวินท์ทอดเสียงหวานพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ หัวใจรพีกานต์เต้นกระหน่ำกว่าเก่าแทบไม่สนใจข้อความของณัฐธีร์ที่ส่งมาบอกฝันดีเหมือนทุกคืน ทั้งคู่คุยกันสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย อัครวินท์กระเซ้าเย้าแหย่น้องเล่นจนล่วงไปค่อนคืนไม่รู้ตัวก่อนจะบอกฝันดีกันด้วยรอยยิ้มหวาน ๆ พร้อมคนเจ้าชู้ทำท่าชี้ตรงแก้มให้น้องหอม รพีกานต์เขินแล้วเขินอีกกว่าจะวางสายได้
คืนนั้นรพีกานต์นอนหลับอย่างมีความสุขอย่างที่สุด

หัวใจของน้องน้อยกำลังหวั่นไหวไปให้คนอื่น ต่อให้พี่ชายพยายามปกป้องแค่ไหน กำแพงสูงชันเพียงใด ก็พังทลายได้ด้วยฤทธิ์แห่งเสน่หา


  :mew3: :mew1:

ดีจ้า เคลียร์ความสงสัยจากหลายคนเนอะ คืออย่างนี้ค่ะ น้องกานต์เกิดมามีอวัยวะเพศสองเพศในร่างเดียวมาตั้งแต่เกิด แล้วน้องก็ถูกนำมาทิ้งข้างถังขยะหน้าบ้านคุณรพินทร์ จากที่เราหาข้อมูลจริง ๆ มันต้องผ่าตัดเลือกเพศตั้งแต่เด็กเพื่อให้เด็กชัดเจนในการใช้ชีวิตประจำวันของตัวเอง แต่ทีนี้เราไปเจอข้อมูลที่ว่า พอผ่าตัดเลือกเพศให้ตอนเด็กไปแล้ว พอเด็กโตขึ้นฮอร์โมนดันแสดงเป็นอีกเพศ (หาอ่านได้จากข่าวในอินเทอร์เน็ตค่ะ พิมพ์ในอากู๋ คนสองเพศ) ประมาณว่าเลือกเพศเป็นชายแต่โตขึ้นฮอร์โมนร่างกายดันแสดงเพศชัดเป็นหญิง หรือผ่าตัดอวัยวะเพศชายออกเลือกให้เป็นหญิง แต่พอโตขึ้น ร่างกายแสดงฮอร์โมนเป็นชาย เราก็เลยเมกข้อมูลว่าคุณรพินทร์ไม่ได้ให้หมอผ่าตัดเลือกเพศให้น้องตอนเด็ก ประมาณว่ารอดูฮอร์โมนตอนโต แต่พอโตขึ้นกานต์ก็เลือกที่จะเป็นชายไม่อยากเป็นผู้หญิง คือเลือกผ่าของผู้หญิงออก แต่ไม่ได้ตัดมดลูกกับรังไข่ทิ้ง ตรงนี้ยอมรับแบบกำปั้นทุบดินว่ามันไม่เมกเซนส์เท่าไหร่ที่น้องไม่ได้ตัดมดลูกออก คือ เราอยากให้น้องท้องได้อ่ะ จะด่าเราก็ได้ เราอยากให้กานต์ท้องได้ เพราะเราอยากลองเขียนแนว Mpreg ด่าตามสบายเลย อันนี้ยอมรับค่ะ ที่มาที่เขียนแนวนี้ เพราะอเวจีเสน่หาที่เขียน มีนักอ่านบางท่านเชียร์อยากให้วาเลนไทน์นายเอกเรื่องนั้นท้อง แต่เราไม่โอเค เลยมาที่เรื่องนี้แทนค่ะ เคลียร์เนอะ ด่าอีวินเยอะ ๆ ด่ากานต์น้อย ๆ น้องอายุเพิ่ง 18 จะว่าโตแล้วก็ไม่เชิง จะว่าเด็กก็ไม่ใช่ บางทีรักกับหลงมันแยกไม่ออก
 :katai2-1: :mew3:

ป.ล. เพลงที่นำมาชื่อเพลง 'เพียงคำเดียว' ของคุณสุเทพ วงศ์กำแหงนะคะ เพราะมาก ความหมายดี
เพลงเสน่หา กับเพลงไม่มีวัน ก็เพราะมาก เราชอบเพราะว่าคุณพ่อท่านร้องให้ฟังน่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๖)(๒๖/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 26-03-2016 13:16:01
เข้ามาจิ้มไว้ก่อนค่ะ
ฮือออ ท่าทางจะดราม่ามากๆแน่เลยย
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๖)(๒๖/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 26-03-2016 15:16:53
กานต์น่ารักดีค่ะลุ้นๆๆ


ชอบเพลงมาก กรี๊ดเลย..
ไม่ค่อนเห็นเพลงเก่าๆ >0<
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๖)(๒๖/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 26-03-2016 17:03:07
อ่านแล้วอึดอัดมากค่ะ

แบบมันร่ำๆ อยากชกตบตีเตะต่อยนังวินจอมตอแหลให้กระเด็นออกจากเรื่องไปเร็วๆ
แต่จากบทนำน้องต้องพลาดท่าให้มัน โอ๋ยยยย เครียด
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๖)(๒๖/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-03-2016 17:12:35
น้ำตาจะมาแล้ว
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๖)(๒๖/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 26-03-2016 17:59:37
สงสารพี่ณัฐไว้ก่อนเลย
แล้วเรื่องมันจะยังไงต่ออ่ะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๖)(๒๖/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 26-03-2016 19:04:08
น้องกานต์หนอ น้องกานต์ มีบุญที่ได้เจอคนดีอย่างพี่ณัฐ แต่กรรมก็มาบังตาเห็นเขาเป็นได้แค่พี่ชายเท่านั้น อย่างว่าล่ะนะ ไอ้วิน จีบคน ฟันแล้วทิ้งมาเยอะถึงรู้วิธีจีบ
  รอ รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๖)(๒๖/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 26-03-2016 20:27:56
อ่านแล้วกดดันมากกกกก :mew5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๗)(๒๖/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 26-03-2016 20:47:27
เสน่หา...รักเอย ตอนที่๗


กริ๊งงงงงงงงง

เสียงนาฬิกาปลุกหัวเตียงดังขึ้นอย่างทุกเช้า ร่างโปร่งลุกจากที่นอนอย่างสดชื่นเพราะได้พักอย่างเต็มที่ มือบางจัดแจงเสียบปลั๊กต้มน้ำเพราะรพีกานต์ติดนิสัยชอบดื่มน้ำอุ่นตอนเช้าหลังตื่นนอนกับกินมะเขือเทศสด ๆ ซึ่งร่างโปร่งจัดแจงหามาปลูกไว้ในระถางต้นไม้หน้าระเบียงเสร็จสรรพ ทำให้มีมะเขือเทศลูกสดจากต้นไว้กินทุกวัน รพีกานต์เปิดโทรทัศน์พร้อมเล่นโยคะบริหารร่างกายเล็กน้อยระหว่างรอน้ำเดือด จนเรียบร้อยแล้วจึงคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าไปทำธุระในห้องน้ำก่อนจะออกมาเด็ดลูกมะเขือเทศล้างน้ำกินสดเคี้ยวกร้วม ๆ อย่างอร่อยและเดินไปแต่งตัวเตรียมออกไปหาอะไรกินก่อนไปเรียน ซึ่งปกติณัฐธีร์จะแวะมารับทุกวัน

ติ๊ง

เสียงข้อความไลน์ส่งเข้ามาในเครื่อง คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อยเพราะปกติณัฐจะไม่ส่งข้อความมาเวลานี้ ร่างโปร่งเดินทั้งมือกำลังติดกระดุมเสื้อมาชะโงกหน้าดูข้อความก่อนจะฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าเป็นข้อความของใคร

“พี่วิน”

เสียงนุ่มครางชื่อเขาแผ่วเบา ภาพดอกแก้วสีขาวพราวพร่างสร้างความฉงนปนแปลกใจอย่างเหลือแสนแก่เจ้าของดวงหน้าหวาน จะไม่ให้รพีกานต์แปลกใจได้อย่างไรกับรูปดอกแก้วที่ส่งมาให้ ในเมื่อคน ๆ นั้นคืออัครวินท์ ชายหนุ่มไฮโซผู้หล่อเหลาที่เพียบพร้อมไปเสียทุกกระเบียดนิ้ว เขารู้ได้อย่างไรกันหนอ ว่ารพีกานต์ชื่นชอบและโปรดปรานดอกแก้วนักหนา ดอกไม้อื่นมีตั้งมากมาย ผู้ชายอย่างเขาน่าจะจีบกันด้วยดอกกุหลาบช่อโตราคาแพงเหมือนที่เห็นดาษดื่นเสียมากกว่า แต่อัครวินท์กลับส่งรูปดอกแก้วมาให้กันเสมือนหนึ่งว่ารู้ใจกัน รพีกานต์มองรูปดอกแก้วสีขาวพิศุทธิ์อวลกลิ่นหอมแล้วอดคิดถึงบ้านสวนไม่ได้ คุณพ่อรพินทร์ของรพีกานต์นิยมชมชอบการปลูกไม้ดอกกลิ่นหอมหลายอย่าง ทั้งเพื่อสูดกลิ่นผ่อนคลายและทำยา บางครั้งก็ร้อยอุบะ ทำบุหงาเครื่องหอม อาณาบริเวณบ้านแสนกว้างจึงฟุ้งขจรไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ให้ความชื่นใจแก่ผู้ผ่านไปมาอยู่ไม่ขาด รพีกานต์ชื่นชอบดอกแก้วมากกว่าดอกไม้ชนิดไหนเป็นพิเศษ ด้วยกลีบกลิ่นหอมละมุนสีขาวนวลแล้วยังเกสรสีเหลืองกระจุกตัวอย่างน่ารักในช่อดอก และที่หน้าอะพาร์ตเมนต์ของร่างเล็กก็ยังมีพุ่มดอกแก้วผลิดอกสีขาวสะพรั่งเต็มพุ่มให้เชยชมแก่ผู้พบเห็นยามเดินผ่าน

“รู้ได้ยังไงว่าชอบ”

รพีกานต์เอียงหน้าอย่างน่ารักพลางอมยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะมีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เจ้าของร่างโปร่งบางเดินไปเปิดประตูออกก่อนจะเบิกตาโตอย่างตกใจกว่าเก่ากับช่อดอกแก้วผูกโบเล็ก ๆ น่ารักที่ยื่นมาให้ตรงหน้าโดยผู้ชายที่รพีกานต์คุ้นหน้าว่าเรียนอยู่ชั้นปีหนึ่งเหมือนกัน

“มีคนฝากมาให้ครับ”

ชายหนุ่มบอกขณะมองใบหน้าของรพีกานต์ไปด้วย หากแต่รพีกานต์ยังไม่ยื่นมือไปรับเสียทีเดียว นอกจากส่งเสียงถามออกไปอย่างไว้เชิงทั้งที่ภายในใจเต้นกระหน่ำอย่างตื่นเต้น

...จะใช่เขาไหมหนอที่ส่งมา...

“ไม่ทราบว่าจากใครหรือครับ”

“เขาฝากบอกว่า แค่คุณมองจากระเบียงหน้าต่าง คุณก็จะรู้ครับ”

 ชายหนุ่มบอกพร้อมยื่นช่อดอกแก้วให้ชิดกว่าเก่า รพีกานต์รับมาทั้งเอ่ยขอบคุณก่อนจะปิดประตูห้องและรีบโล่ไปดูที่ระเบียงหลังห้อง

“พี่วิน”

 ดวงใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำจนแทบจะกระเด็นกระดอนออกมาจากอกที่เห็นว่าเป็นเขา รพีกานต์กุมหัวใจตัวเองมองเจ้าของร่างสูงสง่าใกล้พุ่มดอกแก้วที่กำลังส่งสายตามองมาเช่นกัน ใบหน้าใสทำหน้ายู่อย่างมันเขี้ยวให้พ่อตัวร้าย ทั้งส่งรูปมาให้แล้วยังฝากดอกไม้มากำนัลให้ประหลาดใจเล่นอีก เท่านั้นยังไม่พอ เจ้าตัวยังพาตัวเป็น ๆ มายืนให้เห็น ให้ใจสั่นหวั่นไหวจนพาลทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดบ้างหรือว่าจะทำให้หัวใจของรพีกานต์ต้องทำงานหนักแค่ไหนกับการควบคุมตัวเองไม่ให้เหลิง ตั้งแต่เต้นรำเมื่อคืน หัวใจก็แทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปแล้ว

...พี่วินนะพี่วิน ร้ายนักเชียว...

“พี่วินอย่างเพิ่งไปนะครับ รอกานต์ก่อน”

รพีกานต์รีบรัวมือกดส่งข้อความให้ ทั้งจิ้มผิดจิ้มถูกด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ สมาธิแทบลอยเตลิดไปหาเขา ก่อนจะรีบวางโทรศัพท์ลงและนำช่อดอกแก้วแช่น้ำไว้ในแก้ว และปรี่ไปเปิดตู้เย็นหาวัตถุดิบในการทำแซนวิชให้เขา ร่างโปร่งรีบถลันไปเก็บลูกมะเขือเทศตรงระเบียง สายตาเหลือบมองก็ยังเห็นเขายืนรออยู่ แก้มขาวร้อนวูบวาบ รีบเก็บมะเขือเทศล้างสะเด็ดน้ำแล้วกลับมาฝานเป็นแว่นใส่ในแซนวิช ร่างโปร่งทำอย่างระมัดระวังไม่ลนลานมากนัก อัครวินท์กำลังรออยู่ และรพีกานต์อยากตอบแทนที่เขาอุตส่าห์ตื่นเช้ามาก็เท่านั้น

รพีกานต์บรรจุแซนวิชที่ทำเสร็จแล้วหน้าตาน่ากินลงกล่องทัพเพอร์แวร์ โดยไม่ลืมหยิบน้ำแร่ในตู้เย็นไปให้ด้วยเผื่อเขากระหายจะได้ดื่มตอนฝืดคอ ตรวจเช็คความเรียบร้อยพร้อมเหลือบดูนาฬิกา ใกล้เวลาที่ณัฐธีร์จะมารับเช่นกัน รพีกานต์หยิบดอกแก้วดอกหนึ่งจากในช่อสอดทับในหนังสือก่อนออกจากห้องพร้อมหนังสือเรียนและแซนวิชในกล่อง ร่างโปร่งเดินออกมาหาทั้งใจเต้นไม่เป็นส่ำ ยิ่งเดินออกมาเห็นหน้าเขา ดวงหน้าขาวเนียนก็พาลจะเปลี่ยนเป็นสีเรื่อ เดินขาแทบขวิดกันเมื่อรู้ว่าเขามองอยู่ทุกย่างก้าว

“กานต์ทำแซนวิชมาให้พี่วินไว้ทานตอนเช้า ไม่รู้จะชอบไหม”

รพีกานต์ยื่นกล่องบรรจุแซนวิชกับขวดน้ำแร่ให้ แพขนตาสวยหลุบลงต่ำปกคลุมดวงตาหวาน อัครวินท์ยกยิ้มพร้อมยื่นมือออกมารับแถมฉวยโอกาสสัมผัสมือนุ่มไปด้วย รพีกานต์เผยอปากน้อย ๆ สายตามองมือหนาที่จับกันไม่ยอมปล่อยทั้งยังเกลี่ยเล่นเบา ๆ เสียอย่างนั้น

“เป็นแม่บ้านแม่เรือนแบบนี้ ถ้าพี่จะสู่ขอไปทำอาหารให้กินตลอดชีวิต ค่าสินสอดจะแพงมากไหมนะ”

 อัครวินท์กระซิบถามคนที่เอาแต่ก้มหน้าหลบสายตาเขา ยิ่งได้ยินรพีกานต์ก็ยิ่งก้มต่ำกว่าเก่าจนแทบชิดคอระหง

“พี่วินอย่าแกล้งกานต์สิครับ”

 รพีกานต์เอ่ยทั้งไม่ยอมมองหน้า

“พี่ไม่แกล้งแล้วก็ได้ เงยหน้ามองพี่หน่อยนะครับคนดี น้องกานต์เอาแต่ก้มหน้าแบบนี้ จะให้พี่คุยกับเส้นผมหอม ๆ ของกานต์หรือครับ”

อัครวินท์แกล้งเย้า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากเส้นผมสีน้ำตาลของร่างตรงหน้า เมื่อเห็นรพีกานต์ยังคงดื้อดึงเขาจึงขยับเข้าใกล้กว่าเก่าพร้อมงัดไม้เด็ดก้มกระซิบบอก

“ถ้ายังไม่ยอมเงย งั้นพี่จะหอมผมกานต์นะ”

“พี่วิน!”

รพีกานต์ตกใจยอมเงยหน้าในที่สุด ใบหน้าแดงจัดซับสีเลือดอย่างเขินอายคือภาพที่อัครวินท์เห็นแล้วถึงกับนิ่งไป

...น่ารัก...

ความรู้สึกแรกบอกแก่เขาอย่างนั้นยามได้เห็น ทั้งที่เครื่องหน้าขาวเคลือบไว้เพียงแป้งเด็กบาง ๆ สิ่งที่อัครวินท์ได้เห็นจึงเป็นใบหน้าหมดจดอย่างไร้การอำพราง กลีบปากสีธรรมชาติเย้ายวนให้เขาอยากลองสัมผัสดูสักครั้งทั้งที่อีกฝ่ายเองก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน ซึ่งอัครวินท์ก็ตอบความรู้สึกนี้ไม่ได้เช่นกันว่าทำไม

“กานต์ขอบคุณนะครับ สำหรับดอกแก้ว พี่วินท์รู้ได้ยังไงหรือครับว่ากานต์ชอบ”

รพีกานต์ขบริมฝีปากอย่างอายหนัก ยังเช้าอยู่มากแต่อัครวินท์กลับตื่นเช้าขนาดนี้เพื่อมาเก็บดอกแก้วส่งมาให้กันได้ ช่างพยายามดีแท้ เจ้าชู้ปานอิเหนาตามพะเน้าพะนอองค์ระเด่นบุษบาไม่ปาน

“พี่หลอกถามจากยัยรินน่ะ ทำไงได้ ไม่มีใครอยากให้พี่เข้าใกล้กานต์นี่นา พี่ก็ต้องพยายามหาโอกาสเอาสักวิธีนั่นแหละ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ริจะยลหน้าเดือนอักษรก็ต้องหาวิธีกันหน่อย”

เขาทำตาเจ้าชู้หยาดเยิ้มส่งให้ รพีกานต์แก้มร้อนผ่าวอย่างไปไม่เป็นชั่วขณะ ดวงตาสวยไร้เดียงสาสบตากับเขาราวกับถูกดูดเข้าไปในห้วงมนตร์แห่งเสน่หา อัครวินท์ถือโอกาสทัดดอกแก้วเข้าที่ใบหูพร้อมทั้งจ้องลึกเข้าไปในดวงตาอีกฝ่ายราวจะร่ายมนตร์ให้ลุ่มหลง

“พี่อยากลอยกระทงกับกานต์ ถ้าขอพรได้จริง พี่จะขออธิษฐานรักกานต์คนเดียวตลอดไป กานต์จะเป็นพระจันทร์เพียงดวงเดียวของพี่”



“เฮ้ย เชี่ยวิน ผิวปากอารมณ์ดีมาเชียวนะมึง”

เสียงทักของเพื่อนเด็กคณะบริหารธุรกิจดังขึ้นก่อนอัครวินท์จะโยนกล่องใส่แซนวิชลงกลางวง

“ฝีมือกู”

ชายหนุ่มยักคิ้ว ผองเพื่อนนกรู้รีบเปิดกล่องดูทันที ก่อนจะตาโตกับปฏิบัติการล้วงไข่จงอางที่พวกเขาต่างพนันกันเล่น ๆ ว่าอัครวินท์จะสามารถจีบ “เด็ก” ของไอ้หนุ่มวิศวะที่ตามเฝ้าเช้าเฝ้าเย็นให้มาร้องครางซบอกได้ไหม อันที่จริงอัครวินท์ไม่ได้มีรสนิยมชอบผู้ชายหรอก เขาแค่เห็นแล้วรู้สึกหมั่นไส้มันก็เท่านั้น เพราะบุพการีของเขาก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือ ถึงได้ทำให้มารดาของเขาเจ็บช้ำนัก เพราะอย่างนั้นอัครวินท์เกลียด! รังเกียจพวกรักร่วมเพศนัก!

“อุว้าว ทำแซนวิชให้ซะด้วย ไหนลองชิมหน่อยซิ”

หนึ่งในกลุ่มเพื่อนหยิบแซนวิชขึ้นกัดชิมก่อนจะตาโตคำรบสองพร้อมเอ่ยชมเปาะ

“เฮ้ย แม่งอร่อยว่ะ เชี่ยวินได้ของดีนะเนี่ย”

เสียงพูดตามด้วยกัดกินอีกชิ้น อัครวินท์หรี่ตามอง อันที่จริงเขาก็ยังไม่ได้กินอะไรนึกหิวอยู่เหมือนกัน จึงลองหยิบแซนวิชทูน่าขึ้นกัดชิมบ้าง เมื่อลิ้นได้สัมผัสกับรสชาติแสนอร่อยเขาจึงรีบหยิบอีกอันประกาศความเป็นเจ้าของทันที

“นี่ของกู”

“ไอ้ห่า ทำเป็นหวง ไหนบอกจะไปหว่านเสน่ห์หลอกฟันเขา กลายเป็นมึงจะหลงเสน่ห์เขาเองหรือเปล่าวะ น้องกานต์โคตรน่ารัก ถ้าไม่ติดว่าน้องรินเป็นน้องสาวมึง ก็จะบอกว่าเดือนอักษรแม่งน่ารักกว่าดาวอีก เชี้ยวิน”

“เหอะ ระดับกู สาว ๆ สวย ๆ ยังเอากูไม่อยู่ แค่เด็กผู้ชายเฉิ่ม ๆ หน้าอย่างเกย์ มันจะมีน้ำยาอะไรทำให้กูรักได้วะ” อัครวินท์ทำท่ายืดคอโอ้อวด ในหัวมีแผนชั่วร้ายมากมายที่จะใช้หลอกล่อรพีกานต์อย่างสนุก ด้วยตัวเขาไม่ได้รีบร้อนอะไรอยู่แล้ว อาศัยหยอกเย้าเป็นหมาหยอกไก่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ ก็สนุกดี




“เอ ของพวกนี้นานแล้ว เก็บไว้น้องกานต์จะได้ใช้ไหมนะ สมัยนี้แล้วคงรับขวัญด้วยเครื่องเพชร เครื่องทอง บัญชีเงินฝากเสียละมัง”

รพินทร์รำพึงรำพันกับตัวเองขณะเปิดกำปั่นเหล็กโบราณของเก่าตกทอดสมัยรัชกาลที่ห้าออกดู ของภายในอันมีกำไลเงินสำหรับใส่ข้อเท้าเด็ก เหรียญสิบสตางค์ผูกข้อมือน้อย ๆ รับขวัญให้เจ้ามีเงินมีทองอยู่กับตัว เดิมของพวกนี้เป็นของรพินทร์มาก่อน แต่พอรพินทร์ได้เลี้ยงดูอุ้มชูเจ้าตัวน้อยกลอยสวาท เขาจึงนำมาสวมใส่ให้รพีกานต์อีกทอดหนึ่ง ส่วนพวกเครื่องเพชรเครื่องทองที่ได้รับมรดกตกทอดมา รพินทร์ฝากไว้ในตู้เซฟธนาคารเสียหมดเพราะเขาเองก็ไม่ได้มีธุระใช้ บ้านหลังนี้รพินทร์ไม่ต้องการให้มีของมีค่าอะไรเก็บไว้ให้ล่อขโมยขโจร จะมีก็แต่ข้าวของเครื่องใช้จำพวกเงินหรือทองเหลืองตอกลายโบร่ำโบราณที่ตกทอดอยู่คู่กันมากับเรือนทรงขนมปังขิงหลังนี้นี่แหละ

เห็นข้าวของเครื่องใช้เก่า ๆ แล้วหวนรำลึกถึงลูกในวันวาน ภาพชายหนุ่มผู้เคยพลาดหวังกับความรักบรรจงจูบฝ่าเท้าเล็กจ้อยเท่ากาบฝาหอยของเจ้าตัวน้อยอย่างรักใคร่ เขาไกวเปลร้องเพลงกล่อมลูกน้อยด้วยเพลงนกขมิ้นเสียงนุ่มกังวาน ดวงตาหวานสวยใสแจ๋วบริสุทธิ์มองสบตากับเขาอยู่ตลอดไม่ละไปไหนราวกับกลัวเขาจะหนีหาย ดวงตาที่บอกว่าลูกมีเพียงเขา ขนาดอ้าปากหาวหวอดจนเห็นเหงือกแดง ๆ จะหลับไม่หลับแหล่แต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือที่กำนิ้วของเขาเอาไว้ ความรักที่เกิดขึ้นบริสุทธิ์อยู่ภายในใจ แม้จะต่างสายเลือด แม้ดวงหน้าหวานดูเหมือนจะมีเชื้อออกไปทางลูกครึ่ง ไม่ได้ประพิมพ์ประพายละม้ายคล้ายกันกับเขา แต่รพีกานต์ดูงดงามและบริสุทธิ์ดุจดวงแก้วเลอค่าที่ส่องสว่างให้เขาผ่านพ้นจากชีวิตมืดมน มือเรียวเลื่อนสัมผัสกับเนื้อผ้านุ่ม รพินทร์หลุบตามองชุดฉุยฉายพราหมณ์ที่พับเก็บเรียบร้อยข้างในนั้น เมื่อครั้งหนึ่งเขาในชุดเจ้าพราหมณ์น้อยกำลังกรีดกรายร่ายรำอวยพรในงานฉลองสำคัญงานหนึ่ง จุดเริ่มต้นให้ได้พบกับผู้ชายคนนั้น

'อินทัช'

ชายหนุ่มเนื้อหอมผู้หล่อเหลา ลูกชายนายธนาคารใหญ่อนาคตไกล ดอกรักที่ช่วยกันปลูกเบ่งบานสวยงามและแห้งเฉาลงเมื่ออีกฝ่ายทิ้งกันไปแต่งงานเสียอย่างนั้น รพินทร์เหมือนล้มทั้งยืน เจ็บปวดทุรนทุรายจนสิ้นคิดหมายจบชีพตน และรพีกานต์คือแสงสว่างที่สาดส่องให้เขาพ้นจากวันคืนแสนมืดมนนั้น มือบางหยิบกำไลข้อเท้าขึ้นมาดู ภาพในวันวานที่กำไลคู่นี้สวมอยู่ที่ข้อเท้าน้อย ๆ ที่กำลังตั้งไข่เริ่มจะหัดเดิน เสียงกำไลดังกริ๊ง ๆ ยามที่ลูกน้อยเคลื่อนไหวเดินร่อนรอบบ้านเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวน้อยของพ่อเดินไปทางไหนจะได้ตามตัวถูก ด้วยกลัวลูกรักพลัดตกเรือน เพราะเลี้ยงดูรพีกานต์มาเองกับมือ รพินทร์จึงได้รู้ซึ้งว่าบุพการีรักเขาแค่ไหน รพินทร์ไม่คิดที่จะทำร้ายตัวเองอีกเลยนับจากนั้น ด้วยรู้ซึ้งแล้วว่า รักที่จริงแท้ที่สุด คือรักของพ่อแม่นั่นเอง

“ป้อ...ป้อ”

เสียงเล็ก ๆ ใสแจ๋วราวระฆังแก้วดังขึ้นขณะรพินทร์กำลังอาบน้ำให้เจ้าของแก้มยุ้ยเนื้อตัวจ้ำม่ำน่าฟัด มือเล็กตีน้ำในกะละมังแตกกระจายพร้อมหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างอารมณ์ดีอวดฟันน้ำนมเล็ก ๆ ที่เพิ่งขึ้นสองซี่อย่างน่ารักน่าชัง

“อารมณ์ดีเชียวน้องกานต์ อาบน้ำทีไรกระดี๊กระด๊าตลอด”

รพินทร์เอ่ยขณะฟอกสบู่เด็กอาบน้ำให้ลูกน้อย

“ป้อ!”

 รพีกานต์ยังคงส่งเสียงได้ยินเป็นคำ ๆ เดียวไม่ขาดปากพร้อมทั้งเล่นน้ำในกะละมังไปด้วยอย่างสดใส

“เอ คุณรพินทร์คะ คุณหนูกานต์เรียกคุณว่าพ่อหรือเปล่าคะ ได้ยินส่งเสียงแบบนี้นานแล้วนะคะ แต่คงจะยังออกเสียงไม่ชัด ลองฟังดี ๆ สิคะ นี่ในปากก็มีดอกไม้ขึ้นแล้วสองซี่ น่าเกลียดน่าชังเชียว”

คุณป้านิ่ม แม่นมของรพินทร์ออกความเห็นหลังจากสังเกตอยู่พักใหญ่ รพินทร์ขมวดคิ้วเงี่ยหูฟังเสียงร้องของลูก

“ป้อ...ป้อ”

ร่างขาวอวบจ้ำม่ำยังคงส่งเสียงพร้อมหัวเราะเอิ๊กอ๊าก รพินทร์ตาโตทันทีที่ได้ยิน ดวงหน้านวลฉีกยิ้มกว้างอย่างปลื้มปริ่มเต็มหัวใจที่ได้ยินเสียงเรียกของลูกน้อยเป็นครั้งแรก แม้จะไม่ชัดนัก ด้วยเพิ่งหัดพูด แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ลูกเรียกเขาว่า “พ่อ”

“น้องกานต์ หนูเรียกพ่อใช่ไหมลูก หนูเรียกพ่อได้แล้วใช่ไหม ไหนลองเรียกให้ฟังอีกครั้งสิครับ”

 รพินทร์ละล่ำละลักถามรพีกานต์ที่กำลังเล่นเป็ดน้อยสีเหลืองอ๋อยอย่างดีใจ ความรู้สึกมันท่วมท้นจนแทบเอ่อล้นเป็นหยาดน้ำตาแห่งความยินดี ยินดีที่ลูกเรียกเขา ของขวัญแห่งความสุขที่แสนยิ่งใหญ่สำหรับคนเป็นพ่อ แม้จะไม่ใช่สายเลือดโดยแท้

“ป้อ”

เสียงใสส่งผ่านออกมาให้ได้ยิน รพินทร์น้ำตารื้นทันทีที่ได้ยิน

“ป้านิ่ม น้องกานต์เริ่มพูดได้แล้ว แกเรียกผมว่าพ่อด้วยครับ น้องกานต์เรียกผมว่าพ่อ ป้านิ่มก็ได้ยินใช่ไหม”

 รพินทร์หันไปหาแม่นมเพื่อขอคำยืนยันว่าเขาไม่ได้ฝันไป เขาได้ยินเสียงรพีกานต์เรียกเขา

“ใช่ค่ะ คุณรพินทร์ได้ยินไม่ผิดหรอก คุณหนูกานต์เรียกคุณว่าพ่อได้แล้ว ดีใจด้วยนะคะ”

คุณป้านิ่มยิ้มกว้างอย่างร่วมยินดีด้วยตามประสาคนที่ช่วยกันเลี้ยงมาแต่แรก รพินทร์จับมือเล็กขึ้นจูบอย่างดีใจพร้อมมองหน้าลูกน้อยอย่างดีใจ

“น้องกานต์ ชื่นใจจังลูก คนดีของพ่อ พ่ออวยพรให้ความดีงามคุ้มครองหนูนะลูก”

รพินทร์อวยพรให้ลูกน้อย สำหรับเขาแล้ว ทรัพย์สินเงินทองต่อให้มีมากก็ไม่เทียบเท่าคุณงามความดีที่จะคอยปกป้องคุ้มครองคนประพฤติดีหรอก



“เอ ผ่านมานานจนน้องกานต์โตขนาดนี้แล้ว เอากำไลไปบริจาคดีกว่าไหม หรือจะเก็บไว้ให้ลูกของกานต์ดี อืม ถ้ากานต์คบกับณัฐก็ไม่น่าจะมีลูกได้ แต่เอ ถ้าพวกเขาอยากเอาเด็กมาเลี้ยงล่ะ เก็บไว้ก่อนดีกว่า”

รพินทร์เก็บกำไลข้อเท้าใส่กล่องเอาไว้ก่อน ดวงตาอ่อนโยนเหลียวมองเครื่องแขวนดอกไม้สดที่รพีกานต์เคยทำให้ตอนกลับมาเยี่ยมบ้านครั้งก่อน อยู่ ๆ ก็รู้สึกคิดถึงห่วงหาลูกน้อยอย่างบอกไม่ถูก




 “กานต์เป็นอะไร ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว”

ไอยวริญท์อดทักขึ้นไม่ได้เมื่อเห็นเพื่อนรักเดินยิ้มหน้าบานมาตั้งแต่เข้าห้องเรียนจนตอนนี้หมดชั่วโมงเรียน อาจารย์เดินออกไปแล้วก็ยังไม่ยอมหุบ สายตาอยากรู้ลอบมองดอกแก้วในมือเรียวจึงถึงบางอ้อรู้ความนัยโดยที่เพื่อนรักยังไม่ทันได้เอ่ยบอก

“อ๋อ มิน่าล่ะ พ่อหนุ่มวิศวะคงจะให้ดอกแก้วมาละซี ถึงได้ยิ้มหน้าบานหุบยิ้มไม่ลงเชียว”

กระเซ้าเย้าแหย่ไป ไอยวริญท์ก็รู้สึกปวดแปลบเล็ก ๆ ด้วยหญิงสาวเองก็หลงรักหลงชื่นชมรพีกานต์อยู่ในใจ หากแต่เพื่อนไม่ได้มีใจคิดรักชอบสตรี ไอยวริญท์จึงได้แต่เก็บงำความรู้สึกเอาไว้อย่างมิดชิดที่สุด

“ผู้ชายดี ๆ สองคนมารักกันเองแบบนี้ ผู้หญิงอย่างเราควรจะยืนอยู่ตรงจุดไหนกันล่ะนี่”

เพื่อนในกลุ่มต่างเริ่มเบนความสนใจมาเย้ารพีกานต์เล่น ทุกคนต่างรู้จักกับณัฐธีร์และก็รู้ดีว่าณัฐธีร์นั้นแสนดีแค่ไหน รพีกานต์ก้มหน้างุดซ่อนอาการแดงซ่านของใบหน้าพร้อมทั้งสอดดอกแก้วที่เขาทัดหูให้ใส่ไว้ในหนังสือ

“เลิกล้อเราได้แล้วน่า ล้อกันตั้งแต่เทอมแรกแล้ว ไม่เบื่อหรือไง”

“พี่ณัฐยังไม่เบื่อรักกานต์เลย เช้าถึงเย็นถึงตลอด แล้วพวกเราจะเบื่อแซ็วได้ยังไง บอกตรง ๆ นะ อิจฉากานต์จัง”

“พอแล้ว อาจารย์มาแล้วนั่น หมดคาบนี้จะได้ไปหาอะไรกินกัน”

รพีกานต์บ่ายเบี่ยงความสนใจเพื่อน ๆ ไปยังอาจารย์ที่เข้าสอนในวิชาต่อไป ร่างเล็กกัดริมฝีปากตัวเองระงับอาการเก้อเขิน ขณะที่กลิ่นหอมอ่อนของดอกแก้วก็ยังคงส่งกลิ่นอยู่ไม่ขาด หอมยาวเข้าไปในหัวใจที่หวั่นไหวเสียเหลือเกิน


รพีกานต์และเพื่อนต่างพากันมาหาอะไรกินตอนเที่ยงวันที่โรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัย ยามเที่ยงโรงอาหารคลาคล่ำไปด้วยนิสิตมากหน้าหลายตาจากคณะต่าง ๆ ร่างเล็กกวาดสายตามองหาโต๊ะว่างก่อนจะให้ตัวแทนนั่งจองไว้ เมื่อได้อาหารแล้วทุกคนในกลุ่มต่างก็พากันมานั่งกินข้าว รพีกานต์ตักข้าวเข้าปากก่อนจะได้ยินเสียงดังโหวกเหวกไม่ไกลนัก

เพียะ!

รพีกานต์ตาโตเมื่อเห็นเจ้าของใบหน้าที่รองรับฝ่ามืออารมณ์จากหญิงสาว อดีตเดือนมหาวิทยาลัยชั้นปีที่สองผู้หล่อเหลาและกิติศัพท์ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าชู้คือคนที่ถูกประทับฝ่ามืออรหันต์จนขึ้นรอยแดง อัครวินท์ไม่ได้ตอบโต้อะไรนอกจากเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

“ผมเจอคนที่ผมรักและอยากจะหยุดที่เขาแล้ว ผมจะเลิกเจ้าชู้ เลิกคบหลายคนเสียที”

อัครวินท์เหลือบเห็นร่างโปร่งที่นั่งมองอยู่พอดี คำพูดดังขึ้นพร้อมสายตาคมที่มองสื่อมาทางรพีกานต์ หัวใจดวงน้อยเต้นรัวอย่างคาดไม่ถึง ไม่คิดว่าจะได้มาเจออะไรแบบนี้ รพีกานต์รีบหลบสายตาเขาวูบด้วยความหวั่นไหวรุนแรงที่เต้นกระหน่ำในอก

“พี่วินไปรักใครเข้านะ ถึงได้มาบอกเลิกบรรดากิ๊กจนถูกยำซะเละ อุ๊ย น้ำเย็นตาโฟแดงแจ๋ราดเต็มตัวเลย”

 เสียงไอยวริญท์ที่กำลังดูเหตุการณ์ของพี่ชายอย่างลุ้นระทึกพูดขึ้น รพีกานต์รีบเงยหน้ามองด้วยความตกใจ ร่างเล็กเห็นเขาไม่พูดจาต่อความยาวอะไรอีก นอกจากพาตัวเองเดินออกไปจากตรงนั้นท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นและเสียงซุบซิบกระซิบกระซาบของใครหลายคนที่มองดูเหตุการณ์อยู่บริเวณนั้น

“เราปวดท้องยังไงไม่รู้ เราขอกลับห้องก่อนนะ ถ้าไม่ไหวยังไงเราอาจไม่เข้าคาบบ่าย ฝากเลคเชอร์ด้วยนะริน”

รพีกานต์หาข้ออ้างออกไปดูเขาเร็วปรื๋อ มือบางรีบกระวีกระวาดคว้ากระเป๋าออกมาทันที ไม่วายเอ่ยตำหนิกับตัวเองด้วยความเป็นห่วงไปด้วย

“พี่วินบ้า ยอมทำขนาดนี้เลยหรือ”

 เสียงนุ่มงึมงำกับตัวเอง รพีกานต์พยายามระงับอาการใจเต้นกระหน่ำไม่หยุดของตัวเอง ยังจำสายตาแน่วแน่ที่มองมายามเขาเอ่ยบอกผู้หญิงคนนั้นได้เป็นอย่างดี

ติ๊ง

เสียงข้อความไลน์ดังขึ้น รพีกานต์รีบหยิบขึ้นมาอ่านอย่างนึกรู้ว่าเป็นเขาส่งมา

“พี่เลิกกับทุกคนแล้วนะครับ...เพื่อกานต์ พี่อยากจะพิสูจน์ให้กานต์ได้เห็นว่าพี่ไม่ได้จีบกานต์แค่เล่น ๆ”

“พี่วิน ตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ แล้วน้ำก๋วยเตี๋ยวลวกพี่ไหม”

 รพีกานต์รีบกดพิมพ์ข้อความรัวเร็วด้วยความเป็นห่วงเขา

“อยู่ในรถครับ กานต์ครับ พี่ปวดแสบปวดร้อนจังเลย ว่าจะไปโรงพยาบาลเสียหน่อย แต่ถ้ากานต์จะเมตตาพี่ขอไปล้างเนื้อล้างตัวที่ห้องกานต์ได้ไหม ห้องกานต์อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยพี่จะได้ขับรถไม่ไกล”

ข้อความของเขาตอบกลับมาทันทีเหมือนกัน หัวใจรพีกานต์อ่อนยวบเมื่อเจอข้อความออดอ้อนว่าแสบนักหนา

โธ่...พี่วิน

“ครับ ๆ กานต์จะรีบไปหา”

รพีกานต์รีบพิมพ์ข้อความตอบกลับไปก่อนขณะเท้าเร่งจ้ำอ้าว

 “พี่วินนะพี่วิน โดนน้ำก๋วยเตี๋ยวร้อน ๆ ลวก ทำไมไม่แวะไปล้างที่ห้องน้ำก่อน มัวแต่มารอแบบนี้ ผิวพองขึ้นมาจะยิ่งแสบแย่”

รพีกานต์เร่งฝีเท้าอย่างเต็มที่เพื่อมองหารถของเขา ตัวอยู่ตรงนี้แต่หัวใจห่วงมันล่องลอยไปช่วยทายาให้เขาเสียแล้ว



ใบหน้าหล่อเหลายิ้มร้ายเมื่อได้รับข้อความตอบกลับ มือหนาควักกระเป๋าสตางค์หนังแบรนด์เนมหยิบธนบัตรฉบับสีเทาส่งให้หญิงสาวเจ้าของฝ่ามืออย่างรู้กัน

“ขอบใจว่ะ วันหลังจะใช้บริการอีกก็บอกแล้วกัน ได้ตบเดือนมหาลัยโคตรเจ้าชู้แถมได้เงินใช้แบบนี้ ฉันชอบว่ะ ว่าแต่แกจ้างฉันมาเล่นละครหลอกใครวะวิน”

 เพื่อนสาวแห่งคณะนิเทศศาสตร์ สาขาการแสดงถามขึ้นอย่างสงสัย

“เออน่า แกไม่ต้องรู้หรอก ไปได้แล้ว ผัวแกควบชอปเปอร์รอพาแกแว้นอยู่โน่น”

 อัครวินท์บอกปัดพร้อมผลักศีรษะอีกฝ่ายประสาเพื่อนสนิทที่เคยเล่นหัวกัน

“ไอ้ห่า หล่อแต่เชี้ยชะมัด ระวังเหอะ จะหลงรักเขาไม่รู้ตัวแล้วเขาจะเกลียดมึงเข้ากระดูกดำ เชี้ยวิน”

สาวสวยย่นจมูกใส่อย่างหมั่นไส้ก่อนจะผละลิ่ว ๆ ไปซ้อนรถชอปเปอร์ของคนรักพร้อมจากไป อัครวินท์มองน้ำซอสเย็นตาโฟที่ผสมน้ำทิ้งไว้จนเย็นชืดแล้วและเติมพริกผงลงไปตบตาเพิ่มอีกนิดให้ดูแสบทรวงนักหนา แค่นี้คะแนนความเห็นใจก็เทให้เขาแบบถล่มทลายแล้ว ถ้าไม่ติดว่าหวงชีวิตความเป็นส่วนตัว อัครวินท์ก็คงเข้าวงการบันเทิงตามที่แมวมองมาตามจีบอยู่หรอก แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนลงรูปเขาในเพจคิ้วท์บอยหนุ่มในฝันขวัญใจของสาว ๆ ในมหาวิทยาลัยอยู่เนือง ๆ


 :hao3:
เรตติ้งวินดี๊ดี 5555  (ขำกับความแหลของวิน) มีตุนไว้ ๑๑ ตอนเลยลงเร็วนะฮับ จะได้ทันอีกเวบน่ะ จากนั้นก็...เต่าคลานไปพร้อมกัน ก๊ากกกก  เรามีโครงเรื่องแบบหลวม ๆ อ่ะนะ ส่วนรายละเอียดยิบย่อยส่วนใหญ่ด้นสดแล้วก็ลงเลย รายละเอียดบางจุดเป็นจุดเล็ก ๆ แต่ใช้เวลาหาข้อมูลนานก็มี เราขอบคุณทุกคนนะฮ้าบบบบ
ป.ล.๑ คิดมุกแหลอีวินนี่มันสุดละ มีคนตั้งทีมพ่อปลาไหลให้วินด้วย :mew1:
 :katai5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๗)(๒๖/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: wonderbe ที่ 26-03-2016 20:59:20
เกลียดวินนนนนนนนนนนนนนนนน เกลียดตั้งแต่ตอนนี้ยันตอนจบเลย ต่อให้เป็นพระเอกก็เกลียดดดดดดดดดด ทำไมถึงอินขนาดเนนนนนนน้ ยังไม่มีอะไรเลยยยยยยย จะรีบร้องไห้ทำไมมมมม  :z3: :z3: :z3:
อินจนเป็นบ้า ฮือ แต่งดีค่ะชอบ  :hao5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๗)(๒๖/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Pithchayoot ที่ 26-03-2016 21:26:06
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๗)(๒๖/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 26-03-2016 22:30:26
ไม่เคยอ่านเรื่องไหนแล้วเกลียดตัวละครมากขนาดนี้เลย ไอ้วิน เป็นคนแรกที่อ่านแล้วเกลียดสุดๆ เพราะใจไอ้วินคิดจะทำลายชีวิตคนอื่นน่ะ
  รอ รอ รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๗)(๒๖/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 26-03-2016 23:13:11
ป้อน้องกานต์นี่จะใช่ผู้ชายที่พ่ออิตาวินรักป้ะนี่

สงสารน้องกานต์จัง อิวินมันเลววววววววว

 :katai1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๗)(๒๖/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 26-03-2016 23:41:23
อีวินนี้เลวมากๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๗)(๒๖/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 27-03-2016 00:14:47
สนุกมากๆค่ะ ภาษาสละสลวยมากค่ะ   สงสารทั้งรพิน และกานต์เลยโดนสองพ่อลูกใจร้ายทำร้ายจิตใจ สงสารณัฐด้วย ทั้งที่ดีแสนดีแต่กลับโดนแย่งไป
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๘)(๒๗/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 27-03-2016 11:09:22
เสน่หา...รักเอย ตอนที่๘ กระทิงคลั่ง


“พี่วินเป็นยังไงบ้าง”

รพีกานต์กึ่งเดินกึ่งวิ่งหน้าตื่นปรี่เข้ามาหาหน้าตาร้อนรนด้วยความเป็นห่วง

“แสบจังครับ”

 อัครวินท์ทำสีหน้าออดอ้อนสุ้มเสียงฉอเลาะราวกับเจ็บปวดเสียเต็มประดา อารามมัวห่วงหารพีกานต์ไม่ทันนึกเฉลียว แค่ได้ยินเขาบอกว่าเจ็บ หัวใจก็พลันอ่อนยวบยาบนึกอยากเจ็บแทนเหลือเกิน

“คนบ้า ไม่รู้จักดูแลตัวเองเลย ทำไมไม่แวะเข้าห้องน้ำไปล้างตัวก่อนล่ะครับ อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยครับ เรารีบไปห้องกานต์ก่อน ส่งกุญแจรถมาครับ เดี๋ยวกานต์ขับให้ แล้วนี่น้ำเย็นกับผ้าเช็ดหน้ากานต์ พี่วินเอาซับตรงที่โดนลวกก่อนนะครับ”

รพีกานต์ละล่ำละลักรัวลิ้นเร็วจนแทบจะพันกันด้วยห่วงแสนห่วง ร่างโปร่งไม่ประวิงเวลา มือเรียวรีบเทน้ำเย็นราดใส่ผ้าเช็ดหน้าส่งให้ซับรอยถูกลวกไปพลาง ๆ ก่อนฉวยกุญแจรถจากมือหนาทำหน้าที่โชเฟอร์ให้ อัครวินท์รีบเดินไปเปิดประตูรถอีกด้านแทรกตัวเข้าไปทันที เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาดีกรีเดือนมหาวิทยาลัยเหลือบมองโชเฟอร์ข้างกายที่ทำหน้าคล้ายกับว่าตนเองเป็นฝ่ายปวดแสบปวดร้อนเสียเอง รพีกานต์คิ้วขมวดมุ่น สีหน้าร้อนรนอย่างห่วงใยเสียเต็มประดาอย่างกับตนเองเป็นฝ่ายถูกลวกเสียอย่างนั้น น้ำเสียงนุ่มตำหนิเพียงเล็กน้อยให้รู้ว่าห่วงแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีกนอกจากส่งทอความห่วงใยมาให้ทางสายตา

“พี่วินรู้สึกดีขึ้นบ้างไหมครับ เดี๋ยวก็ถึงหอพักกานต์แล้ว อดทนอีกนิดนะครับ”

รพีกานต์เป็นห่วงเป็นใยเขามากเสียเหลือเกิน มากจนแทบอยากเจ็บแทนเขา ทำไมหนอ ยิ่งเห็นน้ำก๋วยเตี๋ยวที่ราดรดลงถูกเสื้อมีคราบพริกติดมาด้วยแล้ว ร่างเล็กกว่าก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองมีส่วนร่วมในสิ่งที่เกิดขึ้น

“ดีขึ้นกว่าเดิมแล้วครับ ผ้าวิเศษของคนพิเศษช่วยพี่ได้จริง ๆ”

 อัครวินท์ไม่วายหยอดคำป้อหวานจนคนฟังแก้มร้อนขึ้นริ้วเรื่อจาง ๆ รพีกานต์ขับรถเขาเข้าไปจอดในที่จอดรถของอะพาร์ตเมนต์ก่อนจะเผลอลืมตัวจับมือเขาเดินลิ่ว ๆ ตรงดิ่งไปที่ลิฟต์


ห้องสีขาวสะอาดสะอ้านเปิดรับแขกที่ชื่ออัครวินท์เป็นครั้งแรก รพีกานต์รีบพาเขาตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำทันทีเพื่อล้างตัว

“พี่วินถอดเสื้อผ้าออกก่อนนะครับ เดี๋ยวกานต์เปิดน้ำราดตัวให้”

รพีกานต์บอกโดยไม่ได้คิดอะไรนอกจากความห่วงใยมากมาย ร่างเล็กกว่าหันไปเปิดฝักบัวอาบน้ำหันมาอีกทีก็เจอกับอัครวินท์ในสภาพเปลือยท่อนบนอวดแผงอกแน่นและมัดกล้ามสวยงาม รพีกานต์ชะงัก นิ่งอึ้งไปพร้อมกับหัวใจที่เต้นรัวขึ้น

“น้องกานต์ดูให้หน่อยสิครับว่าเป็นอะไรมากไหม พี่มองเห็นไม่ชัดเลยครับ ไม่รู้ว่าพองหรือเปล่า”

อัครวินท์จับมือบางที่ขาวเรียวดุจมือสตรีสัมผัสไปตามแผงอกหนา มือขาวนุ่มสั่นระริกเย็นเฉียบจนอัครวินท์อดยกยิ้มขำไม่ได้

“อายพี่หรือครับ”

“พี่วิน...”

รพีกานต์ก้มหน้างุดด้วยความสั่นประหม่า หัวใจเต้นหนักหน่วงสั่นไหวรุนแรงราวจะหลุดออกมาข้างนอกอก

“ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วงพี่”

อัครวินท์ย่ามใจโน้มลงจูบหน้าผากเนียนพร้อมสูดกลิ่นแชมพูหอมอ่อน ๆ เข้าจมูก รพีกานต์ยืนตัวแข็งทื่อปล่อยฝักบัวกระแทกผลัวะลงพื้น ดวงหน้าขาวเนียนขึ้นสีฝาดแดงอย่างรวดเร็วเหมือนไฟลาม อัครวินท์ฉวยโอกาสจับมือบางขึ้นจูบพร้อมส่งสายตาเสน่หาให้

“ถ้าไม่ได้มือนุ่ม ๆ นี่ช่วย พี่ต้องแย่แน่ ๆ”

 อัครวินท์งับปลายนิ้วเล็กอย่างหยอกล้อขณะสายตามองแก้มแดงซ่านของคนที่เอาแต่อายม้วนต้วนอย่างน่ารักน่าชัง ร่างแกร่งกำยำขยับเข้าชิดใกล้ก่อนจะโน้มใบหน้าลงยื่นปลายจมูกโด่งฉกหอมแก้มขาวฟอดใหญ่

ฟอด

“หอมชื่นใจพี่จัง แค่นี้พี่ก็หายแสบแล้วครับ”

“พี่วิน!”

รพีกานต์เพิ่งได้สติ กายบางผงะทั้งดวงตาเบิกโต หน้าแดงแปร๊ดเหมือนโลหิตทั้งร่างกายไหลมารวมที่จุดเดียว

“พี่รักกานต์ ต่อให้ต้องเจ็บกว่านี้ พี่ก็ยอม เพื่อให้ได้รักกานต์”

 อัครวินท์จ้องดวงตาคู่สวยไร้เดียงสานัยน์ตาหวานเชื่อม รพีกานต์ตรึงอยู่กับที่ราวกับตกอยู่ในห้วงแห่งมนตร์ขลังสุดเสน่หายามสบตากับเขา จนไม่อาจละสายตาไปได้ รู้ตัวอีกที กลีบปากนุ่มก็ถูกไอกรุ่นร้อนจากริมฝีปากอุ่นที่ทาบทับลงมาแนบชิด ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดผิวหน้าชวนวาบหวิวใจเตลิดปลิวไปไกล อัครวินท์รั้งเอวบางเข้าแนบชิด บดคลึงริมฝีปากนุ่มก่อนจะส่งปลายลิ้นร้อนเซาะกลีบปากหยุ่นละเลียดสัมผัสแนวฟันเรียงรายก่อนจะเข้าไปฉกชิมความหวานซ่านภายใน ปลายลิ้นเล็กยังมีรสหวานของน้ำหวานที่อีกฝ่ายเพิ่งดื่มติดอยู่  อัครวินท์เกี่ยวรัดเรียวลิ้นนุ่ม ดูดดุนเบา ๆ อย่างเย้าหยอก คนจูบไม่เป็นที่ยืนตัวแข็งทื่อเป็นหิน รพีกานต์ตัวเกร็งอย่างคนไม่รู้วิธีหายใจ รสจูบหวานลึกล้ำอ้อยอิ่งไม่ประสีประสาขยับตามแต่เขาจะชักนำ อัครวินท์ย่ามใจลูบไล้แผ่นหลังบางก่อนจะเลื่อนมือสอดเข้าไปสัมผัสผิวเนื้อใต้โครงเสื้อ ผิวกายรพีกานต์เนียนละเอียดแม้มองไม่เห็น ความนุ่มเนียนลื่นมือราวอาบน้ำนมนั้นถูกใจอัครวินท์นัก

อือ อืม

รพีกานต์จิกปลายเล็บลงบนแผ่นอกแน่นเมื่อเริ่มถูกช่วงชิงลมหายใจหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนหายใจไม่ออก ในสมองขาวโพลน หัวใจล่องลอยเบาหวิวราวปุยนุ่นตามแต่เขาจะนำพา

อะ อื้อ

กำปั้นเล็กทุบลงแผ่นอกไม่แรงหนัก อัครวินท์ถอนริมฝีปากหลุบเปลือกตามองกลีบปากเจ่อแดงจัดของร่างที่หอบสะท้านโกยอากาศเข้าปอด ริมฝีปากยกยิ้มยินดีที่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายยังบริสุทธิ์แม้กระทั่งริมฝีปากที่ยังไม่เคยถูกใครแตะต้อง รพีกานต์หายใจหายคอโล่งขึ้นจึงได้สติเงยหน้าขึ้นสบตาคนตรงหน้าแก้มแดงจัด

“พะ พี่วินท์อาบน้ำนะครับ กานต์ กานต์จะไปเตรียมผ้าเช็ดตัวให้กับยาทาให้”

รพีกานต์เอ่ยเสียงสั่นลิ้นแทบจะพันกันก่อนจะรีบเผ่นผลุงออกมาจากห้องน้ำโดยเร็ว ร่างเล็กปิดประตูห้องให้ก่อนจะมายืนหอบหายใจระทึกโครมครามดั่งรัวกลองเพล

“จะ จูบ...แล้ว”

เสียงหวานแผ่วหวิว แก้มขาวร้อนซ่านยามนึกถึงรสจูบแสนวาบหวามซาบซ่านในอก นิ้วเรียวแตะกลีบปากบางเบาอย่างเขินอาย อ่านบทกวีกลอนมาไม่รู้เท่าไหร่เพิ่งซึ้งใจเมื่อเจอกับตัว นี่น่ะหรือรสจูบ บทกวีที่ว่าหวานแสนหวาน รพีกานต์เพิ่งแจ้งใจก็วันนี้ นึกถึงท่าทีไม่ประสีประสาที่มีเขาชักนำของตัวเองแล้วก็ได้แต่อายม้วน

แกรก

“น้องกานต์อย่าลืมผ้าเช็ดตัวของพี่นะครับ”

อัครวินท์เปิดประตูออกมากำชับยิ้ม ๆ ทันได้เห็นร่างเล็กที่ยังไม่ไปไหนไกลประตูสะดุ้งโหยงราวกระต่ายตัวน้อย ๆ ที่ตื่นตูมกับเสียงดังจนคิดว่าฟ้าถล่ม ริ้วแดงเรื่อที่ข้างแก้มนั้นน่ารักจนอยากจะฝังจมูกลงไปสูดดมกลิ่นหอมของผิวเนียนอีกสักหลายหน

“คะ ครับพี่วิน”

รพีกานต์ก้มหน้างุดรีบออกไปจากตรงนั้นทันที อัครวินท์ยกยิ้มงับประตูปิด มือหนาปลดเข็มขัดรูดซิปกางเกงลง ใจไพล่คิดไปถึงถุงยางอนามัยที่ชายหนุ่มพกใส่กระเป๋าสตางค์ติดไว้ตลอด แววตาร้ายกาจปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาสะท้อนในกระจก

“หวานคอแร้งล่ะ อุตส่าห์มาถึงห้อง ยังไงก็ไม่เหลือ หึ”

ร่างเปลือยเปล่าก้าวเข้าไปใต้ฝักบัวเงยหน้าชโลมน้ำอย่างชุ่มฉ่ำพร้อมฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ถึงจะผู้ชายด้วยกันก็เถอะ แต่ผิวเนียนจากการที่ได้ลูบไล้แผ่นหลังเมื่อกี้มันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด แถมริมฝีปากนุ่มนั่นก็หวานล้ำไม่หยอก รพีกานต์หน้าหวานอย่างกับผู้หญิง มองผ่าน ๆ ดูเหมือนทอมบอยเสียมากกว่าจะเชื่อว่าเป็นผู้ชาย เอาเถอะ ศึกษาวิธีการมาแล้ว
คนอย่างอัครวินท์ ถ้าอยากจะได้ก็ต้องได้

รีบเผด็จศึกจบเกมเร็ว ๆ จะได้ไปหาเป้าหมายใหม่ต่อ วันนี้ตอนนั่งในโรงอาหารแอบเห็นสาวสวยเฉี่ยวส่งสายตาทอดสะพานมาให้แล่นไปสานต่อ ก็อยากจะไปอยู่หรอกถ้าไม่ติดว่าวันนี้มีภารกิจ

“กระต่ายน้อย พี่อาบน้ำเสร็จแล้วครับ ผ้าเช็ดตัวอยู่ไหนเอ่ย”

อัครวินท์เยี่ยมหน้าออกมาร้องถามหาผ้าเช็ดตัวจากคนที่กำลังนั่งดูรายการทำอาหาร รพีกานต์สะดุ้งโหยงก่อนจะเดินก้มหน้ามาส่งผ้าเช็ดตัวให้ อัครวินท์แกล้งเอื้อมจับมือบางทำท่ายักแย่ยักยันกันจนดึงตัวบางมาใกล้ ๆ ได้

“พี่วิน!”

รพีกานต์ร้องเสียงหลงเพราะรู้ดีว่าหลังประตูนั้นคือร่างเปลือยเปล่าของชายหนุ่ม

“ร้องเสียงหลงเชียวนะครับ กระต่ายขี้กลัว กลัวพี่ทำอะไรหรือครับ ฮึ”

อัครวินทำสายตากระลิ้มกระเหลี่ยเต็มที่

“พี่วินท์แกล้งกานต์”

 เสียงหวานพ้อ ทำหน้าจะร้องไห้เมื่อถูกไล่ต้อนจนมุม แถมหัวใจเจ้ากรรมยังเต้นกระหน่ำไม่เพลาลงบ้างเลย

“โอเค พี่ไม่แกล้งแล้ว งั้นเดี๋ยวกานต์ทายาให้พี่หน่อยนะครับ”

อัครวินท์ทำตาเจ้าชู้ไก่แจ้ ร่างสูงใหญ่ออกจากห้องในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวมานั่งปุบนเตียงพลางส่งสายตาให้ร่างเล็กกว่าเข้าไปหา รพีกานต์ใจสั่นหวั่นไหวลมแทบจับเมื่อมองแผงอกหนาล่ำสันพราวไปด้วยหยดน้ำเกาะ

“พี่วินไม่เช็ดตัวก่อนล่ะครับ”

“กานต์ก็เช็ดให้พี่สิครับ”

สายตาคมแพรวพราวจนรพีกานต์ต้องหลุบตาหลบ มือบางกล้า ๆ กลัว ๆ หยิบขนหนูกับยาเดินเข้าไปหา รพีกานต์ก้มหน้าก้มตามองแค่แผงอก

หมับ

มือหนากุมทับมือนุ่มที่บรรจงเช็ดตัวให้ อัครวินท์โน้มจมูกโด่งคลอเคลียแก้มนุ่มก่อนจะซุกไซ้ซอกคอจู่โจม มือหนารั้งตัวบางพลิกลงแนบเตียงพร้อมขึ้นคร่อมเหนือร่างอีกฝ่าย

“พี่วิน”

“กานต์ทำให้พี่ร้อน รับผิดชอบซะดี ๆ”

ริมฝีปากร้อนจาบจ้วงประกบจูบ ฝ่ามือเชี่ยวลูบไล้เรือนกายบางทอนกำลังอีกฝ่าย รพีกานต์สมองตื้อทำอะไรไม่ถูก สัมผัสของอัครวินท์ชวนให้ใจสั่นหวั่นไหวเหลือแสน ยามลิ้นร้อนรุกไล่เกี่ยวรัดลิ้นเล็กไม่ประสา มือหนาปลดกระดุมเสื้ออย่างรวดเร็วพร้อมสะกิดยอดอกเล็กลูบผ่านไปทั้งตัว

“อา พี่วิน”

อัครวินท์ถอนปากออกจ้องมองร่างตรงหน้าอย่างหื่นกระหายราวกระทิงป่ากลัดมันอยากโจนเข้าหากระทิงสาว

“พี่ขอนะ”

ไม่รอให้ตอบ ซอกคอหอมถูกซุกไซ้ รพีกานต์แอ่นตัวอย่างสยิวยามปลายลิ้นชุ่มสะกิดเลียยังยอดอกเล็ก ความเสียวซ่านแล่นปลาบเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่าว

“อา พี่วิน”

รพีกานต์สมองขาวโพลน ร่างกายร้อนฉ่าราวนาบไฟ เสียงครางหวานระบายความเสียวซ่านแปลกใหม่ที่ได้รับ มือเรียวกดแทรกศีรษะอีกฝ่ายแหงนหน้าเริดส่งเสียงครางหวานหู อัครวินท์ตวัดปลายลิ้นละเลงยอดอกเล็กขึ้นไตขณะสายตามองใบหน้าแดงซ่านซับด้วยไฟอารมณ์ที่เขาจุดไฟอย่างกระหยิ่มใจ

Tru Tru Tru

รพีกานต์สะดุ้งโหยงผละออกทันควัน ใบหน้าขึ้นริ้วแดงบ่ายไปทางเสียงโทรศัพท์ใกล้ตัว เหลือบเห็นหน้าจอเป็นใบหน้าของณัฐธีร์ที่โทรมา อารมณ์พลุ่งพล่านลดลงฮวบด้วยความรู้สึกหลากหลาย รพีกานต์สบตากับคนที่อยู่เหนือร่างที่จ้องมองอย่างกดดันสลับกับเสียงโทรศัพท์ที่แผดเสียงไม่หยุด อัครวินท์หงุดหงิดทำท่าจะจับขว้างทิ้งแต่ช้ากว่ารพีกานต์ที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นกดรับ

“ครับพี่ณัฐ”

“....”

“กานต์ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ พี่ณัฐไม่ต้องมาหรอก”

“...”

“โธ่พี่ณัฐ กานต์บอกว่ากานต์ไม่ได้เป็นอะไรมากไง แล้วนี่พี่ณัฐรู้ได้ยังไงว่ากานต์ไม่สบาย สปายเยอะจริงนะ”

“...”

“พี่ณัฐกานต์บอกไม่ต้องมาไง...โอเค ๆ ให้มาก็ได้ แต่อย่าบอกพ่อนะ เดี๋ยวพ่อเป็นห่วง”

รพีกานต์เสียงอ่อนเมื่ออีกฝ่ายขู่จะบอกพ่อรพินทร์ ซึ่งรพีกานต์ไม่อยากให้พ่อเป็นห่วง จึงต้องยอมให้ณัฐธีร์มาดูให้แน่ใจ รพีกานต์วางสายก่อนจะหันมาหาคนที่ได้ยินทุกบทสนทนาเมื่อครู่

“พี่วินคงได้ยินแล้ว...ว่าพี่ณัฐจะมา”

รพีกานต์ไม่กล้าสบตาอัครวินท์ขึ้นมาดื้อ ๆ เหมือนคนมีความผิดติดตัว

“งั้นเดี๋ยวพี่กลับก่อน เจ้าของเขามาแล้วนี่ พี่จะอยู่ไปทำไม”

 อัครวินท์ทิ้งตัวลงนั่งปลายเตียงมือเสยผมอย่างหงุดหงิด

“ไม่ใช่นะครับพี่วิน กานต์กับพี่ณัฐไม่ได้เป็นอย่างที่พี่วินเข้าใจ จริงอยู่ที่พี่ณัฐขอจีบกานต์ แต่เราสองคนไม่เคยทำอะไรเกินเลยต่อกันนะครับ”

“หรือครับ”

 อัครวินท์ทำเสียงขึ้นจมูกเหมือนไม่อยากเชื่อ

“พี่วินเชื่อกานต์นะครับ กานต์กับพี่ณัฐไม่เคยมีอะไรกันจริง ๆ กานต์ผูกพันเห็นพี่ณัฐเป็นเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง”

รพีกานต์ละล่ำละลักอธิบายด้วยกลัวเขาจะคลางแคลงใจมากไปกว่านี้

“แล้วพี่ละครับ พี่เป็นอะไรสำหรับกานต์ บอกตรง ๆ ว่าพี่ไม่ชอบเลยที่เห็นพี่ณัฐเข้านอกออกในห้องกานต์ได้ตลอด แต่พี่กลับต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ เหมือนพวกชายชู้”

 อัครวินท์ตัดพ้อเหมือนน้อยใจนักหนา

“พี่วิน...ตอนนี้กานต์ยังตอบพี่วินได้ไม่เต็มปาก แต่ความรู้สึกของกานต์ที่มีต่อพี่วินแตกต่างกับพี่ณัฐแน่นอนครับ เพราะงั้นเชื่อใจกานต์นะครับ”

รพีกานต์เว้าวอน อัครวินท์จ้องร่างเล็กตรงหน้านิ่ง รู้สึกเสียศูนย์ไม่น้อยที่อุตส่าห์บุกถึงห้อง ฟัดจมเตียงจนจะได้ครอบครองตัวอยู่แล้วยังมีมารมาผจญ แถมมารตนนั้นยังสามารถทำให้เขาต้องเป็นฝ่ายระเห็จออกไปอีก รู้ถึงไหนอายถึงนั่น ใบหน้าหล่อเหลาหงุดหงิดจนแทบอยากจับคนตัวเล็กมาเขย่าแรง ๆ ให้หัวสั่นหัวคลอนนัก อุตส่าห์ไปศึกษาวิธีทำมาเสียดิบดีกะว่าได้เผด็จศึกแน่ ๆ ที่ไหนได้ ไอ้หมาวัดดันมาขัดขวาง

“โอเค พี่จะกลับก่อน”

อัครวินท์เดินเข้าไปใส่เสื้อผ้าชุดเดิมในห้อง มือเปิดประตูผัวะออกมาอย่างไม่สบอารมณ์นัก เขาพยายามระงับอารมณ์ขุ่นมัวไม่อาละวาดกับร่างเล็กทั้งที่ปกติไม่เคยต้องอดทนกับอะไรนาน ๆ อ้อยกำลังจะเข้าปากช้างแท้ ๆ ให้ตาย

“พี่วินเปลี่ยนชุดก่อนไหมครับ”

“ช่างมันเถอะ”

อัครวินท์จับลูกบิดประตูเตรียมจะเปิดออก ทว่าชายเสื้อที่ถูกรั้งไว้ทำให้หันมามอง

จุ๊บ

“ขับรถดี ๆ นะครับ”

สัมผัสแผ่วเบาแตะเรียวปากก่อนจะละออกอย่างรวดเร็ว เจ้าของรอยจูบยืนก้มหน้างุดตรงหน้า อัครวินท์ตะลึงไปชั่วครู่ไม่คิดว่ารพีกานต์จะเป็นฝ่ายรุกก่อน ก่อนมือหนาจะคว้าเอวบางเข้าใกล้พร้อมตะโบมจูบหนักหน่วงรุกรานทันที

อือ

หวานล้ำ รสชาติของรพีกานต์หวานล้ำจนไม่อยากหยุด อัครวินท์ดันร่างเล็กชิดประตู มือหนาล้วงเข้าไปลูบไล้สัมผัสแผ่นหลังเนียนนุ่มลื่นมือก่อนจะเลื่อนลงบีบขยำสะโพกนุ่ม ไฟปรารถนาถูกจุดจนคุโชนอีกครั้งพร้อมกระโจนเข้าหา

Tru Tru Tru

“อื้อ ! พี่วิน แฮก! พี่ณัฐจะมาแล้ว”

รพีกานต์ผลักร่างหนาออกหอบแฮกโกยอากาศเข้าปอด ไม่นึกว่าแค่จูบเบาๆ ปลอบใจเขาจะเลยเถิดมาขนาดนี้ เสื้อผ้าหลุดลุ่ยไปทั้งเนื้อทั้งตัวจนมองเห็นไหล่ลาดเนียนและยอดอกสีอ่อน

“พี่วินกลับไปก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวกานต์โทรหา”

รพีกานต์เงยหน้าขึ้นอ้อนวอน ใบหน้าสวยหวาน ดวงตาคลอฉ่ำด้วยหยาดน้ำ กลีบปากนุ่มบวมเจ่อ เสื้อผ้าหลุดลุ่ย สภาพน่ากระชากลงเตียงมากกว่าที่จะล่าถอยกลับไป แต่กระนั้นถ้าเขาหักหาญน้ำใจตอนนี้ที่หย่อนเบ็ดล่อคงจะพังหมด

“ก็ได้ พี่จะรอ”

อัครวินท์กระชากประตูห้องเปิดออกเดินลิ่ว ๆ ออกไปทั้งที่อารมณ์บางอย่างพลุ่งพล่านจนแทบคลั่งกับความต้องการในตัวรพีกานต์ คลั่งจนแทบอยากจะฆ่าคนที่ขวางทางทั้งที่เห็นสวรรค์รำไร ร่างใหญ่เหลือบมองณัฐีร์ที่กำลังนั่งรอรพีกานต์ที่ม้านั่งหน้าอะพาร์ตเมนต์อย่างหัวเสีย นึกอยากจะเดินลิ่วเข้าไปตะบันหน้ามันให้หน้าหันนัก

“หมูเขาจะหาม ดันเสร่อเอาคานเข้ามาสอด ไอ้คาน”


 :katai2-1:
 วินหื่นจริงไรจริง กระทิงกลัดมัน
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๘ กระทิงหื่นกลัดมัน)(๒๗/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 27-03-2016 11:57:26
ติดตามมมมมมม จะเป็นแฟนคลับตัวยงเลยค่ะ เขียนดีทุกเรื่องเลยยยยยยยย :m1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๘ กระทิงหื่นกลัดมัน)(๒๗/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: LapiN ที่ 27-03-2016 12:50:04
รอเลยค่ะ นายวิน เลวไว้ให้เต็มที่ เด๊ยวถึงเวลาจะได้รู้สึกเยอะๆ หึหึ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๘ กระทิงหื่นกลัดมัน)(๒๗/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 27-03-2016 13:25:57
 :katai1: อึดอัดเหมือนเดิม รอเวลาเตะนังแหลวินออกไปจากเรื่อง

คิดว่าวินคงไม่ใช่พระเอก แต่เป็นตัวร้ายที่มาสร้างปมให้กานต์มากกว่า
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๘ กระทิงหื่นกลัดมัน)(๒๗/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 27-03-2016 14:34:23
คู่พ่อก็น่าสงสาร พ่อเปิดใจเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๘ กระทิงหื่นกลัดมัน)(๒๗/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 27-03-2016 15:54:00
กานต์ไม่ทันเล่ห์ของวินจริงๆ คงเป็นเพราะสิ่งแวดล้อมของกานต์กับวินแตกต่างกันมากๆ
  รอ รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๘ กระทิงหื่นกลัดมัน)(๒๗/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 27-03-2016 16:35:28
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๙)(๒๗/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 27-03-2016 19:14:56
เสน่หา...รักเอย ตอนที่๙


“กานต์เป็นยังไงบ้าง ไปหาหมอไหม”

ณัฐพุ่งพรวดเข้าหาตอนที่รพีกานต์เปิดประตูออกมารับ น้ำเสียงร้อนรนรัวถามด้วยความห่วงใยมากมายจนน้องน้อยรู้สึกผิดไม่กล้าสบตา เมื่อได้โป้ปดไปแล้วครั้งหนึ่งก็ย่อมจะต้องมีครั้งสองตามมา
   
“ดีขึ้นแล้วครับ เดี๋ยวไปคุยบนห้องนะ”

รพีกานต์เบือนหลบสายตาณัฐธีร์อย่างรู้สึกผิดเต็มเปี่ยม ร่างโปร่งพาพี่ชายวัยเยาว์เข้ามาคุยในห้องด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในใจ
   
“คราวหน้ามีอะไรกานต์ต้องบอกพี่รู้ไหม ให้พี่รู้จากคนอื่นแบบนี้ พี่เป็นห่วงกานต์มากเลยนะครับ”

 ณัฐธีร์วาดมือโอบตัวบางรั้งเข้าแนบอกพลางลูบกลุ่มผมนุ่มอย่างอ่อนโยน รพีกานต์ผละออกโดยละม่อมเงยหน้าขึ้นสบตากับพี่ชาย

“พี่ณัฐ กานต์ขอโทษ คือกานต์...”

รพีกานต์กระอักกระอ่วนที่จะสารภาพ ยิ่งเห็นแววตาอ่อนโยนที่มองทอดมาสุดลึกซึ้งก็ยิ่งรู้สึกน้ำท่วมปากพูดไม่ออก
   
“คือกานต์...”
   
“ไม่เป็นไรหรอก พี่ไม่ได้โกรธหรือดุกานต์นะ พี่แค่เป็นห่วงกานต์มากไปก็เท่านั้น พี่เจอรินที่โรงอาหาร รินบอกอยู่ ๆ กานต์ก็พรวดพราดออกมา พี่ก็เลยรีบมาหา กลัวกานต์เป็นอะไรมาก กานต์นอนพักนะครับคนดี เดี๋ยวพี่จะอยู่เป็นเพื่อน กานต์มีพี่อยู่ตรงนี้แล้ว ไม่เป็นไรนะครับ”

ณัฐธีร์ปลอบน้องเสียงนุ่ม

“พี่ณัฐ...”

รพีกานต์ครางชื่อพี่ชายเสียงแผ่ว ความดีของณัฐธีร์บีบคั้นความรู้สึกอัดอั้นเหมือนคนขาดอากาศ มีคนแสนดีขนาดนี้อยู่ตรงหน้า แต่หัวใจไม่รักดีกลับหวั่นไหวให้ใครอีกคนเสียได้ แค่ได้อยู่ใกล้อัครวินท์ สมองก็พลันลืมสิ้นทุกอย่าง ทำไมเป็นคนแบบนี้นะรพีกานต์

“ชู่ พี่รับปากกับคุณพ่อของกานต์แล้วไงครับ ว่าจะดูแลน้องน้อยของพี่ให้ดี เพราะงั้นถ้าเป็นเรื่องของกานต์ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่พี่ก็ปล่อยผ่านไปได้หรอก”

ณัฐธีร์ลูบศีรษะทุยอย่างเอ็นดู สายตาอ่อนโยนทอดมองน้องน้อยตรงหน้าอย่างรักใคร่สุดหัวใจ ทว่ารพีกานต์กลับรู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ขึ้นมาเสียดื้อ ๆ

“พี่ณัฐดีกับกานต์ขนาดนี้ กานต์กลัวกานต์จะรับไว้ไม่ไหว กานต์กลัว...กานต์จะทำให้พี่ณัฐเสียใจ”

 รพีกานต์เสียงสั่นพร่าพรั่งพรูความรู้สึกปวดหน่วงออกมา หัวใจพิศุทธิ์ดวงน้อยเหมือนถูกบีบคั้นรุนแรงเกินกว่าจะทานทนไหว ร่างกายสั่นระริกราวลูกนกตัวน้อย ๆ ขาดไออุ่นจนณัฐธีร์รู้สึกได้

“โอ๋ เด็กน้อยคิดมากเรื่องนี้เองหรอกหรือ ปล่อยตามสบายเถอะครับ เวลานี้กานต์ควรจะตั้งใจเรียนมากกว่านะ”

ณัฐธีร์ปลอบโยนร่างเล็กไม่อยากให้ต้องคิดมาก พลางคิดทบทวนในใจว่าเขารุกหนักน้องน้อยมากไปไหม เขาประกาศโจ่งแจ้งต่อใคร ๆ เพื่อกันท่าคู่แข่งทุกคนออกไปจากวงโคจรแถมตามประกบแจไม่ห่าง อาศัยความผูกพันแต่เยาว์วัยรัดรึงหัวใจน้องน้อยเอาไว้กับเขาแต่เพียงผู้เดียว รพีกานต์คือดวงอาทิตย์ส่องสว่างเพียงดวงเดียวในชีวิตของเขา ดวงอาทิตย์ที่รักของณัฐธีร์

“ครับพี่ณัฐ กานต์จะตั้งใจเรียน”

รพีกานต์ตอบเสียงแผ่วขณะซบหน้าลงซุกอกพี่ชาย ไม่วายสายตาเหลือบมองโทรศัพท์มือถืออย่างกังวล

“พี่เองก็จะพยายามให้มาก พยายามมากกว่าคนอื่น ๆ เพราะต้นทุนมีน้อยกว่าใคร ๆ พี่เลยต้องหามาเติมให้มากหน่อย พี่อยากมีงานทำแล้วก็ดูแลกานต์ให้ดีได้สักครึ่งของคุณรพินทร์ การตั้งใจเรียนคือความรับผิดชอบขั้นแรกที่พี่จะแสดงให้คุณพ่อของกานต์ได้เห็นและวางใจในตัวพี่”

 ณัฐธีร์ยกยิ้มโยกตัวบางในอ้อมกอดเบา ๆ พลางวาดฝันแสนงาม ดวงตาคมหลุบมองคนในอ้อมอก ก่อนประทับจูบแผ่วเบาลงบนหน้าผากเนียนอย่างทะนุถนอม ร่างสูงกระชับอ้อมกอดโยกตัวบางปลอบโยนอย่างทุกครั้งที่น้องน้อยขวัญเสีย ณัฐธีร์ไม่เคยละลาบละล้วงไปมากกว่านี้ รพีกานต์ดวงตาสั่นระริก อ้อมกอดพี่ชายอุ่นซ่านในความรู้สึกไม่เสื่อมคลาย ทว่าหัวใจขบถกลับไพล่ถวิลหาอีกคน ร่างกายร้อนผ่าววูบวาบราวนาบด้วยเปลวไฟทุกครั้งที่เข้าใกล้เขา ลมหายใจอุ่นผ่าวรินรดผิวแก้มใสยามเขาโน้มกระซิบถ้อยมธุรสหวานหูพาหัวใจเผลอเตลิดตามทุกครั้ง กายหนุ่มแน่นร้อนระอุเจือกลิ่นน้ำหอมราคาแพงแผ่ซ่านรัญจวนพาใจสั่นหวิวหลุดการควบคุมตัวเอง...พี่วิน

“กานต์ น้องกานต์ครับ”

ณัฐธีร์สะกิดตัวบางของคนเหม่อลอยในอ้อมแขน

“คะ ครับ พี่ณัฐ”

รพีกานต์สะดุ้งโหยง รีบดึงสติกลับ เผลอลืมตัวไปเสียได้ทั้งที่อยู่ในอ้อมกอดพี่ชายแท้ ๆ

“ยังปวดอยู่หรือครับ”

 ณัฐธีร์โน้มใบหน้าลงแปะหน้าผากตัวเองอังหน้าผากมน จำได้ว่าน้องน้อยเคยปวดท้องเพราะอาหารเป็นพิษจนมีไข้อ่อน ๆ มาแล้ว ชายหนุ่มจึงอดกังวลไม่ได้ ใบหน้าหล่อคมสันถอนออกจ้องมองใบหน้าหวาน

“ตัวไม่ร้อน กานต์นอนพักนะครับ”

ชายหนุ่มพาน้องน้อยไปส่งห้องนอนพร้อมห่มผ้าคลุมให้เรียบร้อย ใบหน้าหล่อเหลายิ้มอ่อนมองคนตรงหน้า มืออุ่นปัดปอยผมปรกหน้าให้น้องน้อย ชีวิตเด็กกำพร้าที่ถูกนำมาทิ้งวัดตั้งแต่เพิ่งจะลืมตาดูโลก แค่มีแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวอย่างรพีกานต์ ณัฐธีร์ก็มีกำลังใจที่จะมุมานะต่อสู้กับชีวิตเพื่อยอดสิเน่หาเพียงหนึ่งเดียวของเขาแล้ว

“เดี๋ยวพี่จะอ่านหนังสือ ทำรายงานด้านนอก กานต์มีอะไรก็เรียกพี่นะ พี่จะเปิดประตูแง้มไว้”

ณัฐธีร์จูบหน้าผากเนียนส่งน้องเข้านอนอีกหน ร่างสูงเหยียดตัวเต็มความสูงก่อนจะผละห่างออกไปให้น้องน้อยได้พักผ่อน
รพีกานต์กระสับกระส่ายพลิกตัวไปมาบนเตียง สายตาคอยแต่จะจดจ้องโทรศัพท์ไม่วางตา แรงขับเคลื่อนบางอย่างกระตุ้นให้กระวนกระวายใจเฝ้านึกถึงแต่อีกคน รสจูบแรกที่ได้สัมผัสร้อนแรงวาบหวามเหมือนจะกระชากวิญญาณออกจากร่าง ยามลิ้นร้อนเกี่ยวรัดดูดดุนลิ้นเล็กไม่ประสีประสา รพีกานต์ซาบซ่านวาบหวิวเหมือนตัวจะลอย สมองขาวโพลนมึนงงไปชั่วขณะ เคยแอบอ่านนิยายอีโรติกบทวาบหวามที่พ่อแต่ง

ยามชายหนุ่มบดเบียดริมฝีปากร้อนผ่าวมอบจุมพิตปรารถนาสุดร้อนแรงราวกับจะช่วงชิงลมหายใจ จนหญิงสาวอ่อนระทวยเป็นลูกไก่ในกำมือ ความร้อนคั่งกดแทรกลงยังกลีบฉ่ำเรียกเสียงสูดปากด้วยความสยิวจากเจ้าหล่อน...

แก้มขาวแดงซ่านอย่างเขินอาย ตอนนั้นรพีกานต์อ่านไปก็ครุ่นคิดตามไปทุกตัวอักษรแต่ก็ไม่ใคร่เข้าใจนัก จนได้สัมผัสด้วยตัวเองในวันนี้กับรสจูบแรกที่อัครวินท์มอบให้ รสปรารถนาลึกล้ำหวามไหวสะกดหัวใจให้ดำดิ่งลงไปสู่ความลุ่มหลงร้อนรุ่ม ยิ่งนึกถึงสรีระเกาะพราวด้วยหยดน้ำของเขาแก้มขาวก็ยิ่งร้อนวูบวาบ สมองคิดเตลิดไปถึงตอนที่เรือนร่างสมบูรณ์แบบขยับอยู่บนตัว...

แนวฟันขาวเผลอขบริมฝีปากล่าง มือบางเผลอขยำผ้าปูที่นอนด้วยความลืมตัว

“...กานต์ กานต์ครับ”

ณัฐธีร์เขย่าเรียกเบา ๆ รพีกานต์สะดุ้งรีบดึงสติปรับสีหน้าพัลวัน

“ทำไมหน้าแดง ๆ อืม เหมือนตัวจะอุ่นขึ้นนะ กานต์ไปหาหมอเถอะ เดี๋ยวพี่อุ้มไปขึ้นรถนะ”

ณัฐธีร์เอ่ยหน้าซื่อมองใบหน้าซับสีเลือดด้วยความเป็นห่วง รพีกานต์หน้าม้านเมื่อได้ยิน ความละอายใจเกาะกุมหัวใจหนักอึ้ง ที่หน้าแดงไม่ใช่เพราะป่วยแต่มาจากสาเหตุอื่นต่างหาก

“กานต์ไม่เป็นไรครับ นอนพักอีกเดี๋ยวก็คงดีขึ้น”

“งั้นกานต์อยากกินอะไรไหม เดี๋ยวพี่ไปซื้อมาให้”

ณัฐธีร์ถามอย่างเอาใจเช่นทุกที

“ไม่ละครับ กานต์ไม่อยากอุดอู้อยู่แต่ในห้อง เดี๋ยวออกไปกินข้างนอกดีกว่า”

“โอเค งั้นพี่ไม่กวนละ”

ณัฐธีร์ผละไปโดยแง้มประตูห้องนอนเอาไว้นิดหน่อยเช่นเคย รพีกานต์หยิบโทรศัพท์ขึ้นเช็กดูความเคลื่อนไหวจากอีกฝ่าย

“ไม่มีข้อความจากพี่วินเลย”

ร่างโปร่งพึมพำเบา ๆ อดรู้สึกผิดหวังเล็ก ๆ ไม่ได้

“หรือว่าพี่วินจะโกรธมาก”

นิ้วเรียวคลึงปากนุ่มอย่างครุ่นคิด อีกใจก็รู้สึกผิดต่อณัฐธีร์นักหนา จะเดินหน้าหรือหยุดที่ความฉาบฉวยนี้ดีหนอ มือบางหยิบโทรศัพท์ขึ้นดูอย่างลังเลก่อนตัดสินใจพิมพ์ข้อความหา

“พี่วิน กานต์ขอโทษเรื่องพี่ณัฐนะครับ”



กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง ๆ ๆ ๆ

เสียงกดกริ่งรัวหน้าประตูห้องอย่างไม่กลัวถูกเฉ่งบ่งบอกอารมณ์เอาแต่ใจของคนกด และความสนิทสนมกับเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี ประตูห้องเปิดออกผลัวะด้วยสีหน้ายุ่งของเจ้าของห้อง ก่อนดวงตากรีดอายไลเนอร์เฉี่ยวจะเบิกกว้างอย่างคนเจอเรื่องเซอร์ไพรส์

“ว้าว ลมที่ไหนหอบสุดหล่อมาหากันกลางวันแสก ๆ ได้เนี่ย”

“ถามมากน่า”

อัครวินท์ดันร่างอวบอัดกลับเข้าไปในห้องก่อนจะตะโบมปิดปากช่างจ้อด้วยความอยากอันร้อนระอุในตัวที่คั่งค้างมาจากรพีกานต์ ปลายลิ้นช่ำชองต่างโรมรันกันและกัน ต่างฝ่ายต่างช่วยกันสลัดเสื้อผ้าออกจากร่างกาย กายแน่นเปลือยเปล่าบดเบียดความเร่าร้อนกระสันอยากโจจ้วงลงในร่างกายอวบอิ่ม เขาไม่ได้มีรสนิยมชมชอบผู้ชาย ทั้งรังเกียจขยะแขยงและชิงชังนับแต่เจอภาพนั้นบนเตียงเมื่อวัยเด็ก

พ่อของเขากับไอ้ตัวสารเลว

‘รพินทร์’

ชื่อของชายชู้ที่เขียนบรรจงไว้ข้างหลังรูป เจ็บใจอะไรก็ไม่เท่าเห็นพ่อเอากับไอ้ตัวผู้ด้วยกันนี่ละ เป็นชู้เป็นเตียงไม่พอ พ่อยังเทิดทูนมันขนาดเก็บรูปไว้ในกระเป๋าสตางค์ เขาในวัยแตกหนุ่มพานเลือดกำลังร้อนบังเอิญเห็นเข้า เอาออกมาฉีกทำลายจนถูกพ่อตั๊นหน้าหัน อัครวินท์ขบกรามกรอดจ้องบุพการีด้วยสายตาวาวโรจน์อย่างโกรธจัด บ้านอิศวัชร์ร้อนระอุเป็นไฟ พ่อลูกมองหน้ากันไม่ติดมานับแต่นั้น

“เชี่ยวินคิดถึงใครอยู่วะ แกเอากับฉันอยู่นะเนี่ย”

 เสียงหวานห่ามเรียกดึงสติร่างที่เผลอหลุดเข้าโลกส่วนตัวตอนเข้าด้ายเข้าเข็ม อัครวินท์รู้สึกตัวจัดการบรรเลงให้เจ้าหล่อนเก็บปากไว้ร้องครางแทนการส่งเสียงถามน่ารำคาญ

ปึก ปึก ปึก อาห์

“ซี้ด วิน แกไปอดอยากที่ไหนมา ตะกละชะมัด”

 พูดไปแต่ก็ชอบใจนักกับลีลาความอึดของอีกฝ่าย ทั้งหน้าตา ลีลาที่จัดว่าโคตรเด็ด เสียอย่างเดียว คนอย่างอัครวินท์ฟันแล้วทิ้ง ไม่คิดจริงจังกับใคร แค่สนุกชั่วครั้งชั่วคราว

อัครวินท์มองร่างบิดเร่าตรงหน้า นึกภาพตนเองทำกับผู้ชายแล้วแขยงจนแทบหมดอารมณ์ แต่พอนึกภาพเป็นใบหน้าหวานของรพีกานต์ยามครวญครางใต้ร่างเขา กายเล็กบิดเร่าด้วยความกระสันเสียวในรสสวาท น้ำเสียงกระเส่ายามถูกแผดเผาด้วยไฟรัญจวน อยากรู้นักว่าจะเป็นแบบไหน อยากได้! อยากได้จนจะบ้าอยู่แล้ว ไม่เคยที่คนอย่างอัครวินท์จะต้องรออะไรนานขนาดนี้ อัครวินท์ฮึดฮัดกัดฟันกรอดเดินหน้าปลดปล่อยความร้อนคุคั่งออกจากร่างกายก่อนจะคลั่งตายเพราะความอยากได้ในตัวรพีกานต์


“พี่วิน กานต์ขอโทษเรื่องพี่ณัฐนะครับ”

ข้อความไลน์ที่ส่งไปนานหลายชั่วโมงก็ยังไม่ขึ้นว่า ‘อ่านแล้ว’ เสียที จนคนส่งใจแป้วนอนคอยแล้วคอยเล่าเฝ้าถอนหายใจเฮือก ๆ

“เฮ่อ ส่งข้อความไปตั้งนานแล้ว พี่วินยังไม่เปิดอ่านเลย หรือพี่วินจะโกรธน้องกานต์แล้ว”

น้ำเสียงหดหู่เศร้าสร้อย หัวใจดวงน้อยมีแต่ความกังวลอย่างคนเจอทางตัน ครั้นจะหักหาญน้ำใจพี่ชายเห็นสายตาณัฐธีร์ทีไรก็น้ำท่วมปาก ครั้นจะปลีกตัวหนีจากอัครวินท์ แค่คิดหัวใจก็แทบพังภิณท์กระวนกระวายคล้ายคนจับไข้

“เฮ่อ แล้วต้องทำยังไงละเนี่ย”

คิดถึงอดีตยามเยาว์กับพี่ชายแล้วก็พาลใจร้ายไม่ลง วันที่หกล้มข้อเท้าแพลงได้ขี่หลังพี่กลับบ้าน รองเท้านักเรียนเชือกหลุดลุ่ยพี่ชายก็ก้มลงผูกเชือกให้ ขี่จักรยานซ้อนท้ายพี่ชายปั่นน้องน้อยก็คอยป้อนลูกชิ้นเติมพลัง เที่ยวงานกาชาดดูรถไต่ถังตื่นเต้นจนเผลอจับมือพี่ชายแน่นฝ่ามือชื้นเหงื่อ  การบ้านยาก ๆ ก็ได้พี่ชายช่วยสอน  ยามถูกข่มเหงก็ได้พี่ชายปกป้อง แถมกลับวัดไปพี่ยังต้องโดนหวายหลวงตาเฆี่ยนอีกหลายหน เจ็บตัวซ้ำสอง ความผูกพันที่เหมือนสายใยโอบพันรอบกาย ทำอย่างไรบัวถึงจะไม่ช้ำ น้ำถึงจะไม่ขุ่นตม

“พี่วินกานต์ต้องทำยังไง”

 เสียงนุ่มพึมพำ นิ้วเรียวลูบคลึงริมฝีปากอย่างเผลอไผล นึกถึงสายตา น้ำเสียงถ้อยกระซิบ ลมหายใจร้อนผ่าว สัมผัสอุ่นซ่านจากมือหนาที่ลูบไล้เรือนกาย แก้มขาวร้อนวูบวาบ รพีกานต์รีบสลัดความคิดทะลึ่งออกไปด้วยความขวยเขิน ถอนหายใจอีกหนล้มตัวลงนอน สายตาจดจ่อไม่คลาดจากโทรศัพท์ จ้องนานมากปากก็เริ่มหาวหวอด เผลอหลับไม่รู้ตัว โดยที่คล้อยหลังจากรพีกานต์หลับไปแล้ว ข้อความในไลน์จึงขึ้นว่า ‘อ่านแล้ว’


“อ่านแล้วแต่ไม่ตอบ คอยดูว่ากระต่ายขี้ตกใจจะทำยังไงต่อ”

อัครวินท์ยกยิ้มอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุกที่ตนเองเป็นต่อ ขายาวปลีน่องตึงแน่นวาดลงพื้นหยัดยืนเต็มความสูงทั้งร่างเปลือยเปล่าสมบูรณ์แบบไร้ตำหนิ ราวผลงานชิ้นเอกที่สลักเสลาอย่างประณีต มือหนาหยิบเสื้อผ้าที่กองกระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นสวม เช็กความเรียบร้อยหน้ากระจกก่อนจะหย่อนโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง มือคว้ากุญแจรถเปิดประตูออกจากห้อง เดินฉิวผิวปากหวือ ในหัวก็คิดถึงเรื่องสนุกไปด้วย นึกถึงสีหน้ากระวนกระวายของกระต่ายตัวน้อย ๆ ในกำมือ แค่นี้เขาก็รู้สึกสนุกครื้นเครงอย่างบอกไม่ถูกเพราะรพีกานต์อ่านได้ง่าย ๆ จากสีหน้าที่แสดงออก มือหนาเปิดประตูเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย ดวงตาคมคายกลอกไปมาอย่างใช้ความคิดก่อนจะต่อสายหาน้องรหัสที่พักอะพาร์ตเมนต์เดียวกับรพีกานต์ คนที่เคยเป็นกามเทพนำดอกแก้วไปให้รพีกานต์ในคราวก่อน

“โย่ว ป๋าวินโทรมาจะนัดเลี้ยงหรือครับสุดหล่อ เอาแบบคราวก่อนได้มั้ยป๋า ที่ป๋าพาไปเลี้ยงเหล้าเคล้าฮาเร็มสาวสวยอ่ะ แต่ละคนของป๋านี่ อื้อหือ ปาดน้ำลายแผล็บ เด็ด ๆ ทั้งนั้น”

น้องรหัสสายพันธุ์เดียวกันเปิดฉากพล่ามเสียงทะเล้น

“ไอ้ห่า เดี๋ยวกูให้โพยเบอร์ ไอจี ไอดีไลน์ มึงอยากได้คนไหนก็ไปเต๊าะเอา แต่ตอนนี้ช่วยไรกูก่อนดิวะ”

 อัครวินท์ปรามก่อนอีกฝ่ายจะออกทะเล สายรหัสเสือสายพันธุ์ดุและม่อเก่งเป็นตำนานตั้งแต่ปู่ยันหลานรหัส

“ช่วยไรอ่ะป๋า”

น้องรหัสหูกระดิก รู้ดีว่าป๋าวินท์ไหว้วานอะไรแล้วของตอบแทนลาภปากเสมอ ลูกชายเจ้าของธนาคาร ส่วนแม่ทำธุรกิจโรงแรมและห้างสรรพสินค้าในเครือรวมไปถึงบริษัทเครื่องเพชรและจิวเวลี อัครวินท์ยกยิ้มร้ายก่อนจะเอ่ยไหว้วานบางอย่างออกไป

“เรียบร้อยแล้วคืนนี้มึงไปแดกร้าน XX ก็ลงบัญชีกูไว้ เดี๋ยวกูไปเคลียร์”

“โอเคป๋า ว่าแต่ว่าเดี๋ยวนี้เปลี่ยนแนวหรือไง ติดใจความแน่นประตูหลังละซี ผมนี่ลองแล้วอย่างฟินอ่ะ ฟิตดีเป็นบ้า แต่กานต์นี่แฟนเขาเป็นรุ่นพี่วิศวะ ปีสามนี่ หูย กี่ตีนวะนั่น”

“ไอ้ห่า ไม่ต้องสอดรู้เลยมึง เดี๋ยวกูโบกให้”

เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดังมาตามสาย มือหนากดตัดสายดื้อ ๆ เสร็จเรื่องราวเพลย์บอยหนุ่มจึงสตาร์ตรถกลับคอนโดไปอาบน้ำแปลงโฉมใหม่หล่อเฟี้ยวให้บางคนใจสั่นเล่น




“ไปปั่นจักรยานเล่นกันไหม เดี๋ยวพี่เล่นกีตาร์ให้ฟังด้วย”

ณัฐธีร์เอ่ยถามน้องน้อยที่อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยในชุดใหม่ รพีกานต์พยักหน้าหงึกเดินเคียงพี่ชาย ในใจคอยพะวงกับข้อความในไลน์ที่อัครวินท์อ่านแล้วแต่ไม่ตอบอะไรกลับมาคล้ายว่าขุ่นเคืองใจ แค่คิดว่าพี่วินจะไม่พอใจ น้องกานต์ก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว

“รอตรงนี้นะ เดี๋ยวพี่ไปเอาจักรยานแป๊บ”

พาหนะลดโลกร้อนสองล้อมือสองขี่มาเทียบใกล้คนซ้อนหน้าใส ณัฐธีร์ยิ้มหวาน รพีกานต์รับกระเป๋าสะพายกีตาร์โปร่งหลุดจำนำมาถือให้พร้อมขึ้นนั่งซ้อนหลัง ณัฐธีร์แวะซื้อลูกชิ้นปิ้ง น้ำหวานกับขนมให้คนเป็นน้องไว้กินเล่น รถจักรยานสองล้อแล่นไปตามถนนด้วยหัวใจพองฟูของคนปั่นแต่หัวใจคนซ้อนกลับลีบแฟบพิกล ทั้งที่สายตาหลายคู่ต่างมองมาที่ทั้งคู่อย่างอิจฉาแกมชื่นชม เพราะณัฐธีร์เองก็จัดว่าหน้าตาดีและฮอตในหมู่สาว ๆ หนุ่ม ๆ ไม่น้อย ทั้งเรียนเก่ง ใจดี แถมไม่เจ้าชู้ สาว ๆ เลยยิ่งปลื้มหนัก แต่เจ้าตัวก็ไม่มีทีท่าว่าจะสนอกสนใจคนไหนจนรพีกานต์ปรากฏตัว

“ตรงนี้เลย”

ณัฐธีร์จอดจักรยานในสวนที่นิสิตชอบมานั่งเล่น หรือออกกำลังกายกันตอนเย็น ๆ ร่างสูงกุลีกุจอปูเสื่อให้นั่ง มือหนารับแก้วน้ำจากมือบางมาดูด แย่งลูกชิ้นน้องกิน สำราญใจแล้วจึงเริ่มเกากีตาร์เบา ๆ บรรยากาศยามเย็นแดดร่มลมตกกำลังสบาย รพีกานต์เอนกายลงนอนมองฟ้า มีเสียงกีตาร์สบาย ๆ คอยดูแลอยู่ข้างๆ

“พี่ณัฐ พี่ณัฐว่าระหว่างคนที่ดีกับคนที่รัก พี่ณัฐจะเลือกคนไหน”

รพีกานต์ผินหน้ามาถามคำถามพี่ชาย

“พี่เลือกคนที่พี่รัก”

ณัฐธีร์ตอบอย่างไม่ลังเล มือหนาวางกีตาร์ลงก่อนจะเอี้ยวตัวหันไปทำบางอย่างหยุกหยิก คนแสนดีเฉลยความสงสัยด้วยแหวนถักดอกหญ้าวงเล็กที่บรรจงสวมเข้านิ้วเรียวของรพีกานต์

“ตอนนี้พี่ให้กานต์ได้แค่นี้ กานต์รอพี่นะ เรียนจบมีงานทำแล้วพี่จะซื้อแหวนวงที่ดีกว่านี้ให้กานต์”

ณัฐธีร์กุมมือบาง สายตาแน่วแน่มั่นคงสบดวงตางามแสดงให้เห็นถึงถ้อยคำมั่น รพีกานต์น้ำตารื้นจนภาพพี่ชายพร่าเบลอไปหมด หัวใจคนเปลี่ยนสั่นไหว ที่อยากจะพูดก็พูดไม่ออกเหมือนมีก้อนอะไรแล่นมาจุกอยู่ที่คอ ที่อยากจะบอกกับพี่ชายก็กลายเป็นไม่กล้า ไม่กล้าทำให้พี่ชายเสียใจ เพราะรู้ดีว่าตนเองคือดวงตะวันเพียงดวงเดียวในใจพี่ชายตลอดมา รพีกานต์ไม่กล้าพอที่จะหักดิบดับแสงสว่างเพียงดวงเดียวในชีวิตของณัฐธีร์ หยดน้ำตาร่วงเผาะลงบนแหวนดอกหญ้า ไม่มีคำพูดใดจากปากรพีกานต์ มีเพียงรอยยิ้มเคล้าหยาดน้ำตาของน้องน้อย

ติ๊ง

เสียงข้อความไลน์ดังแทรก รพีกานต์ล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมาดูก่อนจะตาโตรีบเข้ารหัสเครื่องเปิดอ่านข้อความข้างใน รูปรพีกานต์กำลังนอนมองฟ้าเมื่อครู่คือภาพที่อัครวินท์ส่งมาให้ ใบหน้าขาวกวาดสายตามองหาโดยรอบกลับไม่พบตัวคนส่งภาพแต่อย่างใด

“กานต์มองหาอะไรหรือ”

ณัฐธีร์ถามอย่างสงสัยพลางกวาดสายตามองตามไปด้วย

“ไม่มีอะไรครับ พอดีมีคนแกล้งกานต์”

รพีกานต์บอกปัดด้วยหัวใจเต้นกระหน่ำ

“แล้วกานต์หิวยัง อยากกินอะไรดี ไปร้านเดิมไหม”

ณัฐธีร์ถามหน้าซื่อ รพีกานต์เพียงพยักหน้าตอบรับ สองร่างลุกขึ้นเก็บของ ณัฐธีร์พาสองล้อออกตัวแล่นไปข้างหน้า ทว่าคนซ้อนไม่วายหันกลับมาเหลียวหาคนแอบถ่ายรูปส่งให้



กับข้าวสามอย่างยกมาเสิร์ฟควันฉุยส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย ณัฐธีร์ตักชิ้นเนื้อปลาของโปรดให้น้องน้อยอย่างรู้ใจ รพีกานต์เอ่ยขอบคุณพร้อมตักผัดเห็ดให้พี่บ้าง ความเอาใจใส่ของณัฐธีร์ไม่เคยพร่องลง มีแต่เพิ่มขึ้น พอ ๆ กับหัวใจรพีกานต์ที่หวั่นไหวให้ใครอีกคนเพิ่มขึ้นเช่นกัน

“พี่วิน!”

เสียงแผ่วหลุดอุทาน รพีกานต์ตัวชาดิก หัวใจหวิวเมื่อร่างสูงใหญ่ที่เดินผ่านไปทิ้งตัวลงนั่งหันหน้ามาทางรพีกานต์ในโต๊ะถัดไป อัครวินท์สบตากับเจ้าของนัยน์ตาหวานแวบหนึ่งก่อนมองเมินผ่านไปเหมือนคนไม่รู้จักกันขณะหันไปคุยกับเพื่อนเด็กบริหารฯด้วยกัน รพีกานต์หน้าชาเหมือนถูกตีแสกหน้า ขอบตาร้อนผ่าว ดวงตาหม่นหลุบลงมองจานข้าวซ่อนอาการใจเสีย

“เห็ดเข็มทองผัดเนยของโปรดกานต์อร่อยมากเลย”

ณัฐธีร์ตักเมนูโปรดวางลงจานน้องน้อยอย่างเอาใจ รพีกานต์เอ่ยขอบคุณเสียงแผ่วพยายามเก็บซ่อนอาการสั่นไม่ให้ใครเห็น มือตักข้าวเข้าปาก สายตาสั่นไหวลอบมองอีกฝ่ายที่แสดงท่าทีเมินเฉยชัดเจน

“พี่วินโกรธกานต์หรือครับ กานต์ไม่รู้ว่ากานต์ต้องทำยังไงจริง ๆ”

ข้อความไลน์ถูกส่งไปให้ อัครวินท์เพียงแต่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ตวัดสายตามองคนส่งแวบหนึ่ง ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าแล้วหันไปสนใจเพื่อน ๆ ที่มาด้วยกันต่อ


 :hao3:  o18

วินเอ้ย เรตติ้งแกดีจริง ๆ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๙)(๒๗/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 27-03-2016 20:24:35
เกลียดอีพวกรู้ดีเวลาจีบหญิงอ่ะ เกลียดมากๆ คิดว่าช่ำชองนักเหรอห๊า!!
สงสารพี่ณัฐ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๙)(๒๗/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 27-03-2016 22:37:28
นึกถึงเพลงนี้เลย  " รักทำไมให้เจ็บให้ช้ำ รักทำไมกับคนไม่ดี คนดีๆทำไมไม่รัก " สงสารจริงๆ ทำไมคนเราชอบคนเลว ก็คงเพราะคนเลวชอบเอาใจและหลอกล่อเราเหมือนกับวินที่ขยันมีลูกล่อลูกชน ขณะที่ณัฐดูธรรมดา ทั้งที่ณัฐทั้งดีทั้งจริงใจ สงสารกานต์จริงๆ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๙)(๒๗/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 27-03-2016 22:41:20
วินนี่ไม่ใช่พระเอกใช่ไหม?  เลวเกินค่ะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๙)(๒๗/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: athena_tiew ที่ 27-03-2016 23:47:37
เสน่หานี้ จะไม่ช้ำซ้ำสองใช่ไหมคะ 
ที่วินคิดร้ายกับกานต์เพราะเห็นว่าน้องสาวทำท่าจะหลงกานต์ใช่หรือเปล่า 
คงไม่ใช่เพราะรู้ว่ากานต์เป็นลูกพ่อรพินทร์นะ 
เพราะถ้าวินจะไม่ชอบเพศที่สาม ก็ไม่น่าจะเจาะจงแค่กานต์คนเดียว 
 นอกจากน้องกานต์ กับพี่ณัฐ เราว่าพ่อรพินทร์ ต้องเจ็บมากกว่าใครแน่ ถ้ารู้ว่าวินเป็นลูกใคร
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๙)(๒๗/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 28-03-2016 00:54:47
บทเรียนราคาแพงของกานต์กำลังดำเนินไปตามทางของมัน เพราะคนๆเดียว ไอ้วิน
  รอ รออ่านตอนต่อไปคับ คนๆเดียวที่ชื่อ ไอ้วิน มันจะทำร้ายใจใครบ้าง
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๙)(๒๗/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 28-03-2016 01:12:51
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๙)(๒๗/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 28-03-2016 03:03:19
ติดตามค่ะ หวังว่าไม่เจอมุกลูกเรียกร้องหาพ่อกับถูกชักจูงง่ายนะคะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๙)(๒๗/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 28-03-2016 08:29:52
ติดตามค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๐)(๒๗/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 28-03-2016 10:09:35
เสน่หา...รักเอย ตอนที่๑๐


รพีกานต์ปั้นหน้าเหมือนจะร้องไห้ตอนถูกเมิน ขอบตาร้อนผ่าว ลำคอตีบตันพาลกลืนอะไรไม่ลงเอาเสียดื้อ ๆ จนณัฐธีร์ผิดสังเกต

“กานต์ปวดท้องหรือครับ”

“เปล่าครับ กานต์อิ่มแล้ว”

รพีกานต์รวบช้อนหยิบทิชชู่ซับปาก รู้สึกผิดที่กินเหลือเพราะปกติพ่อรพินทร์สอนเสมอเรื่องอย่ากินทิ้งกินขว้าง แต่ตอนนี้กลืนไม่ลงจริง ๆ

“เดี๋ยวนั่งรอพี่กินหมดก่อนนะ เสียดายกับข้าว แล้วกานต์อยากกินขนมไหม ร้านนี้บัวลอยสามกษัตริย์ของโปรดของกานต์ขึ้นชื่อมากเลยนะ เอาไหมครับ เดี๋ยวพี่บอกเขาใส่ถุงกลับไปกินที่ห้อง เผื่อกานต์นึกหิว”

ณัฐธีร์ถามอย่างอาทรเอาใจ วันนี้น้องน้อยกินข้าวเหมือนแมวดมจนน่าห่วง รพีกานต์ส่ายหน้ามุมปากยกยิ้มอ่อน ณัฐธีร์เสียดายข้าวที่แทบไม่พร่องจึงยกจานข้าวของน้องมากินต่อ จังหวะเดียวกับที่อัครวินท์หันมาเห็นพอดี สายตานิ่งอ่านไม่ออกส่งตรงมาที่ร่างเล็กราวกับเจ้าตัวเป็นเด็กที่กำลังทำผิดนักหนา อารามน้อยใจทำให้รพีกานต์ไม่หลบสายตาอีกฝ่ายแถมจ้องตากลับนิ่ง ๆ เช่นกันก่อนบ่ายหน้าหนีเสียอย่างนั้น อัครวินท์คิ้วกระตุกกับการถูกเมินจากกระต่ายดื้อเงียบ

“ว้าว ร้านนี้ให้กุ้งตัวใหญ่ดีแฮะ กานต์ลองชิมดูซี”

ณัฐธีร์ลองมุกหลอกล่อตักกุ้งจ่อตรงปาก

“พี่ณัฐ”

แก้มขาวขึ้นริ้วสีเรื่อ รพีกานต์รีบแตะมือพี่ชายเป็นเชิงให้ลดมือลง อย่างไรเสียก็ไม่อยากให้ประเจิดประเจ้อมากนัก น้องน้อยไม่อยากให้พี่ชายเสียความตั้งใจจึงจับช้อนในมือณัฐธีร์ส่งกุ้งเข้าปาก

“คิดถึงกุ้งแม่น้ำที่บ้านเลยเนอะ กุ้งเผาสะเดาลวกน้ำปลาหวานฝีมือพ่อรพินทร์อร่อยเหาะ แล้วน้ำพริกเผากุ้งแห้งสูตรโบราณที่พ่อรพินทร์โขลกใส่กระปุกให้พี่มานะ อื้อหือ พวกเพื่อน ๆ ของพี่มันชอบกันใหญ่ เอาใส่มาม่า ทากับขนมปัง คลุกกับข้าวก็อร่อย”

ณัฐธีร์ทำท่าน้ำลายสอติดตลก เห็นน้องน้อยท่าทีเซื่องซึมจึงอยากทำให้ยิ้ม และก็ได้ผลเมื่อมุมปากเรียวจุดประกายยิ้ม จนลักยิ้มสองข้างแก้มบุ๋มลงอย่างน่ารัก ณัฐธีร์อดที่จะยื่นมือไปบีบแก้มนิ่มไม่ได้

“อี๋ พี่ณัฐมือสกปรก แกล้งกานต์

“ฮ่า ๆ ๆ คราวนี้จะฟ้องใคร หลวงตาไม่อยู่ที่นี่เสียด้วย ฮึ ๆ”

ณัฐธีร์ลอยหน้าลอยตาเย้า รพีกานต์ย่นจมูกใส่ด้วยความหมั่นไส้

“เอ ทำไมพี่ถึงหยอกกานต์เล่นน้า”

ณัฐธีร์ทิ้งปริศนาให้คิดตามก่อนจะโน้มหน้ามากระซิบใกล้ ๆ

“รักดอกถึงหยอกเล่นไง”

 พ่อหนุ่มวิศวะหยอดคำหวานก่อนจะยักคิ้วให้คนอ้าปากพะงาบ ๆ เสียงหัวเราะระเบิดออกจากคนเป็นพี่ที่ชนะน็อคใส ๆ ภาพหยอกเอินตรงหน้าแผดเผาสายตาคนมองจนร้อนระอุ อัครวินท์เผลอกำหมัดแน่นขบกรามกรอด นึกอยากลุกจากโต๊ะไปกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายตั๊นหน้าสักหลาย ๆ หมัด สายตาวาวมองสองร่างที่จ่ายเงินแล้วพากันออกจากร้านไป รพีกานต์สบตากับเขาแวบหนึ่งตอนผุดลุกจากเก้าอี้ก่อนจะผินหน้าไป ทำทีไม่สนใจเขาอีก

...หนอยแน่ กล้าเมินคนอย่างอัครวินท์อย่างนั้นหรือ...

“มึงจีบถึงไหนแล้ววะเชี่ยวิน กูเห็นแฟนเขาประกบแจ ไร้น้ำยาแล้วหรือมึงน่ะ พี่ณัฐแฟนเขาก็ฮอตเอาเรื่องอยู่นะเว้ย นอกจากความรวยที่สู้มึงไม่ได้ อย่างอื่นนี่สาว ๆ ปลื้มกันใหญ่ ทั้งเรียนเก่ง ทั้งกิจกรรม แถมนิสัยดีไม่เจ้าชู้แบบมึง”

อัครวินท์คิ้วกระตุกเมื่อถูกสัพยอกลูบคมเข้าให้

“มึงไม่เคยได้ยินหรือวะ ผู้หญิงชอบคนเลว รพีกานต์ก็ไม่มีข้อยกเว้นหรอกเว้ย”

อัครวินท์ว่าอย่างมั่นอกมั่นใจ แม้จะหัวเสียนิดหน่อยที่ณัฐธีร์ไม่มีข้อเสียอะไรเลยนอกจากฐานะทางการเงิน

“มั่นใจในหนังหน้าและคารมว่างั้น นี่ก็ใกล้ลอยกระทงละ เมื่อไหร่มึงจะได้เผด็จศึก”

“ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม อยากจะได้เมียเขามันก็ต้องเร้าใจหน่อยสิวะ มึงคอยดูแล้วกัน”

อัครวินท์ยกยิ้มกระหยิ่ม ยิ่งยากยิ่งนึกสนุก ยิ่งรพีกานต์ทำเมินใส่ แถมมีณัฐธีร์คอยเอาใจก็ยิ่งท้าทายให้อยากกระชากออกจากอก
บรรยากาศยามค่ำคืนดาษดื่นไปด้วยรถราของเหล่านิสิตวิ่งสวนไปมาขวักไขว่ ณัฐธีร์เลี้ยวรถลัดเลาะมาตามเส้นทางที่รถบางตา สายลมพัดพายอ่อน ๆ เย็นสบาย รพีกานต์พิงศีรษะกับแผ่นหลังกว้างที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยเสมอ ณัฐธีร์ปั่นช้า ๆ ร้องเพลงคลอให้น้องน้อยฟังไปด้วยอย่างอิ่มเอม รพีกานต์ฟังเสียงร้องเพลงของพี่ชายแต่หัวใจไพล่คิดถึงคนที่เพิ่งเจอในร้านข้าว รอยกังวลปรากฏบนดวงหน้าน่ารักอย่างคนจนแล้วซึ่งทางออก ใจกระหวัดไพล่ไปหาพ่อรพินทร์ อยากกลับไปนอนหนุนตักพ่อเหลือเหลือเกิน

...พ่อจ๋า กานต์ควรทำยังไง...

“ลอยกระทงปีนี้ มอเราจัดงานด้วยนะ กานต์อยากลอยกระทงสระน้ำในมอ หรือกลับไปลอยที่ท่าน้ำหลังบ้านดี ครับ”

ณัฐธีร์ถามพลางแอ่นหน้ารับลมเย็น ๆ รพีกานต์อยากลอยกระทงที่ไหน ตัวเขาก็พร้อมไปลอยด้วยอยู่แล้ว ร่างเล็กดันตัวตั้งตรงตอบคำถาม

“กานต์อยากลอยที่...”

คำพูดชะงักค้างเมื่อหัวใจดันเผลอไพล่คิดถึงใบหน้าของใครอีกคน

“กลับบ้านก็ได้ครับ กานต์อยากไปลอยกับพ่อด้วย วันศุกร์กานต์มีเรียนถึงเที่ยง”

“ถ้าอย่างนั้นเรียนเสร็จแวะกินข้าวก่อนแล้วค่อยกลับเนอะ กานต์จะได้นั่งรถกลับสบาย ๆ ไม่ต้องหิ้วท้องหิวมาก”

ณัฐธีร์คิดถึงรพีกานต์ก่อนตัวเองเสมอ นัดแนะเสร็จสรรพคนเป็นพี่ฉีกยิ้มแก้มแทบแตก ต่างจากคนน้องที่แค่นยิ้มยากเย็นแทบเอาคีมง้าง ศีรษะทุยพิงซบแผ่นหลังอุ่นอีกหน มือล้วงโทรศัพท์ขึ้นดูแต่ก็ยังเงียบฉี่ไร้วี่แวว ในใจอึดอัดหนักอึ้ง หรืออัครวินท์จะรามือเพียงเท่านี้

“คนใจร้าย”



โครงเหล็กสี่ล้อสัญชาติยุโรปแล่นออกจากกรุงเทพเกือบบ่าย สารถีรูปหล่อประจำตำแหน่งหลังพวงมาลัยพาตุ๊กตาหน้ารถหนุ่มหน้าใสกลับบ้านไปลอยกระทงกับครอบครัว รพีกานต์เปิดเพลงฟังเบา ๆ ขณะมือเล่นโทรศัพท์เช็กความเคลื่อนไหวในโลกโซเชียล หลายวันแล้วที่ไม่ได้ข่าวคราวอัครวินท์เลยนับแต่เจอกันที่ร้านอาหารวันนั้น คนที่มาเย้าหยอกให้รพีกานต์หวั่นไหวแล้วก็หายตัวจ้อยเข้ากลีบเมฆอย่างไร้ร่องรอย ทั้งเฟซบุ๊ก ไอจี ไม่มีความเคลื่อนไหวจากผู้ชายชอบสังคมคนนั้นเลย ทั้งที่ก็มีเพื่อน ๆ ในเฟซบุ๊กเข้ามาโพสต์ชวนไปลอยกระทงอยู่เนือง ๆ แต่ก็ไม่มีการตอบกลับแต่อย่างใด

“หายไปไหนนะ หรือจะไปลอยกระทงกับใคร”

รพีกานต์คิดในใจเงียบ ๆ แนวฟันขาวขบลงกลีบปากล่าง ความฟุ้งซ่านตีรวนในอก

“พี่วินจะถอดใจแล้วจริง ๆ หรือครับ ไหนบอกว่ารักบอกว่ารอได้ จะถอดใจยอมง่าย ๆ แค่นี้เองหรือ”

รพีกานต์พึมพำ ศีรษะเอนพิงกระจกอย่างเหงาหงอย

“กานต์ง่วงหรือครับ ปรับเบาะลงนอนไหม เดี๋ยวถึงแล้วพี่จะปลุก”

ณัฐธีร์ยิ้มอ่อนโยนตีความไปว่าน้องน้อยหนังท้องตึงหนังตาคงเริ่มหย่อน รพีกานต์ยิ้มบางให้พี่ชาย สายตาส่องดูความเคลื่อนไหวใครบางคนอีกนิดหน่อยก่อนเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าปิดตาลงอย่างอดน้อยใจลึก ๆ ไม่ได้




“พ่อจ๋าคิดถึง”

เสียงนุ่มร้องอ้อนขณะเปิดประตูลงจากรถแล่นถลาไปหาผู้เป็นบิดา รพินทร์กำลังนั่งง่วนอยู่กับนิยายเรื่องใหม่ตรงศาลานั่งเล่นสไตล์โคโลเนียลในสวน ใบหน้าขาวนวลดูมีเสน่ห์แม้ล่วงเลยวัยหนุ่มละสายตาขึ้นยิ้มให้บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนที่รีบจ้ำพรวดเข้ามากอดเอวหมับซบหน้าออดอ้อน

“มาถึงก็อ้อนเชียว ณัฐมาเหนื่อย ๆ ดื่มน้ำฝนโรยมะลิเย็น ๆ ก่อนนะ”

รพินทร์รับไหว้ณัฐธีร์ที่เดินตามมานั่งทีหลัง ก่อนเอ่ยปากเชื้อเชิญให้ดื่มน้ำท่าที่เจ้าตัวเตรียมไว้ให้ตอนลูกชายโทรมาบอกว่าใกล้ถึงแล้ว รพินทร์ลูบศีรษะทุยเอาใจลูกชายก่อนเอื้อมตัวเปิดฝาชีอวดขนมที่เตรียมไว้รอท่าลูกกลับ

“พ่อมีขนมไทยของโปรดไว้ให้กานต์กับณัฐด้วยนา”

“โอ้โห ขนมจ่ามงกุฎของไทยแท้ดั้งเดิมสมัยรัชกาลที่สอง ขนมดาราทอง เสน่ห์จันทร์ บุหลันดั้นเมฆ ช่อม่วงอัญชันก็มี พ่อทำเองหมดนี่เลยหรือครับ”

รพีกานต์ตาโตกับขนมไทยแต่ละอย่างที่หาทานได้ยากและใช้ความประณีตในการทำมาก

“พ่อทำจ่ามงกุฎ กับดาราทองน่ะ นอกนั้นคุณธุเอามาฝาก เผอิญว่าแวะมาไหว้พระเก้าวัดกับคุณจะเด็ดแฟนเขา เลยเอาขนมของที่ร้านมาฝาก ฝีมือคุณธุเชียวนา ออร์เดอร์ยาวเป็นหางว่าว”

รพินทร์บอกลูกชายที่หยิบดาราทองส่งเข้าปากอย่างถูกอกถูกใจ
   
“อื้ม อร่อยทั้งคู่ มีความสุขจัง”

รพีกานต์ทำหน้าเคลิบเคลิ้ม มือซนยื่นขนมจ่อปากคนเป็นพี่ก่อนวกกลับเข้าปากตัวเองเคี้ยวตุ้ย ๆ ลอยหน้าลอยตา ณัฐธีร์มันเขี้ยวคาดโทษตัวแสบพลางส่งขนมเข้าปากเคี้ยวหยับ ๆ สายตาจ้องมองตัวป่วนไม่วางตา รพินทร์มองลูกชายหยิบขนมกินอย่างมีความสุข ก็พลอยยิ้มตามไปด้วย

“อ้อ เดี๋ยวณัฐแวะไปหาหลวงตาที่วัดอย่าเอาลืมนี่ไปด้วยนะ พ่อแบ่งไว้ให้ณัฐเอาไปถวายหลวงตาท่านแล้ว”

รพินทร์เลื่อนกล่องใส่ขนมให้ ณัฐธีร์ประนมมือไหว้พลางหันมาถามตัวแสบ

“แล้วตกลงจะทำกระทงเอง หรือจะซื้อมาลอย”

“ทำเองดีกว่า พี่ณัฐซื้อต้นกล้วยฐานกระทงเข้ามานะ เดี๋ยวกานต์จะเก็บดอกไม้รอ”

“ได้ ๆ แล้วเดี๋ยวไปเที่ยวงานวัดกัน คุณรพินทร์ไปด้วยกันนะครับ”

ณัฐรับคำหันมาชวนบุพการีของน้องน้อยเพราะคุณรพินทร์ไม่ค่อยออกไปไหนมาไหนสักเท่าไหร่

“พ่อไปเถอะ ชวนพี่รุตบ้านข้าง ๆ นี่ไปเที่ยวด้วยกัน เที่ยวหลาย ๆ คนสนุกออก”

รพีกานต์เขย่ามือผู้เป็นบิดาชวนเผื่อไปยังเพื่อนบ้านเรือนเคียง รพินทร์พยักหน้ารับ ณัฐธีร์ขอตัวแวะไปหาหลวงตาที่วัด ส่วนรพีกานต์ก็กุลีกุจอไปหาเก็บดอกไม้มาเตรียมทำกระทง


ณัฐธีร์แวะมาตอนประมาณสี่โมงเย็นพร้อมต้นกล้วยในมือสำหรับกระทงสามใบ ของเขากับกานต์ใบเดียวลอยด้วยกันจะได้ไม่ต้องกังวลกระทงจะหลงกัน อีกสองใบเป็นของคุณรพินทร์และเพื่อนบ้าน มาถึงรพีกานต์เก็บดอกไม้สอยใบตองคอยท่าไว้แล้ว สองศรีพี่น้องช่วยกันทำกระทงสามใบง่วน คุณรพินทร์แยกไปเตรียมมื้อเย็นรอ ประดิษฐ์กระทงเสร็จแยกกันไปอาบน้ำก่อนมารวมกันอีกครั้งบนโต๊ะอาหารพร้อมวิศรุตอีกคนที่รพินทร์ชวนมา รับประทานมื้อเย็นกันเรียบร้อยจึงถือกระทงเดินไปลอยที่ท่าน้ำหลังบ้านรพินทร์ที่ทำเป็นศาลานั่งเล่นสไตล์โคโลเนียลรับลมเย็น ๆ มองวิวแม่น้ำ

“กานต์อธิษฐานพร้อมพี่เลยนะ”

ณัฐธีร์จับกระทงใบเดียวกับน้องน้อยยกขึ้นอธิษฐาน กระทงใบงามล่องผ่านกระแสน้ำเปลวเทียนส่องสว่างจ้า ณัฐธีร์ยิ้มย่อง นึกคิดเอาเองว่าชีวิตรักของเขาและรพีกานต์จะสว่างไสวเฉกเช่นเปลวไฟ

วูบ

ยิ้มได้ไม่ทันไรก็กลายเป็นยิ้มค้างฝันสลายเมื่อสายลมพัดวูบเทียนดับพรึบต่อหน้าต่อตา ณัฐธีร์ใจหายวูบอย่างบอกไม่ถูก

“ลมแรง เลยพัดเทียนดับ”

รพินทร์เปรยขึ้นพลางหย่อนกระทงของตนเองลงแม่น้ำบ้าง วิศรุตปล่อยกระทงลงเคียงกัน กระทงสองใบล่องลอยเคียงคู่ราวคู่รักเกี้ยวพาเคียงข้างร่วมทางไปด้วยกัน วิศรุตยกยิ้มอิ่มเอมขณะปรายตาหนุ่มรุ่นพี่ข้างกาย

“ไปเที่ยวงานกันต่อเถอะครับ”

รพีกานต์หันชวนพี่ชาย ทั้งหมดหันหลังตรงไปที่รถ คล้อยหลังเพียงครู่กระทงของรพินทร์และวิศรุตก็หักมุมแยกกันคนละทาง
บรรยากาศงานลอยกระทงในวัดละแวกบ้านคึกคักครึกครื้น ผู้คนคลาคล่ำดาหน้าไปเที่ยวงาน รถราแล่นสวนกันขวักไขว่หนาตากว่าปกติ ภายในงานไม่พ้นชิงช้าสวรรค์ ตักไข่ปลาเสี่ยงโชคกิจกรรมร่วมทำบุญนำเงินเข้าวัด ร้านรวงออกงานจำพวกปาเป้า ยิงปืนเจาะลูกโป่งแลกตุ๊กตา ร้านขายของกินจำพวกลูกชิ้นปิ้งทอด น้ำอัดลม ไข่ปิ้ง สายไหม ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือ ร้านขายกระทงมีตั้งแต่หน้าวัดเรียงรายไปยันใกล้ท่าน้ำหลังวัด รพีกานต์ถือสายไหมในมือแต่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนัก เมื่อครู่อัครวินท์เพิ่งโพสต์ภาพกระทงใบสวยลงบนโซเชียลพร้อมแคปชัน ‘with someone’ โดยไม่ระบุตัวบุคคลและสถานที่ มีคนเข้าไปกระหน่ำไลค์พร้อมถามหาบุคคลผู้โชคดีกันขรม รพีกานต์มือสั่น  หัวใจคนรอข่าวคราวมาหลายวันกระตุกไหวกระวนกระวายคล้ายจับไข้

“พี่วินไปลอยกระทงกับใครกันนะ”

สีหน้ารพีกานต์ไม่ใคร่แช่มชื่นนัก หัวใจวูบโหวงคล้ายหล่นหาย มฤคน้อยต้องบ่วงสวาทของนายพรานมือฉมัง หัวใจก็ยากจะหลุดพ้น เท้าเดินไปตามแต่ณัฐธีร์จะพาไป แต่หัวใจกลับไพล่พะวงหาแต่อีกคน

“กานต์ดูไม่สนุกเลย เหนื่อยหรือครับคนดี”

ณัฐธีร์เอ่ยถามหลังทั้งคู่ลงจากชิงช้าสวรรค์แล้ว พี่ชายพาน้องน้อยมายืนคอยปลาหมึกบดจึงได้เอ่ยปากถาม

“คนเยอะเดินเบียดกัน กานต์เวียนหัวน่ะครับ”

รพีกานต์บอกเสียงอ่อย รู้สึกไม่ดีนักที่ทำให้คนอื่นพลอยหมดสนุกไปด้วย แต่ตอนนี้ถ้าให้ยิ้มคงได้แค่แสร้งทำ

“ถ้าอย่างนั้นซื้อหมึกบดเสร็จแล้ว เรากลับกันไหม กานต์จะได้พักผ่อน วันนี้ทั้งวันแล้วนี่เนอะ ลิงน้อยถ่านคงใกล้หมดเต็มที”

รพินทร์เย้าลูกชายอย่างเอ็นดู ปกติเคยเซื่องซึมอย่างนี้เสียที่ไหน ได้มาเที่ยวอย่างนี้ขี้คร้านจะชอบแกล้งพี่ณัฐให้วุ่นวาย

“อยู่ต่ออีกนิดก็ได้ครับ พ่อกับพี่รุตจะได้เที่ยวนาน ๆ หน่อย”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่ชวนมาด้วยนี่ก็สนุกแล้วละครับ”

วิศรุตยิ้มละไมให้คนลูกเผื่อแผ่ไปถึงคนพ่อ สนุกเพราะได้เดินกับคุณรพินทร์นี่ละ

“โอเค งั้นกลับกันเถอะ พรุ่งนี้วันเสาร์ น้องกานต์อยู่กับพ่อได้อีกวัน”

ตกลงกันเรียบร้อยขบวนพลก็เคลื่อนไปที่จอดรถ สามคนกลับบ้านเพราะณัฐธีร์อยู่ค้างที่วัด
รพีกานต์กลับมาถึงบ้านก็แยกย้ายกับพ่อเข้าห้องอาบน้ำก่อนนอนอีกหน ร่างโปร่งทิ้งตัวปุคว่ำลงบนเตียง มือฉวยโทรศัพท์มากดดูความเคลื่อนไหวของใครบางคนแต่ก็ไม่เห็นอัครวินท์จะโพสต์อะไรอีก ใบหน้าใสห่อเหี่ยวระบายลมหายใจพรูเดินไปพิงกรอบหน้าต่างแหงนหน้ามองพระจันทร์หงอย ๆ

“คนใจร้าย”

ตัดพ้อกับพระจันทร์ไปเรื่อย นึกภาพกระทงใบสวย คนถือคงเดินเคียงข้างไปลอยกับใคร กระต่ายน้อยเลยได้แต่แหงนคอหงอยคอยมองพระจันทร์

ติ๊ง

เสียงข้อความไลน์ดังขึ้น ทีแรกรพีกานต์คิดว่าเป็นข้อความจากณัฐธีร์จึงไม่ได้กระดิกกระเดี้ยขยับตัวหันมาดู ‘พี่ชายจ๋า หัวใจน้องน้อยไม่รักดี มันคอยพะวงหาแต่คนใจร้าย และน้องเองก็ใจร้ายกับพี่ต่อ’

ติ๊ง

เสียงข้อความที่สองตามมาไม่นานนัก รพี่กานต์ไม่อยากให้คนส่งข้อความต้องรอคอยเหมือนตนเองจึงหันมาหยิบโทรศัพท์หวังตอบข้อความกลับ แต่ก็ต้องตาเบิกโตเมื่อเห็นชื่อคนส่งข้อความมา พร้อมรูปกระทงที่เห็นโพสต์ลงโซเชียลเมื่อตอนค่ำ

‘อุตส่าห์พายเรือย่องมาหาที่ท่า คนแสนงอนปล่อยเราเดียวดายจนถูกยุงรุม’

ข้อความตัดพ้อส่งมาให้เหมือนน้อยอกน้อยใจเสียเต็มประดา รพีกานต์ถือโทรศัพท์มือสั่นเงอะงะจนทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะตั้งสติได้ กดพิมพ์ข้อความส่งกลับไป

‘พี่วินอยู่ที่ไหนครับ’

‘ท่าน้ำหลังบ้านใครไม่รู้ ยุงชุ้มชุม ดุเหมือนเจ้าของบ้าน กัดพี่เจ๊บเจ็บ’

“พี่วินมาที่นี่”

รพีกานต์ตกตะลึงนิ่งไปก่อนจะขยับขาก้าวออกจากห้องลงจากบ้านตรงไปที่ท่าน้ำ

“พี่วิน...มายังไงครับ”

รพีกานต์ไม่อยากคิดว่าตัวเองตาฝาด เบื้องหน้าตรงศาลาใกล้ท่าน้ำคือร่างสูงใหญ่ของคนที่หายหน้าหายตาไปหลายวันจนรพีกานต์เฝ้าพะวงถึงไม่เป็นอันทำอะไร เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวในโซเชียลก็ไม่เห็นข่าว บทจะโผล่มาให้เห็นหน้า อิเหนารูปงามก็มาแบบไม่บอกกล่าว

“พี่พายเรือมา ยืมของโฮมเสตย์น่ะ เหนือบ้านกานต์ขึ้นไปเปิดโฮมเสตย์ริมแม่น้ำบรรยากาศดี พี่จองห้องไว้พร้อมสั่งเขาทำกระทงให้ด้วย แล้วก็ขอยืมเรือพายมาเซอร์ไพรส์ชวนใครบางคนลอยกระทงด้วยกัน”

อัครวินท์ฉีกแก้มขยับเข้ามาใกล้จนกายชิดอีกฝ่าย สายตาเสน่หาลึกซึ้งทอดมองดวงหน้านวลไม่วางตา รพีกานต์แก้มร้อนเห่อกับสายตาคมกริบฉายความนัยชัดเจนแต่ก็ไม่ได้ขยับหนี ใบหน้าใสก้มงุดซ่อนความอายระคนดีใจเป็นนักหนา

“ดีใจไหมครับที่เจอพี่ คิดถึงพี่ไหม พี่คิดถึงกานต์ทุกวันเลยนะ”

เสียงทุ้มนุ่มกระซิบถาม รพีกานต์แก้มร้อนจัดเมื่อลมหายใจอุ่น ๆ เป่ารดหน้าผากบ่งบอกว่าอิเหนาของรพีกานต์อยู่ใกล้มากแค่ไหน หัวใจเต้นกระหน่ำ น้ำเสียงนุ่มส่งเสียงถามออกไปทั้งไม่กล้าเงยหน้า

“พี่วินปากหวาน รู้ได้ยังไง ว่ากานต์อยู่ที่นี่”

“น้องสาวของพี่เป็นเพื่อนของกานต์นะครับ แล้วอีกอย่างกานต์ยังจำได้ด้วยหรือครับว่า...ปากพี่น่ะหวานแค่ไหน”

อัครวินท์กระเซ้า สายตาเจ้าชู้หลุบมองลูกไก่ในกำมือตรงหน้า จมูกโด่งคลอเคลียสูดดมกลิ่นหอมอ่อน ๆ ใกล้พวงแก้มใสอย่างจงใจให้ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดผิวแก้มรื้อฟื้นความทรงจำครั้งก่อน รพีกานต์แย้งไม่ออก รสจูบร้อนแรงยังซ่านติดลิ้นทุกวันนี้ ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งอายตัวเอง

“พี่คิดถึงกานต์จะแย่ แต่ก็ต้องอุบไว้ เดี๋ยวจะไม่เซอร์ไพรส์”

มืออุ่นจับมือบางยกขึ้นจรดริมฝีปากจูบ รพีกานต์อ่อนทั้งกายและใจให้คนตรงหน้าอย่างไร้ข้อกังขา

“พี่วินไม่โกรธกานต์เรื่องพี่ณัฐแล้วหรือครับ”

“ใจจริงพี่อยากให้กานต์เคลียร์นะ แต่พี่จะให้เวลากานต์ก็แล้วกัน ขอโทษที่พี่เผลอหึงงี่เง่าไปหน่อย ตอนนี้อย่าพูดเรื่องคนอื่นเลย มาพูดเรื่องของเราดีกว่า ลอยกระทงกับพี่นะครับคนดี”

อัครวินท์ตะล่อมเสียงนุ่ม รพีกานต์พยักหน้าหงึกยินยอมให้อีกฝ่ายจูงมือไปนั่งยอง ๆ ตรงท่าน้ำ

“กานต์ประคองกระทงขึ้นอธิษฐานสิครับ”

อัครวินท์บอกหลังจากจุดไฟติดเทียนจนส่องสว่าง รพีกานต์ทำตามอย่างว่าง่าย มือเรียวประคองกระทงขึ้น อัครวินท์ที่รอจังหวะอยู่แล้วรีบประคองมือซ้อนมือของอีกคน สายตาเจ้าชู้ส่งให้อย่างไม่ปิดบัง กลายเป็นรพีกานต์ที่อายม้วนตัวแทบระเบิดจะหลบทางไหนก็ไม่พ้น

“พี่วินจ้องกานต์แบบนี้ เดี๋ยวเทียนละลายหมด กานต์ก็คงไม่ได้อธิษฐาน”

รพีกานต์บอกเสียงอู้อี้ เขินเต็มกำลัง

“ถ้าอย่างนั้นพี่จะหลับตา แล้วอธิษฐานถึงกานต์”

พูดพลางปิดเปลือกตาลงอย่างปากว่า รพีกานต์มองใบหน้าหล่อเหลาท่ามกลางแสงเทียนอย่างหลงใหลก่อนได้สติรีบหลับตาอธิษฐานบ้าง อัครวินท์ลืมตาขึ้นก่อนพลางจ้องมองดวงหน้านวลต้องแสงเทียนสว่าง ปากคอคิ้วคางรับกันทั้งเครื่องหน้าโดยปราศจากเครื่องสำอางติดผิวหน้าแม้แต่น้อย แต่ก็ยังนวลผ่องน่ามองอย่างไม่รู้เบื่อ รพีกานต์ลืมตาขึ้นสบสายตาคมที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้ว ตาจ้องตา หัวใจเปิดประตูให้อีกฝ่ายก้าวเข้ามาข้างในอย่างเต็มใจ

“ลอยกระทงกันเถอะ ลอยกระทงใบเดียวกัน กานต์จะได้ไม่ห่างไปจากพี่”

อัครวินท์กระชับมือบางประคองกระทงหย่อนลงน้ำ กระทงใบสวยล่องลอยไปตามสายธารา เปลวเทียนส่องสว่างท่ามกลางกระแสลมพัดไหว

“อ๊ะ เทียนดับ”

รพีกานต์อุทานอย่างหวั่นใจ เมื่อหัวค่ำกระทงใบที่ลอยกับณัฐธีร์เทียนดับยังไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ แต่พอเป็นอัครวินท์หัวใจก็พลันหล่นไปตาตุ่ม เปลวไฟสว่างไสวลู่ตามลมจนเกือบมอดดับก่อนจะเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นอีกครั้งให้คนมองใจชื้น รพีกานต์มองกระทงที่ตนเองและอัครวินท์ปล่อยลงขอขมาพระแม่คงคาด้วยหัวใจที่อิ่มเอมก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อจมูกโด่งกดฟอดลงที่พวงแก้มนุ่ม

ฟอด

“แก้มใสหอมจัง นุ่มด้วย”

อัครวินท์โปรยยิ้มเสน่ห์มองคนเอามือกุมแก้มหน้าแดงแปร๊ด

“พี่วิน!”

   
แปะ

   
“อูย ตรงนี้ยุงชุมจัง พี่แพ้ยุง แต่อยากคุยกับกานต์ต่ออีกหน่อยให้สมกับที่คิดถึง ขึ้นไปคุยที่ห้องได้ไหม ยุงกัดเดี๋ยวเป็นไข้เลือดออก น่ากลัวนะ”

ยังไม่ทันที่รพีกานต์จะโวยวาย อัครวินท์ก็ตบยุงเปาะแปะทำท่าเกาคะเยอเบี่ยงเบนความสนใจเสียก่อน ใบหน้าหล่อเหลาออดอ้อนพาใจคนมองอ่อนยวบ รพีกานต์เหมือนคนต้องมนตร์ไปเสียแล้ว ยามนี้อัครวินท์ขออะไรร่างเล็กก็ไม่ขัด

“ครับ ๆ งั้นเราย้ายไปคุยที่ห้องกานต์ก่อนก็ได้ พี่วินท์จะได้ทาคาลาไมน์ด้วย”

อารามห่วงเขา แค่ได้ยินว่าอัครวินท์แพ้ยุง รพีกานต์พยักหน้าหงึกนำอีกฝ่ายขึ้นไปที่ห้องอย่างไม่ทันระแวดระวัง เสือหนุ่มยิ้มย่องถือตะเกียงเจ้าพายุเดินตามอีกฝ่ายไป สายตาลามเลียมองก้นงอนขยับยักย้ายตามจังหวะการเดิน รพีกานต์แขนขาเรียวเอวคอดอย่างคนไม่มีกล้ามแถมผิวพรรณขาวเนียนเปล่งปลั่งไม่ต่างจากผู้หญิง สังเกตดูบ้านพักอาศัยก็พอจะรู้ได้เลา ๆ ว่าฐานะดีไม่หยอก คงจะถูกเลี้ยงมาแบบไม่เคยลำบาก ถึงได้ผิวพรรณดีนัก นึกถึงณัฐธีร์ที่ตามก้อร่อก้อติกรพีกานต์แล้วก็อดแค่นยิ้มหยันไม่ได้

...ดอกฟ้ากับหมาวัดชัด ๆ...

“ห้องกานต์หอมจัง”

อัครวินท์ชมเปาะสายตากวาดมองทั่วห้อง ห้องรพีกานต์สะอาดสะอ้าน ข้าวของจัดเรียงเป็นระเบียบ หอมกลิ่นอ่อน ๆ ของบุหงารำไปช่วยให้ผ่อนคลาย อัครวินท์นั่งปุลงบนเตียงก่อนใช้ความเจ้าเล่ห์เกี่ยวเอวเล็กนั่งทับบนตัก

ฟอด

“แก้มกานต์ ตัวกานต์หอมกว่าเยอะเลย”

ปากหวานมือไว ฝ่ามือร้อนผ่าวลูบไล้ไปตามเนื้อตัวเนียนลื่น

“พี่วิน กะ กานต์จะรินน้ำให้ดื่ม ปล่อยกานต์ก่อนนะครับ”

รพีกานต์ดิ้นขลุกขลัก พยายามแกะมือปลาหมึกที่รัดเอวไม่ปล่อย ใบหน้าเบี่ยงหนีปลายจมูกโด่งที่คอยซุกไซ้

“พี่อยากกินน้ำบ่อน้อยต่างหาก”

“อื้อ!” 

ริมฝีปากร้อนผ่าวบดเบียดกลีบปากนุ่ม รพีกานต์อ่อนยวบแพ้ชั้นเชิงอีกฝ่าย ปลายลิ้นร้อนเซาะเข้าฉกชิมรสหวานฉ่ำข้างในอย่างช่ำชอง ฝ่ามือร้อนลูบไล้เรือนกายเนียนนุ่มทั่วร่าง รพีกานต์ร้อนวูบวาบเหมือนกระแสไฟแล่นผ่านทั่วตัว มือเล็กเผลอขยำเสื้ออีกฝ่ายแน่น เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความไม่เคย อัครวินทร์ดูดดุนเกี่ยวรัดลิ้นเล็กอย่างกระหาย รพีกานต์ทำให้เขาลืมความเป็นชายของอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง รู้แต่ว่าความไร้เดียงสานี้ช่างหอมหวานนัก หวานไปทั้งตัวจนอยากจะกลืนกินให้หมด มือร้อนสอดลงในกางเกงนอนตัวบางปลุกปั่นความต้องการตามธรรมชาติของอีกฝ่าย

“กานต์น่ารักมาก”

อัครวินท์ถอนจูบออกกระซิบชิดกลีบปากแดงเจ่อ รพีกานต์อ่อนระทวยในอ้อมแขน ดวงตาฉ่ำคลอ หัวใจเต้นกระหน่ำหอบแฮก อัครวินท์รั้งร่างบางลงแนบเตียงพลางขึ้นคร่อมจ้องมองดวงหน้าหวาน

“พี่รักกานต์นะครับ”

เสียงทุ้มพร่ำบอกด้วยถ้อยกระซิบหวาน อัครวินท์พรมจูบแผ่วเบาอย่างถนอม สายตาคมปลาบจ้องลึกเข้าไปในดวงตากวางอย่างเสน่หาราวกับจะสะกดให้อยู่ในอาณัติ รพีกานต์อ่อนยวบเป็นขี้ผึ้งถูกลนด้วยเปลวไฟ ไฟแห่งราคะร้อนแรงที่ลนเผาหัวใจและร่างกายให้โอนอ่อนยอมตกเป็นของเขาแต่โดยง่าย หลงลืมหมดสิ้นทุกสิ่งอย่าง ความสุขแสนหวานดำเนินไปตามครรลองปรารถนาอย่างสุดจะต้านทาน

“อาห์ พี่วิน กานต์ กานต์ก็รักพี่วินนะครับ”


 :hao7: :katai5:


เรียบร้อยโรงเรียนอัครวินท์ เราเดินเรื่องค่อนข้างเร็วนะคะ บางช่วงลากช้าบ้าง มือสมัครเล่นโนะ อย่าถือสา แฮ่
จริง ๆ วินไม่ได้เกลียดเพศที่สามมากหรอก วินเกลียดแค่พ่อกับรพินทร์ สังเกตว่าเพื่อนวินก็เสือไบ มันเป็นอารมณ์หมั่นไส้ อยากแกล้ง อยากเอาชนะน่ะ เห็นคนอื่นมีความสุขแล้วอยากทำลาย คือว่าด้วยเรื่องอารมณ์ล้วน ๆ วินไม่ใช่คนมีเหตุผลอะไร เห็นได้จากการเลี้ยงลูกแบบพ่อแม่รังแกฉันในสังคมน่ะแหละ นี่คือสิ่งที่เราใส่ให้ในตัววิน กานต์เองก็โตในสิ่งแวดล้อมอีกอย่าง ณัฐก็อีกอย่าง(เด็กวัดแถวบ้าน ตอนเด็กมีแต่คนดูถูก เดี๋ยวนี้น้องได้ดี คนก็ชื่นชม) เราเขียนจากการสังเกตพฤติกรรมรอบด้าน แล้วจับทุกตัวละครมาเจอกัน

ขอบคุณสำหรับทุกคน สำหรับทุกคอมเมนต์นะคะ อ่านแล้วมีความสุข ด่าอีวินตามสบาย เราเองก็หมั่นไส้มัน

เราแนบรูปขนมไทย ๆ ที่น้องกานต์กินมาให้ดูกันด้วย มีขนมจ่ามงกุฎของแท้ดั้งเดิมร.๒ ขนมดาราทอง(คิดขึ้นสมัยจอมพลป.) และมงกุฎเพชร เพิ่งคิดขึ้นฉลองเนื่องในวาระใดนี่ล่ะ หาดูเพิ่มเติมในอากู๋นะ

รักคนอ่านจ้า :katai2-1:


[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๐)(๒๘/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 28-03-2016 10:46:06
สงสารน้องหนู
เตรียมตัวให้พร้อม มาม่าชามโตกำลังมา
 :a5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๐)(๒๘/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 28-03-2016 11:24:57
เข้ามาส่องทุกวันเลยค่ะแต่ยังไม่กล้าอ่าน รอเลยระยะทำใจได้ก่อน 555555
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๐)(๒๘/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: VICTORY ที่ 28-03-2016 13:23:05
กานใจง่ายไปนะจ้ะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๐)(๒๘/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 28-03-2016 14:50:41
คนที่น่าสงสารที่สุดคงเป็นณัฐ
คนดีมักจะได้เป็นพระรองเสมอ :hao5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๐)(๒๘/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 28-03-2016 15:34:14
ทำไมไม่มีใครสอนคนสวยๆอย่างน้องว่าให้ระวังไอ้เสือพวกนี้ห๊าาา อยากมุดไปกระชากน้องแล้วตีก้นแรงๆ แล้วขังไว้เพื่อสั่งสอน 
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๐)(๒๘/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 28-03-2016 16:18:36
อ่านตอนนี้แล้วแบบ ความรักเหมือนโคถึก พิขังไว้ จริงๆ ยิ่งอ่านตอนย่อหน้าสุดท้ายยิ่งชัดเจนเลย โดยธรรมชาติอารมณ์ไฟราคะในตัวผู้ชายปลุกง่ายขึ้นง่ายอยู่แล้ว ถ้ามีแต่ไฟราคะอย่างเดียวทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่ม่เท่าไหร่ นี่เล่นเอาอารมณ์ความรักไปผสมด้วย นี่ลุ้นเลยคับว่าตอนต่อไปกานต์จะเป็นยังไง รอ รอ รออ่านตอนต่อไปนะคับ 
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๐)(๒๘/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 28-03-2016 18:07:30
ความรักเหมือนโรคา     บันดาลตาให้มืดมน
ไม่ยินและไม่ยล          อุปสรรคใดใด
ความรักเหมือนโคถึก    กำลังคึกผิขังไว้
ก็โลดออกจากคอกไป   บ ยอมอยู่ ณ ที่ขัง
ถึงหากจะผูกไว้           ก็ดึงไปด้วยกำลัง
ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง          บ หวนคิดถึงเจ็บกาย

"มัทนะพาธา" มีความหมายว่า ความเจ็บปวดและความเดือดร้อนเพราะความรัก
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๐)(๒๘/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 28-03-2016 19:13:47
  :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๐)(๒๘/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 28-03-2016 20:12:20
พ่อกับพี่รุตนี่ยังไงนิ พ่อลืมพ่ออิตาบ้าวินแล้วใช่ไม๊
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๐)(๒๘/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: GintoniC ที่ 28-03-2016 20:30:04
แปะๆๆๆ รอตอนต่อไปน่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๐)(๒๘/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 28-03-2016 22:48:22
ขนมน่าทานมากๆค่ะ    ความรักของน้องกานต์ช่างพริ้วไหวอ่อนเอนเสียจริงๆเลย  วินท์ร้าย ส่วนณัฐรัก กานต์น้า ไม่น่าโชคร้ายเลือกวินท์เลย ยิ่งอ่านยิ่งทรมานใจค่ะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๐)(๒๘/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 28-03-2016 23:45:00
 :hao5: โธ่ ใกล้ได้เวลาของมาม่าหม้อบักเอ่กแล้วสินะ
น้องกานต์ผู้น่ารัก จะโดนคนใจดำทำร้ายแล้วสินะ  o7
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๐)(๒๘/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: GAZESL ที่ 29-03-2016 08:39:52
น้องกานต์เสร็จอิพี่วินไปแล้ว ฮึ่ยยยย :katai1:
อร๊ากกกก อิพี่วิน เกลียดมัน อยากกระชากหนังหัว :m31:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๐)(๒๘/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Biwty... ที่ 29-03-2016 09:36:38
 :katai5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๐)(๒๘/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: weedear ที่ 29-03-2016 13:15:11
ชอบเรื่องนี้มากๆๆๆๆๆๆ
อิพี่วินเลวมากๆๆ
อยากให้อิพี่วินได้รับบทลงโทษเร็วๆ
เอาให้สาสมกับที่เคยทำไว้
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๐)(๒๘/๐๓/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 29-03-2016 23:35:41
ยังไงน้องดูจะตามคนเจ้าเล่ห์ไม่ทัน
แล้วจะยังไงต่อเนี่ย ไม่อยากเห็นกานต์เสียใจเลย
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๑)(๐๑/๐๔/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 01-04-2016 16:58:46
เสน่หา...รักเอย ตอนที่๑๑


ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“น้องกานต์ ยังไม่ตื่นอีกหรือลูก วันนี้ไม่ใส่บาตรหรือครับ”

เสียงเคาะประตูตามด้วยเสียงร้องเรียกของรพินทร์ดังขึ้นหน้าห้องบุตรชายอย่างนึกแปลกใจ ปกติรพีกานต์ตื่นเช้าเป็นนิสัยอยู่แล้วแต่วันนี้กลับผิดวิสัยไปจากทุกทีจนผู้เป็นพ่อต้องมาปลุกเรียก รพีกานต์ลืมตาแช่มช้าตื่นจากฝันหวานหลังได้ยินเสียงเคาะเรียก ภาพตรงหน้าคือแผงอกล่ำสันมีรอยข่วนเล็ก ๆ กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ แก้มขาวร้อนวาบเมื่อเห็นรอยข่วน ไพล่หวนถึงเหตุการณ์เมื่อคืนแล้วอดที่จะเขินอายไม่ได้

'รพีกานต์ตกเป็นของเขาแล้ว'

“พี่รักกานต์ กานต์เป็นผู้ชายคนแรกของพี่เลยนะ”

อัครวินท์กระซิบถ้อยคำหวานหูหลอกล่อขณะแทรกท่อนกายร้อนผ่าวลงร่องสวาทอุ่นจัด รพีกานต์เจ็บน้ำตาเล็ด แต่ด้วยคำบอกว่า ‘รัก’ ของเขา มันช่างหวานหูประโลมความเจ็บได้ชะงัด

“พี่วินก็เป็นคนแรกของกานต์ คนแรกสำหรับทุกอย่าง”

ใบหน้าซับเพลิงอารมณ์มัวเมาเอ่ยบอก อัครวินท์คือคนแรกสำหรับทุกอย่างในชีวิตรพีกานต์ จุมพิตแรก รักแรก ผู้ชายคนแรกที่ได้ครอบครองเรือนกายพิศุทธิ์ด้วยความเต็มใจ เสียงครางหวานสลับกับเสียงกระเส่าร้อนยามสองร่างสอดประสาน หยดเหงื่อโซมชุ่มกายสองร่าง สมองรพีกานต์ขาวโพลน ดวงตาสะท้อนเพียงภาพของเขา...

อา...รสแห่งเสน่หาเสพสมช่างหอมหวานยวนใจให้ลุ่มหลงเหลือเกิน


ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“กานต์ไม่สบายหรือเปล่าลูก”

รพีกานต์สะดุ้งจากภวังค์แสนหวาน ใบหน้าแดงซ่านผละห่างจากร่างหนาคว้าผ้าห่มพันกายหย่อนปลายเท้าก้าวลงจากเตียง ร่างกายปวดระบมครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะแตกร้าวออกเป็นเสี่ยง

อึก

“อูย”

ใบหน้าหวานนิ่วหน้าเหยเกด้วยความเจ็บเสียดที่ทางด้านหลัง ความเจ็บร้าวแล่นปราดทั่วสารพางค์จนแทบทรุดฮวบ ขาเรียวสั่นเหยง คราบน้ำรักไหลลงอาบต้นขา รพีกานต์ฉวยกระดาษทิชชู่ซับคราบน่าอายลวก ๆ  ก่อนจะรีบพยุงกายเดินเขยกขาเข้าไปใกล้ประตูไม่ให้พ่อสงสัย

แกรก แอ๊ด

“ง่วงจังครับ วันนี้กานต์ขอตื่นสายหน่อยนะครับ”

รพีกานต์แง้มประตูเยี่ยมหน้าออกไปออดอ้อนบุพการี

“น้องกานต์ไม่สบายหรือลูก หน้าซีดเชียว”

รพินทร์ถามด้วยน้ำเสียงห่วงเมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของบุตรชาย

“กานต์เมื่อย ๆ ตัวน่ะฮะ อยากนอนต่ออีกหน่อย”

รพีกานต์ตอบเสียงแหบเนือย อ้าปากหาวหวอด สองขาสั่นเหยงยืนแทบจะไม่ไหว

“ครั่นเนื้อครั่นตัวจะเป็นไข้หรือลูก ไหนขอพ่อเข้าไปหน่อย”

รพินทร์อังมือกับหน้าผากมนทำท่าจะแทรกกายเข้าไปในห้อง รพีกานต์สั่นหน้าก่อนรีบปะเหลาะพ่อเสียงหวาน

“กานต์ไม่เป็นไรมากครับ สงสัยเมื่อวานจะเพลีย พ่อไปใส่บาตรก่อนเถอะครับ เดี๋ยวหลวงตาจะมาแล้วนะ น้า ขอกานต์นอนต่อนะครับ กานต์ง่วงมากเลย”

รพีกานต์พูดพร้อมอ้าปากหาวหวอดเหมือนง่วงเต็มแก่อีกหน รพินทร์เห็นท่าทีจึงไม่อยากจะวุ่นวายกับลูกมากนัก ใบหน้าเรียวพยักหน้ารับรู้ ปล่อยให้ลูกได้นอนต่ออีกหน่อยก่อนผละจากไป ไม่ซักไซ้อะไรต่อ รพีกานต์งับประตู รีบพยุงขากะเผลกลากมาที่เตียงเขย่าปลุกร่างหนา

“พี่วิน ตื่นเถอะครับ ต้องกลับแล้ว เดี๋ยวพ่อเห็น”

น้ำเสียงร้อนรนเขย่าเสียงคนนอนเฉย ไม่ทุกข์ไม่ร้อน

“อือ ห้องกานต์นอนสบายจัง ยังไม่ตื่นได้ไหม”

อัครวินท์ออกท่าทีงอแงรั้งตัวบางลงกอดแนบอกทั้งตายังไม่ลืม

“พี่วิน เดี๋ยวพ่อเห็นนะครับ”

รพีกานต์ผะหงกศีรษะพยายามปลุกคนขี้เซา

“เห็นก็ดีสิ พี่จะได้บอกพ่อพี่มาขอ คราวนี้จะได้ตัวกานต์ไปนอนกอดนอนฟัดให้พี่ได้หอมชื่นใจทุกวันเลย”

อัครวินท์ยื่นใบหน้าใบหน้ากดจูบแก้มใส ก่อนจะถอนออกมาจ้องดวงตากวางของคนที่หน้าหวานเกินชาย

“พี่วินบ้า กลับไปก่อนนะครับ เดี๋ยวเราค่อยคุยกันนะ”

รพีกานต์เว้าวอนพยายามปะเหลาะเสียงหวาน ทั้งที่ก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายห่างกายเท่าไรนัก

“ไม่อยากกลับเลย กานต์ทำพี่หมดแรง”

อัครวินท์ทำตัวง่อยกินลุกไม่ขึ้นจนรพีกานต์แก้มร้อนวาบ

“คนบ้า ทะลึ่งใหญ่แล้ว”

 รพีกานต์ก้มหน้างุดหลบสายตาคมกริบเจ้าเล่ห์ที่ชวนให้นึกถึงเหตุการณ์หวามไหวยามค่ำคืนที่ล่วงผ่านมา

“ไม่ดีหรือ กานต์จะได้มีความสุขมาก ๆ แล้วก็มีตัวเล็กให้พี่ด้วยไง”

อัครวินเย้ายิ้ม ๆ มือเกลี่ยแก้มใส ดวงตาจดจ้องเครื่องหน้าหวานล้ำได้รูปปานวาด จนอดคิดไม่ได้ว่าหากเป็นหญิงจะสวยหยาดสักแค่ไหน ไอยวริญท์น้องสาวว่าเครื่องหน้าสวยจนผู้ชายเหลียวคอแทบหัก รพีกานต์คงจะสวยล้ำยิ่งกว่าเพราะยิ่งมองก็เพลินตาไม่หยอก

“ไปกันใหญ่แล้ว”

รพีกานต์ปรามความคิดอีกฝ่าย

“ก็ไม่แน่นะ พี่ขยันป่ามป๊ามบ่อย ๆ อาจจะท้องขึ้นมาจริง ๆ ก็ได้”

อัครวินท์กระซิบแหย่ไม่เลิก เมื่อคืนเขาใช้ถุงยางป้องกันแค่ช่วงแรกก่อนจะสอดแทรกฝังกายแบบเพรียว ๆ เพราะช่องทางอุ่นจัดที่บีบรัดอย่างไม่ประสาทำให้เขาคลั่งแทบบ้าจนอยากสัมผัสแบบเนื้อแบบเนื้อ จนปล่อยความปรารถนาข้างในกายอีกฝ่ายจนล้นเอ่อเพราะรพีกานต์เป็นผู้ชาย ไม่ติดปัญหาเรื่องท้องอยู่แล้ว

“พี่วินกลับไปก่อนนะ นะครับถ้าพ่อเห็นต้องช็อกแน่ ๆ ที่กานต์...”

 แก้มขาวแดงซ่านก้มงุดด้วยความอาย “กานต์พาผู้ชายขึ้นบ้านแบบนี้” อัครวินท์มันเขี้ยวคนพูดจนต้องกระชับกอดแน่นหนับก่อนผละออก

“โอเค”

อัครวินท์ดีดตัวลุกจากเตียงง่าย ๆ ร่างสูงใหญ่ก้าวลงจากเตียงทั้งล่อนจ้อน เดือดร้อนให้รพีกานต์ต้องรีบเบือนหน้าหนี สบโอกาสให้คนเจ้าเล่ห์ตาวาวเคลื่อนตัวเข้าหาพร้อมฝังจมูกหอมฟอดจนร่างเล็กกว่าสะดุ้ง รพีกานต์สะดุ้งโหยงหันขวับเจอชีเปลือยหน้าไม่อายต้องลนลานรีบหันหนีเรียกเสียงหัวเราะอย่างขบขัน

“พี่วิน ชอบแกล้งกานต์” รพีกานต์บ่นอุบ

“ต้องให้เห็นบ่อย ๆ จะได้ชินเนอะตัวเล็ก”

 พูดพลางฉกจูบขมับวูบ

“คนทะลึ่ง!”

รพีกานต์รีบฉวยชุดเก่าพยุงตัวไปล้างขาลวก ๆ เพื่อเตรียมไปส่งเขา อาการปวดบั่นทอนร่างแทบทรุดแต่เพราะรักจึงยอมกัดฟันอดทน ร่างเล็กเปิดประตูเยี่ยมหน้ามองซ้ายขวา ก่อนหันมาพยักหน้าส่งสัญญาณเตรียมลากขากะเผลก ๆ ออกจากห้อง อัครวินท์เห็นท่าทางเดินลำบากจึงฉวยแขนบางรั้งไว้ หัวคิ้วเข้มกดเข้าหากันเมื่อสัมผัสได้ถึงไอร้อนจากกายบาง

“ตัวกานต์รุม ๆ นะ กานต์ไม่ต้องลงไปส่งพี่หรอก พี่ไปเองเร็วกว่า กานต์รอส่งพี่ตรงนี้ก็ได้ จากตรงนี้มองเห็นท่าน้ำ”

ความรู้สึกวูบหวิวห่วงหาผุดขึ้นในหัวใจเล็ก ๆ อัครวินท์รีบสลัดความไขว้เขวทิ้งก่อนผละจากไปรพีกานต์พาร่างกระย่องกระแย่งเกาะราวระเบียงยืดคอมอง ขายาวก้าวฉับ ๆ ไม่นานก็เดินไปลงเรือที่ผูกไว้ยังท่า อัครวินท์หันมายิ้มหล่อโบกมือไหว ๆ ให้ก่อนพายเรือกลับที่พัก รพีกานต์อมยิ้มมีความสุขอย่างคนลุ่มหลงตกลงในบ่วงเสน่หา ทุกลมหายใจเข้าออกล้วนมีเพียงชื่ออัครวินท์สม่ำเสมอ ร่างเล็กครั่นเนื้อครั่นตัวคล้ายจับไข้แต่ยังฝืนทนรอส่งเขาจนแผ่นหลังลับสายตา รพีกานต์กัดฟันก้าวขาพาตัวเองกลับเข้าห้องไปทำความสะอาดร่างกายเปลี่ยนชุดใหม่ ใบหน้าปริ่มสุขแนบลงกับหมอนสูดกลิ่นกายเขาที่เคยนอนคลอเคลียร่วมกัน ดวงตาหลับตาพริ้มรำลึกถึงลมหายใจร้อนผ่าว ถ้อยคำกระซิบหวาน และสัมผัส...หวามไหวเร่าร้อนที่แทบเผาให้ละลาย ทั้งหมดของอัครวินท์ทำให้คนป่วยยิ้มหวานเสียมากมาย รพีกานต์นึกถึงบทละครของวิลเลียม เชกสเปียร์ เรื่องเวนิสวาณิชบทหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์แปลเป็นกลอนบทละคร

Tell me where is fancy bred, Or in the heart, or in the head?

How begot, how nourished?

Reply, reply.

It is engender'd in the eyes, With gazing fed; and fancy dies

In the cradle where it lies. Let us all ring fancy's knell

I'll begin it,--Ding, dong, bell

พระราชนิพนธ์แปลความว่า

    ความเอยความรัก            เริ่มสมัครชั้นต้น ณ หนไหน
เริ่มเพาะเหมาะกลางหว่างหัวใจ     หรือเริ่มในสมองตรองจงดี
แรกจะเกิดเป็นไฉนใครรู้บ้าง        อย่าอำพรางตอบสำนวนให้ควรที่
ใครถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรตี     ผู้ใดมีคำตอบขอบใจเอย

         ตอบเอยตอบถ้อย             เกิดเมื่อเห็นน้องน้อยอย่าสงสัย
ตาประสบตารักสมัครไซร้            เหมือนหนึ่งให้อาหารสำราญครัน
แต่ถ้าแม้สายใจไม่สมัคร             เหมือนฆ่ารักเสียแต่เกิดย่อมอาสัญ,
ได้แต่ชวนเพื่อนยามาพร้อมกัน      ร้องรำพันสงสารรักหนักหนาเอย


        รพีกานต์เข้าใจความหมายของคำว่ารักแล้ว แม้พิษไข้ก็ไม่มีพลานุภาพกัดกร่อนหัวใจคนกำลังอิ่มเอมได้ รพีกานต์รักอัครวินท์ รัก รัก รัก และจะรักเรื่อยไปอย่างนี้จวบจนแก่เฒ่าไปด้วยกัน จะมั่นคงยาวนานไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ดวงตากวางสีอ่อนพริ้มหลับอย่างเปี่ยมสุข ความรักเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจราวกับล่องลอยในทิพยพิมานไม่ปาน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“กานต์ลูก พ่อเอาโจ๊กมาให้”

เสียงรพินทร์เคาะประตูหน้าห้อง รพีกานต์ตาปรือห่อตัวซุกในผ้าห่มอย่างรู้สึกหนาวครั่น ร่างเล็กลุกจากเตียงเดินโซซัดโซเซไปเปิดประตูให้พ่อ ศีรษะหนักอึ้งเหมือนเรือนหมุน รพินทร์ตกใจรีบพยุงตัวบางด้วยแขนข้างหนึ่งประคองอย่างทุลักทุเลกลับมาที่เตียง มือวางชามโจ๊กข้นคลั่กส่งกลิ่นหอมฉุยลงบนโต๊ะก่อนหันมาอังมือแตะหน้าผากมนเรื่อยลงต้นคอ

“น้องกานต์ตัวร้อนจังเลยลูก กินโจ๊กเองไหวไหม เดี๋ยวพ่อไปเอายากับกะละมังใส่ผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้”

รพีกานต์หูผึ่งเมื่อได้ยินว่าคำเช็ดตัว ร่องรอยที่อัครวินท์ทิ้งไว้แดงพร้อยไปทั้งตัว ขืนให้พ่อเห็นคงลมจับ ไม่รู้จะโกหกว่าอย่างไร

“กานต์เช็ดไปแล้วครับพ่อ รบกวนแค่พ่อเอายามาให้ก็พอ ขอบคุณครับ”

“โอเค งั้นเดี๋ยวพ่อไปเอายามาให้ กานต์กินโจ๊กรอนะลูก”

“ครับพ่อ”

รพินทร์เลื่อนเก้าอี้ไว้ใกล้ ๆ เพื่อวางชามโจ๊ก ใบหน้าห่วงใยมองลูกชายหยิบช้อนตักโจ๊กกินด้วยตัวเองได้จึงผละไปหาหยูกยามาให้ลูก รพีกานต์รู้สึกผิดที่ทำให้พ่อเป็นห่วง แต่ความรักและความลุ่มหลงที่มีต่ออัครวินท์ก็มากมายเสียเหลือเกิน มือตักกินโจ๊กแต่ปากยิ้มเผล่เมื่อเห็นเขาส่งข้อความมาให้ อยากพาเขาเที่ยวแต่สังขารไม่อำนวยเอาเสียเลย

แอ๊ด

“น้องกานต์กินยาแล้วก็นอนพักนะลูก เดี๋ยวพ่อมาอยู่เป็นเพื่อน”

รพินทร์มองบุตรชายกินโจ๊กจนพร่องชามไปบ้างแล้วจึงลุกขึ้นหยิบชามไปล้าง รพีกานต์กินยาแล้วพยักหน้าหงึกเชื่อฟังเพราะอยากหายเร็ว ๆ เนื่องจากใครบางคนส่งไลน์มาบอกว่าจะเช็กเอาท์กลับกรุงเทพพรุ่งนี้พร้อมกัน รพีกานต์อยากหาย หัวใจถูกชโลมด้วยน้ำทิพย์แม้ร่างกายจะป่วยไข้ เผื่อตอนเย็นเขาจะแอบพายเรือมาหาอีก คิดถึงตรงนี้แล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มือบิดชายผ้าอย่างขวยเขินอยู่คนเดียว

รพินทร์กลับเข้าห้องมาอีกครั้งพร้อมหนังสือเล่มหนาและแล็บท็อป มือเรียววางทุกอย่างไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือของลูกก่อนตรงมาจูบหน้าผากมน

“แปลก คนป่วยดูหน้าชื่นนะ อ้อ เดี๋ยวพี่ณัฐจะมาดูแลนี่เนอะ”

รพินทร์เย้ายิ้ม ๆ ขณะเลื่อนผ้าแพรคลุมชิดอกให้ ตอนใส่บาตรเจอณัฐธีร์เดินมารับบิณฑบาตกับหลวงตา รพินทร์ได้บอกกล่าวแก่อีกฝ่ายแล้วว่ารพีกานต์ไม่สบาย ณัฐธีร์กระวนกระวายไม่น้อย บอกช่วยงานหลวงตาเสร็จแล้วจะรีบรี่มาเยี่ยมหา

“น้องกานต์พักผ่อนมาก ๆ นะลูก จะได้หายไว ๆ”

มืออุ่นทาบข้างแก้มลูกชาย สายตารักใคร่ห่วงใยทอดส่งให้อย่างอ่อนโยน รพีกานต์รับรู้ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งเต็มอกระคนรู้สึกผิด



ร่างหนาพายเรือมาจอดที่ท่าหลังโฮมเสตย์  ใบหน้ายกยิ้มกระหยิ่มผิวปากหวืออย่างอารมณ์ดี มือมองโทรศัพท์ที่เจ้าเพื่อนตัวดีส่งไลน์กระหน่ำเข้ามาด่ากราดอย่างอิจฉา ตอนที่เขาเฟซไทม์ให้เห็นว่ากำลังนอนอยู่กับใครแถมยังจงใจให้เห็นร่องรอยแดงพร้อยเป็นจ้ำบนแผ่นอกบาง ตอนนั้นรพีกานต์หมดแรงหลับอุตุไม่รู้เรื่อง มีแต่เขาที่ยักคิ้วประกาศชัยชนะให้เพื่อนพร้อมหอมแก้มขาวโชว์ให้เห็นจะ ๆ คาตาก่อนปิดเครื่องหนีอย่างสุขอุรา


ณัฐธีร์รี่มาหาตอนตะวันสายโด่งไปแล้วหลังช่วยงานที่วัดเสร็จ ใบหน้าพี่ชายร้อนรนอย่างห่วงใยเมื่อรู้ว่าน้องน้อยไม่สบาย แอบรู้สึกผิดเล็ก ๆ ที่เมื่อคืนเขาพาน้องร่อนทั่วงานจนลืมสังเกตท่าทีว่าน้องรู้สึกไม่ค่อยสบายหรือเปล่า ณัฐธีร์รู้สึกว่าตนเองใช้ไม่ได้ที่เผอเรอคิดถึงแต่ความสุขของตัวเองจนลืมห่วงใยน้องน้อย ทั้งที่รู้ดีว่าร่างกายน้องไม่ปกติเหมือนอย่างใครเขา ณัฐธีร์แบกความรู้สึกผิดไปเยี่ยมหาตอนรพีกานต์หลับไปแล้ว บนหน้าผากมนมีผ้าขนหนูผืนเล็กโปะลดไข้อยู่

“หลับไปซักพักใหญ่ ๆ แล้วละ”

คุณรพินทร์คลี่ยิ้มบางให้ก่อนเลี่ยงออกมาให้เขาได้อยู่กับน้อง ณัฐธีร์นั่งลงเก้าอี้ข้างเตียง มือหนากุมมือบางเขี่ยเบา ๆ ทอดมองคนหลับอย่างรักใคร่ระคนรู้สึกผิด

“พี่ขอโทษนะครับ”

ริมฝีปากหยักเรียวได้รูปจรดจูบมือขาวนวลก่อนจะเลื่อนขึ้นแตะริมฝีปากแผ่วเบาที่เปลือกตาอย่างทะนุถนอม ณัฐธีร์จ้องมองอย่างรอคอยให้น้องน้อยตื่นขึ้นมาเจอหน้า จะได้ป้อนข้าวป้อนยาเช็ดตัวให้  รพีกานต์เติบโตมาในครอบครัวที่คุณรพินทร์เลี้ยงดูดีเหลือเกิน หากเขาจะอาจเอื้อมเขาก็ต้องไม่ดึงน้องลงมาลำบาก ณัฐธีร์เริ่มมองหาหนทางมีรายได้ระหว่างเรียน โชคดีเหลือเกินที่โลกออนไลน์สมัยนี้ทำให้เส้นทางการเข้าถึงกันของสินค้าและผู้บริโภคสะดวกขึ้นมาก เขาเริ่มจับธุรกิจเปิดเพจขายของออนไลน์ อาศัยว่ามีเพื่อนและคนติดตามในเฟซบุ๊กมากพอสมควรเพราะณัฐธีร์ทำกิจกรรมพบปะกลุ่มคนหลากหลายคณะ วางแผนว่ากว่าจะเรียนจบกว่าจะหางานได้ อย่างน้อย ๆ เขาจะได้มีรายได้มาจุนเจือตัวเอง หากกิจการไปได้ดี แหวนวงสวยที่เคยเล็งเอาไว้จะได้เปลี่ยนมาติดนิ้วน้องน้อยแทนที่แหวนดอกหญ้าไร้ราคาวงเก่า แค่ได้คิดฝันเพียงเท่านี้ณัฐธีร์ก็มีความสุขล้นเอ่อจนหัวใจพองโต รอยยิ้มเคลือบบนใบหน้าอิ่มสุข รพีกานต์คือแสงสว่างแห่งความหวังที่ทำให้เขามานะพยายามไม่ย่อท้อ ณัฐธีร์จูบมือบางอย่างถนอมอีกหนขณะนั่งมองหน้าคนหลับอย่างไม่รู้เบื่อ


อัครวินท์อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อ ร่างสูงควงกุญแจรถเดินลิ่ว ๆ มาที่รถก่อนจะขับออกมาพลางคิดไปด้วยว่าเขาจะโทรนัดผู้หญิงคนไหนออกมาเที่ยวด้วย ทว่าความคิดแรกก็มีอันหยุดลงเมื่อเขาเห็นรถทะเบียนคุ้นตา อัครวินท์หักพวงมาลัยขับตามไปเรื่อย ๆ จนเห็นจุดหมายที่รถคันคุ้นตาจอด ชายหนุ่มชะลอรถแอบดูอยู่ไม่ไกล ร่างชายหนุ่มคนหนึ่งเปิดประตูก้าวลงจากรถก่อนจะเดินอ้อมมาอี๋อ๋อล่ำลากับคนขับรถ อัครวินท์กัดฟันกรอด มือหนาบีบพวงมาลัยรถแน่นกับภาพตรงหน้า ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มากดโทรออก

“ฮัลโล ฉันมีงานจะให้แกออกกำลังหน่อย”

อัครวินท์มองภาพตรงหน้าด้วยสายตาอ่านไม่ออก




Tru Tru Tru

“ฮัลโล”

“เจ้าวิน แกทำอะไรลงไป รู้ตัวบ้างหรือเปล่า”

อินทัชโพล่งเข้าประเด็นทันทีที่ลูกชายตัวดีรับสาย

“ทำอะไร”

อัครวินท์เสียงแข็งกลับไป ลิ้นดุนกระพุ้งแก้มยียวนทั้งที่รู้อยู่เต็มอกถึงสาเหตุที่พ่อของเขาถึงกับเป็นพระอินทร์ร้อนอาสน์

“ทำอะไรไว้ย่อมรู้อยู่แก่ใจ แกส่งคนไปซ้อมเก้าทำไม แกไประรานเขา เขาทำอะไรให้”

“มีหลักฐานอะไรมากล่าวหากัน ไอ้ตัวของพ่อมันอาจจะไปขวางหูขวางตาใครจนเขาคันตีนอยากกระทืบมันก็ได้นี่”

“ ‘เขา’ คนที่ว่าคงมีแต่แกนี่แหละ”

อินทัชอ่อนอกอ่อนใจกับความหัวแข็งของลูกไม่น้อย

“ปกป้องมันดีจังเลยนะ”

อัครวินท์เสียงเยาะจ้องมองตัวเองในกระจก

“วิน พ่อขอละ แค่ปู่ของแกบังคับควบคุมชีวิตพ่อเมื่อก่อนมันก็เกินพอแล้ว อย่าต้องให้ลูกของพ่อมาคอยควบคุมชีวิตพ่ออีกคนเลย”

“ผมเป็นลูกของคุณด้วยหรือ ผมเข้าใจว่าผมเป็นลูกของคนขับรถเหมือนอย่างรินเสียอีก”

อัครวินท์ทำเสียงขึ้นจมูกแค่นยิ้มหยันมองใบหน้าบิดเบี้ยวของตัวเองในกระจก

“วิน...”

อินทัชหน้าเผือดสีครางชื่อลูกชายอย่างไม่เชื่อหู ที่ผ่านมาเขาเอ็นดูไอยวริญท์เหมือนลูกแท้ ๆ ไม่น่าจะมีพิรุธให้ใครล่วงรู้ แล้วอัครวินท์รู้ได้อย่างไร

“ไม่คิดว่าผมจะรู้สินะ”

อัครวินท์แค่นยิ้มหยันอย่างสมเพชตัวเอง พ่อไปทางแม่ไปทาง ปู่ย่าเลี้ยงบำรุงบำเรอด้วยเงินทองก่ายกอง แต่หัวใจกลับมีแต่ความร้อนรุ่มไม่รู้สุข เพราะรู้ทุกอย่างหัวใจจึงเกลียดชังความรัก อินทัชยืนเงียบรอฟังเสียงลูกชายที่สิ้นศรัทธาในตัวเขา ต่อให้ตัวมายืนอยู่ตรงหน้าแต่ก็ไม่อาจคว้ามากอดเหมือนมีอะไรคอยกั้นไว้ตรงกลาง มองเห็นแต่จับต้องไม่ได้ ‘ไม่ต่างจากพระจันทร์บนผืนน้ำ’ อัครวินท์แสดงความเดียดฉันท์ขยะแขยงในสิ่งที่เขาเป็นจนถอยหนีห่าง และระรานทุกคนที่ข้องเกี่ยวกับเขา ความปวดร้าวนี้เหมือนหนามทิ่มแทงอย่างจนหนทางออก

“ต่อให้แกไม่นับถือว่าพ่อเป็นพ่อของแก แต่พ่อก็ขอบอกแกเอาไว้ตรงนี้ว่า แกเป็นลูกของพ่อ”

อินทัชย้ำเสียงหนักแน่นผ่านโทรศัพท์ อัครวินท์จ้องมองใบหน้าประพิมพ์ประพายเดียวกันชนิดดีเอนเอฟ้องอยู่บนใบหน้าโดยไม่ต้องตรวจหาในกระจก เพราะได้ชื่อว่าเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน ทั้งรักทั้งเกลียดชังสุมแน่นอยู่ในอก ทรมานทุรนทุรายเหมือนหัวใจถูกราดรดด้วยน้ำกรด

 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๑)(๐๑/๐๔/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 01-04-2016 19:15:41
จะบอกว่าสงสารณัฐที่สุดแล้วในเรื่องนี้ กานนี่ไม่สงสารเท่าไร
เพราะทำตัวเองล้วนๆ ใจง่ายไป
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๑)(๐๑/๐๔/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 02-04-2016 00:20:48
ณัฐดีจนน้ำตาจะไหล ทำไมน้า กานถึงต้องรักคนเลวด้วย โธ่ ชีวติ สงสารรพินทร์ด้วย อินทัชน่าจะเลือกหัวใจ มากกว่าความต้องการของครอบครัวทำให้คนมากมายต้องมาเจ็บปวดเพราะเขา
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๑)(๐๑/๐๔/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 02-04-2016 01:49:36
สิ่งแววดล้อมการเลี้ยงดูจากครอบครัวของกานต์กับวินแตกต่างกันมากๆ เพราะความรักทำให้น้องกานต์กล้าโกหกได้
 รอ รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๑)(๐๑/๐๔/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 02-04-2016 02:12:07
 :m31: :m31: :m31: :m31:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๑)(๐๑/๐๔/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Baitaew ที่ 02-04-2016 09:07:42
สนุกมากๆ ค่า อยากอ่านตอนต่อไปแล้วววว  :ling1: :z3: :hao7:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๑)(๐๑/๐๔/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 02-04-2016 11:36:57
ไม่อยากอ่านพาร์ทณัฐ สงสารมาก  :ling1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๑)(๐๑/๐๔/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 02-04-2016 13:23:59
จะยังไงต่อละทีนี้
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๑)(๐๑/๐๔/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 02-04-2016 13:48:03
สงสารณัฐสุดๆ  คนดีต้องเป็นพระรองเสมอ  :เฮ้อ:

ส่วนวิน ขยะแขยงสุดๆ โง่เง่า เอาแต่ใจ สารเลว เป็นตัวร้ายที่สมกับเป็นตัวร้าย หาอะไรดีไม่ได้เลย

แอบสงสัยเมื่อไหร่พระเอกจะโผล่ ค่าตัวแพงเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๑)(๐๑/๐๔/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 06-04-2016 21:26:39
อ่านแล้วสงสารณัฐอ่ะ
ถ้ารู้ความจริงว่าคนที่ตัวเองถนอมเป็นของคนอื่นไปแล้วคงใจสลาย
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๑)(๐๑/๐๔/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 06-04-2016 22:44:09
ชอบคนดี รักคนเลวซินะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๑)(๐๑/๐๔/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 07-04-2016 02:04:47
ณัฐ~~!!! น้ำตาจิไหล
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๑)(๐๑/๐๔/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: iaum ที่ 07-04-2016 17:43:05
ณัฐน่าสงสารมาก  :hao5: :o12: วินนี่ไม่ไหวนะ :angry2: :fire:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๑)(๐๑/๐๔/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 09-04-2016 21:00:10
ดีใจ ลงที่นี่ด้วย ขอหลายๆ ตอนต่อจาก 11 นะ มีพลังในการอ่านต่อเนื่องดี เพราะทำใจไม่ได้จริงๆ กับความโหดร้ายที่กานต์ได้รับ มันเจ็บ มากที่สุด
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๑)(๐๑/๐๔/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: bebe ที่ 13-04-2016 00:05:22
สนุกมากค่าา
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๒)(๑๑/๐๕/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 11-05-2016 22:22:31
เสน่หา...รักเอย
ตอนที่๑๒ กระต่ายหลงจันทร์

ยามรัก...น้ำต้มผักแสนขมยังชมหวาน
ยามชัง...แม้นน้ำตาลแสนหวานยังพาลขม
เสน่หา...สดับถ้อยมธุรสพจน์ภิรมย์
ลุ่มหลง...สมปฏิพัทธ์รติดัสกร
(รติดัสกร น. ผู้ยั่วยวนให้รัก, เจ้าชู้, เจ้าเสน่ห์)



“กานต์ตื่นแล้วหรือลูก”

รพินทร์เยี่ยมหน้าเข้ามาในห้องเพื่อดูอาการบุตรชายหัวแก้วหัวแหวน มือขาวแตะหน้าผากไล่ลงลำคอ จับตามเนื้อตัวเช็กอุณหภูมิร่างกาย ดวงตาอ่อนโยนฉายแววห่วงใยเต็มเปี่ยมจนคนเป็นลูกรู้สึกผิดในอก สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมันรวดเร็วเหมือนไฟลามโหม อัครวินท์เหมือนเปลวไฟร้อนจัดที่ได้เจอกับน้ำมัน รพีกานต์ไม่อาจทานทนต่อความลุ่มหลงที่มีในตัวเขา จากแค่เป็นห่วง กลัวเขาจะถูกยุงกัดจนป่วยไข้จึงพามาที่ห้อง แต่น้ำตาลใกล้มดมีหรือจะอดไหวจนปล่อยลามเตลิด กระนั้นก็ไม่นึกเสียใจ

“ไข้ลดแล้ว น้องกานต์จะเช็ดตัวไหมลูก หรือว่าจะอาบน้ำก่อนกินข้าวดี แต่อาบนานไม่ได้นะ เดี๋ยวไข้จะกลับ”

รพินทร์กำชับสำทับขณะมองใบหน้าเซียวเพิ่งสร่างไข้

“อาบดีกว่าครับ สบายตัวกว่า พ่อกับพี่ณัฐลงไปรอกานต์ข้างล่างก่อนนะครับ กานต์อาบไม่นาน”

รพีกานต์บอกบุพการีและพี่ชาย ยิ่งเห็นหน้าณัฐธีร์แล้วความรู้สึกผิดยิ่งทบคำรบสอง น้ำท่วมปากจนต้องหลบสายตาพี่ชายอย่างละอาย ผู้เป็นที่รักทั้งสองผละไปแต่โดยง่าย รพีกานต์พยุงกายลุกจากเตียงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอัตโนมัติอย่างเคยชิน

“คิดถึง ไปหาได้ไหม”


ข้อความสั้น ๆ แค่นี้ รพีกานต์ก็อมยิ้มแก้มตุ่ย นิ้วเรียวพิมพ์ข้อความส่งกลับไปให้อีกฝ่าย

“ตอนเย็น ๆ นะครับ เดี๋ยวกานต์ไปรอที่ท่าน้ำ”

“อยู่กับพี่ณัฐละซี ถึงให้พี่คอยตอนเย็น พี่สำคัญกับกานต์น้อยกว่าหรือครับ”


ข้อความตัดพ้อกระเง้ากระงอดส่งมาให้ รพีกานต์อ่านแล้วอดสะท้อนแปลบในใจในความใจร้ายของตัวเองไม่ได้

“อย่างอนนะครับคนดี ทั้งพี่วินและพี่ณัฐต่างสำคัญกับกานต์ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลยในคนละฐานะ กานต์จะบอกเรื่องของเรากับพี่ณัฐนะครับ”

รพีกานต์ปลอบคนใจน้อยแบบบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น

“ไม่หายโกรธหรอก คืนนี้น้องกานต์ต้องไถ่โทษให้พี่”

อัครวินท์ตอบข้อความกลับมา เมื่อเข้าใจในความหมายถ่องแท้ แก้มขาวถึงกับร้อนฉ่า

“แน้! คนทะลึ่ง!”
รพีกานต์หัวเราะคิก อมยิ้มกับความกะล่อนทะเล้นของอีกฝ่าย รอยยิ้มร้ายเจ้าเล่ห์เหมือนเด็กชายตัวร้ายที่ล่อลวงกันไม่หยุดหย่อน แค่นี้ก็หลงจะแย่

“ทะลึ่งที่ไหน เรื่องธรรมชาติของคนเป็นผัวเมียกันต่างหาก หรือกานต์จะเถียงว่าไม่ใช่ คืนนี้พี่จะได้ทบทวนความจำยาว ๆ”

อัครวินท์ยังคงรุกไล่ไม่หยุดประสาคนเจ้าชู้เจนจัด อดีตเดือนบริหารคนหล่อส่งรูปการ์ตูนสติกเกอร์กวน ๆ มาให้รพีกานต์ได้อมยิ้มขัน ก่อนรพีกานต์เองจะกดตัวการ์ตูนกวน ๆ ส่งท้าทายกลับคืนไปให้บ้าง อดคิดไม่ได้ว่าตอนนี้อัครวินท์จะทำหน้ายังไงอยู่หนอ


“ไม่รู้แหละ คืนนี้พี่จะให้กานต์ง้อพี่จนกว่าพี่จะหายโกรธ”


อัครวินท์ยังทู่ซี้ดื้อแพ่งอย่างเด็กชายตัวร้าย ไม่อยากคิดว่าถ้าอยู่ใกล้มือปลาหมึกจะป่วนซักแค่ไหน ว่าแล้วก็คิดถึงอีกแล้ว

“พี่วิน กานต์ขอไปทานข้าวกับพ่อก่อนนะครับ”


รพีกานต์จำใจตัดบทเมื่อเห็นเลยเวลามามาก ไม่ดีนักหากให้ผู้ใหญ่รอนาน


“โป้งแล้วด้วย ให้พี่กินข้าวคนเดียว มาให้หมาป่าจับกินเสียดี ๆ กระต่ายน้อย แฮ่!”

รพีกานต์ปล่อยก๊ากอย่างระงับอาการขำเอาไว้ไม่อยู่กับการ์ตูนสติกเกอร์หน้าประหลาดที่เขาส่งมาให้ สายตาปรายมองเตียง ใจเริ่มเอนเอียงอยากนอนกลิ้งบนเตียงส่งข้อความคุยกับพี่วินมากกว่ากินข้าว แต่นาน ๆ จะได้กลับบ้านมาหาพ่อ รพีกานต์จำต้องตัดใจส่งข้อความจบการสนทนาจริง ๆ เสียที ก่อนจะหลงพี่วินจนไม่เป็นอันได้กินข้าว

“กานจะไปกินข้าวแล้ว อยากกินกานต์ คืนนี้ก็มาจับให้ได้ซี แบร่!”

ปิดท้ายด้วยการ์ตูนสติกเกอร์แสบ ๆ ให้อีกคนปั่นป่วนเล่น กระต่ายน้อยอาจหาญท้าทายหมาป่าด้วยความคะนอง ความลุ่มหลงในน้ำคำป้อของอีกฝ่ายพาใจเพริดถลำอย่างยากจะควบคุม

...ยามแรกรักสมัครถ้อยร้อยคำหวาน  เหลือประมาณจะเอ่ยถ้อยร้อยคำไข
ไม้คือนกนกนั่นไม้ชี้ตามใจ   ดวงหทัยห่อนห้ามตามแต่จูง...
-มญชุ์สิตางศุ์-

รพีกานต์หย่อนโทรศัพท์ลงกระเป๋า ผลักประตูออกจากห้อง ไม่วายชะเง้อชะแง้สายตามองไปที่ท่าน้ำ นึกภาพเมื่อคืนที่อัครวินท์พายเรือมาหา สายตาแพรวพราวเกี้ยวพาหลอกล่อจนขึ้นมาถึงห้อง รพีกานต์หยุดความคิดไว้แค่นั้นอย่างเขินอาย ก่อนจะลงไปหาบิดาและพี่ชาย

รพีกานต์ทานมื้อกลางวันกับพ่อและพี่อิ่มเอมแล้วจึงย้ายไปพักผ่อนตรงท่าน้ำหลังบ้าน มีพี่ณัฐคนดีคอยเป่าขลุ่ยกล่อมเสียงหวานก้องท้องน้ำ สายตาพี่ชายหวานหยาดเยิ้มยามทอดมองน้องน้อยสุดเสน่หา หากหัวใจรพีกานต์กลับกระหวัดถึงอีกคนแทนเสียอย่างนั้นจนรู้สึกผิดต่อหัวใจซื่อตรงของพี่ชาย สายลมเย็นพัดแผ่วระต้องผิวเนื้ออ่อนเกลี่ยผืนน้ำเป็นระลอก รพีกานต์มองใบไม้ปลิวร่วงลงผืนน้ำก่อนตัดสินใจมองหน้าพี่ชายด้วยความรู้สึกหนักอึ้งสุมอก แต่อย่างไรก็ต้องบอกให้รับรู้

“พี่ณัฐ คือ...กานต์ กานต์มีเรื่องจะบอก”

“เรื่องอะไรหรือครับ”

ณัฐธีร์มองน้องตาเชื่อม รพีกานต์อึกอักพิพักพิพ่วน การเป็นความหวังทั้งหมดของชีวิตใครสักคนแล้วต้องเป็นคนทำลายความหวังนั้นลงด้วยน้ำมือตัวเอง มันช่างหดหู่และปวดร้าวในความรู้สึกเหลือเกิน

“คือ...”

รพีกานต์อ้าปากกำลังจะบอก

Tru Tru Tru

“เดี๋ยวพี่ขอรับโทรศัพท์ก่อนนะครับ เรื่องที่จะบอกด่วนไหม”

ณัฐธีร์ถามน้องน้อย รพีกานต์ส่ายหน้าเบา ๆ ทำนองให้พี่ชายคุยโทรศัพท์ก่อนเลย ดวงตากวางทอดมองท่าน้ำก่อนไล่มองย้อนขึ้นไปยังต้นทางที่อัครวินท์พายเรือมาหาด้วยสายตาละห้อยโหยหา สายตา น้ำเสียง กลิ่นกายเจือน้ำหอมราคาแพงของอัครวินท์ ทุกอย่างที่หลอมรวมเป็นเอกบุรุษคนนั้นล้วนทำให้รพีกานต์ลุ่มหลงไปหมดทั้งใจ ไม่ต่างจากกระต่ายตัวน้อยเฝ้าคอยมองพระจันทร์แจ่มจรัสอยู่ทุกวี่วันอย่างไม่คาดฝันว่าจันทร์นั้นชายตาแล ดวงตากวางเหม่อลอย หัวใจล่องลอยทวนกระแสสินธุ์ขึ้นไปหาผู้กุมหัวใจ

...พี่วิน กานต์คิดถึงพี่วิน...

“กานต์ กานต์ครับ”

ณัฐธีร์แตะแขนเล็กสะกิด คนเหม่อสะดุ้งโหยงหันมาหาหน้าตื่น

“เหม่อเชียวกระต่ายน้อย”

ณัฐธีร์บีบจมูกเล็กอย่างมันเขี้ยว

“พี่เดชเพิ่งกลับมาจากอเมริกา แวะมากราบหลวงตาที่วัด พี่อยากไปคุยกับพี่เดชหน่อย กานต์...ไปกับพี่ไหม”

ณัฐธีร์เลียบเคียงถามน้ำเสียงตื่นเต้น ด้วยไม่อยากให้น้องน้อยน้อยใจว่าเขาละเลย แต่อัศม์เดชเป็นรุ่นพี่ลูกศิษย์ก้นกุฏิหลวงตาเหมือนกัน สมัยนั้นณัฐธีร์เห็นพี่ชกมวยหาทุนเรียน แถมอุตส่าห์พากเพียรจนได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาโทถึงอเมริกาจนสำเร็จการศึกษากลับมา ณัฐธีร์นับถืออีกฝ่ายเปรียบดั่งพี่ชายแท้ ๆ พี่คว้าความสำเร็จกลับมา ณัฐธีร์จึงดีใจจนอยากไปเจอหน้าร่วมแสดงความยินดีด้วย แถมยังพารพีกานต์ไปให้พี่ได้เจอในฐานะคนรัก

“เอ่อ...กานต์”

รพีกานต์อึกอัก ใจอยากไปเยี่ยมหา เพราะไม่ได้เจอหน้ากันมาก็หลายปีนับแต่อัศม์เดชเข้ามหาวิทยาลัย แต่หากไป ที่นัดกับพี่วินไว้คงเป็นหมัน เพราะคงอยู่ล่วงไปยันเย็นจนกินข้าวเย็นด้วยกันต่อ พี่วินที่น้อยใจน้องกานต์อยู่แล้ว คงยิ่งน้อยใจหนัก ท่าทีลำบากใจของน้องน้อย ณัฐธีร์ที่มองอยู่ตีความไปว่าน้องคงยังไม่หาย คงอยากนอนพักอยู่บ้านเสียมากกว่าแต่ติดเกรงใจคนชวน

“กานต์ไปไหวไหม ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายก็อย่าฝืนนะ วันหน้ายังมีโอกาสเจอ แต่กานต์ไม่โกรธนะที่พี่ไม่ได้อยู่ดูแล”

ณัฐธีร์กุมกระชับมือขาว สายตาจ้องดวงหน้านวลอย่างรู้สึกผิด

“กานต์ไม่คิดอย่างนั้นหรอก ฝากสวัสดีพี่เดชด้วยนะครับ แล้วก็บอกพี่เดชว่า กานต์ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ไปเยี่ยมหา”

เป็นรพีกานต์เสียมากกว่าที่รู้สึกผิด กระนั้นแล้วรพีกานต์ก็ไม่อยากผิดคำพูดที่รับปากอัครวินท์เอาไว้ ร่างเล็กยิ้มบางให้ พี่ชายจึงลูบศีรษะทุยอย่างเอ็นดู

“พี่เดชรู้เรื่องของเราด้วยนะ มีแซ็วด้วยว่าหมาวัดโน้มดอกฟ้าคนใกล้ตัวมาเป็นน้องสะใภ้”

ณัฐธีร์ยิ้มละไม รพีกานต์นิ่งไปเมื่อได้ยิน ณัฐธีร์เชยคางมนจ้องเข้าไปในดวงตาคู่สวยอย่างลึกซึ้ง

“ดอกฟ้าที่พี่สุดบูชาดอกนี้ พี่จะดูแลถนอมน้ำใจเอาไว้บนหิ้ง ให้ตัวพี่มีแรงใจปีนป่ายขึ้นไปหา พี่จะดูแลกานต์ให้ดีที่สุดนะครับ น้องน้อย”

ณัฐธีร์จูบหน้าผากมน เรื่อยลงเปลือกตาก่อนจะประทับรอยจารจำสุดท้ายที่ริมฝีปาก หากรพีกานต์เบี่ยงตัวหนีก้มหน้างุด ไม่ยอมสบตา ไม่อยากให้พี่ณัฐทับรอยพี่วิน ณัฐธีร์ไม่ว่ากระไรเพราะคิดว่าน้องคงเขิน ตัวเขาจะรอคอยอดทนรออดเปรี้ยวไว้กินหวาน ยามนั้นน้องน้อยคงหอมหวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งเดือนห้าเป็นไหน ๆ

“งั้นพี่ไปหาพี่เดชก่อนนะครับ กานต์พักผ่อนมาก ๆ นะครับคนดี พรุ่งนี้ต้องกลับมหาวิทยาลัยแล้ว”

“ครับผม พี่ณัฐขับรถดี ๆ นะครับ”

รพีกานต์ยิ้มส่ง จวบจนพี่ชายลับตาไปแล้วจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เห็นพี่วินอัพไอจีเป็นรูปภาพท่าน้ำ มีกอบัวหลวงริมตลิ่งที่รพีกานต์รู้ดีว่าเป็นที่ไหน พร้อมแคปชัน

#พี่มารอน้องอยู่ท่าน้ำ

ยอดไลก์กระหน่ำตามด้วยคำถามล้านแปด ว่าเมื่อคืนพี่วินคนหล่อไปลอยกระทงกับใครที่ไหน รพีกานต์อมยิ้มขำกับคำตอบของคนกะล่อนที่มีแต่ตัวการ์ตูนแลบลิ้นให้เดากันเล่น มือเล็กกดทักไลน์คนงอแง

“พี่วินโพสต์ภาพท่าน้ำหลังบ้านกานต์ทำไมครับ”

“คิดถึงเมียหมาด ๆ เมียใจร้ายไม่ให้พี่ไปกอดไปหอม เห็นท่าน้ำก็ยังดี ถ้าพี่คิดถึงจนขาดใจตาย ศพคงลอยไปหาคนใจร้ายที่ท่าน้ำ”

“กานต์ก็นั่งอยู่ศาลาท่าน้ำ ชะเง้อแล้วชะเง้ออีก ไม่เห็นมีใครลอยมา” รพีกานต์แหย่อีกฝ่ายกลับ

“จริงหรือ แล้วพี่ณัฐของกานต์ล่ะครับ ไม่อยากให้พี่ไปเจอนี่นา” อัครวินท์ตัดพ้อเล็ก ๆ

“ไปหาพี่แล้วครับ” รพีกานต์ตอบกลับอย่างรวดเร็ว

“งั้นเดี๋ยวพี่จะรีบไปฉุด” อัครวินท์ดี๊ด๊า

“งั้นหนีขึ้นบ้านดีกว่า”

“หนีก็จะปีนหน้าต่างไปหา เอาซี เดี๋ยวเตรียมกระสอบกับเชือกไปด้วย” อัครวินท์ไม่ลดราโดยง่าย เถียงกับกระต่ายน้อย เถียงทั้งวันก็ยังไหว

“รอพี่นะ เดี๋ยวไปหา”

ข้อความสุดท้ายรอไม่นานก็ได้เห็นหัวเรือโผล่มาไม่ไกล คนพายหล่อเหลาส่งยิ้มแต้ให้ อัครวินท์ผูกเรือไว้ที่ท่า ก่อนจะรีบเข้ามาฉกหอมแก้มฟอดแล้วทิ้งศีรษะปุหนุนตักคนรอ ก่อนหันหน้าถูไถหน้าท้องราบเล่นไม่ต่างจากลูกหมาตัวน้อยออดอ้อนเจ้าของ รพีกานต์หัวเราะคิก ลูบศีรษะคนช่างอ้อนอย่างเอ็นดูลูกหมาตัวใหญ่

“กานต์เป่าขลุ่ยเป็นด้วยหรือ” อัครวินท์หันไปเห็นขลุ่ยไม้ไผ่วางอยู่ใกล้ ๆ

“พอได้ครับ แต่ไม่เก่งหรอก พี่วินอยากฟังไหม”

รพีกานต์ถามคนช่างจ้อ ยามอยากรู้อยากเห็นช่างน่าเอ็นดู อัครวินท์พยักหน้าแรง ๆ มองจ้องตาแป๋ว รพีกานต์อมยิ้มมือหยิบเลาขลุ่ยขึ้นเป่า บทเพลงหวานคละเคล้าสายลมเย็นโชยเอื่อยระต้องผิวกาย สายน้ำไหลเอื่อยเฉื่อยพาอัครวินท์หลุดออกจากความวุ่นวายของโลกภายนอก ดำดิ่งสู่ความสุขสงบอย่างประหลาด ดวงตาอ่อนโยนทอดมองสบตากับคนบนตักด้วยหัวใจรักพิศุทธิ์เต็มเปี่ยม เป็นเพราะบทเพลงหวานกับบรรยากาศพาไปใช่ไหมหนอ หัวใจกร้าวแข็งอย่างมาดร้ายจึงพลันอ่อนยวบก่อนเปลี่ยนเป็นเต้นแรงยามสบตากัน อัครวินท์กระพริบตาปริบอย่างรู้สึกประหลาดใจกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น มือสวยอย่างคนไม่เคยจับงานหนักยื่นขึ้นแตะแก้มเนียน ก่อนหยัดกายลุกขึ้นจ้องตา รพีกานต์หยุดเป่าขลุ่ย มองตาตอบ หัวใจเต้นแรง ยามอีกฝ่ายเคลื่อนใบหน้าเข้าหา ด้วยรสหวานซาบซ่านเมื่อคืนยังติดปลายลิ้นไม่คลาย

“เอ่อ...”

เสียงหนึ่งขัดขึ้น สองร่างสะดุ้งโหยงผละออกจากกัน รพีกานต์ลนลานปั้นหน้าไม่ถูกเงยหน้ามองบิดา รพินทร์มองบุตรชายก่อนเบนสายตามาที่อีกหนึ่งชาย

เหมือนมีบางอย่างแล่นปราดกระแทกเข้าที่หัวใจอย่างจัง เลือดในกายรพินทร์เย็นเฉียบกะทันหัน ทั้งร่างนิ่งค้างเหมือนถูกสาป สายตาจ้องมองอัครวินท์อย่างตกตะลึง มือไม้อ่อนแรงจนของในมือร่วงหล่นลงพื้นไม่รู้ตัว

“อินทัช...”

ริมฝีปากครางแผ่วหลุดชื่อใครคนหนึ่งออกมา สายตายังจับจ้องอัครวินท์ไม่วางตา ใครคนหนึ่งที่ยังซุกซ่อนอยู่ส่วนลึกสุดของใจสะกิดความทรงจำเก่าก่อน ทั้งที่คิดว่าเผลอลืมไปแล้วด้วยซ้ำ

“พ่อครับ”

รพีกานต์ผุดลุกมาเก็บของที่ร่วงหลุดมือให้ผู้เป็นพ่อ รพินทร์ได้สติกระพริบตาปริบ สูดลมหายใจลึกปรับอาการตื่นตกใจให้เป็นปกติ หันถามบุตรชาย

“แล้วนี่น้องกานต์อยู่กับใครหรือครับ พ่อได้ยินเสียงขลุ่ยเลยว่า...เอ่อ ว่าจะมานั่งด้วย ได้ปูสด ๆ กับปลาทูมาพอดี”

รพินทร์พยายามอย่างยิ่งยวดในการประคองน้ำเสียงที่เปล่งออกมาไม่ให้ผิดสังเกต หลากหลายความรู้สึกประเดประดังเข้ามายามมองใบหน้าของชายหนุ่มรูปงามที่โขลกแบบมาจากอินทัชไม่ผิดเพี้ยน เหมือนจนน่าตกใจราวกับอินทัชข้ามห้วงมิติเวลามานั่งอยู่ตรงหน้าไม่ปาน

“เอ่อ...นี่พี่วินครับ รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย พอดีพี่วินมาเที่ยวแถวนี้เลยแวะมาหา พี่วินเช่าห้องอยู่โฮมสเตย์เหนือน้ำบ้านเราขึ้นไปน่ะครับ”

รพีกานต์ตอบตะกุกตะกักไม่เต็มเสียงนัก ด้วยสายตาคมคายคอยจ้องมองอย่างล้อเลียนอยู่ตลอด อัครวินท์เบนสายตาจากรพีกานต์หันมายกมือประนมไหว้รพินทร์อย่างนอบน้อม รพินทร์มองใบหน้าหล่อเหลา เพียงแค่เหลือบตาขึ้นมาสบตาก็ยังดูเหมือนอินทัช

“สวัสดีครับ”

อัครวินท์เอ่ยเสียงนุ่ม ยิ้มมุมปากอย่างฝากเนื้อฝากตัว รพินทร์ยกมือขึ้นรับไหว้ เหมือนมีก้อนแข็งแล่นจุกคอ แค่นน้ำเสียงตอบรับยากเย็น...แม้แต่น้ำเสียงก็ยังคล้ายอินทัช

“ไหว้พระเถอะ ตอนเย็นอยู่กินข้าวด้วยกันนะครับ พ่อได้ปูสด ๆ กับปลาทูมาพอดี เย็นนี้น้องกานต์อยากกินอะไรดีครับ”

รพินทร์พูดกับอัครวินท์ก่อนหันเหไปถามบุตรชาย

“กานต์อยากกินต้มกะทิสายบัวปลาทู แกงส้มดอกโสนปู แล้วก็น้ำพริกจะเด็ดเจ็ดดอกฟ้าครับ” รพีกานต์ว่าเสียงแจ๋ว

“แล้ววินล่ะ อยากกินอะไร กินเผ็ดได้ไหม แพ้อาหารอะไรหรือเปล่า พ่อจะได้เลี่ยง”

รพินทร์ใจคอไม่สู้ดีนักยามสบตากับเพื่อนรุ่นพี่ของลูก แต่เพื่อความปลอดภัยจำต้องถามไถ่กันก่อนเพราะการแพ้อาหารอาจถึงแก่ชีวิตได้

“ไม่แพ้อะไรครับ แต่กินเผ็ดมากไม่ค่อยได้ เมนูที่น้องกานต์บอกมาน่ากินแล้วครับ”

อัครวินท์ตอบ รู้สึกดีในความเอาใจใส่ของคนบ้านนี้

“เดี๋ยวกานต์จะพายเรือไปเก็บสายบัวกับดอกโสนนะครับ” รพีกานต์ขันอาสาหน้าชื่น

“กานต์เพิ่งสร่างไข้นะลูก พายเรือไปเก็บสายบัว เกิดหน้ามืดหัวคะมำตกน้ำตกท่าขึ้นมาจะแย่ สายบัวกับดอกโสนหาซื้อที่ตลาดเอาก็ได้”

“คือ...กานต์อยากพาพี่วินไปเที่ยวด้วยน่ะครับ”

รพีกานต์หลบสายตาว่าเสียงอ่อย แค่นี้รพินทร์ก็ดูออกซึ่งความสัมพันธ์แล้ว แล้วณัฐธีร์เล่า รพีกานต์จะมีคำอธิบายเช่นไรกันหนอ คนหนึ่งหล่อคมขำคอยเอาใจเช้าถึงเย็นถึง อีกหนึ่งตรงหน้างามสง่าราศีจับอย่างผู้ลากมากดี ผิวพรรณเนื้อนวลขาวผ่องดุจเคลือบมุก หล่อเสลาต้องตาต้องใจ ทว่าสายตาแพรวพราวเหลือเกิน

“เดี๋ยวผมพายเรือพาน้องกานต์ไปก็ได้ครับ จะได้ชมเรือนไทยริมน้ำแถวนี้ด้วย” อัครวินท์ขันอาสา รพินทร์หมดคำจะแย้งต่อ

 “งั้นเดี๋ยวพ่อจะนึ่งปลาทูแกะเนื้อไว้ให้ แล้วก็จะย่างกะปิกับสับปูไว้รอ วันนี้น้องกานต์จะลงมือทำให้พี่เขาชิมเองไหม”

“ครับพ่อ”

รพีกานต์พยักหน้าหงึกหลบสายตาผู้เป็นพ่อวูบ จากนี้คงได้ซักกันยาว

“งั้นเดี๋ยวพ่อขึ้นบ้านก่อน กานต์จะไปก็อย่าลืมสวมหมวก เพิ่งสร้างไข้ไปตากแดดเดี๋ยวไข้กลับ”

รพินทร์กำชับก่อนหันหลังกลับเดินขึ้นบ้าน แอบระบายลมหายใจอ่อนที่พ้นความอึดอัดมาได้ พี่วินของกานต์ละม้ายอินทัชเหลือเกิน ประพิมพ์ประพายคล้ายว่าโขลกแบบกันมา หรือว่า...

“ไม่หรอก คงไม่ใช่ลูกของอินทัช โลกคงไม่กลมขนาดนั้นหรอก”

รพินทร์ส่ายหน้าระบายลมหายใจพรู เหลียวมองบุตรชายก่อนขึ้นบ้านอีกหน ชะรอยรักสามเส้าตั้งเค้าเกิดขึ้นเสียแล้ว



ร่างสมสัดส่วนของรพินทร์เปิดประตูเข้าห้อง ก่อนตรงเข้าไปเปิดลิ้นชักหยิบกล่องเหล็กถอยออกมานั่งบนเตียงเปิดฝากล่องออก รูปถ่ายในวันวานของตนกับอดีตคนรักฝังตัวอยู่ในวันวานเหนียวแน่น แม้ชีวิตประจำวันจะวุ่นวายจนเผอเรอหลงลืมไป แต่พอวันนี้ที่ได้เจออัครวินท์ ความทรงจำตกผลึกคล้ายจะหวนกลับมาอีกหน

โอ้ว่ารักเอย...
แรกรักมักหอมอวลยวนกลิ่นกุสุมา     สุดถวิลพร่ำร่ำหาค่ำสาย
ภุมรีเชยชิดชมสมปองหน่าย                   ดรุณไห้รำพัน รักนั้นคือลวง
-มญชุ์สิตางศ์-

 :mew1: ลองหัดแต่งกลอน
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๒)(๑๑/๐๕/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 11-05-2016 22:52:27
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๒)(๑๑/๐๕/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 12-05-2016 00:30:57
แม่นาง กว่าจะมาไอเราก็ลงแดงตาย
หาคู่ให้พี่ณัฐด้วยนะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๒)(๑๑/๐๕/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 12-05-2016 02:20:55
อย่าทำให้ลืมเลยได้โปรด
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๒)(๑๑/๐๕/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 12-05-2016 21:19:34
หายไปนานน่ะเนี่ยแต่กลับมาเราก็ดีใจ :mew2:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๒)(๑๑/๐๕/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Biwty... ที่ 13-05-2016 21:41:29
 :katai5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๓)(๒๕/๐๕/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 25-05-2016 16:28:02
เสน่หา...รักเอย ตอนที่๑๓

กลิ่นแก้มนวลชวนชื่นพี่รื่นหลง    บุษบงอวลกลิ่นรวินท์หวาน
พี่ฝังจูบสูดกลิ่นแก้มรพีกานต์     ชื่นดวงมานกานต์แก้วแพร้วพิไล
[/color]
-มญชุ์สิตางศุ์-


 “ว่าจะถามหลายรอบแล้วก็เผลอลืม ไม่ยักรู้มาก่อนว่าพี่วินจะพายเรือเป็นด้วย”

รพีกานต์เอ่ยเย้ายิ้ม ๆ ขณะใช้มือวักน้ำเล่น มุมปากฉีกยิ้มกว้างอวดแนวฟันขาวสะอาดเรียงเป็นระเบียบ ยิ้มทั้งดวงหน้าและดวงตาทอประกายสดใส

“พี่เคยพายเรือแคนู เรือคายัคน่ะ เรือพายธรรมดาก็ไม่ยากเท่าไหร่”

อัครวินท์บอกขณะจ้วงไม้พายจ้ำลงน้ำพาเรือลำน้อยเลียบล่องไปตามคลองผ่านเรือนริมน้ำ บรรยากาศอวลไปด้วยกลิ่นอายความสุขสงบ สายตาคมกริบจ้องมองดวงหน้าผ่องผัดเพียงแป้งเด็กไม่วางตา

“กานต์หน้าคล้ายแม่หรือ”

อัครวินท์เอ่ยปากถามอย่างไม่คิดอะไร แต่ใบหน้าคนฟังสลดลงวูบหนึ่ง ก่อนเปิดปากบอกตามตรง

“อันนี้กานต์ก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ตั้งแต่เกิดมา กานต์ก็ถูกนำมาทิ้งไว้ที่ถังขยะหน้าบ้านคุณพ่อรพินทร์ตั้งแต่สายสะดือยังไม่ทันแห้ง ด้วยความเมตตาของคุณพ่อ กานต์เลยอยู่สุขสบายดีมาจนถึงตอนนี้”

รพีกานต์ไม่เคยคิดอยากปกปิดชาติกำเนิดตน ตรงกันข้าม หนุ่มน้อยกลับเต็มใจบอกให้รับรู้เสียด้วยซ้ำ ว่าคุณพ่อรพินทร์มีน้ำใจต่อคนที่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกันแค่ไหน

“พี่ขอโทษที่ละลาบละล้วง พอดีเห็นกานต์หน้าไม่ค่อยคล้ายพ่อเท่าไหร่ ส่วนพี่น่ะเบ้าหน้าถอดแบบบล็อกพ่อมาเลยเต็ม ๆ แต่ริมฝีปากกับผิวนี่ได้แม่มา” 

ริมฝีปากอัครวินท์สวยบาง มุมปากโค้งขึ้นเหมือนกำลังยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ตลอด ยิ่งเจอสายตาแพรวพราวเข้าไป มองไปที่ใคร คนนั้นมักจอดไม่แจวตลอด

“ดีจัง ผิวพี่วินสวยกว่ากานต์เสียอีก ทั้งขาวทั้งเนียนละเอียด จะว่าไปแล้วดูดี ๆ พี่วินนี่ก็สวยอยู่นา”

ยิ้มหวานกระเซ้าเย้าแหย่คนรูปหล่อ ผิวพี่วินขาวราวเคลือบมุก เนียนไม่ต่างจากผิวผู้หญิง สวยกว่าไอยวริญท์คนน้องเสียอีก ด้วยชาติกำเนิดดีจากทั้งฝ่ายบิดาและมารดา

“ขนลุกน่า สวยอะไร ตัวพี่โตอย่างกับช้างเผือก สูงล่ำ ปล้ำกานต์ง่ายออกขนาดนี้”

อัครวินท์ยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อสามารถปล่อยหมัดฮุกให้คนแก้มแดง อ้าปากพะงาบ ๆ ได้

“ไม่พูดด้วยแล้ว”

คนเถียงไม่ขึ้นแกล้งเฉไฉเปิดกล่องทัพเพอร์แวร์ หยิบฝรั่งขี้นกไส้แดงที่สับเป็นชิ้นแล้วออกมาจิ้มพริกเกลือส่งเข้าปาก เหล่มองคนแจวเรือหน่อยหนึ่งก่อนลอยหน้าลอยตากินฝรั่งต่อ อัครวินท์มองเขม้นคนตัวเล็กอย่างมันเขี้ยว

“ใจร้ายนะคนเรา เดี๋ยวก็ปล้ำบนเรือเสียนี่ มันเขี้ยวนัก”

คนฟังหูผึ่งอ้าปากค้าง ฝรั่งแทบหลุดมือ

“พี่วิน!”

“ไม่อยากให้ปล้ำก็หยิบฝรั่งป้อนพี่เสียดี ๆ ป้อนช้าพี่จูบ”

อัครวินท์หรี่ตาคาดโทษอย่างเป็นต่อ ปากหยักบางสีอ่อนอ้ารับชิ้นฝรั่ง สายตาคมคายมองคนหน้างออย่างขบขัน ถ้าเป็นพี่ณัฐคงหงอยอมอ่อนให้น้องน้อย แต่นี่เป็นพี่วิน เอะอะเลยจะหาเรื่องปล้ำน้องกานต์ท่าเดียว รพีกานต์ได้ยินคำขู่ก็รีบหยิบฝรั่งป้อนพร้อมค้อนงาม ๆ แถมให้ อัครวินท์อ้าปากงับ เคี้ยวกร้วม ๆ หัวเราะหึ

“งอนพี่ดุหรือ งั้นพี่ยอมให้หอมแก้มพี่เลยเอ้า”

ทำแก้มพองลมข้างหนึ่งพลางบุ้ยใบ้เอียงแก้มให้หอมท่าทีทะเล้น รพีกานต์ฉวยดอกผักตบชวาที่ลอยมาตามน้ำได้เลยเหน็บทัดให้ที่ใบหู

“ผู้ชายพายเรือ”

ยักคิ้วหลิ่วตายั่วล้ออย่างสนุกสนาน มือเล็กถอดงอบบนศีรษะตัวเองสวมให้ก่อนถอยออกมามองหัวเราะเอิ้กอ้าก

“กานต์ขอเก็บรูปพี่วินรูปนี้หน่อยนะครับ”

รพีกานต์ฉวยโทรศัพท์ที่ใส่ซองกันน้ำแล้วขึ้นมาชักภาพ มือลดโทรศัพท์ลงชมผลงานตัวเองหัวเราะคิกคักก่อนกดส่งไลน์ให้นายแบบดูบ้าง อัครวินท์มองคนแจกยิ้มฟุ่มเฟือยแล้วอดยกยิ้มตามอย่างเอ็นดูไม่ได้ มิน่าเล่า เจ้ามดแดงณัฐธีร์ถึงได้เฝ้ารักเฝ้าหวงขนาดนี้ รอยยิ้มสว่างสดใสเหมือนแสงตะวันสาดส่อง พลอยทำให้คนมองสบายใจไปด้วย...หากจะหลงรัก ก็คงเพราะหลงรอยยิ้มจุดประกายสว่างโลกนี่ละมัง

“ถ้ามีสายบัวบนเรือด้วยนี่เจ๋งเลย ขากลับเดี๋ยวถ่ายอีก เอ้า เร้ว พ่อค้าสายบัวมาแล้วจ้า พี่วินบัวสายขายถูก ๆ แถมฟรีหอมแก้มพ่อค้าด้วยเอ้า”

ป้องปากร้องแซ็วพร้อมฉีกยิ้มกว้างจนตาหยี ลักยิ้มบุ๋มตรงมุมปากนั่นน่ามันเขี้ยวจนอัครวินท์นึกอยากดึงตัวเข้ามาฟัดแก้มแรง ๆ นัก มนตร์เสน่ห์รอยยิ้มพิมพ์ใจทำให้หัวใจคนกร้าวละสายตาไปไม่ได้ จากแค่ว่าจะมาหลอก เลยชักจะลังเล

“แกล้งพี่หรือ เดี๋ยวมีคนอื่นมาหอมจริง ๆ ชะรอยคนแถวนี้จะหน้างอคอหัก”

อัครวินท์ดึงไม้พายวางข้างลำเรือ กายหนาเคลื่อนเข้ารั้งตัวบางฝังจมูกหอมฟอดเข้าให้

“นี่แน่ะ มันเขี้ยว”

หอมแก้มแล้วเลื่อนไปหอมคอ ซุกไซ้ให้ตัวแสบจักจี๋เล่น

“ฮ่า ๆ ๆ พี่วินอย่างแกล้งกานต์ เดี๋ยวเรือคว่ำ”

“กานต์ก็อยู่นิ่ง ๆ ให้พี่หอมซี เรือคว่ำก็เล่นน้ำคลองกันนี่แหละ”

อัครวินท์รัดตัวเล็กกว่าจมอก ตัวไม่ได้เล็กนุ่มนิ่มเหมือนอย่างผู้หญิง แต่ก็จับเล่นได้เต็มมือ

“มัวโอ้เอ้ เดี๋ยวพ่อจะดุเอาน้า”

“กานต์ก็บอกพ่อไปซี ว่าพี่ขอหอมแล้วไม่ให้ พี่เลยต้องใช้กำลังจนเรือคว่ำ พลอยทำให้กลับบ้านช้า”

“พี่วินอ่า”

“ว่ายังไง จะยอมให้หอมดี ๆ ไหม”

“อายคนเขา”

บอกพร้อมชะเง้อชะแง้สอดส่องสายตาดู

“กานต์จะให้พี่หอม หรือกานต์จะหอมพี่ เลือกเอา”

“แน้ ขี้ตู่ มีแต่ตัวเลือกให้กานต์ขาดทุนอยู่เรื่อย แบร่ ไม่หอมหรอก ไม่ให้หอมด้วย”

บอกพร้อมหันหลังให้ อัครวินทร์แอบเห็บใบหูแดงพ้นปอยผม ร่างใหญ่ฉวยโอกาสอีกฝ่ายไม่ระวังตัว โน้มกายเคลื่อนใบหน้ากดจูบลงที่ท้ายทอยเข้าให้ พร้อมยักคิ้วหล่อล้อเลียนคนทำตาโตที่หันขวับมามอง

“หอมกานต์ตรงไหนก็หอมทั้งตัวเนอะ”




เรือลำน้อยล่องมาจนถึงที่หมาย รพีกานต์ชี้มือให้ชายหนุ่มพายเรือเข้าไปใกล้ ๆ บัวสายที่หมายตา

“พี่วินเก็บสายบัวดอกสีขาวเยอะ ๆ นะครับ น้ำแกงจะได้สีจะไม่เข้มมาก”

บอกพลางเอื้อมตัวดึงก้านบัว อัครวินท์เงอะงะลองดูบ้าง รพีกานต์เหลือบมองอมยิ้มแซ็ว

“ระวังตกน้ำน้า”

“ถ้าพี่ตก พี่จะดึงคนแถวนี้ลงไปว่ายน้ำเล่นด้วยกัน”

“ไม่เอา กว่าจะพายเรือกลับ เดี๋ยวกานต์หนาวไข้กลับ ถ้าพี่วินอยากเล่น ไปเล่นหลังบ้านดีกว่านะ ขากลับเราต้องแวะเก็บดอกโสนกับดอกผักตบไทยด้วยนา วันนี้กานต์จะโขลกน้ำพริกให้คนบางคนเผ็ดจนลิ้นห้อย”

“ถ้าพี่เผ็ด พี่ก็จะใช้น้ำบ่อน้อยของใครบางคนนี่แหละช่วยดับ”

อัครวินท์ขู่สายตาเจ้าเล่ห์ คนเถียงไม่ขึ้นแก้มร้อนวูบวาบ ก้มหน้างุดเอื้อมมือดึงสายบัวใส่กระจาดไม่ยอมสบตา


เก็บสายบัวได้จำนวนที่พอใจแล้วจึงพากันกลับ มือเล็กชี้ไม้ชี้มือให้ชายหนุ่มพาแวะข้างตลิ่ง ดอกโสนสีเหลืองน่ากินถูกเด็ดใส่ถุง มีดอกผักไทยสีม่วงถูกเก็บไปด้วย อัครวินท์มองสีหน้าเปื้อนยิ้มอย่างปริ่มสุข ก่อนกวาดสายตามองทัศนียภาพที่เงียบสงบโดยรอบ สายน้ำไหลเอื่อยเฉื่อยเหมือนเวลาหยุดนิ่ง ไม่เร่งไม่รีบ แตกต่างจากสภาพแวดล้อมที่เขาคุ้นเคยอย่างสิ้นเชิง

“พี่วินชอบที่นี่ไหม เบื่อหรือเปล่าครับ”

“ก็เงียบดี ปกติวันหยุดพี่คงเมาค้างเพิ่งตื่น ตื่นแล้วก็เตรียมไปเที่ยวต่อ” อัครวินท์บอกตามตรง

“นาน ๆ หนีความวุ่นวายมาเปลี่ยนบรรยากาศเป็นหนุ่มบ้านคลองก็สนุกดี”

รพีกานต์คลี่ยิ้มกว้างเมื่อได้ยิน มือเล็กฉวยโทรศัพท์ขึ้นมาชักภาพอีกรอบ หนุ่มหล่อผิวขาวหยวกสวมงอบกำลังถือไม้พายพายเรือ ตรงหน้าเป็นกระจาดบรรจุสายบัว อัครวินท์ส่งโทรศัพท์ให้รพีกานต์ถ่ายให้ ทั้งนั่งซ้อนกันเซลฟี่สนุกสนาน หลังอดีตเดือนบริหารฯ อัพรูปลงไอจีไม่นาน ยอดไลก์ยอดคอมเมนต์ก็กระหน่ำตามมาไม่ขาด ถึงขนาดเพื่อน ๆ ในกลุ่มส่งไลน์มาแซ็ว รพีกานต์จึงเปลี่ยนเป็นฝ่ายพายเอง ปล่อยให้ชายหนุ่มได้คุยไลน์กับเพื่อน

“เชี่ยวินติดใจไปฝากตัวเป็นลูกเขยบ้านสวนแล้วหรือมึง ได้กินเข้าหน่อย กู่ไม่กลับเลยหรือวะ”
“ก็ไม่เลว ไม่ท้องด้วย จะได้ไม่ต้องหาเรื่องจับกู”
“ไอ้ห่า ได้หลังลืมหน้าชัด ๆ”
“กูได้หมดแหละ คั่วเล่น เบื่อก็ค่อยทิ้ง”

อัครวินท์ตอบอย่างไม่ยี่หระ สายตาเหลือบมองร่างเล็กตรงหน้า ปกติเขาเล่นแต่กับพวกนิสัยแรง ๆ เซ็กซ์เฟรนด์ ไม่ผูกมัด ไม่ค่อยชอบแบบพวกบริสุทธิ์ผุดผ่องเพราะยังไม่อยากได้แม่ของลูกตอนนี้ ด้วยนิสัยอย่างเขายังอยากจะไปต่อเรื่อย ๆ แต่รพีกานต์เป็นผู้ชาย คงไม่ยุ่งยากอะไร



รพินทร์เตรียมเครื่องปรุงไว้ให้หมดแล้วตอนรพีกานต์กลับมาพร้อมกับรุ่นพี่ร่างสูงใหญ่ ร่างเล็กกุลีกุจอนำสายบัวมาลอกเปลือกหั่นท่อน ชะเง้อคอเห็นพ่อกำลังเดินไปเก็บดอกฟ้าทั้งเจ็ดมาเป็นเครื่องเคียงน้ำพริกให้ก็อมยิ้ม อัครวินท์หันรีหันขวางไม่รู้จะช่วยอะไร ด้วยเห็นคนอื่นต่างมีงานในมือกันหมด

“พี่วินนั่งดูกานต์ทำก็ได้ ทำไม่เป็นก็ไม่ต้องช่วยหรอก เดี๋ยวกานต์ทำให้กินนะครับ”

รอยยิ้มสดใสถูกส่งให้อย่างจริงใจ อัครวินท์มองร่างเล็กลอกเปลือกบัวอย่างคล่องแคล่วจนเสร็จเรียบร้อยจึงนำไปล้าง พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ ก่อนหันมาคว้าครกหิน หย่อนพริกไทยเม็ด หอมแดง กะปิ โขลกพอหยาบแล้วละลายเครื่องที่โขลกเข้ากับกะทิ ยกขึ้นตั้งไฟรอเดือด ระหว่างตั้งไฟรพีกานต์ยืนคอยคนกะทิอยู่ตลอดเพื่อไม่ให้แตกมัน พอกะทิร้อนจึงหย่อนเนื้อปลาทูนึ่งที่แกะก้างแล้วลงไป รอให้เดือดอีกหนจึงใส่สายบัวต่อ อัครวินท์ชะเง้อคอมองสิ่งที่อยู่ในหม้อ รพีกานต์หันมายิ้มให้ รอสายบัวนิ่มจึงปรุงรสด้วยเกลือ น้ำปลา น้ำมะขามเปียก คนให้ละลายจึงตักชิมรส

“พี่วินชอบรสนี้ไหม”

รพีกานต์ตักน้ำแกงใส่ช้อนกลางส่งให้ลองชิม อัครวินท์นิ่งไปทันทีที่น้ำแกงแตะปลายลิ้นรับรู้รส

“อร่อย”

เอ่ยสั้น ๆ อย่างนึกทึ่งในรสมือ รพีกานต์ยิ้ม ปิดฝาหม้อ ปิดแก๊ส หมุนตัวหันมาหาเมนูใหม่ ‘แกงส้มดอกโสนปู’ พ่อรพินทร์ล้างและสับเนื้อปูไว้ให้แล้ว ร่างเล็กจึงหันมาที่ดอกโสนที่เพิ่งเก็บมาพร้อมสายบัว

“พี่วินเด็ดดอกโสนออกจากก้านได้ไหม”

รพีกานต์ถามพลางทำให้ดู แอบหัวเราะคิกตอนเห็นคนหล่อเงอะงะ มือเรียวหยิบดอกโสนมาช่วยเด็ดก้านออกจะได้เสร็จเร็วขึ้นพลางบอก

“เสร็จแล้วพี่วินเอาดอกโสนไปล้างน้ำ แล้วพักให้สะเด็ดน้ำนะครับ ทำได้ไหมเอ่ย” รพีกานต์ลองถามยิ้ม ๆ

“ได้ พี่ทำได้ เคยเห็นแม่ครัวทำ”

อัครวินท์พยักหน้าแรง ๆ ผุดลุกจากพื้นกระวีกระวาดนำดอกโสนไปล้าง มีน้ำหกกระเซ็นเลอะบ้างนิดหน่อยให้คนมองอดอมยิ้มขำไม่ได้

“เบา ๆ นะครับ เดี๋ยวช้ำ”

รพีกานต์เอ่ยสำทับแล้วหันมาโขลกเครื่องปรุง โดยมีอัครวินท์คอยมองอยู่ตลอด รพีกานต์บรรเลงจนครบถ้วนกระบวนความอร่อย จนได้น้ำแกงร้อนๆ หอมฉุยตักใส่ช้อนให้ลองชิม อัครวินท์ถึงกับท้องร้องประท้วง อยากจะได้ข้าวสวยร้อน ๆ สักจานขึ้นมาทันที

“กานต์ทำกับข้าวอร่อยมาก อร่อยกว่าร้านประจำที่พี่เคยไปกินเสียอีก”

อัครวินท์ชมเปาะจากใจจริง เพราะนอกจากจะเป็นเมนูต้นตำหรับหากินได้ยากแล้ว รสมือคนทำอย่างรพีกานต์ยังหาตัวจับยาก

“กานต์ช่วยพ่อทำบ่อยน่ะครับ ถ้าพี่วินได้กินฝีมือพ่อ ไม่ก็ฝีมือคุณอาธุ ญาติคุณพ่อนะ จะยิ่งติดใจกว่านี้ ฝีมือกานต์ธรรมดาไปเลย”

“ขนาดนี้ยังว่าธรรมดา ชักอยากจะให้กานต์ทำให้พี่กินคนเดียวตลอดชีวิตแล้วซี”

อัครวินท์สัพยอก สายตาเจ้าชู้ไก่แจ้วาววับจนคนถูกมองก้มหน้างุดเปิดโอกาสให้เสือเจ้าเล่ห์กอดเอวหมับ ฝังจมูกหอมฟอด หอมไม่หอมเปล่า จมูกซุกซนยังคลอเคลียซุกไซ้ซอกคอหอมจนคนถูกรุกรานจักจี๋จนต้องหดคอร้องห้าม

“พี่วินอย่า เดี๋ยวพ่อเห็น เหลือน้ำพริกจะเด็ดอีกหนึ่งอย่าง พี่วินไปอาบน้ำก่อนก็ได้นะครับ คุณพ่อไปเก็บดอกฟ้าทั้งเจ็ดคงเกือบมาแล้ว เดี๋ยวกานต์จะตำน้ำพริกจะเด็ดกับเจ็ดดอกฟ้าให้ลองชิม น้ำพริกคนเจ้าชู้”

รพีกานต์หน้ายู่พลางบีบจมูกโด่งอย่างมันเขี้ยว อัครวินท์พยักหน้าหงึกทำตามอย่างว่าง่าย ด้วยรสชาติอาหารฝีมือคนตัวเล็กทำเอาน้ำลายสอ แต่ก่อนไปไม่วายกดจูบปากนุ่มหนัก ๆ แล้วรีบผละออก ก่อนเผ่นแผล็วออกจากห้องหน้าทะเล้น ทิ้งให้อีกคนแก้มร้อนฉ่าอ้าปากค้าง

“พี่วินไปไหนแล้วลูก”

รพินทร์เอ่ยถามขณะถือตะกร้าบรรจุดอกไม้สำหรับเครื่องเคียงน้ำพริกเดินเข้ามาในครัว

“กานต์บอกให้ไปอาบน้ำครับ ท่าจะหิว บอกปุ๊บรีบไปปั๊บ”

รพีกานต์บอกยิ้ม ๆ นึกเอ็นดูนิสัยเด็ก ๆ ในบางมุมของอีกฝ่าย

“ไปทำอีท่าไหน หนุ่มหล่อขนาดนี้ถึงตามมาหาที่บ้านได้”

รพินทร์ถามเปิดประเด็นเมื่อสบโอกาส ขณะมือสาละวนล้างดอกฟ้าทั้งเจ็ดอันประกอบด้วย ดอกผักตบไทย ดอกอัญชัน ดอกกาหลง ดอกแค ดอกดาหลาสีปูน ดอกเข็ม และดอกต้อยติ่ง

“พี่วินเป็นพี่ชายเพื่อนสนิทในกลุ่มของกานต์น่ะครับ เลยรู้จักกัน”

รพีกานต์อ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียงนัก

“คงไม่ใช่แค่รู้จักธรรมดาล่ะมั้ง พี่เขาถึงตามกานต์มาถึงที่นี่ แล้วนี่พี่ณัฐรู้ไหม”

รพินทร์ยังคงซักน้ำเสียงเรียบเรื่อย

“พี่ณัฐไม่รู้ครับ กานต์...กานต์ไม่รู้จะทำยังไงดี กานต์...คือกานต์”

รพีกานต์อึกอัก ร่างเล็กไม่ชินกับการโป้ปดด้วยไม่ใช่นิสัย เมื่อถูกถามจึงไม่รู้จะตอบบุพการีเช่นไร

“กานต์รักพี่วินหรือลูก”

รพินทร์ถามตามตรงด้วยแน่ใจว่ามองไม่ผิด รพีกานต์พยักหน้าหงึกแทนคำตอบ

“แน่ใจนะว่ารัก ไม่ใช่หลงความหล่อ หลงคารมพี่เขา”

รพินทร์ถามอย่างห่วงใยหาใช่อยากคาดคั้นกดดันลูก ด้วยสายตาของอัครวินท์นั้น คนอาบน้ำร้อนมาก่อนเห็นแล้วใจคอไม่สู้ดี กลัวว่าไม่แคล้ว แก้วตาดวงใจของตนจะน้ำตาจะเช็ดหัวเข่า

“กานต์คิดถึงแต่พี่วินตลอดครับ อยู่กับพี่ณัฐก็คิดถึงพี่วิน กานต์ไม่ได้อยากให้พี่ณัฐเสียใจเลยนะครับ กานต์พยายามปฏิเสธพี่วินแล้ว แต่กานต์ทำไม่ได้ กานต์...กานต์รักพี่วินครับพ่อ”

ดวงหน้านวลอ้อยส้อยเหมือนเด็กน้อยกลัวถูกตำหนิ รพินทร์ระบายลมหายใจพรู ทิ้งตัวลงนั่งตรงหน้า มืออ่อนโยนลูบศีรษะบุตรชายถ่ายทอดความห่วงใยเต็มเปี่ยม ก่อนเอ่ยเตือนสติลูกรัก

“กานต์ครับ กานต์ทั้งรักทั้งหลงพี่วินเข้าเต็มเปาแล้วนะลูก แถมหลงมากเสียด้วย กานต์ต้องเผื่อใจไว้บ้างนะครับ ศึกษานิสัยใจคอพี่เขาแล้วก็ต้องเผื่อใจไว้เจ็บ คนสมัยนี้รักง่ายหน่ายเร็วกานต์ก็เห็น ที่พ่อเตือนไม่ใช่ว่าคิดห้ามปรามขัดขวาง แต่เพราะพ่อไม่อยากให้กานต์ของพ่อต้องเจ็บช้ำเพราะน้ำคำคนลวง กานต์เข้าใจที่พ่อบอกไหม”

รพินทร์เตือนลูกรักด้วยความอาทร ด้วยรู้ดีว่าเรื่องของหัวใจ ใช่ว่าใครจะควบคุมได้ ยิ่งวัยอย่างรพีกานต์ด้วยแล้ว ยิ่งถูกห้ามปรามขัดขวางมีแต่จะยิ่งเตลิด

“กานต์เข้าใจครับ แต่พี่วินบอกว่าเลิกกับทุกคนเพื่อกานต์ และกานต์เองก็เห็นกับตา ตอนพี่วินถูกทำร้ายเพื่อปกป้องความรู้สึกที่มีให้กานต์”

รพีกานต์บอกพ่อเสียงอ่อย แต่ในน้ำถ้อยบ่งบอกชัดว่าเชื่อคำพูดพี่วินนักหนา ความรักครอบงำบังตาจนคำเตือนพ่อแทบไม่เข้าหูเสียแล้ว รพีกานต์ไม่เคยรักใคร เมื่อเจอคนเข้าหา ทั้งรูปหล่อ ป้อแต่คำหวาน หัวใจพิศุทธิ์จึงเตลิดได้โดยง่าย แม้แต่ณัฐธีร์ก็ไม่อาจจะสู้ได้ พุทโธ่ ลูกเอ๋ย รพินทร์เก็บงำความเป็นห่วงเอาไว้ในใจไม่ได้ซักไซ้ต่อให้ลูกใจเสียจนเกิดต่อต้าน ทั้งที่อยากบอกลูกเหลือเกินว่า คำพูดนั้นไม่สำคัญเท่าการกระทำหรอก คนพูดจะพูดอย่างไรก็ย่อมได้เพื่อหลอกล่อให้ได้ในสิ่งที่ปรารถนา อีกทั้งการกระทำนั้นใช่ว่าจะแสแสร้งแกล้งทำเพื่อตบตาใครไม่ได้ รพินทร์รู้สึกไม่ไว้ใจอัครวินท์เอาเสียเลย ด้วยใบหน้าหล่อเหลานั้นพาให้นึกถึงอินทัชอยู่ตลอด อินทัชที่ได้หัวใจของรพินทร์ไปแล้วก็เหยียบขยี้ลงดินอย่างไร้ค่า รพินทร์ไม่อยากให้ลูกต้องเจ็บช้ำระกำใจเฉกเช่นเดียวกันกับเขา

“แล้วพี่เขาเป็นลูกเต้าเหล่าใครกันหรือลูก หน้าตาผิวพรรณดีอย่างนั้น กานต์รู้ชื่อจริงพี่เขาไหม”

รพินทร์ถาม ใจไม่ได้อยากละลาบละล้วงเรื่องชาติตระกูลหรือฐานะของอีกฝ่าย เพียงแต่อยากแน่ใจบางอย่าง

“พี่วินชื่อจริงชื่อ อัครวินท์ อิศวัชร์ ครับพ่อ ครอบครัวทำธุรกิจเป็นเจ้าของธนาคารกับโรงแรม แล้วก็มีบริษัทเครื่องเพชรอัญมณีอิศวัชร์”

เคร้ง!

อิศวัชร์!

อินทัช อิศวัชร์! ลูกชายเจ้าของธนาคารใหญ่ที่รพินทร์รู้จักเมื่อหลายปีก่อน แล้วตอนนี้กลับมีอัครวินท์ อิศวัชร์ กลับเข้ามาในวงโคจรนี้อีกครั้ง!

รพินทร์มือไม้อ่อนจนของในมือหล่นกระจาย เข่าแทบทรุดกับนามสกุลที่จำได้ขึ้นใจ

“พ่อ! พ่อเป็นอะไรครับ!”

รพีกานต์ละมือจากงานรีบถลันรุดเข้ามาหาพ่อทันทีที่ได้ยินโครม

“เปล่าหรอก มือพ่อลื่นน่ะ ดูซิ ดอกฟ้าแสนสวยร่วงลงพื้นหมดเลย พ่อเก็บก่อนนะลูก เดี๋ยวจะช้ำมากกว่านี้”

รพินทร์ส่ายหน้าปฏิเสธพลางยอบกายลงเก็บเครื่องเคียงน้ำพริกจะเด็ดกลบเกลื่อนอาการพิรุธทั้งที่หัวใจเต้นกระหน่ำราวรัวกลอง รพีกานต์กุลีกุจอช่วยบุพการีอีกแรง เพราะเดี๋ยวต้องรีบตั้งโต๊ะอาหารและอาบน้ำรอพี่วินมากินข้าวเย็นด้วย

รพินทร์มองใบหน้านวลของบุตรชาย แล้วย้อนถามตนเองในใจว่า เขาเลี้ยงประคบประหงมลูกดีเกินไปไหมหนอ รพินทร์สอนให้ลูกรักใครก็รักจริง ๆ อย่าลวงหลอกใครให้เจ็บช้ำ แต่คนอื่นเล่าจะสอนกันเช่นไร แล้วยังณัฐธีร์ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เฝ้าคอยเทิดทูนบูชาความรักให้แก่น้องน้อยอีกเล่า เจ็บร้าวคราวนี้จะระทมสักกี่เส้ากัน



อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยทั้งหมดจึงมาพร้อมหน้ากันที่โต๊ะกินข้าวในสวน ซึ่งผนังรั้วเป็นม่านน้ำตกมีแผ่นหินทรายรูปกินรีตกแต่งอย่างสวยงาม รพินทร์ชวนลูกเปลี่ยนบรรยากาศกินข้าวกันในสวนท่ามกลางแสงไฟนวลตา มีเสียงน้ำไหลเสริมบรรยากาศสุดดื่มด่ำ อัครวินท์ดูจะถูกปากกับอาหารโบราณไม่น้อย ถึงกับเอ่ยชมไม่ขาดปาก

“อาหารบ้านนี้อร่อยจนอยากมาฝากท้องบ่อย ๆ เลยนะครับ”

หนุ่มหล่อปากหวานชมจนรพีกานต์ต้องหลบสายตาวูบ รพินทร์มองแล้วก็ได้แต่หนักอึ้งในใจเหมือนถ่วงหิน หากอัครวินท์เป็นลูกชายของอินทัชอย่างที่นึกสังหรณ์ใจจริง อินทัชที่รพินทร์รู้จักขนาดไม่เจ้าชู้ขุนแผนเท่านี้ รพินทร์ยังแทบขาดใจตอนถูกสะบั้นรัก แล้วรพีกานต์ลูกน้อยเล่า จะต้องเจ็บช้ำน้ำใจเท่าใดกัน

“วินกินน้ำพริกได้ไหม”

รพินทร์เอ่ยถามอาคันตุกะของบุตรชายที่เคยบอกไว้แล้วว่ากินเผ็ดมากไม่ค่อยได้

“ได้ครับ น้องกานต์ตำไม่เผ็ดแถมอร่อยถูกปากเหมือนรู้ใจ เพิ่งรู้ว่าดอกไม้นำมากินกับน้ำพริกก็ได้”

อัครวินท์ส่งสายตาให้ร่างเล็กแวบหนึ่งก่อนหันมายิ้มกับผู้อาวุโสวัยกว่า

“กินได้สิ กินผักผลไม้หลากหลายสีมีประโยชน์มากนะ ดอกไม้สด ๆ หลายชนิดก็กินได้ อย่างกลีบกุหลาบ ยังนำมายำเป็นอาหารกินเล่นได้เลย ยำกลีบกุหลาบน่ะ”

“สงสัยกลับไปมหาวิทยาลัยคงต้องรบกวนพ่อครัวตัวน้อยทำให้กินแล้วล่ะครับ ขอบคุณสำหรับอาหารอร่อย ๆ นะครับ ไม่ทราบว่าที่บ้านนี้มีไวโอลินหรือเปียโนไหมครับ”

อัครวินท์ถามด้วยรอยยิ้มพราย สายตามองดวงหน้าขาวอย่างสื่อความหมาย

“มีทั้งสองอย่างครับ อยู่ที่ห้องหนังสือ พี่วินจะทำไมหรือครับ”

“พี่อยากสีไวโอลินให้ทุกคนฟังเป็นการตอบแทนสำหรับอาหารมื้อสุดพิเศษมื้อนี้น่ะครับ หรือจะฟังเป็นเปียโนก็ได้นะครับ”

นับเป็นส่วนดีที่พอจะมีติดตัวอยู่บ้าง อัครวินท์ก็เหมือนลูกคนมีอันจะกินทั่ว ๆ ไป ที่วัยเด็กครอบครัวมักส่งให้ไปเรียนดนตรี ร้องเพลง หรือเรียนเต้นรำ อะไรเทือกนั้น จึงนับเป็นโอกาสให้หนุ่มเจ้าเสน่ห์ได้ใช้เป็นอาวุธในการหยอดความหวานให้กระต่ายน้อยเคลิ้มตาม



หลังเสร็จจากมื้อเย็น ทั้งหมดจึงเคลื่อนพลกันไปที่ห้องหนังสือ บทเพลงหวาน ‘เพียงคำเดียว’ ถูกบรรเลงด้วยไวโอลินโดยฝีมือร่างสูงสง่า รพีกานต์หัวใจหวิวราวจะปลิวหายตลอดเวลาที่สบตากับสายตาเจ้าชู้หวานเยิ้ม เพลงหวานเพราะพริ้ง สายตาอัครวินท์ก็จ้องมองกันไม่วางตา สีไวโอลินให้ฟังเสร็จ ร่างใหญ่ก็นั่งปุลงที่หน้าเปียโนพลางเริ่มพรมมือบรรเลงเพลงต่อ เป็นบทเพลงเดิม แต่คราวนี้มีน้ำเสียงทุ้มนุ่มของอัครวินท์ขับร้องร่วมด้วย ร่ายมนตร์สะกดให้หัวใจดวงน้อยสวามิภักดิ์ต่อเขาไม่เสื่อมคลาย

เพียงคำเดียวที่ปรารถนา อยากฟังให้ชื่นอุรา ใจพะว้าภวังค์
นาน...เท่านาน พี่คอยจะฟัง คำนี้ คำเดียวที่หวัง อยากฟังจากปากดวงใจ
คำ คำนี้มีค่าใหญ่หลวง พี่รัก พี่แหน พี่หวง เพียงดั่งดวงฤทัย
พี่ ไม่เคย เฉลยกับใคร แต่แล้วพี่บอกเจ้าไป เพื่อให้เจ้าตอบเช่นกัน
มี...หลายคราที่เคย เหมือนเจ้าจะเอ่ย เปิดเผยเฉลยคำนั้น
โอ...แล้วใยอัดอั้น มิกล้าจำนรรค์ กลับตื้นกลับตันทรวงใน
ฤา เจ้ามีคู่เคียงอุรา เจ้ารักเป็นหนักเป็นหนา ตรึงติดตราหัวใจ
จึงจดจำถ้อยคำพี่ไว้ แอบเอาไปบอกคู่ใจ ทอดทิ้งพี่ให้อกตรม
ฤา เจ้าลืมถ้อยคำคำนี้ จึงทำไม่รู้ไม่ชี้ ดังไม่มี เยื่อใย
แม้น...เจ้าลืมเจ้าเลือนเคลื่อนคลาย
พี่เตือนให้อีกก็ได้ ก็รักอย่างไร เจ้าเอย
#เพียงคำเดียว # สุเทพ วงศ์กำแหง


โอ...ดวงฤทัยของกระต่ายน้อยจะเพริดถลำไปก็ไม่แปลกหรอก ด้วยดวงแขดวงนี้ร่ายมนตร์สะกดกระต่ายน้อยเสียอยู่หมัด รพินทร์ไม่แปลกใจสักนิด ว่าทำไมหัวใจของรพีกานต์ถึงได้ลุ่มหลงอัครวินท์นักหนา หากรักนี้ต้องร้าวราน คงไม่ต่างอะไรกับน้ำผึ้งเจือยาพิษ รพินทร์หวั่นใจเหลือเกิน ภาวนาให้อัครวินท์รักรพีกานต์จริง ๆ ด้วยเถิด อย่าให้ประวัติศาสตร์ต้องซ้ำลงรอยเดิมเลย


 :mew1: :hao3:

วินเป็นหลานรักของปู่ย่า คลุกคลีกับปู่ย่ามากกว่าพ่อแม่ เลยติดเพลงไทยเก่า ๆ มาจากที่ปู่ย่าชอบฟัง ลองสมมุติตัวเองเป็นรพีกานต์ มีผู้ชายหล่อจัด เสียงเพราะ ร้องเพลงให้ฟังตัวจะลอยขนาดไหน อีวินมีส่วนดีในตัวเยอะนะ
เพียงแต่นิสัยครึ่งน้ำครึ่งบก แหะ ๆ

เรากำลังคิดว่า ลูกกานต์เป็นแฝดสามดีไหม กานต์ชังน้ำหน้าวินขนาดหนัก วินเลยฝากความรักไว้ให้ถึงสามหน่อ คือ อัษศดิณย์(น้องเปรม), อัศม์เดช(น้องปรีดิ์), อัศวเดช(น้องโปรด)
ความหมายของชื่อเล่นทั้งสามคือ ถึงกานต์จะเกลียดวิน แต่ก็ยินดีเปรมปรีดาที่ลูกมาเกิดด้วย
เหอ ๆ เวิ่นเว้อไปเรื่อย นิยายด้นสด เอาแน่กับอารมณ์คนแต่งไม่ได้หรอก  ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์นะคะ ^-^
 :katai4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๓)(๒๕/๐๕/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 26-05-2016 21:03:05
 :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๓)(๒๕/๐๕/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 26-05-2016 23:20:09
บอกได้ทำเดียวว่าสงสารณัฐ.

กานต์ที่โดนฟันแล้วจะโดนทิ้งที่ไใ่สงสารนะ ทำตัวเอง :ruready
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๓)(๒๕/๐๕/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 27-05-2016 00:21:05
เรื่องนี้ดีมากกกกก
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๓)(๒๕/๐๕/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 27-05-2016 12:38:36
 :katai5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๓)(๒๕/๐๕/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 27-05-2016 14:00:06
แฝดสามกลัวเลี้ยงไม่ไหว  :ling2:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๓)(๒๕/๐๕/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: ิbenz ที่ 28-05-2016 00:57:07
 :hao5: แค่บทนำก็น่าติดตามแล้ว เดี๋ยวกลับมาอ่านคับ
# ตามมาจากอเวจีเสน่หา
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๓)(๒๕/๐๕/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: netich ที่ 28-05-2016 03:02:53
 :m16:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๓)(๒๕/๐๕/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 28-05-2016 18:42:17
แฝด3 :mew2:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๓)(๒๕/๐๕/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: sanri ที่ 29-05-2016 17:02:31
แฝด 3 ก็ดีน๊า แลวุ่นวายดี  :laugh:
แต่อย่าทำให้เศร้ามากน๊าคนแต่งจ๋า คนอ่านจิขาดใจก่อน  :hao5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๓)(๒๕/๐๕/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 30-05-2016 00:29:00
แฝดสามเลยก็ดีนะคะ สงสารกานต์ต้องมาเจอผู้ชายอย่างวิน
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๓)(๒๕/๐๕/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: พระสนมฝ่ายซ้าย ที่ 30-05-2016 10:00:08
เพิ่งเข้ามาอ่านนะคะ
สงสารพี่ณัฐมากเลยค่ะ *โอ๋ๆๆ*
น้องกานต์ก็สงสาร โดนอีพี่วินหลอกจนหลงหัวปักหัวปำ
ไว้มาต่ออีกนะคะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๓)(๒๕/๐๕/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Kalamall ที่ 30-05-2016 20:43:12
แฝดสามน่ารักดีแต่สงสารคุณแม่นะสิ เลี้ยงเด็กทีเดียวสามคนนี้โหดมากน่ะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๓)(๒๕/๐๕/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 01-06-2016 22:07:40
น่าติดตามนะ แต่บางคำก็เข้าใจยากอ่ะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๓)(๒๕/๐๕/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: ิbenz ที่ 06-06-2016 21:21:47
ความเอ๋ย ความรัก
เริ่มสมัคร ชั้นต้น ณ หนไหน
เริ่มเพาะ เหมาะกลางหว่างหัวใจ
หรือเริ่มใน สมอง ตรองจงดี

แรกจะเกิด เป็นไฉน ใครรู้บ้าง
อย่าอำพราง ตอบสำนวน ให้ควรที่
ใครถนอม กล่อมเกลี้ยง เลี้ยงรตี
ผู้ใดมี คำตอบ ขอบใจเอย

ความเอ๋ย ความรัก
เริ่มสมัคร ชั้นต้น ณ หนไหน
เริ่มเพาะ เหมาะกลางหว่างหัวใจ
หรือเริ่มใน สมอง ตรองจงดี

แรกจะเกิด เป็นไฉน ใครรู้บ้าง
อย่าอำพราง ตอบสำนวน ให้ควรที่
ใครถนอม กล่อมเกลี้ยง เลี้ยงรตี
ผู้ใดมี คำตอบ ขอบใจเอย
#เพลงความรัก ....
ปล. สงสารพี่ณัฐ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๔)(๑๑/๐๖/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 11-06-2016 19:57:59
เสน่หา...รักเอย ตอนที่๑๔


"อันบิดรและมารดา                  เลี้ยงเจ้ามาแต่เพียงกาย
ครั้นเมื่อเจ้าเติบใหญ่                กายและใจเจ้าดูแล
จงเฝ้าคอยถนอม                     เผื่อใจตรอมอย่าเชือนแช
พ่อหวังก็เพียงแต่                    รักมิแปรจากเจ้าไป"
                    -มญชุ์สิตางศุ์-


ภาพตรงหน้าเสมือนหนึ่งรพินทร์กำลังย้อนเวลากลับคืนสู่ห้วงอดีต ร่างระเหิดระหงตรึงนิ่งอยู่กับที่ มองภาพอัครวินท์กำลังพรมนิ้วลงบนเปียโนบรรเลงเพลงให้รพีกานต์ฟัง โดยสายตาคมหยาดเยิ้มไม่ละไปจากวงหน้าผ่องของคนฟังแม้เพียงเสี้ยวนาทีเดียว เป็นภาพซ้อนทับกับภาพอดีตในกาลก่อนของรพินทร์กับคนรักเก่า ภาพอินทัชที่กำลังเล่นเปียโนทั้งส่งสายตาหวานฉ่ำมาให้ผุดวาบในความคิด หัวใจที่เคยสงบดุจน้ำนิ่งถูกสะกิดด้วยภาพที่เหมือนกันจนตะกอนนอนก้นมาเนิ่นนานขุ่นคลั่กขึ้นมาอีกหน ความเจ็บปวดในอดีตเจือจางไปกับวันเวลา แต่ความห่วงหาในตัวบุตรชายกลับทบทวี

จะขัดขวาง?

ลูกไปเรียนไกลหูไกลตา ใครจะคอยตามเฝ้ากันได้ตลอด อย่างไรเสียพวกเขาก็ได้เจอกันอยู่ดี รพินทร์ไม่ใจร้ายพอที่จะข่มเขาโคขืนให้กลืนหญ้า การใช้ไม้แข็งบังคับให้เลิกรากันคงไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก มีแต่จะบีบให้ยิ่งเตลิด
แล้วจะทำอย่างไรดีหนอ

ขณะที่คนเป็นพ่อกำลังครุ่นคิดหนัก น้ำเสียงช่างอ้อนก็ดังขึ้นขัดจังหวะ

“พ่อครับ คืนนี้ให้พี่วินนอนบ้านเราได้ไหม พี่วินมาอยู่แปลกที่ เลยนอนไม่ค่อยหลับน่ะครับ”

แก้มขาวของลูกรักแต้มสีเรื่อจางขณะเอ่ยปากขออนุญาตผู้เป็นบิดา โดยมีหนุ่มรุ่นพี่ส่งรอยยิ้มพราวช่วยกันเกลี้ยกล่อมทางอ้อมสำทับอีกแรงหนึ่ง รพินทร์พิพักพิพ่วนไม่รู้จะหาข้ออ้างทัดทานอย่างไร ครั้นจะตัดรอนปฏิเสธเสีย ก็ดูจะไม่งามนัก ด้วยอีกฝ่ายก็ไม่ได้กระทำกิริยากักขฬะใดให้รู้สึกระคายตา นอกจากนัยน์ตาหวานเชื่อมสื่อความหมายเชิงปรารถนาให้บุตรชายแล้ว อัครวินท์วางกิริยาท่าทีต่อหน้าผู้ใหญ่ได้ดีทุกกระเบียดนิ้วสมเชื้อสายผู้ลากมากดีของอิศวัชร์ คำพูดคำจากับผู้ใหญ่หรือก็ดูรู้ความนัก ยามลุกนั่งดูองอาจผึ่งผาย สง่างามเสียยิ่งกว่าอินทัชเสียอีก คงถอดแบบมาจากคุณปู่อินทร์ฉายนั่นแหละ

“งั้นให้พี่เขานอนห้องพักแขกก็ได้ เพิ่งทำความสะอาดไปวันก่อน คงไม่มีฝุ่นหรอก”

รพินทร์เอ่ยปากอนุญาต หาทางออกโดยให้พักที่ห้องรับรองแขกดูจะไม่น่าเกลียดนัก อย่างไรรพีกานต์ก็เป็นผู้ชาย อันที่จริงให้อัครวินท์พักห้องเดียวกันกับบุตรชายของตนยังได้

“ขอบคุณครับพ่อ”

กลายเป็นเจ้าตัวดีที่ออกอาการลิงโลดฉีกยิ้มร่าแก้มปริอย่างน่าตี อัครวินท์ยกมือประนมไหว้กล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ สายตาที่ตวัดขึ้นมองสะกิดใจรพินทร์เล็ก ๆ ภาพอินทัชจรดริมฝีปากแตะจุมพิตนุ่มนวลบนหลังมือ ก่อนตวัดสายตาขึ้นจ้องมองอย่างเย้าหยอกให้รพินทร์ขวยเขิน เป็นสายตาเดียวกันกับอัครวินท์ในยามนี้

เหมือนกันเกินไป!
 
จนรพินทร์นึกหวั่นใจอยู่ลึก ๆ จากที่คาดเดาเอาว่าน่าจะเป็นบุตรชายของอินทัช ถ้าไม่เจ้าชู้จัดอย่างพ่อ รพีกานต์ก็ดูจะโชคดีไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นรพินทร์ก็ยังอดสงสารณัฐธีร์ไม่ได้อยู่ดี อุตส่าห์เฝ้ารักเฝ้าถนอมมาหลายปีซึ่งรพินทร์เองก็รู้เห็นอยู่ตลอด รพินทร์ไม่ได้รังเกียจณัฐธีร์เพราะเด็กหนุ่มมานะดีเหลือเกิน รพีกานต์รู้จักทำงานพิเศษเก็บเงินซื้อของที่อยากได้เองก็ด้วยได้ตัวอย่างดีจากพี่ณัฐนี่เอง

“งั้นเดี๋ยวกานต์พาพี่วินไปดูห้องนะครับ”

รพีกานต์ดูจะกระตือรือร้นกว่าปกติ เมื่อได้ยินบิดาเอ่ยปากอนุญาตให้อัครวินท์ได้พักร่วมชายคาเดียวกัน รพินทร์พยักหน้าหงึกเป็นเชิงอนุญาต สายตามองจับสองร่างที่เดินตีคู่กันออกไปแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าพึมพำกับตัวเอง

“หวังว่าคงจะไม่แอบย่องมาหาพี่วินตอนดึกหรอกนะน้องกานต์”



แอ๊ด

รพีกานต์ผลักบานประตูห้องเข้าไปข้างใน มือกดเปิดสวิตช์ไฟใกล้ประตูก่อนเดินนำแขกเข้าไปชมห้อง อัครวินท์กวาดตามองภายในห้องสีขาวครีมละมุนตา โคมไฟคลาสสิกหรูหราแขวนอยู่บนเพดานกลางห้องเหมือนหลุดเข้าไปในยุคเก่าสมัยเรือนสไตล์ขนมปังขิงกำลังบูม ช่องลมเหนือบานหน้าต่างฉลุลวดลายวิจิตรงดงาม เตียงนอนหัวเตียงทึบตันแกะสลักลายไทย ตู้หัวเตียง ตู้เสื้อผ้า โต๊ะ ล้วนเป็นไม้สักแท้แกะสลักลวดลายเสลาประณีตอ่อนช้อย บนผนังติดรูปวาดฝีมือศิลปินแห่งชาติ ทุกอย่างในห้องออกแบบจัดวางอย่างลงตัว บ่งบอกฐานะมีอันจะกินของเจ้าของบ้าน รพีกานต์เดินไปเปิดหน้าต่างให้ลมโกรก กลิ่นหอมแรงของราชาวดีลอยตามลมเข้ามาในห้อง รอยยิ้มพรายผุดบนใบหน้าผ่องใสก่อนกายเล็กจะถูกวงแขนหนาตวัดรวบเข้าแนบแผงอกแน่นพร้อมซุกจมูกลงซอกคอ

“อื้อ! พี่วินอย่า”

รพีกานต์ร้องปรามเจ้าของวงแขนกำยำเอาแต่ใจที่กอดรัดจนแน่น อัครวินท์ฝังจมูกโด่งลงคลอเคลียซอกคอขาว จนรพีกานต์ต้องย่นคอหนีเสือซนพัลวัน

“พี่เกร็งจะแย่ ตอนกานต์ขอพ่อให้พี่นอนที่นี่ ดูเหมือนคุณว่าที่พ่อตาจะออกอาการหวงลูกชายเดียวคนนี้เสียก็ไม่รู้”

อัครวินทร์หอมแก้มขาวฟอดหนักก่อนรั้งตัวบางลงนอนแนบเตียงด้วยกัน ท่อนขายาวพาดก่ายอย่างหยอกล้อ อัครวินท์อ่านสายตาคลางแคลงใจของบิดาร่างเล็กออก แต่กระนั้นก็หาได้เกรงกลัวด้วยความต้องการของตนนั้นมีอำนาจเหนือกว่า  และอำนาจเงินของอิศวัชร์ก็มากพอที่จะเช็ดล้างทุกอย่างให้เป็นแค่เรื่องขี้ปะติ๋ว

“คุณพ่อคงไม่คุ้นน่ะครับ ปกติกานต์ไม่เคยชวนใครมานอนค้างอ้างแรมที่บ้าน เพิ่งจะมีพี่วินเป็นคนแรก”

รพีกานต์บอกด้วยสีหน้าพาซื่อ

“พี่ณัฐก็ไม่เคยเลยหรือ”

อัครวินท์หรี่ตามองคนพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนยกยิ้มมุมปากอย่างตัวร้ายในละครที่ตนเองได้อภิสิทธิ์เหนือกว่าคนอยู่ก่อนอย่างณัฐธีร์
“แล้วคืนนี้ กานต์จะมาหาพี่ หรือจะให้พี่แอบไปหากานต์ครับ หืม”

กระซิบถามด้วยนัยน์ตาแสนกรุ้มกริ่มเหมือนไก่หนุ่มเกี้ยวพาไก่สาว แก้มขาวขึ้นสีเรื่อจัดร้อนวูบวาบยามได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายถาม

“ไม่รู้”

ก้มหน้างุดหลบสายตาท่าเดียว อัครวินท์ก้มลงจูบหน้าผากมน มือลูบแผ่นหลังแผ่วเบา

“เงียบ ๆ เนอะ พี่วินอยากดูโทรทัศน์ไหม หรือว่าอยากเล่นเกม”

รพีกานต์ผงกศีรษะขึ้นถาม ดวงตาใสแจ๋วดูน่าเอ็นดูจนอัครวินท์อดที่จะกดจูบแบบไม่รุกล้ำไม่ได้

“อยากกินกระต่าย”

ปากหยักได้รูปเอ่ยตอบ สายตาคมวาววับหลุบมองกระต่ายในอ้อมแขน

“พี่วินหื่น”

รพีกานต์ปากยื่นบ่นงุบงิบหลุบสายตาลงต่ำไม่กล้าสบตา

“ก็พี่เคยบอกแล้วไง จะฟัดจนกว่าจะท้อง น่ารักแบบนี้ ต้องมีลูกเสือวินน้อยให้พี่น่ารักมากแน่ ๆ เป็นไปได้พี่ขอแฝดสามนะ แฝดสองธรรมดาไป อยากจะรู้นักว่า พี่จะแยกลูกแต่ละคนออกไหม”

อัครวินท์หยอกเย้าอย่างคะนองปากโดยไม่ได้คิดอะไร เพราะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่ผู้ชายจะท้อง

“พี่วินบ้านี่ ก็รู้อยู่ว่ากานต์ท้องไม่ได้ ผู้หญิงปกติเขาก็ยังไม่ค่อยท้องลูกแฝดเลยเหอะ”

มือเล็กทุบลงบนหน้าอกแน่นดังอั้ก

“พี่วินอยากมีน้องมากหรือครับ”

รพีกานต์ถามสีหน้าเศร้า เพราะถ้าหากคำตอบเป็นแบบนั้นจริง รพีกานต์คงไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายสมปรารถนาได้

“พี่ล้อเล่นน่า พี่จะอยากมีไปทำไมกันละฮึ”

บอกพร้อมแตะจูบที่ปลายจมูกหยดน้ำ ใจจริงอัครวินท์อยากบอกต่ออีกหน่อยว่า “พี่ยังอยากใช้ชีวิตโสดอย่างอิสระไปอีกนานแสนนาน”


ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูห้องทำให้ทั้งคู่ผละออกจากกัน รพีกานต์เดินไปเปิดประตู รพินทร์ยืนอยู่หน้าห้อง เหลือบมองเข้าไปข้างในแวบหนึ่งก่อนเอ่ยถาม

“ห้องเรียบร้อยไหม มีฝุ่นหรือเปล่า”

“เรียบร้อยครับ”

เป็นอัครวินท์ที่เดินมาซ้อนอยู่ด้านหลังรพีกานต์พร้อมเอ่ยตอบเสร็จสรรพ รพินทร์นิ่งไป ไม่รู้จะเอ่ยอะไรต่อ ภาพฟ้องชัดเจนขนาดนี้ ไม่แคล้วข้าวสารคงกลายเป็นข้าวสุกไปเสียแล้ว สงสารก็แต่ณัฐธีร์ ไม่รู้จะช่วยอย่างไรได้

“เอ่อ ถ้าอย่างนั้นพ่อไม่กวนละนะ อย่านอนดึกนักละ”

รพินทร์ยิ้มบางผละออกมาด้วยหัวใจหนักอึ้ง ก้าวเท้าเดินกลับห้องครุ่นคิดหนัก อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดละหนอ ใครห้ามชะตาลิขิตได้บ้าง เขาเองยังเคยผ่านช่วงเวลาเจ็บเจียนตายมาได้ รพีกานต์หกล้มสักทีจะเป็นไรไป อย่างน้อยจะได้รู้ว่าจะเดินยังไงไม่ให้ล้มอีก แต่ไม่ว่าลูกจะเจ็บสักเพียงใด พ่อคนนี้จะคอยอยู่เคียงข้างกานต์เสมอ รพินทร์ถอนหายใจอย่างคนคิดตก ตาสว่างไม่นึกง่วงจึงเดินลงข้างล่างเข้าห้องครัวไปหยิบกระจาดใบเล็ก ก่อนสาวเท้าเดินออกมาข้างนอกบ้านเลาะไปยังพุ่มมะลิ มือปลิดมะลิลาดอกตูมใส่กระจาด พระจันทร์สาดแสงสว่างราวกลางวัน ใจเผลอไพล่กระหวัดถึงคนจองมะลิแต่กลับเหยียบขยี้ไม่มีชิ้นดี เตชะบุญเสียงร้องของเด็กถูกนำมาทิ้งชี้ทางสว่างให้รพินทร์ตระหนักเห็นคุณค่าเลือดเนื้อเชื้อไขที่บุพการีให้มา เจ็บปวดแค่ไหนก็ไม่คิดทำร้ายตัวเองอีก

“มะลิกรองมาลัยร้อยใจรัก              ผูกสมัครรักมั่นไม่หวั่นไหว
แม้นวันเดือนเลื่อนผ่านสักปานใด     หนึ่งหทัยใจนี้มีรพินทร์”
                                  -มญชุ์สิตางศุ์-


“มะลิดอกนี้หอมเป็นพิเศษก็เพราะอยู่ในมือคุณนะ รพินทร์ของผม”

เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยพลางวางดอกมะลิลงในมือขาว พร้อมถือโอกาสโน้มใบหน้าลงสูดกลิ่นหอมของดอกไม้ลามไปแตะจุมพิตแผ่วเบาบนฝ่ามือ รพินทร์ใจสั่นหวั่นไหวตอนอินทัชเงยหน้าขึ้นสบตา เพราะในมือของรพินทร์ไม่ได้มีแค่ดอกมะลิ หากแต่มันยังมีแหวนดอกมะลิวงงามสอดไว้ข้างใต้อีกด้วย

“อินทัช คุณ...”

“เราจะทิ้งทุกอย่างที่นี่แล้วหนีไปใช้ชีวิตเมืองนอกด้วยกันนะครับรพินทร์ ไวโอลินของผมจะมีความหมายก็ต่อเมื่อมีคุณเป็นผู้ฟัง ผมจะทิ้งความเป็นอิศวัชร์ แล้วคุณล่ะ พร้อมจะทิ้งความเป็นบวรกิตติ์วิวัฒน์กุลเพื่อ ‘เรา’ไหม”

“ได้สิครับอินทัช ได้ เพื่อ ‘เรา’ ผมยอมทุกอย่าง”

รพินทร์ตัวลอยเป็นปุยนุ่น เพื่อให้ได้อยู่ด้วยกัน อะไรก็ยอม


หึ เพียงลมปากลวงหูก็แทบพร่าผลาญชีวิตคนโง่งม!


 “อืม ถ้าพี่วินไม่ชอบดูละคร งั้นอยากดูรูปกานต์ตอนเด็กไหม”

เสียงนุ่มเอ่ยถาม เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกเบื่อหน่าย

“เอาสิ ไปเล่นห้องกานต์กัน”

ร่างเล็กฉีกยิ้มแต้เมื่ออัครวินท์ยอมเออออตามใจ รพีกานต์ยังรู้สึกเกรงพี่วินหน่อย ๆ เพราะอีกฝ่ายต่างจากพี่ณัฐคนละขั้ว ดูเหมือนดุแต่สายตาคมกริบก็ทำเอาเขินอายได้ในคน ๆ เดียว สองร่างย้ายทัพกันไปที่ห้องรพีกานต์ ระหว่างรอร่างเล็กค้นหารูปถ่ายเก่า ๆ อัครวินท์ก็เพิ่งมีโอกาสได้กวาดตาสำรวจห้องจริงจัง สายตาคมสะดุดกับรูปวาดในกรอบหลุยส์ไม้สัก โดยเฉพาะลายเซ็นของศิลปินที่มุมด้านล่าง ดวงตาคมหรี่ลง ด้วยลายเซ็นนั้นช่างคุ้นตา

“กานต์ครับ รูปนี้ใครวาดให้หรือ”

“อ๋อ พ่อรพินทร์บอกว่าเพื่อนเก่าวาดให้น่ะครับ เจ้าของเสียชีวิตไปแล้ว แต่ห้องพ่อมีของเยอะแล้ว เลยยกให้มาอยู่ห้องกานต์น่ะครับ”

รพีกานต์ตอบขณะยกอัลบั้มรูปขึ้นมาวางบนเตียง อัครวินท์จดจ้องลายเซ็นพร้อมระบุวันเวลาที่วาดขึ้น เผลอกัดฟันกรอดไม่รู้ตัว

...เจ้าของตายแล้วอย่างนั้นหรือ หึ  ยังหายใจพร่ำเพ้อพรรณนาถึงกันอยู่ต่างหาก ลับหลังก็คงยังแอบลักลอบกันอยู่...

 
ที่ห้องบิดาของอัครวินท์ยังมีรูปแบบนี้อีกรูปหนึ่ง ต่อให้ชายหนุ่มฉีกทึ้งทำลายกระจุยกระจาย เผามันจนมอดไหม้แหลกลาญแค่ไหน อินทัชก็วาดขึ้นใหม่ได้อย่างคนที่จดจำรายละเอียดคนในรูปได้เป็นอย่างดี มือกำเข้าหากันแน่นเมื่อรู้แล้วว่าตนเองยืนอยู่ที่ใด เขานึกได้แล้วว่าคนรักเก่าของพ่อชื่อรพินทร์ แต่ไม่รู้รายละเอียดไปถึงนามสกุล แต่ตอนนี้รู้แล้ว

‘รพินทร์ บวรกิตติ์วิวัฒน์กุล’


“พี่วินครับ มาดูรูปกันเร็ว นี่รูปนี้กานต์พุงกลมเหมือนลูกแตงโมเลย”

รพีกานต์ฉีกยิ้ม มือตบปุบนเตียงร้องชวน แต่ความชิงชังในตัวบุพการีทำให้อัครวินท์ไม่รู้สึกพิสมัยคนตัวเล็กเช่นเก่า ร่างใหญ่ทิ้งกายลงนอนดูรูปแล้วรูปเล่าผ่านตาไป เพราะในใจมีแต่ความชิงชังคุกรุ่น

ติ๊ง

“อ๊ะ พี่ณัฐไลน์มา”

รพีกานต์ยิ้มแหย หูลู่หางตกพร้อมโชว์โทรศัพท์ให้อีกฝ่ายดู อัครวินท์พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต ใบหน้านิ่งขรึมทำให้รพีกานต์ตีความไปว่าอีกฝ่ายไม่พอใจ ร่างเล็กคลานเข้ามาใกล้แตะจูบที่แก้มประจบก่อนหันไปพิมพ์ข้อความตอบพี่ชาย อัครวินท์จ้องมองรูปวาดบนผนังด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก

“พี่วิน กานต์ขอโทษ”

รพีกานต์หน้าหงอย น้องน้อยใจไม่แข็งพอจะทำร้ายความรู้สึกพี่ชาย แต่พอหันมาเห็นใครอีกคนเงียบกว่าปกติ ความไม่สบายใจก็รุมเร้า

“แล้วรู้ไหม ว่าต้องง้อยังไงให้พี่หายโกรธ”

“พี่วินจะให้กานต์ทำยังไงกานต์ก็ยอม แต่อย่าเพิ่งให้กานต์หักดิบพี่ณัฐตอนนี้เลยนะครับ กานต์ทำไม่ได้”

รพีกานต์อ้อนวอนสีหน้าเศร้าสร้อย การเป็นความหวังทั้งชีวิตของใครสักคน หากจะต้องดับความหวังนั้นลงด้วยน้ำมือตน รพีกานต์คงต้องขอเวลาสักหน่อย

“งั้นคืนนี้กานต์ก็ต้องตามใจพี่ ถ้ากานต์รักพี่จริง กานต์ก็พิสูจน์ให้พี่เห็น”

อัครวินท์บอกอย่างเอาแต่ใจพร้อมขยับเคลื่อนกายเข้าหา สายตาคมซ่อนความมาดร้ายเอาไว้ภายใต้ใบหน้าเทพบุตร ริมฝีปากได้รูปพรมจูบวงหน้าผ่องอ้อยอิ่ง ปลายจมูกโด่งคลอเคลียสูดกลิ่นหอมรวยรินของแป้งร่ำผัดแก้ม อณูเนื้อตึงแน่นไปด้วยมัดกล้ามตระกองร่างเล็กกว่ากดแนบลงเตียง ลมหายใจคุกรุ่นเป่ารดผิวหน้านวล ความรู้สึกระอุลุกพรึ่บในกาย ไฟปรารถนาทำหน้าที่ของตนตามครรลอง รพีกานต์เหมือนคนสำลักความสุข ในขณะที่อัครวินท์ยิ้มร้ายอย่างเหี้ยมเกรียม

“อา พี่วินท์ กานต์ไม่ไหวแล้ว พอก่อน”

เสียงหวานครางห้ามเมื่อกิจกรรมรักล่วงเลยมายันย่ำเช้าเห็นตะวันแยงตา

“อืม กานต์น่ารัก พี่กินเท่าไหร่ก็ไม่รู้อิ่ม รู้ตัวไหม ตัวกานต์น่ะห๊อมหอม น่ารักน่ากินไปทั้งตัว จะทำให้พี่หลงไปถึงไหน ฮึ”

จูบประโลมร่างเล็กที่ตาปรือด้วยความเพลียจัดก่อนฟุบหลับคาอกไปทั้งอย่างนั้น อัครวินท์ดันกายเล็กออกหันหลังให้ ปิดเปลือกตาหลับลงเช่นกัน




พิกุลกรองคล้องหัตถ์ประภัสสร                   กลิ่นขจรภมรผึ้งคะนึงหา
พี่เพียรร้อยเพื่อกลอยแก้วขวัญชีวา              เสน่หาแก้วตาพี่รพีกานต์
                                        -มญชุ์สิตางศุ์-


 
“เป็นเอามากนะเจ้าณัฐ นี่ถึงขั้นเก็บพิกุลมาร้อยให้เขาเชียวหรือ”

อัศม์เดชรามือจากกระสอบทรายซ้อมมวยมองหนุ่มรุ่นน้องที่นั่งร้อยมาลัยดอกพิกุลอย่างตั้งอกตั้งใจ

“ผมไม่มีเงินถุงเงินถังซื้อสร้อยพิกุลทองแพง ๆ ให้กานต์นี่พี่เดช บ้านกานต์ฐานะดีออกขนาดนั้น ต้องอาศัยความจริงใจเข้าหานี่ละ เอาไว้เรียนจบมีงานทำ คงดูแลได้ดีกว่านี้”

“เออ แกคิดดีว่ะ ว่าแต่กานต์ตกลงปลงใจกับแกแน่แล้วหรือวะเจ้าณัฐ”

อนาคตเจ้าของค่ายมวยเอ่ยปากถามก่อนเตะป้าบหนักเข้าที่กระสอบทราย

“ยังไม่เคยได้ยินคำว่ารักจากปาก แต่ของแบบนี้ดูที่การกระทำสำคัญกว่าคำพูด”

ณัฐธีร์พูดพลางก้มมองมาลัยพิกุลในมือ วันนี้นัดกันไปกินข้าวเที่ยงที่บ้านรพีกานต์ก่อนเดินทางกลับ ชายหนุ่มจึงร้อยมาลัยพิกุลไปให้เช่นทุกที เมื่อเช้าไม่เจอตัว คุณรพินทร์บอกแต่เพียงว่าตัวยุ่งนอนดึกจนตื่นสายไม่ทันใส่บาตร

.................................
 :mew1:

นิยายยังเป็นต้นฉบับดิบนะคะ ยังมีรายละเอียดหลายอย่างที่ไม่ได้ใส่เข้าไป จริง ๆ บ้านคุณรพินทร์น่าจะต้องมีแม่บ้าน คนสวนด้วย แล้วก็รีไรต์กำลังคิดว่าควรจะปรับลุคน้องกานต์ให้แมนกว่านี้ดีไหม จบก่อนค่อยว่ากันเนอะ

แหวนดอกมะลิของรพินทร์ชื่อแหวนนวมลลิ์ เป็นแหวนที่อินทัชให้รพินทร์ก่อนจะชวนกันทิ้งทุกอย่างหนีไปอยู่เมืองนอก แล้วสุดท้ายก็ไม่ได้ไป

ส่วนวินเลวก็จริง แต่ฮีไม่นิยมการข่มขืน เพราะฮีหาที่ระบายได้สบาย ๆ แบบสมัครใจ เลยไม่จำเป็นต้องไปปลุกปล้ำคนไม่ยินยอม

ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^-^


 :katai5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๔)(๑๑/๐๖/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 11-06-2016 20:26:52
นึกไม่ออกเลยว่าถ้าณัฐรู้ความจริงแล้วจะเจ็บปวดขนาดไหน :katai1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๔)(๑๑/๐๖/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 12-06-2016 09:18:48
อิวินเลวมาก!!
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๔)(๑๑/๐๖/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: ิbenz ที่ 12-06-2016 21:09:00
รอวันที่ณัฐรู้ความจริง
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๔)(๑๑/๐๖/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 16-06-2016 23:33:18
+เป็ด ชอบเรื่่องนี้มากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๔)(๑๑/๐๖/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Baitaew ที่ 18-06-2016 11:25:24
กานต์ซื่อและรักวินไปแล้วหมดหัวใจ ถ้าวันนั้นมาถึง... :katai1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๔)(๑๑/๐๖/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 29-06-2016 21:21:37
หูยยย....แรงงงง รอว่าจะแก้แค้นยังไง แล้วสองคู่พ่อลูก จะดราม่าขนาดไหน
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๐๖/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 06-07-2016 14:27:01
เสน่หา...รักเอย ตอนที่๑๕

กินมื้อเที่ยงกันเสร็จ นั่งพักจนข้าวเรียงเม็ดแล้วรพีกานต์และณัฐธีร์จึงเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ อัครวินท์เดินทางล่วงหน้าไปก่อนเพราะต้องเช็กเอาต์ก่อนเที่ยง ระหว่างทางรพีกานต์นอนหลับมาตลอดทางเพราะเพลียจากกิจกรรมเมื่อคืน พี่ชายคนดีไม่ว่าอะไรนอกจากจับมือขาวขึ้นจูบเบา ๆ ทุกครั้งที่รถติดไฟแดง

ทางด้านอัครวินท์ที่จอดรถเทียบฟุตบาทก่อนเปิดประตูเดินเข้าร้านสะดวกซื้อ

“อุ้ย ขอโทษค่ะ/ ขอโทษครับ”

ร่างสูงใหญ่เดินชนเข้ากับร่างเล็กบอบบางของหญิงสาวที่เดินสวนออกมาพอดีจนของในมือร่วงลงพื้น ต่างฝ่ายต่างกล่าวขอโทษซึ่งกันและกัน พลางต่างย่อกายลงเก็บขวดน้ำที่กลิ้งออกนอกถุง

“อุ้ย พี่วิน”

น้ำเสียงหวานอุทานอย่างตื่นเต้นเมื่อเงยหน้ามองบุรุษที่ยื่นขวดน้ำดื่มส่งคืนให้ อัครวินท์เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“รู้จักพี่หรือครับ”

อัครวินท์ถามด้วยแววตากรุ้มกริ่มเมื่อเห็นแววตาที่แสดงออกอย่างเปิดเผยของหญิงสาว

“คนดังของมหาวิทยาลัย อดีตเดือนคณะบริหารฯ ปีที่แล้ว คิ้วท์บอยที่ยอดฟอลโลหลักหลายหมื่น ทำไมเนิร์สจะไม่รู้จักล่ะคะ เคยเจอพี่วินที่สนามเทนนิสด้วย แต่เนิร์สไม่กล้าทัก”

สาวน้อยร่ายยาวก่อนหลุบสายตาลงต่ำก้มหน้างุด แก้มขาวใสแต้มสีระเรื่อเหมือนป้ายอุทัยทิพย์ อัครวินท์มองพิจารณาวงหน้าผ่องใสของสาวน้อยน่ารักไซซ์มินิก่อนยกยิ้ม

“คราวหน้าเข้ามาทักได้เลยนะคะ คนน่ารักพี่ไม่ปฏิเสธหรอก ว่าแต่น้องเนิร์สเรียนอยู่คณะอะไรหรือคะ”

คำลงท้ายว่า ‘คะ’ ที่ชายหนุ่มพูดกับสาวน้อยยิ่งทำให้หัวใจคนฟังพองฟูราวกับจะบินได้ จากที่เคยติดตามผ่านโซเชียล แอบตามกรี๊ดอยู่ห่าง ๆ ในมหาวิทยาลัย พอบังเอิญได้เจอตัวเป็น ๆ ในระยะใกล้แบบไม่ทันตั้งตัว หญิงสาวก็ตื่นเต้นจนแทบควบคุมตัวเองไว้ไม่ได้

“เนิร์สเรียนเภสัชฯ ค่ะ” เนิร์สฉีกยิ้มหวาน

“หือ หมอยาสินะ ถ้าพี่ไม่สบายไม่อยากไปหาหมอ พี่รบกวนให้คุณเภสัชฯ ช่วยดูแลได้หรือเปล่าคะ”

อัครวินท์เอ่ยแซ็ว หยอดสายตาหวานจ้องมองลึกซึ้ง

“ได้ค่ะ เนิร์สจะตั้งใจเรียนนะคะ จะได้ดูแลพี่วินได้” สาวน้อยรับปากมั่นเหมาะ

“แล้วนี่น้องเนิร์สรถจอดที่ไหนคะ เดี๋ยวพี่ช่วยถือของเดินไปส่งที่รถ ตัวเล็กกะเปี๊ยกแค่นี้ถือของหนักพะรุงพะรัง ให้พี่วินดูแลนะคะ”

“เนิร์สมารถเมล์ค่ะ พอดีอยากลองนั่งรถเมล์ดูบ้าง เลยทิ้งรถไว้ที่บ้าน”

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งนะ แล้วนี่น้องเนิร์สกินข้าวหรือยังคะ พี่วินหิวข้าวมากเลย กำลังหาเพื่อนกินข้าวด้วยอยู่พอดี”

สาวน้อยพยักหน้าหงึกหงักตอบตกลง สองร่างเดินเคียงคู่กันไปขึ้นรถโดยอัครวินท์เป็นฝ่ายเปิดประตูให้ เมอร์เซเดสคันหรูแล่นออกไป พร้อมหัวใจของชายหนุ่มที่โบยบินตีจากรพีกานต์เช่นกัน



“ทำไมพี่วินอ่านไลน์แล้วไม่ตอบนะ โทรหาก็ไม่รับเลย”

รพีกานต์พึมพำสีหน้าหงอย เดินงุ่นง่านวนไปเวียนมาเป็นเสือติดจั่นอยู่ในห้อง หลังกลับจากบ้านนี่ก็ล่วงผ่านไปหลายวันแล้วที่อีกฝ่ายขาดการติดต่อไปเสียดื้อ ๆ  โดยไม่บอกไม่กล่าว รพีกานต์ส่งไลน์หา ขึ้นว่าเปิดอ่านแต่ไม่ตอบ พอโทรหาก็ไม่รับสาย สร้างความงุนงงแก่รพีกานต์นักหนา ขุ่นเคืองใจอะไรหนอ ทำไมไม่พูดจาอธิบายกันให้แจ้งใจ

รพีกานต์ลดโทรศัพท์ที่กดโทรออกลง มือกดเข้าดูแอปพลิเคชันเพื่อดูความเคลื่อนไหวของอัครวินท์ ดวงตากวางชะงักค้างกับรูปที่เพิ่งอัปเดตสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อครู่ โดยใครคนหนึ่งเป็นผู้ติดแท็กมาให้ เป็นรูปอัครวินท์กับสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่ง ดวงตาสวยสั่นระริก โทรศัพท์แทบร่วงหลุดมือ ขอบตาร้อนผ่าวขณะจ้องมองรูปในโทรศัพท์ สองหนุ่มสาวในอิริยาบถเฉกเช่นคนรัก ไม่ต่างจากที่เขาเคยปฏิบัติกับรพีกานต์มาแล้ว หัวใจดวงน้อยบีบตัวรุนแรงเหมือนถูกกระชากออกจากอกไม่ทันตั้งตัว

 “พี่วิน หมายความว่ายังไง”

มือเรียวกดปุ่มโทรออกยิก ๆ ด้วยความว้าวุ่นใจและต้องการคำอธิบายโดยด่วน มีเพียงสัญญาณรอสายก่อนจะตัดไป แต่รพีกานต์ไม่ยอมแพ้ กดโทรอีกหนจนไม่สามารถติดต่อได้ ไม่รู้ว่าแบตฯ หมด หรือเจ้าของโทรศัพท์จงใจปิดเครื่องหนีกันแน่ รพีกานต์ทิ้งตัวนั่งปุลงบนเตียงก่อนแผ่หลาลงบนที่นอน มือก่ายหน้าผาก ฟันขบริมฝีปากอย่างสับสน จิตใจว้าวุ่นฟุ้งซ่านไม่ต่างจากคนบ้า สมองคิดวนเวียนเหมือนพายเรือในอ่าง ก่อนจะรู้สึกเปียกชื้นที่หางตาจากหยาดน้ำที่กลั่นตัวไหลรินไม่รู้ตัว

“พี่วิน...”

มือยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกหน ดวงตาพร่าพราวด้วยหยาดน้ำเอ่อขังมองรูปที่มียอดไลก์กระหน่ำตามด้วยข้อความโพสต์แซ็วจากคนรู้จักของชายหนุ่มที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามความฮอตของอัครวินท์ อะไรก็ไม่ปวดใจเท่ารูปที่อัครวินท์เป็นคนโพสต์ขึ้นเองสด ๆ ร้อน ๆ ที่โชว์ผางขึ้นหน้าจอพร้อมแคปชัน

 ‘มาสอนสาวเภสัชฯ ตีเทนนิส’

รูปสองหนุ่มกำลังถือไม้เทนนิสฉีกยิ้มเซลฟี่ให้กล้องโดยสาวน้อยเอนกายพิงอกอัครวินท์แสดงความสนิทสนมเต็มที่ รูปนั้นรูปเดียวที่กระชากร่างโปร่งให้ลุกจากที่นอน มือสั่นเทาคว้ากุญแจรถขับตรงลิ่วไปสนามเทนนิสของมหาวิทยาลัย หัวใจร้าวรานสับสนอึดอัดเหมือนคนจมน้ำ รพีกานต์ไม่ทันตั้งรับกับความรู้สึกนี้มาก่อน จู่ ๆ คลื่นความผิดหวังก็สาดโถมซัดกระหน่ำเข้าหา คนไม่ทันตั้งตัวจึงต้องตะเกียกตะกายหายใจไม่ออกอยู่ในกระแสเชี่ยวกราก

เอี๊ยด!

รถเบรกตัวลงกะทันหัน รพีกานต์ว้าวุ่นขาดสติ มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นดูก่อนปล่อยโฮ ไหล่เล็กไหวสะท้าน สะอื้นฮักอย่างคนใจจะขาดเมื่อเห็นรูปที่อัพเพิ่ม

“ฮึก! พี่วินจะทิ้งกานต์แล้วหรือครับ ทำไม ฮึก...”

ความทรมานนี้มันช่างบีบรัดหัวใจเหลือเกิน ทั้งสับสนทั้งงุนงง กระนั้นก็อยากจะได้ยินจากปาก รถออกตัวอีกครั้งแล่นไปจนถึงจุดหมาย รพีกานต์เช็ดหน้าตาลวก ๆ ก่อนเดินเข้าไปข้างใน  สอดส่ายกวาดสายตาหาก่อนจะชะงักค้างกับคำตอบ ภาพที่เห็นตีแสกหน้าจัง ๆ เหมือนถูกสาดด้วยน้ำเย็นจัด รพีกานต์ ก้าวขาไม่ออก ยืนเคว้งมองภาพเขากับคนอื่นตำตาตำใจอยู่อย่างนั้น

“พี่วิน...”

เสียงครางชื่อแผ่วหวิวกลืนหายไปในลำคอตีบตัน ภาพตรงหน้าชัดเจน เหมือนเข็มนับหมื่นกระหน่ำทิ่มแทงหัวใจไม่ขาด หยาดน้ำอุ่นไหลลงอาบแก้มไร้เสียงสะอื้น ภาพตรงหน้าพร่าเลือนด้วยม่านน้ำตา หยาดน้ำหลั่งลงรดใจที่ถูกหักหลัง ย่ำยีความรู้สึกกันอย่างเลือดเย็น เหมือนจะรู้ตัวว่าถูกมอง อัครวินท์หันหน้ามาทิศทางที่รพีกานต์ยืนอยู่พอดี สายตาคมสบกับสายตาตัดพ้อที่ส่งให้ด้วยความเสียใจอย่างท่วมท้น ไม่มีน้ำคำต่อว่าต่อขานให้ระคายหู มีเพียงคำพูดนับล้านที่ส่งผ่านมาทางสายตามันแทนความรู้สึกทุกอย่างได้เป็นอย่างดี รพีกานต์ไม่ได้ก้าวเท้าเข้าไปหา ไม่โวยวายตีอกชกลมต่อหน้า ไม่ทำอะไรมากไปกว่ามอง มองอยู่อย่างนั้น มองให้สาแก่ใจที่แหลกสลาย จนคนถูกมองเป็นฝ่ายรู้สึกเสียเอง

“พี่วินคะ”

เสียงเรียกมาพร้อมเยลลีชิ้นเล็กที่จ่อใกล้ปาก อัครวินท์สบตารพีกานต์ก่อนหันไปอ้ารับขนมจากสาวน้อย เหมือนถูกฝ่ามือที่มองไม่เห็นสะบัดตบ น้ำตาไหลหลั่งเป็นสายราวน้ำป่าทะลัก รพีกานต์พาร่างอ่อนแรงแทบล้มทั้งยืนของตัวเองออกมาจากตรงนั้นด้วยไม่สามารถทนมองภาพบาดตาได้อีกต่อไป

“โอ๊ะ!”

ร่างโปร่งซวนเซออกมาจนชนเข้ากับใครคนหนึ่ง

“อ้าวน้องกานต์นี่”

เสียงนั้นร้องทัก รพีกานต์เหลือบตาขึ้นมองนิดหนึ่งเพื่อจะเอ่ยปากขอโทษ แต่ประโยคถัดมาที่ได้ยินทำเอาพูดไม่ออก

“ทำไมหน้าตาเป็นสภาพนี้ อ๋อ วิ่งออกมาจากทางนั้น ถูกไอ้วินมันเขี่ยทิ้งแล้วสินะ อย่างว่าแหละ เงินเดิมพันแค่พันเดียว ขี้เล็บไอ้วินยังแพงกว่าเลย ไอ้เชี่ยวินมันเคลมเสร็จก็เขี่ยทิ้งเป็นเรื่องปกติ สาว ๆ รอคิวมันเยอะ” อีกฝ่ายพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ

 “พี่ว่าอะไรนะครับ เดิมพันอะไร” รพีกานต์แค่นเสียงทวนคำเสียงสั่นระริกอย่างไม่เชื่อหู

“พวกพี่พนันกันว่า ใครจีบน้องได้ เอาไปพันนึง ห่าวินชนะก็จริง แต่ค่าเหล้าที่มันเลี้ยงฉลองกันกับเพื่อน ๆ แพงกว่าเงินพันนึงที่มันได้แล้วก็เอายัดหน้าอกตู้ม ๆ ของสาวเชียร์เบียร์เสียอีก ฮ่า ๆ”

เหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจ รพีกานต์ชาดิกไปทั้งตัวเมื่อได้กระจ่างใจถึงสาเหตุที่จู่ ๆ อัครวินท์ก็เข้าหากัน ทำทีเอาอกเอาใจเสียเต็มประดา

“ไอ้วินมันเบื่อ น้องจะมาทางนี้ก็ได้นา พี่ยินดีอ้าแขนรับเสมอ”

อีกฝ่ายบอกพร้อมย่างสามขุมเข้าหา รพีกานต์ส่ายหน้าหวือถอยกรูด ก่อนจะสะบัดมือที่น่าสะอิดสะเอียนออกพ้นตัว แล้วรีบวิ่งหนีออกมาทันที

“แฮ่ก ๆ ฮึก...ฮือ”

ไหล่เล็กห่อลู่ไหวสะท้าน ร่างสั่นระริกนั่งสะอึกสะอื้นอยู่หลังพวงมาลัย มือขยุ้มหน้าอกด้านซ้ายสั่นเกร็ง มันเจ็บเหมือนใจจะขาดทั้งที่ยังหายใจ เสียงรุ่นพี่คนนั้นดังก้องในหัวสลับกับเสียงหัวใจกรีดร้องอย่างทุกขเวทนาราวสัตว์บาดเจ็บ กำปั้นเล็กหวดทุบหน้าอกด้านซ้ายปึก ๆ หมายให้ความเจ็บกายภายนอกมีมากกว่าความเจ็บที่หัวใจ เจ็บกายยังมียารักษาหาย แต่เจ็บที่หัวใจ รพีกานต์เพิ่งได้ลิ้มรสเป็นครั้งแรกด้วยน้ำมือของคนที่รักหมดหัวใจ แค่สายตาเฉยเมยของเขาก็มีอานุภาพเหมือนมีดกรีดหัวใจจนเป็นแผลเหวอะ และน้ำตาของรพีกานต์ก็ไหลอาบลงราดรดแผลนั้นสำทับอีกที ไม่ต่างจากคนมีแผลฉกรรจ์สด ๆ แล้วถูกราดด้วยน้ำเกลือ แผลราดด้วยน้ำเกลือยังช่วยสมาน แล้วแผลที่ราดด้วยน้ำตานี้ รพีกานต์จะต้องทำอย่างไร

รถกระชากตัวออกจากที่จอดด้วยสภาพจิตใจแสนย่ำแย่ของคนขับ น้ำตาเอ่อขังบดบังการมองเห็น แต่รพีกานต์ก็ยังฝืนขับต่อไปเรื่อย ๆ ทั้งที่สะอื้นฮักไปตลอดทาง

 “ฮือ...พี่วิน”

เสียงกรีดร้องข้างในใจมันโหยหวน ใบหน้าที่เคยผ่องใสแดงจัดยับยู่ยี่เปรอะไปด้วยคราบน้ำมูกน้ำตา  ทรมาน ทรมานเหลือเกิน... เหมือนปลาช่อนถูกสันมีดทุบหัวดิ้นพราด ๆ  ตะเกียกตะกายหนีอย่างน่าเวทนา ไม่ต่างจากรพีกานต์ในตอนนี้

“พวกพี่พนันกันว่า ใครจีบน้องได้ เอาไปพันนึง ห่าวินชนะก็จริง แต่ค่าเหล้าที่มันเลี้ยงฉลองกันกับเพื่อน ๆ แพงกว่าเงินพันนึงที่มันได้แล้วก็เอายัดหน้าอกตู้ม ๆ ของสาวเชียร์เบียร์เสียอีก ฮ่า ๆ”

น้ำเสียงตามหลอกหลอนแสลงหูประหนึ่งปีศาจร้ายกำลังแผดเสียงหัวเราเยาะเย้ยให้คนโง่งม ภาพแววตาหมางเมินของอัครวินท์ สีหน้าหฤหรรษ์ของคนที่สนุกกับการเล่นกับหัวใจคน และหัวใจพิศุทธิ์ที่ถูกย่ำยีไม่มีชิ้นดี ดวงตาพร่าด้วยม่านน้ำตา สติ
 เอี๊ยด! โครม!



วันวานเคลื่อนผ่านดั่งสายธารไม่ไหลย้อนกลับ...

รพีกานต์ไม่รู้ว่าเวลาล่วงผ่านไปนานเท่าไหร่ เปลือกตาหนักอึ้งลืมไม่ขึ้นเหมือนถูกหินก้อนใหญ่กดทับ ต้องขยับหลุกหลิกไปมาอยู่ครู่หนึ่งจึงปรือขึ้นมองได้บ้าง ภาพแรกปรากฏต่อสายตาคือภาพเพดานห้องไม่คุ้นตา หัวคิ้วขมวดมุ่นมึนงงด้วยยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ลองขยับตัวกระดูกกระเดี้ยวก็พานร้าวระบมไปหมดเหมือนถูกทุบจนป่นละเอียดไปทั้งร่าง ครั้นจะเปล่งเสียง ลำคอก็แห้งผากแทบเป็นผุยผง ศีรษะหนักอึ้งปวดตุบ ๆ สมองประมวลภาพมึนเบลอไปหมด จนต้องหยุดอยู่นิ่ง ๆ สักครู่ ดวงตาเรียวหวานหลุบต่ำมองความอุ่นอวลที่รู้สึกได้จากตรงมือ แวบหนึ่งหัวใจเต้นรัวขึ้นด้วยความยินดีประหนึ่งต้นไม้แห้งเฉาได้ฝนแรกชโลม เมื่อเห็นใครคนหนึ่งที่กุมมือฟุบหลับข้างกาย

...พี่วิน...       

เหมือนร่างกายฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ภาพความทรงจำก่อนเกิดอุบัติเหตุกรอกลับมาอีกหน

...พี่วินมาหากานต์ใช่ไหม พี่วินกลับมาหากานต์แล้ว...

ความปลาบปลื้มผุดวาบขึ้นในดวงตาเสมือนลำแสงสว่างไสวสาดประโคมลงมาหา ความปวดร้าวระบมไปทั้งกายทุเลาลงฉับพลันแทบหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อหัวใจอิ่มเอิบ แค่อัครวินท์กลับมา ความหมางใจก่อนหน้าก็อันตรธานวับ

“อือ”

เสียงครางแผ่วเบาเคลื่อนผ่านลำคอขณะร่างนั้นขยับเปลี่ยนอิริยาบถ ใบหน้าที่พลิกตะแคงหันมาให้เห็นได้ถนัดถนี่ทลายความหวังภิณท์พังลงเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อคนที่นอนเฝ้าดูแลกันไม่ใช่อัครวินท์...

...พี่ณัฐ...

ความผิดหวังแล่นจุกลิ้นปี่ หยาดน้ำตารื้นเอ่อขังท่วมดวงตาก่อนจะไหลรินลงเงียบเชียบ ภาพความสุขสมกับอัครวินท์ลำดับผ่านเข้ามาสมองมาเป็นฉาก ๆ ก่อนตัดจบด้วยภาพชายหนุ่มอยู่กับคนอื่นตำตาตำใจโดยไม่ใยดีกัน รพีกานต์เจ็บหนักเขาก็ยังไม่มาเหลียวแล...คนใจดำ

มือบางสั่นระริก ร้าวรานทั้งใจและกายเหลือจะเอ่ย เหมือนเข็มนับหมื่นนับพันพุ่งตรงเข้าทิ่มแทง ถึงตายเขาก็คงจะไม่มาเผาผีกัน!

“กานต์”

ณัฐธีร์ผงกศีรษะขึ้นขยี้ตา ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นน้องน้อยฟื้นสติแล้ว พี่ชายคนดีตกใจหนักหนาที่เห็นน้องน้ำตาไหล

“กานต์เจ็บตรงไหนหรือครับ” มือหนากุมมือบางอย่างร้อนรน

“เดี๋ยวพี่โทรตามหมอให้นะครับ”

ร่างสูงผุดลุกผละไปโทรเรียกแพทย์เจ้าของไข้ จังหวะเดียวกับที่ประตูห้องเปิดออกผลัวะพร้อมร่างสูงระเหิดระหงของรพินทร์ก้าวเข้ามาในห้อง

“กานต์ลูก ฟื้นแล้วหรือครับ”

รพินทร์วางข้าวของที่ซื้อติดมือมาลงไว้บนโต๊ะ ก่อนจะตรงดิ่งมาหาลูกทันที ใจชื้นขึ้นมาหน่อยที่เห็นลูกฟื้นคืนสติ ก่อนหน้าตอนรู้ข่าวจากณัฐธีร์ รพินทร์ใจหายใจคว่ำ หัวอกคนเป็นพ่อหวาดวิตกไปต่าง ๆ นานา ซึ่งณัฐธีร์เองก็กลัดกลุ้มใจเป็นอย่างมาก คอยเฝ้าดูอาการอยู่ไม่ห่าง

“ขวัญเอย ขวัญมานะลูก พ่อตกใจหมด ตอนพี่ณัฐโทรไปบอกว่ากานต์เกิดอุบัติเหตุ”

รพินทร์กอดปลอบรับขวัญลูก ทว่าดวงตาแดงช้ำทำให้รู้สึกเอะใจบางอย่าง รพินทร์เลี้ยงดูใกล้ชิดกับรพีกานต์มาตลอด สนิทชิดเชื้อเป็นทั้งพ่อ ทั้งพี่ และเพื่อนในคราวเดียวกัน ลูกผิดแปลกไปจากทุกทีทำไมจะไม่รู้สึก ไม่พ้นคงเกี่ยวกับอัครวินท์เป็นแน่ จนตอนนี้ก็ยังไม่เห็นฝ่ายนั้นเยี่ยมหน้ามาให้เห็น

รพีกานต์เผยอปากน้อย ๆ พยายามจะร้องขอน้ำดื่มแก้กระหาย ณัฐธีร์นึกขึ้นได้รีบกุลีกุจอรินน้ำใส่แก้วมาให้ รพินทร์ปรับเตียงขึ้นให้สะดวก สายตาห่วงหาสองคู่ทอดมองลูกนกบาดเจ็บด้วยความห่วงใยสุดหัวใจ

 “คราวหน้ากานต์อยากจะไปไหน กานต์โทรบอกพี่นะครับ ต่อให้ยุ่งยังไง พี่ก็จะพากานต์ไปเอง”

ณัฐธีร์เสียงสั่นจูบมือบางอย่างถนอม หัวใจแทบหยุดเต้นตอนรู้ว่าน้องน้อยประสบอุบัติเหตุ รถแฉลบชนต้นไม้ข้างทาง ร่างสูงรีบผลุนผลันออกมาจากห้องประชุมองค์การฯ นิสิต ทันทีที่ทราบเรื่อง

“จริงสิ ณัฐ พ่อลืมซื้อแชมพูสระผมมาด้วย ณัฐไปซื้อให้หน่อยได้ไหม”

รพินทร์ถามแกมขอร้อง ณัฐธีร์พยักหน้ารับโดยง่าย แพทย์เจ้าของไข้และพยาบาลเข้ามาตรวจดูอาการ รพินทร์รอจนเสร็จเรียบร้อยจึงทิ้งกายนั่งลงข้างลูกรัก มือขาวลูบหลังมืออ่อนโยน ใบหน้าระบายรอยยิ้มอ่อนโยนส่งให้

“กานต์หิวไหมลูก”

รพีกานต์ส่ายหน้า ดวงตาแดงช้ำเหม่อลอย ก่อนหยาดน้ำใสจะไหลพรากทะลักทลายอย่างอดรนทนไม่ไหวเมื่อเห็นสายตาของบิดา

“ฮึก! พ่อครับ พี่วิน ฮือ...”

รพีกานต์สะอื้นฮัก ความทรมานเจียนตายพุ่งเข้าขยี้ดวงใจพิศุทธิ์ ความเสียใจบีบคั้นอึดอัดจนหายใจไม่ออกเหมือนคนตะเกียกตะกายอยู่ในกระแสน้ำวน

“กานต์ยังมีพ่อกับพี่ณัฐนะลูก รู้ไหมว่าพ่อใจหายแค่ไหน ตอนรู้ข่าวว่ากานต์ขับรถชนต้นไม้”

รพินทร์ลูบศีรษะบุตรชายแผ่วเบา น้ำตาของลูกสร้างความปวดร้าวแก่เขาไม่น้อย แต่มันจะเป็นบทเรียนสำคัญให้ลูกแข็งแกร่งขึ้นอีกขั้นหากผ่านไปได้

“กานต์เจ็บ ฮึก พ่อครับ กานต์เจ็บ”

ร่างเล็กคู้ตัว มือกุมหัวใจสะอื้นฮัก กายสั่นสะท้าน รพีกานต์ไม่เคยเจอกับความผิดหวังมาก่อนไม่ว่าเรื่องอะไร หัวใจดวงน้อยเหมือนถูกเหยียบขยี้จมดิน ภาพความรัก สัมผัสจากอัครวินท์ยังตามหลอกหลอนความรู้สึกอยู่ไม่คลาย

“กานต์ตั้งสติหน่อยลูก กานต์ มองพ่อ กานต์อย่าทำแบบนี้”

รพินทร์พยายามดึงสติที่กำลังเตลิด คนไม่เคยรัก ไม่เคยสัมผัสกับความผิดหวังมาก่อนย่อมจะตั้งตัวไม่ทันกับการหักหาญแบบกะทันหัน

“พี่วินไม่รักกานต์แล้วครับพ่อ ฮึก กานต์ผิดอะไร ทำไม...ทำไม”

รพีกานต์คร่ำครวญอย่างทุกข์ทรมาน ใบหน้าซุกหมอนร้องไห้จนเปียกชุ่ม รพินทร์ปล่อยให้ลูกได้ระบายโดยตนเองคอยเฝ้ามองอยู่ไม่ห่าง ไม่ให้ลูกเผลอทำร้ายตัวเอง เส้นทางชีวิตที่ดูเหมือนโรยด้วยกลีบดอกไม้ หากเมื่อลูกย่างเท้าลงย่ำและได้พบว่าภายใต้ความสวยงามนั้นมีหนามแหลมคมซุกซ่อนอยู่ข้างใต้ จากนี้ลูกจะรู้จักรักอย่างระวัง เหมือนอย่างที่รพินทร์เคยเจอมาแล้ว

“ความรักไม่มีผิดถูกหรอกลูก มีแต่รักกับไม่รักเท่านั้นแหละ ต่อให้เราดีแค่ไหน ถ้าคนมันจะหมดรัก มันก็หมดได้ง่าย ๆ อย่าพยายามหาเหตุผลกับความรักเลย และก็อย่าโทษตัวเอง”

รพินทร์กรีดหยาดน้ำตาออกจากพวงแก้มใส สายตาอ่อนโยนทอดมองลูกน้อย

...ลูกเอ๋ย เจ้าเจ็บทั้งกายและใจถึงเพียงนี้ แต่ใจก็ยังผูกปฏิพัทธ์ต่อรักที่จากลา คร่ำครวญหากับรักที่โบยบิน...

“ถ้ากานต์เป็นผู้หญิง พี่วินจะกลับมาหากานต์ไหมครับ ถ้างั้นกานต์จะเป็นผู้หญิง ลุงหมอยังไม่ได้ตัดมดลูกข้างในของกานต์ออก พ่อ...พ่อติดต่อลุงหมอให้กานต์ที กานต์จะเป็นผู้หญิง พี่วินจะได้กลับมาหากานต์ นะครับพ่อ ติดต่อลุงหมอให้กานต์นะครับ ฮึก...กานต์รักพี่วิน พ่อครับ ติดต่อลุงหมอให้กานต์”

รพีกานต์โพล่งขึ้นเหมือนคนขาดสติ ความคิดตีกันยุ่งเหยิง มือเล็กกุมมือบุพการีอย่างวิงวอนจนดูน่าสงสารในคราวเดียว รพินทร์ที่ได้ยินถึงกับสะอึก

“กานต์...กานต์ต้องการแบบนั้นจริง ๆ หรือลูก” รพินทร์ถามย้ำ ย้ำเพื่อเรียกสติลูกรัก

“กานต์...กานต์”

รพีกานต์อึกอักอย่างสับสน ดวงตาบวมช้ำส่ายลอกแลกไปมาอย่างลังเล

“รูปกายภายนอกจะรั้งหัวใจคนได้สักกี่วันกัน กานต์กำลังทรมานกับการยึดติดในสิ่งที่ไม่มีอยู่แล้วนะลูก ถ้าทุเลาลงได้ วันหนึ่งกานต์จะเข้าใจ ทุกอย่างต้องใช้เวลา แต่ตอนนี้กานต์ต้องยอมรับความจริงว่า กานต์ไม่มีพี่วินอีกแล้ว”

รพินทร์ขอบตาร้อนผ่าวเมื่อต้องเอ่ยย้ำความจริงแก่ลูก รพีกานต์ชะงักนิ่ง น้ำตาไหลกับความจริงที่ใจยังตั้งรับไม่ทัน

“กานต์เจ็บ...ฮึก กานต์เจ็บ” รพีกานต์ย้ำประโยคเดิมซ้ำ ๆ

“รักที่ไม่สมหวังมันก็เป็นแบบนี้แหละลูก จะเรียกว่าดาบสองคมก็ไม่ผิดนัก กานต์ยังมีพ่อนะลูก พี่ณัฐก็ยังอยู่ข้าง ๆ กานต์ต้องอยู่ให้ได้ ต้องผ่านมันไปให้ได้นะลูกนะ”

รพินทร์กุมมือสั่นเทา พยายามอย่างยิ่งยวด แม้จะรู้ดีว่าคำพูดปลอบใจมากมายในตอนนี้ไม่อาจช่วยอะไรกับหัวใจที่ยุ่งเหยิง ยังไม่พร้อมเปิดรับ รพินทร์นั่งมองดูลูกรักร้องไห้ด้วยความร้าวระทมในใจไม่ต่าง ดวงตาคนเป็นพ่อแดงก่ำ มือบางพยายามกุมมือลูกรักปลอบประโลม รพีกานต์ร้องไห้จนอ่อนแรง ทั้งแสบจมูกและปวดศีรษะ ดวงตาเอ่อคลอเหม่อลอย ภาพวันวานเก่าก่อนกับอัครวินท์ยังวนเวียนฉายซ้ำ ราวกับจะตอกลิ่มย้ำชัดลงไปในใจให้แทบกระอัก

รักเอย...ยามรักสุดเกษมศานต์ปานน้ำเกสรดอกไม้ผลิแย้ม
ยามจากจร ไฉนเลยแทบพร่าชีวิต
ฮึก...
จะหนีพ้นอย่างไรกับความเจ็บปวดเจียนตายนี้
เมื่อภาพความรักวันวานยังผูกเกลียวรัดแน่นไม่คลาย
...



ความเย็นชื้นที่ผิวหน้าปลุกรพีกานต์จากหลับใหล หลังร้องไห้จนผล็อยหลับไป ดวงตาบวมช้ำลืมมองเจ้าของสัมผัสอ่อนโยนที่กำลังขะมักเขม้นในการเช็ดตัวให้

“พี่ทำให้กานต์ตื่นหรือ”

ณัฐธีร์รามือจากใบหน้าขาวซีด เอ่ยถามอย่างห่วงใย คุณรพินทร์บอกแต่เพียงว่ารพีกานต์ปวดแผลจนร้องไห้แล้วผล็อยหลับไปตอนที่เขากลับมาพอดี ชายหนุ่มกังวลนักหนา ถ้าเลือกได้เขาก็อยากเป็นฝ่ายเจ็บแทนเสียเอง

“พี่ขอโทษนะ ที่พี่ดูแลกานต์ได้ไม่ดี จนกานต์ต้องเป็นแบบนี้ ทั้งที่พี่รับปากคุณรพินทร์เป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วแท้ ๆ”

ณัฐธีร์ไล่เช็ดตัวให้อย่างแผ่วเบา ไม่รังเกียจแม้ฝ่าเท้าของน้องน้อย มืออุ่นกดปลายนิ้วนวดฝ่าเท้าให้เพื่อช่วยผ่อนคลาย

“พี่ณัฐไม่ต้องขอโทษหรอกครับ พี่ณัฐไม่ผิดหรอก กานต์โตแล้ว ต้องดูแลตัวเองบ้าง”

รพีกานต์ยิ้มอ่อนแรงให้พี่ชายคนดี

“กานต์กินอะไรหน่อยไหม จะได้กินยานะครับ”

“กานต์อยากเข้าห้องน้ำหน่อยครับ”

ณัฐธีร์พยักหน้ารับ ร่างสูงรีบกุลีกุจอพยุงร่างเล็กกว่าเข้าห้องน้ำไปทำธุระ รพีกานต์มองสภาพย่ำแย่ของตัวเองในกระจก หยาดน้ำตาไหลรินซ้ำอีกคำรบกับความจริงที่ได้เจอ

"พี่วินจะไม่กลับมาอีกแล้วใช่ไหมครับ ฮึก...พี่วิน กานต์รักพี่วิน"

ภาพใครคนหนึ่งร้องไห้เป็นเผาเต่าด้วยสภาพเจียนขาดใจปรากฏในกระจกต่อหน้า รพีกานต์ตัวสั่นเทามือกุมหัวใจที่จวนเจียนจะขาดรอนโดยที่เขาก็ไม่ได้มารับรู้

รักเอย...ใยปวดร้าวถึงเพียงนี้




อาหารที่ผ่านลงลำคอรสชาติเป็นอย่างไร รพีกานต์ไม่ได้สนใจรับรู้ ร่างเล็กเพียงแค่ตักใส่ปาก เคี้ยวแล้วก็กลืนลงคอให้พอแค่รองท้องก่อนกินยา สายตายังเหลือบมองประตูในบางครั้งด้วยหวังเล็ก ๆ ว่าอัครวินท์จะมาเยี่ยมหา แต่มันก็เป็นเพียงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ เมื่อคาดหวังก็ย่อมผิดหวัง

“กานต์กินผลไม้ด้วยเนอะ เดี๋ยวพี่ปอกแอปเปิลให้นะครับ”

ณัฐธีร์ลุกไปจัดแจงให้ รพีกานต์มองแผ่นหลังตรงแน่วแน่ไม่ต่างจากหัวใจซื่อตรงของเจ้าของที่กุลีกุจอดูแลกัน พี่ณัฐดีแสนดี แต่รพีกานต์กลับให้ได้แค่พี่ชาย ใครอีกคนร้ายแสนร้ายกระนั้นก็ยังเฝ้าหวังว่าเขาจะมาเยี่ยมเยียนดูใจกันบ้าง ทั้งที่สมองก็รู้เห็นทุกอย่าง ทำไมถึงสั่งให้ใจรักพี่ณัฐไม่ได้ แค่ใจไพล่กระหวัดถึง น้ำตาก็พานจะไหลลงเป็นสาย

“กานต์หายแล้ว เดี๋ยวพี่พาไปเที่ยวทะเลใกล้ ๆ เดือนหน้าวันเกิดกานต์ด้วยนี่นา ครบสิบแปดเต็ม พี่ไม่พรากผู้เยาว์แล้ว”


 :mew4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๐๖/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 06-07-2016 15:01:42
มีความดราม่า เฮ้อ~
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๐๖/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: ิbenz ที่ 06-07-2016 15:08:31
อ่านแล้วสะเทือนใจพอสมควรคับแต่ยังอยากให้กานต์เจ้บปวดมากกว่านี้คงจะชาเวลาที่คนนั้นสำนึกผิด ปล.ถ้าสมมตติพี่ณัฐรู้ความจริงแต่ทำเป็นไม่รู้คงจะได้ใจคนอ่านอย่างผมไปเต็มๆ สู้ๆๆ หนังดีต้องเชียร์คับ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๐๖/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 06-07-2016 15:37:36
ปล่อยมันไปกานต์ แค่เจ้ากรรมนายเวร หาผัวใหม่ดีกว่าลูก เรายังหนุ่มยังแน่น
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๐๖/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 06-07-2016 19:15:40
ได้อ่านซะที พิจารณาพี่ณัฐเลย พลาดแล้วครั้งหนึ่งอย่าให้พลาดซ้ำนะ
รอ รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๐๖/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 06-07-2016 19:17:25
อีวินเลวมากๆ  :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๐๖/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Baitaew ที่ 06-07-2016 21:51:14
สงสารกานต์กับณัฐ  :m15:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๐๖/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 07-07-2016 05:52:58
รอการอัพเรื่องนี้เหมือนใจจะขาด
สงสารพ่อลูกคู่นี้ที่โดนพ่อลูกตระกูลนี้หลอก   
ตัวพ่อวินเองก็เหมือนหลอกพ่อฝั่งนี้แล้วก็ตัวเองก็มีแฟนใหม่หลังจากเลิกกับเมียไป
สงสารณัฐที่เฝ้ารักเฝ้าดูแลแต่ก็โดนโจรใจทรามมาหลอกเอาไปเชยชมแล้วก็ขยี้ด้วยเท้า
อันนี้ไม่ใช้แค่เรื่องเปิดซิงหรือไร  สำหรับเราเรื่องนั้นไม่ใช่แรื่องใหญ่
แต่เป็นว่าของที่เฝ้ารักให้คุณค่ามากลับมามีคนเอาไปทำลายมากกว่า
หวังว่าวินคงจะไม่ใช่พระเอกนะเพราะเรามองไม่เห็นความรักจากฝ่ายนั้นเลย
ที่กลัวที่สุดก็คือใจกานต์เองที่ขนาดเห็นเต็มตา ได้ยินเต็มหูก็ยังไม่มีสติ
ขนาดถึงกับอยากเป็นผู้หญิงเพียงเพื่อรั้งให้อีกฝ่ายเอาไว้
คือมันรุนแรงมากๆค่ะกับความรู้สึกรักของนายเอกเรา
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๐๖/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 07-07-2016 08:16:59
โอยยยย เจ็บจนไม่อยากจะทน
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๐๖/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-07-2016 11:22:07
วินเลวมากอ่ะ จิตใจทำด้วยอะไร   :angry2: :z6:
กานต์เป็นเด็กที่ตามเล่ห์เหลี่ยมคนเลวๆแบบวินไม่ทันด้วย เลยถูกหลอกง่าย
สงสารกานต์ พี่ณัฐกับพ่อรพินทร์ก็น่าสงสารเหมือนกัน
 :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๐๖/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: mylittle ที่ 08-07-2016 11:07:37
ชอบมากค่ะ อ่านรวดเดียวเลย สงสารกานต์ TT จะรอติดตามตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๐๖/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 08-07-2016 22:56:15
โอ้ยยย.. เกลียดอิเชี่ยวินนนนนน ยังไม่เห็นจุดที่มันจะสำนึกผิดได้ กับพ่อมันยังมีเกลียดมีแกล้ง มันมีลูกเองจะสำนึกจะรู้สึกอะไรหรอไม่มีทาง

เชียร์พี่ณัฐเป็นพระเอก

 :katai1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๖)(๑๐/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 10-07-2016 12:05:29
เสน่หา...รักเอย ตอน๑๖

แก้วเอย...
กลีบกลิ่นปลิดปลิวโรยรา
หมดเยื่อสิ้นใยเสน่หา
ภุมราแหนงหน่ายบ่ายหนี
สุข สมหวัง แลทุกข์ระทมตรมไหม้
ไฉนเลยเลือกได้
ฉันใด


   วันเวลาผ่านไปแช่มช้าราวหมุนโม่หนัก บาดแผลในใจถูกราดรดด้วยหยาดน้ำตาทุกวัน...ทุกวัน จนเกาะกุมกลายเป็นความด้านชา หยาดน้ำตาที่เคยไหลบ่าเหมือนน้ำหลากค่อยเหือดหายลงทีละน้อย...ละน้อย เหลือไว้เพียงดวงตากวางแดงช้ำเหม่อลอยราวกับร่างไร้ชีวิต รพินทร์เงยหน้าจากหนังสือในมือมองเลยไปยังร่างบนเตียง จากเด็กร่าเริงช่างเจรจากลายเป็นซึมเศร้าเหงาหงอยหายใจทิ้งไปเปล่า ๆ เปลี้ย ๆ รพินทร์ระบายลมหายใจพรู นิ่งคิดครู่หนึ่ง หลังจากอดทนปล่อยให้รพีกานต์จมจ่อมอยู่กับตัวเองมาหลายวัน ก่อนตัดสินใจขยับเข้าไปใกล้เพื่อพูดคุย

“น้องกานต์ ฟังนะลูก พ่อจะอ่านวรรคทองของเรื่องสี่แผ่นดินให้ฟัง”  รพินทร์แตะแขนเล็กดึงความสนใจลูกรัก รพีกานต์ผินใบหน้าเซื่องซึมหันมา ก่อนน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลชวนฟังของรพินทร์จะเริ่มดังขึ้น

*“คนเราเมื่อรักมาก ย่อมเสียดายมาก ถ้าไม่อยากเสียดายมาก ก็อย่าไปรักอะไรให้มันมากนัก ถ้าจะรักต้องให้รู้ว่า เป็นกรวดรึว่าเพชร ถ้ารู้ค่าของมันเสียแล้วว่าเป็นกรวดรึว่าเพชร เมื่อมันไปหาย ก็ไม่เสียดายมากนัก”  รพินทร์ลดหนังสือในมือลง เงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาเศร้าสร้อยก่อนเอ่ยปากถาม

“กานต์เข้าใจประโยคนี้ไหมลูก” น้ำตาเม็ดโตที่ร่วงเผาะจากดวงตาสั่นไหวของลูกสร้างความปวดหนึบกับหัวใจของรพินทร์ไม่น้อย บาดแผลยังสดใหม่ รบเร้าไปก็รังแต่จะสร้างความขื่นขมเพิ่มทุกข์แก่ลูก มือขาวเลื่อนขึ้นลูบศีรษะทุยแผ่วเบา เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือความห่วงใยเต็มเปี่ยม

 “คนเราอ่อนแอได้ แต่ไม่ใช่ตลอดไปนะครับน้องกานต์ กานต์เป็นแบบนี้ พ่อเป็นห่วงกานต์มากนะ รู้ไหม พี่วินเป็นเพชรน้ำเอกสำหรับกานต์ แล้วกานต์ล่ะครับ กานต์เป็นอะไรสำหรับพี่เขา เขาให้คุณค่าตอบแทนน้ำใจของกานต์บ้างไหม ใช่ว่าเราให้สิ่งใดกับใครไปแล้ว เขาจะตอบแทนคืนกลับมาให้เหมือนกันเสมอไปเสียเมื่อไหร่ ใช้สติตรึกตรองดูให้ดี กานต์ให้ดวงแก้วแก่วานร ทุ่มเทความรักให้กับคนที่ไม่เห็นค่า ลิงตัวนั้นถึงได้ไม่รู้คุณค่าในสิ่งที่ได้ไป มันควรแล้วหรือที่กานต์จะมัวแต่จมจ่อมอยู่กับทุกข์ จนลืมไปหมดสิ้นว่าชีวิตยังมีวันพรุ่งนี้ให้เผชิญ กานต์มีค่ากับพ่อมากนะลูก กานต์มีค่ากับทุกคนที่รักกานต์” รพินทร์ร่ายยาวพลางจับมือเล็กยื้อมาแตะที่หน้าอกด้านซ้าย จุดที่หัวใจกำลังเต้นตุบ ๆ สายตาอ่อนโยนถ่ายทอดความรักความปรารถนาดีอย่างเต็มเปี่ยมส่งให้ทางสายตาแทนคำพูด

“กานต์แค่เสียคนที่ไม่ได้รักกานต์ไปนะลูก แต่ที่ตรงนี้ ยังมีคนที่รักกานต์เสมอ กานต์ลืมไปแล้วหรือลูก ว่าพ่อรักกานต์มากแค่ไหน” น้ำเสียงสั่นเครือในตอนท้ายฉุดรั้งหัวใจรพีกานต์ขึ้นจากความมืดมิด

“ฮึก! พ่อครับ กานต์ขอโทษ”

เหมือนดวงตะวันผ่องอำไพสาดแสงสว่างชี้ทางแก่คนหลงทางมืดมน ภาพแต่หนหลังครั้งเยาว์วัยที่บิดาเคยเลี้ยงดูอุ้มชูมาเป็นอย่างดี ลิ้นไรไม่เคยให้แตะต้องระคายผิวเนื้ออ่อน ชีวิตบริบูรณ์เพียบพร้อมทุกสิ่งอย่างอย่างน่าอิจฉา“บวรกิตติ์วิวัฒน์” ตระกูลเชื้อสายเก่าแก่ที่ยินยอมให้เด็กกำพร้าไร้หัวนอนปลายเท้าได้มีโอกาสใช้นามสกุลร่วมวงศ์วานเผ่าพันธุ์ด้วย  ทั้งที่ความจริงแล้ว หากรพินทร์จะปฏิเสธยกให้เป็นธุระของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเสียก็ย่อมได้ น้ำใจแสนประเสริฐเสมือนหนึ่งน้ำทิพย์ชโลมหัวใจที่เจ็บช้ำให้บรรเทาเบาบางลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ รพีกานต์น้ำตาไหลสบตากับบุพการีตรงหน้า ไร้เสียงสะอื้นเฉกเช่นเก่า หากหัวใจตระหนักซึ้งในบุญคุณของคนที่คอยถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมา

ร่างเล็กปล่อยโฮโผกอดบุพการีเต็มหน่วย หลายวันที่เฝ้าคอย สุดท้ายก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของอัครวินท์ ในขณะที่คนที่คอยดูแลอยู่ข้าง ๆ ต้องมาพลอยไม่เป็นอันกินอันนอนไปด้วย รพีกานต์เห็นสีหน้าทุกข์ใจของบุพการีแล้วก็ได้แต่อดสูที่ตนเองเป็นต้นเหตุให้ผู้มีพระคุณต้องพลอยทุกข์ใจไปด้วย รพีกานต์กินไม่ได้นอนไม่หลับ รพินทร์เองก็พานกินอะไรไม่ลงตามไปด้วย จนดวงหน้าผ่องใสเป็นนิจซูบหมองลงไปอย่างเห็นได้ชัด

 “กานต์มีค่าสำหรับพ่อเสมอนะลูก แล้วกานต์ก็ยังมีค่าสำหรับหลาย ๆ คนด้วย เวลาจะเยียวยากานต์ให้ดีขึ้นนะลูกนะ” รพินทร์ลูบแผ่นหลังบางปลอบประโลม รพีกานต์เป็นเด็กเข้าใจอะไรง่าย รพินทร์เชื่อว่าลูกจะต้องผ่านมันไปได้ รพินทร์ดันกายเล็กนั่งตรงพลางส่งยิ้มละไมให้ นิ้วเรียวกรีดหยาดน้ำตาที่ร่วงเผาะ หากไม่ดูเจ็บปวดรุนแรงเท่าเก่าแล้ว เมื่อรพีกานต์สัมผัสได้ถึงความรักที่รพินทร์มอบให้

“ออกจากโรงพยาบาลแล้ว เดี๋ยวเราไปทำบุญกันเนอะ” รพินทร์บีบแก้มนุ่มนิ่ม เบาใจขึ้นหน่อยที่ลูกเริ่มตาสว่าง รพีกานต์มองรอยยิ้มอบอุ่นก่อนเอ่ยปากถาม

“พ่อเคยรักใครแล้วเสียใจแบบนี้บ้างไหมครับ”

“เคยสิ” รพินทร์ยิ้มบางระลึกถึงความรักที่เคยจารจำในหนหลัง ม่านหมอกแห่งความทุกข์ระทมดับสลายเหลือไว้เพียงความทรงจำจาง ๆ ให้นึกถึงเป็นครั้งคราว ทว่าไม่มีผลต่อจิตใจอีก

“พ่อรักเขามาก มากจนเกือบคิดฆ่าตัวตายแน่ะ ตอนถูกสลัดทิ้ง แต่ดวงยังไม่ถึงฆาต พ่อเลยได้เจอกับกานต์น้อย เบรกไม่ให้คิดสั้น” รพินทร์ยิ้มน้อย ๆ อย่างขบขันกับความคิดชั่ววูบของตนเองในตอนนั้น มองย้อนกลับไปก็ได้แต่ขอบคุณโชคชะตาในวันนั้นที่ดลใจให้เขาได้พบกับรพีกานต์ เด็กทารกแรกเกิดสองเพศที่ถูกทอดทิ้งไว้ข้างถังขยะสกปรก ให้เผชิญกับมดแมลงและสายฝนอย่างเดียวดาย

“เพราะพ่อได้เจอกานต์ เด็กน้อยที่ส่งเสียงร้องไห้จ้า ฉุดสติให้พ่อคิดได้ เจ้าหนูตัวแดงในวันนั้นพยายามดิ้นรนขวนขวายที่จะมีชีวิตรอดอย่างเต็มกำลัง ทั้งที่ถูกมดแดงรุมยำทั้งตัว พ่อในตอนนั้นเสียอีก ที่เข้มแข็งได้ไม่สู้เด็กทารก กานต์ต้องรักตัวเองมาก ๆ นะลูก ไม่ว่าจะเจอกับอะไร กานต์ก็ต้องเข้มแข็ง ชีวิตกานต์ยังต้องก้าวไปข้างหน้า ยังต้องเจออะไรที่มากมายกว่านี้ ถึงตอนนั้นกานต์จะรู้เองว่า ความรักไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต นะลูกนะ พ่อเป็นกำลังใจให้” รพินทร์กุมมือบางอย่างให้กำลังใจ ทุกอย่างล้วนต้องใช้เวลาเยียวยา บาดแผลคราวนี้จะสร้างภูมิคุ้มกันให้รพีกานต์เข้มแข็งขึ้นกว่าเก่า

“ครับพ่อ” รพีกานต์รับคำ พ่อยังคงเป็นดวงตะวันอบอุ่นในใจเสมอ



วันเวลาเคลื่อนผ่านไปพร้อม ๆ กับความรู้สึกของรพีกานต์ที่ทุเลาลงเรื่อย ๆ รพีกานต์ปิดรับการรับรู้เกี่ยวกับอัครวินท์ทุกรูปแบบ ชีวิตดำเนินไปโดยมีพี่ชายคนดีคอยอยู่เคียงข้างไม่ห่างเช่นวันวาน หัวใจที่เคยบอบช้ำเริ่มสมานฟื้นตัวดีขึ้นทีละนิดจนทำใจได้ในระดับหนึ่ง

“พี่ณัฐปล่อยกานต์ลงเถอะ กานต์เดินเองได้น่า เดินไปด้วยแบกกานต์ขี่หลังไปด้วยแบบนี้ไม่หนักหรือไง” รพีกานต์ส่งเสียงประท้วงน้อย ๆ เมื่อพี่ชายคนดีพาขี่หลังเดินเลียบชายหาดดูพระอาทิตย์ตกดินเย็นย่ำตะวันรอนแสง

“ไม่หนักหรอก ตัวกานต์แค่นี้ พี่ให้ขี่หลังเดินทั้งวันยังได้ ลิงน้อย” ณัฐธีร์หัวเราะอย่างอารมณ์ดี กระชับคนตัวเล็กบนแผ่นหลัง

“แวะกินอะไรก่อนกลับเนอะ กานต์อยากกินร้านไหน เลือกเลย”

“ร้านนั้นก็น่านั่ง แต่พี่ณัฐปล่อยกานต์ลงก่อน อายเขา” คนตัวเล็กเสียงอู้อี้ ณัฐธีร์ยิ้มน้อย ๆ ย่อกายลงปล่อยให้รพีกานต์ได้เดินเอง สองร่างกอดคอกระหนุงกระหนิงพากันไปร้านริมทะเลที่รพีกานต์หมายตาเอาไว้

“วันนี้กานต์ดูจะกินเยอะกว่าปกตินะ สั่งเพิ่มไหม” ณัฐธีร์เอ่ยถามขณะมือสาละวนกับการแกะกุ้งแกะปูบริการคนตัวเล็กที่โซ้ยเอาโซ้ยเอาอย่างเอร็ดอร่อย

“น้ำจิ้มซีฟู้ดเปรี้ยวดี กานต์ชอบ สั่งเพิ่มอีกก็ได้ เอายำด้วยนะ ขอเปรี้ยว ๆ เลย” รพีกานต์บอกขณะหยิบกุ้งจิ้มน้ำจิ้มส่งเข้าปาก วันนี้รู้สึกอยากของเปรี้ยวอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ปกติไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ณัฐธีร์รับคำ สั่งอาหารให้ตามที่บอก เห็นรพีกานต์กินอย่างเอร็ดอร่อยเขาเองก็พลอยเจริญอาหารตามไปด้วย สองศรีพี่น้องซัดกันเต็มคราบก่อนสารถีหนุ่มหล่อจะพาน้องน้อยกลับเข้ากรุงเทพฯ

“อือ อุก! พี่ณัฐ กานต์อยากอ้วก” รพีกานต์พะอืดพะอม ใบหน้าซีดเผือด เหงื่อแตกพลั่กจนต้องร้องบอก ณัฐธีร์รีบตบไฟเลี้ยวแวะจอดรถข้างทางในทันที

“กานต์เป็นอะไร”

“กานต์ อื้อ!” ไม่รอให้ได้พูดจบ รพีกานต์รีบเปิดประตูออกไปอาเจียนข้างนอกรถทันที ณัฐธีร์ตามไปคอยลูบหลังส่งน้ำให้กลั้วปากด้วยความเป็นห่วง

“สงสัยกินอาหารทะเลเยอะไปแน่ ๆ พี่เห็นกานต์ซัดเอา ๆ ไม่พูดไม่จาเลย” ณัฐธีร์ลูบหลังให้น้องน้อยจนรพีกานต์ค่อยยังชั่วจึงเริ่มเดินทางกันต่อ รพีกานต์เวียนศีรษะจนแทบจะยัดยาดมเข้าไปในรูจมูก มือถือถุงพลาสติกทำท่าจะอาเจียนตลอดเวลาจนณัฐธีร์เริ่มอดห่วงไม่ได้

“แวะโรงพยาบาลหรือคลินิกก่อนไหม ท่าทางพะอืดพะอมแบบนี้ อาจจะแพ้อาหารหรือเปล่า กานต์หน้าซีดมากเลยนะ” ณัฐธีร์ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อเม็ดเป้งที่ผุดพรายแถวหน้าผากและขมับให้ขณะรถติดไฟแดง รพีกานต์เวียนศีรษะอย่างหนักพยักหน้าอือออไปตามเรื่อง ณัฐธีร์ใช้แอปพลิเคชันหาโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดเพื่อพาน้องไปตามจุดหมาย


ณัฐธีร์กระสับกระส่ายไม่น้อยขณะรอผลตรวจ เมื่อเช้ารพีกานต์ก็ตื่นมาโอ้กอ้ากแต่เช้ามืดไปแล้วหนหนึ่ง ไม่คิดว่ารอบเย็นจะมีอาการอีก น้องน้อยจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ ใจคนห่วงคิดสะระตะไปเรื่อยขณะรอฟังผล

“หมอว่ายังไงบ้าง” ณัฐธีร์ผุดลุกปรี่เข้าไปหาคนหน้าซีดที่เปิดประตูออกมาพลางสูดยาดมไปด้วย

“หมอบอกรอผลตรวจก่อนครับ จริง ๆ แล้วกานต์เวียนหัวแล้วก็อาเจียนตอนเช้าติดต่อกันมาหลายวันแล้ว” รพีกานต์บอกเสียงเหนื่อยอ่อนขณะทิ้งตัวลงนั่งข้างกันในสภาพอ่อนแรง

“ทำไมกานต์ไม่บอกพี่ แล้วปล่อยผ่านมาได้ยังไงตั้งหลายวัน” ณัฐธีร์ตั้งท่าจะไล่เลียงต่อ แต่พอเห็นใบหน้าซีดขาวราวแผ่นกระดาษจึงยั้งปากเสีย อย่างไรก็มาถึงมือหมอแล้ว ชายหนุ่มนั่งรอเป็นเพื่อนด้วยใจภาวนาให้น้องน้อยอย่าเป็นอะไรร้ายแรงเลย



“คุณหมอบอกว่าอะไรนะครับ!” รพีกานต์ทวนคำถามซ้ำด้วยใบหน้าซีดเผือดหลังเค้นหาเสียงตัวเองเจอ หัวใจหล่นวูบไปที่ตาตุ่มเหมือนลำแสงอัสนีบาตฟาดลงกลางใจเมื่อได้ยินคำวินิจฉัยจากแพทย์ที่ตรวจรักษาอาการ

“หมอบอกว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ครับ ตรวจซ้ำอย่างละเอียดแล้ว คนไข้ทราบหรือเปล่าครับว่าร่างกายคุณข้างในมีมดลูกที่สมบูรณ์อยู่” รพีกานต์สมองขาวโพลนอย่างตกตะลึงจนพูดต่อไม่ออก คำแนะนำจากแพทย์ผ่านเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาจับใจความอะไรไม่ได้สักอย่าง ขาสั่นพั่บ ๆ ก้าวพาใบหน้าซีดเผือดออกจากห้องตรวจ เจอณัฐธีร์ที่รออยู่ด้านนอกก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีก้อนแข็ง ๆ แล่นมาจุกที่คอ ตลอดทางกลับบ้านรพีกานต์เอาแต่นั่งเงียบด้วยความช็อกกับเรื่องที่ได้รู้

ท้อง!

รพีกานต์ท้อง!

คนเดียวที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ได้

อัครวินท์!



“กานต์ยังไม่บอกพี่เลยว่าหมอบอกว่ายังไงบ้าง โรคกระเพาะหรือเปล่าครับ” ณัฐธีร์ทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ คนที่นั่งปิดปากเงียบอยู่บนปลายเตียงโดยไม่ปริปากเอ่ยอะไรนับแต่ออกจากห้องตรวจ มือหนากุมมือเล็ก บีบเบา ๆ ส่งผ่านความรู้สึกห่วงใยทางร่างกายให้อีกฝ่ายได้รับรู้

“พี่ณัฐกลับไปก่อนได้ไหม กานต์อยากอยู่คนเดียว” น้ำเสียงสั่นเครือเอ่ยขึ้นในที่สุด ทว่าคนได้ยินอย่างณัฐธีร์กลับรู้สึกวิตกจนไม่สามารถทำตามคำขอนั้นได้

“กานต์เป็นอะไร ทำไมถึงบอกพี่ไม่ได้ ทำไมต้องขอให้พี่กลับไปก่อน” ณัฐธีร์รู้สึกหวิวในอกอย่างบอกไม่ถูก

“พี่ณัฐกลับไปก่อนนะ กานต์ขอ ถือว่ากานต์ขอร้อง อย่าเพิ่งถามอะไรกานต์เลย” สีหน้าเว้าวอนราวกับจะร้องไห้นั้นยิ่งทำให้ณัฐธีร์ใจแป้ว ความรู้สึกน้อยอกน้อยใจตีตื้นขึ้นมาจากความรู้สึกบางอย่างที่สั่งสมในใจมาตลอด น้องน้อยดูมีลับลมคมในทำอย่างกับเขาเป็นคนอื่นไปเสียอย่างนั้น เรื่องสำคัญแค่ไหนถึงบอกพี่ชายคนนี้ไม่ได้ หรือพี่ณัฐคนนี้จะกลายเป็นคนอื่นสำหรับน้องไปแล้วจริง ๆ

“หลัง ๆ มานี่เหมือนกานต์มีความลับกับพี่ตลอด กานต์เปลี่ยนไปนะ หรือพี่กลายเป็นคนอื่นสำหรับกานต์ไปแล้ว” น้ำเสียงณัฐธีร์สั่นเครือคล้ายจะตัดพ้อกลาย ๆ ไม่ได้มีเจตนาคาดคั้นอะไร สีหน้าเจ็บปวดที่เคยซุกซ่อนไว้อย่างมิดชิดปะทุออกมาอย่างอดรนทนเก็บเอาไว้ต่อไปไม่ไหว อันที่จริงแล้วระยะหลังมานี่ เขารู้สึกระแคะระคายกับความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในตัวรพีกานต์ตลอด เพียงแต่ไม่ได้พูดมันออกมา

เขารู้ ไม่ใช่ไม่รู้ มีเพื่อนเขาบางคนเคยเห็นแล้วนำมาบอกเล่าเก้าสิบ มีรูปยืนยันชัดเจน แต่ในเมื่อรพีกานต์ไม่พูด เขาเองก็เลือกที่จะเป็นไอ้งั่งปิดหูปิดตาตัวเอง เพื่อที่จะไม่ต้องสูญเสีย เขายอมทุกอย่าง ยอม...เป็นคนโง่งม

“พี่ณัฐ...” รพีกานต์เสียงสั่น แผ่วหวิวลงในตอนท้าย ดวงตาเอ่อคลอสบตากับนัยน์ตาแดงก่ำของพี่ชาย หัวใจปริฉีกบีบคั้นหนักหน่วง แต่เล็กจนโตตั้งแต่ได้รู้จักกัน ไม่เคยสักครั้งที่เห็นพี่ร้องไห้ แต่ตอนนี้ ดวงตาแดงก่ำแม้ไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด ความรู้สึกก็บอกรพีกานต์ได้ดีว่า “พี่ณัฐกำลังร้องไห้”

“กานต์...” น้ำเสียงสั่นไหวขาดห้วง หัวใจสั่นไหวรุนแรงสั่นสะท้านในอก รพีกานต์จ้องตากับณัฐธีร์ด้วยความรู้สึกที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก นาทีวัดใจ ระหว่างพูดออกไปกับเก็บงำเอาไว้ อย่างไหนจะดีกว่า

“ไม่เป็นไร พี่จะกลับก่อนก็ได้ แต่จริง ๆ แล้วกานต์ไม่สบาย ให้พี่อยู่เป็นเพื่อนไม่ได้หรือ พี่นอนโซฟาข้างนอกก็ได้ ไม่รบกวนกานต์หรอก แค่อยากให้รู้ว่าห่วง แต่...พี่กลับดีกว่า”...ไม่มีพี่ กานต์ก็มีคนคอยอยู่เป็นเพื่อนแล้ว ณัฐธีร์ตัดบท จำใจกลืนก้อนสะอื้นกับคำพูดประโยคสุดท้ายลงคอพลางบ่ายหน้าเดินกลับไปที่ประตู ข้างหลังประตูนั่น ใครอีกคนคงรอที่จะเข้ามาหาน้องน้อยของเขา ไม่สิ กานต์ไม่ใช่น้องน้อยของเขาอีกแล้ว เมื่อใดหนอที่หัวใจแปรเปลี่ยน หรือที่ผ่านมาไม่เคยนึกรักกันเลย แล้วใยไม่บอกไม่กล่าว ทั้งที่เขาก็รอมาตลอดให้น้องพูด

“กานต์ท้อง” รพีกานต์โพล่งสิ่งที่อัดอั้นในใจออกมาในที่สุด ทนไม่ได้ที่เห็นพี่ชายคนดีหันหลังให้กันแบบนี้ รู้ตัวว่าเลว ความเจ็บช้ำที่ได้รับมันก็สาสมกันแล้ว พี่ณัฐจะดุด่าว่ากล่าวกันอย่างไรก็ยอม แต่จะไม่โกหกพี่ชายอีกแล้ว

“ฮึก...กานต์ท้อง ได้ยินไหม กานต์เลว กานต์ทรยศหักหลังความไว้ใจของพี่ณัฐ ฮึก ฮือ...” น้ำตาที่เคยเหือดหายไปเดือนกว่า ๆ ไหลบ่าทะลักทลายลงอีกหน ณัฐธีร์ตะลึงงัน อ้าปากค้างเหมือนโดนฟ้าผ่าลงกลางกบาล รวดเร็วจนแทบหยุดหายใจ เลือดในกายเย็นเฉียบฉับพลัน ทั้งร่างชาดิกตรึงนิ่งไม่กระดุกกระดิกกับสิ่งที่ได้ยิน

กานต์ท้อง!

ท้อง!

!!

เหมือนเวลาหยุดหมุน นาฬิกาทุกเรือนบนโลกพร้อมใจกันหยุดเดิน ณัฐธีร์ยืนนิ่งเหมือนลอยคว้างอยู่ท่ามกลางอวกาศ สมองตื้อขาวโพลนเหมือนแผ่นกระดาษที่ว่างเปล่า นี่เขากำลังเผชิญอยู่กับความฝันหรือความจริงกัน ยินเสียงสะอึกสะอื้นฮักของร่างข้างหลัง คนที่เขารักและมอบดวงใจทั้งหมดให้ไป

“กานต์...ท้อง...” ณัฐธีร์ทวนคำด้วยหัวใจที่ปวดแปลบ ร่างแข็งทื่อหันกลับมามองน้องน้อยเต็มตาเพื่อยืนยันในสิ่งที่ได้ยิน

“เขาทิ้งกานต์ไปแล้ว” อีกประโยคที่ผ่านลำคอออกมาก็ไม่ต่างจากเอาค้อนมาทุบหัวณัฐธีร์ รพีกานต์ก้มหน้ากอดตัวเองสะอื้นตัวโยน

“กานต์ยังมีพี่” ณัฐธีร์เอ่ยเสียงสั่นพลางขยับตัวปราดเข้าไปหา อุ้งมือสั่นเทาไม่ต่างกุมมือสั่นเทาของน้องเอาไว้มั่น รพีกานต์เหมือนดวงแก้วล้ำค่าที่แตกละเอียดย่อยยับลง และถูกเหยียบย่ำซ้ำจนแหลกลาญไม่เหลือชิ้นดีไปเสียแล้ว และณัฐธีร์ก็พยายามกอบเศษแก้วนั้นให้หลอมรวมเป็นแก้วดวงเก่า นอกจากจะไม่สัมฤทธิ์ผล เศษของแก้วยังบาดลึกไปถึงหัวใจของเขาจนเป็นแผลเหวอะฉกรรจ์ หากมองเป็นรูปธรรมคือเหวอะจนโลหิตอาบพลั่ก ๆ ท่วมท้นดวงใจบอบช้ำ ณัฐธีร์เจ็บจนชา เนื้อตัวสั่นเทาเหมือนลูกนกขวัญเสีย น้ำตาสักหยดก็ไม่มีไหล สมองตื้อเหมือนโลกทั้งใบพังครืนถล่มลงใส่หน้าชนิดตั้งตัวไม่ติด แข้งขาอ่อนแรงลงจนแทบทรุดฮวบทว่าหัวใจยังดื้อดึง กุมมือเล็กไว้ไม่ยอมปล่อย ช่างปะไร ถึงแก้วดวงเก่าจะแตกเป็นเสี่ยงไปแล้วไม่ต่างจากหัวใจของเขา แต่ณัฐธีร์จะหลอมขึ้นใหม่ เป็นแก้วดวงเดิมด้วยความรักของเขา

“พี่จะรับเป็นพ่อของลูกกานต์เอง” เอ่ยคล้ายสติไม่สมประดี ทั้งที่รู้ตัวทุกขณะจิต

“กานต์เหมือนแก้วที่แตกไปแล้ว ไม่มีทางเหมือนเดิม และพี่ชายก็ไม่ควรต้องมาแบกรับแทน” น้องน้อยบอกพี่ชายน้ำตาไหลอาบ แผลเก่ากลัดหนองปริฉีกอีกหนจากร่องรอยจารที่คนใจร้ายทิ้งไว้ให้ ตัดเยื่อไม่ขาดใย กลับกลายเป็นมีสายใยเล็ก ๆ ถือกำเนิดขึ้นในกาย

“แตกก็แตกไป พี่จะเอามาหลอมใหม่” ณัฐธีร์ดื้อดึง รั้งตัวบางเข้ามากอดแนบแน่นอย่างกลัวหลุดหาย น้ำตาทะลักราวเขื่อนทำนบแตก เขายอมปิดหูปิดตาดื้อดึงแต่จะไม่ยอมเสียรพีกานต์ไป แสงตะวันฉายฉานที่เคยส่องสว่างเรื่อรองให้ชีวิตมีความหวัง จู่ ๆ ก็ดับพรึบ ณัฐธีร์มืดมนอับจนแสงสว่าง เหมือนคนจมน้ำสำลัก หาทางตะเกียกตะกายอยู่ในแอ่งน้ำวน

“พี่ณัฐทำอย่างนั้นไม่ได้” รพีกานต์เหมือนหัวใจถูกบีบคั้นอย่างหนักหน่วง ตัวเองเจ็บปวดแล้วยังต้องมาทนเห็นพี่ชายแสนดีทุรนทุรายเหมือนถูกน้ำกรดราดรด

“พี่ไม่ยอม” ร่างใหญ่ทรุดฮวบลงพื้นคุกเข่าต่อหน้า ใจจริงณัฐธีร์อยากมัดล่ามน้องน้อยไม่ให้ออกไปไหนเสียด้วยซ้ำ ด้วยกลัวน้องจะหนีหายไปจากเขา แต่ก็ใจไม่แข็งพอ แค่คิดว่าเชือกหยาบจะบาดผิว โซ่แข็งจะเสียดสีจนน้องเจ็บ เขาก็ทำไม่ลง นอกจากใช้วงแขนกับหัวใจพัง ๆ รั้งน้องเอาไว้ ณัฐธีร์กอดเอวบางซุกหน้าอย่างดื้อดึง น้ำตาทะลักราวเขื่อนแตก หัวใจบีบรัดเจ็บปวดเหมือนใจจะขาด จะตายลงเสียให้ได้ แต่จะไม่ยอม ต่อให้ต้องตายลงแทบเท้า เขาก็จะไม่ยอมเสียน้องไป ราคีใดแปดเปื้อนมันก็ไม่อาจแปดเปื้อนความรักของเขา ยังรักเหมือนเก่า และจะรักมากกว่าเก่า เผื่อแผ่ไปยังชีวิตน้อย ๆ ในอุทร สิ่งใดที่ขึ้นชื่อว่าเป็นของรพีกานต์ เขารักได้หมดโดยไม่มีเงื่อนไข ความรักของเขาไม่เคยมีเงื่อนไข ฆ่ากันเสียเถิด หากจะต้องสูญเสียหัวใจเพียงหนึ่งเดียวคนนี้ไป

“ได้โปรด อย่ามองพี่ด้วยสายตาเวทนาอย่างนั้น อย่ามองเหมือนกับว่ากานต์จะทิ้งพี่ไป เดี๋ยวพี่ก็เรียนจบ ตอนนั้นกานต์คงคลอดพอดี พี่จะรีบหางานทำเลี้ยงกานต์กับลูกเองนะ” ณัฐธีร์น้ำตาไหลอาบ ละล่ำละลักกุมมือน้องน้อย มืออุ่นสั่นสะท้านไปถึงหัวใจรพีกานต์ น้องเหมือนคนบาปหนักหยาบช้า ที่ทำร้ายหัวใจคนแสนดีเสียสาหัสสากรรจ์ น้ำตาแห่งความเสียใจร่วงเผาะ ปวดใจกว่าถูกอัครวินท์เฉดหัวทิ้งไม่ใยดี ก็ตรงที่ได้เห็นน้ำตาพี่ชาย รพีกานต์ทรุดลงนั่งเสมอพี่ สองมือประนมก้มลงกราบแนบตักด้วยความรู้สึกผิดเต็มหน่วยอย่างเกินให้อภัยตัว น้ำตาได้ชะล้างอาการหน้ามืดตามัวจากความลุ่มหลงครอบงำแล้ว ที่เหลือคือเห็นชัดเจนในหัวใจคน

“กานต์ขอโทษ แต่กานต์ให้พี่ณัฐรับผิดชอบไม่ได้” รพีกานต์สะอื้นฮักตัวสั่นเทา เอ่ยปากขอโทษทั้งน้ำตาอาบ พิกุลดอกน้อยถูกขยี้จนแหลกเละ เมื่อความดีของพี่ไม่อาจรักษาน้องน้อยเอาไว้ได้...

“ไม่! กานต์อย่าพูดอย่างนี้ พี่จะไม่ยอมเสียกานต์ไป พี่รักกานต์! แล้วพี่ก็พร้อมจะรักลูกของกานต์ด้วย กานต์ไม่ต้องห่วง เด็กเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะอย่างนั้น กานต์อย่ากังวลไปเลยว่าพี่จะรังเกียจแก นะกานต์นะ ให้พี่เป็นพ่อของลูกกานต์” ณัฐธีร์กระชับต้นแขนน้องเขย่าเบา ๆ ส่งสายตาวิงวอน รพีกานต์มองพี่ชายน้ำหูน้ำตาไหล เออหนอ คนไม่ได้ทำกลับพยายามจะรับผิดชอบ แต่คนที่ทำ เจ็บป่วยอยู่โรงหมอก็ไม่เคยแวะเวียนมาหา

“พี่ณัฐไม่ได้ทำ กานต์จะให้พี่รับผิดชอบได้ยังไง พี่ควรจะโกรธกานต์ เกลียดกานต์ ดุด่าว่ากล่าวยังไงก็ได้ให้สาสมกับสิ่งที่กานต์ทำ ฮือ พี่ณัฐดุกานต์ซี ดุกานต์ ด่าว่ายังไงก็ได้ ฮึก!” รพีกานต์ตีอกชกลมตัวเองด้วยความคับแค้นใจ โกรธเกลียดตัวเองที่กลายเป็นแบบนี้ จะบอกกับพ่อได้อย่างไร แล้วอนาคตอีกเล่า ทุกอย่างพังครืนลงในพริบตานับแต่รู้ว่าตั้งครรภ์ สุดท้ายตนเองก็ไม่ต่างจากลูกทรพีเนรคุณที่หาเหตุให้บุพการีต้องเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป

“กานต์อย่าทำร้ายตัวเอง” ณัฐธีร์ยื้อกำปั้นที่กำลังทุบตีตัวเองของรพีกานต์ ถึงเขาจะเจ็บปวดแต่ก็ไม่ต้องการเห็นน้องน้อยทำร้ายตัวเอง

“พี่ไม่เคยโกรธหรือเกลียดกานต์ ที่ผ่านเป็นยังไงจากนี้พี่ก็จะเป็นเหมือนเก่า รักกานต์เหมือนเก่า เรามาเริ่มกันใหม่นะกานต์นะ กานต์ไม่รักพี่ก็ไม่เป็นไร พี่จะคอยดูแลกานต์และลูกเอง นะกานต์ พี่ขอร้อง” ณัฐธีร์อ้อนวอน นอกจากจะไม่ดุด่าว่ากล่าวให้ระคาย น้ำใจพี่ชายยังเปี่ยมล้นไปด้วยความรักและปรารถนาดีจนรพีกานต์ยิ่งละอายแก่ใจ

“พี่ณัฐทำอย่างนี้ กานต์ก็ยิ่งละอายใจ พี่ณัฐยังมีโอกาสได้เจอคนดี ๆ อีกมาก อย่าเอาอนาคตมาผูกไว้กับกานต์เลยนะ”

“ไม่! ไม่เอา! พี่ไม่เอาใครทั้งนั้น! พี่รักกานต์ พี่ต้องการแค่กานต์ แค่กานต์คนเดียว กานต์จะเป็นยังไงพี่ก็รัก” ณัฐธีร์ส่ายหน้าหวือไม่ยินยอม มือรั้งร่างเล็กเข้ามากอดจมอกร้องไห้โฮ สองร่างสั่นระริก หัวใจสั่นสะท้านไหวอย่างรุนแรงราวกับจะปริฉีก ต่างฝ่ายต่างฟูมฟายปริ่มใจจะขาดไปด้วยกันในค่ำคืนอันยาวนาน

รักเอย...
ยามรักหอมหวานปานมธุรสเดือนห้า
ยามเจ็บช้ำร้าวระทมประหนึ่งดื่มน้ำผึ้งขม




ภายในห้องสี่เหลี่ยมของโรงพยาบาลอวลไปด้วยบรรยากาศความคุ้นเคยกันระหว่างแพทย์และผู้มารับการตรวจ รพินทร์มาตรวจสุขภาพประจำปีที่นี่ทุกปี และแพทย์ผู้ตรวจก็เป็นรุ่นพี่ที่คุ้นเคยกันมานาน การมาตรวจสุขภาพจึงเหมือนมาเยี่ยมเยียนกันเสียมากกว่า

“ปกติดีไหมพี่อาจ” รพินทร์เอ่ยถาม นายแพทย์องอาจ หัสดินเทวา มองใบหน้าผ่องใสของหนุ่มรุ่นน้องก่อนเอ่ยปาก

“พินทร์ใจเย็น ๆ นะ คือ...พี่จะบอกว่า ตรวจพบเชื้อมะเร็งในตัวพินทร์”

........................................



*คนเราเมื่อรักมาก ย่อมเสียดายมาก ถ้าไม่อยากเสียดายมาก ก็อย่าไปรักอะไรให้มันมากนัก ถ้าจะรักต้องให้รู้ว่า เป็นกรวดรึว่าเพชร ถ้ารู้ค่าของมันเสียแล้วว่าเป็นกรวดรึว่าเพชร เมื่อมันไปหาย ก็ไม่เสียดายมากนัก
จากวรรณคดี สี่แผ่นดิน ของ ศาสตราจารย์ พลตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช

 :hao3:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๑๐/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 10-07-2016 12:18:38
ฮือออ พ่อรินทร์ก็ป่วย น้องกานต์ก็ท้องอีก
 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๑๐/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: น้องแมว ที่ 10-07-2016 12:26:34
อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกน้ำตาจะไหลตาม   ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย   อีพระเอกบ้า ฉันแบนแก 2 วิ :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๑๐/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 10-07-2016 12:53:33
 :ling1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๑๐/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 10-07-2016 14:02:33
เฮ้อออออ.  อีวินมันเลวจริงๆ สงสารกานต์มากๆเลย พ่อยังป่วยอีก
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๑๐/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 10-07-2016 14:33:42
จะรอดูว่ากานต์จะทำให้ณัฐเสียใจอีกไหม :z6:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๑๐/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 10-07-2016 21:16:43
อ่านตอนนี้แล้ว สงสารณัฐมาก ตัดใจออกจากกานต์เถอะ ยังไงกานต์ก็รักได้แค่พี่ชายมากกว่านี้คงไม่ได้  ณัฐหาเมียใหม่เถอะ ให้กานต์ไปตามทางของเขาเถอะ อีกหน่อยรพินทร์ก็จะตายเพราะเป็นมะเร็งล่ะ ต่อไปก็คงเป็นเรื่องของกานต์คนเดียวเต็มๆ
 รอ รอ อ่านตอนต่อไปคับ ลุ้นว่ากานต์จะจบที่พี่วินหรือมีคนใหม่มีครอบครัวใหม่
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๑๐/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 10-07-2016 21:39:37
ชักจะชุลมุนล้าววววว
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๑๐/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 11-07-2016 07:53:10
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๑๐/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 11-07-2016 15:05:08
เมื่อไหร่ดราม่าจะผ่านไป
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๑๐/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 11-07-2016 18:00:33
โธ่เอ๋ยคุณพ่อ  อะไรจะรันทดขนาดนี้   ชีวิตนี้ได้เคยเจอความสุขบ้างหรือเปล่านะ
มีแฟนก็โดนทิ้ง มามีลูกก็พอมีความสุขบ้างก็มาเจอมารจากตระกูลนั้นมาระรานเหยียบย่ำ  นี่ลูกกำลังจะมีหลานก็มาป่วย

เราไม่อยากเชื่อว่าอิวินมันจะเป็นพระเอกนะ   ส่วนณัฐนั้นความรักนานๆไปก็ต้องรู้ตัวเองว่าจะได้อยู่ตรงจุดไหน   
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๑๐/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 11-07-2016 21:50:36
โอยยยยย... กานต์ยอมให้พี่ณัฐเป็นพ่อเถอะนะ

ส่วนรพินทร์ ตกใจแรง.. ฮรืออ.. คนเขียนใจร้ายเขารักคุณพ่อ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๑๐/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 11-07-2016 23:54:56
 :z6: อยากกระโดดถีบอิพี่วินและพ้องเพื่อนสักพันครั้ง
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๑๐/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 12-07-2016 13:21:36
สงสารณัฐมากกว่ากานต์อีก
รู้ทั้งรู้ว่า ยังมีมดลูกอยู่ ไม่ระวังตัวเลย
แถมยังผลักไสคนที่ดีกับตัวเองอีก พ่อก็เป็นมะเร็งอีก ดราม่าหนัก
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๑๐/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: question09 ที่ 12-07-2016 16:12:03
 :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15: :m15:

ชีวิตสุดรันทด น่าสงสารอ่ะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๑๐/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 19-07-2016 23:57:26
เคราะห์กรรมซ้ำซัด.....
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๑๐/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: pawara123 ที่ 21-07-2016 00:28:21
โอยยย อะไรจะซวยซ้ำ ซวยซ้อนขนาดน้าน หน่วงหัวจิตหัวใจคนอ่านมากจร้า  เห้อ ค่อยมาติดตามต่อตอนต่อไป รอไม่ไหวแล้วเนี่ย
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๕)(๑๐/๐๗/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: meanmena ที่ 21-07-2016 11:46:34
หน่วงงงงงงงง คำเดียวเลยหน่วงงงงง
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 09-08-2016 00:08:14
เสน่หา...รักเอย ตอน ๑๗

คือน้ำผึ้ง คือน้ำตา คือยาพิษ
คือหยาดน้ำ อมฤต อันชื่นชุ่ม
คือเกสร ดอกไม้ คือไฟรุม
คือความกลุ้ม คือความฝัน นั่นแหละรัก
(ผลงานประพันธ์โดย รยงค์ เวนุรักษ์)

“มะเร็ง!”
รพินทร์หัวใจร่วงวูบด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด ดวงตาขยายกว้าง ปากซีดสั่นระริกหลุดเสียงอุทานด้วยความคาดไม่ถึง เลือดในกายเย็นเฉียบ ด้วยรู้ดีถึงความร้ายกาจของโรคมะเร็งที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าโรคเอดส์เสียอีก ภาพใบหน้าลูกรักผุดวาบขึ้นในใจให้วูบโหวง
“พินทร์ใจเย็น ๆ ก่อน ที่ตรวจเจอนี่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะแรกเริ่ม ยังมีโอกาสขาดหาย นับว่าโชคดีที่พินทร์มาตรวจสุขภาพประจำปีไม่ได้ขาด”
นายแพทย์เจ้าของไข้รีบบอกปรามดึงสติก่อนรพินทร์จะเผลอตกใจจนเพริดไปไกล ทั้งคู่พูดคุยเกี่ยวกับขั้นตอนวิธีการรักษาจนแจ้งใจดีแล้ว รพินทร์จึงกลับมาที่บ้าน ร่างสูงปิดประตูห้อง ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงพลางนิ่งคิด แม้จะใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาทก็ใช่ว่าจะราบรื่นเสมอไป ด้วยโรคภัยไข้เจ็บ อุบัติเหตุไม่คาดฝันที่บางครั้งเราก็คาดไม่ถึง แม้จะระมัดระวังดีแล้ว ก็ยังมีความประมาทของผู้อื่นที่อาจพลาดมาทำลายชีวิตเรา

ชีวิตไม่มีความแน่นอนอะไรสักอย่าง และความไม่แน่นอนนั้นคือสัจธรรมที่จริงแท้อย่างที่สุด

รพินทร์ปลงพลางคิดถึงลูก ร่างโปร่งลุกจากเตียง มือไขเปิดลิ้นชักหยิบโฉนดที่ดินและสมุดบัญชีเงินฝากออกมาดูอย่างครุ่นคิด ที่ดินหลายแปลงทั้งเชียงใหม่ ปากช่อง จันทบุรี และที่นี่ รพินทร์เป็นทั้งเจ้าของโรงเรียน และทำธุรกิจโรงงานน้ำพริกและเครื่องแกงต่าง ๆ ผลิตส่งขายทั้งในและต่างประเทศ ตอนนี้กำลังขยายการผลิต ผลิตอาหารไทยจำพวกแกงกะทิสูตรตำรับชาววังเก่าสำเร็จรูปบรรจุกระป๋องส่งออก นอกจากนั้นยังมีรายได้จากทางอื่นอย่าง ค่าเช่าแผงขายของในตลาด ค่าเช่าตึกแถว  อะพาร์ตเมนต์ ร้านอาหารริมน้ำ รายรับแต่ละเดือนรวมแล้วไม่น้อย ยังมีมรดกตกทอดจำพวกเครื่องเพชรเครื่องทองในตู้เซฟที่จะกลายเป็นของรพีกานต์ในอนาคตอีก รพินทร์ดูบัญชีทรัพย์สินแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ

เจ้ากานต์น้อยของพ่อวัยกำดัดเพียงสิบแปดปีกับทรัพย์สินมูลค่ามหาศาล ลูกเอ๋ย สินทรัพย์มากมายเหล่านี้จะสร้างสุขหรือทุกข์ให้เจ้ากันหนอยามที่ไม่มีพ่อ ด้วยว่าทรัพย์นั้น หากมีน้อยก็ย่อมเป็นบ่อนให้คนขวนขวายอยากหามาครอบครองให้มาก ทั้งโดยสุจริตก็ดี ทุจริตก็ดี หากครั้นมีมากเกิน ก็ย่อมเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ภัยได้เช่นกัน ตระหนักถึงจุดนี้แล้วรพินทร์ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอีกหน

“กานต์ของพ่อ”
รพินทร์สูดหายใจลึกอย่างใช้สติ เขายังมีญาติพี่น้องที่พึ่งพากันได้ บวรกิตติ์วิวัฒน์สืบเชื้อสายผู้ดีเก่าและข้าราชการน้ำดีเก่าแก่ กุลบุตรทุกผู้ล้วนได้รับการอบรมเพาะบ่มนิสัยให้เติบโตมาด้วยคุณธรรม และละอายต่อการประพฤติชั่ว พี่ชายคนโตของรพินทร์เป็นผู้พิพากษา พี่ชายคนรองเป็นนักการทูต ตอนนี้ประจำการอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ พี่ชายคนที่สามเป็นแพทย์เจ้าของโรงพยาบาล และรพินทร์น้องสุดท้องเป็นเจ้าของโรงเรียนเอกชนชื่อดังที่นี่ รพินทร์จรดปากกาลิขิตพินัยกรรม แล้วเสร็จจึงจัดการติดต่อทนายความประจำตระกูล พูดคุยธุระกันเสร็จเรียบร้อยก็เบาใจไปมากโข

“คงต้องชวนน้องกานต์ไปเยี่ยมบ้านที่กรุงเทพฯ เสียหน่อยแล้ว”
รพินทร์หมายมั่นฝากฝัง หลังจากตรึกตรองดีแล้ว บรรดาพี่น้องต่างก็แต่งงานมีครอบครัว มีทายาทลูกหลานสายเลือดแท้ให้ปู่ย่าได้ชื่นใจ แม้พวกเขาจะไม่ได้แสดงความผิดแผกต่อรพีกานต์ แต่ด้วยความที่ไม่ใช่สายเลือดแท้ รพินทร์จึงไม่ค่อยได้พาลูกไปเยี่ยมปู่ย่าบ่อยนัก

 “เอาเถอะ พ่อจัดการทุกอย่างไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ถึงไม่ตายวันตายพรุ่ง แต่เตรียมไว้ก่อนดีที่สุด”
รพินทร์ยกยิ้มอย่างเบาใจ ที่เหลือก็แค่ตัวเขาเองที่ต้องเรียกกำลังใจให้ตนเองต่อสู้กับโรคร้ายนี้เพื่อลูกและตัวเอง รพินทร์ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ หรอก ลูกยังต้องการเขา และเขาก็ยังอยากอยู่กับลูกไปนาน ๆ



“พี่ณัฐ กานต์แค่ท้องนะครับ ไม่ได้เป็นง่อยเสียหน่อย”
คนตัวเล็กหน้าบูดบู้บี้เล็กน้อยขณะใช้สายตาขึงดุจ้องปรามพี่ชาย ณัฐธีร์ยิ้มแหยลดมือที่ตักข้าวจ่อปากเพื่อป้อนลง ปล่อยให้น้องน้อยได้ตักกินเอง กระนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย ณัฐธีร์หันไปหาผลไม้ หยิบส้มมาปอกเปลือกไว้รอ รพีกานต์กินข้าวเสร็จก็รีบแย่งจานเอาไปล้างให้ จนคนท้องอ่อนอกอ่อนใจกับคนเอาใจกันจนเกินเหตุ พอรู้ว่าน้องท้อง ณัฐธีร์ก็ประคบประหงมจนแทบอุ้มไปส่งเข้าห้องเรียน อาหารการกินซื้อมาบำรุงคนท้องไม่ได้ขาด น้องน้อยติดจะหงุดหงิดบ้างในบางครั้งตามประสาคนท้อง พี่ชายก็ยิ้มสู้ท่าเดียวจนคนท้องสงบลงเอง ด้วยเห็นรอยยิ้มหมาน้อยแล้วอาละวาดไม่ลง

“ช่วงนี้แพ้หนักไหม”
 ณัฐธีร์เอ่ยถามขณะส่งนมกล่องเจาะใส่หลอดแล้วเรียบร้อยยื่นให้

“ไม่ค่อยเท่าไหร่ครับ พอนั่งเรียนรู้เรื่อง”
รพีกานต์นั่งพิงโซฟา หลายวันมานี่ตั้งแต่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ก็เริ่มมีอาการทั้งง่วงนอนและหิวบ่อย กินจุบจิบอยู่ตลอด พี่ชายคนดีก็ซื้อของกินมาบำรุงไม่ได้ขาดจนรพีกานต์นึกเกรงใจ เพราะเงินทองของพี่หามาด้วยความยากลำบาก ต่างจากรพีกานต์ที่มีบริบูรณ์จนเกินพอ จนน้องน้อยเริ่มปั้นหน้าบึ้งตึงพี่ชายถึงหยุดควักเงินตัวเองซื้อ

“พี่อยากแพ้แทน กานต์จะได้ไม่ทรมานแบบนี้”
ณัฐธีร์ทรุดลงนั่งราบข้างโซฟา ขยับศีรษะหนุนปุบนตักพลางหันหน้าไปจุ๊บเบา ๆ ที่หน้าท้องแบนราบ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเจือความรักใคร่เต็มเปี่ยม

“ตัวเล็กอย่ารังแกคุณแม่นักนะครับ พ่อณัฐรักหนูนะ”
ตู่ว่าเป็นลูกตัวเองหน้าตาเฉย ณัฐธีร์สวมกอดเอวเล็กเอาไว้หลวม ๆ ดวงตาปิดลงพลางซุกหน้าเข้าหาราวกับจะสื่อสารให้เด็กในท้องได้รับรู้ถึงความรักแสนบริสุทธ์เต็มเปี่ยมที่มีให้ รพีกานต์หลุบสายตาลงมองคนดื้อเงียบแล้วก็ได้แต่สะท้อนในใจถึงความดีงามของอีกฝ่าย หัวใจอ่อนยวบปวดหนึบในอกด้วยความสงสาร

“เพิ่งจะเดือนกว่า เด็กคงยังไม่รับรู้หรอกมั้งครับ”
รพีกานต์เปรยขึ้นน้ำเสียงนุ่มนวล มือเรียวลูบศีรษะพี่ชายแผ่วเบา สัมผัสกับเส้นผมนุ่ม ก่อนจะถูกฉวยไปแตะจุมพิตอ่อนหวานละมุน คลอเคลียปลายจมูกโด่งคมสันอ้อยอิ่งกับฝ่ามือนิ่ม จวบจนพอใจแล้วจึงเลื่อนไปวางแนบลงบนแก้มอย่างรักใคร่นักหนา
 
“พี่ลองเสิร์ชดูในเน็ต อายุครรภ์สองสามเดือน สมองของเด็กก็เริ่มทำงาน รับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวแล้ว เพราะอย่างนั้น พี่จะคุยกับลูกบ่อย ๆ”
ณัฐธีร์ย้ำหนักแน่นว่าเจ้าตัวเล็กเป็นลูกตัวเอง รพีกานต์เคยทัดทานแล้วแต่ก็ไร้ผล ดูเอาเถิด คนดีก็ดีเสียจนสิ่งเลวร้ายแผ้วพานอย่างไร หัวใจก็ยังผ่องแผ้ว แม้จะเสียใจแต่ก็ไม่เคยจะขึ้งโกรธเอื้อนเอ่ยวาจาเผ็ดร้อนเชือดเฉือนให้น้องรู้สึกแย่ รพีกานต์ละอายแก่ใจนัก เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แต่พี่ณัฐก็ยังยินยอมที่จะเอากระดูกมาแขวนคอตัวเอง

“พี่ณัฐ คือ...”

“เอ...ตั้งชื่อว่าอะไรดีน้า ลุ้นจังว่าลูกพ่อณัฐคนนี้จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เดี๋ยวพี่ไปขอให้หลวงตาตั้งชื่อให้เนอะ ชื่อเล่นเราช่วยกันตั้ง ถ้ากานต์แพ้ ต้องบอกพี่นะ”
ณัฐธีร์ชิงตัดบทเสียก่อนที่รพีกานต์จะทันได้พูดจบ ใบหน้าปริ่มสุขคุยจ้อเสียยืดยาว วาดภาพเด็กเล็ก ๆ ในอ้อมแขนตัวเอง เขารักของเขา เทิดทูนบูชาด้วยหัวใจ รพีกานต์เป็นดั่งดวงแก้วล้ำค่า แม้จะเจอมรสุมมาบ้าง แต่มันก็ไม่ได้สั่นคลอนหัวใจของเขาที่ยังมั่นคงไม่เปลี่ยน

 “ให้คนที่ทำแพ้แทนเถอะครับ เอาให้หนัก ๆ ตื่นมาคารวะชักโครกทุกเช้า หน้าทิ่มลงชักโครมไปเลย”
เมื่อพี่ไม่อยากฟัง รพีกานต์ก็ไม่อยากทำลายสิ่งที่พี่วาดฝัน น้ำเสียงเข่นเขี้ยวฉุนเฉียวเล็ก ๆ ก่อนจะอ้าปากหาวหวอด ตาเริ่มปรือ

“พี่ณัฐ กานต์ของีบหน่อยนะครับ เดี๋ยวจะตื่นมาอ่านหนังสือ”
คนตัวเล็กกว่าบอกพี่ชาย ณัฐธีร์ลุกจากตักพาไปส่งเข้าห้อง ห่มผ้าห่มให้พร้อม ดวงตาอ่อนโยนทอดมองลึกซึ้ง ก่อนโน้มใบหน้าลงแตะจูบแผ่วเบาที่หน้าผากมนและหน้าท้อง เผื่อแผ่ไปยังตัวเล็กที่ชวนแม่นอน

“งั้นเดี๋ยวพี่จะอ่านหนังสือรอนะครับ”
รพีกานต์พยักหน้าเข้าใจ จวบจนพี่ชายออกจากห้องไปแล้ว ความกังวลที่เก็บงำไว้จึงฉายชัดบนใบหน้า วันหยุดที่จะถึงนี้ทั้งคู่ตกลงกันว่าจะกลับบ้านไปหาพ่อเพื่อสารภาพในสิ่งที่เกิดขึ้น

“พ่อครับ กานต์ขอโทษ กานต์จะทำยังไงดี”
รพีกานต์หวาดวิตกไม่น้อย ด้วยรู้ตัวว่ากำลังทำให้บุพการีผิดหวัง ใครเลยจะคิดว่าตนเองจะท้องได้ เป็นความผิดพลาดที่คิดไม่ถึงมาก่อนจริง ๆ


ในขณะที่รพีกานต์กำลังตกที่นั่งลำบาก อีกด้านอัครวินท์ซึ่งกำลังฟอนเฟ้นลูบไล้เรือนกายนุ่มนิ่มของหญิงสาว จู่ ๆ ก็รู้สึกฉุนกึกจนแทบผงะ คันจมูกยุบยับ ก่อนบ่ายหน้าผละออกมาจามเสียงดังลั่น

“ฮัดเช้ย!”

“พี่วินเป็นอะไรไปคะ”
สาวน้อยถามอย่างฉงนปนอารมณ์ค้างหน่อย ๆ เมื่อจู่ ๆ อัครวินท์ก็ผละออกดื้อ ๆ แถมคว้าหลอดยาดมของหล่อนที่หล่นอยู่แถวโซฟาเอามาเปิดฝาออกสูดฟืด ๆ เหมือนคนจะเป็นลม อัครวินท์รู้สึกเวียนศีรษะอย่างไม่ทราบสาเหตุ รู้สึกคลื่นเหียน พะอืดพะอม จนนึกอยากอาเจียนอย่างบอกไม่ถูก

“พี่เวียนหัว อุก! ถอยออกไปก่อน อย่าเข้ามาใกล้ พี่เหม็นน้ำหอมเธอชะมัด ใช้ยี่ห้ออะไรเนี่ย ไอ้ที่ซื้อให้ทำไมไม่ใช้ ไปอาบน้ำใหม่เลยนะ เหม็นอย่างกับหมาเน่า”
อัครวินท์โพล่งอย่างไม่เกรงใจ หัวคิ้วขมวดชนกัน มือไม้โบกไล่วุ่นวาย ทั้งบ่ายหน้าหนี ส่ายหน้ารับไม่ได้กับกลิ่นฉุนกึกที่ผ่านเข้าจมูกพานให้นึกคลื่นเหียน

“เอ๊ะ อะไรเนี่ยพี่วิน! ก็ยี่ห้อนี้ พี่วินเป็นคนซื้อให้เองนี่คะ แถมก่อนซื้อเรายังช่วยกันเทสต์เลือกกลิ่นด้วยกัน พี่เองนั่นแหละ ไม่สบายแล้วพาล”
หญิงสาวที่ได้ยินถ้อยคำบริภาษก็นึกฉุน เริ่มมีน้ำโหจนแหวเข้าให้บ้าง มีอย่างที่ไหนมาบอกว่าหล่อนเหม็นเหมือนหมาเน่าตอนกำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็ม

“พี่กลับก่อนละ”
คนเอาแต่ใจตัวหงุดหงิดจนผละหนีออกมาดื้อ ๆ เมื่อประตูห้องปิดลงจึงค่อยหายใจโล่ง

“เป็นห่าอะไรวะ เข้าใกล้ผู้หญิงแล้วอยากอ้วกเนี่ย”
เสือหื่นสบถอย่างหัวเสีย สาวน้อยที่เพิ่งจากมาไม่ใช่รายแรก เมื่อคืนออกท่องราตรีก็เป็นลักษณะนี้ สาวสวย ๆ ที่โฉบเข้ามาหา อัครวินท์เป็นต้องผงะหนีทุกรายไป คนหาที่ระบายไม่ได้งุ่นง่านหมดอารมณ์จะไปเตร็ดเตร่ที่ไหนต่อ จึงหันหัวรถเลี้ยวกลับบ้าน
ร่างสูงสมาร์ตเปิดประตูลงจากรถ กำลังจะก้าวเท้าเดินเข้าบ้านพลันสายตาเหลือบไปเห็นมารดาที่สวนนั่งเล่น จึงเปลี่ยนทิศทางสาวเท้าเลี้ยวไปอีกทาง

“สงสัยวันนี้พายุจะเข้า ลูกชายแม่กลับบ้านแต่หัววัน”
ผดาชไมเอ่ยทักบุตรชายหัวแก้วหัวแหวน พลางยกชากุหลาบในถ้วยเซรามิกเนื้อเคลือบอย่างดีขึ้นจิบ

“เบื่อ ๆ น่ะครับคุณแม่ อยู่ใกล้สาว ๆ แล้วเวียนหัว”
อัครวินท์ถอนหายใจเฮือก ทิ้งกายลงนั่งแรง ๆ บนเก้าสนามแบบเหล็กดัด มือหยิบคุกกี้ในจานส่งเข้าปากส่ง ๆ

“หือ มีแบบนี้ด้วยหรือ วินนี่นะ เข้าใกล้ผู้หญิงไม่ได้”
ผดาชไมเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจเป็นที่สุด ด้วยอัครวินท์นั้นตั้งแต่เล็กจนโต ความที่ฉายแววหล่อจัดแต่เด็ก แถมยังช่างพูดช่างออดอ้อนฉอเลาะ ประจบผู้ใหญ่เก่งเป็นที่สุด ทั้งปู่ย่า พี่เลี้ยง แม่บ้าน ยันสาวใช้ต่างตกหลุมพรางความน่ารัก พากันโอ๋เอาใจนายน้อยของบ้านกันเป็นแถบ ๆ พอเริ่มแตกเนื้อหนุ่มโตขึ้นหน่อยพ่อตัวดีก็มีสาว ๆ มาคอยมะรุมมะตุ้มจนแทบตีกัน  จู่ ๆ อัครวินท์มาบอกว่าเข้าใกล้สาว ๆ แล้วเวียนศีรษะ ผดาชไมได้ยินแล้วออกจะประหลาดใจไม่น้อย

“แล้วคุยกับแม่มีอาการอะไรไหม” อัครวินท์ส่ายหน้าเนือย ๆ แทนคำตอบ

 “กับคุณแม่ วินก็เฉย ๆ นะครับ สงสัยวินจะไม่ถูกกับน้ำหอมที่พวกนั้นใช้น่ะครับ”
อัครวินท์บอกก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นถุงบรรจุบางอย่างสีเขียวที่สาวใช้หิ้วผ่านหน้าไป จึงอดร้องถามไม่ได้

“ถุงอะไรน่ะพี่เปิ้ล”

“ตะลิงปลิงค่ะคุณวิน ซื้อมาจากตลาด คุณวินจะรับซักหน่อยไหมคะ เดี๋ยวพี่เปิ้ลล้างน้ำแล้วจัดใส่จานมาให้ลองชิม”

“หน้าตาแปลก ๆ ไม่เคยเห็น รสชาติเป็นยังไงหรือครับ” อัครวินท์ทำหน้าแหยงเล็ก ๆ แต่ก็ยังไม่ละสายตา

“รสเปรี้ยวมากค่ะคุณวิน เปรี้ยวปรี๊ด จี๊ดใจสุดๆ”
หล่อนหลับตาปี๋ ลากเสียงยาวประกอบคำบรรยายสรรพคุณความเปรี้ยวแบบสุดฤทธิ์สุดเดชเสียจนคนฟังน้ำลายสอ เผลอกลืนน้ำลายตาม อยู่ ๆ ก็นึกอยากลองกินผลไม้รสเปรี้ยวขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“งั้นพี่เปิ้ลจัดมาให้ผมลองชิมหน่อยแล้วกัน ขอบคุณครับ”

“ได้เลยค่ะ อ้อ มีมะม่วงกับกระท้อนด้วย คุณวินสนใจไหมคะ เดี๋ยวพี่เปิ้ลจัดน้ำปลาหวานให้แจ่ม ๆ”
อัครวินท์พยักหน้าหงึก สาวใช้รีบกุลีกุจอจ้ำปรูดไปจัดแจงให้ ผดาชไมยิ่งขมวดคิ้วหนักด้วยความฉงนงงงวยเข้าไปใหญ่

“ปกติวินไม่ชอบผลไม้รสเปรี้ยวนี่ลูก ทำไมวันนี้มาแปลก” ถามพลางจ้องใบหน้ามองหาความผิดปกติ

“อยู่ ๆ ก็นึกอยากกินครับ ไม่รู้ทำไม ทั้งเวียนหัว ทั้งอยากของเปรี้ยว”
อัครวินท์บอกพลางสูดยาดมที่หยิบติดมือมาด้วย เป็นภาพที่มองแล้วสร้างความฉงนสนเท่ห์แก่ผดาชไมไม่น้อย นั่งรอไม่นานสาว
ใช้ก็จัดผลไม้ใส่จานมาให้ อัครวินท์ฉวยตะลิงปลิงจิ้มพริกเกลือส่งเข้าปาก เคี้ยวกร้วม ๆ อย่างถูกใจ ตามด้วยมะม่วงน้ำปลาหวาน กระท้อนทรงเครื่อง ผดาชไมเห็นแล้วเสาะท้องแทน

“ระวังท้องเสียนะตาวิน กินขนาดนี้”

“อร่อยออกครับ คุณแม่ไม่สนใจบ้างหรือ”
ผดาชไมส่ายหน้า มองดูบุตรชายหยิบผลไม้กินด้วยท่าทีแช่มชื่นอย่างแปลกใจ อินทัชผ่านมาพอดีเห็นสองแม่ลูกจึงเข้ามาทัก

“โอ้โห มะม่วงน้ำปลาหวานเห็นแล้วเปรี้ยวปาก สองแม่ลูกจัดของเปรี้ยวกันเลย”
เอ่ยพลางหยิบชิ้นมะม่วงส่งเข้าปาก ผดาชไมยิ้มบางให้สามีก่อนเบนความสนใจมาที่ลูกชายตัวดีต่อ อดเปรยขึ้นลอย ๆ ไม่ได้

“คงไม่ได้ไปทำลูกสาวบ้านไหนท้อง แล้วแพ้ท้องแทนหรอกนะ ตาวิน”
ผู้เป็นมารดาตีคิ้วย่นปรารภแบบไม่คิดอะไร อัครวินท์ชะงักไปนิด ก่อนเอ่ยบอก

“วินป้องกันตลอดน่า ไม่ต้องห่วง จะมีก็แต่...” อัครวินท์ยั้งคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อเผลอนึกถึงรพีกานต์

“หือ ?”

“เปล่า ๆ ไม่มีอะไรครับ”

“พ่อละกลัวยัยรินจะเจอผู้ชายแบบวินจริง ๆ วินมีน้องสาวนะลูก วินรักน้องยังไง คนในครอบครัวเขาก็รักเหมือนกัน”
อินทัชถอนหายใจเบา ๆ  ยอมรับว่าปล่อยปละให้คนในบ้านประคบประหงมตามใจลูกจนเกินพอดี

“ผมเลือกแต่คนง่าย ๆ สนุกแบบไม่ผูกมัดหรอก อีกอย่างยัยรินเห็นอย่างนั้นก็ฉลาดดูคนนะครับ”
อัครวินท์แย้งเสียงขุ่น พ่อมักมองว่าเขาทำตัวแย่อยู่เรื่อย

“พฤติกรรมของเรานี่ละ ทำให้น้องขยาดผู้ชาย เพลา ๆ บ้างเถอะวิน” อินทัชสาวต่อ ใจอยากปรามลูกบ้าง

“พอเถอะพ่อ”
อัครวินท์หมดอารมณ์กินต่อ มือตบโต๊ะปังลุกพรวดจ้ำเท้าหนี บทสนทนาระหว่างครอบครัวจึงหยุดลงแค่นั้น อินทัชเองก็กะบึงกะบอนลุกจากเก้าอี้ตรงไปที่รถ สตาร์ตเครื่องขับบึ่งออกไป ผดาชไมถอนหายใจเฮือก รามือจากนิตยสารวางปุบนโต๊ะอีกคน

“เฮ่อ! ไม่มีวันไหนจะคุยกันได้ดี ๆ เสียที”



รพินทร์จัดแจงทำอาหารไว้รอสุดฝีมือเมื่อรู้ว่าลูกจะมาหา อาหารโบราณมีทั้ง พระรามลงสรง แกงรัญจวน แสร้งว่ากุ้งแนมด้วยปลาดุกฟู ปิดท้ายด้วยยำทวาย มีลูกมือเป็นเด็กชายฉายสิริ พ่อหนูน้อยวัยหกขวบ หลานแม่บ้านที่มาขอพึ่งใบบุญ เพราะถูกแม่แท้ ๆ และพ่อเลี้ยงทำร้ายทารุณเสียสาหัส จนชาวบ้านเห็นแล้วอดเวทนาไม่ไหว ครั้นจะแจ้งตำรวจจับเสีย พ่อหนูก็ดูจะขาดที่พึ่ง จึงได้โทรศัพท์มาบอกกล่าวแก่ผู้เป็นป้า นางผอบจึงได้ไปรับตัวมาขออนุญาตรพินทร์เลี้ยงดูอยู่ชายคาเดียวกัน รพินทร์เห็นพ่อหนูครั้งแรกก็รู้สึกรักใคร่เอ็นดูถูกชะตาด้วยนัก วงหน้าเล็กอ่อนใสผุดผ่องคล้ายวงจันทร์ ตาโตดำขลับแม้เจือแววเศร้าสร้อยหม่นหมองคล้ายอัญมณีมีรอยร้าว จมูก ปาก ดูเล็กกระจิริดพริ้มเพราอย่างน่ารักน่าชัง

 “หน้าตาได้เค้าแม่เสียเยอะค่ะคุณ แม่เขาสวยจัดเชียวละ ผู้ชายแทบฆ่ากันตายเพราะแย่งกันจีบ ทั้งผิวพรรณขาวผ่องลออนี่ก็ด้วย เสียดายถูกพ่อเลี้ยงทั้งซ้อมทั้งทุบตีทำร้ายจนลายพร้อยไปทั้งตัว นังแม่มันก็ไม่สนใจใยดี ตอนที่ดิฉันไปรับ เห็นแล้วแทบช็อกตาตั้ง มันกำลังจะทำบัดสีเอากับเด็ก เด็กผู้ชายมันก็ไม่เว้นค่ะคุณ เดรัจฉานในร่างคนแท้ ๆ ถ้าดิฉันไปช้ากว่านั้น ลูกเอ้ย จะเป็นยังไง”
นางผอบเสียงสั่นเครือด้วยความเวทนาหลาน มือย่นลูบตามเนื้อตัวอย่างจะเรียกขวัญ จากนั้นมา เป็นอันว่าเด็กชายฉายสิริจึงได้อยู่ในความดูแลของรพินทร์

“เดี๋ยวคงใกล้ถึงกันแล้วละ”
รพินทร์ยิ้มบางให้เจ้าของดวงตาใสแจ๋ว หนูน้อยมีพัฒนาการช้ากว่าคนอื่นแต่ก็เชื่อฟังดี มืออุ่นจูงมือเล็กไปรอลูกชายที่ศาลานั่งเล่นหน้าบ้าน รพินทร์มีหนังสือเล่มหนึ่ง ส่วนพ่อหนูขลุกเพลินอยู่กับสมุดภาพระบายสี นาน ๆ จึงจะหยิบขนมในขวดโหลและดื่มน้ำหวานบ้าง


ยิ่งรถแล่นเข้าใกล้บ้านมากเท่าไหร่ รพีกานต์ก็ยิ่งวิตกกังวลมากขึ้นเท่านั้น ใบหน้าเรียวฉายแววหม่นหมอง ในหัวคิดสะระตะจนเผลอถอนหายใจออกมาหลายต่อหลายหน ณัฐธีร์เหลียวมองวงหน้าหม่นเป็นระยะ

“อย่ากังวลไปเลย อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด กานต์มีพี่อยู่ข้างกานต์เสมอนะ”
ณัฐธีร์ละมือมากุมมือบางให้กำลังใจ รพีกานต์ยิ้มขื่น ก่อนบ่ายหน้าหันมองวิวข้างทาง ไม่มีแก่ใจจะชวนพี่ชายคุยจ้อเช่นทุกที

รถแล่นไปจอดหน้าบ้าน รพีกานต์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจที่คราวนี้มีร่างเล็ก ๆ ของหนูน้อยคนหนึ่งกระวีกระวาดวิ่งหัวซุนมาเปิดประตูให้ ณัฐธีร์ขับรถเคลื่อนผ่านเข้าไปจอดด้านใน รพีกานต์เปิดประตูลงมาด้วยความสนเท่ห์กับหนูน้อยแปลกหน้าหน้าตาจิ้มลิ้ม

“หลานป้าผอบน่ะ แกรับมาขออยู่ด้วยกัน ชื่อเล่นหนูตะวัน ชื่อจริงเพราะพริ้งว่าฉายสิริ ตะวันไหว้พี่กานต์ซีหนู พี่กานต์เป็นลูกชายของฉันเอง ส่วนที่ยืนข้างกันคือพี่ณัฐ เป็นเพื่อนรุ่นพี่ของพี่กานต์ รู้จักคุ้นเคยกับที่นี่มาตั้งแต่เด็ก”
รพินทร์บอกกล่าวถึงที่มาที่ไปของหนูน้อยหน้าแฉล้มพร้อมแนะนำให้รู้จักกัน มือเล็กยกขึ้นกระพุ่มไหว้ผู้มากวัยกว่าตามคำบอกอย่างว่าง่าย รพีกานต์เห็นแล้วอดที่จะเอ็นดูไม่ได้

“น่ารักจริงเชียวหนูตะวัน”
ร่างเล็กอายม้วนต้วนเมื่อถูกชมซึ่ง ๆ หน้า ดวงตากลมหลุบต่ำถอยฉากไปหลบข้างหลังคุณรพินทร์ด้วยความไม่คุ้น ซึ่งณัฐธีร์เห็นแล้วก็ฉีกยิ้มพลอยนึกเอ็นดูไปด้วย

“แบบนี้คุณพ่อคงหายเหงาขึ้นมาหน่อยนะครับ มีเด็กเล็กมาอยู่ด้วย”

“หายเหงาขึ้นเยอะอยู่ หนูตะวันว่านอนสอนง่าย ไม่ค่อยซน เอาละ นั่งรถมาเหนื่อย ๆ เข้าไปพักผ่อนในบ้านก่อนเถอะ พ่อเตรียมข้าวเย็นไว้รอแล้ว ณัฐกินข้าวด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับนะ”
รพินทร์ชวนสมาชิกเข้าบ้านพลางรุนหลังหนูน้อย รพีกานต์หันมาสบตาณัฐธีร์แวบหนึ่งก่อนเดินตามบิดาเข้าบ้านไป

“น้องกานต์ยังไม่ค่อยหิวหรือลูก”
รพินทร์มองใบหน้าเหม่อลอยของลูกให้อดพิศวงไม่ได้ ปกติรพีกานต์จะมีสีหน้าแช่มชื่นเจริญอาหารทุกครั้งที่ได้กลับบ้าน ต่างจากครั้งนี้ที่ลูกดูจะใจลอยเหมือนคนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวชอบกล

“กานต์คงเพลียน่ะครับ”
ณัฐธีร์แก้ต่างให้พลางตักกับข้าวใส่จานน้อง ดวงตาคมมองสบดวงตาที่ฉายแววกังวลพลางพยักหน้าให้อย่างรู้กัน รพีกานต์พยักหน้ารับรู้ตอบก่อนฝืนกินข้าวต่อ ด้วยไม่อยากให้เสียน้ำใจคนทำไว้รอ

“กานต์เหนื่อยนิดหน่อยน่ะครับ”
รพีกานต์ยิ้มอ่อน ๆ เอ่ยบอกแก่บุพการีให้คลายกังวล ดวงตามีแววละอายใจ สบตากับบิดาได้ไม่เต็มตานัก ในใจหนักอึ้งอึดอัดเหมือนถูกถ่วงด้วยตุ้มหนักอยู่ตลอด

“โล่งอก นึกว่าพ่อมือตกเสียอีก”
รพินทร์ค่อยเบาใจ ว่าพลางตักแกงรัญจวนใส่จานให้ลูก ที่บ้านไม่มีใครกินเนื้อวัว แกงรัญจวนจึงเปลี่ยนเป็นเนื้อหมูแทน ซึ่งเจ้าของสูตรต้นตำหรับก็คือ ท่านหม่อมหลวงเนื่อง นิลรัตน์ ตามบันทึกในสมัยรัชกาลที่ ๕

“กับข้าวฝีมือคุณพ่ออร่อยที่สุดสำหรับกานต์ครับ”
รพีกานต์พยายามปั้นยิ้มเอาใจ ปัดเรื่องกังวลออกไปก่อน พยายามกินข้าวจนหมดจานอย่างพ่อสอน ณัฐธีร์ตักไข่เจียวรวมมิตรผักหลากสีให้หนูน้อยสายตาเอ็นดู แก้มขาวขึ้นสีชมพูอ่อน แต่ไม่มีเสียงตอบรับ ป้าผอบเพิ่งบอกไปเมื่อเย็นว่าเจ้าตัวเล็กพูดไม่ได้ กิริยาท่าทีที่แสดงออก พอเดาได้เลา ๆ ว่ากำลังอายคนหล่อด้วยความไม่คุ้น ณัฐธีร์จึงยิ่งเอ็นดู พลางคิดไปว่า ลูกของกานต์กับเขา คงจะน่ารักไม่แพ้หนูตะวันแก้มแดงคนนี้

 :katai5: มีต่อด้านล่างจ้า :katai5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 09-08-2016 00:11:56
ตอน ๑๗ (ต่อ)


อิ่มหมีพีมันในมื้อเย็นกันเรียบร้อย รพินทร์จึงมานั่งที่ห้องนั่งเล่น หนูน้อยฉายสิริได้รับอนุญาตให้มาดูโทรทัศน์ได้ไม่เกินสี่ทุ่มแล้วต้องเข้านอน ร่างเล็กจ้องเป๋งกับจอโทรทัศน์หน้ากว้างขนาดใหญ่ ต่างจากเครื่องเล็กจ้อยที่บ้านเก่าซึ่งถูกตาแปะร้านขายของชำเซ้งไปแทนค่าเหล้าที่พ่อเลี้ยงติดแกไว้ รพินทร์เองเห็นหนูน้อยตั้งอกตั้งใจดูก็พลอยเพลินไปด้วย รพีกานต์หายหน้าไปพักใหญ่หลังกินข้าวเสร็จ ก่อนกลับเข้ามาในห้องพร้อมณัฐธีร์ ในมือเรียวมีพวงมาลัยดอกมะลิที่เพิ่งร้อยเสร็จเดินเข้ามาหาพ่อด้วยท่าทีกริ่งเกรง

“อ้าวกานต์ มาดูสารคดีด้วยกันมา ตาหนูตะวันท่าจะชอบ ดูซี จ้องเป๋งเชียว”
รพินทร์ลูบศีรษะเล็กอย่างเอ็นดู พลางร้องชวนลูก ไม่ทันสังเกตสีหน้าอมทุกข์ที่กำลังรวบรวมความกล้าอย่างยิ่งยวดที่จะบอกกล่าวบางอย่างแก่เขา ท่าทางรักและเอ็นดูเด็กไม่เชิงทำให้รพีกานต์คลายใจซักเท่าไรนัก

“พ่อครับ...”
รพีกานต์เอ่ยขึ้นเสียงสั่น น้ำตาจะร่วงไม่ร่วงแหล่ ร่างโปร่งทรุดลงตรงหน้าบิดา มือยื่นพวงมาลัยให้พลางกราบลงตัก

“กานต์เป็นอะไรลูก”
รพินทร์ตกอกตกใจกับท่าทีแปลกไปของลูก ซึ่งรู้สึกได้ตั้งแต่กลับมาแล้ว

“กานต์ ฮึก...กานต์”
รพีกานต์ร้องไห้โฮ น้ำตาร่วงเผาะ ๆ จนรพินทร์ตกใจ เมื่อนึกขึ้นได้จึงบ่ายหน้าหันไปบอกหนูฉายสิริให้ไปนอน ก่อนหันมาหาลูก

“กานต์เป็นอะไรไป ลุกขึ้นมานั่งคุยกับพ่อดี ๆ บนโซฟานี่มา”
รพีกานต์ส่ายหน้าหวือแทนการตอบรับ ร่างเล็กโผเข้ากอดขาพลางแนบใบหน้าสะอึกสะอื้นบนตัก ยิ่งเพิ่มความงุนงงให้แก่รพินทร์เข้าไปใหญ่ ณัฐธีร์เองก็ขยับมาลูบหลังปลอบประโลมแต่ไม่ได้เอ่ยอันใดแทน ด้วยอยากให้รพีกานต์เป็นคนบอกกล่าวแก่บิดาด้วยตนเอง

“ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกัน กานต์เอาแต่ร้องไห้แบบนี้ แล้วเมื่อไหร่จะรู้เรื่องกัน หืม ?”
รพินทร์ลูบศีรษะลูก สายตาเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ณัฐธีร์แทน

“มีอะไรกันหรือณัฐ น้องเป็นอะไร ?”

“เอ่อ...” ณัฐธีร์อึกอัก สายตาปรายมองคนตัวเล็กอย่างลังเล “คือ...คือว่ากานต์...เอ่อ”

“กานต์ท้องครับพ่อ ฮือ”
กลายเป็นรพีกานต์ที่โพล่งขึ้นเสียเอง รพินทร์นิ่งเหมือนถูกสตัน ก่อนได้สติถามซ้ำอีกรอบ เพื่อย้ำว่าตนเองไม่ได้ฟังผิดไป

“เมื่อกี้กานต์ว่าอะไรนะลูก”
รพีกานต์ดึงใบหน้าขึ้นจากตักพ่อพลางก้มงุด ไหล่ไหวเยือก ๆ ก่อนหลุดเสียงอู้อี้ออกมา “กานต์ท้องครับพ่อ”

“ฮึก กานต์ท้อง”
บอกซ้ำพลางเงยใบหน้าขึ้นสบตาบุพการีอย่างคนรอทัณฑ์พิพากษา ดวงตาคู่สวยแดงก่ำ ฉ่ำรื้นไปด้วยหยาดน้ำตาท่วมทะลักไหลอาบลงแก้มไม่ขาดสาย รพินทร์เองได้ยินถึงกับจุก ช่างน้ำหนักไม่ถูกระหว่างรู้ว่าตนเองเป็นมะเร็ง กับที่ลูกบอกว่าตั้งครรภ์ อย่างไหนจะทลายหัวใจกว่ากัน

“กานต์...ท้องหรือลูก”
รพินทร์หลุดเสียงครางหวิวอย่างไม่เชื่อหูนัก แม้จะรู้ถึงความผิดปกติของรพีกานต์ แต่ก็ไม่คิดว่าลูกจะท้องได้

“ผมเป็นพ่อของเด็กครับ! ผมจะรับผิดชอบน้องทุกอย่าง”
ณัฐธีร์โพล่งขึ้นทั้งน้ำตาไหลพลางเขยิบกอดร่างสั่นระริกอย่างพร้อมร่วมรับผิดเต็มที่ รพีกานต์ส่ายหน้าไม่ยินยอมให้ตราบาปตกแก่ผู้บริสุทธิ์ เอ่ยบอกทั้งน้ำตาไหล

“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่พี่ณัฐ”
ใบหน้าเปื้อนน้ำตาเงยขึ้นสบตาบุพการี ในดวงตาร้าวรานคล้ายจะเฉลยเป็นนัยว่าใครคือพ่อเด็ก ...อัครวินท์...
รพินทร์หัวใจร่วง นิ่งงันอย่างคนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ รพีกานต์ตีความว่าบุพการีกำลังผิดหวังในตัวเขามากมายนัก มือสั่นระริกกระพุ่มลงกราบแทบเท้าผู้มีพระคุณที่ชุบเลี้ยงมา แต่รพีกานต์ก็ไม่วายหาเรื่องร้อนใจมาให้

“กานต์ขอโทษครับพ่อ ขอโทษที่ทำให้พ่อผิดหวัง”

“ผมขอโทษที่ดูแลน้องไม่ดีครับ”
ณัฐธีร์ประนมมือร่วมกราบกรานด้วยอีกคน ทั้งที่เคยรับปากเอาไว้มั่นเหมาะ ว่าจะดูแลดวงแก้วรพีกานต์ดวงนี้ให้ดี สุดท้ายเขาก็ทำอย่างปากว่าไม่ได้ รพินทร์ได้สติกลับมาเมื่อเห็นลูกทั้งสองกราบกรานอยู่แทบเท้าไม่ยอมถอย หัวใจคนเป็นพ่อสัมผัสได้ถึงความร้าวรานมากมายที่ลูกได้รับ นอกจากจะไม่นึกอยากตำหนิซ้ำ ตอนนี้คือเขาต้องช่วยลูกหาทางออก

“กานต์ ณัฐ ลุกขึ้นมาก่อน”
รพินทร์สะกิดลูก อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ต้องมีทางออก

“หยุดร้องไห้ ลุกขึ้นมาคุยกันก่อน เราต้องหาทางออกให้เรื่องนี้นะลูก ชีวิตทั้งชีวิตอยู่ในท้องของกานต์ กานต์คิดมาหรือยังว่าจะเอายังไง”
รพินทร์รั้งกายลูกขึ้นมานั่งบนโซฟาเดียวกัน มือเรียวยื่นไปสัมผัสหน้าท้องแบนราบที่มีหลานเล็ก ๆ ของเขาถือกำเนิดอยู่ข้างในนั้น

“อายุครรภ์เท่าไหร่แล้ว”

“เดือนกว่าครับ”
รพีกานต์บอกทั้งหลุบสายตาลงต่ำไม่กล้าสบตา ด้วยละอายแก่ใจเกินกว่าจะมองหน้าผู้เป็นบิดา

“กานต์จะเก็บไว้ไหม”
รพีกานต์เงยหน้าพรวดด้วยความตกตะลึงทันทีที่ได้ยินคำถาม ปากบางอ้าค้างอย่างคิดไม่ถึง ด้วยไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน ณัฐธีร์เองได้ยินก็ตกใจไม่ต่าง หากรพินทร์ยังคงครองสตินิ่ง เปิดปากอธิบายต่อ

“กานต์ฟังพ่อก่อน กานต์กำลังเรียนอยู่ นี่ก็ใกล้สอบแล้ว หากกานต์จะเก็บเด็กไว้ สอบเสร็จกานต์ต้องหยุดเรียน ไปดรอปเอาไว้ก่อน คลอดแล้วค่อยกลับมาเรียนต่อเมื่อพร้อม”
รพินทร์มองใบหน้าซีดนิ่งงันก่อนพูดต่อ

“ส่วนลูกของกานต์พ่อจะดูแลให้ตอนกานต์ไปเรียน เสียเวลาจบช้ากว่าเพื่อนหน่อย และพ่อจะบอกให้ฟังไว้อีกอย่าง การมีเด็กก่อนวัยอันควร กานต์จะต้องสูญเสียโอกาสหลาย ๆ อย่างที่คนโสดพึงทำได้ หรืออีกทางหนึ่ง หากกานต์ไม่อยากให้ชีวิตยุ่งยากก็ไม่ต้องเก็บไว้ มันก็พอมีทาง เสร็จแล้วก็ทำเป็นลืมไปเสียว่าเคยเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้น แต่อย่าลืมว่า การฆ่าเด็กบริสุทธิ์เลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองนำมาซึ่งบาปมหันต์ ทั้งที่จะตกแก่ตัวกานต์เอง ตกแก่พ่อที่ร่วมรับรู้และพากานต์ไป รวมถึงแพทย์ที่กระทำการซึ่งปกติแล้วคือผู้ช่วยชีวิต ไม่ใช่ผู้คร่าชีวิต หากกานต์เลือกอย่างนั้นแล้ว พวกเราล้วนเป็นฆาตกรร่วมกัน”
ใบหน้ารพินทร์นิ่งขึง หากจับน้ำเสียงดี ๆ จะรู้ว่าปลายเสียงนั้นสั่น แต่เขาต้องการให้ลูกได้คิด ได้ตรึกตรองดี ๆ เพื่อจะได้ไม่นึกเสียใจทีหลัง หากชีวิตในวันข้างหน้าจะไร้อิสระด้วยพันธะที่มี รพีกานต์หน้าซีดเผือดเมื่อได้ยิน ณัฐธีร์ถึงกับส่ายหน้าหวืออย่างไม่เห็นด้วยกับทางเลือกที่สอง มือชื้นเหงื่อกุมมือเล็กบีบเบา ๆ

“และไม่ว่ากานต์จะเลือกทางไหน อย่าลืมว่า ห้ามเสียใจทีหลังเด็ดขาด”
รพินทร์เสียงเข้มกว่าปกติ ไม่เชิงว่าดุ แต่เขากำลังลองเชิงให้ลูกได้ตัดสินใจเลือกทางชีวิตด้วยตัวเอง ในเมื่อชีวิตพลิกผันมาเช่นนี้ รพีกานต์จะต้องรู้จักเข้มแข็งนับแต่นี้ไป ปีกของรพินทร์ปกป้องลูกมาตลอด โอกาสนี้ รพีกานต์จะต้องรู้จักบินด้วยกำลังตน

“กานต์อาจผิดพลาด แต่กานต์ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายลูกของกานต์ครับพ่อ แล้วกานต์ก็ไม่ต้องการให้ผู้ที่มีพระคุณต่อกานต์ต้องมีตราบาปจากการร่วมรับรู้ในการกระทำของกานต์ สัตว์ยังไม่เคยทิ้งลูก กานต์เป็นคน กานต์จะไม่ทำร้ายลูกของกานต์”
ดวงตาของผู้เป็นพ่อเอ่อรื้นคลอเต็มหน่วยตา เมื่อได้ยินคำจากปากลูก รพินทร์โผกอดลูกรักด้วยความตื้นตัน เขาไม่เคยสอนให้ลูกไร้ความรับผิดชอบ แต่รพีกานต์จะต้องรู้ว่า การมีลูกนั้น ผู้เป็นพ่อแม่จะต้องเสียสละอะไรบ้าง เมื่อลูกของเขาได้เลือกแล้ว ก็แสดงว่าลูกได้ยอมรับมัน ซึ่งไม่ผิดจากรพินทร์คิดไว้ รพินทร์ผละกายออกพลางประคองดวงหน้าลูกด้วยสองมือ

“ดีแล้ว พ่อไม่เคยสอนให้กานต์เห็นแก่ตัว แต่จากนี้กานต์ต้องรู้ไว้ว่า ชีวิตของกานต์ไม่ได้มีอิสระมากเช่นแต่ก่อนแล้ว กานต์มีพันธะ จะเที่ยวเตร่กลับบ้านดึก ๆ หรือไปไหนมาไหนก็ไม่สะดวกอย่างคนโสด ๆ แต่กานต์ไม่ได้สูญเสียความสุขไปหรอก กานต์กำลังจะได้ความสุขอีกแบบจากชีวิตน้อย ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น เหมือนที่พ่อได้จากกานต์”
รพินทร์ฉีกยิ้มกว้างให้ลูก

“พ่อไม่โกรธกานต์หรือครับ ที่กานต์สร้างปัญหาให้”

“โกรธแล้วได้อะไรละลูก แค่นี้กานต์ของพ่อก็ทุกข์มากแล้วกว่าจะกล้าเปิดปากสารภาพกับพ่อ ดีแค่ไหนที่กานต์ไม่ตัดสินใจอะไรผิด ๆ เงินทองเรามี เลี้ยงลูกกานต์ซักสิบคนก็ยังไหว ตอนแรกคิดว่าจะตันสุดแค่นี้ มีเด็กเล็ก ๆ บ้านคงครึกครื้นขึ้นเยอะ”
รพินทร์ลูบศีรษะลูกอย่างเข้าใจ พื้นเพรพีกานต์ไม่ใช่เด็กไม่ดี เพียงแต่ได้เจอคนใจร้าย กระนั้นแล้วเนื้อแท้จิตใจก็ยังดีงาม รพินทร์ต้องการแค่นี้เองจริง ๆ

“กานต์รักพ่อที่สุด พ่อเป็นพ่อพระมาโปรดสำหรับกานต์ พ่อเข้าใจกานต์ทุกอย่าง”
รพีกานต์โผเข้ากอดบิดาอย่างตื้นตัน พ่อรพินทร์พร้อมที่จะทำความเข้าใจและให้อภัย ชีวิตนี้จะหาได้ที่ไหนประเสริฐเท่าอีกหนอ

“เอ่อ ลูกของกานต์ ขอพี่เป็นพ่อเด็กได้ไหม ทั้งกานต์ทั้งลูก พี่จะดูแลเอง กานต์แต่งงานกับพี่นะ ถ้ากานต์ยอม พี่จะสู่ขอกานต์กับคุณพ่อของกานต์ตรงนี้”
ณัฐธีร์ถามขึ้น รพีกานต์มองพี่ชายด้วยความลำบากใจแกมความรู้สึกละอาย

“เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง กานต์ไม่อยากให้พี่ณัฐต้องเอาชีวิตมาทิ้งกับกานต์ มาแบกรับภาระที่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของพี่ พี่ณัฐยังมีโอกาสได้เจอคนดี ๆ กว่ากานต์นะครับ แค่นี้กานต์ก็ละอายใจจนมองหน้าพี่ณัฐได้ไม่เต็มตาแล้ว”

“เจอคนดีกว่านี้แล้วยังไงครับ เจอคนดีกว่านี้แล้วจะมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับชีวิตพี่อย่างนั้นหรือ แล้วกานต์คิดหรือว่าพี่จะมีความสุขกับคนดี ๆ ที่กานต์ว่าจริง ๆ น่ะหรือ ในเมื่อพี่รักกานต์ พี่ไม่ได้รักคนดี”
ณัฐธีร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แววตาแน่วแน่มั่นคง เขารักรพีกานต์ที่เนื้อแท้ รักก็คือรัก ไม่มีอะไรมาหักล้างความรู้สึกนี้ลงได้

“พี่ณัฐ...”

“ให้โอกาสพี่นะ พี่ขอแค่โอกาส ตอนนี้กานต์ไม่รักพี่ก็ไม่เป็นไร หรือกานต์ยังไม่ลืมใครคนนั้นก็ไม่เป็นไร หากเขาคนนั้นไม่คิดจะกลับมาอีกแล้ว ก็ขอโอกาสให้พี่คนนี้ได้ดูแลกานต์และลูก พี่ขอเท่านี้จริง ๆ”
ณัฐธีร์วอนขอ สายตาเว้าวอนจนหัวใจรพีกานต์ปวดหนึบ เพราะยังลืมใครอีกคนไม่ได้ เพราะยังรักอยู่เต็มเปี่ยมทุกอณูหัวใจ ถึงแม้เขาคนนั้นจะใจร้ายต่อหัวใจดวงนี้ยังไง ก็ยังคงกุมหัวใจของรพีกานต์เอาไว้ทั้งดวง

รักเอย ต่อให้เจ็บช้ำระกำใจซักปานใด ถึงปากบอกชังชิงซักแค่ไหน แต่ความรักก็ยังเอ่อท้นอยู่เต็มอณูหัวใจ รพีกานต์ค้นพบว่า แม้จะทำเป็นโกรธเกลียดชิงชังอัครวินท์ซักเท่าใด แต่อีกใจก็ยังคงถวิลและโหยหา อยากให้เขาคนนั้นกลับคืนมา และอยากให้อัครวินท์ได้รับรู้ว่า ตอนนี้ในท้องของรพีกานต์ มีเลือดเนื้อเชื้อไขน้อย ๆ ของเขาอยู่
รักเอย...

 :hao5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 09-08-2016 00:59:31
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 09-08-2016 01:01:26
สงสารณัฐอ่ะ คนไม่รักยังไงก็ไม่รักเพราะกานต์ยังไม่ยอมรับ กานต์นะ ใหม่ๆก็คงจะตัดใจไม่ได้อยู่หรอก นานไปก็จะตัดใจได้เอง ง่ายสุดก็หาผัวใหม่ ขนาดพ่อรพินทร์ยังตัดใจจากแฟนได้เลย ทำไมกานต์จะทำไม่ได้ล่ะ
รอ รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 09-08-2016 03:25:29
คนหนึ่งก็สุดแสนจะมั่นคง
อีกคนก็ไม้หลักปักเลน แสนชั่ว

เรารู้สึกว่าณัฐเจอว่าที่คู่หมายแล้วนะหนูฉายสิริ

ไม่ทราบเหมือนกันว่าเราเข้าใจถูกไหม
อินทัชทิ้งรพีเพราะต้องแต่งงาน
ทุกวันนี้ยังอยุ่กับภรรยาแต่ก็มีชู้รักเป็นคนขับรถ
ถ้าจริงตามนั้นโคตรของโคตรสงสารพ่อของกานต์เลย

อาจจะเพราะว่าเราสุขนิยมมากเกินไปเราจึงอยากให้พ่อของกานต์ได้เจอความสุขบ้าง
อย่างน้อยก็ในบั้นปลายของชีวิต

หนูฉายสิรินอนดึกนะคะ 4 ทุ่ม  สงสัยเมืองไทยนอนดึกได้เพราะอนุโลมให้ดูละครไทยหลังข่าว    ลูกเราต่ำกว่า 10 ปีนอน 2 ทุ่ม ไม่เกิน 2 ทุ่มครึ่ง  12+ นอน 3 ทุ่ม  ตื่น 6 โมงเช้า ต่างกันที่วัฒนธรรมนะคะ

บทการบรรยายของคนเขียนนิ่มมากๆค่ะ   แต่ไม่ทราบว่าจงใจหรือว่าเคยชิน  บทสนทนาบาวช่วงดูไม่เป็นธรรมชาติ  เช่นที่พ่อถามกานต์ว่า
อายุครรภ์เท่าไหร่    แทนที่จะเป็น กี่เดือนแล้ว   คือ ณ บริบทนี้เราก็ไม่คิดว่าถามสั้นๆแบบนี้แล้วจะเข้าใจผิด   - สงสัยเฉยๆค่ะ

ขอบคุณสำหรับตอนใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-08-2016 06:00:43
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: question09 ที่ 09-08-2016 07:49:52
อัครวินท์คนชั่ว
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: viky_mama ที่ 09-08-2016 08:58:37
ร้องไห้จนตาบวมเลยค่ะ สงสารน้องกานต์

คนเขียนอย่างแต่งให้พ่อรพินเป็นอะไรนะ มันจะดราม่าเกินไป
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 09-08-2016 09:00:11
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 09-08-2016 14:25:15
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 09-08-2016 18:29:02
เอาใจไปเลยพี่ณัฐ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 09-08-2016 19:37:56
โง่งม.....
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 09-08-2016 21:59:43
สงสารพี่ณัฐ กานต์กับพ่อแล้วก็หนูตะวัน
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 10-08-2016 07:49:08
 :mew1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: aurusma ที่ 10-08-2016 22:41:27
สงสารพี่ณัฐ :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: mouymai ที่ 11-08-2016 02:25:47
สงสารการ์ณ :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 11-08-2016 12:52:47
เป็นเรื่องที่ High contrast มาก ขาวสุดดำสุดเลย


คือถ้าแนวนี้เราอยากให้มองว่าคนไหนเลวมันก็เลวอ่ะ  ช่วงนึงบังเอิญต้องมาเจอกัน
มีเวรกรรมระหว่างกันก็จบกันไป ไม่ใช่ว่ามีลูกแล้วมันจะดี
รวยแล้วดีก็มี เลวก็มาก

ไหนๆ ก็เลวแล้ว ก็ให้รับผลกรรมของความเลวไป แบบต้องเสียใจไปชั่วชีวิต
ทำบุญยังไงก็ลบล้างความผิดไม่ได้หรอก
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 11-08-2016 17:16:57
พี่ณัฐนี่โครตจะพระเอก สงสารพี่ณัฐ ฮืออออออ.. ขอให้พี่ณัฐเป็นพระเอกได้ไม๊ งอแงๆ...
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 11-08-2016 23:02:45
เรียนรู้จากความผิดพลากนะ ครอบครัวดีช่วยพยุงกัน

พี่ณัดดีมากจริงๆ รักมากก็ต้องพยายามให้มาก สู้ๆ :katai2-1: :hao5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: meanmena ที่ 12-08-2016 10:35:00
รอนะคะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 12-08-2016 14:18:14
ดีนะที่กานต์มีครอบครัวที่ดีพร้อมรับฟังแล้วช่วยแก้ปัญหา ทั้งพ่อแล้วก็พี่ณัฐ กานต์ต้องเข้มแข็งนะเพื่อลูกที่จะเกิดมา :กอด1: ปล่อยอิพี่วินไป :z6: ขอซักที
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 16-08-2016 22:25:35
พี่ณัฐนี่คนดีเกินไป
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: pawara123 ที่ 31-08-2016 12:36:35
อนากอ่านต่อแล้วจ้านักเขียน
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: พระสนมฝ่ายซ้าย ที่ 01-09-2016 21:23:28
สงสารน้องกานต์  :sad4:
อีพี่วินแพ้ท้องหนักๆไปเลย
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: anandawan ที่ 22-09-2016 09:06:19
    อ่านมา 17 ตอนรวดเนี่ย มีตอนไหนบ้างที่อิพี่วินมันคิดดีทำดี แบบไม่เสแสร้งแกล้งทำ หนึ่งพันบาทดูแคลนน้ำใจคนที่รักตัวเองนักหนา ไม่รักไม่ชอบก็มาหลอกลวงข่มเหงน้ำใจกัน

    น้องน้อยกานต์ก็อ่อนเดียงสาเหลือเกิน เข้าใจว่าน้องเคยอยู่แต่ในบรรยากาศ และสภาพแวดล้อมที่ดี พอไปเจอโลกภายนอก  และเจอคำหวานหูหลอกใจเลยเผลอไผลเพราะไม่ทันคน สงสารจับใจ พาลคิดไปถึงอนาคตข้างหน้าของน้อง พ่อรพินทร์ก็เป็นมะเร็ง ไหนน้องน้อยเองจะท้อง ไหนจะธุรกิจที่ไม่รู้ว่าจะมีปัญหาแก่งแย่งสมบัติกันหรือไม่ ไหนจะเรื่องหัวใจอีก "ขอโทษนะหัวใจ" เลยสินะน้องน้อย เป็นกำลังใจให้ค่ะ

    พี่ณัฐเจ้าขาาาาา เจ้าพ่อพระคุณรุนช่อง ดีตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าเสียนี่ รักเหลือเกินเจ้าค่ะ ถึงแม้ในนิยายจะไม่ได้เป็นพระเอก แต่ว่าคนอ่านคนนี้ เทิดทูลให้เป็นพระเอกในหัวใจเจ้าค่ะ

    แฮ่กๆ ไม่เคยพิมพ์ยาวขนาดนี้มาก่อน ชอบสำนวน ชอบการเดินเรื่อง เราชอบดราม่าลักษณะแบบนี้ค่ะ อ่านไปใจแปลบๆไป เหมือนเข็มพันเล่มทิ่มตำหัวใจปานน้องน้อยไปเจออิพี่วินกับสาวคนอื่นที่สนามเทนนิสปานนั้น จะติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Frankdar ที่ 22-09-2016 12:15:20
เกลียดวิน   :m31: :m31: :m31: 
อย่าให้พ่อเป็นอะไรนะ อยากให้พ่อเจอคนดีๆ  ไม่เอาอินทัชแล้วนะ  :serius2:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: bankbadboy609 ที่ 25-09-2016 18:44:11
มาต่อไวๆๆๆน่าจ่าาาา :mew1:  :mew1:  :mew1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: pawara123 ที่ 28-09-2016 23:50:40
อยากอ่านจัง หืออๆๆๆฟ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๗)(P.๕)(๐๘/๐๘/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: pawara123 ที่ 07-11-2016 20:11:14
หายไปนานเลย อยากอ่านต่อแล้วจ้า มาไวๆๆๆ เถอะน้าาา :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๘)(P.๖)(๑๒/๑๑/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 12-11-2016 01:18:16
เสน่หา...รักเอย๑๘
โอ้เจ้าดอกรักซ้อน เมล็ดรักปลิวว่อนแจกรักตามลม

กรุ่นกลิ่นหอม ดอมกลิ่นหวน อวลกลิ่นหวาม
ชื่นกลิ่นปราง เจ้ากานต์แก้ว แถงศรี
เคยสมรัก สมชื่น   รื่นฤดี
แม้นจรลี ยังนึกหวง ห่วงอาดูร
[/font]


แกรก

เสียงหมุนลูกบิดเปิดประตูห้องดังขึ้นตามด้วยแรงงับปิดแผ่วเบา รพินทร์เดินเข้ามาทิ้งกายนั่งลงปลายเตียงระบายลมหายใจอึดอัดหนักหน่วงที่เก็บสุมเอาไว้มิดชิดตอนอยู่ต่อหน้าลูก เมื่อเข้ามาอยู่ในอาณาเขตห้องส่วนตัวตามลำพังจึงสามารถปล่อยกายใจให้อ่อนแอลงได้บ้าง

เหนื่อย...

หัวใจร่ำร้องบอกอย่างนั้น หัวใจคนไม่ใช่เหล็กไหล จะได้ทนได้กับทุกเรื่อง ก้อนเนื้อเท่ากำปั้นเต้นตุบ ๆ บ่งบอกว่าโรยแรงเต็มที แต่ตราบใดที่หัวใจยังเต้น ชีวิตก็จะยังคงมีพรุ่งนี้ต่อ รพินทร์เอนกายลงนอนราบกับเตียงดวงตาเหลือบมองเพดาน สายลมโชยพัดพายกลิ่นดอกไม้ไทยหอมอ่อน ๆ รวยรินเข้ามาทางหน้าต่าง ม่านลูกไม้ไหวพะเยิบพะยาบตามแรงลมเอื่อยเฉื่อย รพินทร์พลิกกายตะแคงมองวาดภาพปลายเตียง เดิมทีภาพนี้แขวนอยู่ห้องรพีกานต์แต่รพินทร์นึกอย่างไรไม่รู้ถึงได้ย้ายภาพนี้กลับมาไว้ที่เก่า
คงเพราะ...ได้เห็นใบหน้าประพิมพ์ประพายเดียวกันกับอินทัชอีกครั้ง ที่สะกิดหัวใจให้กระหวัดไพล่ถึงรสรักฉ่ำหวาน ท้ายสุดเคลือบด้วยรสขมปร่าของหยาดน้ำตาที่ขมขื่นอย่างที่สุดเช่นกัน

ภาพเขียนสีฝีมืออินทัชที่เคยวาดให้ไว้เมื่อครั้งอีกฝ่ายเข้ามาก้อร่อก้อติกนั้นฝีมือดีทีเดียว นัยว่าเจ้าตัวมีพรสวรรค์ด้านนี้อยู่มาก วาดสวยเสียจนรพินทร์ตัดใจทิ้งไม่ลงเลยย้ายไปไว้ในห้องลูกแทน จำได้ว่าเห็นภาพนี้ครั้งแรกถึงกับใจแกว่งให้หนุ่มศิลปินเจ้าสำอางคนนั้น ผู้ชายคิ้วเข้มเป็นปื้นยาว ดวงตาคมกริบแพรวพราวอย่างร้ายกาจ มุมข้างแก้มมีลักยิ้มบุ๋มลึกเหมือนเด็กชายตัวร้าย ท่าทีไม่เหมือนคนชอบให้มือเปื้อนสีสักนิด และที่ร้ายที่สุดก็คือรอยยิ้มเปื้อนเต็มหน้านั่นแหละที่ปราบหัวใจรพินทร์เสียราบคาบ

เออหนอ รักของวัยรุ่นช่างหอมหวานราวดอกไม้แรกแย้ม จนตอนนี้ก็ยังทิ้งร่องรอยวันวานหวานอมขมไว้ให้ระลึกถึงในบางครั้งบางคราว อัครวินท์ประพิมพ์ประพายคล้ายอินทัชมาก มากเสียจนรพินทร์เห็นครั้งแรกถึงกับมือไม้อ่อนแรง แม้ริมฝีปากของอัครวินท์จะดูเรียวบางสวยเหมือนริมฝีปากของสตรี และดวงตาคมรูปลักษณ์เดียวกันนั้นจะดูกล้าแข็งแฝงแววเย่อหยิ่งทะนงตนอยู่ในทีก็ตาม เจ้ากานต์น้อยในตอนนี้ก็เหมือนเขาในตอนนั้น หลงรูปหลงคารม สุดท้ายประวัติศาสตร์ก็ซ้ำลงรอยเดิม...

“ทัช ผมเหนื่อย...” ความในใจกลั่นตัวพรั่งพรูออกมาทางน้ำเสียงอ่อนระโหย สายตาเกลื่อนไปด้วยอารมณ์หลากหลายมองจับที่ภาพวาด ในความเงียบงันนั้นรพินทร์ส่งความรู้สึกสื่อออกมาผ่านดวงตาราวกับอินทัชมายืนรับฟังอยู่ตรงหน้า อยู่มาได้ตั้งนานนม คิดว่าบาดแผลคงถูกเวลาเยียวยาจนสมานตัวดีแล้ว แต่พอได้เจอกับอัครวินท์เพียงแวบแรก ความรู้สึกเก่า ๆ ก็หวนย้อนกลับมาทบทวนความทรงจำอีกครา

“พินทร์ทำอะไรน่ะ หือ ?” เสียงทุ้มนุ่มเจือความเอ็นดูเจ้าของชื่อเต็มเปี่ยม ส่งเสียงร้องถามเจ้าของร่างสูงเพรียวที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่กับพุ่มดอกไม้ป่าสีม่วงอมคราม สร้างความประหลาดใจแก่อินทัชนัก

“ชิมน้ำหวานจากดอกรางจืดน่ะครับ พี่ทัชลองไหม หวานดีนะ” เจ้าตัวหันมาตอบด้วยรอยยิ้มสว่างโลกทั้งดอกไม้สีม่วงยังคาบอยู่ที่ปาก อินทัชรุดไปหา มือขาวยื่นดอกรางจืดให้ แต่เป้าหมายของชายหนุ่มกลับจับอยู่ที่กลีบปากสวย  ริมฝีปากสีอ่อนของรพินทร์เหมือนกลีบกุหลาบเย้ายวนแปะอยู่บนดวงหน้าขาวนวล มองทีไรก็พาใจเคลิ้มให้นึกอยากประทับจูบอ้อยอิ่งไม่รู้เบื่อรู้คลายอยู่นั่นเอง

“ไหน พี่ชิมมั่ง” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดพรายขึ้นบนใบหน้าหนุ่มอดีตเดือนบริหารฯ สายตาอินทัชวาววับ รพินทร์ไล่ไม่ทันความคิดเจ้าเล่ห์เจ้ากล ปากนุ่มจึงถูกฉกจูบ บดเบียดละเลียดชิมความหวานแบบไม่ทันตั้งตัว ไม่เพียงเท่านั้น คนเจ้าเล่ห์แสนกลยังอาศัยจังหวะอีกคนกำลังตกตะลึงส่งปลายลิ้นซุกซนเข้าไปกวาดชิมความหวานฉ่ำข้างใน ปลายลิ้นแตะสัมผัสกันและกัน ความอุ่นซ่านลึกล้ำแล่นพล่านทั่วกาย รพินทร์หูอื้อ เนื้อตัวเบาโหวง สติล่องลอยกับจังหวะรุกล้ำที่เกี้ยวหยอกในโพรงปากอุ่นตามแต่เขาจะชักนำ มือเรียวเผลอขยุ้มอกเสื้อของอินทัชแน่น ดอกไม้ร่วงไปเมื่อใดไม่รู้ รู้แต่หัวใจกำลังล่องลอยกับรสจูบลึกล้ำ ทั้งฉ่ำหวานและอ้อยอิ่งดั่งลอยคว้างอยู่ในอากาศ

“อืม หวานจริง ๆ ด้วย” อินทัชถอนริมฝีปากออก ทว่ายังอ้อยอิ่งคลอเคลียไม่ห่างกลีบปากฉ่ำวาวแดงก่ำ สายตาร้อนแรงจ้องมองดวงตาปรือปรอย แก้มขาวแต้มสีฝาด รพินทร์ทรงตัวอยู่ได้ก็ด้วยท่อนแขนแข็งแรงที่รั้งกายบางแนบชิดอกแกร่ง ลมหายใจร้อนผ่าวแฝงไฟปรารถนาล้ำลึกเป่ารดปลายจมูก รพินทร์เคลิบเคลิ้มเหมือนต้องมนตร์ จนคลายสตินั่นแหละถึงได้ตาโตแหวคนตัวใหญ่

“พี่ทัช!”

“อ้าว ก็พินทร์บอกให้พี่ลองชิมไม่ใช่หรือครับ พี่ก็ชิมแล้วไง พินทร์ไม่ได้บอกพี่นี่ว่า ห้ามชิมที่ปาก” อินทัชทำหน้าเหรอหราก่อนเปลี่ยนเป็นสายตาเจ้าชู้กรุ้มกริ่มจ้องลึกในนัยน์ตางาม รพินทร์อ้าปากพะงาบ ๆ ร้อนวูบวาบทั้งหน้าแพ้ทางคนร้อยเล่ห์

“พี่ไม่อยากชิมแค่ปาก พี่อยากกินพินทร์ทั้งตัว” เขาบอกอย่างนั้น แล้วไฟปรารถนาร้อนแรงล้ำลึกก็ลุกโหมท่วมร่าง รพินทร์หลงระเริงกับไฟที่ฉุดอารมณ์พุ่งทะยานขึ้นสูงยามสะโพกสอบขยับจังหวะเข้าออกในกาย ทั้งดุดันสลับนุ่มนวล กายเปล่าเปลือยสองร่างสัมผัสกอดก่ายกันและกัน ด้วยความรักและเสน่หาในรสใคร่



ดวงตาเหนื่อยล้าพับปิดลงเชื่องช้า ถึงจะพยายามหลอกใจตัวเองให้เกลียดชัง แต่ความเกลียดก็ไม่อาจกลบความรักที่มีอยู่เต็มหัวใจ รพินทร์ยอมรับแล้วว่า อย่างไรเสียก็ยังคงรักอินทัชอย่างหมดหัวใจ นี่คือความสัตย์จริงอย่างที่สุด เลิกหลอกตัวเอง เลิกบังคับหัวใจให้เกลียด เหนื่อยล้าเต็มทีแล้วกับการบังคับหัวใจไม่ให้คิดถึง จะเจ็บก็ช่างมันปะไร วันเวลาเยียวยาความเสียใจให้ระเหยไปได้ แต่ยังเหลือความรักตกผลึกอยู่ในก้นบึ้ง รักที่เป็นรัก รักไม่หวังว่าจะได้รับรักตอบ ย่อมไม่ทรมานทุรนทุรายเหมือนมีเปลวไฟมาอัง เมื่อลดการคาดหวังลง รพินทร์คิดตก หากพรุ่งนี้ต้องตาย ก็จะขอนำไปด้วยแต่หัวใจรัก บาดแผลมันกลายเป็นอดีตถูกเวลาเยียวยาไปแล้ว แผลหายแต่รักไม่ได้ระเหยไปกับเวลาเมื่อหัวใจยังคงซื่อตรง

เสียงนาฬิกาติ๊ก ๆ ท่ามกลางราตรีเงียบงัน รพินทร์พลิกตัวกระสับกระส่ายไปมาครู่หนึ่งจึงผุดลุก เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วคว้ากุญแจรถเปิดประตูออกจากห้องไป ไม่ลืมส่งข้อความเข้าไลน์บอกลูกชายไม่ให้พะวงห่วง เขาแค่อยากไปขับรถเล่นกินลมสักพัก
พาหนะสี่ล้อแล่นไปเรื่อยเปื่อยบนถนนราตรี ผ่านเสาไฟฟ้าเรียงรายริมถนนนับไม่ถ้วน แต่ก็ยังไร้วี่แววว่าคนบังคับพวงมาลัยจะหยุดลงที่ใด ในใจรพินทร์ว่างเปล่าวูบโหวง ที่ผ่านมาใช่ว่าเขาจะตั้งหน้าตั้งตาอมทุกข์แต่ฝ่ายเดียวหรอก ร้างราจากรักแรกก็ยังมีรักใหม่ผ่านเข้ามาเรื่อย ๆ พอชโลมหัวใจให้ชุ่มชื่นขึ้นได้บ้าง แต่พวกเขาก็ล้วนแต่เป็นสายลมที่ผ่านมาแค่ทักทาย เกลี่ยซับน้ำตาที่อินทัชฝากไว้ให้จนเหือดแห้งจากบาดแผลเดิม แล้วลมก็พัดจากไป ก่อนสายลมระลอกใหม่จะหมุนเวียนผ่านเข้ามา เป็นแบบนี้มาเนิ่นนานจนหัวใจชาชินกับความไม่จีรังของรักในหัวใจคน

รถสปอร์ตสัญชาติยุโรปตบไฟเลี้ยวจอดลงข้างทางใกล้ ๆ ร้านก๋วยเตี๋ยวโต้รุ่ง ใจไม่นึกหิวเท่าไหร่ แค่อยากนั่งพักละเลียดบรรยากาศมองดูผู้คนสัญจรผ่านไปมายามค่ำคืนก็เท่านั้น รพินทร์สั่งก๋วยเตี๋ยวเสร็จ สายตาก็กวาดมองไปเรื่อย จนสะดุดกับเด็กหนุ่มใบหน้าอ่อนเยาว์รูปร่างผอมบางคนหนึ่ง ตรงฟุตปาธฝั่งตรงข้าม ร่างโปร่งสวมเสื้อยืดสีขาวคอกลม กางเกงขาสั้นลายพราง รองเท้าแตะคีบ นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กแบบพับได้ ในมือมีกระดาษวาดรูปรองอยู่บนกระดานวาด ใกล้กันเป็นผลงานตั้งโชว์อยู่บนขาตั้งเฟรมขนาดเล็กรูปหนึ่ง รพินทร์ชักสนใจขึ้นมาหน่อย ๆ คิดว่ากินก๋วยเตี๋ยวเสร็จเรียบร้อย แล้วหนุ่มน้อยยังไม่เก็บของกลับ ค่อยเดินไปถามดู

ก๋วยเตี๋ยวควันฉุยส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอวางปุลงตรงหน้า จังหวะเดียวกับที่รพินทร์หันไปเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นลงมือเก็บของลงกระเป๋าเป้ เป็นอันว่าชวดไป แต่ดูเหมือนโชคยังเข้าข้างเมื่อร่างผอมโปร่งหอบอุปกรณ์วิ่งเหยาะ ๆ ข้ามฝั่งตรงมาที่ร้านนี้พอดี จังหวะเหมาะที่โต๊ะทุกตัวเต็มหมด ยกเว้นโต๊ะที่รพินทร์นั่งเพียงโต๊ะเดียว เจ้าของร้านจึงพยักพเยิดให้หนุ่มนิรนามคนนั้นมานั่งโต๊ะเดียวกัน ใบหน้าขาวหมดจดยามเห็นใกล้ ๆ ค้อมศีรษะน้อย ๆ เป็นเชิงขออนุญาตร่วมโต๊ะด้วยก่อนหย่อนกายลงนั่งฝั่งตรงข้าม รพินทร์ส่งยิ้มบางให้ ลดจังหวะการกินให้ช้าลงเพื่อหาโอกาสคุย

“พี่เห็นน้องนั่งรับวาดรูปฝั่งโน้น วาดภาพเหมือนหรือวาดล้อเลียนครับ” รพินทร์เปิดฉากคุย ดวงตาคมของเด็กหนุ่มทอประกายวาบดูกระตือรือร้นขึ้นนิด ๆ ก่อนตอบ

“ผมรับวาดทั้งภาพเหมือนและภาพล้อเลียนครับ ถ้าพี่สนใจ ผมสตาร์ตที่ห้าร้อยบาทต่อภาพ ต่อราคาไม่รับ” น้ำเสียงฉาดฉานแจงรายละเอียดชัดเจนเสร็จสรรพ ตบท้ายด้วยรอยยิ้ม ดวงตาคมดำขลับภายใต้คิ้วเข้มจัดมีประกายไฟแห่งความมุ่งมั่น มั่นใจในตัวเองแต่ไม่ใช่อวดดี นับเป็นเสน่ห์สะกิดใจคนมองไม่น้อย รพินทร์ยิ้มตอบ เขาไม่คิดต่อราคางานศิลป์หรอก รู้ว่างานแบบนี้ต้องใช้ฝีมือละเมียดในการรังสรรค์ แล้วราคาที่เด็กหนุ่มตั้งก็ไม่ได้สูงอะไร ถ้าพอใจเสียอย่าง เท่าไหร่เขาก็พร้อมจ่าย ก๋วยเตี๋ยวที่เด็กหนุ่มสั่งเสิร์ฟลงตรงหน้าพอดี เจ้าของใบหน้าขาวหันไปตักพริกน้ำตาลปรุงเครื่องชิมรส ระหว่างนั้นรพินทร์จึงเอ่ยปากถาม

“ขอดูผลงานหน่อยได้ไหม” รพินทร์เลื่อนชามก๋วยเตี๋ยวที่กินหมดแล้วเยื้องไว้ด้านข้าง แล้วเลยไปหยิบทิชชู่ขึ้นซับปาก

“ได้ครับ” เด็กหนุ่มเอี้ยวตัวกุลีกุจอเปิดกระเป๋าเป้หยิบม้วนกระดาษออกมาคลี่ให้ รพินทร์รับมาดูแล้วอดทึ่งไม่ได้

“ฝีมือไม่เลว” เขาพึมพำขณะไล่สายตาดูลายเส้น มันทั้งอ่อนช้อยและมีพลังในตัวเอง แวบหนึ่งนึกถึงอินทัช รายนั้นมีพรสวรรค์เรื่องวาดรูป วัน ๆ เอาแต่ขลุกอยู่กับสีกับกระดาษมากกว่าสนใจตำเรียนที่ตัวเองเรียนเสียอีก ทั้งขาวดำ สีไม้ สีน้ำมัน มืออุ่นคู่นั้น...รังสรรค์ภาพได้งดงามเหมือนมีชีวิตจริง ๆ ตราตรึงในใจมาจนตอนนี้ แม้ว่าภาพแห่งรักระหว่างกันจะถูกระบายด้วยสีดำขมุกขมัว แต่มันก็เป็นสีดำที่อมตะตราตรึงในใจตลอดมา

“อืม พี่สนใจนะ แต่มันดึกแล้ว ปกติน้องมาแถวนี้ทุกวันหรือเปล่า” รพินทร์เลียบเคียงถาม เผื่อบางทีพรุ่งนี้เขาจะมา เด็กหนุ่มเงยหน้าจากชามก๋วยเตี๋ยวขึ้นตอบ

“พรุ่งนี้ผมว่าจะไปแถวสวนสาธารณะน่ะครับ จากตรงนี้ขับรถเลยไปอีกหน่อยจะมีป้ายบอกไว้ อ้อ ผมรับวาดปกนิยายด้วยนะพี่ พวกออกแบบลวดลายสกีนลงเสื้อ เคสมือถือ วาดด้วยเมาส์ปากกา เดี๋ยวเอาให้ดู” เด็กหนุ่มรูดซิปเปิดกระเป๋าเป้อีกรอบล้วงแท็บเล็ตออกมาเปิดแกลอรียื่นให้ดู ก่อนตัวเองจะลงมือกินก๋วยเตี๋ยวต่อ รพินทร์รับแท็บเล็ตมาเลื่อนดูผลงานทีละภาพ มีทั้งภาพขาวดำ การ์ตูนล้อเลียน ภาพคนลงสีไม้ ภาพวิวลงสีน้ำมัน อายุยังน้อยได้ขนาดนี้ อนาคตคงไปได้ไกลกว่านี้

“วาดเองหมดนี่เลยหรือ เก่งนะ อายุเท่านี้ ทำได้ขนาดนี้” รพินทร์ชมเปาะ ยอมรับว่าบางเรื่องก็เป็นพรสวรรค์เฉพาะบุคคลจริง ๆ ยิ่งบวกความเพียรพยายามขวนขวายเข้าไปอีก หนทางสำเร็จก็ยิ่งย่นระยะเข้ามา

“ผมได้ครูดีด้วยแหละพี่ พ่อบุญธรรมของผมท่านวาดรูปสวยมาก คอยสอนเทคนิควาดให้ผมตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ผมอยากหาทุนเข้ามหาวิทยาลัยด้วย เลยลองรับงานฝึกฝนฝีมือไปในตัว” เด็กหนุ่มกล่าวยิ้ม ๆ แววตาทอประกายภูมิใจยามเอ่ยถึงบิดาบุญธรรม รพินทร์นึกนิยมคนที่มีแววตายิ้มได้ตรงหน้าขึ้นมาหน่อย ๆ

“น้องชื่ออะไร” ถามพลางส่งแท็บเล็ตคืนให้ เด็กหนุ่มรับไปหย่อนลงกระเป๋าพลางตอบ

“เก้าครับ”

“โอเค เก้า ถ้าพรุ่งนี้พี่ว่างอาจแวะไปนะ ฝีมือเราถูกใจพี่อยู่ แต่คืนนี้ดึกแล้วไม่สะดวกแล้วละ พี่กลับก่อน เดี๋ยวลูกเป็นห่วง” รพินทร์ยิ้มให้พลางลุกไปจ่ายเงิน เขาเดินกลับไปที่รถด้วยความรู้สึกถูกชะตากับเด็กหนุ่ม ด้วยกลิ่นอายของอินทัชยังลอยอวลอยู่รอบกาย กลิ่นอายอุ่นหม่นปนเศร้า ความเจ็บปวดรวดร้าวทั้งหมดทั้งมวลก็ไม่สามารถลบเลือนความรักในใจ

ถ้าพรุ่งนี้ว่าง...ค่อยแวะมา



รถแล่นกลับเข้ามาในโรงจอด รพินทร์ดับเครื่องเดินขึ้นห้อง เมื่อผลักประตูก้าวเท้าเข้าไปในห้องก็ต้องชะงักกับดวงตาคู่สวยหม่นที่มองตรงมาเหมือนตั้งใจรอเขาอยู่ก่อนแล้ว รพินทร์อดแปลกใจไม่ได้ เพราะปกติแล้วลูกไม่เคยเข้ามาในห้องหากเขาไม่อยู่

 “น้องกานต์ยังไม่นอนอีกหรือลูก เป็นห่วงพ่อหรือไงถึงไม่ยอมนอน” รพินทร์ทิ้งกายลงนั่งข้าง ๆ มืออุ่นลูบศีรษะทุยทอดสายตาอ่อนโยนให้ลูก

“กานต์เพิ่งรู้จากป้าผอบ ทำไมพ่อไม่บอกกานต์เรื่อง...มะเร็งครับ” น้ำเสียงขาดห้วงแผ่วเบา ก่อนรพีกานต์จะแค่นคำพูดต่อจนจบประโยค ดวงตาสั่นระริกอย่างซ่อนความหวาดกลัวไม่มิด รพินทร์ชะงัก หดมือกลับ ดวงตาหลุบลงอย่างใช้ความคิดว่าจะอธิบายกับลูกยังไงให้รพีกานต์คลายความกังวลลง

“พ่อรู้ว่ากานต์กำลังรู้สึกยังไง ชีวิตคนเรามันไม่มีอะไรแน่นอนนะลูก มองในแง่ดี ถือว่าพ่อโชคดีที่บังเอิญตรวจเจอเสียก่อน พ่อยังมีโอกาสหายขาด บางคนกว่าจะรู้ก็ตอนสายไปแล้ว หรือคิดง่าย ๆ นะ พ่อตรวจเจอว่าป่วย ได้รู้ตัวก่อน ได้หาหนทางรักษา ยังมีเวลาอยู่กับคนที่รักได้ ในขณะที่บางคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุกะทันหัน ไม่มีแม้โอกาสจะล่ำลา เพราะอย่างนั้น น้องกานต์ต้องเข้มแข็งนะลูก ใช้เวลาที่มีให้คุ้มค่า อย่าเสียเวลาให้หมดไปกับน้ำตาเปล่า ๆ ทั้งกานต์ทั้งพ่อ เราต้องผ่านมันไปด้วยกัน” รพินทร์จับมือเรียวยิ้มอ่อนโยนปลอบประโลมหัวใจลูก เขาเตรียมใจเพื่อคุยกับรพีกานต์ไว้ตั้งแต่รู้ตัวว่าป่วยแล้ว

“แต่พ่อเป็นมะเร็ง กานต์กลัว” รพีกานต์หย่อนกายลงนั่งเสมอพื้น แขนเรียววาดกอดเอว หนุนศีรษะบนตักบุพการี เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

 “ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ไม่วันใดก็วันหนึ่งพ่อก็ต้องไปจากกานต์อยู่ดี อย่ายึดติดกับสิ่งที่รักจนเกินไป มันรังแต่จะทำให้เกิดทุกข์นะลูกนะ แล้วที่พ่อเป็นก็แค่มะเร็งระยะเริ่ม มีโอกาสหายขาด ตอนนี้พ่อเองก็รักษากับหมออยู่ พ่อไม่อยากให้กานต์เป็นกังวลจนเกินไป มันจะส่งผลต่อเจ้าเล็กในท้อง” รพินทร์ลูบเส้นผมนุ่ม เขาปล่อยสิ่งที่หนักอึ้งในใจออกไปมากแล้ว ที่เหลือก็เพียงความหวังที่จะได้เห็นลูกและหลานเติบโตอย่างมีความสุขเพียงเท่านั้น

“กานต์เป็นลูกที่ไม่ได้เรื่อง พ่อป่วยแล้วกานต์ยังนำปัญหาหนักใจมาให้พ่อ กานต์...กานต์” รพีกานต์เงยหน้า ดวงตาเว้าวอนไม่ต่างจากลูกกวางติดบ่วงแร้วร้องขอชีวิต รพินทร์ทาบมืออุ่นลงข้างแก้ม ทอดสายตาอ่อนมองคนที่กำลังจะสวมบทบาทเดียวกันกับเขาในอนาคต

“ให้ชีวิตมีอุปสรรคเสียบ้าง จะได้รู้จักแก้ไขปัญหาและรู้คุณค่าของชีวิต หยุดเสียใจ หยุดฟูมฟาย อนาคตกานต์จะต้องสวมบทบาทเดียวกันกับพ่อในตอนนี้” ดวงตาของรพินทร์จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของลูก ทอดลงสู่หัวใจที่กำลังอ่อนแอหวาดกลัว ปลุกปลอบให้เข้มแข็ง

“เพราะอย่างนั้น กานต์จะต้องเข้มแข็ง ใจเย็น มีสติมาก ๆ เจ็บไข้เป็นเรื่องธรรมดาของโลก อย่ามัวแต่ฟูมฟายกลัวการสูญเสีย แต่จงใช้เวลาที่ไม่รู้ว่าเหลืออยู่เท่าไหร่นี่ให้คุ้มค่าที่สุด เข้าใจที่พ่อพูดไหม ‘ว่าที่คุณพ่อ’” รพินทร์เตือนสติ เน้นย้ำในข้อความสุดท้ายให้ลูกระลึกในสถานะของตน รพีกานต์สูดลมหายใจลึก เข้าใจในสิ่งที่พ่อบอก มือเรียวกระพุ่มไหว้ลงแนบตักอย่างซาบซึ้ง

“สอบเสร็จแล้ว กานต์จะลาออกมาคอยดูแลพ่อนะครับ เราจะสู้ไปด้วยกัน พ่อหายกับกานต์คลอดน้องแล้ว เรื่องเรียนค่อยว่ากันอีกที”

“แล้วแต่กานต์เถอะลูก แค่เห็นกานต์เข้มแข็ง พ่อก็มีแรงใจสู้แล้วลูก” รพินทร์เชื่อใจลูก เลี้ยงมาเองกับมือ รู้ดีว่าลูกไม่ใช่เด็กเกเร อะไรที่ผิดพลาดผ่านมาแล้วก็ต้องปล่อยให้ผ่านไป

“ครับพ่อ เราจะสู้ไปด้วยกัน พ่อต้องเข้มแข็งนะครับ กานต์เองก็จะไม่อ่อนแอง่าย ๆ อีก” รพีกานต์ยิ้มด้วยดวงตาทอประกายสว่างไสว ยอมรับว่าก่อนหน้ารอบิดาด้วยหัวใจที่หนักอึ้งเต็มไปด้วยความทุกข์ กลุ้ม กังวล แต่ตอนนี้สบายใจขึ้นมาก

“สู้อยู่แล้ว พ่อยังอยากเลี้ยงหลานไปนาน ๆ” รพินทร์เอ่ยพลางวางมือทาบลงตรงหน้าท้อง นึกถึงอนาคตที่จะมีหลานเล็ก ๆ วิ่งเล่นให้สีสันแก่บ้าน เขาก็มีกำลังใจที่จะสู้ต่อแล้ว

“งั้นคืนนี้กานต์นอนกับพ่อนะครับ กานต์อยากอยู่ใกล้ ๆ พ่อ” เสียงใสออดอ้อน รพินทร์ส่ายหน้ายิ้มละไมอย่างเอ็นดู

“จะเป็นพ่อคนอยู่อีกไม่กี่เดือนแล้ว ยังขี้อ้อนเหมือนเดิมนะน้องกานต์ เอาเถอะ เดี๋ยวพ่อไปอาบน้ำก่อน แล้วค่อยกลับมาสวดมนต์ด้วยกัน” รพินทร์บีบแก้มนิ่ม ก่อนผลุบเข้าห้องน้ำไป กายเปล่าเปลือยยืนอยู่ตรงหน้ากระจก ยืนมองตนเองก่อนถอดวิกผมออก ยิ้มบางอย่างให้กำลังใจตนเองอีกหน แล้วรีบอาบน้ำ

รพีกานต์กำลังอ่านหนังสือตอนรพินทร์เปิดประตูออกจากห้องน้ำมา ดวงตาสวยตะลึงงันกับภาพไม่ชินตาของบิดาที่ผมร่วงจนโล้น ร่างเล็กรีบปิดหนังสือวางแล้วปรี่เข้าไปหาผู้เป็นบิดา

“พ่อเจ็บมากไหม มีอาการข้างเคียงยังไงบ้าง” น้ำเสียงสั่น สีหน้าหม่นเจือกังวลด้วยความหวาดกลัวในใจลึก ๆ

“แรก ๆ ที่ให้คีโมก็มีคลื่นไส้ อาเจียน แล้วก็ไม่อยากอาหาร เพลีย ๆ มีผลข้างเคียงตรงผมร่วงนี่แหละ ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว กินได้ปกติ พ่อออกกำลังกายแล้วก็นั่งสมาธิก่อนนอนทุกคืน กานต์อย่าคิดมาก เดี๋ยวก็หายนะครับ” รพินทร์บอกลูกให้คลายกังวล ไม่อยากให้คนกำลังท้องกำลังไส้คิดอะไรมาก

“กานต์รักพ่อนะครับ” รพีกานต์โผกอดซบหน้ากับบ่าอุ่น หวาดกลัวเต็มกำลัง กลัว...กับการเปลี่ยนแปลง

“พ่อรู้ รักพ่อแล้วก็ต้องรักตัวเอง มา ๆ สวดมนต์นั่งสมาธิกันดีกว่า กานต์กำลังท้อง ทำใจให้สบาย ลูกจะได้แข็งแรง”


รพีกานต์ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเบาใจกว่าทุกวันเมื่อยกภูเขาออกจากอกได้แล้ว หลังจากสารภาพเรื่องราวที่เก็บงำเอาไว้ให้บิดาได้รับรู้ และบุพการีผู้มีหัวใจประเสริฐก็ไม่ได้ตำหนิซ้ำเติมอันใดให้เจ็บช้ำน้ำใจกว่าเดิม รพีกานต์ยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความซาบซึ้ง ในความโชคร้ายที่ถูกนำมาทิ้งข้างถังขยะตั้งแต่ลืมตาดูโลก กลับพลิกผันให้ชีวิตได้พบเจอบุคคลผู้มีน้ำใจประเสริฐกว้างใหญ่กว่าห้วงมหรรณพ

ทว่าเมื่อเหลียวมองบุพการีที่ยังคงหลับสนิทข้างกาย เส้นผมดำขลับเงางามที่เคยปกคลุมศีรษะ บัดนี้ได้อันตรธานหายไปด้วยโรคร้ายก็อดรู้สึกใจเสียขึ้นมาไม่ได้ ทั้งชีวิตตั้งแต่เล็กจนโตรพีกานต์มีบิดาเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นพระโพธิสัตว์ในบ้าน ที่อบรมเลี้ยงดูสั่งสอนเขามาด้วยความรัก ความเมตตากรุณา พระคุณมากมายอย่างไม่มีใครเทียบ หากเจ็บแทนได้ รพีกานต์ก็ยินดีจะเจ็บแทนอย่างไม่บิดพลิ้ว น้ำตาไหลยามร่างเล็กก้มลงกราบรพินทร์ที่แทบเท้า ภาวนาขอคุณงามความดีที่ทำมาตลอดทั้งชีวิตปกปักษ์รักษาให้ผู้มีพระคุณรอดพ้นจากเภทภัย

“พ่อจ๋า ถ้าเจ็บแทนได้ ขอให้กานต์ได้เจ็บแทน” ศีรษะทุยซบอยู่ที่เท้าบิดา มือลูบหน้าท้องแบนราบของตนพลางรำพึง

“กานต์จะเลี้ยงลูกของกานต์ได้ดีเท่าที่พ่อเลี้ยงกานต์ไหม”

“กานต์ ทำอะไรน่ะลูก” รพินทร์สะดุ้งตื่นเมื่อรู้สึกถึงบางอย่างกำลังขยับหยุกหยิกอยู่แถวฝ่าเท้าจนต้องหดเท้าหนี สายตาหลุบต่ำมองบุตรชายกำลังซบอยู่ที่เท้าก็ให้นึกแปลกใจ

“กานต์กำลังคิดว่า กานต์จะเลี้ยงลูกของกานต์ได้ดีเท่าที่พ่อเลี้ยงกานต์มาไหม” รพีกานต์ตอบตามใจคิด รพินทร์ยิ้มอ่อนโยนยันกายลุกขึ้นนั่งเอ่ยบอกแก่ลูก

“จริงอยู่พ่อแม่เลี้ยงได้แต่ตัว แต่เด็กก็เหมือนผ้าสีขาว เหมือนแก้วเปล่า ๆ ใบหนึ่ง กานต์เติมอะไรลงไป ข้างในเนื้อแท้ก็คงจะไม่ผิดจากนั้นนักหรอก” ฝ่ามืออุ่นทาบลงบนใบหน้าขาวสะอ้าน ดวงตาเมตตาทอดมองลูกชายทอประกายอ่อนโยนกรุณา

“พอลูกของกานต์โตขึ้นแล้วออกไปเผชิญโลกภายนอก การแสดงออกก็จะมาจากสภาพแวดล้อมที่โตมานั่นแหละ วิธีสอนที่ดีที่สุด คือทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง ทำดีก็ชื่นชม ผิดก็ต้องตักเตือน” รพินทร์บอกตามที่ตนเองเลี้ยงลูกมา ตอนนั้นเขาเพิ่งเรียนจบปริญญาตรี กลับจากไปมหาวิทยาลัยวันสุดท้าย ยังไม่ทันได้รับปริญญาเสียด้วยซ้ำ จู่ ๆ ก็แจ็กพ็อตได้เจ้าตัวเล็กมาเลี้ยงดูแบบไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจ จำได้ว่าหาซื้อหนังสือคู่มือการเลี้ยงลูกมาหลายเล่ม สุดท้ายทารกเลี้ยงยากกว่าที่คิดมาก จนต้องพากลับบ้านไปให้มารดากับแม่นมช่วยสอนวิธีดูแลทุกอย่าง รวมถึงตัวเขาเองที่ตระหนกซึ้งในพระคุณของบุพการี

“กานต์เข้าใจแล้วครับ”

“เข้าใจแล้วก็ไปล้างหน้าเตรียมตัวใส่บาตรได้แล้ว”




ต่อด้านล่าง :katai5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๘)(P.๖)(๑๒/๑๑/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 12-11-2016 01:23:44
๑๘ (ต่อ)

เช้าตรู่ตอนรุ่งสางอากาศเย็นสดชื่น สมาชิกบ้านบวรกิตติ์วิวัฒน์ออกมาตั้งโต๊ะเตรียมตักบาตรกันพร้อมหน้า หนูฉายสิริตัวน้อยถูกยายจับหวีผมเรียบแปล้ผัดแป้งแก้มนวลอ่อง ยืนข้างกายคุณรพินทร์เฉกเช่นทุกวัน น่ารักน่าชังจนพี่กานต์อดหอมแก้มนิ่มเข้าให้ไม่ได้ พ่อหนูถูกฝึกให้ตื่นมาอาบน้ำแต่เช้ามืดก่อนตักบาตร เรียบร้อยแล้วจึงมาช่วยยายยกของไปตั้งโต๊ะรอคุณ ๆ ข้างบน ปกติคุณรพินทร์จะลงมาช่วยกันทำ แต่วันนี้ยังไม่เห็นลงมา ยายวางใจให้หลานตัวเล็กถือแค่ถาดวางดอกบัว ดอกดาวเรืองเดินตามไปก่อน อย่างอื่นยังไม่วางใจ กลัวจะหกคว่ำคะมำหงายเสียของก่อนจะได้ตักบาตร

สายลมรุ่งอรุณพัดพายไอเย็นต้องผิวแก้มผะแผ่ว พระสงฆ์เดินเรียงรายเป็นแถวตอนลึกมาตามถนนท่าทีสงบเป็นบรรยากาศยามเช้าที่จับใจนัก ท้ายแถวรั้งท้ายด้วยสองหนุ่มหล่อคนคุ้นเคย หนึ่งในนั้นคือหนุ่มหน้ามนคนคุ้นตากว่าใคร...ณัฐธีร์

พี่ชายคนดีกระตือรือร้นส่งยิ้มกว้างขวางให้น้องน้อยมาแต่ไกลทั้งที่อยู่รั้งท้าย ถ้าไม่ติดว่าเดินตามหลวงตาอยู่คงจะแล่นนำมาก่อน รพีกานต์หลุดหัวเราะคิกก่อนส่งยิ้มคืนให้ เผื่อแผ่ไปที่อัศม์เดชรุ่นพี่หน้าคมด้วยอีกคน ขณะมือจับทัพพีเตรียมตักข้าวในโถ

“นิมนต์ครับหลวงตา” รพินทร์ประนมมือไหว้พร้อมคนอื่น ๆ

“ไม่เจอกันนาน สบายดีหรือโยมกานต์” หลวงตาที่คุ้นเคยกันดีเอ่ยทักทายขณะหยุดยืนตรงหน้ามือเปิดฝาบาตร

“สบายดีครับหลวงตา แล้วหลวงตาล่ะครับ เป็นยังไงบ้าง” รพีกานต์ยิ้มตอบ มือจับทัพพีคดข้าวในโถ ลูกศิษย์ก้นกุฏิตัวดีรีบแล่นมายืนเคียงข้าง มือทาบซ้อนกับมือน้องน้อยจับทัพพีตักข้าวใส่บาตร โดยตนเองยอมจับต่ำกว่านิดหน่อย ไม่ต่างจากคู่บ่าวสาวตอนแต่งงานซึ่งจะทำบุญตักบาตรร่วมกัน รพีกานต์งวยงงเหลือบตาขึ้นมองพี่ชายที่ท่าทีแปลกกว่าทุกทีก็ได้รับคำตอบเป็นรอยยิ้มแต้  ก็แหงละ ได้จับมือนุ่มตักบาตรร่วมกัน ณัฐธีร์มีหรือจะไม่รู้สึกปลื้มปริ่มเป็นที่สุด

“ก็สบายดีตามอัตภาพแหละโยม” หลวงตารู้แกวลูกศิษย์เหลือบสายตาขึ้นมองเจ้าตัวดี เดินตามดี ๆ พอถึงบ้านนี้ เจ้าณัฐก็รีบแล่นมาจับทัพพีอันเดียวกันกับลูกชายเจ้าของบ้านตักข้าวใส่บาตรหน้าตาเฉย ณัฐธีร์ฉีกยิ้มแหยเป็นน้องหมาหูลู่ช่างประจบให้หลวงตาที่รู้ทันความคิด ศิษย์ก้นกุฏิรุ่นพี่ถึงกับส่ายหน้ายิ้ม ๆ อย่างรับไม่ได้

“ไม่ค่อยเท่าไหร่เลยนะไอ้หมาวัด” อัศม์เดชอดสัพยอกให้ไม่ได้ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นเจ้าณัฐธีร์เคยมีทีท่าว่าจะสนใจใคร จู่ ๆ คนที่นับถือกันมาเหมือนพี่น้องแท้ๆ ดันมาสารภาพว่าแอบรักคนใกล้ตัว แอบเสี้ยวไส้กลัวคุณรพินทร์จะเพ่นกบาลอยู่นาน

“นิดหน่อยพี่ แหะ ๆ” ณัฐธีร์บอกทั้งลูบท้ายทอยแก้เก้อ รอยยิ้มบานเต็มหน้า สายตากรุ้มกริ่มเหลือบมองร่างโปร่งที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ มือสาละวนหยิบกับข้าวเครื่องคาวหวานหย่อนใส่บาตร รพีกานต์สงสัยสิ่งที่พี่เดชกับพี่ณัฐคุยกันอยู่เหมือนกัน แต่คงไม่เหมาะที่จะเอ่ยปากถามตอนนี้ จึงหยิบอาหารใส่บาตรเงียบ ๆ ซึ่งพี่ชายคนดีก็ขะมักเขม้นช่วยเป็นอย่างดี น้องจับถุงไหนพี่ชายก็จะจับถุงเดียวกันหย่อนลงบาตร น้องเหลือบมอง พี่ก็ยิ้มให้ เสร็จสรรพก็ร่วมกรวดน้ำรับพรข้างรพีกานต์อีกต่างหาก หลวงตาส่ายหัวกับความพยายามของเจ้าหมาวัด รพีกานต์อาจไม่รู้ความหมายที่ณัฐธีร์กระทำ แต่คุณรพินทร์รู้แน่ ๆ ทุกคนรอบกายดูออก เว้นก็แต่รพีกานต์กับหนูตะวันตัวน้อยนี่แหละนะ หลวงตาให้พรเสร็จก็สำทับต่ออีกว่า

“ทองแท้ย่อมไม่แพ้ไฟพาน ยึดมั่นในความดีไว้เถิดโยม ความดีจะเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตของทั้งพ่อและลูก” ฟังถึงตรงนี้ รพีกานต์อดตงิดในใจไม่ได้ว่าหลวงตาหมายถึงเขากับลูกในท้อง หรือเขากับบิดากันแน่ ดวงตาของหลวงตาลึกซึ้งเหมือนหยั่งรู้อย่างบอกไม่ถูก

“ครับ หลวงตา” รพีกานต์ประนมมือไหว้ ก่อนลดมือลงลูบท้องเบา ๆ หันไปถามสิ่งที่ยังคาใจกับพี่ชาย

“เมื่อกี้พี่ณัฐจับทัพพีเดียวกับกานต์ทำไมหรือครับ ปกติพี่จะเดินตามหลวงตามาเฉย ๆ นี่นา”

“พี่อยากทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขันกับกานต์ไง”

“มันแถน่ะสิ ไอ้ที่จับแบบเจ้าณัฐมันจับนั่น เจ้าบ่าวเจ้าสาวเขาทำกันตอนแต่งงาน ยอมจับต่ำกว่าให้กานต์ใช้งานมันได้เต็มที่ ลงทุนขนาด” อัศม์เดชดักคอ ก่อนผินหน้า ออกเดินตามหลวงตา รพีกานต์ยืนอึ้งคิดไม่ถึง ก่อนสีระเรื่อจะลามทั่วแก้มร้อนผ่าว ณัฐธีร์เองก็เขินไม่น้อย มือหนาหยิบบางอย่างในกระเป๋าเสื้อออกมาพลางจับมือบางมารับของในมือ พวงมาลัยดอกพิกุลเจ้าเก่า พี่ชายทาบมือลงสำทับเอ่ยให้คำมั่นเป็นมั่นเหมาะ

“พี่สัญญาว่าอนาคต จะให้กานต์กับลูกมากกว่านี้นะครับ” บอกก่อนผละไป รพีกานต์มองตามแผ่นหลังกว้างด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก มือยกพวงมาลัยขึ้นดู แหวนทองคำเกลี้ยง ๆ วงน้อยร้อยแทรกอยู่กับพวงมาลัยดอกพิกุล สำหรับคนมี ราคาค่างวดอาจจะไม่มาก แต่สำหรับคนที่ต้องขวนขวายทุกทางอย่างณัฐธีร์ มันไม่น้อยเลย...

ความรู้สึกบางอย่างแล่นริ้วจุกตื้อลำคอ มือข้างที่ว่างกำสิ่งที่ห้อยอยู่กับสร้อยพรางอยู่ข้างในเสื้อ แหวนเพชรวงสวยยังร้อยอยู่กับสายสร้อยคล้องบนคอใกล้หัวใจ...

แหวนทองวงน้อยกับแหวนเพชรวงงาม
หนึ่งรักที่ให้เรามา กับอีกรักหนึ่งที่เราให้เขาไป
เลือกวงไหน หัวใจก็เจ็บ

“กานต์” รพินทร์เรียกลูกชายเมื่อเห็นแววตาสับสน ดวงตาสั่นระริกหันมาทางบิดาตามคำเรียก

“พี่ณัฐเป็นคนดีครับพ่อ ใครได้เป็นแฟน ต้องโชคดีมากแน่ ๆ” บอกทั้งสายตามองแหวนวงน้อย ตอนนี้ทองคำบาทละเท่าไหร่แล้วหนอ ที่พี่เจียดมาซื้อให้กัน

“แล้วกานต์ไม่อยากเป็นคนโชคดีคนนั้นบ้างหรือลูก” รพินทร์ถามเพราะเห็นณัฐธีร์มาแต่เล็กแต่น้อย รู้นิสัยใจคอ น้ำใจอีกฝ่ายดี

“กานต์...” คำพูดแผ่วหายขณะสายตาหลุบมองที่ท้องตัว รพีกานต์ทำผิดต่อพี่ณัฐเหลือเกิน กระนั้นแล้วหัวใจที่ขบถต่อพี่ณัฐได้ กลับไม่ยอมทรยศต่อพี่วิน

“เก็บของเข้าบ้านกันดีกว่าเนอะ” รพินทร์เบี่ยงประเด็นไม่อยากให้ลูกต้องคิดมาก รพีกานต์นำน้ำที่เพิ่งกรวดไปเทรดต้นไม้ เห็นพุ่มดอกเข็มแล้วนึกอดีต เสียงเล็ก ๆ ในหัวกระซิบย้อนวัยเด็กในวันวาน

“พี่ณัฐ ๆ มาแข่งกัน ! ใครจะเจอดอกเข็มหกกลีบมากกว่า คนนั้นชนะ!” เสียงใสร้องท้าเย้ว ๆ ขณะเจ้าตัวกระโดดตุบไปยืนจังก้าอยู่หน้าพุ่มเข็มแดง สายตาซุกซนเริ่มสอดส่ายมองหาเป้าหมายทันที เหอะ พี่ณัฐต้วมเตี้ยมไม่ทันน้องกานต์ร้อก พูดแล้วจะหาว่าคุย ว่าแต่ถ้าชนะจะให้ทำอะไรดีน้า สมองคิดเรื่องซุกซน สายตาก็มองหาดอกเข็มหกกลีบอย่างมุ่งมั่น ก่อนจะถูกสะกิดเบา ๆ ให้หันมา

“กานต์ลองชิมน้ำหวานจากดอกเข็มซี” ณัฐธีร์บอกพลางเด็ดดอกเข็มออกมาดอกหนึ่ง มือดึงเกสรตรงกลางออกแล้วดูดน้ำหวานให้น้องดู

“ว้าน หวาน” ตัวแสบแอบกลืนน้ำลาย เห็นพี่ทำก็ทำตาม ปรากฏว่าหวานอย่างที่พี่ณัฐบอกจริง ๆ ด้วย!

“หวานจัง”

“ลองชิมนี่ดู” ณัฐธีร์เด็ดผลแก่สีดำของเข็มขาวส่งให้ รพีกานต์รับมาชิมรสชาติหวาน ๆ ฝาด ๆ

“ไม่อร่อยเท่าไหร่ ชอบน้ำจากเกสรมากกว่า” คนตัวเล็กว่าอย่างนั้น แล้วก็เริ่มดึงดอกเข็มมาดูดน้ำหวานเล่น ลืมที่ร้องท้าเอาไว้ก่อนหน้า พี่ชายคนดีเลยลงมือหาดอกเข็มหกกลีบอย่างใจเย็น

“พี่ได้ดอกเข็มหกกลีบหลายดอกแล้วนะ กานต์ได้กี่ดอกแล้ว”

“ฮือ กานต์ยังไม่ได้หาเลย พี่ณัฐหลอกกานต์ กานต์จะฟ้องหลวงตา!” ตัวแสบทำหน้าบู้บี้อย่างน่ารักน่าชัง

“โอ๋ อย่างอแงนะ เดี๋ยวพี่ทำกำไลให้” บอกแล้วรีบเอาดอกเข็มมาเสียบใส่ลงในช่องเล็ก ๆ ต่อกันหลาย ๆ ดอกจนได้กำไลคล้องมือเล็ก น้องน้อยถึงได้เปลี่ยนเป็นยิ้มแฉ่ง เป็นอันว่าคนชนะก็ต้องยอมลงให้คนแพ้จอมงอแงอยู่ดี



นึกถึงแล้วก็หัวเราะคิก อดที่จะดึงดอกเข็มขึ้นมาดูดน้ำหวานไม่ได้

แหวนทองกับแหวนเพชร
แหวนเพชรเพิ่งถอดออก กับ แหวนทองที่ยังไม่ได้สวมเข้าไป...
เวลาคงจะให้คำตอบได้สักวัน



“สวนสาธารณะข้างหน้านั่นหรือเปล่าครับพ่อ” รพีกานต์เอี้ยวตัวมาถามคนนั่งเบาะหลัง บ่ายคล้อยณัฐธีร์รับหน้าที่สารถีขับรถพาสองพ่อลูกมาพักผ่อนหย่อนใจในสวนสาธารณะ ตามที่รพินทร์บอกเล่าเก้าสิบเรื่องเจอเด็กหนุ่มวาดรูปฝีมือดีมากจนอยากได้ภาพตัวเองสักภาพ ทั้งหมดจึงถือโอกาสเตรียมของกินมาปิกนิกไปในตัว น้องน้อยดูกระดากกระเดื่องตอนสบตากันนิดหน่อย แหวนทองวงน้อยยังไม่ได้สวมติดนิ้ว แต่ไม่เป็นไร แค่ไม่ถูกส่งคืน เขาก็จะไม่ยอมถอดใจ

รถเลี้ยวเข้ามาจอดลานจอดรถใต้ร่มไม้ วันหยุดผู้คนมาพักผ่อนหย่อนใจหนาตา รพินทร์เปิดประตูลงจากรถกวาดสายตามองหา รพีกานต์เองก็ช่วยมองทั้งที่ไม่รู้ว่าคนไหน แต่คิดว่าคงเจอไม่ยาก คนไหนนั่งอยู่กับเฟรมวาดรูปก็คนนั้น แล้วคนตาไวก็ร้องถามพร้อมชี้มือไปยังเป้าสายตา

“คนนั้นใช่ไหมครับพ่อ” รพินทร์หันขวับมองตามก่อนพยักหน้าหงึกหงัก

“ใช่ คนนั้นแหละ”

“ว้าว หน้าใสมาก หล่อมากด้วยแฮะ” รพีกานต์พูดตามที่เห็นยังผลให้คนบางคนหูผึ่ง รีบเลื่อนตัวเองมายืนใกล้ ๆ รพินทร์เดินเข้าไปทัก ส่วนรพีกานต์และณัฐธีร์ช่วยกันถือของเดินตามไป

“ไงน้อง ลูกค้าเยอะไหม”

“พอได้ครับพี่ นี่ผมก็เพิ่งพักมือ พี่สนใจไหม ถ้าสนใจ เดี๋ยวผมเริ่มให้เลย” ‘เก้า’ หรือ ‘อิษวัต’ บอกอย่างกระตือรือร้น

“พักกินอะไรก่อน นี่พี่กับลูกทำแซนวิชมาเผื่อเราด้วย รพินทร์บุ้ยไปทางรพีกานต์กับณัฐธีร์ที่กำลังปูเสื่อใกล้ ๆ คนทั้งคู่ยิ้มเป็นมิตรให้ แซนวิชถูกยื่นมาตรงหน้า แต่อิษวิตซึ่งไม่คุ้นชินกับความใจดีของคนแปลกหน้าสั่นหน้าปฏิเสธ

“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมมีของผมแล้วครับ ขอบคุณมากนะครับ” เด็กหนุ่มปฏิเสธ ภายนอกเขาดูเหมือนคนเข้าถึงง่ายแต่เอาเข้าจริงอิษวัตไม่ใช่คนที่ไว้ใจใครง่าย ๆ และไม่ยอมรับความใจดีของใครพร่ำเพรื่อ เลือกตัดรอนเสียแต่เนิ่น ๆ สร้างกำแพงให้ตัวเองกลาย ๆ เขาเป็นแบบนี้นับแต่สูญเสียทุกอย่าง รพินทร์ไม่คะยั้นคะยอเมื่อถูกปฏิเสธ เขาเคารพในการตัดสินใจของอีกฝ่าย อย่างไรเสียก็มีสารกันบูดมาด้วย น้องกานต์ช่วงนี้ดูจะกินเก่งกว่าเดิมมาก

“พี่เป็นมะเร็งน่ะ เลยอยากให้น้องวาดรูปพี่ช่วงนี้ให้หน่อย” รพินทร์ถอดผมปลอมออก เผยศีรษะไร้เส้นผมตรงหน้าศิลปิรหนุ่ม อิษวัตนิ่งไป เด็กหนุ่มมองเจ้าของรอยยิ้มบางด้วยความรู้สึกตกใจแกมประหลาดใจ รพินทร์ดูสบาย ๆ ไม่ทุกข์ร้อน คนมาด้วยดูจะกังวลมากกว่าเสียอีกเมื่อเอ่ยถึงมะเร็ง

ลายเส้นจากปลายดินสอลากเชื่อมต่อกันเป็นรูปร่างคร่าว ๆ คนป่วยสีหน้าแช่มชื่นอย่างไม่อยากเชื่อว่ากำลังป่วย เหมือนกับว่าไม่ได้รู้สึกกังวลกลัวอะไรเลยด้วยซ้ำ

“พี่ดูสบาย ๆ นะครับ กลัวไหม ถามจริง ๆ”

“ไอ้กลัวน่ะไม่กลัวหรอก ใครบ้างเกิดมาไม่ตาย ช้าเร็วตายกันทุกคน พี่ห่วงลูกชายพี่มากกว่า ยังอยากอยู่กับลูกนาน ๆ อยากเห็นหน้าหลาน เลยพยายามคิดดีเข้าไว้ จิตใจจะได้ไม่หดหู่” รพินทร์บอกขณะเหลือบมองลูก สายตาเปี่ยมด้วยความรักสุดหัวใจ รพีกานต์ขยับมากุมมือบิดา กระชับมือบางเป็นกำลังใจให้กันและกัน ว่าจากนี้จะร่วมผ่านมันไปด้วยกัน

ศิลปินหนุ่มเห็นแล้วอดสะท้อนใจลึก ๆ ไม่ได้ ดวงตาเหลือบมองท้องฟ้าโปร่ง คนบนฟ้าคงกำลังมองลงมาที่เขา ไกลสุดเอื้อมมือ หนาวลมห่มใจด้วยไอเหงา วันคืนเสียดแทงความรู้สึกจนด้านชา



   1 เดือนต่อมา

“สอบเสร็จแล้วกานต์จะลาออกจริง ๆ หรือ” ณัฐธีร์เปิดฉากถามขึ้นหลังทั้งคู่หย่อนกายลงนั่งในร้านอาหารแห่งหนึ่ง สั่งอาหารเสร็จแล้วระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ ชายหนุ่มจึงเปิดปากถาม

“พี่ณัฐ กานต์คิดดีแล้ว กานต์อยากดูแลพ่อ อยากอยู่กับพ่อ คลอดแล้วกานต์อยากให้นมลูกเอง กานต์ก่อเรื่องขึ้น จะให้คลอดแล้วทิ้งลูกให้พ่อเลี้ยงให้ กานต์รู้สึกไม่ดีเลย หยุดเรียนเลี้ยงลูกเองซักสองปีค่อยสมัครสอบใหม่ กานต์คิดว่าอย่างนั้นดีกว่า” รพีกานต์ตัดสินใจแน่วแน่ หัวใจไพล่นึกถึงคนใจร้าย น้อยใจลึก ๆ ที่เขาไม่ได้มาร่วมรับรู้ แต่อีกใจก็คิดว่าดีแล้ว

“เอาเถอะ ทำตามที่กานต์สบายใจนะครับ” ณัฐธีร์ยิ้มให้กำลังใจ รพีกานต์ตัดสินใจเช่นไรเขาก็พร้อมเคียงข้างเสมอ สายตาคมเหลือบไปเห็นเพื่อนต่างคณะเดินเข้าร้านมาคนเดียว จึงไม่รอช้าที่จะร้องทัก

“อ้าวฉาย มาคนเดียวหรือ นั่งด้วยกันไหม” ‘ฉาย’ หรือ ‘ฉายฉาน’ หนุ่มฮอตดีกรีอดีตเดือนคณะรัฐศาสตร์ปีสาม ตอบรับคำชวนเดินตรงมายังโต๊ะของทั้งคู่ ณัฐธีร์ขยับไปนั่งฝั่งเดียวกับรพีกานต์ น้องน้อยคุ้นหน้าคุ้นตาอีกฝ่ายอยู่บ้างจากความฮอตปรอทแตกในเพจคิวท์บอยของมหาวิทยาลัย ที่พาเอาเพื่อน ๆ ของรพีกานต์พากันเคลิ้มไปมากมาย ทั้งหล่อทั้งใจดีจนน่าแปลกที่วันนี้มากินข้าวคนเดียวได้

“ไม่ได้เจอกันเลย เป็นไงบ้าง” ฉายฉานทักอย่างคุ้นเคยประสาคนเล่นกีฬาด้วยกัน

“ก็ดี สอบเสร็จก็โล่งละ ลุ้นอีกทีตอนเกรดออก เออ เดี๋ยวขอเราไปห้องน้ำหน่อย ฉายคุยกับกานต์ไปก่อนนะ” ณัฐธีร์ลุกจากเก้าอี้เพราะรู้สึกปวดท้อง หนุ่มหล่อจึงหันมายิ้มกับรุ่นน้องหน้าใสแทน จากตำแหน่งที่นั่งเมื่อณัฐธีร์ไม่อยู่ จึงกลายเป็นทั้งคู่นั่งตรงข้ามเสมือนว่ามาด้วยกัน ซึ่งนั่นทำให้ใครคนหนึ่งที่กำลังจะเดินออกจากร้านชะงักทันทีที่เห็น

‘ฉายฉาน’ หนุ่มฮอตที่มีทุกอย่างเทียบเท่าเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ฐานะ ชาติตระกูล แถมอีกฝ่ายดีโดยเนื้อแท้ ไม่ได้ดีสร้างภาพแบบเขา อัครวินท์กัดฟันกรอด ภาพที่เห็นคือทั้งคู่กำลังปรึกษากันสั่งอาหาร ภาพที่มองด้วยอคติจึงดูเหมือนคู่รัก

“ฮึ หลุดจากกูได้ ก็รีบคว้าคนใหม่ได้เร็วเชียวนะ” น้ำเสียงงึมงำไม่พอใจขึ้นจมูก ความเป็นฉายฉานทำให้อัครวินท์คุกรุ่นลึก ๆ สายตาคมกริบหรี่มองร่างเล็กที่ดูจะสุขสมเสียเหลือเกิน

ทางฝั่งรพีกานต์ ร่างเล็กยื่นเมนูให้พี่ฉายฉานสั่งอาหาร หนุ่มหล่อยิ้มสุภาพฉายแววใจดีให้ พี่ฉายฉานหล่อทั้งหน้าและนิสัย ไม่แปลกที่คนจะนิยมชมชอบเยอะ เรียกว่าไอดอลตัวจริงเสียงจริง รพีกานต์คุยกับคนหล่อใจดีโดยไม่รู้เลยว่า ใครอีกคนมองจนตาลุกก่อนกระฟัดกระเฟียดออกจากร้านไป
 


 :katai5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๘)(P.๖)(๑๒/๑๑/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: ipookza ที่ 12-11-2016 07:19:07
มาต่อแล้ว สนุกมากๆคะ สงสารรพินทร์ อยากให้รพินทร์หายป่วยแล้วเจอคนเยียวยาหัวใจจัง น้องกานต์ก็ขอให้เข้มแข็งหนักแน่น เจอคนดีทำให้อิพี่มันทรมาร โดยการมีคนดีมารักเยอะๆ สนุกมากๆคะ ยังไงก็มาต่ออีกเร็วๆนะคะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๘)(P.๖)(๑๒/๑๑/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 12-11-2016 13:42:50
อาวอีกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๘)(P.๖)(๑๒/๑๑/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 12-11-2016 13:57:12
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๘)(P.๖)(๑๒/๑๑/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 12-11-2016 15:27:09
กรีีดด... กลับมาแล้ว ดีใจ

 o13

เก้านี่ก็คงลูกเลี้ยงอินทัชสินะ

น่าสนใจ ชอบ พี่ณัฐ กับ น้องเก้านี่แหละ

อิตาวินโผล่มานิดเดียวก็เกลียดมันแล้ว

 :katai4:    ไม่น่าโผล่มา

นี่พระเอกจริงๆหรอ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๘)(P.๖)(๑๒/๑๑/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 12-11-2016 20:01:21
คุณพ่อ น้องกานต์สู้ๆค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๘)(P.๖)(๑๒/๑๑/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: threetanz ที่ 13-11-2016 15:07:35
เพิ่งมาอ่านครั้งแรก ประทับใจคุณพ่อรพินทร์ กับรพีกานต์มากค่ะ

ดีงานทั้งภายนอกและภายใน ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆ มาให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๘)(P.๖)(๑๒/๑๑/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Frankdar ที่ 13-11-2016 16:52:56
น้องการนต์เมื่อไหร่จะทันคน  อีพี่วินก็ไม่เคยมองเค้าในแง่ดี จิตใจทำด้วยอะไร  :katai1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๘)(P.๖)(๑๒/๑๑/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 27-11-2016 19:13:23
ดีใจมาก x ล้านเลยยย มาอัพแล้ว
สงสารคุณพ่อ ;_(
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๘)(P.๖)(๑๒/๑๑/๕๙)
เริ่มหัวข้อโดย: Peung002 ที่ 02-12-2016 00:34:52
เพิ่งมีโอกาสได้อ่านเรื่องนี้ค่ะ
รพินทร์ เป็นคนดีและมีสติที่สุดในเรื่องค่ะ คุณคนเขียนอย่าให้รพินทร์เป็นอะไรง่ายๆนะคะ
พี่ชายของน้องน้อย เทพบุตรมาจุติชัดๆ รักแบบไม่มีข้อแม้จริงๆ ตอนนี้ไม่สมหวัง แต่ในอนาคตหวังว่าพี่ชายจะสมหวังในความรักนะคะ
กานต์ ไข่ในหินของรพินทร์ หวังว่าที่ผ่านมาจะเป็นบทเรียนนะคะ เพราะหลงตัวเดียวแท้ๆเชียว
พี่วินทร์ พี่เป็นคนเลวโดยเนื้อแท้ค่ะ เราหวังแต่ว่าพี่จะไม่เป็นพระเอกเรื่องนี้ เพราะเราเชื่อว่าพี่ไม่มีทางกลับใจได้ค่ะ
 :hao3:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๙)(P.๗)(๒๔/๐๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 24-01-2017 16:26:07
เสน่หา...รักเอย ๑๙

 
'ใช่ว่ารัก แล้วจัก ได้รักตอบ
ใช่ว่าชอบ แล้วได้ชอบ ตอบไฉน
ใช่ว่าหวง แล้วเขา จะห่วงใย
ใช่ทุ่มรัก มากมาย ได้รักคืน !'
by มญุชุ์สิตางศุ์


อัครวินท์พลิกตัวกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงด้วยความหงุดหงิด ดึกสงัดล่วงเลยเวลาค่อนคืนมานานแล้วแต่เขากลับยังไม่รู้สึกง่วงสักนิด ภาพบางอย่างยังคอยสะกิดอารมณ์ขุ่นมัวของเขาไม่หยุดหย่อน ภาพรอยยิ้มสดใสของรพีกานต์กับคนอื่น... รอยยิ้มกระจ่างใสที่เคยสะกดหัวใจของเขาไขว้เขวมาแล้ว และตอนนี้รอยยิ้มน่ารักแสนน่าชังนั่นก็กำลังจะร่ายมนตร์สะกดคนอื่นต่อ

‘ฉายฉาน’

บุตรชายนักการทูตอนาคตไกล โปรไฟล์ดีทัดเทียมกับเขาทุกอย่าง แถมอีกฝ่ายดีทั้งหน้าตาและนิสัย แค่นึกภาพคนทั้งคู่ส่งยิ้มละไมให้กัน อัครวินท์ก็ร้อนรุ่มในอกเหมือนถูกแผดเผา แล้วพี่ณัฐคนดีล่ะ เอาไปไว้ไหนเสีย ? เคยพะเน้าพะนอเอาใจกันอยู่ไม่ใช่หรือ ?

อดีตเดือนคณะเผลอขบฟันกรอดข่มอารมณ์ปะทุที่ไต่ระดับขึ้นสูง มือกำหมัดแน่นจนเครียดเกร็ง นึกแล้วก็ให้หงุดหงิดพาลเอากับทุกสิ่ง ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายสลัดรักทิ้ง

“แม่งเอ้ย !” คนใจไม่อยู่กับร่องกับรอยฮึดฮัดระเบิดอารมณ์ฟาดกำปั้นโครมลงบนเตียง กายหนาผุดลุกพรวด มือลูบหน้าตนเอง ระบายลมหายใจแรงอย่างฉุนเฉียว ภาพรพีกานต์กับฉายฉานยังฉายวนซ้ำ ๆ ในหัวอย่างสลัดไม่หลุด อย่างไรก็ไม่หายหงุดหงิดเสียที ร่างสูงใหญ่ลุกลงจากเตียง สลัดเสื้อกางเกงนอนไปคนละทาง เปลี่ยนเป็นกางเกงว่ายน้ำสวมทับด้วยเสื้อคลุมเดินอาด ๆ ลงมาชั้นล่าง เลี้ยวไปห้องเก็บเครื่องดื่มหยิบบรั่นดีมาขวดหนึ่ง แล้วเลยตรงไปที่สระว่ายน้ำ หมายใจให้อารมณ์เย็นลง

พระจันทร์บนท้องฟ้าสาดแสงกระจ่างทว่าลอยเวิ้งว้างเดียวดายในม่านมืด บรั่นดีราคาแพงไหลลงผ่านลำคอเรื่อย ๆ จนหมดแก้ว อัครวินท์วางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะ กายหนาหนั่นลุกจากเก้าอี้ริมสระ มือกระตุกปมเสื้อคลุมแยกสาบเสื้อออกจากร่างพาดไว้ที่เก้าอี้ แล้วพาตัวเองพุ่งทะยานลงน้ำ

ตูม !

ฉลามรัตติกาลดำผุดดำว่ายคล้ายคลุ้มคลั่งอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนโผล่ศีรษะสลัดน้ำแรง ๆ หวังให้ความเย็นฉ่ำช่วยคลายความฟุ้งซ่านร้อนรุ่มในใจ ร่างพราวด้วยหยาดน้ำโผล่ขึ้นจากสระ รินบรั่นดีใส่แก้วสาดลงคอรวดเดียว ก่อนลงไปลอยคอในสระอีกหน เขากำลังไม่เป็นตัวของตัวเอง เพราะคนเพียงคนเดียวที่เขาสลัดทิ้ง และกลับกลายเป็นเขาที่ทุรนทุรายเสียเอง !

อัครวินท์ลอยตัวเงยหน้ามองพระจันทร์นวล ภาพใบหน้าใสสะอาดของรพีกานต์ทาบอยู่บนนั้น คนตัวเล็กยิ้มง่าย ไม่มากเรื่อง ตอนคุยกันอัครวินท์ไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายเป็นชายหรือหญิง แค่สบายใจที่อยู่ด้วยจนคิดจะลองคบจริงจังอยู่เหมือนกัน หากไม่จุดไต้ตำตอมารู้ทีหลังเสียก่อนว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร สุดท้ายเขาก็เลือกลงมือทำลายแก้วดวงงามเสียย่อยยับด้วยน้ำมือตน ไม่มีน้ำเสียงตำหนิตัดพ้อต่อว่าจากรพีกานต์ แต่ความรู้สึกเจ็บช้ำรวดร้าวที่ส่งผ่านออกมาจากดวงตาสั่นระริกด้วยความผิดหวังรุนแรง เป็นภาพที่บีบหัวใจเขาไม่น้อย  น่าแปลกที่เขากลับไม่รู้สึกยินดีต่อชัยชนะในกำมือ แต่กลับรู้สึกติดค้างในใจที่รู้ว่าอีกฝ่ายรถคว่ำ จากการถูกเขาหยิบยื่นความร้ายกาจฉีกหัวใจขาดเป็นริ้ว ชายหนุ่มแวะไปเยี่ยมหา แต่ก็แค่ยืนอยู่หน้าห้องและฝากของเยี่ยมกับพยาบาลไปให้ หากรพีกานต์เลวร้ายได้อย่างพ่อ เขาคงไม่รู้สึกอย่างเช่นตอนนี้

นับแต่ห่างกัน เขาพยายามสลัดภาพความทรงจำทุกอย่างเกี่ยวกับรพีกานต์ทิ้ง ควงผู้หญิงเป็นว่าเล่น ทำตัวเสเพลอย่างคนไม่คิดจะรักใครจริงจังอย่างที่แล้วมา กลบเกลื่อนร่องรอยบางอย่างที่ไม่ได้ลบเลือนไปจากใจง่าย ๆ หากแต่ฝังลึกลงข้างในใจอย่างไม่มีเหตุผล เขาเคยรังเกียจความรักของพ่อ ยึดเอาความแค้นเตือนใจตนให้กร้าวแกร่งทระนงต่อความอาวรณ์ แต่กลับกลายเป็นตัวเองที่ตกลงไปในหลุมที่ตนเองเป็นคนขุดขึ้นมาไม่รู้เนื้อรู้ตัว เห็นชัดจากภาพวันนี้ที่ทลายทุกอย่างลงครืนไม่เป็นท่า  แววตาคมคุกรุ่นระยับราวเปลวไฟ เขาหวงรพีกานต์

 หวง...ไม่อยากให้รอยยิ้มกระจ่างใสนั่นตกเป็นของใคร ทั้งที่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะอ้อนวอนขอกลับมา แต่ก็เปล่า เขาคาดเดาอะไรผิดไป ? หรือที่ผ่านมาไม่เคยรู้สึกอะไรมากไปกว่าแค่ลุ่มหลงชั่วคราวเท่านั้นหรือ ? และตอนนี้พอได้เจอเป้าหมายใหม่จึงไม่แยแสเขาอีก ทำไมกลายเป็นเขาที่เป็นฝ่ายถูกปั่นหัว ทำไมกลายเป็นอัครวินท์คนนี้ที่ถูกรพีกานต์ไม่สนใจใยดี คนเคยมั่นใจในตัวเองขบกรามแน่น มุมปากได้รูปยกยิ้มแสยะกับความรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าจัง ๆ

ถึงเขาจะเป็นฝ่ายทิ้ง แต่หากเขาไม่ยอม ใครก็ไม่มีสิทธิ์ได้ไป

ร่างใหญ่ออกตัวแหวกว่ายในน้ำอีกครั้งด้วยความคิดบางอย่างที่ผุดพรายขึ้นในใจ สิ่งที่เป็นของเขา ต่อให้ทิ้งขว้างยังไง อย่างไรเสียก็เป็นของเขาวันยังค่ำ ใครก็ไม่มีสิทธิ์ได้ไปหากเขาไม่อนุญาต แต่อัครวินท์ลืมนึกไปว่า รพีกานต์ไม่ใช่สิ่งของ !



“แฝดสามนะครับ หมอยินดีด้วย”
บรรยากาศภายในห้องอัลตราซาวด์อวลไปด้วยกระแสความตื่นเต้น เมื่อปรากฏภาพสิ่งมีชีวิตเล็ก  ๆ จากในท้องรพีกานต์กำลังเคลื่อนไหวขยับตัวดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่ในจอมอนิเตอร์ ทั้งรพีกานต์และณัฐธีร์ที่เข้ามาด้วยกันต่างฉีกยิ้มกว้างดีใจกันถ้วนหน้า ณัฐธีร์ใช้โทรศัพท์ถ่ายวีดิโอเก็บภาพบรรยากาศประทับใจภายในห้องทั้งยิ้มหน้าบานเต็มแก้ม

 “กานต์ แฝดสาม ลูกของเราเป็นฝาแฝดแน่ะ ดูสิ ดิ้นใหญ่เลย” ณัฐธีร์ดีใจจนแทบกระโดดโลดเต้นร้องตะโกนออกมาดัง ๆ ป่าวประกาศด้วยความยินดี มือไม้สั่นจนทำอะไรไม่ถูก อารามลืมตัวชายหนุ่มเผลอยกมือเล็กขึ้นจูบขณะสายตายังจ้องมองที่จอมอนิเตอร์ไม่วางตา รพีกานต์แก้มร้อนผ่าวตอนหันไปสบตากับคุณหมอที่มองมายิ้ม ๆ ด้วยความเข้าใจอารมณ์ว่าที่คุณพ่อมือใหม่เป็นอย่างดี

“ตรงนี้ศีรษะน้องนะครับ มีแขนขาเล็ก ๆ แล้ว นั่นขยับดุ๊กดิ๊กด้วย คุณแม่เห็นไหมครับ” คุณหมอหันมาถาม รพีกานต์พยักหน้าด้วยหัวใจพองโต เรื่องจริงราวกับปาฏิหาริย์ ในท้องของเขามีทารกน้อย ๆ เลือดเนื้อเชื้อไขของเขาอยู่ถึงสามชีวิต
...แฝดสาม พ่อรู้ต้องดีใจมากแน่ ๆ...

“ลองฟังเสียงหัวใจของน้องนะครับ” คุณหมอกดปุ่มบางอย่างให้ได้ยินเสียงหัวใจเด็กปรากฏบนจอ สัญญาณชีวิตส่งเสียง ตึก..ตึก... รพีกานต์และณัฐธีร์ฟังแล้วอดน้ำตาปริ่มขึ้นมาไม่ได้ สายตาจ้องมองภาพในจอด้วยความดีใจที่ล้านคำพูดก็อธิบายความรู้สึกในตอนนี้ได้ไม่หมด เสียงหัวใจเต้นตึก ๆ ของเด็กแฝดทั้งสามที่กำลังเติบโตในครรภ์ ความรักความผูกพันก่อเกิดขึ้นตั้งแต่ยังไม่ทันได้เห็นหน้า

 “ละ แล้วผู้ชายหรือหญิงครับหมอ” ณัฐธีร์ตื่นเต้นจนลิ้นแทบพันกัน เขาลืมเสียสนิทว่าตนเองไม่ใช่พ่อที่แท้จริง

“ยังเห็นไม่ชัดนะครับ รออายุครรภ์มากกว่านี้ ค่อยลองซาวด์ดูใหม่ น้องเป็นฝาแฝดอาจจะต้องซาวด์บ่อยกว่าปกติหน่อยเพื่อดูพัฒนาการของทั้งสามคนนะครับ” คุณหมอแจงด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม รพีกานต์หัวใจเต้นรัวด้วยความยินดี ร่างเล็กจิ๋วในจอคือหัวใจของเขา นี่สินะ นิยามที่ว่า รักตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้า ซึ่งณัฐธีร์เองก็รู้สึกไม่ต่าง เขากุมมือบางเอ่ยขอบคุณด้วยความยินดี

“ขอบคุณกานต์ที่ทำให้พี่ได้สัมผัสความสุขที่สุดในวันนี้”



“อีกไม่กี่เดือนพี่ก็จะได้เจอหน้าลูกแล้ว ตื่นเต้นจัง จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงน้า” ณัฐธีร์ยังเก็บอาการดีใจเอาไว้ไม่อยู่ รถติดไฟแดงที เขาก็จะหยิบฟิล์มขึ้นมาดูที แล้วก็จะยิ้มหน้าบานเป็นจานดาวเทียมจนรพีกานต์อดส่ายหน้าน้อย ๆ ไม่ได้ มือเรียวลูบหน้าท้องทะนุถนอม รู้สึกถึงแรงตอดเล็ก ๆ จากเจ้าตัวเล็ก หัวใจไพล่กระหวัดถึงใครบางคน...พ่อแท้ ๆ ของลูกน้อย...พี่วิน

ถ้าพี่วินรู้ จะดีใจอย่างพี่ณัฐไหม หรือจะปฏิเสธเพราะหมดเยื่อใยรัก แล้วถ้าบอกให้เอาออกล่ะ ? แค่คิดก็ปวดแปลบในอก ไม่อยากได้ยิน อย่าเลย อย่าให้รู้ดีที่สุด จบสิ้นแล้วนี่นา

ใบหน้าใสสลดวูบ คิดแล้วก็อดน้อยใจลึก ๆ ไม่ได้ ตั้งแต่รู้ตัวว่าท้อง รพีกานต์ก็เผลอคิดถึงอีกฝ่ายบ่อยครั้งยามที่อยู่คนเดียว พระจันทร์ดวงแจ่มที่เห็นทางหน้าต่าง มีใบหน้าพี่วินอยู่บนนั้นเสมอ งดงามเฉิดฉายแต่เกินอาจเอื้อม รพีกานต์ไม่รู้สึกว่าอัครวินท์เหมือนดวงตะวันสักเท่าไหร่ เขาผู้นั้นเหมือนดวงจันทร์แสนสวยเกินเอื้อมเสียมากกว่า ความเย็นตาที่บางครั้งก็แฝงไปด้วยความเย่อหยิ่งเย็นชาในบางหน จนคนมองปวดหนึบหัวใจ ความรู้สึกผูกพันมันร้อยรัดหัวใจรพีกานต์แน่นหนาเหลือเกิน ทำไมถึงสลัดความรู้สึกอาวรณ์นี้ไม่ได้เสียทีหนอ ทั้งที่ถูกเขาทิ้งมาแท้ ๆ ทั้งที่ก็มีคนดีแสนดีอยู่ข้างกาย แต่หัวใจก็ยังเฝ้าซื่อตรงต่อคนใจร้ายเรื่อยมา

ณัฐธีร์อ่านสายตาอาดูรนั้นออก ชายหนุ่มนิ่งงันไป ดวงตาเรื่อรองด้วยประกายยินดีสลดวูบลง รู้ดีแก่ใจว่าที่ผ่านมาเขาเองก็รวบรัดน้องจนเกินไป คิดเอาเองฝ่ายเดียวว่าความดีจะชนะใจคนได้ สักวันรพีกานต์จะรักเขาบ้าง ยิ่งน้องไม่พูดเขาก็ยิ่งได้ใจ เผลอคิดไปไกลว่าอีกฝ่ายคงมีใจเอนเอียงมาที่เขาบ้าง แต่ความเป็นจริง ในความเงียบงันนั้น หัวใจดวงน้อยเผลอลอยละล่องไปหาใครอีกคนอยู่ต่างหาก เพราะรพีกานต์ไม่ได้รักคนที่ความดี เหมือนที่เขาเองก็ยังรักน้องได้แม้จะเคยเสียใจแค่ไหน แต่ในเมื่อใครคนนั้นไม่มีทีท่าว่าจะกลับมา เขาก็อยากจะเป็นฝ่ายขอดูแลแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จะได้ไหม ให้เขาตัดใจตอนนี้เขาเองก็ทำไม่ได้เหมือนกัน ใจมันคงขาดสะบั้น ไม่เหลือแรงใจให้อยู่ต่อ

 “พี่ณัฐจอดรถทำไมหรือครับ” รพีกานต์หันมาถามเมื่อพี่ชายเปิดไฟเลี้ยวจอดข้างทางโดยไม่บอกไม่กล่าว

“กานต์ พี่คิดว่าถึงเวลาที่เราจะต้องคุยกันจริงจังเสียที” สายตาของณัฐธีร์ขึงขังจนรพีกานต์หวั่นใจจากที่เฉไฉมาตลอด

“พี่อยากขอโอกาสเป็นพ่อของลูกกานต์ พี่วินที่กานต์รอเขาคงไม่กลับมาแล้ว แต่พี่ณัฐคนนี้ ไม่เคยทิ้งกานต์หนีหายไปไหน พี่ขอร้อง ให้โอกาสพี่ได้ไหม กานต์ไม่ต้องรักพี่ตอนนี้ ขอแค่กานต์ยอมเปิดใจบ้างได้ไหม” ณัฐธีร์กุมมือบางอ้อนวอน ยังคงวอนขอเฉกเช่นทุกครั้ง ร้องขอเหมือนคนสิ้นไร้เรี่ยวแรงปานจะขาดใจ เพื่อขอแม้เพียงหนึ่งหยาดหยดความเมตตา

 “กานต์...” รพีกานต์อึกอัก จะตอบยังไงให้ถนอมน้ำใจคนฟัง หัวใจข้างในกำลังร้องไห้ ร่ำร้องโหยหาใครอีกคนที่ฝากรอยแผลลึกในใจ ยังรักและลึก ๆ ยังคงรอคอยเช่นเก่า เหมือนอย่างที่ณัฐธีร์รอคอยรพีกานต์เสมอมา

“หรือกานต์กลัวว่าอนาคตพี่จะหมดรักกานต์แล้วยกเอาอดีตมาทำร้ายกานต์”

“กานต์อยากรักพี่ณัฐให้ได้เท่ากับความดีที่พี่ให้กานต์มา แต่กานต์ไม่อยากให้ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ กับพี่ณัฐด้วยการขอให้รอ การรอคอยมันทรมาน เท่าที่หัวใจกานต์มันยังซื่อสัตย์กับคนใจร้ายมันก็ทรมานพี่ณัฐมากแล้ว ถ้าเป็นไปได้ กานต์อยากให้พี่ณัฐลองเปิดใจพี่เองบ้าง บางที...พี่ณัฐอาจเจอคนที่ดีกว่ากานต์” แหวนวงน้อยถูกวางลงบนมือหนา ณัฐธีร์กระบอกตาร้อนผ่าว มองน้องน้อยด้วยสายตาปวดร้าวตัดพ้อ ซึ่งรพีกานต์เองก็ไม่ได้มีสีหน้าที่ดีไปกว่ากันเลย หยาดน้ำตากลิ้งลงอาบแก้มใส เพราะรัก...ที่ให้ไม่ได้ หัวใจคนถูกรักก็ปวดร้าวทรมานไม่ต่างกัน

“ไม่นึกรัก...กันบ้างเลยหรือ ?” ณัฐธีร์เสียงสั่นเครือ คำพูดมากมายที่กลั่นกรองจากข้างในใจถูกกลืนหายลงลำคออย่างคนหมดแรง หัวใจมั่นคงแหลกสลาย เหมือนจุดที่ยืนอยู่ จู่ ๆ ก็ทลายลงฝังเขาทั้งเป็น ตัวนั่งอยู่ข้างกันแค่นี้ แต่หัวใจลอยหายไปอยู่ในมือใคร ลอยไปแล้วไปถูกเขาเหยียบขยี้ พี่ชายคนนี้ก็ยิ่งเสียใจ

“นอกจากกานต์แล้ว พี่ก็ไม่เคยนึกอยากรักใคร” เขาเค้นคำพูดยากเย็น หายใจแต่ละครั้งยากลำบากเหมือนมันสะเทือนไปยังแผลที่เพิ่งปริฉีก น้ำตาที่ไหล ทั้งเจ็บช้ำที่ไม่ได้รับรักตอบและเสียใจที่คนที่รัก ถูกเขาทำร้ายสาหัสกลับมา

“กานต์ไม่อยากให้พี่รอ ไม่ได้อยากตัดรอนน้ำใจ แต่กานต์ไม่อยากเห็นแก่ตัว” รพีกานต์บอกด้วยหัวใจซื่อตรง น้ำตาคลอหน่วยไหลลงบนแก้มไม่ขาด ทั้งเสียใจที่รักพี่ชายเกินกว่าพี่ไม่ได้ และช้ำใจที่คนที่มอบรักให้ ทำลายหัวใจไม่มีชิ้นดี !


บรรยากาศในห้องโดยสารซึมเซาจนกลายเป็นอึดอัด ณัฐธีร์สูดลมหายใจลึก หันมาบอกคนข้างกายก่อนเปิดประตูออกไปสงบสติอารมณ์ตนเอง

“พี่ขอออกไปสงบอารมณ์หน่อยนะครับ เดี๋ยวพี่กลับมา” บอกทั้งไม่สบตา ความร้าวรานเหลือประมาณทำให้ไม่อาจมองคนที่มีใจได้เต็มตา ณัฐธีร์เปิดประตูเดินสะโหลสะเหลหมดสิ้นเรี่ยวแรงออกไป สองเท้าพาหัวใจบอบช้ำก้าวห่างทิ้งระยะออกมาเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมายพร้อมน้ำตาที่หลั่งไหลไม่ขาด เขาเจ็บ...เหมือนใจจะขาด ความหนักหน่วงบีบหัวใจจนเหมือนจะหายใจไม่ออก หนทางข้างหน้าทุกย่างก้าวพร่าเลือนด้วยหยาดน้ำตากบ

ที่บางคนหาทางออกด้วยการฆ่าตัวตาย ก็เพราะมันเจ็บอย่างนี้นี่เอง !

ณัฐธีร์ไอโขลกสำลักน้ำตา ร่างสูงเดินโผเผไหล่ลู่ดั่งไม้ใหญ่ใกล้ล้ม น้ำตารินนองหน้าไม่ต่างจากเด็กหลงทางกำลังขวัญเสีย หากแต่เขาเสียขวัญเพราะหลงรัก เคว้งคว้างเดียวดายลอยลำอยู่ในทะเลน้ำตา

‘รักแท้ แพ้คำว่าไม่รัก’ แค่คิด แข้งขาก็พานหมดแรงแทบทรุดลงไปกอง ต่อให้คุกเข่าอ้อนวอน ไม่รักก็คือไม่รัก...
เจ็บกว่าการร้างลา คือการอยู่ใกล้กับคนที่เรารักแต่เขาไม่เคยรักเรา มองเห็นตะวันเรืองรอง บางครั้งอบอุ่นแต่บางครั้งตะวันก็แผดเผาให้เรามอดไหม้ทุรนทุราย  มันปวดร้าวและทรมาน ทนเลี้ยงหัวใจด้วยความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ไปวัน ๆ ด้วยหวังว่าความดีจะมีอนุภาพมากพอให้อีกคนโอนอ่อน แต่คนไม่ใช่ ยังไงก็ไม่ใช่ ต่อให้รักมากเท่าไร ก็ยังไม่ใช่อยู่ดี

เวลารอบกายหมุนผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ได้ เสียงรถราวิ่งสวนไปมาขวักไขว่ผ่านหูไปเลื่อนลอย ณัฐธีร์กำลังคว้าง สติตั้งมั่นที่มีติดตัวอยู่ตลอดสะบั้นลงโดยง่าย สมองขาวโพลนกับหัวใจที่ปวดหนึบคือสิ่งที่รู้สึกได้ในตอนนี้ ร่างสูงโงนเงนเดินลากขาช้า ๆ เหม่อลอย

“พี่ณัฐ กลับบ้านกันนะครับ” เสียงน้องน้อยดังขึ้นปลุกเขาจากความฟุ้งซ่าน ณัฐธีร์ชะงักเหลียวหาดวงตาแดงช้ำ ก่อนรู้สึกตัวว่ารพีกานต์เดินตามเขามาตลอด

“กานต์...กานต์เดินตามพี่มาตลอดเลยหรือ” ใบหน้าหมองหม่นพยักหน้ารับ สีหน้ารพีกานต์ไม่ได้ดีไปกว่าเขา ณัฐธีร์เพิ่งตระหนักในตอนนี้เองว่า เขาสติแตกจนเผลอทิ้งน้องเอาไว้ในรถคนเดียว ใจหายวาบทันทีที่นึกขึ้นได้ ข่าวอมนุษย์ฆ่าคนได้ง่าย ๆ เพราะโทรศัพท์แค่เครื่องเดียวก็มีมาแล้ว นี่ถ้ารพีกานต์ไม่เดินตามเขามา ปะเหมาะเคราะห์ร้ายเกิดเรื่องไม่ดีเข้า แล้วเขาจะทำยังไง

“พี่ขอโทษที่ทิ้งกานต์ไว้คนเดียว” เขาบอกอย่างรู้สึกผิด

“กานต์ไม่อยากปล่อยพี่ณัฐให้อยู่คนเดียว เสียใจคนเดียว เวลาที่กานต์ร้องไห้ หรือเจออะไรแย่ ๆ พี่ณัฐไม่เคยทิ้งกานต์เลย” เสียงน้องสั่นเครือแผ่วหวิวในตอนท้าย ดวงตาคลอหน่วยที่ไม่ได้มองเขาเป็นอื่นยังคงซื่อตรง หากแต่ประกายความศรัทธาและผูกพันกลับสว่างจ้าอยู่ข้างใน มือที่ยื่นมาให้ตรงหน้า ณัฐธีร์ไม่ได้ยื่นตอบกลับไป หากวงแขนสั่นระริกโอบรั้งร่างเปรียวเข้าหา  สองขาง่อนแง่นทรุดฮวบลงพื้น ใบหน้าซุกสะอื้นกับหน้าท้องนุ่ม หัวใจรักแหลกสลายแต่ความผูกพันวันวานไม่เคยจางไป

เขารู้สึกถึงแรงตอดเล็ก ๆ ในท้อง เจ้าตัวเล็กคงรับรู้ถึงคนรักมากจนสายรักนั้นผูกมัดตัวเองให้ไปไหนไม่ได้ แขนสั่นเทากระชับเอวกลมกลึงซุกใบหน้าเข้าหามากขึ้น ในจินตนาการเหมือนมีมือเล็ก ๆ กำลังประคองใบหน้าคนขวัญเสียปลอบประโลม...ลุงจ๋า อย่าร้อง

“พี่ขอเวลากานต์หน่อย เราอยู่ใกล้กันแค่นี้ เจอหน้ากันทุกวันแบบนี้ พี่ตัดใจตอนนี้...ไม่ได้จริง ๆ” ณัฐธีร์บอกเสียงอู้อี้ ใบหน้าส่ายไปมาอย่างทรมาน ความหวังภิณท์พังคำรบสองบาดแผลในใจบาดลึกกว่าเก่า ขนาดตั้งท้อง รพีกานต์ก็ยังไม่ยินยอมให้เขารับเป็นพ่อ

“แต่พี่จะพยายาม พี่สัญญาว่าพี่...จะพยายาม” เขาเงยหน้าสบตาให้คำมั่น ลั่นวาจาบอกทั้งคนตรงหน้าและตัวเอง จากนี้จะพยายามตัดใจ หากทำไม่ได้ จะเก็บเอาไว้ให้ลึกที่สุด ลึกเท่าที่เขาจะเป็นเพียงคนเดียวที่รู้

“งั้นถ้ากานต์จะลองพยายามรักพี่ณัฐ เรา...ลองคบกันดูไหม กานต์ไม่อยากให้พี่ณัฐเป็นแบบนี้ ไม่อยากเห็นเลยจริง ๆ” ใบหน้าเศร้าสร้อยโน้มคอลงถาม ดวงตางามคลอหน่วยราวกับมีเกล็ดเพชรจับอยู่ในนั้น งดงามแวววาวทว่าเศร้าสร้อยเหลือเกิน

หยดน้ำตาหยดน้อยร่วงผล็อยตกลงในดวงตาของเขา ณัฐธีร์กระพริบตา หยดน้ำตาของรพีกานต์กลิ้งอยู่ในดวงตาของเขา น้ำตาของรักที่ถูกทอดทิ้งไม่ไยดีจากคนที่รัก และยังเป็นน้ำตาแห่งความเสียใจที่ไม่สามารถรักตอบเขาได้ มันมีความทุกข์ระทมอย่างแสนสาหัสปนอยู่ในนั้น แม้ไม่แสดงออกมากมายให้เห็น ณัฐธีร์สบตากับน้องน้อย ในแววตาเกลื่อนด้วยคำพูดมากมาย นึกทบทวนคำถามจากปากอีกคน คำถามนี้ทิ่มตำหัวใจเขาเสียยิ่งกว่าถูกตัดรอนตรง ๆ เสียอีก ไม่รักแต่เวทนา ร่างสูงหยัดยืนด้วยสองขาสั่นระริก สองมือกระชับต้นแขนน้อง ดวงตาแลจ้องดวงตาอีกคู่ที่เหลือบขึ้นมอง เปิดปากหนักอึ้งปฏิเสธ

“อย่าเลย ให้พี่เป็นคนตัดใจคงง่ายกว่ากานต์พยายามที่จะเริ่ม ถ้ากานต์จะรักพี่ คงรักนานแล้ว แล้วถ้ากานต์รักพี่ต่อให้สิบให้ร้อยอัครวินท์ กานต์ก็จะไม่เปลี่ยนไป” เขาแค่นยิ้มขื่นขม ดวงตาแดงก่ำ ในใจสับสนรวนเรไปหมด มือปาดน้ำตาลวก ๆ เอ่ยบอก

“กลับบ้านเถอะ ป่านนี้พ่อของกานต์คงชะเง้อคอยแล้ว” แขนแข็งแรงโอบเอวพาน้องกลับ เพิ่งรู้ว่าเดินมาไกลพอควร ณัฐธีร์ปาดน้ำตาตัวเองอีกหน มือเปิดประตูรถให้น้องน้อยเข้าไปนั่ง ก่อนตัวเขาอ้อมไปประจำเบาะคนขับ

“เมื่อกี้กานต์ลองคิดดูแล้ว ลูกของกานต์มีสามคน กานต์จะยกให้เป็นลูกของพี่ณัฐคนนึง ให้ใช้นามสกุลสิริธรรมรัตน์ของพี่ณัฐ เดี๋ยวไปขอให้หลวงตาตั้งชื่อมงคลให้ เด็กที่มีพี่ณัฐเป็นพ่อ นับว่าชีวิตประเสริฐที่สุดแล้ว” รพีกานต์เปิดปากหลังจากรถแล่นมาครู่ใหญ่

“ให้ใช้นามสกุลของกานต์ดีแล้ว แค่กานต์ยกให้พี่เป็นพ่อของแกก็นับว่าให้เกียรติมากแล้ว ส่วนแหวนวงนี้ กานต์อย่าคืนพี่เลย เก็บไว้มอบให้เจ้าตัวน้อยคนที่กานต์จะยกให้พี่ก็แล้วกัน พี่ให้แล้วไม่อยากได้คืน” เขาวางแหวนลงในมือบาง หายใจติดขัดด้วยความทรมานยามมองใบหน้าคนที่ไม่อาจเอื้อมถึงหัวใจ ประโลมหัวใจตนให้คิดเสียว่าแหวนนี้สำหรับรับขวัญลูกบุญธรรมด้วยความยากเย็น

ส่งน้องกลับถึงบ้านเขาก็ขอตัวกลับก่อน ประนมมือลาคุณรพินทร์ด้วยรอยยิ้มไม่สู้ดีนัก ยังไม่พร้อมสำหรับรอยยิ้มยินดี คนดีใจรอท่าเพราะได้เห็นคลิปในห้องอัลตราซาวด์ก่อนหน้าทำหน้าฉงนแต่ไม่ได้ซักไซ้อะไร ณัฐธีร์ขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่งแล่นออกมาจากบ้านสไตล์ขนมปังขิงหลังงาม สายตาเหลือบมองกระจกดูรั้วบ้านที่เขาห่างออกมาเรื่อย ๆ

ทุกอย่างต้องใช้เวลาเยียวยา

เมื่อเลือกรักแล้ว หากตัดใจไม่ได้ คงต้องพยายามรักโดยไม่หมายรักตอบ แม้ต้องทุกข์ทนกล้ำกลืนฝืนความเจ็บปวดเอาไว้ก็ตาม ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์คือเรื่องจริง


-ต่อด้านล่างค่ะ-
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๙)(P.๗)(๒๔/๐๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 24-01-2017 16:40:54
๑๙ (ต่อ)

“ไง ไอ้เสือ นั่งหงอยเหมือนคนอกหัก ทะเลาะกับกานต์หรือวะ” เสียงรุ่นพี่ที่นับถือกันเหมือนพี่น้องแท้ ๆ เอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นคนเป็นน้องดูเงียบขรึมกว่าปกติ จากที่เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว หากแต่ใบหน้าหมองหม่น ดวงตาอมเศร้านั่นทำให้อัศม์เดชสงสัยหนัก

“เปล่าหรอกพี่เดช ผมแค่ผิดหวังก็เลยเสียใจน่ะ” ณัฐธีร์บอกเสียงเนือย สีหน้าไม่สดชื่นนัก

“ผิดหวัง ? เรื่องอะไรวะ” ยิ่งได้คำตอบยิ่งสงสัยหนัก คราวนี้อัศม์เดชขยับมานั่งฝั่งตรงกันข้าม ดวงตาคมกริบจ้องมองรอคำขยายความต่อจากปากรุ่นน้อง

“กานต์มีคนที่รัก แต่...ไม่ใช่ผม” ณัฐธีร์ตอบห้วน ยกเข่าขึ้นกอดเบือนหน้าไปอีกทาง กลืนความขมขื่นทั้งหมดลงคอ ทั้งสับสน เสียใจ ทุกอย่างยุ่งเหยิงไปหมด เขาไม่เป็นตัวของตัวเอง

“ผมพยายามใช้ความดีเอาชนะใจกานต์ แต่ก็เปล่าประโยชน์ ส่วนคนที่กานต์รัก เขาไม่ต้องทำอะไรเลย แถมทำให้กานต์เสียใจ แต่กานต์ก็ยังรักเขา ผมที่ทุ่มเททุกอย่าง ทำไมมันไม่มีค่าอะไรเลย” ณัฐธีร์ระเบิดความในใจ นัยน์ตาแดงก่ำ เขาเจ็บปวด น้อยใจจนฟุ้งซ่าน

“ไหนหลายคนบอกว่ารักคนดีไง ที่ผมทำ มันยังดีไม่พออีกหรือพี่เดช” เขาเงยหน้าขึ้นถามรุ่นพี่ ดวงตาเศร้าสร้อยเหมือนเด็กน้อยหลงทาง ยอมรับว่าเวลานี้อ่อนแอเหลือเกิน

“มันก็ใช่ ที่ส่วนใหญ่ปากก็บอกรักคนดี แต่เอาเข้าจริง ๆ มันเลือกไม่ได้หรอกว่าจะรักคนดีหรือไม่ดี จริง ๆ ส่วนมากก็หวังอยากให้คนที่ตัวเองรักเป็นคนดีต่างหากละ ไอ้ลูกหมา กานต์ไม่ได้รักคนดี เพียงแต่หวังว่าคนที่ตัวเองรัก มันจะเป็นคนดีก็เท่านั้นเอง ว่าแต่เจ้าคนนั้น มันดีหรือเปล่าล่ะ”

“ดีทุกอย่าง ยกเว้นนิสัย” ณัฐธีร์ตอบเสียงเรียบติดจะหมั่นไส้ไฮโซลูกชายนายธนาคาร แม้จะรู้ว่ากานต์ไม่ได้รักหมอนั่นที่ตรงนั้น หากแต่เป็นเสน่ห์เหลือร้ายของอัครวินท์ต่างหาก ที่ล่อลวงกระต่ายตัวน้อยติดบ่วงเข้าเต็ม ๆ

“เฮ่อ! เจ้าณัฐเอ้ย แกเองก็เคยมีสาวมาตกหลุมรัก น่าจะเข้าใจความรู้สึกลำบากใจของคนถูกรัก แต่เรารักเขาตอบไม่ได้นะเว้ย” อัศม์เดชตบบ่ารุ่นน้องพลางยกตัวอย่างให้คิด ณัฐธีร์นิ่ง เริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น เพราะเขารักรพีกานต์ ถึงมีสาวน้อยน่ารักพยายามเข้ามาสานสัมพันธ์ยังไงก็คว้าน้ำเหลวกลับไปทุกราย ความรู้สึกถูกรัก แต่รักตอบไม่ได้

“ทุกอย่างต้องใช้เวลา ความรักไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตนะเว้ย แกเองอายุเพิ่งจะยี่สิบ ยังต้องโต ต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ ไม่มีใครสมหวังทุกอย่างหรอกว่ะ แต่ก็ใช่ว่าจะมีใครผิดหวังทุกเรื่องนี่หว่า ไอ้ลูกหมา นี่แหละรสชาติชีวิต รู้ไว้ไอ้น้อง” อัศม์เดชกอดคอโยกศีรษะปลอบใจ เขาไม่ใช่คนอ่อนโยนอะไร ติดจะห่ามเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่เห็นเจ้าหมาน้อยที่โตมาด้วยกันแต่เล็กแต่น้อยเสียใจเลยอยากปลอบใจเสียหน่อย นี่เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่เขาได้เห็นณัฐธีร์ในมุมอ่อนแอ ปกติเก็บงำความรู้สึกเก่งยิ่งกว่าอะไร ทนถึกยิ่งกว่ากระสอบทราย

“ผมจะพยายามครับพี่เดช” เขาบอกอย่างไม่แน่ใจ ถ้ายังเจอหน้ากันอยู่เรื่อย ๆ แบบนี้มันก็ทำใจยากเอาการ

“เออ ถ้ายังไม่สบายใจก็อย่าเพิ่งไปเจอหน้าเขา ห่าง ๆ ออกมาก่อน พักเลียแผลใจเป็นคู่ซ้อมให้กูหน่อย” หนุ่มรุ่นพี่ยักคิ้วยั่ว

“โหย ให้ผมเป็นกระสอบทรายให้พี่น่ะสิ มือเท้าหนักยิ่งกว่าแรด พี่เตะมาที ไส้ผมแตกแน่ ๆ”

“เอาน่า เดี๋ยวกูแนะนำสาวแจ่ม ๆ มาดามอกให้ สาวฝรั่งสวย ๆ เพียบ สนเปล่า ๆ” ณัฐธีร์ส่ายหน้าเบา ๆ แทนคำตอบ ไม่มีกะจิตกะใจคิดถึงใคร ในห้วงคำนึงยังมีเพียงรพีกานต์ทุกลมหายใจเข้าออก เขาจะก้าวผ่านความรู้สึกนี้ไปได้อย่างไร จะมองหน้าคนที่รักหมดหัวใจได้อย่างไรในฐานะแค่พี่น้อง คำตอบของคำถามนี้ ณัฐธีร์ยังไม่รู้เลย

“ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว จัดซักเพลงไหม” อัศม์เดชเดินไปหยิบกีตาร์โปร่งมายื่นให้ ก่อนกลับไปหยิบแก้วและขวดบรรจุน้ำอำพันยี่ห้อแพงติดมือมา

“ซักหน่อยไหม ย้อมใจ” หนุ่มรุ่นพี่ชวน ก็ว่าแปลกที่จู่ ๆ เจ้านี่ขอมาค้างที่คอนโดด้วย

“ทำไมอกหักแล้วต้องดื่มเหล้าด้วยพี่” ณัฐธีร์นั่งจ้องแก้วเหล้านิ่ง เขาดื่มได้แต่ไม่ชอบเท่าไหร่

“อ้าว ก็ถ้ามึงจะเอาน้ำเปล่าแล้วเมาดิบกูก็ไม่ว่า มันเป็นธรรมเนียมเว้ย ล้างน้ำตาด้วยน้ำเมาเนี่ย”

“เมาเหมือนหมาแล้วก็ตื่นมาบนเตียงกับใครก็ไม่รู้ พี่คิดว่าแบบนั้นมันคือการใช้ชีวิตคุ้มจริง ๆ น่ะหรือ” ชายหนุ่มส่ายหน้าระอา ไปกับเพื่อนทีไร จึงมักได้ตำแหน่งสารถีคอยขับรถพาเพื่อน ๆ กลับหอ สำหรับรายที่ไม่ไปต่อกับใครที่อื่น

“ทำไมเหมือนกูถูกหลอกด่าวะ โอ้ย ไอ้มหา มึงไปบวชเหอะ เผื่อชีวิตจะพบทางสว่าง ทำไมมึงไม่บวชเรียนสอบนักธรรมเอาดีทางนั้นไปตั้งแต่แรกวะ จะได้ไม่ต้องยุ่งกับทางโลก”

“ผมรักกานต์ บวชไปผ้าเหลืองคงร้อน ทำศาสนาเสื่อมเปล่า ๆ”

“เด็กวิศวะกินเหล้ากันดุชิบ มึงเป็นแกะหลงฝูงหรือวะ ห่าณัฐ เอาเหอะ แดกน้ำเปล่าละกันมึง กูแถมน้ำแข็งให้ อารมณ์มึงตอนนี้ไม่ต้องพึ่งเหล้าก็บิวต์เศร้าได้ไม่ยาก” อัศม์เดชรินน้ำเปล่าให้คนอกหัก ส่วนคนหักอกชาวบ้านอย่างเขาซัดเหล้าเพียว ๆ ไม่สะทกสะท้าน ณัฐธีร์ก็บ้าจี้พอที่จะยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นกระดกเหมือนดื่มเหล้า กีตาร์ในมือเริ่มอินโทรเบา ๆ คืนนี้พระจันทร์ตรงระเบียงคอนโดแจ่มกระจ่าง แต่เขาก็ทำได้แค่มอง

"ฉันทุ่มเทหมดเลยทุกอย่าง ยิ่งนานยิ่งหมดหวังจะเป็นคนของเธอ แต่เค้าเพิ่งเข้ามาไม่นานที่เธอเจอ
ก็ดูเธอพร่ำเพ้ออยากเจอเค้าทุกวัน ส่วนฉันที่เอาน้ำตาตั้งมากมาย มาแลกน้ำใจของเธอแค่นิดเดียว
เธอก็ยังทำให้ดูว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย เธอไม่เคยจะให้ เราเสียทีถึงเราทุ่มเทกว่านี้ก็ไม่มีทาง
อดทนเฝ้ารอให้เธอเห็นใจแค่ไหน ก็ยิ่งเลือนราง จดจำไว้อย่างเรามันยังไม่ใช่อยู่แล้ว
รักและหวังดีจากคนที่ไม่ใช่ จะมากมายแค่ไหนไม่มีค่าซักหน่อย ก็เทียบไม่ได้เลยกับเค้าที่เธอคอย
เค้าทำให้เล็กน้อยแต่เธอก็รักได้"

“ทำไมพี่เดช ฮึก ! ทำไมผมถึงไม่ใช่” น้ำตาร่วงผล็อย ๆ หยดแหมะลงบนสายกีตาร์ ก่อนจะไหลอาบเป็นสาย อัศม์เดชกอดคอปลอบใจ ณัฐธีร์จึงโผหาที่พึ่งจากไหล่หนามั่นคง

“คำตอบมันก็อยู่ในคำถามอยู่แล้วที่หว่าเจ้าณัฐ มึงก็รู้อยู่เต็มอกอยู่แล้วนี่ จะถามย้ำให้ตัวเองต้องเจ็บทำไม” ไหล่เพื่อนรุ่นน้องไหวสะเทือนด้วยความปวดร้าว บ่าหนาของอัศม์เดชชุ่มไปด้วยน้ำตา หนุ่มรุ่นพี่กระดกเหล้าลงคอ ปล่อยให้รุ่นน้องใช้ไหล่ของเขาซับน้ำตาต่อไปเงียบ  ๆ เขารู้...เวลาจะเยียวยาทุกอย่างเอง เพียงแต่ต้องใช้เวลา มากน้อยอยู่ที่ความเข้มแข็งของแต่ละคน แต่เขารู้ว่าน้องรักจะผ่านมันไปได้ เจ้าณัฐมันอดทนมาได้ทุกอย่างจนทุกวันนี้ น้องของเขาจะต้องผ่านบททดสอบครั้งนี้ไปได้



“พี่ณัฐยังไม่มาหรือกานต์” รพินทร์ถามขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าไม่สบายใจของบุตรชายกำลังชะเง้อคอมองหาใครบางคน วันนี้ครบกำหนดนัดของหมอแต่ยังไร้วี่แววสารถีอาสาประจำตัว  ณัฐธีร์ไม่โผล่หน้ามาให้เห็นร่วมเดือนแล้ว เห็นบอกว่าไปแคมปิ้งพักผ่อนกับพี่เดช ทั้งนั้นสบายดีไม่ต้องเป็นห่วง

“พี่ณัฐ...คงไม่อยากเห็นหน้ากานต์แล้วครับพ่อ” น้ำเสียงหม่น สีหน้าหงอยลง รพินทร์ทิ้งกายลงนั่งข้างกาย มือลูบศีรษะกลมแผ่วเบา รพีกานต์โผเข้ากอดผู้เป็นบิดา ซุกหน้ากับแผ่นอกอุ่น ไม่สบายใจนักที่การซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตนจะทำให้สูญเสียคนแสนดีไป

“พูดอย่างนี้แสดงว่ากานต์ยังรู้จักพี่ณัฐไม่ดีพอ แถมกานต์กำลังดูถูกน้ำใจของพี่ณัฐนะรู้ไหม” รพินทร์เตือนสติ รายนี้งอแงกับพี่ณัฐจนเคยตัว

“กานต์...”

“พี่ณัฐรักกานต์มากกว่าที่กานต์รับรู้ได้อีกนะลูก รักมานานแล้ว และพ่อเชื่อว่าพี่ณัฐจะไม่มีวันทิ้งกานต์ไปไหน ถ้ากานต์ยังไม่มีคนดูแลที่ดีพอ”

“พ่อ...แต่”

“พ่อเห็นกานต์ เห็นพี่ณัฐมาตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยกนะลูก มีสักครั้งไหม ? ที่พี่ณัฐจะปล่อยมือน้องกานต์น่ะหือ จำวันที่ฝนตกได้ไหม พี่ณัฐยังเอาน้องขี่หลัง มีใบบัวโปะหัวเดินกลับบ้านด้วยกัน กานต์ของพ่อยังเอาใบบัวมาเล่นทำร่ม ขี่หลังพี่เขาร้องเพลงเสียงใส แล้วกบน้อยก็เป็นหวัดเสียงแหบวันต่อมา” ยิ่งฟังพ่อพูดก็ยิ่งรู้สึกผิด
 
“แต่ความรักมันเลือกที่เกิดไม่ได้นี่ลูก เลือกไม่ได้ว่าต้องรักใคร เพราะอย่างนั้น กานต์ต้องให้เวลาพี่ณัฐได้ทำใจ เชื่อเถอะ พี่ณัฐไม่มีวันปล่อยมือกานต์ของพ่อเด็ดขาด ถ้ายังไม่เจอคนดี ๆ พอมาดูแลกานต์อย่างที่พี่เขาเคยทำ” รพินทร์บอกอย่างเชื่อมั่น เขารู้มานาน ความรู้สึกของณัฐธีร์อยู่ในสายตาของเขามาตลอด เด็กรักดีคนนี้ เสียดายที่รพีกานต์ไม่ได้รับรัก เสียดายจริง ๆ


กริ๊ง ๆ
เสียงกริ่งจักรยานดังขึ้นไม่ไกลนักเมื่อร่างสูงเดินผ่านรั้วเข้ามาในอาณาเขตร่มรื่นของบ้านสไตล์ขนมปังขิง ณัฐธีร์เหลือบนัยน์ตาแลเลยไปยังต้นเสียง จักรยานคันเล็กแบบมีล้อพ่วงเคลื่อนล้อไปในสนามหญ้าหน้าบ้าน โดยเด็กชายฉายสิริ หรือหนูตะวันตัวน้อย มีสุนัขพันธุ์ไทยสีทองแดงตัวหนึ่งวิ่งกระดิกหางตามให้กำลังใจอยู่ใกล้ ๆ เจ้าตัวนี้ติดหนูตะวันมาก เป็นเพื่อนคู่บุญกันมาแต่บ้านหลังเก่า คุณรพินทร์เลยรับมาดูแลด้วยกันทั้งคนทั้งหมา ริมฝีปากที่เรียบสนิทมาหลายวันโค้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นภาพบริสุทธิ์ตรงหน้า ร่างเล็กจ้อยคงเพิ่งหัดขี่จักรยานล่ะมั้ง ด้านข้างตัวรถถึงมีล้อพ่วงติดอยู่ ชีวิตเล็ก ๆ ที่ถูกกักขังทารุณมาตลอดเป็นไปในทางที่ดีขึ้น เขาเองก็พลอยอิ่มเอมใจไปด้วย

“หนูตะวัน คุณรพินทร์ซื้อจักรยานให้ใหม่หรือครับ” เขาส่งเสียงทักพลางก้าวฉับ ๆ เข้าไปหา ใบหน้าใสหันขวับ แม้จะคุ้นกันบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีแววของความไม่ไว้ใจซุกซ่อนอยู่ในดวงตาคู่ใส หนูตะวันหวาดกลัวผู้ชายตัวใหญ่ นั่นคือสิ่งที่เขารู้มา แต่ณัฐธีร์ไม่ท้อ พยายามชวนคุยอยู่บ่อย ๆ ได้รับการตอบรับบ้าง ไม่ได้รับบ้าง เป็นสิ่งที่เข้าใจได้

“อยากลองขี่ได้แบบไม่ต้องใช้ล้อพ่วงไหม วิ่งฉิวเลยนา เดี๋ยวพี่ณัฐช่วยหัดให้ เอาไหมครับ” เขาตะล่อมด้วยนึกเอ็นดู ไร้เสียงตอบรับแต่แววตาใสมีแววสนใจกับข้อเสนอไม่น้อย

“แต่วันนี้ยังไม่ได้นะครับ พี่ณัฐจะมาพาพี่กานต์ไปธุระก่อน กลับมาเดี๋ยวพี่ณัฐมาหัดจักรยานให้หนูตะวันเลย” เขาบอกด้วยรอยยิ้มอบอุ่น แก้มขาวเริ่มมีสีมะเขือเทศหน่อย ๆ ยามถูกคนหล่ออย่างพี่ณัฐจ้องกันตรง ๆ แบบนี้ ใบหน้ากลมเฉไฉ สายตาหลุกหลิกเอียงอาย ก่อนหาทางออกด้วยการขี่จักรยานหนีไปทางอื่นดื้อ ๆ ณัฐธีร์มองเด็กชายขี้อายไม่คุ้นคนยิ้ม ๆ ก่อนนึกขึ้นได้

“หนูตะวัน พี่ไปเที่ยวมา มีของฝากให้หนูด้วยน้า  กลับมาหาพี่ก่อนเร้ว” ณัฐธีร์ร้องเรียก มือล้วงลงในลงถุงของฝากที่หิ้วติดมือมา หยิบเค้กฝอยทองกับมะขามกวนที่มัดเป็นข้าวต้มมัดอันจิ๋วใส่ในกระจาดกับชะลอมชูให้ดูด้วยรอยยิ้ม รถจักรยานเบรกกึก คนขี่เอี้ยวตัวหันมามอง ท่าทีลังเลสนใจใคร่รู้ เพราะเคยถูกขังไม่ให้ออกไปไหนมาตลอดจนไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นหรือรู้จักอะไรมากนัก

“ส่วนตั๊กแตนนี่ พี่ตั้งใจสานมาให้ตะวันโดยเฉพาะ” ณัฐธีร์ชูตั๊กแตนสานจากใบมะพร้าวให้ดู เจ้าของดวงตาใสเหลือบมองอย่างสนใจ มือหนาใหญ่ยื่นทั้งขนมและตั๊กแตนดุ๊กดิ๊กส่งให้ หนูฉายสิริมองคนยื่นให้สลับกับมองของในมืออย่างช่างใจก่อนยื่นมือเล็ก ๆ มารับช้า ๆ ริมฝีปากน้อยขยับขมุบขมิบแต่ไร้เสียงพูดเช่นเคย

“กินขนมแล้วอย่าลืมแปรงฟันนะครับเด็กดี พี่ไปก่อนละ” มือหนาลูบศีรษะเล็กแผ่วเบา ร่างสูงเบือนหน้าเตรียมเดินเข้าไปข้างในบ้าน หากแต่มีบางอย่างรั้งชายเสื้อเอาไว้ เอี้ยวหน้ามาดูจึงเห็นเป็นหนูน้อยคนเก่า

“ว่าไงครับ” ณัฐธีร์ยอบกายลงนั่งบนส้นเท้า กุมบทสนทนาไว้เพียงฝ่ายเดียวเช่นเดิม ตัวเล็กปลิวลมจ้องเขาด้วยดวงตากลมไร้เดียงสาก่อนหลุบตาลงไม่กล้าสบตานาน ๆ เช่นเคย มือเล็กล้วงลงในกระเป๋าเอี๊ยมติดหน้าท้อง หยิบซองขนมส่งให้ ณัฐธีร์เลิกคิ้ว รับมาพลิกดูเห็นเป็นขนมอาลัวชิ้นจิ๋วในซองซิปล็อกเปิดกินง่ายแล้วหลุดหัวเราะ เดาไม่ยากว่าฝีมือคุณรพินทร์แน่ ๆ ทำเองแบบนี้ควบคุมปริมาณน้ำตาลได้ดีกว่าซื้อในท้องตลาด

“ให้พี่หรือครับ ให้พี่แล้วเวลาหนูตะวันหิวขนม หนูจะกินที่ไหนล่ะฮึ” ณัฐธีร์แกล้งแหย่เล่น รอยยิ้มกว้างผุดได้ง่ายดายด้วยความเอ็นดูเต็มกำลัง ดวงตาคมทอประกายอ่อนโยนยามทอดมองตัวเล็กปลิวลม สายลมเย็นเอื่อยพัดกลิ่นแป้งเด็กหอม ๆ ติดผิวอุ่นกรุ่นเข้าจมูก หนูน้อยยังคงไม่ปริปากตอบคำถาม นอกจากชี้มือเข้าไปในบ้าน ณัฐธีร์นึกถึงขวดโหลบรรจุขนมหลายขวดวางเรียงกันที่เคยเห็นแล้วอมยิ้ม ยังมีผลไม้ตามฤดูกาลที่คุณรพินทร์เตรียมไว้ให้กินไม่ขาด เตชะบุญแล้วหนูตะวัน ที่มาเจอกับคนที่นี่ เรื่องบาดแผลในใจต้องใช้เวลาเยียวยากันต่อไป เขาเองก็เช่นกัน

“ขอบคุณครับคนเก่ง งั้นพี่ขอตัวไปหาพี่กานต์ก่อนนะ หนูตะวันหัดขี่ให้คล่องก่อน เดี๋ยวพี่มาถอดล้อพ่วงออกให้นะครับ” เขาลูบศีรษะทุยแผ่วเบา สัมผัสเส้นผมอ่อนนุ่มราวเส้นไหม ริมฝีปากอุ่นแตะจรดหน้าผากมนเหมือนให้สัญญา ก่อนผละจากไป โดยมีดวงตากลมมองตามไม่ละ


รถยนต์แล่นไปเรื่อย ๆ โชเฟอร์หนุ่มเปิดเพลงคลอเบา ๆ ไม่ให้บรรยากาศเงียบจนเกินไป รพีกานต์เหลือบนัยน์ตาแลพี่ชายอยู่บ่อยครั้ง รู้สึกถึงความเฉยของอีกฝ่ายแล้วใจแป้วอย่างบอกไม่ถูก ณัฐธีร์รู้ตัวว่าถูกมอง เขาหันมายิ้มให้ รอยยิ้มบางอ่อนโยนฉาบบนริมฝีปากได้รูป มือหนายีศีรษะทุยเย้าหยอก เขาสบายใจขึ้นมากหลังจากไปแอดเวนเจอร์ขึ้นเหนือล่องใต้กับอัศม์เดช กลับมาเห็นเจ้าของใบหน้าใสสะอ้านแม้จะยังเจ็บปวด แต่ก็ไม่ฟูมฟายอย่างทุกที

“อื้อ พี่ณัฐ ไม่โกรธกานต์แล้วหรือครับ หายไปเป็นเดือนเลย” รพีกานต์เบี่ยงศีรษะหนีพัลวัล มือเรียวสางผมยุ่งเหยิงเข้าที่

“พี่ไม่เคยโกรธกานต์เสียหน่อย แค่หลบไปทำใจ” ณัฐธีร์ตอบเสียงเรียบ สายตามองตรงไปข้างหน้า รพีกานต์มองเสี้ยวหน้าคมแล้วอดรู้สึกสลดใจขึ้นมาไม่ได้

“พี่ณัฐ...”

“กานต์เป็นอย่างที่เคยเป็นนั่นแหละ พี่จะเป็นฝ่ายหยุดเอง พี่จะรักกานต์ ในแบบที่กานต์อยากให้พี่รัก” เขากลืนความรู้สึกบางอย่างลงคอ พยายามบอกตัวเองว่ามัน...เป็นไปไม่ได้

“ข้างหน้าเป็นปั๊ม คุณแม่อยากเข้าห้องน้ำไหม” หันมาถามอย่างใส่ใจเช่นเดิม ที่เปลี่ยนไปคือไม่ละลาบละล้วงเช่นเก่า

“ครับ” รพีกานต์พยักหน้า แม้จะรู้สึกหน่วงกับท่าทีเหมือนเฉยเมยในบางครั้ง แต่ณัฐธีร์ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเข้มแข็งขึ้น

“งั้นเดี๋ยวพี่แวะมินิมาร์ทไปซื้ออะไรรองท้องให้เนอะ หรือกานต์จะให้พี่ไปส่งก่อน”

“ไม่ต้องหรอกครับ แค่เข้าห้องน้ำเอง พี่ณัฐไปซื้อของเถอะ เสร็จแล้วเดี๋ยวกานต์มารอที่รถ” ตกลงกันเสร็จสรรพเรียบร้อย เมื่อรถเลี้ยวเข้าช่องจอด ต่างฝ่ายต่างก็ไปจัดแจงธุระของตน ห้องน้ำของปั๊มอยู่ห่างออกไปหน่อย ตอนรพีกานต์เข้าไปใช้บริการนั้น ใครคนหนึ่งก็เปิดประตูออกมาล้างมือพอดี สายตาสองคู่สบประสานกัน หัวใจของรพีกานต์เร่งจังหวะรัวขึ้นเมื่อได้เจอใครอีกคนแบบไม่คาดฝัน หากแต่ร่างเปรียวเลี่ยงที่จะทักทายสนทนากับเขา ทว่าเสียงที่ดังขึ้นแทรกความเงียบนั้นทำให้ชะงักเล็กน้อย

“ไม่คิดจะทักกันหน่อยหรือไง หรือว่าควงลูกชายนักการทูตจนพี่ตกกระป๋องไปแล้ว” รพีกานต์ขมวดคิ้วงง ปรายตามองคนหาเรื่องเหน็บแนมนิดหน่อยพลางส่ายหน้าไม่สนใจ มือผลักบานประตูหมายจะรีบเข้าไปทำธุระให้เสร็จ ๆ

ปัง ! แกร็ก !

ร่างเล็กหน้าแทบคำคะมำเมื่อร่างสูงใหญ่เบียดกายแทรกตามเข้ามาด้วย มือหนาปิดประตูลงล็อกเสร็จสรรพ หันมาหน้าถมึงทึง

“พี่วินตามกานต์เข้ามาทำไมเนี่ย” รพีกานต์โวยด้วยความไม่เข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่าย กลบเกลื่อนอาการเต้นรัวในอก สัมผัสชิดใกล้ ลมหายใจอุ่นจัด กลิ่นกายหอมกรุ่นคุ้นเคยของอัครวินท์ ทุกอย่างยังคงจารรอยเดิมเอาไว้อย่างแน่นหนา เพียงเท่านี้หัวใจที่เคยโหยหาเขามาตลอดก็เต้นเร่าในอก

“เดี๋ยวนี้ทำเมินใส่พี่หรือกานต์” น้ำเสียงฉุนเฉียวแสดงอาการไม่พอใจเต็มที่ ทั้งหงุดหงิดจากภาพวันนั้นเป็นทุนเดิมจึงอยากหาเรื่องเต็มที่ รพีกานต์ทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าที่ควร แถมท่าทีสะบัดหน้าหนีทำให้เขาผลุนผลันรีบตามเข้ามาไม่รู้ตัว

“พี่วินพูดบ้าอะไรเนี่ย พี่เองไม่ใช่หรือ ? ที่มีคนใหม่” รพีกานต์ย้อนเข้าให้บ้าง ยังผลให้คนตัวใหญ่นิ่งไป

“พี่วินออกไปเถอะครับ กานต์จะทำธุระ เราต่างมีชีวิตของใครของมันแล้วนะครับ” ทั้งที่ไม่มีคำบอกเลิกซักคำ รพีกานต์ประนีประนอมด้วยถ้อยคำอ่อนลง พูดเองเจ็บเอง เจอกันแถวนี้ พี่วินก็คงจะพาใครสักคนมาเที่ยวอีกตามเคย นึกถึงตรงนี้ความเจ็บปวดก็แล่นริ้ว คนลืมช้าคือคนแบกรับความเจ็บปวด ทั้งที่ฝ่ายหนึ่งต้องการจบการสนทนาแต่คนฟังกลับตีความไปอีกอย่าง

“ไล่พี่แบบนี้แสดงว่ามีคนรออยู่ข้างนอกสินะ กานต์ต้องการประชดพี่ใช่ไหม ต้องการเรียกร้องความสนใจให้พี่กลับมาหา ถึงได้ควงกับฉายฉานให้พี่เห็น เมียพี่เข้าใจเลือกนี่ เดือนรัฐศาสตร์เสียด้วย เสียใจด้วยนะ มุกนี้ไม่ใหม่ เคยมีคนใช้แล้ว และมันไม่ได้ผลกับพี่” อัครวินท์เยาะ หากในใจกำลังคุกรุ่นจริง ๆ ใช่ เคยมีคนใช้มุกนี้มาแล้วและคว้าน้ำเหลว แต่กับคนตัวเล็ก เขากลับรู้สึกโมโหขึ้นมาจริง ๆ

“พี่ฉายเกี่ยวอะไรด้วย พี่เขาเป็นเพื่อนพี่ณัฐ เคยเจอกันไม่กี่ครั้ง แล้วพี่วินมาซักไซ้กานต์แบบนี้ พี่เองก็ควงคนอื่นไปทั่วไม่ใช่หรือครับ กานต์เป็นแค่ของเล่นของพี่ เบื่อแล้วก็เขี่ยทิ้ง แล้วนึกยังไงมาวอแวกับของเล่นเก่า ๆ ที่พี่วินกระทืบมันพังไปแล้ว” ยิ่งพูดยิ่งเสียใจ ความน้อยใจแสดงออกผ่านดวงตาที่จ้องประสานไม่มีหลบ อัครวินท์สะอึก รู้อยู่แก่ใจว่าตนเองนั้นผิดเต็มประตู กระนั้นยังดึงดันจะเอาชนะ

“กานต์เป็นของพี่” เขาประกาศชัดถ้อยชัดคำ เลือกที่จะปัดทุกเหตุผลทิ้งไป ไม่รับฟังอะไรทั้งนั้น เขาต้องการคนของเขาคืน และเขาต้องได้

“พี่วินเห็นแก่ตัว ไม่มีเหตุผล ถอย ! ถ้าพี่ไม่ออกไป กานต์จะออกไปเอง” รพีกานต์ผลักอกหนา ทว่าข้อมือเล็กกลับถูกรวบยึด กายหนาดันร่างเล็กกว่าชิดผนัง บดเบียดร่างกายคลุกเคล้าเข้าหา ริมฝีปากร้อนผ่าวบดเบียดจาบจ้วงความหวานฉ่ำภายใน กลิ่นกายหอมคุ้นเคยยั่วเย้าอารมณ์ของอัครวินท์ลุกฮือ ริมฝีปากนุ่มนิ่มฉ่ำหวานทำเขาหัวหมุนเหมือนเคย ร่างกายร้อนพล่านด้วยความปรารถนา ฝ่ามือร้อนลูบไล้ผิวเนื้อเนียนนุ่ม ลมหายใจร้อนระอุกว่าเก่า

“อื้อ อย่า อุ๊บ!” รพีกานต์ขัดขืน ริมฝีปากเล็กถูกปิด เสียงกระซิบกระซาบลอดผ่านริมฝีปากได้รูปขณะลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดใบหู

“มีคนเข้ามา อยากให้เขาได้ยินก็ร้องดัง ๆ ร้องไปเลย แต่พี่ไม่หยุด” คนถูกขู่หุบปากฉับ เปิดโอกาสให้คนรุกรานยิ้มพราวในแววตาร้ายกาจ แขนหนาตวัดโอบเอวบางรั้งเข้าแนบชิด ริมฝีปากช่ำชองปรนเปรอรสจูบซาบซ่าน รพีกานต์หัวหมุนคว้าง ขาสั่นระริก ข้างนอกยังได้ยินเสียงคนคุยกัน  มือเล็กกำอกเสื้ออีกฝ่ายแน่น หัวใจเต้นรัวทั้งยืนสั่นไปทั้งกาย รสจูบหวานล้ำสลับกับร้อนเร่าในบางที อัครวินท์รู้สึกตื่นเต้นและท้าทาย ยิ่งเหลือบมองใบหน้าส่ายไปมาแสดงการไม่ยินยอม แต่ไม่กล้าเปล่งเสียงให้เล็ดลอดออกไปยิ่งกระตุ้นเร้าอารมณ์ของเขา ชายเสื้อเลิกขึ้น ยอดอกสีอ่อนถูกครอบครองด้วยเรียวลิ้นชุ่ม รพีกานต์เงยหน้าเริดปิดปากกลั้นเสียงเต็มกำลัง แก้มขาวร้อนผ่าว ความร้อนวูบวาบแล่นพล่านทั้งกายด้วยไฟปรารถนาที่ถูกอีกฝ่ายจุด มือเล็กอ่อนแรงลงเรื่อย ๆพยายามผลักพยายามดันอีกฝ่ายแต่ดูเหมือนเรี่ยวแรงจะลดน้อยถอยลงทุกที

“อือ...” เสียงครางแผ่วเบาเปล่งผ่านลำคอ นัยน์ตาหวานฉ่ำกับสัมผัสที่อีกฝ่ายมอบให้ ไม่ว่าจะอย่างไรรพีกานต์ก็ไม่อาจต้านทานแรงดึงดูดจากผู้ชายที่ชื่ออัครวินท์ได้เลย ทั้งที่เขาเคยทำให้เจ็บช้ำน้ำใจมาไม่น้อย แต่พอถูกฝ่ามือร้อนลูบไล้สัมผัส ลมหายใจอุ่นผ่าวที่เป่ารดกันและกัน ร่างกายก็โอนอ่อนโดยง่าย รู้ตัวอีกที กางเกงก็หลุดจากสะโพกลงไปกองที่ข้อเท้า พร้อมริมฝีปากร้อนชุ่มที่เข้าครอบครองส่วนรัก

“พี่วิน !” เสียงนุ่มกระซิบกระซาบด้วยความตกใจ ที่เคยร่วมรักกันมาอัครวินท์ไม่เคยทำแบบนี้ให้มาก่อน มือเรียวพยายามผลักเขาออกห่าง หากชั้นเชิงปลายลิ้นกลับให้ทำรพีกานต์กระตุกเกร็ง แขม่วหน้าท้องด้วยความสยิวซ่าน มือที่ผลักเปลี่ยนเป็นแทรกไปตามเส้นนุ่มระบายความรู้สึกซ่านที่ได้รับ อือ...พี่วิน

อัครวินท์ปรนเปรอให้อย่างไม่นึกรังเกียจแม้แต่น้อย ทุกอณูร่างกายของรพีกานต์คือสิ่งวิเศษสำหรับเขา ปลายนิ้วยาวกดชำแรกเบิกทางยังส่วนคุ้นเคย หากรพีกานต์สะดุ้งโหยง นึกขึ้นได้ในทันทีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น หากแต่ตอนนี้เขากำลังตั้งครรภ์ อารามตกใจระคนห่วงลูกร่างเล็กออกแรงผลักเขาออกเต็มกำลังพลางขยับหนี

“ไม่ได้พี่วิน !” รพีกานต์สั่นหน้าหวือพัลวัน คุณหมอบอกว่าสามารถร่วมรักได้ แต่คนที่ไม่รู้เรื่องเช่นอัครวินท์ รพีกานต์ไม่แน่ใจว่าเขาจะโหมกำลังรุนแรงเพียงใด นึกแล้วแก้มขาวก็ให้แดงซ่านร้อนวูบวาบไปทั้งเนื้อทั้งตัวราวจับไข้ คนตัวใหญ่กำลังช้างสาร กินหวานกันได้ตลอดคืนจนรพีกานต์หลับพับคาอกมาแล้ว

“ทำไม” เสียงเข้มติดห้วน คิ้วเข้มขมวดอย่างไม่พอใจทันที

Trrrrr

- มีต่อด้านล่างค่ะ -
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๙)(P.๗)(๒๔/๐๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 24-01-2017 16:42:35
๑๙ (ต่อ ๒)

Trrrrrr

เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของรพีกานต์ดังขึ้นขัดจังหวะ ร่างเล็กรีบดึงกางเกงขึ้นสวมลวก ๆ มือล้วงลงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ออกมาดูสายเรียกเข้า หากมือหนาของใครคนหนึ่งฉวยแย่งโทรศัพท์ไปจากมือเพื่อดูเสียเอง

‘พี่ณัฐ’

“อ้อ มิน่า พี่ไม่น่าลืมพี่ณัฐคนดีของกานต์ไปเลย” อัครวินท์ประชดมือกดตัดสายทิ้ง ดวงตาคมวาวด้วยอารมณ์กรุ่นขณะก้าวเท้าประชิดตัวบาง ห้องน้ำก็แคบแค่นี้ ให้มันรู้ไปว่าจะหนีไปไหนพ้น เขาโกรธขึ้นมาจริง ๆ หึงหวงทุกคนที่เข้าใกล้ไม่ว่าหญิงหรือชาย

“ที่ไม่ยอม จะเก็บไว้ให้มันใช่ไหม” เขาเค้นถามเสียงเย็นเฉียบ ประกายตาวาวราวกับมีเปลวไฟลุกท่วมอยู่ข้างใน รพีกานต์ส่ายหน้า ต้นแขนถูกกระชากโดยแรง จมูกโด่งซุกไซ้อย่างไม่ปรานีปราศรัย อัครวินท์กำลังเลือดขึ้นหน้าด้วยความโมโห

“อยากร้องก็ร้องไป แต่พี่ไม่หยุด กานต์เป็นของพี่ จำใส่ใจเอาไว้” เสียงโทรศัพท์ดังซ้ำอีกครั้งกลับไม่ได้รับความสนใจ ร่างกายและหัวใจถูกกระทำอย่างข่มเหง ฉีกกระชากจิตวิญญาณ เหยียบย่ำทารุณอย่างโหดร้าย น้ำตาหยดใสไหลพราก หัวใจรพีกานต์เย็นเยือกสั่นสะท้าน รพีกานต์คิดถึงพ่อ คิดถึงพี่ณัฐ พี่ชายคนดีของน้องน้อย ไม่มีสักครั้งที่จะทำให้ระคายแม้เพียงปลายเล็บ ภาพพี่ชายพาน้องขี่หลังพามาส่งบ้านตัวเปียกปอน รพีกานต์ถือร่มใบบัวบังฝนให้พี่ ครั้งนั้นณัฐธีร์ถูกหลวงตาทำโทษอย่างหนัก โดยที่รพีกานต์ไม่โดนสักแปะ แล้วทำไมหัวใจต้องรักคนใจร้ายคนนี้

“พี่ณัฐ...” เสียงแหบแห้งเครือครางแผ่ว น้ำตารินไหล น้องน้อยคิดถึงพี่ชาย อยากให้พี่พาน้องกลับบ้าน หนีไปจากคนใจยักษ์ใจมาร

“อยู่กับผัวยังกล้าเรียกชื่อคนอื่น” ดวงตาคมกล้ากร้าวโชน เสียงเรียกชื่อณัฐธีร์ไม่ต่างจากสาดน้ำมันเข้ามาในกองไฟ รพีกานต์มองคนใจดำผ่านม่านน้ำตาที่ไหลอาบ ริมฝีปากถูกกัดจนเจ็บ เจ็บปวดเหลือประมาณไม่ต่างจากถูกบากขั้วหัวใจแล้วเอาเกลือทา

“พี่วินอย่าทำกานต์” สองมือยกพนมไหว้อ้อนวอน ด้วยกลัวความเร่าร้อนของเขาจะทำร้ายลูกน้อยในท้อง

“ทำไม! ไม่ให้พี่ แล้วจะเก็บเอาไว้ให้ใคร!”

“ฮึก! ไม่ใช่! กานต์ไม่ได้เก็บไว้ให้ใคร กานต์มีแค่พี่ พี่วินคนเดียว”

“โกหก! เห็นอยู่ว่ากานต์อยู่กับใครบ้าง แล้วยังกล้าโกหกพี่ ! กานต์จะเก็บเอาไว้ให้บรรดาผู้ชายของกานต์ใช่ไหม ฮึ” ร่างเล็กถูกจับเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอนตามแรงอารมณ์เกรี้ยวกราดที่ฮ้อตะบึงราวพายุฉีกกระชาก

“ไม่ใช่! กานต์ท้อง!” รพีกานต์โพล่งขึ้น เพราะดูท่าทีอัครวินท์แล้วหากอมพะนำไว้ คงถูกอาละวาดจนกระเทือนกับท้องอ่อน

“ว่าอะไรนะ!” อัครวินท์หยุดการกระทำลง เค้นเสียงทวนคำถาม

“กานต์ท้อง อึก ในท้องนี่ มีลูกของพี่ ลูกของเรา” นัยน์ตาทั้งคู่ฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำตา รพีกานต์ประสานสายตากับดวงตาดุดัน เอ่ยทวนสิ่งที่เพิ่งพูดออกไปเมื่อครู่อีกหน ทว่าอีกคนกลับแค่นเสียงเยาะ

“หมดเรื่องจะกุขึ้นมาหลอกพี่แล้วใช่ไหม ถึงคิดว่าพี่โง่จนลืมไปว่ากานต์เป็นผู้ชายเหมือนพี้ ไอ้นั่นกานต์ก็มีเหมือนพี่ แล้วจะท้องได้ยังไง สะดีดสะดิ้งไม่ให้ผัวเอา หรือว่ามีผัวใหม่แล้ว ไอ้หนุ่มวิศวะนั่นใช่ไหม หรือหนุ่มไฮโซเดือนรัฐศาสตร์ หรือยังมีใครอีก” อัครวินท์ขึงตาหยามหยัน รพีกานต์รู้ซึ้งถึงสันดานหยาบช้าฉาบด้วยเปลือกสวยภายนอกก็วันนี้

“พี่อย่าคิดว่าทุกคนจะเป็นเหมือนพี่สิครับ”

“กานต์!” รพีกานต์แสร้งทำเป็นเข้มแข็งทั้งที่น้ำตาตกใน ดวงตากล้าแข็งประสานสายตาแข็งกร้าวของอัครวินท์ มันปวดแปลบลึก ๆ ข้างในก็ตรงนี้ ตรงที่เราไม่เคยลืมเลือนความรักที่มีให้แก่เขายามที่เราได้มาอยู่ตรงหน้าคนที่ไม่เคยมีรักให้เรา ยิ่งคิด หัวใจก็ยิ่งปวดร้าวกับภาพเก่า ๆ ที่ไหลย้อนกลับมาอย่างซื่อสัตย์ต่อความรู้สึก น้ำตาที่ไหลอยู่ข้างในใจคงมีมากมายเกินบรรยายถึงได้เอ่อนองผ่านออกมาจากดวงตา รพีกานต์ขอบตาร้อนผ่าวมองคนใจดำผ่านม่านน้ำตาที่ไหลอาบ ภาพที่เห็นนั้นพร่าเลือนทว่ายังมองเห็นคนใจดำ ไม่มีเสียงสะอื้น รพีกานต์เพียงแต่จ้องตากับเขาแล้วปล่อยน้ำตาให้ไหลเงียบ ๆ ไม่คิดเรียกร้องให้สงสารหรือร้องขอให้กลับคืนมา ไม่หวังว่าเขาจะรู้สึกรู้สา

“กานต์” เหมือนมีก้อนแข็งแล่นมาจุกที่ลำคอ อัครวินท์พูดไม่ออก น้ำตาคนตัวเล็กมีอานุภาพต่อความรู้สึกของเขา น่าแปลกที่เขากลับไม่รู้สึกยินดีซักนิดที่ทำร้ายหัวใจน้อย ๆ ดวงหนึ่งลงได้ เขาควรจะยิ้มอย่างผู้กำชัยชนะเอาไว้ในกำมือไม่ใช่หรือ แต่ทำไม อัครวินท์กลับรู้สึกว่าตนเองแพ้อย่างราบคาบเช่นนี้ เขาแพ้...ให้แก่น้ำตาของรพีกานต์ แพ้ให้แก่หัวใจบริสุทธิ์ ตั้งแต่คราวนั้นที่รู้ข่าวรพีกานต์เกิดอุบัติเหตุ หัวใจของเขาอ่อนลงและคงจะอ่อนกว่านี้หากไม่มีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา

“กานต์ ! อยู่ในนี้ไหม” เสียงของณัฐธีร์ดังขึ้นขณะเยี่ยมหน้าเข้ามาเมียงมองดูข้างใน ไม่มีใครทำธุระอยู่ มีเพียงห้องหนึ่งปิดประตูเงียบจึงลองร้องถาม

“กานต์” ณัฐธีร์ยืนอยู่หน้าห้องที่ปิดเงียบ ภายในกำลังเกิดสงครามสายตาขนาดย่อม รพีกานต์เป็นฝ่ายถอนสายตาหันมารับคำ

“พี่ณัฐ กานต์อยู่นี่ กำลังจะออกไปครับ” ณัฐธีร์โล่งใจ กำลังจะกลับออกไปรอด้านนอก หากเสียงตึงที่ได้ยินทำให้ชะงัก หันขวับกลับมาทันที

“กานต์เป็นอะไร กานต์ !” ณัฐธีร์เคาะประตู ในใจนึกหวั่นกลัวน้องจะลื่นล้ม เขาห่วงทั้งกานต์ทั้งเจ้าตัวเล็กในท้อง

“พี่ณัฐ ! อื้อ!”

“กานต์เป็นอะไร !” ณัฐธีร์ทุบประตูร้อนใจ เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้นแต่เขาไม่มีกระจิตกระใจจะสนใจจนเสียงหนึ่งตะโกนออกมา

“รับสิโว้ย !” ณัฐธีร์นิ่งงัน เสียงนั่น หรือว่า ? มือสั่นเทาล้วงโทรศัพท์ออกมา สายรพีกานต์กำลังเฟซไทม์หาเขา เมื่อกดรับ ภาพที่เห็นทำให้เขาแทบล้มทั้งยืน น้องน้อยกำลังจูบกับใครอีกคน ใครคนหนึ่งถอนใบหน้าหันมามองเขาท้าทายแสดงความเป็นเจ้าของเต็มที่ ซอกคอระหงถูกซุกไซ้จาบจ้วง รพีกานต์ขัดขืน ภาพทุกอย่างถูกตัดฉับ

“พี่ณัฐช่วยกานต์ด้วย” เสียงน้องน้อยร้องขอความช่วยเหลือ ณัฐธีร์ขอบตาร้อนผ่าวทุบประตูปึงปังด้วยความทรมานใจ

“กานต์...” เขาตั้งท่าจะพังประตูเต็มที่ หากประตูถูกเปิดออกผลัวะพร้อมใครอีกคนที่ยืนจังก้าก้าวเท้าออกมา มือหนากำข้อมือเล็กแน่นกระชากออกมาจากห้องน้ำด้วยกัน หมัดแหวกอากาศปะทะใบหน้าณัฐธีร์ไม่มีปี่มีขลุ่ย คนไม่ทันตั้งตัวเซถลา รพีกานต์หวีดเสียงด้วยความตกใจ

“พี่ณัฐ !” ณัฐธีร์เลือดขึ้นหน้าเดินหน้าเข้าหา เขาทนกับไอ้คนเหยียบย่ำหัวใจของเขามานาน วันนี้จะได้เห็นดีกัน ! หมัดลุ่น ๆ สวนเข้ากระแทกใบหน้าลูกชายนายธนาคารเข้าให้บ้าง ทั้งรวดเร็ว แม่นยำ และหนักหน่วงในเวลาเดียวกัน เล่นเอามึนทีเดียว รสเลือดเค็มปร่ากบปากอย่างรวดเร็วยืนยันได้เป็นอย่างดี อัครวินท์ไม่เคยรู้ว่าณัฐธีร์นี่แหละคู่ใจคอยซ้อมกับเจ้าของค่ายมวยบ่อย ๆ

“พี่วิน” รพีกานต์ทำอะไรไม่ถูกเมื่อคนทั้งคู่เริ่มตะลุมบอนกันจริงจัง

“หยุดนะ !” ร่างเล็กปรี่เข้าไปขวาง มือเล็กคล้องเอวณัฐธีร์ดึงออกเมื่อพี่ชายกำลังจะกระทืบเท้าซ้ำคนที่ลงไปกองเค้เก้ ณัฐธีร์ยอมยั้งมือ อย่างน้อย ๆ ได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของอดีตเดือนบริหารฯ แตกยับเยินก็สาแก่ใจดี อัครวินท์ยันกายลุก หลังมือปาดเช็ดเลือดที่ไหลจากมุมปากลวก ๆ ไม่ยักรู้มาก่อนว่าณัฐธีร์จะเป็นมวยจัดเจนถึงปานนี้

“พี่ณัฐไปกันเถอะครับ เดี๋ยวคนได้แห่กันมา” ร่างเล็กเขย่าแขนพี่ชาย สายตาเหลือบเห็นคนชะเง้อเมียงมองเหตุการณ์อยู่ด้านนอก ดวงตาสวยเหลือบแลอีกคน แววห่วงใยอีกคนไม่น้อยปรากฏในดวงตางาม ใบหน้าหล่อใสโดนไปไม่กี่หมัดก็แตกเยิน เห็นพี่ณัฐหงิม ๆ ยอมให้กานต์ แต่จริง ๆ แล้วมือเท้าหนักน้อง ๆ พี่เดชเลยก็ว่าได้ เพียงแต่จะใช้เมื่อจำเป็นจวนตัวก็เท่านั้น คนใจอ่อนออกเดินแต่ไม่วายเหลียวมองคนด้านหลัง นึกสงสารพี่วินอยู่ครามครัน

“พี่ไม่ให้ไป !” โดนตะบันหน้ายับเยินไปยังไม่วายสิ้นฤทธิ์ อัครวินท์ตามออกมาดึงข้อมือร่างเล็ก ๆ ที่กำลังจะลับไป หากณัฐธีร์หันมายื้อกลับอีกเช่นกัน เกิดศึกชิงนายกันหน้าห้องน้ำนั้น ผู้เห็นเหตุการณ์ควักโทรศัพท์ออกมาเตรียมถ่ายคลิป แต่สองเสียงห้าวเข้มที่เกิดสามัคคีดังเกือบพร้อมกันทำให้รีบหดกลับ

“ใครถ่ายกูกระทืบ!” ดวงตาวาวฉานถมึงทึงสองคู่ที่จดจ้องเหมือนจะเขมือบหัวทำให้เจ้าของโทรศัพท์กลืนน้ำลายกลัวจนหัวหด

“เมื่อกี้ข้างในมึงได้ถ่ายไว้ไหม” อัครวินท์ถามน้ำเสียงคุกคามเต็มที่ หากมีภาพเขาหลุดไป เกิดเรื่องใหญ่แน่ ๆ

“เปล่าครับพี่ ผมถ่ายไม่ทัน”

“แล้วมึงจะอยู่รอกูกระทืบอีกนานไหม” เป็นณัฐธีร์ที่เสียงเข้มถาม เท่านั้นก็ทำให้คนที่ปวดอุจจาระแทบราดนึกกลัวจนหดกลับทันที ไม่รอให้ถามย้ำ

“กานต์จะเลือกไปกับใคร” น้ำเสียงติดเข้มเร่งเร้าในทีอย่างคนเอาแต่ใจตัว เมื่อไล่คนไม่เกี่ยวข้องไปได้ อัครวินท์มองร่างเล็กกว่าสายตากดดัน ใบหน้าสง่างามยโสอย่างทระนงเหมือนไม่แยแส แต่สายตานั้นออกคำสั่งเต็มที่ ประหนึ่งว่าไม่เลือกเขา รพีกานต์ก็จะไม่ได้รับการแยแสจากคนอย่างเขาอีก ณัฐธีร์มองท่าทีอึกอักด้วยใจปวดร้าว ใจอยากดึงแขนเสลามาไว้กับตัวนัก

“กานต์มากับพี่”

“กานต์!” อัครวินท์เต้นเร่าในอก คนอย่างมันบังอาจเทียบชั้นกับเขา แต่เมื่อทำอะไรณัฐธีร์ไม่ได้ คนกลางอย่างรพีกานต์จึงต้องรับกระแสกดดันไปเต็ม ๆ

“กานต์/กานต์ !” สองเสียงดังขึ้นเกือบพร้อมเพรียง ข้อมือซ้ายขวาถูกครอบครองโดยผู้ชายสองคน อัครวินท์ยื้อเข้าหาตัว แต่ท่อนแขนแข็งแรงของณัฐธีร์ก็ต้านไว้อย่างเหนียวแน่น

“ปล่อยสิโว้ย !” คนไม่เคยถูกขัดใจฉุนเฉียวเมื่อถูกงัดข้อด้วย

“กานต์มากับพี่” ดวงตาที่ปรกตินิ่งเฉยเป็นนิจลุกวาวถลึงมองหนุ่มสำอาง อัครวินท์รับรู้ถึงแววตาของเสือซ่อนเล็บตัวจริงก็คราวนี้ ณัฐธีร์ไม่ได้หงอให้ใครเคี้ยวได้ง่าย ๆ อย่างที่เข้าใจ เพียงแต่ชายหนุ่มยอมลงให้รพีกานต์ก็เท่านั้น แต่ยามที่เคียดขึ้ง คนเงียบ ๆ แบบนี้ไม่ต้องพูดพร่ำคุยโวก็เชือดคู่ต่อสู้ได้อย่างคาดไม่ถึง อัครวินท์หนาววาบกับแววตาถมึงทึงในยามนี้ของณัฐธีร์ แต่มีหรือคนอย่างเขาจะยอม แววตาวาวโรจน์ของลูกชายนายธนาคารจ้องกลับ ทั้งแผ่อำนาจฟาดฟันศัตรูและยื้อแย่งคนกลางไปในเวลาเดียวกัน ภาพเสือสองตัวกำลังขู่คำรามเพื่อแย่งกระต่ายตัวน้อยเต็มไปด้วยบรรยากศคุกรุ่น คนกลางอย่างรพีกานต์แทบสติแตกกับความกดดันจากสองด้าน

“พี่วิน ! กานต์จะไปกับพี่วิน !” รพีกานต์หลับหูหลับตาโพล่งขึ้นด้วยความลืมตัวเมื่อถูกกดดันหนักเข้า เหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงลงกลางกบาลพี่ชาย ณัฐธีร์นิ่งงันเหมือนคนถูกกระชากหัวใจแบบไม่ทันตั้งตัว สายตาที่มองน้องน้อยเต็มไปด้วยความตกตะลึง

“หึ เขาเลือกกูว่ะ ได้ยินชัดแล้วนะ ไอ้หมาขี้เรื้อน” เจ้าของใบหน้าแหกเยินยักคิ้วยั่ว  มุมปากเหยียดยิ้มด้านหนึ่งอย่างดูแคลนเต็มประดาจนณัฐธีร์อยากจะสมมนาคุณให้อีกสักหมัด มือหนากระชากมือณัฐธีร์สะบั้นหลุดจากแขนเสลาพร้อมผลักอกเซแทบหงายหลัง ก่อนแทรกกายเข้าขวางนัยน์ตาขุ่น  ใบหน้าเย้ยหยันอย่างคนถือไพ่เหนือกว่าของอัครวินท์ยังไม่บาดหัวใจเท่าคำตอบของรพีกานต์ ที่เฉลยออกมาว่าเลือกใคร

“กานต์...ทำไม” เสียงเปล่งผะแผ่วกลืนหายลงลำคอด้วยความช็อกหนัก มือที่ถูกกระชากออกสิ้นแรงจะรั้งเจ้ากายบางเข้ามาหา ณัฐธีร์หน้าชาแทบล้มทั้งยืน ดวงตาพี่ชายวูบไหวตัดพ้อน้องน้อยมากมาย เขาทนได้กับทุกสิ่ง อดทนมาได้ทุกอย่างตั้งแต่จำความได้จนเดี๋ยวนี้ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าน้องรักใคร แต่พอได้ยินชัด ๆ กับหูว่าน้องเลือกเขา ที่เคยทนได้เรื่อยมาก็เหมือนจะตายเอาง่าย ๆ ตอนนี้เอง

ฝ่ายคนจองหองถือว่าตนชนะทำท่าผยองได้ไม่นานก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อร่างเล็ก ๆ นั่นแล่นเข้าจับมือคู่อาฆาตปลอบประโลมต่อหน้าต่อตา ท่าทีห่วงหาอาทรนั่น ไหนว่ารักเขา หรือแค่ลุ่มหลงแต่จริง ๆ แล้วรพีกานต์รักมัน

“พี่ณัฐเป็นคนสำคัญสำหรับกานต์ เป็นคนที่กานต์เห็นเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่กานต์มีเรื่องต้องคุยกับพี่วิน พี่ณัฐกลับไปก่อนนะครับ กานต์ไม่เป็นไรหรอก ให้มันรู้ไปว่าคนอย่างอัครวินท์ อิศวัชร์ จะทำร้ายกานต์ได้ลงคออย่างไร้เหตุผลอีก” ดวงตางามเหลือบมองค้อน อัครวินท์สะอึกกับคำประชดประชัน คนเย่อหยิ่งมีน้ำโหหน่อย ๆ แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไปตามเรื่อง
“แล้วที่นัดหมอไว้ล่ะกานต์” ณัฐธีร์ไม่ได้สนใจหมาหวงก้าง เขามองใบหน้าใสสะอ้านก่อนหลุบมองหน้าท้อง อัครวินท์ขมวดคิ้วเริ่มคิดตาม ท้อง ?...เมื่อกี้รพีกานต์บอกเขาแบบนั้น ร่างเล็กไม่ใช่คนโกหก แต่นี่มันร่างกายของผู้ชายชัด ๆ ถึงจะไม่ได้หนาล่ำหมีควายอย่างศัตรูคู่อาฆาตของเขาก็เถอะ

“คุยตรงนี้ให้จบ ๆ ไปได้ไหม หรือกานต์ไม่ไว้ใจพี่แล้ว” สายตาวิงวอนของเขามีเพียงน้องน้อยในแววตา

“กานต์ !” อัครวินท์ไม่พอใจบรรยากาศที่เหมือนเขาเป็นคนนอก มือหนาดึงร่างเปรียวเข้าหา หากคนไม่ทันระวังสะดุดขาตัวเองหน้าเกือบทิ่ม

“อย่ารุนแรงกับกานต์” ณัฐธีร์รีบเข้าพยุง นัยน์ตาขุ่นตำหนิอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ

“กานต์เป็นอะไร” อัครวินท์คาดคั้นด้วยความสงสัย

“เปล่า พี่ณัฐไปกันเถอะ” รพีกานต์บอกปัด ไม่นึกอยากเสวนาด้วยขึ้นมาดื้อ ๆ ร่างเล็กต้องการตัดบทและไปจากตรงนี้

“กานต์ท้อง ? เมื่อกี้กานต์บอกพี่ว่ากานต์ท้อง” ชายหนุ่มลองหยั่งเชิง ใบหน้าซีดเผือดของรพีกานต์ยืนยันในสิ่งที่เขาพูดได้เป็นอย่างดี แม้จะไม่เชื่อสิ่งที่อีกฝ่ายบอก แต่เขาไม่มีทางปล่อยไปง่าย ๆ แน่

“ถ้าอย่างนั้นกานต์ก็ต้องไปกับพี่ เราได้คุยกันยาวแน่ คนนอกไม่เกี่ยว” อัครวินท์สีหน้าเอาเรื่อง ท้องได้จริงหรือไม่ มันพิสูจน์ได้ไม่ยาก แต่เขาจะไม่ปล่อยรพีกานต์ไป

“กานต์จะเอายังไง” ณัฐธีร์ให้รพีกานต์เป็นฝ่ายเลือกอีกหน สู้กันตัวต่อตัวเขาอาจชนะ แต่สู้ด้วยเรื่องของหัวใจ แววตาห่วงใยตอนรพีกานต์เหลือบมองอีกฝ่ายสะบักสะบอมเมื่อครู่ มันยอกในอกแปลบ ๆ

“กานต์...” รพีกานต์เลือกไม่ถูก แววตาพี่ชายทำให้น้องน้อยพลอยปวดร้าวไปด้วย แต่แววตาของใครอีกคนก็กุมหัวใจรักของรพีกานต์เอาไว้เต็มเปี่ยม จากรสจูบและสัมผัสก่อนหน้าทำให้ร่างเล็กรู้ตัวแล้วว่ายังรักเขาอยู่เต็มหัวใจ แม้อีกฝ่ายจะร้ายกาจด้วยแค่ไหน และอัครวินท์ก็เป็นเพียงคนเดียวที่รพีกานต์ยอมให้ทั้งร่างกายและหัวใจ แต่เลือกยังไง ไม่ให้ใครต้องเจ็บ ณัฐธีร์มองความลังเลในดวงตาคู่สวยด้วยความร้าวระทม แววตาที่มองเขาด้วยความเกรงใจ กับแววตาที่มองอีกคนด้วยความโหยหา เท่านี้คำตอบก็ชัดเจนสำหรับคนไม่ใช่อย่างเขาแล้ว มือหนาควักโทรศัพท์ออกมา เปิดคลิปวีดิโอที่เคยถ่ายไว้ในห้องอัลตราซาวด์ส่งให้อัครวินท์ดู หวังว่าเลวชาติยังไง มันก็คงไม่เลวร้ายขนาดทำร้ายลูกเมีย เขาได้แต่หวังว่าคนอย่างอัครวินท์ อิศวัชร์จะมีความเป็นคนอยู่บ้าง ตัดสินใจเดิมพันครั้งสุดท้ายส่งคลิปให้ดู ถ้ามันปฏิเสธ กานต์ก็จะได้เห็นและตัดใจง่ายขึ้น
 
ร่างสูงของอัครวินท์ตะลึงงันเมื่อดูคลิปเสร็จ เขามองใบหน้าร่างเล็ก ๆ ก่อนเลื่อนสายตาลงมองหน้าท้อง มือหนายื่นไปลองสัมผัส แรงตอดผ่านผิวหนังทำให้เขาถึงกับพูดไม่ออก ไปไม่เป็น

“จะปฏิเสธ หรือยังไงก็เลือกเอา แต่กานต์ไม่เอาออกแน่ๆ  แล้วถ้านายปฏิเสธก็อย่าได้มายุ่มย่ามกับพวกเราอีก” ณัฐธีร์ขึงขังยื่นคำขาดออกหน้าแทน ความคิดฝ่ายมารยุยงภาวนาให้อัครวินท์ปฏิเสธเถิด หรือหลุดคำพูดอะไรออกมาให้กานต์ได้เห็น จะได้หยุดรักมันเสียที แต่ความคิดฝ่ายดีกลับผุดขึ้นย้อนแย้ง เขา...อยากเห็นกานต์มีความสุข อย่างน้อย ๆ ให้หมอนี่มีน้ำใจความเป็นคนอยู่บ้าง อย่าทำร้ายน้องน้อยของเขาอีกเลย

“กานต์ไปกับพี่” อัครวินท์ส่งโทรศัพท์คืนพลางฉุดข้อมือเล็กให้เดินตามไปด้วยกัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันรวดเร็วกะทันหันเกินไป เขายังงุนงงสับสนไม่หาย แต่ยังไงก็จะไม่ยอมปล่อยรพีกานต์เด็ดขาด เขาหวงคนตัวเล็กหนักกว่าเก่า แม้จะยังคิดเรื่องอื่นไม่ออกก็ตาม ให้ตายเถอะ อัครวินท์ อิศวัชร์ ในวัย ๑๙ ปีกำลังจะมีลูกแฝดสามกับอีกคนที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ดันท้องได้ เขาคึกคะนองไม่ป้องกันแค่ครั้งเดียว ครั้งเดียวเท่านั้น ! แต่ได้รางวัลความเลินเล่อมาถึงสามคน

“กานต์อย่าลืมโทรบอกพ่อด้วยนะ คุณรพินทร์จะได้ไม่เป็นห่วง” ณัฐธีร์ร้องบอกด้วยรอยยิ้มขมขื่นยามมองความรักค่อย ๆ จากไป ภาพที่เห็นตรงหน้าคือคนสองคนที่เหมาะสมเคียงคู่ไปด้วยกัน เขาแพ้แล้ว แพ้อย่างราบคาบ แพ้เพราะหัวใจรพีกานต์วางไว้ในมืออีกคน เขามันก็แค่คนหยิบหัวใจที่ร่วงจากมืออัครวินท์ลงคลุกดินขึ้นมาเช็ดฝุ่นทายา ทะนุถนอมรอคืนให้เจ้าของ ร่างสูงผินหน้ากลับไปตามทางของตน เดินโผเผช้า ๆ เหมือนคนวิญญาณหลุดจากร่าง หัวใจเจ็บช้ำไม่รู้กี่หนแต่ไม่เคยหลาบจำ !
เอาเถอะ ถ้าความเจ็บปวดของเขามันจะทำให้น้องน้อยได้มีความสุข ถ้าการแสดงออกของเขาเมื่อครู่ มันจะไปกระตุ้นให้ใครคนนั้นหันมาสนใจน้องของพี่ ทุกความเจ็บปวดพี่ณัฐคนนี้ขอรับมันไว้เองทั้งใจ!

น้ำตาที่กลั่นออกจากหัวใจหลั่งไหลช้า ๆ จรดกับริมฝีปากที่โค้งขึ้น รสขมปร่าของหยาดน้ำตาคือความทรมานที่ได้รับ เขายิ้ม...ทั้งที่กำลังร้องไห้ ทุกย่างก้าวเจือไปด้วยความเจ็บปวดอย่างสาหัส แต่ถ้าคนที่เขารักกำลังจะได้รับรักตอบคืนมาบ้าง

“เพื่อกานต์...พี่ยอมทุกอย่าง”
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๙)(P.๗)(๒๔/๐๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 24-01-2017 16:56:26
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๙)(P.๗)(๒๔/๐๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 24-01-2017 17:39:41
โอยยยย สงสารพระรองอย่างณัฐ แต่ไม่เป็นไรเราไปเลี้ยงต้อยน้องตะวันเอาก็ได้

ส่วนพระเอกน่ะ ปล่อยให้โง่เป็นควายไปนั้นแหละ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๙)(P.๗)(๒๔/๐๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 24-01-2017 18:31:06
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๙)(P.๗)(๒๔/๐๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: question09 ที่ 24-01-2017 18:32:16
สงสารพี่ณัฐจังเลย  แต่คนไม่รักยังไงก้อไม่รัก....เจ็บบบบบบ


อิพี่วินคนใจร้ายยยยย ขอให้เจ็บยิ่งกว่าที่พี่ณัฐเจ็บ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๙)(P.๗)(๒๔/๐๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 24-01-2017 18:59:21
รำคาญกานต์อย่างยอกไม่ถูก จะทำใหณัฐนท์เสียใจไปถึงไหน  :ling2:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๙)(P.๗)(๒๔/๐๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: pawara123 ที่ 24-01-2017 19:43:13
อยากให้มาต่อไวๆๆ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๙)(P.๗)(๒๔/๐๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 24-01-2017 21:09:04
 ตอนนี้สะใจอะ สะใจกับตัวละคร กานต์ถูกกดดัน อัครวินทร์จะทำยังไงต่อไป ทางบ้านคงไม่ยอมรับกานต์แน่ๆถ้ารู้ว่ากานต์มาจากบ้านใคร รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๙)(P.๗)(๒๔/๐๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 24-01-2017 21:42:12
อิพี่วินน่าเกลียดมาก พอรู้ความจริงแล้วทำไปไม่เป็น รีบหาทางไปเดี๋ยวนี้เลยทไม่งั้นจะเชียร์ให้กานต์เป็นซิงเกิ้ลมัมแลวนะ ลุงๆมาคอยดูแลดีขนาดนี้
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๙)(P.๗)(๒๔/๐๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 25-01-2017 09:22:10
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๙)(P.๗)(๒๔/๐๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 25-01-2017 15:27:18
เข้มข้นสุดๆค่ะ เราพลาดเรื่องนี้ได้ยังไงง :katai1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๙)(P.๗)(๒๔/๐๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: aom2529 ที่ 25-01-2017 15:44:47
น่าอ่านๆ... :mew1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๙)(P.๗)(๒๔/๐๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 26-01-2017 22:18:07
โอยยยยย พี่ณัฐผู้แสนดี พี่คือพระเอกในใจเราพี่หล่อทั้งหน้าตาและจิตใจ สนใจดูแลเด็กน้อยที่ขี้กลัวมั๊ยคะ o18
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๙)(P.๗)(๒๔/๐๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 27-01-2017 16:35:30
สงสารพี่ณัฐอย่างรุนแรง  โธ่ ชีวิตมันเศร้า คนเลวอย่างวินดันได้ลูกแฝดสาม  เฮ้อ สงสารกานต์
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๙)(P.๗)(๒๔/๐๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-01-2017 20:56:53
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๙)(P.๗)(๒๔/๐๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 27-01-2017 21:31:14
ตั้งแต่อ่านนิยายมาไม่เคยเห็นใจพระรองคนไหนเท่าน้องณัฐเลย หวังว่าน้องจะมีความสุุขเสียที
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๙)(P.๗)(๒๔/๐๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 28-01-2017 00:38:30
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๑๙)(P.๗)(๒๔/๐๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 28-01-2017 01:51:22
สงสารน้องกานต์ที่สุด
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๐)(P.๗)(๐๑/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 01-02-2017 19:30:39
เสน่หา...รักเอย ๒๐

"ความดีไม่อาจแทนที่ความรัก"
หวนพิศบ่คิดพรายแย้มถวิล
ขวัญชีวินผี้ว์หวนครวญคิดหา
บ่แย้มพรายความนัยให้เวทนา
บ่ร้องขอเมตตาถ้าจำใจ
- มญชุ์สิตางศุ์-

ความสับสนงุนงงตีรวนในหัวไปหมด ทุกอย่างตาลปัตรจนไหวตามไม่ทัน นับแต่สมองปั่นป่วนจากการถูดกดดันให้ต้องเลือกจนพลั้งปาก ‘เลือก’ คนที่ซุกซ่อนกุมพื้นที่ในใจอย่างแน่นหนา ลั่นดาลกันด้วยสลักสัญญาแล้วก็ลืม รพีกานต์เหลือบสายตาแลยังคนข้างกาย ก่อนหน้ายังเป็นพี่ณัฐ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นใครอีกคนที่คาดไม่ถึง เหมือนฝนนอกฤดู นึกจะไปก็ไปนึกจะมาก็มา มาพรมหัวใจจนชุ่มฉ่ำแล้วทิ้งไปให้แห้งผากอาวรณ์หา รพีกานต์กระอักกระอ่วนไม่รู้จะเลือกประโยคไหนเป็นหัวข้อเริ่มสนทนา สุดท้ายก็ได้แต่เฉยเสียพลางเบือนหน้ามองวิวข้างนอกแทน

ไม่ง่ายเลยกับการลืมใครสักคน แม้จะมีคนดีแสนดีข้างกายแต่หัวใจก็ยังพร่ำเพรียกหาคนที่เอื้อมไม่ถึง เหมือนคนมีโคมไฟส่องสว่างตรงหน้า แต่สายตาก็ยังละห้อยหาพระจันทร์บนโพยมฟ้าไม่หยุดหย่อน รอยรักเก่ายังตราตรึงฝังในใจอย่างซื่อสัตย์
อัครวินท์เหลือบหางตามองคนข้างกาย นึกแปลกใจอยู่ครามครันที่รพีกานต์เลือกเขา แล้วยังเรื่องที่อีกฝ่ายตั้งครรภ์ที่ทำเอาเขาทำอะไรไม่ถูก ตกลงนี่เรื่องจริงหรือ ผู้ชายท้องได้ เจอตลกร้ายเข้าให้แล้วไอ้วินเอ๋ย

“กี่เดือนแล้ว” เปิดปากถามในที่สุด เรื่องลูกไม่เคยมีอยู่ในหัวแม้แต่น้อย เขาแค่รักสนุก ที่ผ่านมามั่นใจว่าเซฟตัวเองดีตลอด

“สี่เดือนครับ” รพีกานต์ตอบกลับมาเสียงเรียบ อัครวินท์ยังรู้สึกแปลก ๆ อยู่ดีที่ผู้ชายสองคนจะมานั่งคุยกันเรื่องลูกเหมือนเป็นเรื่องปกติ มันไม่ปกติ ไม่ปกติแน่ ๆ ผู้ชายท้องได้ที่ไหนปกติกัน แต่คลิปนั่น ถ้าจะบอกว่าตัดต่อ รพีกานต์ก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำอะไรโง่ ๆ แบบนั้นแน่ และเขาเองก็กำลังจะไปพิสูจน์ด้วยตัวเองอยู่นี่

ให้ตายเถอะ ไอ้วินเอ๋ย อายุสิบเก้าทำผู้ชายท้องได้ แถมเชื้อแรง จัดให้เขาเสียแฝดสาม ถ้าปู่รู้...
พ่อเสือกลืนน้ำลายทำหน้าแหย เหลือบมองอีกคนแล้วก็ได้แต่จ๋อยสนิท รพีกานต์เองดูท่าจะลำบากกว่าเขาหลายขุม

“แล้วเรื่องเรียน”

“กานต์จะหยุดก่อนครับ คุยกับพ่อแล้ว อะไรเข้าที่เข้าทางก็ค่อยกลับไปเรียน” รพีกานต์ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรมากนัก ไม่คาดหวังอะไรกับเขา คิดว่าจะรับความยุ่งยากที่จะเกิดขึ้นเองเพียงผู้เดียว

“พ่อกานต์ว่ายังไงบ้าง”

“พ่อไม่ว่าอะไรครับ คลอดมาก็ช่วยกันเลี้ยง กิจการที่บ้านก็พอมีกินมีใช้ไม่เดือดร้อนอะไร อยู่ได้ครับ” ตอบแบบไม่เรียกร้องอะไรแม้แต่น้อย อัครวินท์ได้ฟังแล้วนิ่งไป ผู้ปกครองทางนั้นไม่ว่า แต่ทางเขาล่ะ ? โลโก้อิศวัชร์ที่แบกไว้บนบ่ากดเขาจนรู้สึกหนักก็คราวนี้ บอกครอบครัวดีไหม บอกแล้วจะเป็นยังไงต่อ แล้วยังบิดาของรพีกานต์ที่เป็นคู่กรณีเก่า

“อันนี้ที่พี่วินไม่ต้องคิดมากเรื่องนี้หรอกครับ กานต์รับผิดชอบเอง ยังไงก็ลูกกานต์”

“กานต์พูดเหมือนพี่ไม่มีความรับผิดชอบ”

“กานต์รู้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่มีใครคิดว่าผลลัพธ์มันจะออกมาแบบนี้ แม้แต่กานต์เองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะท้อง” ร่างเล็กพรั่งพรูความในใจออกมา ไม่โทษเขาแม้แต่นิด แต่นั่นยิ่งทำให้คนฟังรู้สึกผิด เพราะชีวิตของรพีกานต์เองก็พลิกไปจากเดิมจนกู่ไม่กลับ

“ขอโทษ”

“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ เราต่างสนุกด้วยกันทั้งคู่ พี่วินก็แค่กลับไปใช้ชีวิตของพี่เหมือนเก่า ลืมเรื่องของเราไปเสีย”

“ลืม ? กานต์บอกพี่ทั้งที่กานต์เองก็ยังทำไม่ได้นี่นะ แล้วที่พูดออกมานี่ กานต์จะบอกว่าพี่ไม่มีความรับผิดชอบ ก่อเรื่องแล้วทิ้งปัญหาให้กานต์แบกรับคนเดียวอย่างนั้นเหรอ”

“แล้วพี่วินจะรับผิดชอบยังไงหรือครับ พี่จะแต่งงานกับกานต์เหมือนละครน้ำเน่า แล้วสุดท้ายก็อยู่กันไม่ได้ อย่างนั้นหรือครับ” รพีกานต์ย้อนถาม ในใจเจ็บเป็นริ้ว ๆ ไม่เคยต้องการอยากใช้ลูกผูกมัดตัวเขาสักนิด

“พี่...” อัครวินท์พูดไม่ออก เรื่องแต่งงานสำหรับเขาดูจะเป็นเรื่องใหญ่และไกลตัว

“งั้นก็ทำแบบที่กานต์บอกนี่แหละครับ” รพีกานต์ตัดบท ยังไงทีแรกก็คิดจะเลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียวอยู่แล้ว

“พี่ขอเวลาคิดหน่อย มันกะทันหัน พี่ทำอะไรไม่ถูก” อัครวินท์บอกออกมาในที่สุด เกิดความเงียบงันขึ้นภายในห้องโดยสาร สายตาคมเหลือบมองคนตัวเล็ก ก่อนเปิดปากถามสิ่งที่สงสัย

“ทำไมถึงเลือกพี่” ตอนนั้นคิดว่ายังไงรพีกานต์ก็เลือกณัฐธีร์แน่ ๆ แต่ความดึงดันทำให้เข้าไปขัดลำอย่างไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ

“พลั้งปากครับ” รพีกานต์ตอบทั้งสายตายังมองวิวข้างนอก เห็นแล้วก็ให้อัครวินท์หงุดหงิด หมาขี้เรื้อนมันน่าอภิรมย์กว่าหน้าหล่อ ๆ ของเขาตรงไหน

“พลั้งปาก ? งั้นก็แสดงว่าจิตใต้สำนึกของกานต์มีพี่อยู่ตลอด สภาวะกดดันแบบนั้นถึงได้เรียกชื่อพี่สินะ หึ” เขาเอ่ยอย่างเข้าข้างตัวเองสุด ๆ ในใจลิงโลด มุมปากสีสวยยกยิ้มพึงใจเล็ก ๆ รพีกานต์ได้ยินถึงกับหูผึ่งหันขวับ ก่อนจะสะดุดกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เจ้ากลแถมพกด้วยคิ้วเข้มหนาเป็นปื้นยักยั่วให้อย่างท้าทาย ทำเอาชะงักไปไม่เป็นอยู่ครู่หนึ่ง

“กานต์ไม่รู้ครับ กานต์บอกว่าพลั้งปากก็คือพลั้งปาก แล้วพี่วินมาทำอะไรแถวนี้” รพีกานต์เฉไฉไปเรื่อย พยายามฉุดรั้งตัวเองไม่ให้ตกหลุมพรางรอยยิ้มเจ้าเสน่ห์ ถามเองก็ให้ยอกเองในอก จะมีเหตุผลอะไรอีกละ นอกจากคนเจ้าชู้จะแวะมาหาใครสักคนแถวนี้

“คิดถึงคนแถวนี้ เลยว่าจะแวะไปแอบดูแถวหน้าบ้าน ไม่ก็เช่าโฮมสเตย์ใกล้ ๆ ยืมเรือพายไปแอบดูหลังบ้าน ได้โอกาสเหมาะ ๆ ก็ค่อยปีนเข้าไปหา ที่ไหนได้ดันเจอเซอร์ไพรส์เสียเอง” อัครวินท์ตอบแบบไม่คิดอะไรมาก แต่คนฟังกัดริมฝีปากตัวเองจนชา ‘คิดถึง’ คำนี้คำเดียวที่ร้อยรัดหัวใจผูกพันไม่ให้ไปไหน ตอนเขาทิ้งกันไป เขาไม่เอามันไปทั้งหมด

“เงินพนันหนึ่งพันบาทหมดแล้วหรือครับ นึกได้อยากหาเกมเล่นต่อ” น้ำเสียงประชดแกมตัดพ้อแทรกผ่านความเงียบชวนอึดอัด สายตาขุ่นเคืองตวัดมอง อัครวินท์หันมาสบตาด้วยแว่บหนึ่งก่อนเบือนไปมองถนนตรงหน้าต่อ

“รู้ด้วยหรือ” ชายหนุ่มพึมพำ ท่าทีเหมือนไม่ทุกข์ไม่ร้อนทำเอาอีกคนคิ้วกระตุก ความโกรธแล่นริ้วไต่ระดับปุด ๆ

“พี่วินรู้ไหมว่าพี่เป็นคนใจร้าย แล้วก็ใจดำที่สุดในชีวิตที่กานต์เคยเจอมา” ธนบัตรฉบับละหนึ่งพันบาทถูกควักออกจากกระเป๋าสตางค์ด้วยมือสั่นเทาก่อนปาใส่หน้าคนใจทมิฬ แผ่นกระดาษบางเบาใหม่กริบบาดโหนกแก้มคนไม่รู้สึกรู้สา แต่นั่นยังไม่เท่าความเจ็บความเสียใจของฝ่ายที่เผลอรักมาเสียนาน รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่เคยรักใครจริงจังแต่ก็ยังหลวมตัว

“กานต์มันโง่เอง ชีวิตนี้สิ่งเดียวที่ทำผิดพลาดก็คือถลำตัวไปกับพี่” ยิ่งนึกก็ยิ่งปวดร้าว ตั้งแต่ตอนได้ตำแหน่งเดือนคณะใหม่ ๆ คู่กับไอยวริญท์ที่ได้ตำแหน่งดาว เสียงเจื้อยแจ้วของสาว ๆ เป็นจุดเริ่มต้นให้ได้ยินและซึมซาบเรื่องใครคนหนึ่งเกือบทุกวัน ทั้งที่ยังไม่เคยเห็นหน้า

“โหย บ้านรินหน้าตาดีกันทั้งบ้านเลยอ่ะ รินได้เป็นดาวคณะ พี่ชายรินก็เป็นเดือนของปีที่แล้ว”

“ใช่ ๆ พูดถึงพี่วินแล้วอยากกรี๊ดให้โลกแตก คนอะไรหล่อไม่บันยะบันยัง เดินผ่านที วิญญาณฉันแทบออกจากร่างตามไปสิงอยู่ด้วย”

“อยากเป็นพี่สะใภ้รินชะมัด จะมีโอกาสไหมน้อ พี่วินควงแต่ละคน เห็นแล้วใจฝ่อเลยเรา”

“มัวแต่ชมเดือนคณะอื่น สนใจเดือนคณะเราบ้าง กานต์หล่อแบบน่ารัก ดูดีกว่าพี่วินตั้งเยอะ พี่วินเจ้าชู้ ไม่อยากเสียใจก็อย่าเผลอใจเชียว” ไอยวริญท์สัพยอก

พี่วิน...ชื่อนั้นถูกสาว ๆ พูดถึงเข้าหูอยู่บ่อยหน แม้จะไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน

“เฮ้ย นั่นพี่วินนี่ โอ้ยแก ออร่าความหล่อแบดดาเมจรุนแรงมาก เปลี่ยนรถใหม่อีกแล้วเหรอ โอ๊ย หล่อไม่พอแถมโคตรรวย ฉันอยากเป็นสะใภ้บ้านนี้” เสียงร้องร่ำ ๆ ถึงเจ้าของชื่อที่ได้ยินมานานทำให้รพีกานต์เผลอเหลียวตาม หากเพียงแว่บเดียวที่สบตาตอนอีกฝ่ายหันมาพร้อมแจกยิ้มพร่ำเพรื่อให้สาว ๆ ที่กรี๊ดตัวเอง โลกทั้งใบก็เหมือนหยุดนิ่ง รพีกานต์ตัวแข็งทื่อ รู้สึกหูร้อน ๆ หัวใจเต้นผิดจังหวะ พี่วินที่ใคร ๆ พูดถึงหน้าตาเป็นแบบนี้นี่เอง สมแล้วที่ได้ตำแหน่งเดือนบริหารฯ แต่ทำไมหัวใจต้องเต้นเร็วแบบนี้ด้วยนะ ทั้งที่เขาแจกยิ้มให้สาว ๆ แท้ ๆ รพีกานต์ผ่อนลมหายใจช้า ๆ เรียกสติตัวเอง พยายามไม่สนใจ แต่ข้อมูลใหม่ ๆ เกี่ยวกับพี่วินคนนั้นก็ยังคงพรั่งพรูมาเรื่อย ๆ จากเสียงพูดคุยของเพื่อน ๆ ที่ปลื้มชายหนุ่มเสียเต็มประดา รพีกานต์พยายามไม่นึกถึงรอยยิ้มกระชากใจคราวนั้น หากไม่มีวันนั้น...

โอ๊ะ !

ขอโทษครับ/ ขอโทษครับ” สองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน รพีกานต์ก้มลงเก็บหนังสือที่ร่วงหลุดมือจากแรงกระแทกตอนชน ทว่าช้ากว่ามือใหญ่ที่หยิบหนังสือนั้นยื่นคืนให้

พี่วิน !

“โทษที พี่มัวแต่คุยโทรศัพท์เลยไม่ทันมอง น้องเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

“เปล่าครับ” รพีกานต์ส่ายหน้าหวือ ใจเต้นโครมคราม กลิ่นน้ำหอมราคาแพงรวมกับกลิ่นกายอีกฝ่ายโชยเข้าจมูกให้รู้สึกใจสั่นแปลก ๆ ร่างสูงใหญ่ แผงอกล่ำสัน เสน่ห์เหลือร้ายของเขาอันตรายอย่างที่ไอยวริญท์เคยเตือนไว้ไม่มีผิด

“แต่ยังไงก็ขอโทษอีกที พี่ชนเรา หนังสือของเราร่วงคลุกฝุ่น งั้นพี่ชดเชยให้ด้วยนี่ได้ไหม” ที่คั่นหนังสืออันเล็กถูกยื่นมาให้ อันที่จริงชายหนุ่มกำลังจะเอามันไปทิ้งขยะอยู่พอดี หลังจากถูกยัดเยียดมาให้ เลยได้ข้ออ้างเปลี่ยนมือ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” รพีกานต์เกรงใจ อยากหนีจากบรรยากาศแสนอึดอัดนี่เหลือเกิน

“เอาไปเถอะ พี่จะได้สบายใจ ยังไงก็ตั้งใจเรียนนะเด็กดี” เขาบอกพลางยัดของชดเชยใส่มือ ตบไหล่ปุ ๆ ก่อนจากไป รพีกานต์มองตามตาลอย ผู้ชายคนนี้มีแรงดึงดูดที่อันตราย พี่ชายของรินใจดีพร่ำเพรื่อกับทุกคนเป็นนิสัยอยู่แล้วใช่ไหม ? ไม่รู้เมื่อไหร่ที่คอยมองหา เงี่ยหูฟังเก็บข้อมูลทุกครั้งที่สาว ๆ พูดถึงเขา เพจคิวท์บอยของมหาวิทยาลัยรพีกานต์ก็ตามไปส่องดูรูป ดูความเป็นไปของเขาบ่อย ๆ โลกใบน้อยมีความสุขแบบคนไม่คาดหวัง จนวันที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาหาพร้อมด้วยแผนการร้ายกาจ ฉีกหัวใจกันไม่เหลือชิ้นดี พี่วินจะรู้บ้างไหม ว่ากานต์เจ็บแค่ไหนที่ลืมพี่ไม่ได้ และเจ็บ...ที่ตอบแทบความดีให้พี่ณัฐด้วยความรักไม่ได้ คนไม่เคยรักจะรู้สึกรู้สาอะไร


“ถ้าอยากฉลาด ทำไมไม่รักหมอโน่น จะรักใครสักคน ยังต้องคิดหาเหตุผล คิดว่าคุ้มไม่คุ้มด้วยหรือ แล้วถ้าพี่ไม่ติดโลโก้อิศวัชร์ หน้าตาโหลยโท่ยเป็นคางคกถูกรถบี้ กานต์จะรักพี่ไหมล่ะ ก็รู้อยู่ว่าพี่เป็นยังไง หรือกานต์คิดจะเปลี่ยนพี่เหมือนที่คนอื่น ๆ ทำกัน” เขาถามเสียงหยัน ทุกคนที่เข้ามาล้วนเพราะชอบความท้าทายในตัวผู้ชายแบดบอย คิดว่าจะหยุดคนอย่างเขาได้ชะงัด สุดท้ายก็อีหรอบเดียวกัน พยายามหาทางเปลี่ยนเขาให้เป็นอย่างที่ตัวเองต้องการ พอไม่ได้ก็มาต่อว่าต่อขาน ทั้งที่คิดว่าคนตัวเล็กไม่ได้รักเขาเพราะสิ่งเหล่านั้น คนที่รักเขาเพราะยอมรับข้อเสียได้ ไม่ใช่มองหาข้อดี หรือเขาจะมองผิดไป

“กานต์ไม่เคยคิดเปลี่ยนพี่วิน ถ้าพี่ไม่คิดทำมันด้วยตัวเอง ใครก็เปลี่ยนพี่ไม่ได้หรอกครับ กานต์พยายามเปลี่ยนใจตัวเองให้ลืมพี่ยังง่ายเสียกว่า” บอกเขาก็เหมือนบอกตัวเองนั่นแหละ รพีกานต์สะบัดหน้าเบือนไปทางอื่น สกัดกั้นอารมณ์อ่อนไหวไม่ให้แสดงออก มือลูบหน้าท้องเรียกกำลังใจ...ต้องเข้มแข็งเพื่อลูก

“งั้นเราก็ลากันเถอะครับ ครั้งที่แล้วไม่มีโอกาสได้พูด เราลากันตรงนี้ อย่าเจอกันอีกเลย พี่วินจอดรถเถอะครับ เดี๋ยวกานต์ไปต่อเอง” เปลือกตาอ่อนล้าพับลงปิดซ่อนความขื่นขมอ่อนไหว ไม่มีเสียงตอบจากเขา รพีกานต์ถือเอาว่าอัครวินท์ยอมรับโดยดุษณีแล้ว ไม่มีคำรั้งกันสักนิด ใจเอ๋ย หวังอะไรอยู่นะ เขาไม่ปฏิเสธคนที่เข้ามาและไม่เหนี่ยวรั้งคนที่จะไปเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่จนแล้วจนรอดอีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะจอดรถให้

“พี่วิน” รพีกานต์เหลียวมองด้วยความไม่เข้าใจ

“พี่จะไปด้วย จะปล่อยคนท้องไปเองได้ยังไง ในท้องนั่นก็ลูกของพี่เหมือนกันนะ พี่รับฝากกานต์กับพี่ณัฐแล้วด้วย ยังไงพี่ก็ต้องพาไปส่งให้ถึงบ้าน หยุดทำเหมือนไม่เห็นพี่สำคัญเสียที ในท้องนั่นผลงานของเราสองคนไม่ใช่หรือไง”

“งั้นก็ตามใจครับ ขอบคุณที่ไม่คิดว่าเป็นลูกของพี่ณัฐ แต่ถ้าพี่จะคิดอย่างนั้น กานต์ก็ไม่มีอะไรจะพูด” อดที่จะเหน็บแนมด้วยความน้อยใจไม่ได้ รพีกานต์น้อยใจพ่อของลูกมากมายเหลือเกิน อ่อนไหวทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเขา ดูเอาเถอะ จนขนาดนี้ยังไม่ปริปากพูดอะไรที่เกี่ยวกับลูกสักคำ เขาคงไม่อยากมีพันธะถ่วงชีวิตที่ยังไปได้อีกไกลของเขา

ทำใจเถอะ หนูต้องเข้มแข็งนะสามแฝด เราต้องอยู่ได้ โดยไม่มีเขา

รพีกานต์บอกลูกในใจ มือเรียวลูบท้องทั้งกระบอกตาร้อนผ่าว สายตามองเบือนออกไปข้างนอก ทั้งหดหู่ว้าเหว่เหมือนตัวคนเดียว ทั้งที่ก็อยู่ใกล้กันแค่นี้ อัครวินท์สะอึกกับคำประชด เขามองเสี้ยวหน้าเนียนลังเลก่อนตัดสินใจยื่นมือไปสัมผัสท้องคนแสนงอน รู้สึกถึงแรงทักทายเล็ก ๆ จากคนข้างในก็ให้พองในอกอย่างประหลาด

เจ้าลูกเสือ ที่แม่เขางอนขนาดนี้เพราะน้อยใจพ่อใช่ไหม


-มีต่อด้านล่างค่ะ-
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๐)(P.๗)(๐๑/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 01-02-2017 19:34:29
๒๐ (ต่อ)


รถแล่นมาจนถึงคลินิก อัครวินท์ขยับกายลำบากนิดหน่อย เหลียวมองซ้ายขวาก่อนหยิบแว่นกันแดดขึ้นสวมอำพรางใบหน้า หวังว่าจะไม่มีคนรู้จักแถวนี้หรอกนะ โชคดีไม่ได้เป็นดาราดัง ช่วงมัธยมเขารับงานถ่ายแบบเดินแบบสนุก ๆ เข้ามหาวิทยาลัยก็เลิกไป กระนั้นก็ยังมีข่าวซุบซิบพาดพิงตอนไปเที่ยวผับแล้วเจอดาราดัง ๆ ดารากับไฮโซจับคู่เป็นข่าวน่าสนน้อยเสียที่ไหน

“ถ้าพี่วินลำบากใจกลัวคนรู้ขนาดนั้น ก็รอในรถนี่เถอะครับ หรือกลับไปเลยก็ได้ เดี๋ยวกานต์เข้าไปเอง ตอนกลับเดี๋ยวโทรฯ ให้พี่ณัฐมารับ” คนหน้าตูมบอกขึ้นเสียงเรียบ นึกหงุดหงิดขัดหูขัดตาอย่างบอกไม่ถูก

“เข้าใจพี่บ้างสิกานต์”

“แล้วกานต์ล่ะ พี่คิดถึงใจกานต์บ้างไหม หรือกานต์นามสกุลไม่ดังเลยหน้าไม่บางอย่างพี่” ตัดพ้อด้วยความน้อยใจก่อนสะบัดหน้าหนี มือเปิดประตูเดินดุ่ม ๆ เข้าคลินิกไปก่อน อัครวินท์ถอนหายใจมองคนออกฤทธิ์ออกเดชด้วยความเหนื่อยใจ พลางเปิดประตูสาวเท้ายาว ๆ ตามเข้าไป


ภายในห้องคุณหมอต้อนรับทักทายเป็นอันดี แปลกใจนิดหน่อยที่คนพามาวันนี้กลายเป็นอีกคน อดเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้

“วันนี้คุณพ่อไม่ว่างพามาหรือครับ”

“เอ่อ...” รพีกานต์อึกอัก เหลือบสายตาแลเลยไปยังร่างสูงใหญ่ข้างกายนิดหน่อย

“ผมนี่แหละพ่อเด็ก คนนั้นพี่ชายเขา” อัครวินท์ออกปากแม้จะยังเชื่อได้ไม่เต็มร้อย รู้สึกคันยิบ ๆ ในอกที่ณัฐธีร์ดูจะทำหน้าที่แทนเขาทุกอย่าง

“อ้อครับ” คุณหมอทำหน้ารับรู้ จำได้แม่นยำว่าคนนั้นก็บอกว่าเป็นพ่อเด็ก มาคนนี้อีกคนบอกแบบเดียวกัน รอยยิ้มบางถูกส่งให้ร่างเล็กตรงหน้า จะอิจฉาดีไหม คนนั้นหล่อคมคายและดีแสนดี คนนี้ยิ่งหล่อ สง่างามมาดคุณชายแถมออกอาการหวงคนของตัวเองเอาเรื่อง รพีกานต์แก้มร้อนเรื่อกับรอยยิ้มของคุณหมอที่ส่งผ่านสายตาล้อเล็ก ๆ

คนท้องขึ้นไปนอนบนเตียงเพื่ออัลตราซาวด์ ความเปลี่ยนแปลงเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่อายุครรภ์เข้าสามเดือนแล้ว ทีแรกอัครวินท์คิดว่ารพีกานต์อ้วนขึ้นจนออกพุง พอรู้อย่างนี้ร่างสูงรีบปราดเข้าไปใกล้ ๆ ภาพทารกในครรภ์ขยับตัวในมอนิเตอร์ เสียงคลื่นหัวใจตุบ ๆ พาให้หัวใจชายหนุ่มเต้นรัว ใบหน้าหล่อเหลาตะลึงนิ่ง มือเย็นเฉียบ เสียงหมออธิบายพูดคุยแว่วผ่านหูไป

รพีกานต์ท้องจริง ๆ ! สิ่งมีชีวิตที่ดิ้นขยับอยู่ในท้องตรงหน้าคือลูกของเขา ! เหมือนนึกขึ้นได้ อัครวินท์รีบควักโทรศัพท์ขึ้นมาบันทึกวีดีโอมือสั่น สายตาเหลือบสบกับรพีกานต์ เสียงคุณหมออธิบายให้ดูโครงสร้างส่วนต่าง ๆ ของลูกไปเรื่อย ๆ เขามองตามด้วยความสนใจ

“คนนี้ผู้ชายนะครับ นี่...โชว์คุณพ่อหราเลย” เสียงคุณหมอบอกพลางชี้มือในจอ อัลตราซาวด์แบบสี่มิติมองเห็นรูปร่างขยับชัดเจน

“ไหน ๆ ดูคนนี้หน่อย โอ้ คนนี้ก็ผู้ชาย ตรงนี้นะครับ คุณพ่อคุณแม่เห็นไหมครับ แต่เอ...อีกคนขี้อายแฮะ หนีบไว้ไม่ให้เห็น เดี๋ยวลองเปลี่ยนมุม” ความตื่นเต้นปรากฏขึ้นอก สายตาคมมองตามคุณหมออธิบายอย่างตั้งอกตั้งใจ เหมือนหนาเผลอกุมมือเล็ก ขณะสายตาก็มองจอไม่วางตา รพีกานต์รู้สึกอุ่นซ่านไปทั้งใจกับมือใหญ่ ถึงเขาจะเคยทำให้เสียใจมามากมาย แต่น้ำตาก็ไม่สามารถชะล้างความรักออกไปจากหัวใจได้

"หัวอกหนอหัวอกของพ่อแม่ รักลูกแท้แม้ยังไม่ยลหน้า
สุขลึกล้ำฉ่ำซ่านสำราญอุรา เติบใหญ่มาลูกหนาจงทำดี"



“แฝดสามชายล้วน” อัครวินท์พึมพำพลางหยิบฟิล์มขึ้นมาดูหลังขึ้นมานั่งบนรถแล้วเรียบร้อย แล้วยังมีรูปถ่ายในห้องอัลตราซาวด์ในโทรศัพท์ที่รบกวนคุณหมอช่วยถ่ายให้ เป็นรูปเขายืนเคียงกับรพีกานต์บนเตียง ข้างกันเป็นหน้าจอมอนิเตอร์ฉายภาพสามแฝด เมื่อครู่เขาตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก กว่าจะได้สติควักโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายวีดิโอก็ผ่านไปแล้วครู่ใหญ่

“ครับ ลูกผู้ชายล้วนแฝดสาม กานต์ไม่ได้โกหกพี่ เชื่อกันแล้วใช่ไหม” ใช่ รพีกานต์ไม่เคยโกหก แม้แต่เรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ว่าผู้ชายจะท้องได้

“กานต์ไม่ได้บอกให้พี่รับผิดชอบ ไม่ต้องทำหน้าแบกโลกเอาไว้ขนาดนั้น ก็พี่ไม่เชื่อกานต์ กานต์ถึงต้องพาพี่มาพิสูจน์ด้วยตัวเอง ทั้งที่จริงไม่อยากให้รู้ด้วยซ้ำ”

“พี่...” เขาอึกอึก ใบหน้าของปู่ผุดขึ้นมาให้ขวัญฝ่อ เขาเกรงใจปู่มาแต่ไหนแต่ไร

“กานต์เลี้ยงได้ครับ นามสกุลไม่ได้ยิ่งใหญ่ หรือเป็นคนเด่นคนดังอะไร เพื่อลูก ต่อให้ต้องหน้าหนากี่นิ้วกานต์ก็ทนได้” ถ้อยคำนั้นปวดแสบปวดร้อนบาดลึกในอกคนพูดและกรีดลงหัวใจคนฟังพร้อม ๆ กัน เปิดท้องดูในกระจกทุกวันแล้วก็คิดอยู่ตลอดว่าคงจะอยู่บ้านให้พ่ออับอายอีกไม่ได้ ท้องโตขึ้นทุกวัน ยิ่งท้องแฝดยิ่งขยายเร็วพรวดพราดจนเสื้อตัวใหญ่เริ่มพรางเอาไว้ไม่อยู่ ต้องหาที่ไปหลบรอคลอด ห่วงพ่อก็ห่วง ทนกล้ำกลืนความเสียใจขื่นขมลงไปในใจทุกวัน ๆ สิ่งที่พอกพูนทับถมนานวันทำให้หงุดหงิดเต็มกำลังเมื่อเห็นหน้าคนใจดำ
วันนี้ไม่น่ามาเจอกันเลย แต่เดี๋ยวกานต์จะหนีพี่วินแล้ว ตอนนั้นแหละพี่วินจะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรอีก ที่จริงไม่ได้อยากให้รู้เรื่องท้องเลย แต่อารามห่วงลูกจึงต้องเบรกอารมณ์กระหายของเสือหิว และให้เขาได้เห็นจัง ๆ ตา จะได้ไม่ทำอย่างนี้กับใครอีก อย่าทำเหมือนหัวจิตหัวใจใครเป็นของเล่น ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นในอก รักมากเท่าไหร่ แค้นมากเท่าตัว ! คนเห็นแก่ตัว !

ผลัวะ

“โอ๊ย ทุบพี่ทำไมเนี่ย” อัครวินท์ร้องลั่น กำปั้นเล็ก ๆ บรรจุไปด้วยความคับแค้นใจนั้นหนักหนาเอาเรื่อง แต่รพีกานต์ฟังที่ไหน ยิ่งเขาโวยลั่นก็ยิ่งทุบยิ่งข่วนเหมือนแมวอาละวาดไม่มีผิด อัครวินท์ยกแขนป้องตัวเองพัลวัน เมื่อกี้ตัดพ้อน้ำตาคลออยู่หยก ๆ ไหงฮึดฮัดมาลงมืออาละวาดได้

“กานต์พอ พี่เจ็บ” เขารีบรวบสองข้อมือเอาไว้ สายตาคมฉานจ้องปรามคนตรงหน้า ถ้าปรกติเป็นคนอื่นคงหัวหดแต่คนท้องอย่างรพีกานต์กลัวที่ไหน ดวงตาหวานคลอคลองไปด้วยหยาดน้ำตาฉ่ำ สะอื้นอึก ๆ อกกระเพื่อมจ้องตาเขาตอบเสียอีก พอมือที่รวบเริ่มคลาย เจ้าตัวก็บิดข้อมือออกเริ่มรัวกำปั้นใส่อกเขาอีกระลอก เท่านั้นไม่พอ ปากเล็ก ๆ ยังกัดหมับฝังรอยฟันลงที่บ่า ร้องไห้สะอึกสะอื้นทั้งกัดไม่ปล่อย...ฮึก คนใจร้าย ทำลายชีวิตคนอื่น

“โอ๊ย กานต์เป็นอะไรไปอีกเนี่ย พี่งงไปหมดแล้ว หงุดหงิดประชดแดกดัน เดี๋ยวโมโหโวยวายทุบพี่เสียน่วม อีกเดี๋ยวก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น แล้วนึกไงมากัดพี่เนี่ย เป็นหมาหรือไง กานต์น้อยใจอะไรพี่นัก พี่ก็กลับมาหาแล้วนี่ไงครับ”

“ฮึก !”

“โอเค ๆ อยากกัดกัดไป” เขายกมือยอมแพ้ เชิ้ตราคาแพงระยับชุ่มไปด้วยน้ำตาเป็นวงกว้าง แล้วยังรอยฟันที่กัดจนปวดหนึบ เขาถอนหายใจ ไม่เคยเจอใครกล้างี่เง่าใส่ เพราะไม่งั้นเขาไล่ลงรถเอาง่าย ๆ แต่เพราะเป็นรพีกานต์ บางอย่างที่ทำให้เขา...ต้องยอมลงให้ในสภาวะแบบนี้ ชายหนุ่มนิ่งไปอึดใจ ก่อนเลื่อนมือลูบแผ่นหลังไหวสะท้านแผ่วเบาเหมือนปลอบเด็ก ทุกอย่างเป็นไปโดยอัตโนมัติเพียงแค่คน ๆ นี้คือรพีกานต์ คนตัวเล็กยิ้มสวยที่ตอนนี้ร้องไห้เพราะแค้นเขาสุดฤทธิ์

“พี่วินเห็นกานต์เป็นของเล่น ฮึก ของตาย”

“โอเค พี่ผิด ผิดทุกอย่าง เฮ่อ !  จะง้อยังไงถึงจะหายล่ะทีนี้ พี่เคยง้อใครที่ไหน”

“งั้นก็ไม่ต้องง้อสิ ไปไหนก็ไปเลย” พูดผิดหูเข้าหน่อยก็ฉุนเฉียวขึ้นมาอีก มือผลักเขาออกห่าง ปาดน้ำตาลวก ๆ จ้องอย่างเอาเป็นเอาตาย รพีกานต์โหมดงี่เง่าแบบนี้เขาไม่เคยเจอ แต่ในความขุ่นมัวประชดประชันนี้เขารู้สึกได้ถึงการต้องการความรักความเอาใจใส่ เขาคงสร้างบาดแผลกับคนตัวเล็กลึกเหลือเกิน ถึงได้น้อยใจงอแงขนาดนี้ มันเป็นความคิดบ้า ๆ ที่ชิงชังคนหนึ่ง แต่ทำลายอีกคนประชด

“พี่แต่พี่ณัฐเท่านั้นแหละ ที่ทนความงี่เง่าของกานต์ได้ พี่วินทนไม่ได้หรอก เดี๋ยวพี่วินก็ทิ้งกานต์ไปอีก” สะบัดหน้าหันหนียังไม่วายแขวะ คราวนี้อัครวินท์ชักจะกรุ่นขึ้นมาหน่อย ๆ มือใหญ่จับต้นแขนพลิกอีกคนหันกลับมากะตอกอารมณ์ปะทะกับคนงี่เง่าที่เอาเขาไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แต่พอเห็นน้ำตา ใจก็พลันอ่อนยวบยาบ

“พี่ขอโทษ” มือใหญ่รวบมือน้อยจูบเบา ๆ ปลอบประโลม ไม่รู้จะเอาใจยังไงถูก จากที่คิดจะกลับมาปั่นหัวอีกฝ่ายเล่น คราวนี้กลับสนุกไม่ออก รพีกานต์ในเวลานี้ดูบอบบางพร้อมจะแตกออกเป็นเสี่ยงได้ทุกเมื่อ สาเหตุก็มาจากเขา

“กานต์ต้องลาออกจากมหา’ลัย ฮึก เรียนก็ไม่ได้เรียน แถมยังต้องอุ้มท้องให้พ่ออายเขา พี่วินยังจะกลับมาทำร้ายกานต์อีก กานต์ไปทำอะไรให้พี่” กานต์ไม่ได้ทำ แต่พี่เกลียดพ่อของกานต์ เกลียดแบบฝังเข้ากระดูกดำ อะไรทำให้รพินทร์พินาศย่อยยับ ตายทั้งที่ยังหายใจได้ พี่ก็จะทำ ! แต่แล้วริมฝีปากก็ได้แต่เรียบสนิทไม่มีหลุดอะไรออกมา

“กานต์พี่ขอโทษ พี่ยอมกานต์แล้ว หยุดร้องเถอะครับคนดี” กลายเป็นเขาเองที่พินาศ ! ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นบั่นเข้าตัว ! อัครวินท์ทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นน้ำตา หยาดน้ำใสรินลงอาบพวงแก้มไม่ขาดสาย คล้ายน้ำตาของมารดาในวันที่ขื่นขมอย่างแสนสาหัส เขาผู้เป็นลูกไม่อาจช่วยบรรเทาอะไรได้เลย ได้แต่มองแล้วชกอกตัวเองด้วยความเคียดแค้นชิงชังเต็มกำลัง คนอย่างรพินทร์มันจะต้องตกนรกในใจมันจนวันตาย ! มีทางไหนที่ทำลายให้พินาศย่อยยับได้ คนอย่างเขาจะไม่ลังเล !

แต่คิดไม่ถึงว่าคนสารเลวพรรค์นั้นจะเลี้ยงลูกออกมาได้งดงามเหลือเกิน เขาไม่เคยสบายใจที่ลงมือทำร้ายรพีกานต์ แต่เพื่อความสะใจที่จะได้ทำให้รพินทร์เจ็บปวดจึงยอมเฉือนหัวใจแลก สุดท้ายกลายเป็นเขาที่แพ้ภัยตัวเอง วงแขนสั่นเทาที่เจือไปด้วยความรักให้คนหนึ่งและแค้นอีกคนที่เป็นดั่งเงาอยู่เบื้องหลังโอบรั้งตัวเล็กแนบอก

“พี่วินไม่รักกานต์” เสียงแผ่วเครือเบาหวิวคงเป็นใจความหลักของเนื้อสาส์นที่แสดงผ่านการกระทำทั้งหมด แรงทุบจากกำปั้นเบาลง ก่อนเปลี่ยนเป็นนิ่ง อัครวินท์ลองขยับดูจึงเห็นว่าอีกฝ่ายร้องไห้จนหลับคาอกไป

“เด็กน้อย” เขายิ้มละไมประทับจูบลงหน้าผากคนฝากรอยข่วน ก็เด็กจริง ๆ นั่นแหละ เพิ่งอายุแค่สิบแปดปีก็ต้องมาอุ้มท้อง กลายเป็นเครื่องมือของเขาไม่รู้ตัว

“สามแฝด อย่าให้แม่เขาอาละวาดนักซี พ่อน่วมเป็นกระท้อนพร้อมกินแล้วเนี่ย อูย บอกอยู่นั่นว่าพ่อไม่รัก ๆ ไม่รักจะกลับมาหรือ โอย มือเล็ก ๆ ทุบหนักเป็นบ้า ถ้ากานต์อาละวาดทุกวันแบบนี้คงได้เป็นกระท้อนจริง ๆ ตามอารมณ์กันไม่ทันเลย” เขาบอกกับลูกในท้อง มีปฏิกิริยาตอบโต้เล็ก ๆ กลับมาให้นึกวาดมโนภาพเป็นเรื่องเป็นราว

“แน่ะ ว่าเข้าหน่อยช่วยแม่เขาเตะพ่อเลยเหรอเจ้าลูกเสือ หัวเดียวกระเทียมลีบเลยงานนี้ ใครอยู่ทีมพ่อเดี๋ยวแจกเบนซ์เลยเอ้า” เล่นกับลูกพ่อเป็นพิธี ชายหนุ่มดึงตัวกลับมานั่งตัวตรงประจำที่หลังพวงมาลัย สายตามองตรงแน่วข้างหน้า ภาพคฤหาสน์โอ่อ่าอัครฐานของอิศวัชร์ที่มีประมุขของบ้านคืออินทร์ฉาย อิศวัชร์ ปู่ของเขาพำนักอยู่และกุมอำนาจทั้งหมด ปัญหาใหญ่ตรงหน้านี้เขาจะจัดการมันได้ยังไง แล้วยังคนที่เกลียดแสนเกลียดที่ดันตลกร้ายมาเป็นพ่อของรพีกานต์ที่ตั้งครรภ์ลูกของเขา หนทางข้างหน้าดูจะเป็นบททดสอบที่สาหัสเสียแล้ว

'หยาดน้ำตาพร่าหล่นบนกลีบรัก สะอื้นฮักหัวใจใกล้แหลกสลาย
คนที่รักเฉือนมีดกรีดหัวใจ หลั่งน้ำตาปานจะตายไม่คลายคืน'


หากไม่รักก็จักไม่รู้เจ็บ
เมื่อเลือกที่จะรักดอกไม้ จงรักทั้งหมด ไม่ว่ากลีบดอกงามไสว หรือรากที่ไชในปลักตม
ความรักก็เช่นกัน

 :mew3:

เถียงตัวเองไปนะวิน ฉันกำลังคิดหาทางพาเมียแกหนีอยู่ ตอนนี้ยังคิดไม่ออก
คนบางคนเรารักเขามาก แต่ก็ไม่ได้อยากได้นะ

กลอนเพราะมั่ง ไม่เพราะมั่งเน้อ คิดสด ๆ อะไรผุดในหัวก็อันนั้นแหละ เราเขียนช่วงที่วินกานต์คบกันก่อนกานต์จะโดนทิ้งน้อยไปหน่อย ฉากชวนกันหนีเรียนไปเที่ยวทะเลแบบไปเช้าเย็นกลับก็ลืม เดี๋ยวจัดตอนพิเศษช่วงนั้นละกันเนอะ อ่านแล้วอาจงง ตอนแรกวินมันกะแกล้งเล่น ๆ นี่แหละ แบบหมั่นไส้คู่รักชายชายเลยอยากแกล้งแยกเขาจากกัน (จัญ..จริง ๆ ) แล้วเผลอรู้สึกดีกับกานต์จริง ๆ จนเกือบยอมแพ้จ่ายเงินเลี้ยงเพื่อนแหละ เพราะมันจะลองคบกานต์ แต่พอรู้ว่าเป็นลูกรพินทร์เลยสลัดความรู้สึกที่มีให้กานต์แล้วเดินหน้าทำลายแบบเต็มลูกสูบจนกานต์เกือบตาย เช่นนี้แล
เรื่องนี้ไม่มีตัวร้าย(มั้ง) พระเอกของเรื่องร้ายคนเดียว
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๐)(P.๗)(๐๑/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 01-02-2017 19:57:31
 :hao5: :hao5: :hao5:      แฝดสามเลย. ผู้ชายด้วย.  อิอิ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๐)(P.๗)(๐๑/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 01-02-2017 19:58:24
ร้ายคนเดียวก็พอแล้ว รอวันเอาคืนอยู่
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๐)(P.๗)(๐๑/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 01-02-2017 23:17:43
ถ้าพ่อของอัครวินรู้ว่ากานต์เป็นลูกใครแถมท้องหลานตัวเองอีกคงจะดีใจมากๆอะ เห็นใจกานต์สุดๆ
 ผู้หญิงตัดใจไม่เอาเขายังทำได้ แต่กานต์เป็นผู้ชายนะต้องตัดใจให้ได้ รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๐)(P.๗)(๐๑/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: sakurako12 ที่ 02-02-2017 06:20:21
ให้กานต์กะพ่อย้ายไปอยู่ต่างประเทศทั้งคู่นั้นแหละ
ด้วยสินทรัพย์ที่รพินทร์มีก็ไม่น่าลำบากอยู่แล้ว
หาที่เงียบสงบบรรยากาศดีๆ ให้คนพ่อรักษาตัว คนลูกรักษาใจ
ดูแลกันไปสองคนพ่อลูก รอจนพ่อหายดี แฝดสามโตก่อนค่อยกลับ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๐)(P.๗)(๐๑/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: question09 ที่ 02-02-2017 08:23:28
แฝดสามมมมมมมมมมมมมมมมมมม ดีใจด้วย อยากมีแฝดสามบ้างจุง
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๐)(P.๗)(๐๑/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 02-02-2017 11:36:24
แฝดแข็งแรงมากๆนะลูก รีบออกมาหาแม่นะลูก :กอด1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๐)(P.๗)(๐๑/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 02-02-2017 14:21:40
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๐)(P.๗)(๐๑/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 02-02-2017 14:38:17
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๐)(P.๗)(๐๑/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: i_Tipz ที่ 02-02-2017 15:41:31
คือแบบว่าดีอะ ดีงาม ชอบมากกกกก  o13 o13

รอลุ้นตอนต่อไป  :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๐)(P.๗)(๐๑/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 02-02-2017 16:44:37
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๐)(P.๗)(๐๑/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 02-02-2017 20:39:37
วินนี่นอกจากนิสัยไม่ดี เก่งแต่คนที่อ่อนแอกว่า แล้วยังขี้ขลาดอีกเนาะ
อารมณ์ ณ เวลานี้คือ อยากให้วินได้รับบทเรียนหนักๆ บ้าง
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๐)(P.๗)(๐๑/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-02-2017 21:16:42
อัครวินท์ ค่อยทำคะแนนตีตื้นขึ้นมาหน่อย
กานต์ อารมณ์ไม่คงที่ ปรวนแปร
เดี๋ยวเข้มแข็ง เดี๋ยวน้อยใจ ตัดพ้อต่อว่า
เป็นเพราะท้องด้วยหรือเปล่า
คนท้องต้องคุมอารมณ์ให้ดีๆ
ไม่งั้นกระทบถึงลูกในท้อง
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๐)(P.๗)(๐๑/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: waza ที่ 02-02-2017 22:11:33
สงสารกานต์ แต่อ่านไปก็เข้าใจ คนมันลืมไม่ได้อ่ะเนอะ ทั้งรักทั้งชัง ให้บทเรียนกับวินหนักๆก่อน แล้วค่อยกลับมาคืนดีละกัน รึไม่ก็ทิ้งไปเลยแล้วหาใหม่  :katai4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๐)(P.๗)(๐๑/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 03-02-2017 02:03:14
ช่วงวินกานต์ เท่านี้ก็ หน่วงหัวใจพอแล้วครับ ถ้ามากกว่านี้ คงอ่านต่อไม่ไหว บาดลึกหัวใจเหลือแสน อยากอ่านเรื่องนั้นด้วยอ่ะ ห่างหาย 3เดือนแล้ว อยากรู้ว่าความขัดแย้งของตระกูลจะคลี่คลายยังไง
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๐)(P.๗)(๐๑/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 05-02-2017 00:21:47
วินเริ่มมีความคิด ความรับผิดชอบแล้วสิ สงสารพี่นัฐจัง
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๐)(P.๗)(๐๑/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: KoTo_Nat ที่ 06-02-2017 14:43:16
กำลังรออย่างอดทน 55555
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๐)(P.๗)(๐๑/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: KoTo_Nat ที่ 10-02-2017 18:25:04
ยังไม่มาต่ออีกเหรอ

นานจัง เข้ามาดูทุกวันนะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๐)(P.๗)(๐๑/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-02-2017 21:01:09
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๐)(P.๗)(๐๑/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 10-02-2017 22:06:37
แอบเข้ามารอค่ะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๐)(P.๗)(๐๑/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกสมุนตัวเอฟ ที่ 13-02-2017 20:02:28
พึ่งเริ่มอ่าน แต่สนุกมาก หวังว่านายเอกจะมีอะไรกับพระเอกคนเดียวน่ะ ถ้ามีคนได้นายเอกไปอีกคน คงเศร้าน่าดู :mew2: :mew3:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๐)(P.๗)(๐๑/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ple ที่ 16-02-2017 19:42:06
เข้ามาส่องทุกวัน รออยู่นะคะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๑)(P.๘)(๐๒/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 20-02-2017 11:56:49
เสน่หา...รักเอย ๒๑

แม้นมิอาจพานพบประสบพักตร์
ผูกสมัครรักมั่นไม่หวั่นไหว
ถึงขวากหนามขวางกั้นสักปานใด
หากหัวใจให้เพียงพี่มิมีแทน
-มญสิตางศุ์-


แสงแดดอ่อนยามเช้าทอแสงเรื่อรองลอดผ่านแมกไม้ทาบลงบนทางเดินปูด้วยพื้นคอนกรีตพิมพ์ลายริเวอร์ร็อกสีส้มอิฐ มองดูละมุนตา บ้านหลังกะทัดรัดสีขาวชั้นเดียวรายล้อมด้วยต้นไม้ร่มรื่น ด้านหน้าจัดเป็นสวนมีบ่อปลาเล็ก ๆ ข้างในบ่อปลูกบัวกำลังผลิดอกสะพรั่ง รถคันหนึ่งเคลื่อนเข้ามาหยุดตรงหน้าประตูบ้าน เพียงไม่นานผู้เป็นเจ้าของบ้านก็รีบกุลีกุจอออกมาเปิดประตูให้รถเคลื่อนเข้ามาจอดข้างใน

“พ่อ สวัสดีครับ !” เด็กหนุ่มร่างประเปรียวร้องทักขึ้นด้วยน้ำเสียงกระตือรือล้นพลางประนมมือไหว้ผู้มาเยือน ใบหน้าใสสะอ้านฉีกยิ้มกว้างขวางเต็มหน้าจนตาหยีให้คนที่เปิดประตูก้าวลงรถมา

“ไง เหงาไหม พ่อซื้อของกินมาฝากเก้าเพียบเลย” คนถูกทักเปิดประตูลงมาพร้อมฉีกยิ้มเอ็นดูตอบ มือชูของกินพะรุงพะรัง เด็กหนุ่มเห็นดังนั้นก็รีบปราดเข้ามารับถุงของกินสารพัดอย่างไปถือไว้เอง

“ไม่เหงาครับ แต่คิดถึงพ่อมากกว่า งั้นเดี๋ยวเก้าไปเอาชามมานะครับ เรานั่งกินในสวนหน้าบ้านนี่แหละ อากาศกำลังดีเลย พ่อนั่งรอเก้าก่อนนะครับ” อิษวัตตอบบิดาบุญธรรมสีหน้าแจ่มใส ร่างสูงโปร่งในวัยสิบเจ็ดปีนำของกินในมือไปวางไว้บนโต๊ะในสวน ก่อนหันหลังสาวเท้ายาว ๆ กลับเข้าไปข้างในบ้าน อินทัชมองตามแผ่นหลังลูกชายเพื่อนรักที่ประสบอุบัติเสียชีวิตไปตั้งแต่อิษวัตยังเล็ก ๆ แล้วอดนึกถึงอัครวินท์ผู้เป็นลูกชายแท้ ๆ ของตนขึ้นมาไม่ได้

“ถ้าเจ้าวินมันจะกระตือรือร้นดีอกดีใจตอนเห็นหน้าพ่ออย่างเก้าบ้างคงดี” เขาพึมพำอย่างไม่คาดหวังอะไรนัก แต่ก็อดรู้สึกอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ อินทัชในวัยสี่สิบกว่าทว่ายังดูหล่อเหลาแบบคาดเดาอายุได้ยาก ร่างสูงใหญ่เดินเรื่อยเปื่อยชมบ่อปลาในสวนร่มรื่นของบุตรชายบุญธรรม อิษวัตเป็นเด็กรักธรรมชาติ รักสันโดษและชอบต้นไม้เป็นชีวิตจิตใจรวมถึงชอบวาดรูป นั่นทำให้เด็กหนุ่มสนิทกับอินทัชมากกว่าอัครวินท์ผู้เป็นบุตรชายแท้ ๆ ที่มีพรสวรรค์ทางดนตรีมากกว่า

ถ้วยชามและเหยือกน้ำวางในถาดถูกยกมาวางบนโต๊ะ อิษวัตเทโจ๊กปลาข้นคลั่กควันขาวลอยคลุ้งแตะจมูกลงในชามทั้งสองท่าทางกระปรี้กระเปร่า มือเรียวจัดแจงรินน้ำใส่แก้วเรียบร้อย อินทัชเดินกลับมาหย่อนกายลงนั่งบนโต๊ะ มือจับช้อนคนโจ๊กในชาม เริ่มต้นสนทนาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเช่นทุกครั้ง

“แผลฟกช้ำหายดีแล้วใช่ไหม พี่วินเขาใจร้อน ไม่ทันไต่สาวราวเรื่องก็เหมาว่าเก้าเป็นเด็กต้อยของพ่อ เลยจัดเสียอ่วมอรทัย” อินทัชมีสีหน้าไม่สบายใจนักกับนิสัยของบุตรชายตัวเอง สายตามองสำรวจร่างกายบุตรบุญธรรม ความห่างเหินทำให้เขากับอัครวินท์ไม่ค่อยคุยกันมากนัก เรื่องที่เขารับอิษวัตเป็นบุตรบุญธรรมเลี้ยงดูกันมาก็ไม่ได้บอกใคร จึงกลายเป็นเรื่องเข้าใจผิดให้อิษวัตพลอยรับเคราะห์ไปแบบไม่รู้อิโหน่อีเหน่

“หายแล้วครับ โชคยังดี มือไม่เป็นอะไร ไม่งั้นคงต้องหยุดวาดรูปไปพักใหญ่ เซ็งแย่” อิษวัตห่วงมือมากกว่าส่วนอื่น นึกตกใจกับเหตุการณ์วันนั้นอยู่เหมือนกันที่จู่ ๆ ก็มีคนมารุมทำร้าย ถ้าไม่ได้คุณหมอภาม หรือนายแพทย์อัคริมา อิศวัชร์ ญาติของอินทัชที่ได้รับการฝากฝังให้มาดูคนป่วยแทนให้ วันนั้นเขาคงโดนสหบาทารุมสกรัมเอายิ่งกว่านี้

“เก้าไม่ถือสาหาความพ่อก็เบาใจ แต่ยังไงก็ต้องขอโทษแทนพี่วินอยู่ดี รายนั้นเอาแต่ต่อต้านพ่อไม่ค่อยยอมฟังอะไร นี่ได้ข่าวว่าพี่หมอภามเขาตามไปลากตัวมาขอโทษเก้าด้วยตัวเองเชียวหรือ” อินทัชอมยิ้มติดตลกนิดหน่อย อัครวินท์ที่แสนดื้อดึงไม่ฟังใคร แต่กลับยอมให้ลูกพี่ลูกน้องคู่แฝดภีมภามที่กำราบตัวร้ายเสียอยู่หมัดมาแต่เด็ก

“ครับ พี่วินนี่ถลึงตาแทบจะกินหัวเก้าแน่ะ จนเก้านี่แหละแทบจะยกมือไหว้บอกไม่ให้พี่เขาขอโทษ กลัวโดนบัญชีย้อนหลัง แต่คุณหมอภามรับประกันแล้วว่าพี่วินจะไม่มายุ่งกับเก้าอีก ตอนนี้ก็โล่งแล้วครับ” อิษวัตยิ้มน้อย ๆ แก้มเนียนใสแต้มสีเรื่อนิดหน่อยหากอินทัชไม่ทันสังเกต ตั้งแต่วันนั้นมา ว่างจากงานตรวจคนไข้เมื่อไหร่ เด็กหนุ่มก็มักจะได้รับข้อความห่วงใยจากคุณหมอเสมอ

“เจ้าวินนี่มันอันธพาลจริง ๆ เที่ยวระรานคนอื่นเขาไปทั่ว คงได้ถูกตำหนิมาถึงพ่อแม่สักวัน” อินทัชส่ายหน้าระอา อิษวัตยิ้มแห้ง ยังจำท่าทางลูกเทวดาของจริงในคราวนั้นได้ ที่บอกว่าลูกเทวดามาจากสองเหตุผลคือ อัครวินท์ดูเหมือนถูกสปอยด์มาตั้งแต่เด็กจนดูเย่อหยิ่งถือตัวไม่เห็นหัวใคร เหตุผลที่สองก็เจ้าตัวนั้นหล่อจัดจนเหมือนเทวดาเดินดิน ถอดแบบเค้าหน้าจากอินทัช แต่อัครวินท์ผิวขาวจัดจนริมฝีปากเรียวสวยออกสีแดงสุขภาพดี ซ้ำผิวยังเนียนผ่องดูมีออร่า ถ้าไม่ติดว่าตาดุไปนิด ไม่นิดละ แทบขย้ำหัวเขาก็ว่าได้ แต่ยอมรับว่าลูกชายแท้ ๆ ของพ่ออินทัชนั้นหล่อเด็ดขาดบาดจิตบาดใจ ถ้าลดนิสัยเสียลงไปบ้างคงดีกว่านี้

“เอ้อ จริงสิ เก้าบอกไปเจอลูกค้าน่าสนใจมา ยังไงหรือลูก” อินทัชเปลี่ยนเรื่องหันมาสนใจเรื่องคนตรงหน้าแทน

“อ้อ เก้าเจอลูกค้าคนนึงเขาเป็นมะเร็งน่ะครับ เป็นครั้งแรกที่ได้วาดรูปคนป่วยที่มีมุมมองดี ๆ ให้กำลังใจตัวเองเลยติดใจนิดหน่อย” อิษวัตส่งโทรศัพท์ให้บิดาดูรูปที่วาดให้รพินทร์วันนั้น อินทัชรับมาดูก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนเป็นนิ่งตะลึง อิษวิตมองด้วยความแปลกใจพลางเอ่ยปากถาม

“ฝีมือของเก้าเป็นยังไงบ้างครับพ่อ พอไหวไหม”

“เก้า เก้ารู้ไหมว่าคนในรูปนี้ชื่ออะไร”

“อ๋อ ชื่อรพินทร์ครับ เจ้าตัวบอกอยู่ว่าชื่อนี้มาจากรพินทร์ ไพรวัลย์ ในเพชรพระอุมา” ชื่อรพินทร์มาจากรพินทร์ ไพรวัลย์ในเพชรพระอุมาครับ คุณพ่อนึกถึงเรื่องนี้แล้วก็เอามาตั้งชื่อลูก ครั้งหนึ่งเจ้าของใบหน้าแฉล้มเคยบอกเขาไว้อย่างนั้น อินทัชตะลึงงันจนแทบไม่ได้ฟังที่ลูกพูด สายตาจ้องมองคนในรูปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ราวภาพในวันวานย้อนกลับคืนมาอีกหน เขาคนที่ผิดสัญญาในวันนั้น...

“ดะ เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เก้าบอกว่าคนในรูปนี้เป็นอะไรนะ” เขาเค้นคำพูดยากเย็น ถามทวนในสิ่งที่ลูกบอกไปเมื่อครู่

“อ๋อ คุณรพินทร์เป็นมะเร็งน่ะครับ นี่เจ้าตัวก็ถอดวิกผมออกให้เก้าวาดตอนกำลังป่วย ตอนแรกเก้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่เขาไม่สบาย”

“มะเร็ง !” อินทัชจับใจความได้แค่นั้น นอกเหนือจากนั้นสิ่งที่ลูกชายพูดแทบไม่เข้าหูเขา รพินทร์ป่วยเป็นมะเร็ง มะเร็ง ! ร่างหนาตัวชาดิก คนที่ไม่ได้ข่าวคราวมานานนม พอบทจะได้ข่าวก็กลับพบว่า... ไม่ ! รพินทร์ยังไม่เป็นอะไรเสียหน่อย แสงสว่างของเขายังไม่ได้ดับแสงลงไป เขาจะคิดอะไรในแง่ร้ายไม่ได้

“พ่อเป็นอะไรครับ หรือว่าพ่อรู้จักกับเขา” อิษวิตสังเกตท่าทีผิดปรกติของบิดาจึงเอ่ยปากถาม

“เก้า แล้วเก้ารู้ไหมว่าอาการของรพินทร์หนักขั้นไหน” แทนคำตอบ อินทัชกลับเป็นฝ่ายถามกลับเสียอย่างนั้น

“ไม่ทราบครับ เขาไม่ได้เล่ารายละเอียด เก้าก็เลยไม่ถาม” อิษวิตส่ายหน้า คำถามต่อมาจึงรัวตามมา

“เก้าเจอเขาที่ไหน” คำถามเร่งเร้าพาให้งุนงง อิษวัตเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนเอ่ยปาก

“สวนสาธารณะครับ แต่เอ้อวันนั้นพี่เขาคุยสนุก เราเลยแอดเฟรนด์กันในเฟซครับ พี่เขาตามไอจีเก้าด้วย บอกอยากดูรูปฝีมือเก้า ตกลงว่าพ่อรู้จักเขา เพื่อนเก่าหรือครับ”

“เก้า ช่วยพ่อหน่อย พ่ออยากรู้ว่าตอนนี้รพินทร์อยู่ที่ไหน เก้าถามให้พ่อที” อินทัชไม่ตอบสักคำถาม แต่ท่าทีก็ทำให้อิษวัตพอมองออกว่าคนนี้ ๆ คงสำคัญกับพ่อพอดู เพราะใบหน้าของพ่อตอนนี้เหมือนคนใจสลายอย่างบอกไม่ถูก




“พี่วินจะพากานต์ไปที่ไหนครับ นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านนี่นา” รพีกานต์รู้สึกตัวตื่น สายตากวาดมองไม่เจอบ้านสไตล์ขนมปังขิงหลังคุ้นเคยก็เอ่ยถาม

“ไปบ้านพี่” อัครวินท์ตอบทั้งสายตามองตรงไปที่ถนน แต่ถึงไม่ได้เห็นหน้าชายหนุ่มก็พอจะเดาอาการของคนฟังได้ว่าจะทำตาโตขนาดไหน

“บ้าน่าพี่วิน กานต์ไม่ตลกด้วยนะครับ กานต์จะกลับบ้าน” คนตัวเล็กเริ่มนั่งไม่ติดที่เมื่อได้รับรู้จุดหมายปลายทาง

“ก็กลับบ้านพี่นี่ไง” อัครวินท์เล่นลิ้น ตอนที่รพีกานต์ผล็อยหลับเขาคิดมาคนเดียวตลอดทาง จนสุดท้ายก็ตัดสินใจกลับรถเปลี่ยน
เส้นทางไปยังคฤหาสน์อิศวัชร์แทน อาศัยจังหวะรถติดส่งรูปอัลตราซาวด์ของสามแฝดพร้อมข้อความ ‘เหลนปู่’ ไปให้นายใหญ่แห่งอิศวัชร์กรุยทางก่อน เพียงไม่นานเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ตัวสร้างเรื่องเหงื่อตกแต่ก็กดรับสายเปิดปากเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ ให้ผู้เป็นปู่ได้รับรู้ ปู่ไม่เอ่ยอะไรมากไปกว่าให้ขับรถระวัง ๆ นั่นยิ่งทำให้เสียวสันหลัง อัครวินท์รีบโทร.ไปหามารดาหาคนช่วย ผดาชไมลมแทบจับ ตอนนี้กลายเป็นว่าทุกคนในครอบครัวยกเว้นบิดาของเขาต่างตั้งตารอการไปถึงของเขาพร้อมคนอุ้มท้องเลือดเนื้อเชื้อไขของอิศวัชร์ มารดาบอกว่าปู่รักพ่อมาก แต่พอมีเขาผู้เป็นหลานปู่ก็ยิ่งรักมากกว่าลูกเสียอีก แล้วนี่เหลนแฝดสาม งานนี้เป็นเรื่องแน่ ๆ

“กานต์จะกลับบ้านกานต์” ดวงตาดำขลับจ้องเขม็ง ใบหน้าผ่องหงิกงอ จมูกเล็กเชิดรั้นปากอิ่มเชิดงอนแทบติดจมูกเป็นกิริยาที่อัครวินท์มองว่าน่ามันเขี้ยว ถ้าเผลอเอามือไปบีบจมูกแสนงอนเข้า เขาจะถูกข่วนไหมนะ แต่มันน่าจริง ๆ

“อย่าคิดบีบจมูกกานต์เชียว แล้วก็พูดให้มันรู้เรื่อง กานต์จะกลับบ้านกานต์ ไม่งั้นก็จอดรถ” คนรู้ทันชายตามองค้อนกะหลับกะเหลือกดูยังไงก็เหมือนแมวขู่ ใบหน้างองุ้มเอ่ยย้ำจุดประสงค์ของตนอีกหน

“ปู่กับย่าอยากเจอกานต์ แม่ก็ด้วย”

“อะไรนะ ! นี่พี่บอกครอบครัวพี่ด้วยหรือ” รพีกานต์หูผึ่ง

“พี่อายุสิบเก้า กานต์เองก็สิบแปด เรายังไม่บรรลุนิติภาวะทั้งคู่ พี่ไม่อยากตัดสินใจอะไรเองโดยพลการ เอาน่า พี่พากานต์ไปพบครอบครัว ไม่ได้พาไปฆ่าเสียหน่อย” ชายหนุ่มออกอาการหลุกหลิกเมื่อเจอสายตาคาดโทษ จากลูกแมวกลายเป็นเสือแม่ลูกอ่อนขึ้นมาทันควัน เขา...ก็แค่ไม่อยากปล่อยรพีกานต์หลุดมือไปอีก ยิ่งมีเรื่องลูกเข้ามาเกี่ยว มันเกินความคาดหมายที่จะตัดสินใจเพียงลำพัง ยอมให้ปู่เฉ่งยังดีกว่าต้องตามแก้ไขกันทีหลัง รพีกานต์นิ่งงันไปด้วยอารมณ์หลากหลายตีรวนในอก ไม่คิดว่าเรื่องจะบานปลายถึงขั้นนี้ ทั้งที่เตรียมหลบไปคลอดเงียบ ๆ อยู่แล้ว จะสงบสุขได้อย่างไรกันแบบนี้ หากคนของอิศวัชร์ต้องการตัวเด็ก ไม่ตามล่ากันพลิกแผ่นดินเลยหรือ อิทธิพลและอำนาจเงินมากขนาดนั้น แต่ยั้งใจไว้ก่อน บางทีอาจคิดเข้าข้างตัวเองมากไป ทางนั้นอาจไม่ต้องการรับรู้อะไรเลยก็ได้ อย่างไรเสียเขาก็คงอยากเกี่ยวดองกับคนที่ชาติตระกูลทัดเทียมกัน เผลอ ๆ จะถูกสั่งห้ามปริปากบอกใครเรื่องพ่อเด็กเสียอีก แบบนั้นก็ดี ขอให้เป็นอย่างหลังเถอะ จะยินดีอย่างที่สุด

รพีกานต์ภาวนา สูดลมหายใจลึกเรียกสติตัวเองทั้งที่หวั่นใจไม่น้อย ยิ่งรถเคลื่อนไปข้างหน้าเร็วเท่าไร ระยะทางก็ยิ่งย่นเข้าใกล้ปลายทางเท่านั้น

“พี่วินฟังกานต์นะ กานต์ย้ำหลายครั้งแล้ว และกานต์ก็จะย้ำให้ฟังอีกครั้ง”

“กานต์ไม่ต้องการหรือเรียกร้องความรับผิดชอบอะไร พี่แค่ปล่อยกานต์ไปตามทางของกานต์ ถ้าพี่ติดใจเรื่องลูก กานต์รับปากว่าจะไม่มีปัญหาเรียกร้องอะไรทีหลังในอนาคต กานต์ไม่ได้อยากจับพี่เหมือนละครน้ำเน่า บ้านกานต์มีกินมีใช้ ลูกสามคนกานต์กับพ่อเลี้ยงได้ไม่ลำบาก เรารักในศักดิ์ศรีของเราพอครับ พี่อัดคลิปคำพูดกานต์ไว้ก็ได้” ดวงตาดำขลับจ้องเป๋งจริงจัง พ่อรพินทร์เห่อเจ้าสามแฝดนักหนา เตรียมทองเตรียมหยองไว้รับขวัญหลานตั้งแต่เพิ่งจะอยู่ในท้องแค่สี่เดือน เขาเองก็รักลูกมาก สามแฝดยังต้องการอะไรมากกว่านี้อีกหรือ อัครวินท์หน้าม้านสะอึกกับคำพูดคนตัวเล็กที่ปฏิเสธการมีเขาอยู่ในชีวิต

“ไม่รักพี่แล้วหรือ ถึงได้พูดจาหมางเมินเหมือนพี่ไม่มีตัวตนขนาดนี้” ทำไมเขารู้สึกจุกเจ็บอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ได้ตัวมาแล้วแท้ ๆ แต่แล้วหัวใจที่เคยรักเขากลับหายไปอยู่ไหนเสีย

“เมื่อก่อนกานต์เคยรักพี่วินมากครับ ทั้ง ๆ ที่กานต์เองก็เกือบตายเพราะผิดหวังจากพี่ แต่ก็ยังคร่ำครวญหาพี่ทั้งวันทั้งคืนตอนอยู่ในโรงพยาบาล” รพีกานต์แค่นยิ้มขื่น ความทรมานเจียนตายยังแล่นริ้วในความรู้สึก ไม่แค่เขาคนเดียวที่ทุกข์ แม้แต่พ่อกับพี่ณัฐ คนที่ห่วงใยล้วนแต่ทุกข์ใจไปกับเขา ทั้งพ่อและพี่ขอบตาแดงทุกครั้งที่เห็นเขาทรมานเหมือนจะตายก็ไม่ตาย หยาดน้ำตาชุ่มหมอนก่อนนอนทุกคืนเป็นแรมเดือน รพีกานต์ไม่เคยลืม ไม่เคยลืมทั้งความรักและความเจ็บช้ำ

“แต่พอมีลูก กานต์รักลูกมากกว่าอะไรทั้งหมด กานต์ยอมสูญเสียทุกอย่างเพื่อรักษาลูกไว้ ถ้าวันนึงพี่วินพร้อมสำหรับการเป็นพ่อคนจริง ๆ พี่วินจะเข้าใจครับ” รพีกานต์กลืนความขื่นขมลงในใจ ในรักแรกบริสุทธิ์แปดเปื้อนด้วยมลทินหยาดน้ำตาคั่ง ทิ้งร่องรอยบาดแผลลึกไว้ให้จดจำ แต่เพราะมีลูกจึงคลายความเศร้าความเจ็บช้ำให้พอทุเลาลงได้บ้าง ด้วยอีกรักที่บริสุทธิ์กว่าได้เยียวยาหัวใจให้มีหวัง เหมือนได้รับฝนทิพย์ ได้เห็นแสงตะวันยามรุ่งคอยห่มหัวใจที่ร้าวราน

“ปล่อยกานต์ไปเถอะนะครับ เลิกแล้วต่อกันเท่านี้เถอะ อนาคตพี่จะแต่งงานมีลูกอีกสักกี่คนก็ได้ แค่พี่ปล่อยกานต์ไป นะครับ กานต์ขอร้อง” ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งคู่กัน น้ำเสียงทอดนุ่มออดอ้อน สายตาวิงวอนแกมละห้อย ไม่มีใครทานทนสายตาของรพีกานต์ยามนี้ได้สักคน แต่นั่นกลับทำให้อัครวินท์ยิ่งรู้สึกหวง ยิ่งไม่อยากปล่อยมือให้ไปทำแบบนี้กับใครอีก ไม่ว่าจะณัฐธีร์ ฉายฉาน หรือใครก็ตาม เขาต้องการเป็นเจ้าของครอบครองคนนี้ ๆ ทั้งหมด

 “พี่ไม่ปล่อย ยังไงพี่ก็ไม่ปล่อย ต่อให้ต้องล่ามต้องขัง พี่ก็จะทำ”

“พี่ทำกานต์ลงหรือครับ” คำถามทำเอาสะอึก แต่เมื่อหลุดคำพูดไปแล้วอัครวินท์จึงได้แต่เฉยเสีย

“ถ้าพี่ทำอย่างนั้น ใจกานต์ก็จะยิ่งห่างจากพี่ พ่อเคยบอกกานต์ว่า สิ่งที่จะผูกหัวใจคนได้ก็คือความรัก ต่อให้ตัวห่าง หัวใจก็ยังอยู่ใกล้กัน เพราะสิ่งที่เชื่อมหัวใจคนเราไว้คือความรัก ไม่ใช่ร่างกาย พี่วินไม่ได้รักกานต์ก็หยุดทรมานกานต์เถอะครับ เหลือพื้นที่ความทรงจำดี ๆ เกี่ยวกับพี่ให้กานต์ได้เก็บติดตัวไปกับกานต์ทุกที่บ้าง”

“มันมีด้วยหรือกานต์ รักแต่ไม่ต้องการครอบครองน่ะ กานต์บอกว่ากานต์รัก แต่ทำไมถึงผลักไสพี่ออกไปจากชีวิตกานต์ กานต์รักของกานต์ยังไงกันแน่ถึงได้ไม่ต้องการมีพี่ พี่ก็กลับมาแล้วนี่ไง แล้วทำไมถึงยังไล่พี่อีก” เขาไม่เข้าใจ ที่ผ่านมาทุกคนพยายามไล่ตาม ปรารถนาจะครอบครองในตัวเขากันทั้งนั้น

“เพราะพี่วินกลับมาในวันที่กานต์ไม่ต้องการพี่วินแล้วไงครับ” เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ อัครวินท์ตะลึงในคำตอบราวถูกของแข็งทุบหัว รพีกานต์ขอแค่ได้รัก แต่ไม่ปรารถนาจะครอบครองในตัวเขา ไม่ยินยลสนใจว่าเขาจะคบหากับใครหรือมีชีวิตต่อไปยังไงอีก กลายเป็นเขาเสียเองที่ดิ้นรนทุรนทุรายราวถูกสาดด้วยของร้อน เหมือนลอยคว้างอยู่กลางทะเล พยายามตะเกียกตะกายจะว่ายเข้าหาฝั่งแต่ก็ถูกคลื่นซัดออก พยายามจะยึดรพีกานต์ไว้กับตัวแต่กลับถูกผลักออกห่างทุกชั่วขณะ

“กานต์...”

“กานต์ขอเก็บแค่ความทรงจำดี ๆ นะครับ เผื่อวันนึงลูกถามถึงพ่อ กานต์จะได้บอกลูกได้ว่า กานต์รักพ่อของแกมากแค่ไหน พี่วินจะเป็นดวงตะวัน เป็นพระจันทร์ที่กานต์มีความสุขแค่เพียงได้มอง ปล่อยกานต์ไปนะครับ พี่วินเกเรเหลือเกิน กานต์ไม่อยากให้ลูกเป็นแบบพี่ ไม่อยากให้ลูกมีพ่อแบบพี่” ดวงตาแดงช้ำร้องขอ คราวนี้กระบอกตาคนทระนงร้อนผ่าวขึ้นมาจริง ๆ รพีกานต์รักเขา แต่ไม่ต้องการเขา ไม่ต้องการให้ลูกมีพ่ออย่างเขา คนตัวเล็กจะขอเก็บแค่ความรักติดตัวไปด้วยทุกที่ แต่ไม่ต้องการมีเขาอยู่ในชีวิต ไอ้วินเอ๋ย คนอย่างอัครวินท์ อิศวัชร์ ถูกผู้หญิงตบสักร้อยคนยังไม่เจ็บเท่าคำพูดของคน ๆ เดียว

“กานต์มีคนแสนดีรับเป็นพ่อเด็กให้แล้วสินะ ถึงไม่ต้องการพี่” อดประชดประชันด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้ เขาเลวขนาดที่ไม่ปรารถนากันถึงเพียงนี้เชียวหรือ

“ลูกของกานต์ไม่จำเป็นต้องเร่หาพ่อเด็กหรอกครับ ฝนหลวง ใกล้รุ่ง ฟ้าห่ม มีพ่อและปู่ทุ่มเทความรักให้มากพออยู่แล้ว” ใบหน้าเรียวเชิดอย่างถือตัวโดยไม่ทันระวังว่าเผลอหลุดคำพูดออกไปจนได้ หากแต่คนได้ยินขมวดคิ้วฉับ ทวนซ้ำอีกหน

“ฝนหลวง ใกล้รุ่ง ฟ้าห่ม นี่ตั้งชื่อเล่นลูกแล้วหรือกานต์” รพีกานต์ชะงัก หลุดปากไปอีกจนได้ อยู่ใกล้พี่วินไม่เคยควบคุมตัวเองได้เลย ใบหน้าใสสะบัดหนียุติการพูดคุยลง ด้วยกลัวจะน้อยใจจนหลุดอะไรออกไปอีก

“เป็นชื่อที่ดีมากจริง ๆ พี่ชอบเพลงใกล้รุ่ง แล้วพี่จะเล่นให้กานต์กับลูกฟัง จะเล่นทุกเพลงที่กานต์ชอบ” อัครวินท์พึมพำด้วยใจลิงโลด เพลงนี้บิดาของเขาเคยสอนเมื่อครั้งเยาว์วัย จำได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขมากยามอยู่ใกล้บุพการีตนเอง หัวใจพองฟูอย่างประหลาดเมื่อพูดถึงเจ้าสามแฝดทั้งที่เมื่อกี้บรรยากาศหม่นคุบีบหัวใจเสียกระบอกตาร้อนผ่าว แล้วคิวปิดทั้งสามก็เข้ามาห้ามทัพก่อนจะเลยเถิด อัครวินท์ยิ้มยินดีแค่ได้ยินชื่อเล่นเจ้าตัวน้อย มือหนาละพวงมาลัยข้างหนึ่งยื่นมาลูบท้องนูน แรงตอดเล็ก ๆ ร้อยสายใยผูกพันแนบแน่นอย่างไม่อาจจะละมือ

“ให้โอกาสพี่อีกครั้งนะกานต์ พี่สัญญาว่าพี่...”

“อย่าสัญญาครับพี่วิน อย่าเอาอนาคตที่ไม่แน่นอนมาผูกมัดตัวเอง พี่จะกลายเป็นคนพูดปด ไม่น่าเชื่อถือ ถ้าทำอย่างที่พูดไม่ได้ ให้การกระทำอธิบายคำพูดเถอะครับ” รพีกานต์ขัดขึ้นกลางปล้อง ตอนนี้รู้แล้วว่าอย่างไรเสียอัครวินท์ก็จะพาตนไปที่บ้านให้ได้ ร่างเล็กเรียกสติเตรียมการเผชิญหน้า เพื่อลูกแล้วต่อให้ต้องเจอกับอะไรก็ยอม ดวงตากวางหลุบมองโทรศัพท์ข้างกายที่วางแอบไว้อีกฝั่ง ทุกคำพูดที่สนทนากันบิดาของเขาได้ยินหมดทุกถ้อยคำ

“พ่อจ๋า ถึงเวลาที่เราต้องหนีแล้ว”


 -ต่อด้านล่างค่ะ-

*กลอนวรรคแรกด้านบนสุดเราเอามาจาก 'มิอาจพบประสบพักตร์' ในเพชรกลางไฟนะคะ เอามาแต่งแบบกลอนแปดอีกที
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๑)(P.๘)(๒๐/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 20-02-2017 12:10:38
๒๑ (ต่อ)


เสียงกดออดหน้าบ้านสร้างความพิศวงแก่รพินทร์ไม่น้อย เมื่อผู้เป็นลูกชายเพิ่งจะนั่งรถออกจากบ้านไปไม่เท่าไหร่  ผู้เป็นเจ้าของบ้านเลิกคิ้วขณะเหลือบสายตาแลตามแผ่นหลังลุงคนสวนเดินไปเปิดประตูเล็กออกถามผู้มาเยือน ร่างตะคุ่มนอกรั้วอัลลอยที่กำลังเจรจากับคนสวนนั้นดูเป็นรูปร่างลาง ๆ ของบุรุษทว่ามองเห็นเค้าหน้าไม่ชัด จากนั้นไม่นานร่างผู้กรำงานในสวนก็กลับดุ่มเข้ามารายงานเขา

“มีเพื่อนมาขอพบคุณรพินทร์น่ะครับ บอกว่าเป็นเพื่อนเก่า ชื่อคุณทัชครับ”

“ทัช อืม ทัชไหนนะ เชิญเข้ามาเถอะ แล้ววานบอกคุณแม่บ้านยกน้ำมาเสิร์ฟแขกด้วยนะ” หัวคิ้วขมวดอย่างพยายามนึก อายุมากขึ้นเพื่อนฝูงต่างก็แยกย้ายกันไปคนละทาง ที่ติดต่อรู้ข่าวกันได้ก็จากโซเชียลส่วนหนึ่ง แรกนั้นรพินทร์ไม่ได้นึกถึงอินทัชเลยเพราะไม่ได้ติดต่อกันมานานมากแล้ว ร่างโปร่งมองรถที่ขับเข้ามาจอด จนเมื่อคนขับก้าวเท้าลงมา รพินทร์ถึงกับนิ่งงันไป

อินทัช...

“พินทร์” อินทัชเอ่ยทักด้วยรอยยิ้มก่อนจะชะงักไปเมื่อเห็นสีหน้าคนป่วย ครั้นนึกขึ้นได้จึงแสร้งไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ “สบายดีไหม”

“พี่ทัช มาได้ยังไง”

“พี่ผ่านมาแถวนี้น่ะ เคยเห็นพินทร์ผ่านเข้าออกบ้านหลังนี้เลยลองมาถามดู” เขาตอบแบบเก็บอาการเต็มที่ทั้งที่อยากปรี่เข้าหา รั้งร่างโปร่งนั้นเข้ามากอดปลอบประโลมให้รู้ว่า ‘ห่วง’ แค่ไหน คงเป็นผลข้างเคียงจากการรักษา เส้นผมนุ่มสลวยที่เคยดกดำเป็นเงาปกคลุมทั่วศีรษะจึงได้อันตธานไป แต่พินทร์ของพี่จะไม่เป็นอะไรหนักใช่ไหม อยากถามเหลือเกิน

“งั้นเข้าไปคุยกันข้างในบ้านนะครับ” รพินทร์เชื้อเชิญอาคันตุกะอดีตคนรักเก่า ที่ประจวบเหมาะมาเจออย่างคาดไม่ถึง

“คุยที่สวนนี่ก็ได้ ไม่ต้องลำบากหรอก สวนบ้านพินทร์สวยร่มรื่นน่านั่งดีนะ” เขายิ้มอ่อนโยนด้วยรอยยิ้มเดิมที่เคยมีให้ สายตากวาดมองโดยรอบอาณาเขตกว้างขวางอย่างพอใจ พินทร์ของเขารักต้นไม้ ดอกไม้ที่ชอบที่สุดคือดอกมะลิ พูดถึงมะลิ น้ำเย็น ๆ โรยดอกมะลิสดก็ถูกยกมาเสิร์ฟพร้อมของกินเล่นหน้าตาน่ากินพอดีคำอย่างกระทงทอง

“กระทงทอง พี่ไม่ได้กินมานานแล้ว รสมือพินทร์ไม่เคยตก” อินทัชหยิบชิ้นกระทงทองส่งเข้าปาก เพียงรสชาติของอาหารว่างสัมผัสปลายลิ้น อาคันตุกะหนุ่มก็มีสีหน้าถูกใจเอ่ยชมเปาะ

“ส่วนใหญ่ผมจะทำเป็นอาหารว่างให้น้องกานต์กินน่ะครับ”

“น้องกานต์ ?”

“ลูกชายน่ะครับ โตเป็นหนุ่มแล้ว วันนี้ออกไปธุระข้างนอก”

“พินทร์แต่งงานแล้วหรือ” จริงสินะ เขาเองก็ลืมไป ตาเก้าก็บอกอยู่ว่าเจอรพินทร์มากับลูกชาย พอได้ยินจากปากเจ้าตัวก็อดรู้สึกไม่ได้ งั้นตอนนั้นที่ถูกเขาบังคับมีอะไรด้วยแล้วเจ้าตัวบอกว่ามีลูกก็เป็นเรื่องจริงสินะ ว่าแล้วก็อดเหลือบสายตาแลเลยเข้าไปในบ้านเพื่อชำเลืองหาแม่บ้านของอดีตคนรักไม่ได้

“น้องกานต์เป็นลูกบุญธรรมน่ะครับ” รพินทร์ตอบแบบเดาจุดประสงค์อีกฝ่ายออก อินทัชชะงักถอนสายตากลับมาสบตากับคนรักเก่า ดวงตาคู่สวยตรงหน้าไม่สะท้อนความรู้สึกใดให้เดาความคิดออกอย่างรพินทร์คนเก่า

“พินทร์เป็นยังไงบ้าง” เขาเหลือบแลศีรษะโล้น ดวงหน้าซีดเซียวบ่งบอกปัญหาสุขภาพได้เป็นอย่างดี

“ช่วงนี้ไม่ค่อยดีเท่าไรครับ ตรวจเจอมะเร็ง เพิ่งให้ยาคีโมเลยมีผลข้างเคียงนิดหน่อย ผมร่วงกับเพลีย ๆ น่ะครับ” ตอบพลางยกน้ำขิงขึ้นจิบด้วยท่าทีสงบ คนพูดกำลังใจดี แต่คนฟังกลับทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

“มะเร็ง” อินทัชครวญเสียงแผ่วทั้งที่ก็รู้อยู่แล้ว

“พี่ทัชอย่าทำหน้าอย่างนั้นซีครับ เดี๋ยวรักษาก็หายขาดได้ หมอเดี๋ยวนี้เก่งออก มีข่าวงานวิจัยค้นพบวิธีรักษาใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย” รพินทร์ใจเย็นปลอบประโลมไม่อยากให้เขาตีตนไปก่อนไข้ หนุ่มวัยสี่สิบใส่ใจดูแลตัวเองอย่างดีเพื่อลูกและหลานตัวน้อยแฝด
สามที่เขาเป็นคนตั้งชื่อเล่นให้เอง ‘ฝนหลวง ใกล้รุ่ง ฟ้าห่ม’ ชื่อมงคลทั้งนั้น ว่าแต่เขาควรจะบอกคนเป็นปู่แท้ ๆ อย่างอินทัชดีไหม รพินทร์ช่างใจก่อนปัดความคิดนั้นทิ้งไป บางเรื่องรู้น้อยคนก็น้อยความ

“ได้ยินมะเร็งแล้วพี่ใจไม่ดี”

“อย่าตีตนไปก่อนไข้เลยครับ ถึงเวลาก็ต้องไปทุกคน ไม่ว่าช้าหรือเร็ว ไม่ต้องป่วยหรอก บางคนแข็งแรงดีจู่ ๆ เกิดอุบัติเหตุเสียอย่างนั้น มองในแง่ดีพินทร์แค่ป่วย มีโอกาสรักษาหาย ถึงเป็นหนักก็ยังได้ล่ำลาคนรอบข้าง เพราะงั้นพี่ทัชอย่าคิดมากเลยครับ ทุกข์ใจเปล่า ๆ” รพินทร์ในวันนี้ต่างจากวันนั้นโดยสิ้นเชิงจนอินทัชคาดไม่ถึง เจ้าตัวไม่ได้มีท่าทีทุกข์ร้อน หากแต่ทำใจยอมรับทุกอย่างอย่างเข้าใจ

“พินทร์เข้มแข็งมากนะ” กลายเป็นเขาที่กังวนก่อนล่วงหน้าเสียมากมาย

“ความทุกข์ขัดเกลาคนให้เป็นคนครับ อยู่ที่ว่าเราจะรับมันมาบั่นทอนจิตใจหรือเรียนรู้บทเรียนจากมัน” รพินทร์บอกด้วยท่าทีสงบ เก็บซ่อนทุกความรู้สึกมิดชิด เวลาขัดเกลาจิตใจของเขาให้แกร่งขึ้นยามได้เจอหน้าคนรักเก่าอีกครั้ง ไม่ฟูมฟาย ไม่กล่าวโทษความผิดใคร ทุกอย่างมันผ่านไปแล้วและเขาเองก็ปล่อยใจให้ไหลไปกับเวลา ไม่ยึดติดกับอินทัชอีก

“ถ้าพี่จะขอมาเยี่ยมอีกจะได้ไหม พี่ขอเบอร์ติดต่อไว้เผื่อพินทร์ไม่อยู่จะได้ไม่มาเสียเที่ยว”

“ไม่กลัวลูกชายโกรธเคืองแล้วหรือครับ” ถามเพราะรู้ว่าอินทัชรักและแคร์ความรู้สึกของลูกชายมาก เขาเองก็มีรพีกานต์ย่อมเข้าใจดี

“เจ้าวินโตแล้ว เขาก็มีโลกของเขาไปตามวัย คงไม่มาสนใจอีกหรอก พี่อยากมาหาเพราะพี่อดห่วงไม่ได้ แล้วก็...คิดถึง” อินทัชในวันนี้สายตาไม่ได้ต่างจากวันวานเท่าไรยามที่ทอดมองคนที่ตนเองรัก หากแต่เส้นใยบาง ๆ ที่เรียกว่าพันธะนั้น กั้นหัวใจคนทั้งคู่ได้ทรมานเหลือเกิน แค่อยากเอื้อมมือไปจับมือของอีกฝ่าย ถ่ายทอดความอุ่นของหัวใจไปยังเจ้าของมือบาง เพียงมีใบหน้าของลูกชายผุดขึ้นมา อินทัชก็ละอายใจที่จะทำ


Trrrr
อินทัชกลับไปนานแล้ว บนเก้าอี้ตัวเดิมในสวนร่มรื่นยังมีสายตามองเหม่อไร้จุดหมาย น้ำขิงที่คุณแม่บ้านเอาถ้วยใหม่มาเปลี่ยนให้นั้นเย็นชืดและปริ่มขอบถ้วยเช่นเก่า

Trrr
รพินทร์สะดุ้งกับเสียงโทรศัพท์ หยิบขึ้นดูเห็นว่าเป็นเบอร์ลูกชายที่ตอนนี้อยู่กับสารถีคนใหม่ นิ้วเรียวกดรับกรอกเสียงลงไป หากแต่บทสนทนาที่ลอดผ่านออกมาให้ได้ยินนั้นทำให้นิ่งฟังจนจบ เจ้ากานต์น้อยส่งสัญญาณมาว่าถึงเวลาแล้ว ร่างประเปรียวลุกจากเก้าอี้เดินกลับเข้าบ้าน เสียงทุ้มนุ่มนวลออกปากกับคุณแม่บ้านใหญ่

“พี่อบช่วยผมจัดกระเป๋าหน่อยครับ น้องกานต์ได้เวลาออกเดินทางแล้ว”

บางทีความรักอาจไม่ใช่การครอบครอง หากแต่เราสามารถเก็บความรู้สึกดี ๆ ติดตัวไปด้วยทุกที่ ทุกมุมโลกมีพระอาทิตย์และพระจันทร์ให้มอง ถ้าหยุดทุรนทุรายอยากได้มาครอบครอง เราก็จะมีความสุขและพอใจกับการแค่ได้มองความงดงามที่อยู่บนโพ้นฟ้า

แม้นน้องนี้มิอาจจะพานพักตร์
หากก็จักกักฤทัยให้แม้นเหมือน
ดั่งมีพี่นี้สถิตมิแชเชือน
ตะวันเลื่อนเดือนวับขอลับจร
-มญชุ์สิตางศุ์-

 :L2:

เจอกันต้นเดือนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๑)(P.๘)(๒๐/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 20-02-2017 12:54:17
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
ติดเรื่องนี้ๆๆ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๑)(P.๘)(๒๐/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: question09 ที่ 20-02-2017 16:40:13
ต้นเดือนเลยหรอ....อยู่ต่อเลยได้มั้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๑)(P.๘)(๒๐/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: i_Tipz ที่ 20-02-2017 17:06:38
รอ เค้ารออยู่น้า  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๑)(P.๘)(๒๐/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ตัวไหมอ้วนกลม ที่ 20-02-2017 17:09:38
ต้นเดือนเลยเหรอคะ  คนรอใจจะขาดแล้วค่ะ   :katai5:   :katai5:   :katai5: 
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๑)(P.๘)(๒๐/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 20-02-2017 17:56:17
 กานต์จะลอดมือวินได้ยังไง วินก็น่ากลัวกะจะเอาลูกหลานคนอื่นไปขัง
  รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๑)(P.๘)(๒๐/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 20-02-2017 21:09:03
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๑)(P.๘)(๒๐/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 20-02-2017 21:28:03
อึน ๆ หน่วง ๆ พิกล
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๑)(P.๘)(๒๐/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 20-02-2017 22:00:32
จะหนีไปใหนเหรอครับ  ดูแล้วฐานะของกานต์ก็ไม่ได้ด้อยกว่าวินตรงให้ ดุแล้วน่าจะดีกว่าด้วยซ้ำ  น่าจะทำแบบได้แต่เฝ้ามองแต่เข้าใกล้ไม่ได้ดีกว่านะ  สะใจกว่า มาเห็นว่ามีค่าเมื่อทำหลุดมือไปแล้ว  สะใจดี
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๑)(P.๘)(๒๐/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: aornarak ที่ 20-02-2017 23:02:08
อยากให้พรุ่งนี้เป็นวันต้นเดือนจังเลยน้า
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๑)(P.๘)(๒๐/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 21-02-2017 06:18:22
 :a5: o22
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๑)(P.๘)(๒๐/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-02-2017 09:38:52
แม้วิน จะอยากรับผิดชอบ
แต่มาในเวลาที่กานต์ ไม่ต้องการ
เป็นการเสนอ ที่ไม่ได้รับการสนอง
แผนการหนีเตรียมไว้นานแล้วสินะ
อินทัช มาพบรพินทร์ ก่อนการย้ายหนีอย่างเฉียดฉิว
ฝนหลวง ใกล้รุ่ง ฟ้าห่ม โอ้......เป็นชื่อเล่น ที่น่ารักมาก
อยากเห็นแฝดสามเร็วๆ แล้ว
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๑)(P.๘)(๒๐/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: saseum ที่ 21-02-2017 15:39:35
กานต์ใจแข็ง+เข้มแข็งดีนะ

ว่าแต่จะหนีไปไหนกัน
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๑)(P.๘)(๒๐/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 21-02-2017 19:57:45
ชอบมุมมองความรักและแง่คิดเกี่ยวกับชีวิตของน้องและคุณรพินทร์มากเลยค่ะ จะรอตอนหน้านะคะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๑)(P.๘)(๒๐/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 22-02-2017 00:15:09
รอตอนต่อไป...
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๑)(P.๘)(๒๐/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: natsikijang ที่ 22-02-2017 21:58:31
สงสารน้องกานต์ แต่อยากให้น้องรู้จักวิ่งชน ทั้งที่ครอบครัววินท์ก็รู้แล้ว ทำไมต้องหนี  ฉากเห็นน้องกานต์ต่อสู้เพื่อลูกมากกว่าหนีปัญหาแบบนี้
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๑)(P.๘)(๒๐/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: KoTo_Nat ที่ 25-02-2017 22:09:06
เข้ามาทุกวันเผื่อคนแต่งเปลี่ยนใจ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๑)(P.๘)(๒๐/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: pamazier24 ที่ 25-02-2017 22:12:26
เริ่มออกทะเลแล้วคนแต่ง :hao3: เปลี่ยนตอนนี้ยังทันนะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๑)(P.๘)(๒๐/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 27-02-2017 00:17:24
ชอบทั้งคุณพ่อรพินทร์ ทั้งน้องกานต์เลย

คุณพ่อสอนลูกได้ดีมากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๑)(P.๘)(๒๐/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 01-03-2017 08:04:16
ร้องไหหนักมากกกกกกก
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๑)(P.๘)(๒๐/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: KoTo_Nat ที่ 03-03-2017 19:36:39
ต้นเดือนละน๊าาาา

จะมาอะยัง
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๑)(P.๘)(๒๐/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: GUNPLAPLASTIC ที่ 04-03-2017 02:26:06
โอ้ยย กานต์เข้มแข็งมากกกก เป็นไงล่ะวิน งงไปสิ
แต่ก็แอบเชียร์เบาๆ อยากให้พ่อแม่อยู่กันครบ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๑)(P.๘)(๒๐/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: goodgirls ที่ 06-03-2017 11:44:42
เมื่อไหร่จะมาอัพหนอ อัพหนอ รอหนอ อัพหนอ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๑)(P.๘)(๒๐/๐๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: seii ที่ 10-03-2017 06:09:44
ไม่โอเคกับพระอกสุดๆ
อีวินเเกมันเเรด ร่าน เเละตอเเหล มากกกกก
หวังว่านายเอกของเราจะเข้มเเข็งให้ตลอดนะคะ
เเนวอ้อนไม่กี่เดือนเเล้วคืนดีนี่อย่าเชียวนะการ์ณ

อยากเห็นอีพระเอกรู้ความจริงเรื่องเข้าใจผิดพ่อตัวเองเร็วๆจัง
นิสัยตอเเหลคงเอามาจากเเม่ล่ะสิ
 :katai4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 10-03-2017 22:26:55
เสน่หา...รักเอย ๒๒

"โอ้พี่จ๋า น้องยา ลาพี่แล้ว
จำจากแก้ว แพรวขวัญ ทั้งหวั่นไหว
มิอาจอยู่ คู่ชิด สนิทใจ
จำจากไกล ทั้งใจรัก ภักดิ์อาวรณ์"


หลังประตูอัลลอยบานเขื่องเลื่อนเปิดออกนั้น รพีกานต์มองเห็นเส้นทางทอดยาวไปยังคฤหาสน์หลังโอฬารอัครฐานตั้งตระหง่านบนพื้นที่กว้างขวางหลายไร่ ส่วนหน้าคฤหาสน์จัดเป็นสวนน้ำพุสวยงาม ตลอดสองฝั่งถนนที่ทอดไปตัวคฤหาสน์ขนาบด้วยต้นปาล์มขวดไปตลอดเส้นทาง

รพีกานต์ลูบท้องกลมขณะกวาดสายตามองอาณาจักรอิศวัชร์ ตระกูลมหาเศรษฐีแถวหน้าของเมืองไทยด้วยความรู้สึกไม่สู้ดีนัก ด้วยไม่ได้นิยมชมชอบความอภิมหาหรูหราแบบนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ใจดวงน้อยกระหวัดถึงบ้านริมแม่น้ำร่มรื่นด้วยแมกไม้ของตนเองมากกว่า
ป่านนี้พ่อคงคอย...

รำพึงรำพันด้วยความอึดอัดใจ แรงดิ้นเล็ก ๆ ในท้องนั้นดูเหมือนเจ้าสามแฝดจะเข้าใจความกังวลนี้ดี

“ไม่ชอบหรือ” อัครวินท์หันมาถามหลังสังเกตสีหน้าเจือกังวล

“บ้านพี่วินหลังใหญ่แล้วก็กว้างเกินไปครับ” รพีกานต์ตอบตามตรง เบือนหน้าหันมาหา “พี่วิน กานต์อยากกลับบ้าน”

“กว้าง ๆ สามแฝดจะได้วิ่งซนได้ไง มีสนามกอล์ฟให้เล่นด้วย” อัครวินท์เลือกปัดคำวอนขอของเจ้าของดวงตาเว้าวอนทิ้ง รพีกานต์เห็นท่าทีดังนี้จึงบ่นอุบ

“พี่วินเอาแต่ใจ”

“เมียพี่น่ารัก น่ารักทั้งหน้าตาแล้วก็นิสัย พี่ไม่ใจเย็นปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ อีกหรอก” อัครวินท์หมายมั่น ลำพังหน้าตาคงไม่เท่าไร เพราะเขาเจอคนหน้าตาดี ๆ มาเยอะแยะ แต่คนนิสัยน่ารักน่าอยู่ด้วยใกล้ ๆ เสน่ห์แบบนี้ของรพีกานต์นี่แหละที่ทำให้เขานึกหวง

“พี่บ้าหรือเปล่า กานต์เป็นผู้ชายนะ ไม่ใช่ผู้หญิงสวย ๆ ที่พี่จะได้มานึกหวง คอยกันท่าคนนั้นคนนี้” คนท้องอดแหวให้ไม่ได้ ระดับอัครวินท์ควงแต่ละคนสวยกว่าดาราเสียด้วยซ้ำ รถหรูหยุดลงกึกหน้าคฤหาสน์ อัครวินท์หันมาหาเจ้าของใบหน้างอ

“กานต์ไม่รู้ตัวหรอก แต่ถ้าลองถามพี่ณัฐ เขาก็คงตอบเหมือนพี่ เข้าไปข้างในกันเถอะ” ชายหนุ่มเปิดประตูออกไปก่อน ร่างใหญ่รีบอ้อมมาเปิดประตูให้ รพีกานต์ก้าวเท้าลงจากรถด้วยรู้สึกประหม่า เงยหน้ามองสถานที่ก็ให้รู้สึกราวตนเองเป็นเพียงมดตัวเล็กจ้อยเท่านั้น

“ค่อย ๆ เดินนะครับ ระวังสะดุดบันได” เขาเอ่ยนุ่มนวล วาดแขนโอบเอวประคองพาคนรักเข้าไปข้างในบ้าน มือใหญ่จับมือเล็กเย็นเฉียบชื้นเหงื่อจึงได้รู้ว่ารพีกานต์ประหม่าแค่ไหน

“ไม่ต้องกลัว ปู่พี่เหมือนดุแต่จริง ๆ ใจดี คนอื่น ๆ ก็ด้วย” เขาปลอบประโลม จูบหน้าผากมนให้อีกคนอ้าปากค้างไปเสียทีหนึ่ง รพีกานต์ตาโตเหลียวมองซ้ายขวากลัวคนเห็น หัวใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ตลอดทางที่เดินผ่านเฟอร์นิเจอร์หรูหราซึ่งล้วนเป็นของอิมพอร์ตราคาแพง

“พี่วิน...” มือเล็กฉุดแขนหนาเมื่อเขากำลังจะพาเข้าไปในห้องรับแขกที่ทุกคนรออยู่พร้อมหน้า

“ไม่เป็นไร” เขารุนหลังคนอึกอักให้เข้ามาในห้อง ที่บอกว่าไม่เป็นไรเขาเพียงปลอบรพีกานต์ให้เบาใจเท่านั้น หากแต่ตัวเองก้าวขาแต่ละก้าวหนักราวถ่วงหิน ใครบอกว่าปู่ไม่ดุ !

‘อินทร์ฉาย อิศวัชร์’ ประมุขของบ้านนั่งสีหน้าเดาอารมณ์ยากรออยู่ที่โซฟาใหญ่ ข้างกายคือคุณหญิงสิริปรียา อิศวัชร์ ศรีภรรยาที่ปกติมักปลีกตัวออกไปปฏิบัติธรรมที่วัดเป็นนิจ ยกเว้นวันนี้ที่ต้องยกเลิกไปเพื่อมารอเจอหลานสะใภ้โดยเฉพาะ ที่นั่งถัดมาข้างกันคือ ผดาชไม อิศวัชร์ สะใภ้ผู้เป็นมารดาของอัครวินท์ ทั้งหมดพร้อมหน้ารอการมาเยือนด้วยใจจดจ่อ มันน่าตกใจน้อยเสียที่ไหน จู่ ๆ เจ้าตัวดีประจำบ้านก็ส่งข้อความเข้ามาผ่าง! ประกาศสมาชิกใหม่ของบ้านอิศวัชร์ทีเดียวแฝดชายสาม ไม่รู้ว่าจะอารมณ์ดีใจหรือโกรธากับอัครวินท์ที่ก่อเรื่องขึ้นจนได้

 และทันทีที่เจ้าหลานตัวดีและเด็กหนุ่มหน้าละอ่อนคนหนึ่งปรากฏกายเข้ามาในห้อง ทุกสายตาก็พุ่งเป้าไปที่รพีกานต์เป็นตาเดียว เจ้าของใบหน้าสะอ้านถึงกับสะอึก ใบหน้าเผือดสีลงพร้อมก้มหลบสายตาทุกคนวูบ

“มาแล้วหรือเจ้าตัวดี อีกเดี๋ยวพ่อแกก็มา” อินทร์ฉายเอ่ยเสียงเย็นท่ามกลางความเงียบให้บรรยากาศยิ่งเหมือนอยู่ขั้วโลกเข้าไปใหญ่ สายตาเรียบนิ่งปรายมองหลานรักซึ่งอัครวินท์ถึงกับหน้าเจื่อนหดเหลือแค่สองนิ้ว สั่นหนักกว่ารพีกานต์เสียอีก

“นี่กานต์ครับ กานต์ นี่คุณปู่กับคุณย่าของพี่ แล้วก็คุณแม่” อัครวินท์แนะนำตัวรพีกานต์กับสมาชิกในครอบครัว มือเรียวยกขึ้นกระพุ่มไหว้เรียบร้อยอย่างที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี

“สวัสดีครับ” รพีกานต์เงยหน้าขึ้นสบตาแต่ละคน แม้จะหวั่นใจไม่น้อยแต่คนตัวเล็กนึกถึงคำพ่อสอน ว่าจงเงยหน้าสู้กับปัญหา เพียงเท่านี้ก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง

“นั่งสิ” ประมุขของบ้านเชื้อเชิญเสียงเรียบ ในใจประเมินรพีกานต์อยู่เงียบ ๆ ร่างเล็กหย่อนกายลงนั่ง สูดหายใจอย่างเตรียมพร้อมเผชิญหน้าแม้สมองจะขาวโพลนคิดอะไรไม่ออกก็ตามที ตอนนี้เองที่อินทร์ฉายปรายมองหน้าท้องที่นูนออกมาให้เห็นหน่อย ๆ เจ้าสามแฝดก็เหมือนจะรับรู้ได้อย่างไรอย่างนั้น พากันดิ้นระรัวจนรพีกานต์ต้องลูบท้องปลอบ

“เป็นอะไรไป” อินทร์ฉายอดสังสัยไม่ได้

“ลูกดิ้นน่ะครับ” รพีกานต์ตอบ มือลูบประโลมให้เจ้าตัวเล็กในท้องสงบลง แต่เหมือนได้ยินเสียงของอินทร์ฉาย สามแฝดก็ยิ่งดิ้นหนักกว่าเก่า อัครวินท์ได้ยินดังนั้นก็รีบปราดเข้าไปลูบบ้าง

“ดิ้นรัวเลยครับ สงสัยดีใจได้เจอปู่แน่ ๆ” ชายหนุ่มยิ้มประจบประแจง อีกสองสตรีที่ได้ยินอดสนใจขึ้นมาบ้างไม่ได้

“เธอ...เด็กผู้ชายใช่ไหม” อินทร์ฉายถามคนที่หลานพามาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ทั้งที่เมื่อกี้ระหว่างรอหลานเดินทางมาเขาก็ได้โทร. คุยกับนายแพทย์อัคริมา อิศวัชร์ ผู้เป็นหลานของพี่ชายฝาแฝดของตนเองแล้ว อีกทั้งยังเสิร์ชดูข้อมูลคร่าว ๆ เกี่ยวกับคนสองเพศ กระนั้นก็ยังคลางแคลงใจอยู่ดี

“ครับ” ดูเหมือนเสียงของอินทร์ฉายจะมีผลต่อสามแฝด ได้ยินเสียงทีก็พากันดิ้นที รพีกานต์รู้อยู่ในใจเงียบ ๆ ฝ่ายคนถามเมื่อได้คำตอบแล้วก็นิ่งไป

“แล้วนี่เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ครอบครัวของเธอรู้เรื่องนี้แล้วว่ายังไงบ้าง” คำถามนี้รพีกานต์ไม่อยากให้ถามที่สุด แววกังวลฉายชัดบนใบหน้า พยายามนึกหาคำตอบที่คิดว่าเหมาะสมที่สุดที่จะตอบ

“คุณพ่อท่านทราบเรื่องนี้แล้วก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ เราคุยกันว่าจะช่วยกันเลี้ยงดูพวกแกให้ดีที่สุด อันที่จริงท่านอย่ากังวลเรื่องนี้เลยครับ พวกเราดูแลสามแฝดกันได้ จะไม่ให้เรื่องระคายมาถึงชื่อเสียงของทางนี้เลย” รพีกานต์ตอบน้ำเสียงฉาดฉาน สายตามุ่งมั่นจ้องตรงยังประมุขแห่งอิศวัชร์เพื่อยืนยันในเจตนาของตนเอง

“ได้ยังไงละกานต์” อัครวินท์โพล่งทะลุกลางปล้อง ก่อนถูกสายตาผู้เป็นปู่ปรามให้เงียบ กระนั้นก็ยังอดมองรพีกานต์ด้วยความกระวนกระวายไม่ได้

“หมายความว่าเธอ ไม่ต้องการให้ทางเรารับผิดชอบอะไรอย่างนั้นหรือ” อินทร์ฉายหยั่งเชิง คนของบวรกิตติ์วิวัฒน์รักในศักดิ์ศรีตนยิ่งกว่าอะไร

“ครับ” คำตอบนั้นแน่วแน่ ตอบแล้วก็นิ่วหน้า วันนี้สามแฝดแผลงฤทธิ์หนักเหลือเกิน

“เป็นอะไรไป” อินทร์ฉายมองอาการกุมท้อง ความรู้สึก ‘ห่วง’ ในเลือดเนื้อเชื้อไขของอิศวัชร์แล่นริ้วลึก ๆ ภาพอัลตราซาวด์สี่มิติของสามแฝดสั่นคลอนความรู้สึกไม่น้อย

“คือ...” รพีกานต์อึกอัก ลังเลใจที่จะตอบ “คือพวกแกได้ยินเสียงท่านแล้ว...แกดิ้นไม่หยุดน่ะครับ ทุกวันไม่ดิ้นขนาดนี้ แต่วันนี้ได้ยินเสียงท่านทีไร แกพากันดิ้นหนักทุกที”

“หนูขยับมานั่งตรงนี้สิ” คุณหญิงสิริปรียาเอ่ยขึ้นหลังนิ่งฟังอยู่นาน ร่างผิวผ่องนวลใยขยับชิดริมโซฟาเว้นที่ให้รพีกานต์ได้แทรกกลางระหว่างตนเองและสามี คนได้ยินถึงกับนิ่งไป

“มาสิหนู” เอ่ยซ้ำอีกครั้งด้วยแววตาอ่อนโยน คราวนี้อัครวินท์ออกโรงพารพีกานต์เข้าไปนั่งบนโซฟาเดียวกับปู่ย่าด้วยตัวเอง รพีกานต์อยากร้องไห้ขึ้นมาก็คราวนี้ แต่จะเสียมารยาทลุกหนีก็เป็นกิริยาที่ไม่งามนัก จะถูกตำหนิไปถึงบุพการีเอาได้ จึงได้แต่นั่งตัวลีบอยู่อย่างนั้น สามแฝดก็เหลือเกิน อยู่ใกล้คนของอิศวัชร์แล้วดูจะคึกคักกันเป็นพิเศษ

“ไหน ฉันขอจับดูบ้าง โลกเรามีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นได้ตลอดซิน่า” มือนุ่มเจ้าเนื้อสัมผัสลงบนท้องนูน รพีกานต์รู้สึกถึงความอ่อนโยนที่ถ่ายทอดมาให้ทั้งสายสัมผัสและแววตา

“ตายแล้ว ดิ้นได้จริง ๆ ด้วย เคยอ่านแต่ข่าวบอกว่าอนาคตผู้ชายจะท้องได้ แต่นี่ท้องธรรมชาติด้วย” รอยยิ้มยินดีปรากฏบนดวงหน้ามีสง่าราศี อัครวินท์รีบเปิดคลิปในโทรศัพท์ ก่อนเดินเข่าปราดเข้าไปหาผู้เป็นย่า

“นี่ครับ หน้าตาของคนที่กำลังดิ้นอยู่ในท้องกานต์ แม่มาดูด้วยกันซีครับ” เขาพยักพเยิดชวนมารดา ผดาชไมขยับเข้ามาใกล้ อัครวินท์จับมือมารดาแตะที่ท้องบ้าง มือสัมผัส สายตามองคลิปในห้องอัลตราซาวด์ เพียงเท่านี้ความยินดีก็ผุดขึ้นในหน้าทุกคน
“ปู่ไม่ลองแตะดูบ้างล่ะครับ เมื่อกี้กานต์บอกว่าสามแฝดดิ้นแรงมากเวลาได้ยินเสียงปู่” อัครวินท์หันมาทางปู่ที่มองดูทุกคน ท่าทางอยากจะพิสูจน์ด้วยแต่ยังไว้เชิง

“คุณคะ หลานของเรานะคะ ยังไงพวกแกก็มีสายเลือดของอิศวัชร์” คุณหญิงเอ่ยกับสามี ดูออกว่าสามีไม่ได้รู้สึกเดียดฉันท์เด็กในท้อง เพียงแต่ยังทำอะไรไม่ถูกก็เท่านั้น อินทร์ท่าทางลังเลก่อนลองยื่นมือสัมผัสหน้าท้อง ความรู้สึกบางอย่างแล่นปราดกระทบใจอย่างจัง มันเป็นความรู้สึกอุ่นวาบ ฟู ๆ อย่างประหลาดที่ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาอธิบาย

“มะรุมมะตุ้มอะไรกันครับ” เสียงอินทัชทักขึ้น รพีกานต์เงยหน้ามองผู้มาใหม่ ซึ่งผู้เดินเข้ามาพร้อมกับอินทัชก็ทำให้เขาพูดไม่ออก ไอยวริญท์...

“นี่มันอะไรกันน่ะ กานต์...กับพี่วิน แล้วที่บอกพี่วินทำแฟนท้อง คือกานต์หรือ” ไอยวริญท์งงเป็นไก่ตาแตก ด้วยไม่คาดคิดเรื่องพี่ชายกับเพื่อนสนิทมาก่อน

“เรา...ไม่รู้จะบอกกับรินยังไง” รพีกานต์อธิบายสีหน้าไม่สู้ดีนัก อันที่จริงเขาไม่ได้อยากปิดเพื่อนเลย

“แล้วนี่กานต์ท้องลูกของพี่วินอย่างนั้นหรือ” คำตอบคือการพยักหน้า ไอยวริญท์ขยับเข้ามาใกล้พลางยื่นมือแตะหน้าท้อง ซึ่งเจ้าตัวเล็กก็ทักทายผู้เป็นอาเป็นอย่างดี

“ท้องจริง ๆ ด้วย แล้ว...พี่ณัฐ” ปลายเสียงผ่อนลง ใบหน้าณัฐธีร์ฉายชัดในความทรงจำ ด้วยไอยวริญท์เคยเห็นพี่ชายคนดีคอยส่งขนมส่งน้ำให้ไม่เคยขาด แต่ไหงรพีกานต์กลับคบหากับอัครวินท์ได้ แถมยังตั้งครรภ์ คิดถึงตรงนี้ ไอยวริญท์ก็งงเสียยิ่งกว่างง

“รินอย่าเพิ่งซักอะไรเราเลย” รพีกานต์ออกตัวถึงความไม่สะดวกใจ สายตาเว้าวอนอ้อนอยากกลับบ้านถูกส่งไปหาอัครวินท์อีกครั้ง

“ทัชมาก็ดีแล้ว ดูผลงานเจ้าลูกชายตัวดีของแกมันก่อเรื่อง แล้วนี่จะเอายังไงกันต่อ” อินทร์ฉายเปิดประโยคถามบุตรชาย รพีกานต์สบตากับชายท่าทางภูมิฐาน ดวงหน้าละม้ายอัครวินท์มากเพียงแต่ดูมีวุฒิภาวะกว่า ทรงผมเซ็ตเปิดหน้าผากทำให้เขาดูหล่อแบบผู้ใหญ่ อนาคตอัครวินท์ก็คงจะเป็นแบบนี้  รพีกานต์ยกมือกระพุ่มไหว้ โดยไม่ต้องให้ใครบอก

“สวัสดีครับ”

“สวัสดี เอ่อ เธอเป็น...เด็กผู้ชายอย่างนั้นหรือ” อินทัชรับไหว้ กระพริบตาด้วยความไม่แน่ใจ

“ครับ” รพีกานต์พยักหน้ารับคำ แลเห็นหัวคิ้วบิดาของอินทัชมุ่นเข้าหากันน้อย ๆ

“แล้ว...เธอท้องกับวิน  เธอ...ท้องได้” กลั้นใจถามออกไป กระอักกระอ่วนทั้งคนถามและคนถูกถาม อินทัชนั่นยิ่งแปลกใจหนัก ก็อัครวินท์ลูกชายนั้นรังเกียจเขาที่เป็นเกย์ไม่ใช่หรือ แล้วไหงมายุ่งกับเด็กผู้ชายด้วยกันได้ แต่ดู ๆ ไปเด็กคนนี้ก็น่าเอ็นดูน้อยเสียเมื่อไหร่ เหมือนรพินทร์สมัยก่อนนั่นแหละ จากมาไม่เท่าไหร่ ใจเผลอคิดถึงอีกจนได้

“เอ่อ...” รพีกานต์อึกอัก สายตาเหลือบมองคนตัวใหญ่ ดวงหน้าละม้ายถอดพิมพ์จากคนถาม

“กานต์ท้องกับผม ไม่เชื่อพ่อดูคลิปนี้ได้ ก่อนมาที่นี่ผมเพิ่งพากานต์ไปอัลตราซาวด์มา ตอนแรกก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน” อัครวินท์ยื่นคลิปในโทรศัพท์ให้บิดาดู อินทัชละสายตาจากรพีกานต์หันมารับโทรศัพท์จากผู้เป็นลูกไปดู ผ่อนความอึดอัดในใจรพีกานต์จากการเผชิญหน้าตอบคำถามไปได้บ้าง มือเรียวลูบท้องกลม เจ้าสามแฝดดูเหมือนจะมีปฏิกิริยากับคนของอิศวัชร์เสียเหลือเกิน

แฝดน้อย หนูเป็นคนของบวรกิตติ์วิวัฒน์ เข้าใจไหมครับ

รพีกานต์บอกลูกในใจ สายตาเหลือบมองบิดาของอัครวินท์ไปด้วย ดู ๆ ไปแล้วพ่อลูกหน้าตาเหมือนกันมากจริง ๆ  แต่นิสัยนั้นแตกต่าง เพราะคนบิดานั้นดูนุ่มนวลใจเย็นกว่า เหลือบแลไปที่ประมุขใหญ่ของบ้าน พี่วินสง่างามแล้วก็ดุได้ปู่แน่ ๆ แต่นิสัยเอาแต่ใจไม่รู้ได้ใครมา รพีกานต์ขยับกายอึดอัด ใจกระหวัดถึงคนคอยที่บ้าน สายตาละห้อยส่งบอกอัครวินท์กลาย ๆ
พ่อจ๋า กานต์อยากพาแฝดน้อยกลับบ้านเราจัง บ้านพี่วินหลังใหญ่แต่กานต์อึดอัด

อินทัชดูคลิปแล้วก็นิ่งไป ตอนบิดาโทร.ตามให้กลับบ้านด่วน เพราะเจ้าลูกชายตัวดีดันทำเด็กผู้ชายท้อง เขานึกว่าตนเองหูเฝื่อนไปเสียอีก

“เฮ่อ แกนี่นะเจ้าวิน ฉันเตือนแกแล้วว่าคิดจะรักสนุกก็ให้ป้องกัน ไม่ป้องกันท้องก็ป้องกันโรค ยิ่งสวยยิ่งน่ารักเจอในที่อโคจรที่แกชอบไปนั่นก็ยิ่งผ่านมาเยอะ เอ่อ...ฉันไม่ได้หมายความว่าหนูไม่สะอาดนะ” อินทัชตำหนิบุตรชาย ประโยคหลังออกตัวว่าไม่ได้พาดพิงถึงอีกคน

“ผมรัดกุมตลอดเหอะ แต่กับกานต์เผลอแค่ครั้งเดียวเอง” อัครวินท์เป็นคนพูด แต่คนแก้มร้อนผ่าวจนต้องก้มหน้าหลบสายตากลับเป็นรพีกานต์ คนตัวเล็กนั่งตัวลีบในสถานะเหมือนตกเป็นจำเลยอย่างไรอย่างนั้น

“ตกลงว่าแกจะรับผิดชอบเด็กในท้องยังไงเจ้าวิน เวลาฉันบอกอะไรไม่เคยฟัง แต่พอเกิดเรื่องก็ไม่พ้นฉัน” นายธนาคารหนุ่มใหญ่เอ่ยลอย ๆ แต่หลายคนในห้องร้อน ๆ หนาว ๆ มองหน้ากันอิหลักอิเหลื่อด้วยไม่ผิดคำที่พูดมา

“ผมอยากให้กานต์มาอยู่ที่นี่ แค่กานต์กับลูก” อัครวินท์แจ้งความจำนง

“แล้วพ่อแม่เขาล่ะ แกคุยตกลงกับครอบครัวเขาแล้วหรือ ลูกเขาทั้งคน แกจะทำอะไรตามใจข้ามหัวพ่อแม่เขาได้ยังไง แล้วนี่แกถามความสมัครใจของเมียแกแล้วหรือยัง ว่าเขาอยากมาอยู่ด้วยกับแกที่นี่หรือเปล่า เขาท้องลูกแก แกต้องดูแลความรู้สึกเขา” อินทัชถามไถ่ อัครวินท์ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังเดี๋ยวจะเกิดเรื่องราวให้ตามแก้ไขไม่จบสิ้น

“ยังไม่ได้ถาม ก็เพิ่งรู้วันนี้ว่าท้อง แล้วก็พามาที่นี่เลย”

“ฟังนะ ก่อนที่แกจะเรียนรู้งานจากฉัน แกต้องหัดเปิดใจฟังความเห็นคนอื่นก่อน  แล้วถ้าแกคิดจะมีเมีย ก็หัดถามความเห็นเมียแกด้วย สองคนปรึกษาตัดสินใจร่วมกัน ไม่ใช่แกรวบรัดเขาให้ตามใจแกฝ่ายเดียวไปเสียทุกอย่าง” อินทัชร่ายยาว อัครวินท์หน้าเจื่อนลงถนัดตาเพราะปกติบิดาไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวอะไรกับเขามากนัก เรียกว่าแทบไม่คุยกันเลยด้วยซ้ำ บิดาของเขาใจดีแต่บทจะหือขึ้นมา แม้แต่ปู่ยังต้องฟัง รพีกานต์ได้ยินทุกอย่างแล้วให้รู้สึกนิยมในคำพูดของอินทัช ตั้งแต่เข้ามาที่นี่ก็มีแต่บิดาของอัครวินท์ที่ดูจะเข้าใจความรู้สึกของรพีกานต์กว่าใคร ดูตั้งสติได้ดี อดคิดไม่ได้ว่าถ้าอัครวินท์ได้นิสัยจากบิดา คงจะสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติกว่านี้ ขณะกำลังมองด้วยความชื่นชม อินทัชก็หันมาทางรพีกานต์

“ฉันจะไปคุย ไปขอโทษครอบครัวของหนูด้วยตัวเอง ยังไงลูกชายฉันก็ก่อเรื่อง ขอโทษด้วยที่ทำให้หนูต้องลำบากเพราะลูกของฉัน ส่วนเรื่องเด็กในท้อง เดี๋ยวเราไปคุยตกลงกับครอบครัวหนูอีกที ไม่ต้องกังวลไปว่าเราจะปัดความรับผิดหลานในท้อง จะใครตั้งท้อง ยังไงแกก็สายเลือดอิศวัชร์”

“ขอบคุณครับ แต่ว่า...” รพีกานต์อึกอัก กระอักกระอ่วนใจที่จะเอ่ย หากอัครวินท์ไร้สำนึกปัดสวะให้พ้นตัวเสียแต่แรก เรื่องราวคงไม่ลุมลามมาถึงขั้นนี้ แล้วนี่บิดาของอัครวินท์ดูมีความรับผิดชอบขนาดนี้ จะทำอย่างไรดีหนอ รพีกานต์เอ๋ย

“ทำไมหรือ”

“เปล่าครับ”

“มีอะไรหนูบอกฉันได้ หากเจ้าวินมันทำให้อึดอัดอะไรก็บอก” อินทัชบอกอย่างเข้าใจ ตอนเดินเข้ามาก็เห็นสีหน้าอึดอัดของรพีกานต์ตอนถูกมะรุ้มมะตุ้มแปลกใจเรื่องลูกในท้องกันก็พอเข้าใจ เด็กหนุ่มคงตื่นคน

“กานต์อยากขอตัวกลับบ้านก่อนได้ไหมครับ คุณพ่อรออยู่น่ะครับ”

“ไปสิ วินไปส่งน้องไป ฝากบอกคุณพ่อหนูด้วยว่า อีกสองสามวันฉันจะไปเยี่ยม” อินทัชอนุญาต พยักพเยิดให้บุตรชายพาคนรักออกไปส่ง ส่วนตัวเขาคงต้องอยู่คุยหารือกับคนอื่น ๆ ในครอบครัวต่อ รพีกานต์กระพุ่มมือไหว้ลาทุกคน สบตากับไอยวริญท์ก่อนเบือนหลบ พลางขยับตัวลุกออกมา

“ถ้ากานต์ไม่อยากอยู่ที่นี่ งั้นพี่จะไปอยู่กับกานต์นะ” อัครวินท์เอ่ยบอกเมื่อก้าวพ้นห้องรับแขกมาได้ รพีกานต์เงยมองคนตัวใหญ่ที่ไม่รู้จะมาไม้ไหนอีก

“เดี๋ยวแวะห้องพี่ก่อนกลับ ไปจัดกระเป๋าไปบ้านกานต์กัน” เขาฉุดข้อมือเล็ก บิดาเพิ่งบอกไปแหม่บ ๆ แต่ก็ยังไม่วายเข้าอีหรอบเดิม


ห้องของลูกชายนายธนาคารกว้างเสียยิ่งกว่ากว้าง แล้วก็หรูหราเสียจนรพีกานต์รู้สึกว่าห้องของตนเองกลายเป็นบ้านเหมียวไปเลย ภายในตกแต่งด้วยเครื่องเรือนนำเข้ามองปราดเดียวก็รู้ว่าแพงระยับ แชนเดอเลียร์คริสตัลแขวนเด่นอยู่กลางห้อง มีชุดโซฟา โฮมเธียเตอร์จอยักษ์ แกรนด์เปียโนประดับคริสตัลสวารอฟสกี้ทั้งหลัง ห้องนี้ห้องเดียวก็แพงกว่าบ้านทั้งหลังของคนทั่วไปเสียอีก อัครวินท์จูงมือรพีกานต์เดินผ่านเข้าไปอีกห้องข้างในซึ่งเป็นห้องนอน เขาพาร่างเล็กไปนั่งลงบนเตียงนอนหลังกว้าง

“พี่ไม่เคยพาใครเข้ามาในห้องนี้เลย คนอื่นอย่างมากก็แค่ไปคอนโดฯ กานต์ไม่อยากอยู่ที่นี่กับพี่หรือ พี่จะเล่นเปียโนให้กานต์กับลูกฟังทุกวันเลย หรือไวโอลินด้วยก็ได้ พี่ให้กานต์เลือก”

“ที่บ้านก็มี” ถึงจะเป็นเปียโนธรรมดาหลังเล็กก็เถอะ อัครวินท์ผละไปเปิดลิ้นชักหยิบกล่อง ๆ หนึ่งออกมาก่อนกลับมาทิ้งกายนั่งใกล้ ๆ เปิดกล่องออกเป็นกล่องดนตรีคริสตัลเปียโน มือหนายื่นให้รพีกานต์

“บังเอิญดีจังที่กานต์ตั้งชื่อลูกเราคนหนึ่งว่าใกล้รุ่ง กล่องนี้พี่ให้กานต์เอาไว้ให้ลูกในท้องฟังนะ” เขาหมุนลานวางกล่องดนตรีเพลงพระราชนิพนธ์ลงในมือบางแนบหน้าท้อง พลางหย่อนกายลงบนพื้นแนบใบหูที่ท้องเพื่อฟังเสียงลูกน้อยคลอไปกับเสียงเพลง เห็นอย่างนี้ใจที่เคยแข็งก็ชักจะง่อนแง่นอ่อนลงหน่อยหนึ่ง สิ่งหนึ่งที่รพีกานต์ไม่เคยรู้ คืออัครวินท์เกิดจากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ น้ำเชื้อเป็นของอินทัช แต่พ่อและแม่ของเขาไม่เคยร่วมรักสัมผัสในกันและกัน เปลือกนอกเขาคือคนที่มีเพียบพร้อมในทุกอย่าง ไม่ว่ารูปลักษณ์ สติปัญญาหรือชาติตระกูล แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เคยถมหลุมดำในใจได้เต็มเสียที เขาไม่เข้าใจตัวเองสักเท่าไหร่ที่จู่ ๆ ก็หุนหันพลันแล่นพารพีกานต์มาให้คนที่บ้านได้รับรู้ ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าจะเลี้ยงดูลูกที่กำลังจะเกิดได้ยังไง มันงุนงงสับสน รู้แค่ว่าช่วงเวลาที่อยู่กับคนตัวเล็กเขามีความสุข และไม่ต้องการปล่อยรพีกานต์หลุดมือไปอีก ต้องการครอบครองร้อยรัดหัวใจดวงน้อยเอาไว้กับตัวเอง เขารู้แค่นี้

รพีกานต์มองคนที่ซบหน้าบนตักด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ร่างเล็กกำลังจะหนีหายไปจากเขา แต่อัครวินท์ก็กลับสร้างเยื่อใยบางเบาร้อยรัดเอาไว้แน่นทุกที แค่เห่อแหนเพียงชั่วคราวหรือต้องการอะไรกันหนอ หากวันหนึ่งเกิดเบื่อหน่ายขึ้นมาอีก จะผลักไสกันอย่างเดิมที่เคยทำไหม บาดแผลเก่ายังร้าวลึกในความรู้สึกเหลือเกิน จนพานให้รพีกานต์ระแวงว่าจะกลายเป็นเช่นเก่า สุขราวล่องลอยในปุยนุ่น สุดท้ายร่วงลงกระแทกพื้นความจริงกระอักเจียนตาย พอเถอะกับรสชาติความเจ็บปวดอย่างครานั้น รพีกานต์ไม่อยากจะลิ้มรสขื่นขมนั่นอีกคำรบสอง มันทรมานเหลือเกิน รพีกานต์จดจำฝังใจมาจนวันนี้ ขอบตาร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงกาลเก่า หยาดน้ำใสเอ่อคลอหน่วยตางามอย่างรวดร้าว หยาดน้ำในตาเศร้าแกมงดงามราวหยาดเพชร กลั่นมาจากหัวใจที่เคยภิณท์พัง
ลูกจ๋า ถ้าหนูได้รู้ว่าแม่เป็นคนพรากหนูจากอกพ่อด้วยตัวเอง ขอให้หนูอภัยให้แม่เถอะนะ มันดีกว่ารอให้วันหนึ่งพ่อเขาเบื่อเราแล้วเขี่ยทิ้งอีก หรือถ้าเขาจะเขี่ยทิ้งแต่แม่แล้วพรากเราจากกัน ถ้าจะต้องอยู่อย่างนักโทษประหารเพื่อรอให้วันนั้นมาถึง แม่ขอพาหนูหนีไปอยู่แต่เราดีกว่า เดี๋ยวเขาก็ลืมเราไปเอง

หยาดน้ำใสกลิ้งลงบนแก้มขาวร่วงเผาะลงแตะแก้มคนบนตัก หัวใจแบ่งเป็นสองฝักสองฝ่าย ฝ่ายที่ยังรักยื้อให้อยู่ต่อ ฝ่ายที่ระกำกระซิบบอกความช้ำจะต้องมาเยือนอีกหน จะทานทนได้หรือ อัครวินท์มุ่นคิ้วกับสัมผัสเปียกติดแก้ม ชายหนุ่มยกศีรษะขึ้นมองด้วยความฉงน

“กานต์ร้องไห้ทำไม” มือหนายื่นกรีดน้ำตาให้ ทำไมจู่ ๆ ถึงดูบอบบางเหมือนแก้วร้าวที่พร้อมแตกออกเป็นเสี่ยงขึ้นมาอีก และเขาก็แพ้น้ำตาของรพีกานต์เสียด้วย

“ไม่มีอะไรครับ กานต์แค่รู้สึกดีแล้วน้ำตามันก็ไหลออกมาเอง พี่วินจัดกระเป๋าเถอะครับ จะได้กลับบ้านกันเสียที” รพีกานต์เบือนหน้าหลบมือหนา ปาดน้ำตาตัวเองลวก ๆ อัครวินท์พยักหน้าเข้าใจ ร่างใหญ่ลุกไปลากกระเป๋าเดินทางออกมาเปิด หยิบเสื้อผ้าของใช้ใส่ลงไปโดยมีรพีกานต์คอยช่วย

รถหรูพุ่งทะยานออกจากคฤหาสน์ ระหว่างรอรถติดไฟแดงอัครวินท์มักเลื่อนมือมากุมมือบาง หรือไม่ก็ยกขึ้นจูบไม่มีเหตุผลบ่อย ๆ บางครั้งก็แตะที่หน้าท้องเพื่อทักทายสามแฝด

“มันกะทันหันนะ จะพูดยังไงดี คือ...จนตอนนี้พี่ก็ยังทำอะไรไม่ถูกเท่าไร พี่ไม่คิดว่าพี่จะมีลูกตอนอายุสิบเก้า แล้วคิดดูซีว่า พอลูกเราอายุสิบเก้าเท่าพี่ตอนนี้ อายุของพี่ก็สามสิบแปด ผู้ชายสามสิบแปดก็ยังดูไม่แก่เท่าไร ดูอย่างพ่อพี่ พ่อกานต์นั่น สิบสี่กว่า ๆ หน้ายังอ่อนอยู่เลย คือ...พี่ยังงง ๆ ทำตัวไม่ค่อยถูก แล้ว...พี่เคยทำแย่ ๆ กับกานต์ไว้ด้วย พี่...” เขากระดากปากที่จะเอ่ย

“เรื่องที่พี่วินเอากานต์เป็นเดิมพันเกมบ้า ๆ เพื่อเงินแค่พันบาท แต่กลับลงทุนแบบขาดทุนเสียมากมายนะครับคุณลูกชายนายธนาคาร ปลาหน้าโง่ตัวเล็ก ๆ ตัวเดียวซื้อคันเบ็ดเสียแพงเชียว แล้วไอ้เงินพันเดียวนั่นก็ยัดอยู่ในหน้าอกสาวเชียร์เบียร์ อย่างว่าแหละนะก็ได้มันมาง่าย ๆ อย่างกับเศษกระดาษนี่นา เพราะกานต์มันง่ายเอง”

“กานต์”

“ถ้าพี่ยังมีหัวจิตหัวใจอยู่บ้าง ก็อย่าทำอย่างนี้กับใครอีกนะครับ คนที่ดูเหมือนลาโง่เป็นตัวตลกในสายตาพี่ ยอมให้พี่ทุกอย่าง ก็
เพราะเขารักพี่ แต่ถ้าวันไหนเขาเจ็บแบบสุด ๆ จนไม่อยากทน พี่ก็จะกลายเป็นมะเร็งร้ายที่ต้องตัดออกเพื่อรักษาชีวิตตัวเอง”

“กานต์...” อัครวินท์ครวญด้วยเถียงไม่ออก รพีกานต์มาโหมดอึมครึมเมฆทะมึนอมน้ำแบบนี้ ขืนพูดไม่เข้าหูเข้าเดี๋ยวฝนน้ำตาได้ลงห่าใหญ่ ซึ่งเขาเองรู้สึกไม่ดีเท่าไรที่เจอแบบนี้ อยากได้รพีกานต์คนเดิมที่ยิ้มได้ง่าย ๆ คนนั้นมากกว่า ทั้งหมดนี่มันเกิดจากเขาแค่เล่นกันสนุกแต่ผลที่ตามมากลับตลกไม่ออก อัครวินท์หน้าเจื่อนสนิท ต่างฝ่ายต่างปล่อยให้ความเงียบลอยวนรอบกาย เสียงเพลงจากกล่องดนตรีดังขึ้นผ่อนคลายความตึงเครียด รพีกานต์ถือไว้ใกล้ ๆ หน้าท้อง รอยยิ้มบางผุดขึ้นมุมปากเหมือนอยู่ในโลกส่วนตัวกับลูกน้อย รพีกานต์ที่เคยเดาความคิดได้ง่าย ตอนนี้กลายเป็นเขาเดาอารมณ์ไม่ถูกขึ้นมาเสียอย่างนั้น อยากได้คนเก่าที่มองเขาด้วยสายตาแห่งรักเต็มเปี่ยมกลับคืนมา แต่เมื่อเขาได้ทำลายคนเดิมแสนดีคนนั้นไปเสียแล้ว เขาต้องทำยังไง ไม่เคยรู้สึกเสียใจในการกระทำของตนเองที่ผ่านมาจนครั้งนี้ ที่คิดอยากย้อนเวลากลับไป

“ถึงบ้านแล้ว พี่จะเล่นไวโอลินให้กานต์ฟังนะ” เขายื่นมือไปลูบหน้าท้อง ทำได้เพียงประคองความรู้สึกที่เคยภิณท์พังด้วยความรู้สึกไม่ดีเท่าไร

“พี่ขอโทษ”

ต่อด้านล่างค่ะ :katai5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 10-03-2017 22:30:58
๒๒ (ต่อ)

รถแล่นเข้าจอดในอาณาเขตบ้านสไตล์ขนมปังขิงหลังคุ้นเคย รพีกานต์ก้าวลงจากรถเดินไปหาบิดาในสวนพร้อมใครอีกคนหนึ่ง รพินทร์สบตากับบุตรชายอดีตคนรักเก่า สายตาอัดแน่นด้วยความชิงชังยังคงกร้าวโชนในดวงตาคม หากรพินทร์เลือกที่จะรับมือด้วยความเฉยเสีย เห็นกองไฟคุโชนอยู่ตรงหน้า หากไม่แหย่มือเข้าไปหาก็ไม่ต้องถูกไฟลวกมือ รพินทร์เพียงแต่มองไฟนั้นเผาไหม้ตัวเองอยู่ห่าง ๆ และเมื่อรพินทร์ไม่ได้ร้อนไปตามโทสะยั่วยุจากอีกฝ่าย คนที่ร้อนรุ่มจึงกลายเป็นคนที่สาดไฟเสียเอง อัครวินท์ขบฟันด้วยความขุ่นเคืองใจเงียบ ๆ เมื่อรพินทร์หันเหความสนใจไปหาบุตรชาย

“เป็นไงบ้างลูก” มือนุ่มลูบศีรษะของบุตรชายที่ทรุดกายลงกอดเอวซบใบหน้าลงตักทำนองออดอ้อน รพีกานต์ส่ายหน้าแทนคำตอบ จมูกสูดดมมะลิในมือพ่อ

“ที่บ้านผมรู้เรื่องแล้ว อีกสองสามวันคุณพ่อจะมาคุยกับทางนี้ ผมอยากให้กานต์ไปอยู่บ้านโน้นด้วยกัน แต่กานต์ไม่อยากไป ผมเลยจะมาอยู่กับกานต์ที่นี่” อัครวินท์เปิดปากบอกเอง

“ตามสบายเถอะ ขาดเหลืออะไรก็บอกน้องกานต์นะ ชอบหรือไม่ชอบกินอะไรเป็นพิเศษไหม แพ้อาหารอะไรหรือเปล่าจะได้เลี่ยง แพ้อาหารเรื่องใหญ่อยู่นะ” อัครวินท์หน้าม้านไปเมื่ออีกฝ่ายสนทนาปราศัยกับเขาด้วยดี ไม่ได้มีท่าทีอนาทรกับความร้ายกาจของเขา

“ขอบคุณครับ ผมกินได้หมด ไม่ได้แพ้อะไร” บุตรชายตระกูลใหญ่รู้สึกคอแข็งขึ้นมา จะก้าวร้าวด้วยก็ดูกระไรอยู่ด้วยทางนั้นก็พูดคุยเจรจาด้วยดี พลอยทำให้เขาตอบแบบสุภาพกลับไป รพินทร์เพียงพยักหน้ารับ ก้มบอกบุตรชายบนตัก

“ง่วงหรือครับคนท้อง สามแฝดชวนแม่นอนบ่อยนี่เนอะ ขับรถมาเหนื่อย ๆ น้องกานต์พาพี่วินไปพักผ่อนนะลูก แล้วนี่กินอะไรกันมาหรือยัง”

“พี่วินพาแวะกินข้าวแล้วครับ” รพีกานต์ตอบงึมงำ ความอึดอัดที่ได้รับแรงกดดันมาจากบ้านโน้นทำให้อยากซบตักพ่อ

“งั้นพาพี่เขาไปพักผ่อนนะลูกนะ กานต์เองก็ดูง่วง ไปหลับสักงีบ” มือนุ่มประคองสองแก้มยกศีรษะทุยขึ้นจากตักพลางส่งยิ้มอ่อนโยนประโลม อัครวินท์มองการแสดงออกของสองพ่อลูกเงียบ ๆ ตอนนี้เองที่เพิ่งสังเกตเห็นความผิดปกติของรพินทร์

“คุณไม่สบายหรือครับ”

“มะเร็งน่ะ ช่วงให้คีโมก็จะแย่นิดนึง ผมร่วงกับท้องผูกบางวัน” อัครวินท์นิ่งงันไปเมื่อได้ยิน ช่วงที่เขาหายไปสองพ่อลูกเจอมรสุมกันขนาดนี้เชียวหรือ และที่สำคัญ รพินทร์ไม่ต่อว่าเขาสักคำ นั่นทำให้รู้สึกละอายใจกว่าการถูกต่อว่าต่อขานเสียอีก

“ผมมีญาติเป็นหมอ เดี๋ยวจะลองถามดู บางทีอาจแนะนำหมอเก่ง ๆ ให้” กลายเป็นเขาที่อ่อนลง

“ขอบคุณมาก ที่รักษาอยู่ตอนนี้ก็รักษากับโรงพยาบาลศูนย์มะเร็งน่ะแหละ เดี๋ยวก็หาย อยากอยู่เลี้ยงสามแฝดนาน ๆ” รพินทร์ตอบอย่างคนมีกำลังใจดีเต็มเปี่ยม ดวงตาอ่อนโยนทอประกายความหวังยามมองลูกชาย

“ทำไม...คุณไม่ต่อว่าอะไรผมสักคำเรื่องกานต์” ค้างคาใจจนต้องเอ่ยถามออกมาตรง ๆ

“แล้วจะกลับมาทำร้ายกานต์อีกหรือเปล่าล่ะ” เมื่ออยากให้ถาม รพินทร์ก็ถามขึ้นมาจริง ๆ

“ไม่ ไม่แล้วครับ” เขาปฏิเสธหนักแน่น

“ถ้าเธอยังแค้นฉัน ก็มาลงที่ฉันเถอะ อย่าทำอะไรลูกฉันเลย แค้นคนไหนก็ลงกับคนนั้น ฉันอยู่ที่นี่ตลอดเธอมาได้ทุกเมื่อ ตอนเธอลงกับกานต์ เธอทำมันสำเร็จจริง ๆ นั่นแหละ ตอนนั้นฉันใจจะขาดที่รู้ว่ากานต์รถคว่ำ แต่ตอนนี้ลูกของฉันกำลังท้องลูกของเธอ ถ้าเธอจะไม่ใจร้ายจนเกินไปนักก็อยากให้นึกถึงตรงนี้ไว้เสมอ”

“ผมจะไม่ทำอย่างนั้นอีกแล้ว” เขายืนยันแข็งขัน

“ก็ดี ฉันเสียหัวใจไปแล้วครั้งหนึ่ง ถ้าเธอจะไม่ใจไม้ไส้ระกำจนเกินไปก็อย่าทำร้ายหัวใจของฉันอีกเลย”

“กานต์เป็นหัวใจของผมเหมือนกัน” เขาสบตายืนยันความในใจ

“พ่อพูดเรื่องอะไร พ่อกับพี่วินรู้จักกันหรือครับ” รพีกานต์อดแทรกขึ้นมาไม่ได้ ใบหน้างุนงงเหลียวมองใบหน้าบิดาที อัครวินท์ที สลับกันด้วยความไม่เข้าใจ

“แล้วใครแค้นอะไรใครหรือครับ ทำไมพี่วินต้องแค้นพ่อด้วย”

“กานต์ฟังพ่อนะลูก ที่กานต์ต้องเสียใจเรื่องพี่วิน พ่อเองก็มีส่วน ถ้ากานต์ไม่ใช่ลูกพ่อ บางทีกานต์อาจไม่เป็นแบบนี้ พ่อเสียใจทุกครั้งที่เห็นกานต์ร้องไห้ทรมานเรียกหาพี่วิน พ่อเสียใจ...ที่กานต์ของพ่อต้องเจ็บปวด แต่ตอนนั้นพ่อก็ไม่ได้ห้ามกานต์คบกับพี่เขา เพราะพ่อไม่รู้ว่าแบบไหนมันจะทรมานกานต์มากกว่ากัน แต่พ่อก็ไม่คิดว่ากานต์จะรถคว่ำ พ่อขอโทษนะลูก”

“กานต์ไม่เข้าใจ ถ้ากานต์ไม่ใช่ลูกของพ่อมันจะเปลี่ยนอะไรได้หรือครับ ก็ในเมื่อพี่วินเห็นกานต์เป็นแค่เกม”

“พี่วินเห็นกานต์เป็นแค่เกม แต่ก็รักกานต์จริง ๆ นะลูก พ่อดูออก เอาเถอะ พาพี่เขาไปพักก่อน แล้วเราค่อยคุยกันนะ”

“แต่...”

“เชื่อพ่อสิลูก สามแฝดต้องพักมาก ๆ นะครับ เรายังมีเวลาคุยกันอีกมากไม่ใช่หรือ” รพินทร์จ้องตาบุตรชายสื่อความหมายโดยนัย รพีกานต์เข้าใจสิ่งที่บิดาสื่ออกมาผ่านสายตาจึงยินยอมโดยดี

“ก็ได้ครับ”

“อ้อ อีกอย่างหนึ่งนะ” รพินทร์หันมาทางอัครวินท์สีหน้าจริงจัง

“วันนี้อินทัชมาที่นี่ เขาแค่แวะมาเยี่ยม ฉันไม่รู้ว่าเขารู้ได้ยังไง แต่เราไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว สภาพของฉันตอนนี้คงไม่ทำให้เธอคิดเป็นอื่นไปได้หรอกนะ ฉันคิดว่าเธอควรจะรู้เรื่องนี้ไว้” รพินทร์บอกกล่าวด้วยความบริสุทธิ์ใจขณะสบตากับอัครวินท์

“ไม่มีอะไรแล้วก็ไปพักเถอะ ขับรถมาเหนื่อย ๆ ช่วงท้องนี่น้องกานต์จะง่วงบ่อย” รพินทร์บอกพลางพยักหน้าให้พากันไปพัก สายตามองสองร่างเดินเข้าไปในบ้าน เสียงข้อความในโทรศัพท์ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะดังขึ้น ดวงตาว่างเปล่าปรายตามองดูข้อความพรีวิวโดยที่ไม่ได้แตะโทรศัพท์ แต่ก็รู้ว่าเป็นข้อความจากอินทัช มือบางคลึงดอกมะลิที่เริ่มช้ำในมือเล่น เอ่ยพึมพำเบา ๆ

“ผมแต่ง ‘เสน่หา...รักร้าว’ จบแล้ว ขออนุญาตยืมคุณมาใส่ในนิยายของผมนะครับ อย่างน้อยหากวันหนึ่งเราสองคนได้ตายจากกันไป นิยายเรื่องนี้จะเป็นอนุสรณ์ประจักษ์พยานความรักที่เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่งในอดีต”

มะลิน้อย ลอยลม ระทมรัก
สุดจะหัก ตัดใจ ใฝ่ถวิล
มะลิช้ำ น้ำคำ น้ำตาริน
ขวัญชีวิน สิ้นรัก หักเยื่อใย
-มญชุ์สิตางศุ์-

 
“กานต์ไม่ง่วงแล้วหรือ งั้นพี่สีไวโอลินให้ฟังนะ” อัครวินท์ถามคนที่นั่งพิงหมอนทำตาแป๋วอยู่บนเตียง ชายหนุ่มเฉไฉด้วยการหยิบไวโอลินขึ้นมาบรรเลงให้อีกคนฟัง

“กานต์แค่สงสัยที่พ่อพูดเมื่อกี้น่ะครับ” รพีกานต์เอ่ยสิ่งที่ค้างคาใจออกมา ดวงตากลมจ้องคนตัวโตอย่างอยากได้คำอธิบายเพิ่ม

“เอาไว้ให้พ่อกานต์เล่าให้ฟังก็แล้วกันนะ” เขาวางไวโอลินลงบนโต๊ะพลางโน้มกายลงจูบหน้าผากมน คลอเคลียไล่ลงปลายจมูกและริมฝีปากสีกุหลาบอ่อน ฝ่ามือร้อนลูบไล้แผ่นหลังผ่านเสื้อก่อนสอดมือเข้าข้างใน สัมผัสผิวเนื้อเนียนลื่นมือ

“อื้อ พี่วิน กานต์” รพีกานต์รีบปรามเมื่อริมฝีปากเป็นอิสระ หากจมูกโด่งที่ซุกไซ้ซอกคอ ลมหายใจผ่าวร้อนของเขาก็พาให้สติเกือบเพริดไปไม่น้อย

“ไม่ได้หรือ” อัครวินท์ถาม ดวงตาคมเจือด้วยเปลวอารมณ์ชัดเจน

“คืนนี้ได้ไหมครับ คุณหมอบอกถ้าเบา ๆ ก็ไม่เป็นไร”

“เมียพี่น่ารักที่สุด” เขาฝังจมูกลงบนแก้มใสฟอดหนัก มือหนาลูบหน้าท้องทักสามแฝดพลางเอนกายลงหนุนตักคนท้อง ชายเสื้อถูกเลิกขึ้น จุมพิตอ่อนโยนแตะลงหน้าท้อง

“แข็งแรงนะสามแฝด” เขาบอกลูกน้อย กังวลเรื่องที่ยังไม่มีใครรู้เรื่องรพีกานต์ลึกซึ้ง แต่หากรู้ เขาก็จะไม่ยอมให้ใครขัดขวางเขาเพียงเพราะรพีกานต์เป็นลูกของรพินทร์หรอก

“กานต์นอนพักนะครับ เดี๋ยวพี่จะกล่อมกานต์กับลูกเอง” เขารั้งตัวบางลงเอนหลังกับหมอน จูบหน้าผากเสียทีหนึ่งก่อนเอี้ยวกายหันไปหยิบไวโอลินขึ้นมาบรรเลงเพลงอีกหน เพลงพระราชนิพนธ์ใกล้รุ่งกรีดเสียงอ่อนหวานคลอเคล้ากับสายลมแผ่วโชย หอบเอากลิ่นหอมอ่อนของดอกไม้ไทยรวยรินกำจายเข้ามาในห้อง บรรยากาศละมุนละไมแสนอ่อนหวาน สายตาคมจ้องมองดวงตากลมด้วยความเสน่หาเต็มเปี่ยมไม่วางตา รพีกานต์สบตาเขาตอบ มือลูบท้องตนเองที่มีปฏิกิริยาจากลูกน้อย

๐๔.๐๐ น.
รพีกานต์ยืนมองใครคนหนึ่งเงียบเชียบในความมืด อาศัยแสงสว่างจากภายนอกที่สาดส่องเข้ามาจากทางหน้าต่าง ร่างโปร่งขยับเข้าไปใกล้ ค่อย ๆ วางดอกแก้วลงบนหมอนที่ตนเองหนุน มองคนหลับตาพริ้มเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนเอี้ยวกายเดินจากออกมา
รถตู้จอดเยื้องหน้าบ้านไปพร้อมท่าเรียบร้อย รพีกานต์เปิดประตูเข้าไปนั่งข้างในข้างบิดาที่ขึ้นไปนั่งรออยู่ก่อนแล้ว รพินทร์หันมามองบุตรชาย

“กานต์แน่ใจแล้วใช่ไหม”

“ความเชื่อใจที่กานต์เคยมีให้พี่วินมันหมดไปแล้วครับพ่อ ถึงกลับไปกานต์ก็คอยแต่จะระแวงกับพฤติกรรมของพี่วินอยู่ดี ระแวงว่าเมื่อไรจะถูกเบื่อแล้วก็เขี่ยทิ้งอีก แบบนั้นมันไม่ต่างอะไรกับกำลังถือระเบิดเวลาเอาไว้เลยนะครับ รอว่าเมื่อไรมันจะระเบิดอย่างนั้นหรือ มันทรมานเกินไปครับพ่อ”

“ถ้ากานต์แน่ใจอย่างนั้นก็ออกรถเถอะ”
สายฝนชะช่อมะม่วงพรมลงมาโปรยปราย รถตู้ออกตัวเคลื่อนฝ่าความมืดออกไปบนถนนเงียบสงัด เสียงเพลงจากกล่องดนตรีคริสตัลดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ หากใครคนหนึ่งมองแน่วไปข้างหน้า ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองข้างหลัง
 
"แก้วดอกน้อย ลอยลับ วับเสียงแจ้ว
ขอลาแล้ว น้ำตาริน สิ้นเสน่หา
ด้วยน้องนี้ มิอาจ ร่วมชายคา
ขอพี่ยา อย่าจาบัลย์ สะบั้นรอน"
-มญชุ์สิตางศุ์-

 :katai5:


Talk :
มันยังเป็นรักที่กอดตัวอยู่ในความระแวงน่ะค่ะ ตราบใดที่วินทำให้น้องเชื่อใจอีกไม่ได้ กานต์ก็ยังจะกลัวอยู่อย่างเก่า เพราะในความคิดกานต์ วินมันหล่อรวยเลือกได้น่ะค่ะ วันนึงอาจเลือกให้กานต์เจ็บอีก ความเชื่อใจมันแตกเป็นเสี่ยงไปแล้ว มันไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิม ถ้าจะกลับไปเชื่อใจคนเดิมที่เคยทำเราเสียใจอีกหน มันต้องใช้แรงใจมากกว่าเดิมซึ่งตรงนี้หัวใจของกานต์ยังไม่แกร่งได้ขั้นนั้นน่ะค่ะ กลับไปก็ยังระแวงอยู่ดี ไม่มีความสุขหรอก เราเลยจับตัวละครแยกกัน ถอยคนละก้าวให้เรียนรู้ ต่างคนต่างต้องเจอบทพิสูจน์ ถ้าอดทนผ่านไปได้ก็รอด นี่คือบทพิสูจน์ความอดทนของทั้งคู่ ทั้งวินและกานต์ วินต้องอดทนในการพิสูจน์ตัวเอง กานต์เองก็ต้องขจัดความคลางแคลงใจในตัววินออกไป แต่ในระหว่างนี้ก็จะมีตัวแปรคนที่สามเข้ามา คนที่จะทำให้อัครวินท์ได้รู้จักกับคำว่า “เพชรหลุดมือ” มันเป็นยังไง
รักกันบางทีมันไม่ยากนะ มองตาแล้วก็ปิ๊งกัน แต่ประคับประคองนี่สิ ดีแตกเอาตอนแก่ก็มี ทำคู่ชีวิตที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาเสียใจอย่างเลือดเย็น เห็นล่มมาหลายคู่ละ
เราเป็นหวัดงอมแงมเลย ตรงไหนอ่านงง ๆ ก็คือสมองเรารวนนะคะ อย่าลืมรักษาสุขภาพค่ะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 10-03-2017 22:46:39
เฮ้อ ทำเขาไว้ก็ต้องรับกรรมละนะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 10-03-2017 23:00:54
สมน้ำหน้าอีวิน o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 10-03-2017 23:46:20
อยากอ่านตอนต่อไป  แบบที่ไม่ได้รอนานอย่างนี้  สนุกครับ อยากรู้ว่าวินมันจะทรมาณขนาดใหน
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 11-03-2017 00:22:53
ใจแข็งมากเลยกานต์

แต่ก็จริงนะ เพราะพี่วินก็ดูยังไม่เข้ารูปเข้ารอยเลย ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าจะทำตัวดีไปได้ตลอดอ่ะเนอะ

ถ้าอยู่ด้วยความระแวง สู้ไม่อยู่ตรงนี้ดีกว่า...เข้าใจน้องกานต์เลย สู้ๆนะ คุณพ่อรพินทร์ด้วย
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 11-03-2017 00:33:51
   อัครวินทร์กับที่บ้านจะทำยังไงน่ะ จะสนุกขึ้นแล้วสิ
  ช่วยไม่ได้นะอัครวินทร์ ไปทำลายใจกานต์ก่อน และกานต์ก็คงต้องใช้เวลาในการทำใจ
 รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 11-03-2017 01:21:09
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 11-03-2017 01:26:09
รอตอนต่อไปค่ะ อยากรู้ว่าอิพี่ิวินจะทำไง
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 11-03-2017 06:17:05
น้องกานสุดยอดมากเลยค่ะ แต่กังวลเรื่องมือที่สามจังเลย
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: saseum ที่ 11-03-2017 08:25:34
กายใจแข็งมากเลย ดีๆชอบๆ อย่าไปยอมง่ายๆ

หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 11-03-2017 08:32:51
รันกรรมไปซะวิน!!
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 11-03-2017 09:30:34
สมน้ำหน้า
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: palm-metto ที่ 11-03-2017 10:54:37
ให้กานต์ออกมาอย่างนี้ดีที่สุดแล้ว เพราะเราไม่รู้อนาคตวินจะเป็นยังไง ด้วยจากพฤติกรรมในอดีต มันเศร้านะ ที่แม้จะรักกันอยู่ แต่ก็ต้องแยกจากกัน
สงสารกานต์ผู้ถูกกระทำ
ต่อไปก็ต้องดูครอบครัววินว่าจะเอายังไงต่อ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 11-03-2017 11:50:42
 o22 o22 o22
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: matame ที่ 11-03-2017 15:26:23
ละมุนละไมกับภาษามากมายแต่กาญอย่าหนีเลยนะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Sha-em ที่ 11-03-2017 17:59:31
เป็นนิยายที่ดีงามมากก ชอบการใช้ภาษาละมุนแบบนี้จัง
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: pawara123 ที่ 11-03-2017 18:29:58
คุณค่าที่คุณรอคอย
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 12-03-2017 03:43:47
ใช่ครับ แก่แล้วแยกทางมีให้รู้เห็นกันบ่อยๆ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: i_Tipz ที่ 12-03-2017 07:49:36
 :mew4:  :mew4: เศร้าอะ รอตอนต่อไปค่ ^^
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 12-03-2017 08:59:39
วินเด็ดดอกไม้ สะเทือนไปถึงลำต้น อินทัชผู้น่าสงสารเพิ่งได้เจอกับรพินทร์อีกครั้ง ก็หายไปอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 12-03-2017 19:02:56
ทำดีมากเลยค่ะน้องกานต์
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 12-03-2017 22:12:43
ไม่อยากเศร้านานค่ะอยากให้หวานๆๆ :mew2:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 12-03-2017 23:22:50
อ่านครั้งแรกแล้วชอบเลยภาษาน่ารักมาก แล้วบอกเลยว่าน้องเราน่าจะเลี้ยงลูกคนเดียวได้นะพ่อช่ฝั่วแบบนี้อย่ามีเลยถ้าไม่ไหมจริงๆก็หาคนดีๆสักคน
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: everlastingly ที่ 13-03-2017 00:47:32
 :a5: กานต์หนีไปแล้ว จะทำยังไงต่อดี แต่วินยังเด็กไปจริงๆ นั้นแหล่ะ ดูไม่พร้อมจะรับผิดชอบอะไรเลย เฮ้อ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: question09 ที่ 13-03-2017 14:12:51
 :a5: :a5: :a5: :a5: :a5: :a5: :a5: :a5: :a5: :a5: :a5: :a5: :a5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 21-03-2017 01:20:57
เอาใจช่วย
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: KoTo_Nat ที่ 21-03-2017 06:35:24
นานจัง รออยู่นะคับ

 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: aurusma ที่ 23-03-2017 21:18:53
กานต์จ๋าาาาาาาาา :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๒)(P.๙)(๑๐/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: hunhan ที่ 28-03-2017 06:36:31
พึ่งได้เข้ามาอ่าน พลาดแรงงมากก อ่านตั้งแต่ 4 ทุ่ม จนถึง 6 โมง555 กรี้ด ขอบอกว่าเรื่องนี้สนุกมากทำให้เราคิดถึงบรรยากาศเวลาอ่านนิยายเก่าๆ555 ภาษาของคนแต่งทำให้เราอินกับมันไปจริงๆ นานๆทีจะอินกับนิยายแบบจริงจังขนาดนี้555 ชอบบรรยากาศเวลาบรรยายตอนเด็กๆของพี่ณัฐกับกานต์มากค่ะ มันทำให้เราอบอุ่นนึกภาพตาม ตอนนี้ก็อ่านทันแล้ว สมเหตุสมผลแล้วค่ะที่เลือกจากไป เพราะเป็นเราเราก็ระแวง คนที่เคยไว้ใจมากๆแต่ก็หักหลังแบบหักดิบแบบนี้ เจ็บจริงค่ะ55 ก็ต้องให้อีพี่วินรับกรรมและให้กำลังใจคุณพ่อกับคุณแม่มือใหม่แล้วแฝดน้อยที่น่ารักอีกสามคนค่ะ  อิอิ สู้ๆนะคร้าเฝ้ารอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ :mew3:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 29-03-2017 10:47:38
เสน่หา...รักเอย ๒๓

‘สายบ่หยุดเสน่ห์หาย’
“สายเอ๋ย สายเสน่ห์ บ่ห่อนหาย หน่ายหนี 
เรียมจากพี่ จรลี หนีหน้า
บ่คิดหวน วันคืนเก่า ก่อนมา
สายบ่หยุด เสน่หา เรียมจ๋า ราจร”

-มญชุ์สิตางศุ์-


“ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ”
รพีกานต์พึมพำขณะทอดสายตาอ้อยอิ่งแลเลยไปเบื้องหน้า มือคนโจ๊กในชามเชื่องช้าเอื่อยเฉื่อย ควันขาวขุ่นลอยฟุ้งขึ้นเหนือชามอออังอยู่ตรงหน้าไม่ต่างจากใจพะว้าพะวังห่วงหน้าพะวงหลังยังใครอีกคน คนที่เคยชินกับการถูกประเคนปรนเปรอให้ทุกสิ่งอย่าง คนที่ไม่เคยถูกขัดใจคนนั้น ป่านฉะนี้จะเป็นอย่างไรบ้างหนอ คิดแล้วก็เลื่อนมือลงลูบหน้าท้องแผ่วเบาปลอบใจสามแฝด เอาจริง ๆ รพีกานต์ยังไม่รู้สึกถึงความรักลึกซึ้งที่มีต่อลูกจากการแสดงออกของอัครวินท์สักเท่าไร เหมือนเขาแค่ดีใจอย่างเด็กเล็ก ๆ ที่จะมีสิ่งผูกมัดยึดเหนี่ยวรพีกานต์เอาไว้กับเขาก็เท่านั้น รพินทร์มองคนใจคอเหม่อลอยพลางเลื่อนมือไปแตะท่อนแขนกลมปลอบประโลมให้คลายความกังวลลง รพีกานต์หันมาสบตาบิดา ใจนึกอยากถามถึงความสัมพันธ์อันแสนคลุมเครือนั้นอยู่เหมือนกัน

“เดี๋ยวพ่อจะเล่าให้ฟัง กานต์กินโจ๊กเถอะ ไม่หิวก็ฝืนกินเสียหน่อย ไม่ได้มีตัวคนเดียวแล้วนะเรา” เอ่ยเตือนไปถึงสามแฝดในท้อง เพียงเท่านั้นคนเป็นลูกก็หันเหความสนใจมาที่ชามโจ๊กตรงหน้า ทัวร์กินลมชมวิวเดินทางแบบไม่รีบร้อนนัก รพินทร์เลือกเดินทางโดยรถตู้แทนการนั่งเครื่องที่ประหยัดเวลามากกว่า เพราะถึงแม้จะเสียเวลากว่ามากแต่อย่างน้อย ๆ หากมีคนตามหาก็คงเดาปลายทางได้ไม่ง่ายนัก อีกทั้งคนที่จัดไว้รับหน้าที่หนังหน้าไฟนั้นก็ไม่มีทางแพร่งพรายอะไรออกไปอยู่แล้ว

“หวังว่าพี่วินจะไม่อาละวาดกับอาเล็กนะครับพ่อ”

“หึ นั่นน่ะ ผู้อำนวยการแล้วก็อาจารย์ฝ่ายปกครองของโรงเรียนเรานะลูก คุณรพีสวัสดิ์เคี้ยวไม่ง่ายนักหรอก อย่าห่วงเลย พ่อวานให้คุณเล็กมาพักที่บ้านคอยดูแลบ้านช่องให้ แล้วก็ช่วยดูกิจการในโรงงานร่วมกับเลขาฯ ของพ่อ เกรงใจคุณเล็กอยู่เหมือนกัน อะไรเข้ารูปเข้ารอยแล้วพ่อว่าจะให้ทัวร์กำนัลคุณเล็กไปเที่ยวนาน ๆ เสียหน่อย” รพินทร์ปรารภอย่างเกรงใจในน้ำใจของญาติผู้น้อง ตั้งแต่ทราบว่าเขาป่วยก็คอยยื่นน้ำใจเข้ามาช่วยเหลืออยู่ไม่ขาด

“พี่วินจะได้รู้ซึ้งเสียทีว่าไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ จะถอดใจรามือไปก่อนก็ไม่ว่ากัน” รพีกานต์ปรารภอย่างปลงตก คนจับจดไร้น้ำอดน้ำทน ไม่ทันนานก็คงถอดใจ

“เผื่อใจไว้ด้วยนะลูก ระยะทางมันพาให้ใจคนเปลี่ยนมานักต่อนักละ กานต์เองก็เหมือนกัน เผื่อเจอใครในวันข้างหน้าอาจเปลี่ยนใจจากพี่วินไปก็ได้”

“จะมีใครมาสนใจคนแปลกประหลาดอย่างกานต์ละครับพ่อ แถมเรือพ่วงมาอีกตั้งสามลำ ไม่มีใครอยากมีภาระหรอกครับ” รพีกานต์เอ่ยทั้งน้ำเสียงกลั้วขำ นึกไม่ออกว่าจะมีวันนั้นมาถึงตัวเอง

“ตัดสินใจไปคราวนี้ กานต์เองก็ทำใจเรื่องพี่วินไว้แล้วครับ ไม่รู้จะได้เจอกันอีกเมื่อไร เผลอ ๆ เจอเอาตอนพี่วินมีคนใหม่ไปแล้วก็ได้” ฝังจิตฝังใจไปอย่างนั้น ดวงตากลมหลุบมองลงต่ำ ในใจยังวูบโหวงด้วยรสสัมผัสไออุ่นยังตราตรึง แต่เพราะความรักลูกน้อยทำให้ตัดสินใจอะไรได้เด็ดขาด

...จะไม่หันหลังกลับไป แต่ถ้าเส้นทางข้างหน้าขีดให้ได้วกมาเจอกันใหม่ ก็ค่อยว่ากันอีกที...



แสงแดดยามสายจัดลอดผ่านแมกไม้ทอแสงรำไรทางหน้าต่าง คนหลับสบายค่อยได้สติควา
นมือสะเปะสะปะหาร่างอุ่นคุ้นกายทั้งยังไม่ลืมตา มือหนาป่ายไปยังหมอน แก้วดอกน้อยกลิ้งลงมาสัมผัสมือ อัครวินท์หยุดควาน เปิดเปลือกตาลืมมองความว่างเปล่าข้างกาย

“ลุกไปก่อนแล้วก็ไม่ปลุกเสียด้วย” เขาอมยิ้มเอ็นดู ปลายนิ้วเกลี่ยหมอนนุ่มติดกลิ่นหอมจาง ๆ ของแชมพูสระผม รสหวานละมุนเมื่อคืนยังซ่านติดลิ้น

“อย่างกับสาวน้อยเพิ่งเสียสาวเลยกู” เขาเกาท้ายทอยแก้เก้อ ริมฝีปากคลี่ยิ้มขำตัวเอง ปลายนิ้วเคาะลงบนเตียงนึกถึงภาพไม่ประสาเมื่อคืน รพีกานต์ก็ยังคงเป็นรพีกานต์ทั้งที่กำลังจะมีน้องด้วยกันแท้ ๆ แก้มสีเรื่อก้มงุดซุกในอกทั้งเนื้อตัวร้อนฉ่าด้วยความปรารถนาที่เขาเป็นคนจุด ทุกอย่างเกิดโดยละมุนละม่อมเพราะระวังเจ้าสามแฝดในท้อง แต่กระนั้นรพีกานต์ก็ยอมให้เขาตักตวงโดยไม่บิดพลิ้ว กรุ่นกลิ่นจางติดที่นอน อัครวินท์หยิบแก้วดอกน้อยขึ้นสูดดมต่างแก้มผู้เป็นเจ้าของ

“เป็นเอามากเว้ย” เขาส่ายหน้ากับอารมณ์เพ้อพกดูไม่เป็นตัวของตัวเอง มือหนาเลิกผ้าห่มชักเท้าวางบนพื้น พลางลุกจากเตียงเดินไปเยี่ยมหน้ามองทางหน้าต่าง สวนด้านหลังเรือนขนมปังขิงติดคลอง มองเห็นเงาสะท้อนแสงแดดส่องประกายระยิบระยับอำไพบนท้องน้ำไหวกระเพื่อม กล่อมเกลาให้รู้สึกสงบอย่างประหลาด รพีกานต์เติบโตที่นี่ สภาพแวดล้อมสงบร่มรื่นหล่อหลอมคนตัวเล็กด้วยความละมุนละไมไม่ต่างจากดอกไม้ในสวนที่ได้รับการประคบประหงมดูแลอย่างดีเยี่ยม เขาทอดอารมณ์เคลิ้มมองทัศนียภาพเบื้องหน้า บัวหลวงสีชมพูอ่อนกำลังเบ่งบานริมคลองใกล้ท่าน้ำหลังบ้าน นึกแล้วก็อยากพารพีกานต์พายเรือไปเก็บบัวด้วยกันอีกสักหน อยากชดเชยในความเลวร้ายที่เคยทำลงไปแม้มันจะเทียบไม่ได้กับบาดแผลในใจที่ฉีกเป็นริ้วจากน้ำมือเขา

“พี่ขอโอกาสนะกานต์”

เสียงท้องร้องประท้วงความหิวขึ้นมาตะหงิด กายหนาถอยร่นกลับมาหยิบผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำ ในใจก็คิดไปว่า รพีกานต์คงง่วนอยู่ในครัวเตรียมอาหารไว้รอ
จัดการธุระเสร็จเรียบร้อย ร่างสมบูรณ์ด้วยมัดกล้ามสมสัดส่วนจึงเดินลงมาข้างล่าง อดสนเท่ห์เล็ก ๆ ไม่ได้ที่ไม่เห็นรพีกานต์ขึ้นมาหา ผิดวิสัยคนตัวเล็กอย่างประหลาด กระนั้นเขาก็เลือกจะปัดความสงสัยทิ้งเมื่อย่างเท้าลงมาถึงชั้นล่าง

“กานต์” เขาส่งเสียงเรียกร่างที่กำลังหันหลังให้ หวังได้รับรอยยิ้มกระจ่างใสกลับมา หากใบหน้าที่หันมาสบตานั้นทำเอานิ่งไป

“กานต์ไม่อยู่หรอก เธอ...วินใช่ไหม เช้านี้รับอะไรดี พี่รพินทร์สั่งไว้ว่า ถ้าเธออยากอยู่ที่นี่ต่อก็ได้ พี่เขาให้ฉันมาคอยดูแลบ้านให้น่ะ ฉันเป็นอาของกานต์” คนได้รับการไหว้วานรายงานเสร็จสรรพ สายตาพินิจพิเคราะห์ลอบชำเลืองอย่างมีมารยาทยังชายหนุ่มตัวต้นเหตุที่ทำให้หลานของเขาต้องระเห็จไปเสียไกล

หล่ออย่างนี้ซิเล่า เจ้ากานต์น้อยถึงได้เสียอกเสียใจเสียมากมายตอนถูกเขาทิ้ง หล่อเสียทะลุความดีพี่ณัฐ

“เดี๋ยวนะครับ กานต์ไม่อยู่ แล้วกานต์ไปไหนหรือครับ ทำไมผมไม่รู้เรื่อง” อัครวินท์มึนงงเป็นไก่ตาแตก คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน เอ่ยทวนเนื้อความที่อีกฝ่ายบอกให้รับรู้

“กานต์ย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วน่ะ ไปเมื่อเช้ามืดนี่เอง ไปรอคลอดนั่นแหละ ที่นี่เรื่องนินทากาเลสอดส่องกันหูตาอย่างกับสับปะรด พี่รพินทร์ไม่อยากให้กานต์เสียสุขภาพจิตเพราะคนอื่นเลยพาหลบไป แต่จะไปที่ไหน ฉันก็บอกไม่ได้ รู้แค่พี่พกพาสปอร์ตไปด้วย อาจพาไปพักกับเพื่อน ๆ ญาติ ๆ เราที่ต่างประเทศ” รพีสวัสดิ์แจงพลางยกชาขึ้นจิบ สายตาเหลือบมองคนอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงที่ถูกปล่อยทิ้งกลางอากาศ สายตาสับสนเกลื่อนไปด้วยหลากคำถามมากมาย

“ทำไมกานต์ไม่บอกผม เมื่อคืนเรา...เรายังนอนคุยกันอยู่เลย ทำไมจู่ ๆ ทิ้งกันไปง่าย ๆ แบบนี้” เขาตกตะลึงจนเค้นคำพูดแทบไม่ออก ร่างสูงเข่าแทบทรุด เหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมายังร่างให้ชาหนึบไปหมด เขาเหมือนคนกำลังปีนขึ้นจากหุบเหวแล้วมีเชือกส่งลงมาช่วย เมื่อคว้าเอาไว้ เชือกนั้นก็พลันปล่อยเขาลอยละลิ่วลงสู่ก้นเหว

รพีกานต์ไม่ต้องการเขา ไม่ต้องการมีเขาอยู่ในชีวิตแม้จะอุ้มท้องลูกของเขาอยู่ก็ตาม !

“ไม่ นี่จะต้องเป็นตลกร้ายแน่ ๆ” เขายังคงดื้อแพ่งดึงดันทั้งที่ใจแป้วไปแล้ว มือสั่นเทาล้วงโทรศัพท์สมาร์ตโฟนในกระเป๋ากางเกงออกมากดโทรออก

หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้...

“กานต์...ไม่จริง กานต์จะทิ้งพี่ไปอย่างนี้น่ะหรือ” ดวงตาสั่นหลากด้วยความสับสนอย่างคนตั้งตัวไม่ทัน อัครวินท์หันขวับมายังคนตรงหน้าพลางปรี่เข้าหา

“ผมรู้ว่าคุณรู้ว่ากานต์อยู่ที่ไหน ได้โปรดเถอะ บอกผม คุณต้องการอะไร ผมจะรีบจัดหามาให้ตามต้องการ” เขาเอ่ยน้ำเสียงระรัว

“นี่เธอ ฉันไม่อยากได้อะไรของเธอหรอกนะ แล้วที่หลานฉันไป ฉันว่ามันก็ดีกับตัวกานต์แล้ว เธอทิ้งกานต์ไปแล้วนี่ คิดจะกลับมาง่าย ๆ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก เธอทิ้งกานต์ คราวนี้กานต์ทิ้งเธอบ้าง มันก็เจ๊ากันแล้วนี่ ยุติธรรมดี” รพีสวัสดิ์จ้องอีกฝ่ายเขม็ง นัยน์ตากวางขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อยเพราะเขาเองก็เอ็นดูหลานคนนี้อยู่มาก

“แต่กานต์ท้องลูกของผม แล้วบ้านกานต์ก็อยู่ที่นี่ ยังไงก็ต้องกลับมา” นัยน์ตาคมสั่นระริกอย่างไม่ยอมรับความจริง ริมฝีปากได้รูปหลุดคำพูดแผ่วครางคล้ายสติใกล้หลุดเต็มที

“ก็แค่น้ำเชื้อที่หลุดเข้ามาปฏิสนธิในร่างกายของหลานฉัน เอาไว้เธอเจอคนใหม่ เธอจะมีเด็กอีกสักกี่คนก็ได้นี่ อย่าเอาเรื่องนี้มาเป็นข้อผูกมัดกันน่า สมัยนี้มันเชยแล้วนะ ท้องแล้วจะได้ร้องเร่ให้ผู้ชายรับผิดชอบน่ะ แล้วอีกอย่างกานต์กลับมาที่นี่อยู่แล้วแน่ ๆ แต่อาจจะ...รอลูกโต เรียนจบไฮสคูลเข้ามหาวิทยาลัยแล้วโน้นล่ะมั้ง” คุณอาของรพีกานต์ทำน้ำเสียงคาดคะเนทิ้งจังหวะระทึกให้ลุ้นตาม ก่อนปัดความหวังทิ้งไม่ใยดีพลางยักไหล่ไม่ยี่หระ ท่าทีไม่ยอมคนต่างจากรพินทร์แบบลิบลับประสาลูกหลงคนสุดท้อง

“อะไรนะครับ ! กานต์จะกลับมาจนลูกโตขนาดนั้นเลยหรือ” อัครวินท์ตาโตอย่างไม่เชื่อหู คนตัวเล็กทำไมใจเด็ดได้ขนาดนั้นหนอ

“ประมาณนั้นละมั้ง อย่ามาเซ้าซี้คาดคั้นเอากับฉันดีกว่าน่า ฉันบอกว่าไม่รู้ก็คือไม่รู้ ฉันไม่ได้ใจดีอย่างพี่รพินทร์หรอกนะ เตือนไว้ก่อน” สายตาเอาเรื่องตวัดขึ้นเตือนกลาย ๆ ว่าไม่ได้แค่ขู่ อัครวินท์ยั้งใจไม่เผลอวู่วามทั้งที่อยากจับญาติผู้ใหญ่ของรพีกานต์เขย่าให้หัวสั่นหัวคลอนเค้นเอาความจริงเต็มแก่ แต่กิริยาควรไม่ควรก็เตือนให้นิ่งอั้นไว้

 “ผมจะไปตามหากานต์ จ้างนักสืบเก่ง ๆ พลิกแผ่นดินหา ยังไงก็ต้องหาให้เจอ” เขาบอกก่อนผลุนผลันออกมาจากบ้าน ร่างแกร่งตรงไปที่รถ กวาดสายตาเหลียวหาซ้ายขวา แน่ใจว่าคุณอาของรพีกานต์พูดจริงแน่ ๆ จึงรีบขับรถออกมาด้วยหัวใจร้อนรุ่มยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

Trrrrr

“ฮัลโล ว่าไงเจ้าวิน” อินทัชกรอกเสียงมาตามสายด้วยความฉงนสนเท่ห์ ร้อยวันพันปีเจ้าลูกคนนี้แทบจะโทร.หานับสายได้

“พ่อ กานต์หนีผมไปแล้ว” อัครวินท์ละล่ำละลัก เขาร้อนใจยิ่งกว่าไฟลน จะโทร.หาปู่ก็กลัวจะถูกเฉ่ง คุยกับบิดาน่าจะได้เรื่องกว่า

“แกว่าอะไรนะ” อินทัชทวนคำคิ้วขมวดยุ่ง มือวางปากกาที่กำลังเซ็นเอกสารตั้งใจฟังสิ่งที่บุตรชายเอ่ยบอก

“กานต์หนีผมไปแล้ว ตื่นมาคนที่บ้านกานต์ก็บอกว่ากานต์หนีไปอยู่ที่อื่น ไม่รู้ว่าไปที่ไหน แต่กานต์ไปโดยไม่บอกอะไรผมสักคำเลยพ่อ ทิ้งกันไปง่าย ๆ เมื่อคืนผมยังนอนกอดกานต์อยู่เลย” อัครวินท์พรั่งพรูความในใจออกมาอย่างใจเสีย อินทัชได้ยินถึงกับนิ่งในความใจเด็ดของเด็กผู้ชายหน้าอ่อนเยาว์คนนั้น

“พ่อ ส่งคนของเราออกตามหากานต์นะ จ้างนักสืบด้วย พ่อรู้จักตำรวจนี่ ดูกล้องวงจรปิดถนนเส้นทางที่กานต์ไปได้ไหม แล้วก็เช็กเที่ยวบินด้วย ญาติของกานต์บอกว่าคุณรพินทร์พกพาสปอร์ตติดตัวไปด้วย บางทีพวกเขาอาจจะหนีไปกบดานที่ต่างประเทศ” อัครวินท์แทบเหมือนคนบ้าเข้าไปทุกที พยายามคิดหาทุกทางออกที่จะติดตามตัวรพีกานต์กลับมา

“เดี๋ยว ใจเย็นก่อนวิน แกไปทำอะไรให้เขาโกรธ กานต์ถึงหนีแก” เขาจับใจความความร้อนรุ่มของบุตรชายก่อนเค้นหาสาเหตุ

“ผม...ผมเคยทิ้งกานต์ ผมแค้นนี่ ที่รู้ว่าพ่อของกานต์คือรพินทร์ คนรักเก่าของพ่อน่ะ ผมเกลียดมันพ่อก็รู้” เขาบอกเสียงอ่อยลงนิดหนึ่ง แต่คนฟังหูผึ่งทันทีที่ฟังจบ

“อะไรนะ แกบอกฉันว่า พ่อของกานต์คือรพินทร์อย่างนั้นหรือ” อินทัชแทบเต้นเหยงลุกผึงจากเก้าอี้ นัยน์ตากรอกไปมาเมื่อนึกไปว่าเขาเพิ่งจะไปเยี่ยมรพินทร์มาเมื่อวาน เพิ่งจะได้พูดคุยกัน มาวันนี้เจ้าลูกชายตัวดีก็ก่อเรื่องจนบ้านนั้นพากันระเห็จหนี

“ใช่ พ่อของกานต์คือรพินทร์คนนั้น แล้วในท้องของกานต์ก็มีลูกของผม พ่อ...ยังไงเราก็ต้องหากานต์ให้เจอนะ”

“ตอนนี้แกอยู่ที่ไหน รีบกลับมาที่บ้าน เรามีเรื่องต้องคุยกันยาว !” อินทัชสั่งเฉียบขาด ในใจคุกรุ่นร้อนรุ่มยิ่งกว่าสุมเพลิง นายธนาคารหนุ่มไม่เคยใช้น้ำเสียงแบบนี้กับบุตรชายสักครั้ง แต่คราวนี้เห็นทีต้องไล่เบี้ยกันยาวกับความผิดเทียบขั้นอุกฤษฏ์ที่บุตรชายตัวดีได้ก่อขึ้น มือหนาวางสายโทรศัพท์พึมพำชื่อ

“กานต์ลูกรพินทร์ สามแฝดนั่นเลือดเนื้อเชื้อไขอิศวัชร์แท้ ๆ หลานฉัน หลานแท้ ๆ เจ้าวินนะเจ้าวิน” อินทัชคว้าสูทที่ถอดพาดพนักเก้าอี้ก่อนก้าวฉับยาว ๆ อย่างรีบร้อนออกมานอกห้องทำงาน เสียงเข้มสั่งงานกับเลขาฯ ฉับไว เรียบร้อยแล้วจึงกดลิฟท์ลงมายังที่จอดรถ โรลส์-รอยซ์คันหรูพุ่งทะยานราวติดปีกออกสู่ท้องถนนมุ่งตรงไปยังคฤหาสน์ ระหว่างนั้นอินทัชได้โทร.ไปบอกเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ ให้บิดาได้รับรู้เพื่อหาทางออกของปัญหาร่วมกัน อินทร์ฉายคิ้วกระตุก ชะรอยขนชังจะขึ้นเจ้าหลานตัวดีแล้วอย่างไรไม่ทราบ คนกำลังดูคลิปเหลนแฝดสามถึงกับหน้าตึง


-มีต่อด้านล่างค่ะ-  :katai5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 29-03-2017 10:50:25
๒๓ (ต่อ)


บรรยากาศในห้องรับแขกมาคุเขม็งเกลียวจนอัครวินท์รู้สึกได้นับแต่ก้าวเท้าแรกเหยียบเข้ามาภายในห้อง ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอสีหน้าเจื่อน สายตาล่อกแล่กลุกลนมื่อเจอสายตาถมึงทึงของผู้เป็นประมุขใหญ่แห่งอิศวัชร์ ร่างสูงใหญ่พาไหล่ห่อหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้รอถูกไต่สวน นับเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเข้าหน้าปู่ไม่ติดด้วยชนักติดหลังขั้นอุกฤษฏ์

“ฉันวานคนรู้จักในตม.ช่วยเช็กให้แล้ว ตอนนี้เด็กกานต์กับครอบครัวยังไม่ได้ออกนอกประเทศ เช็กกับสายการบินก็ไม่มีชื่อครอบครัวนั้นจองเที่ยวบินไหน ทั้งในประเทศแล้วก็ไฟท์บินออกนอกประเทศ พวกนั้นคงวางแผนเดินทางไม่ให้เราตามเจอตัวง่ายนักหรอก สรุปก็ต้องมาคลำหาดูว่าเจ็ดสิบเจ็ดจังหวัดในประเทศไทยนี่ เมียแกพาเหลนของฉันหนีไปที่ไหน แต่ก็คงวางใจได้อยู่หรอกว่าคงไม่พากันลงสามจังหวัดชายแดนใต้” ตลกฝืดของปู่ทั้งที่ใบหน้าขุ่นเคืองนั้น เขาทำได้เพียงยิ้มแหย รู้ตัวว่าตกจากบัลลังก์หลานรักดังแอ้กก็คราวนี้ ด้วยอัครวินท์จับอารมณ์กรุ่นโกรธของปู่ได้เป็นอย่างดี

“หรือว่าจริง ๆ แล้วกานต์จะไม่ได้หนีไปไหนครับปู่ เพียงแค่แกล้งหลอกให้ผมหัวหมุนเล่น บางทีตอนนี้กานต์อาจยังอยู่ที่บ้าน หรือไม่ก็แอบไปซ่อนตัวที่ไหนไม่ไกลนักเพื่อหลอกล่อให้ผมตายใจ แล้วก็กลับไปอยู่บ้านอย่างเก่า ถ้าอย่างนั้นเราส่งคนไปคอยจับตาดูก็ได้นี่ครับ เจอตัวแล้วเราค่อยไปเกลี้ยกล่อมดี ๆ” เขาโพล่งอย่างนึกขึ้นได้

“เรื่องนั้นฉันสั่งคนไปจัดการแล้ว แต่แกคิดหรือว่าเมียแกจะคิดอะไรตื้น ๆ เด็กเล่นแบบนั้น ในเมื่อในท้องเด็กคนนั้นมีสายเลือดของอิศวัชร์ ทางนั้นจะไม่คิดเชียวหรือว่าทางเราต้องพลิกแผ่นดินตามหาแน่ ๆ” น้ำเสียงของอินทร์ฉายเรียบขรึม หากภายในใจร้อนรุ่มแทบอยากแพ่นกบาลเจ้าตัวก่อเรื่อง เขารักอินทัชมาก พอมีอัครวินท์ก็ยิ่งรักมากเข้าไปอีก แต่อัครวินท์โตแล้วก็เป็นไปตามวัย มีเพื่อนมีสังคมของเขา การที่ได้รับรู้ว่าตัวเองจะมีเหลน แม้จะกะทันหันไปหน่อย แต่พอได้ดูคลิปแล้วก็ยังความยินดีที่จะได้รอเจอหน้าเหลนที่กำลังจะลืมตาดูโลก ยังจำได้ เด็กรพีกานต์เคยบอกว่าสามแฝดมีปฏิกิริยากับเสียงของเขา จะเรื่องจริงหรือพูดเพื่อเอาใจก็ตามแต่ แต่อินทร์ฉายก็มีความหวังในการรอเจอเหลนคลอดเข้าไปแล้ว

“ทัชบอกว่า แกเป็นต้นเหตุให้เด็กคนนั้นหนีไปอย่างนั้นหรือ” คำถามเล่นเอาอัครวินท์สะดุ้งโหยง เย็นวาบไปถึงไขสันหลัง

“ครับ กานต์คงโกรธที่ผมเคยทิ้งกานต์เมื่อก่อน จริง ๆ ก็ว่าจะลองคบแบบจริงจังดู แต่พอได้ไปเจอคุณพ่อของกานต์เข้า ผมก็เลย...ทำอะไรงี่เง่าไป” อัครวินท์ยอมรับเสียงอ่อย หลบสายตาวูบ ปู่ชอบคนแก้ไขแต่ไม่นิยมคนแก้ตัว

“เล่าให้ฉันฟังอย่างละเอียด ว่าแกเคยทำอะไรไว้ เด็กคนนั้นถึงได้หนีไปอย่างนี้” อินทร์ฉายน้ำเสียงเย็นเฉียบ อัครวินท์หน้าซีดปากสั่น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นถูกเล่าถ่ายทอดผ่านริมฝีปากของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นหลานรัก ตลอดเวลาที่รับฟังอินทร์ฉายคิ้วกระตุกกับพฤติกรรมของหลานเป็นระยะ

“ตกลงว่าแกไปทำเรื่องระยำกับเขาจนทางนั้นต้องระเห็จหนีอย่างนั้นหรือ” อินทร์เสียงเหี้ยมคาดโทษ อัครวินท์สะดุ้งโหยงหน้าตื่น เหงื่อกาฬแตกพลั่กทั้งที่แอร์เย็นฉ่ำ

“แล้วพ่อของกานต์ก็คือผู้ชายที่เคยคบกับพ่อของแกก่อนหน้าที่อินทัชจะแต่งงาน แกรู้เรื่องนี้ได้ยังไงเจ้าวิน ตกลงว่าแกเป็นเกย์จริง ๆ ใช่ไหม” ถามรวบยอดทีเดียวตรงประเด็น อินทร์ฉายคาใจเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ถ้าตัดเรื่องรพีกานต์ตั้งครรภ์ออกไป ก็เท่ากับว่าอัครวินท์เองก็เป็นแบบที่อินทัชเป็น

“ผมไม่รู้หรอก เรื่องเป็นเกย์หรือไม่เป็น เพราะผมไม่เคยสนใจผู้ชายคนไหนจนมาเจอกานต์ แล้วตอนคบกันมันก็รู้สึกดี ผมชอบที่กานต์เป็นกานต์ ไม่ได้ชอบเพราะกานต์เป็นผู้ชายหรือผู้หญิงเสียหน่อย กานต์ทำให้ผมมองข้ามเรื่องเพศสภาพไป ผมไม่เคยรู้สึกกระอักกระอ่วนเวลาอยู่ใกล้กัน ถ้าความรู้สึกนี้ใครจะมองว่าผมเป็นเกย์ ก็คงใช่” เขายืดอกรับ คิดว่าใคร่ครวญดีแล้วในคำตอบ มันอาจทำให้ปู่ผิดหวัง แต่การปฏิเสธทั้งที่มาจนขั้นนี้ก็เท่ากับผลักไสความเจ็บปวดให้อีกฝ่าย แล้วรพีกานต์จะรู้สึกยังไง

“ผมเคยเกลียดในสิ่งที่พ่อเป็น เคยเสียใจ ผิดหวังตอนเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกัน แต่ตอนนี้ผมรู้แล้ว จะรักใคร รักก็คือรักครับปู่ คนเราต่างหากที่แบ่งแยกให้มันวุ่นวายไปเอง แค่รักกับผู้ชายไม่ได้ทำให้โลกแตกเสียหน่อย”

“แกยอมรับว่ารักผู้ชาย” อินทร์ฉายถามหลาน แต่เหมือนคำถามนั้นเป็นการบอกตัวเองกลาย ๆ เสียมากกว่า

“ผมรักกานต์ครับ ถึงกานต์ไม่ท้อง วันนึงผมก็จะพากานต์มาให้ครอบครัวเรารู้จักอยู่ดี” ชายหนุ่มรู้ตัวว่าทำผิดมามาก ที่รพีกานต์หนีไปก็เพราะเขาทำตัวเองล้วน ๆ

“รู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังพูดอะไรอยู่ แกอายุแค่นี้อาจจะสับสนไปกับโลกที่มันเปิดกว้างขนาดมีซีรีส์เกย์ออกฉายทางทีวีโครม ๆ แถมเป็นที่นิยมขนาดมีแฟนคลับ” อินทร์ฉายไม่อยากเชื่อหูตัวเองนัก เอาจริง ๆ คือไม่อยากยอมรับเสียมากกว่า แต่ก็ต้องยอมรับว่าโลกปัจจุบันเปลี่ยนไปรวดเร็ว จนคนอาบน้ำร้อนมาก่อนหลายสิบปีปรับความคิดตามแทบไม่ทัน

“ไม่มีผู้ชายคนไหนไม่รู้ตัวเองหรอกครับปู่ ผมกล้าพูดได้เลย รู้ตัวทั้งนั้นแหละว่าสนใจหรือไม่สนใจผู้ชายด้วยกัน อยู่ที่จะยอมรับหรือเปล่าต่างหาก ถ้าผมเป็นเกย์แล้วผมจะไม่ใช่หลานปู่หรือครับ ปู่จะตัดปู่ตัดหลานกับผมเลยหรือ แค่ผมรักกับผู้ชายแล้วมีความสุข ปู่ไม่อยากเห็นผมมีความสุขหรือครับ” คำถามแทงใจดำอย่างจัง อินทร์ฉายเหลือบมองบุตรชาย อินทัชไม่เคยทำให้ผิดหวังสักครั้งยกเว้นเรื่องเดียว แต่ลูกก็ยอมเฉือนหัวใจตัวเองเพื่อแลกกับคำว่ากตัญญู รอยยิ้มของอินทัชหลังแต่งงานนับว่าหายากกว่าน้ำในทะเลทรายเสียอีก ทุกวันนี้ก็ยังถามตัวเองว่าทำถูกไหมที่บังคับอินทัชแต่งงาน แต่ผลิตผลที่ออกมาเป็นอัครวินท์ก็เป็นสิ่งปลอบใจจอมปลอมได้เสมอมา

“แล้วทีนี้จะทำยังไงต่อไป ถึงตามตัวเจอ แล้วคิดหรือว่าเด็กกานต์จะยอมกลับมากับแก ในเมื่อแกทำร้ายเขาขนาดนั้น ใครบ้างจะไม่ระแวงกับพฤติกรรมเลว ๆ ที่ผ่านมาของแกกัน นี่ฉันตามใจแกเกินไปใช่ไหม ถึงได้ทำอะไรร้ายกาจแบบนี้” ยิ่งได้รู้สาเหตุการหนีไปของรพีกานต์ ก็ยิ่งกรุ่นโกรธคนของตนเอง

โธ๋เอ๋ย เจ้าสามแฝด ต้องมารับเคราะห์เพราะมีพ่อสามานย์ เหนืออื่นใด ทวดเองที่ผิดกว่าใคร
อินทร์ฉายโอดครวญในใจด้วยความเสียใจ ในใจละห้อยหาเหลนที่ไม่รู้จะไปตกระกำลำบากที่ไหน นึกแล้วก็อยากเฉดเจ้าตัวพ่อมันออกจากบ้านนัก เห็นแล้วชังน้ำหน้าขึ้นมาครามครัน

“ผมขอโทษ” อัครวินท์เสียงอ่อยด้วยความรู้สึกผิดเต็มเปี่ยม

“คนที่แกสมควรขอโทษไม่ใช่ฉัน ฉันจะบอกอะไรให้นะเจ้าวิน คนเราถึงขอโทษแล้ว ถึงเขาจะยกโทษให้ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม เวลาไม่ได้ช่วยเยียวยาทุกอย่างได้ สิ่งที่มันแตกเป็นเสี่ยง ๆ ไปแล้วไม่มีทางกลับคืนมาได้อย่างเก่า โดยเฉพาะความเชื่อใจ ถ้าแกได้ลองทำลายความเชื่อใจของใครไปแล้ว แกแทบจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อพิสูจน์ตัวแกเอง” น้ำเสียงฉาดฉานของปู่สะท้อนถึงความเสียใจและผิดหวังอย่างรุนแรงจนอัครวินท์ใจเสีย

“ถามตัวเองสิว่า แกหนักแน่นพอไหมสำหรับบททดสอบนี้ ถ้าคิดว่าทำได้ ต่อให้พลิกแผ่นดิน ฉันก็จะตามเด็กคนนั้นกลับมาให้จงได้ แต่ถ้าตัวแกเองยังไม่แน่ใจว่าแค่หลงไปชั่วคราวหรือเปล่า ก็ปล่อยเขาไป เด็กคนนั้นกับครอบครัวเขาคงเลี้ยงเหลนฉันได้ดีกว่าที่ฉันเลี้ยงแกมา” ประมุขแห่งอิศวัชร์เอ่ยหนักแน่นและเด็ดขาดทั้งที่เสียใจอยู่ลึก ๆ อัครวินท์คือกระจกสะท้อนความบกพร่องจากการเลี้ยงดูของครอบครัวขนานแท้ และภาพสะท้อนนั้นเล่นเอาจุกเจ็บไม่น้อย

“คุณพ่อพูดแบบนี้ แสดงว่าคุณพ่อยอมรับเด็กผู้ชายคนนั้นหรือคะ” ผดาชไมแทรกขึ้นหลังนั่งฟังอยู่นาน กระแสเสียงแฝงนัยไม่พอใจลึก ๆ เมื่อทราบที่มาของรพีกานต์

“ไม่ยอมแล้วจะให้ทำยังไง เหลนฉันอยู่ในท้องเด็กคนนั้นตั้งสามคน จะทำเหมือนว่าเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง ทำรังเกียจรังงอนแม่เขา ทั้งที่อยากได้ลูกเขาน่ะหรือ” อินทร์ฉายถามกลับสะใภ้ ใช่ว่าตัวเขาจะไม่ตะขิดตะขวงใจกับเพศสภาพของรพีกานต์ แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าไม่ยอมก็คงหมดวังที่จะได้เจอสามแฝด ยิ่งรู้ว่าอัครวินท์ทำร้ายกาจกับอีกฝ่ายแค่ไหน ตัวเขาก็ยิ่งรู้สึกผิดต่อทางนั้นและโหยหาสามแฝดหนักกว่าเดิม

“งั้นเราก็ยื่นข้อเสนอรับเด็กมาเลี้ยงเองก็ได้นี่คะ ยังไงทางเราต้องเลี้ยงได้ดีกว่าอยู่แล้ว พ่อแม่ยังวัยรุ่นรักสนุก เขาคงไม่อยากนำพาภาระให้ตัวเองหรอกค่ะ” ผดาชไมเสนอแบบคนที่เห็นปัญหาวัยรุ่นท้องในวัยเรียนยุคปัจจุบันที่เห็นได้เกร่อ สุดท้ายก็กลายเป็นภาระของพ่อแม่ในภายหลัง

“กานต์ไม่ยอมหรอกแม่” อัครวินท์ทักท้วงอย่างคนรู้จักนิสัยรพีกานต์ดี

“ทำไม หรือเด็กนั่นอยากเก็บลูกเอาไว้ต่อรองกับเราเรื่อย ๆ เห็นว่าเราสนใจอยากได้เด็ก เลยคิดจะขายลูกกินอย่างนั้นหรือ”

“กานต์ไม่ใช่คนแบบนั้นนะแม่ กานต์เคยบอกว่าไม่อยากให้วินเป็นพ่อของลูก ไม่อยากให้ลูกนิสัยไม่ดีเหมือนวิน ถึงได้หนีไปไง”

“งั้นก็ปล่อยเขาไป ตัวแกเองเดี๋ยวก็เจอคนถูกใจใหม่ ๆ แล้วก็คงลืมไปเอง” หล่อนบอกฉุนเฉียว ไม่นึกยินดีตั้งแต่รู้ว่าญาติทางนั้นเป็นใครแล้ว

“แม่คิดแบบนั้นได้ยังไง แม่พูดเหมือนไม่เชื่อว่าคนอย่างผมจะรักใครเป็นอย่างนั้นแหละ” 

“แกคิดน้อยเกินไปแล้วนะตาวิน ตัวแกไม่ได้มีแค่ตัวแกนะ ชื่อเสียงหน้าตาวงศ์ตระกูลจะได้ป่นปี้ก็คราวนี้” ผดาชไมขึ้นเสียงเสียงเขียวกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวน อย่างไรหล่อนก็ไม่มีทางนับญาติกับทางนั้นเป็นแน่ ดวงตาขุ่นตวัดมองสามีทางนิตินัย

“ก็ในเมื่อเด็กคนนั้นไม่ต้องการความรับผิดชอบจากทางเราก็ปล่อยไปสิคะ ไม่นานตาวินก็คงลืมไปเอง รักฉาบฉวยของวัยรุ่นที่ดันพลาดท่าจนท้อง ในเมื่อเขาไม่อยากเกี่ยวข้องกับเราก็แล้วแต่เขา เดี๋ยวตาวินโตขึ้นกว่านี้ก็รู้จักมองคนเอง แล้วอนาคตก็จะมีเหลนใหม่ให้คุณพ่อ ไม่เห็นจะต้องวุ่นวายตามหานี่คะ เขาอยากไปก็ปล่อยให้เขาไป เราไม่ได้ขับไล่ไสส่งเสียหน่อย” หล่อนสรุปรวดเดียวเด็ดขาด ใบหน้ามีสง่าราศีเชิดขึ้นอย่างนางพญาที่ยังคงความสวยสะพรั่งราวหญิงสาววัยยี่สิบกลาง ๆ

“แม่ ทำไมแม่พูดอย่างนี้ แม่ไม่รู้สึกอะไรกับหลานในท้องบ้างหรือครับ” อัครวินท์เขย่าแขนมารดาด้วยความตกใจระคนร้อนรน

“รู้สึกผิดหวังที่แกทำตัวแบบนี้ไงวิน” หล่อนมองบุตรชายด้วยความผิดหวังจริง ๆ

“แม่...”

“เขาหนีไปอย่างนี้ อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าทางนั้นไม่ได้หวังอะไรจากเราเลย ก็น่าจะดีไม่ใช่หรือ คนที่อยากเกี่ยวข้องกับอิศวัชร์ก็มีแต่พวกหวังผลประโยชน์ทั้งนั้นแหละ” อินทัชเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ หากแต่กระตุกใจหลายคนนัก

“ที่เข้าข้างเพราะอยากจะเกี่ยวดองกับทางนั้นมากหรือคะ” หล่อนเหน็บด้วยความพาล ทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าอินทัชเป็นเกย์ ก็ในเมื่อหล่อนต้องตกนรกทั้งเป็น หล่อนก็จะไม่ยอมทนทรมานคนเดียวหรอก ดีหน่อยที่สมบัติมหาศาลของอิศวัชร์นั้น ทำให้หล่อนเชิดหน้าชูตาในวงสังคมได้อย่างนางพญา ผดาชไมถือว่านั่นคือสิ่งที่อินทัชสมควรชดเชยให้แก่หล่อน

“คุณลืมไปแล้วหรือว่าตัวเองก็มีลูกสาวน่ะหือ ถ้ายัยรินเจอแม่ผัวมหาประลัยหวงลูกชายเหมือนจงอางหวงไข่ เจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตคู่ของลูกไปเสียทุกเรื่อง ชีวิตจะมีความสุขได้ยังไง เราเลี้ยงลูกได้แต่ตัวนะคุณ แล้วเรื่องนี้ตาวินก็เป็นคนผิดเต็มประตู ทางนั้นจะระแวงก็ไม่แปลก หยุดให้ท้ายลูกเสียที ให้เจ้าตัวรู้จักผิดชอบเสียบ้าง ไม่งั้นอนาคตไม่รู้จะไปก่อเรื่องเดือดร้อนให้ใครอีก ยิ่งนามสกุลใหญ่ยิ่งดี เขาด่าทีด่ายันโคตร สะดุ้งไปถึงที่เก็บอัฐ” ผดาชไมคอแข็งเมื่อเจอคนไม่ค่อยพูดบริภาษได้อย่างเจ็บแสบ อินทัชไม่อยากต่อปากต่อคำกับภรรยาเท่าไร แต่งานนี้ต้องพูดเสียบ้าง

“แล้วตกลงคุณพ่อจะทำยังไงต่อไปหรือครับ” อินทัชหันมาปรึกษาอินทร์ฉายเป็นงานเป็นการ หลังไล่เบี้ยเจ้าตัวดีเสร็จ

“ทำยังไงล่ะ ตามกลับมาแต่คนของเราเป็นเสียอย่างนี้ ฉันเองก็ละอายใจไม่กล้าสู้หน้าเด็กคนนั้น ไม่รู้เหลนฉันจะไปตกระกำลำบากอยู่ที่ไหน ไม่เจ็บช้ำน้ำใจจริง ๆ เขาจะหนีหรือ ยอมทิ้งอนาคตตัวเองกันเลยทีเดียว” อินทร์ฉายส่ายหน้าด้วยความอิดหนาระอาใจกับเจ้าหลานตัวดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยอมรับอยู่ในใจว่า อัครวินท์คือผลพวงของการเลี้ยงดูแบบผิด ๆ ปู่แม่รังแกฉันโดยแท้

“เห็นที เราเองคงต้องดัดนิสัยคนของเราลงโทษกันบ้าง เรื่องตามหาผมจะลองหาทางอีกที” อินทัชเสนอ ซึ่งอินทร์ฉายก็พยักหน้าเออออเห็นด้วย เวลานี้ลมหายใจเข้าออกของอินทร์ฉายมีแต่ความห่วงใยและคิดถึงสามแฝด

“พ่อจะลงโทษวินยังไง”

“อายัดบัตรเครดิต ใช้แค่เอทีเอ็มพอ จากนี้ฉันจะจ่ายแกเป็นรายเดือน เดือนละหมื่นห้าเท่าสตาร์ตของป.ตรี จบใหม่ เอ๊ะ หรือจะจ่ายวันละสามร้อยเท่าค่าแรงขั้นต่ำดี แกเองไม่ต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำค่าไฟอยู่แล้ว นอนที่บ้านหรือคอนโดก็แล้วแต่ใจ ถ้าประหยัดหน่อยกินข้าวที่บ้านก็เซฟเงินได้อีก” อัครวินท์อ้าปากเหวอเมื่อเจอรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมของบิดา คราวนี้อินทัชลงโทษบุตรชายได้เต็มที่โดยไม่มีใครขัดลำให้ท้ายเจ้าตัวดี

“แล้วค่าน้ำมันรถล่ะพ่อ เดือนนึงหมื่นห้ามันจะพอได้ยังไง” อัครวินท์ถึงกับเต้นผาง

“พอสิ ฉันจะยึดกุญแจรถแกด้วย นั่งรถเมล์ หรือใช้บริการรถไฟฟ้าแบบคนอื่นเขาบ้าง เผื่อจะเข้าใจความยากลำบาก จะได้รู้จักให้เกียรติคนอื่นขึ้น ต่อไปแกจะมารับช่วงต่อจากฉัน เรียนรู้เสียตั้งแต่ตอนนี้ก็ดี คนอื่นยังอยู่กันได้ อยากได้เพิ่มก็หางานพิเศษทำเอา”

“พ่อ”

“อ้อ อีกอย่าง อย่าคิดให้แม่แกช่วยเชียว ไม่งั้นผมจะจัดการคุณเหมือนที่จัดการมัน รักลูกให้ถูกทาง ดัดกันตอนนี้เพื่ออีกหลายสิบปีข้างหน้า เจ้าวินจะได้โตเป็นผู้ใหญ่ที่มีหัวคิดกว่านี้” เขาบอกลูกชายพลางหันไปทางภรรยาอย่างรู้ทัน

“ฉันวางตัวแกให้ขึ้นมารับช่วงต่อจากทัชได้ ฉันก็ปลดแกลงได้เหมือนกัน ลองทำงานเป็นลูกน้องของเจ้าสามแฝดดูหน่อยไหมตาวิน” อินทร์ฉายทิ้งท้ายเสียงเฉียบหากสะท้านไปถึงทรวงในคนเป็นหลาน ปู่กับพ่อผนึกกำลังกันเฉ่งแบบไม่เหลือพื้นที่ให้อุทรณ์ ฤทธิ์ของสามแฝด ขนาดยังอยู่ในท้องแถมแม่พาหนียังทำเอาเสือผยองกลายเป็นแมว

“ฉันหาเมียกับลูกของแกเจอเมื่อไร การลงโทษก็สิ้นสุดเมื่อนั้น"

"แต่ถ้าไม่ดีขึ้น แม่เขาหอบลูกหนีอีก แกเองก็เตรียมเนรเทศตัวเองออกไปจากบ้านได้เลย บ้านนี่ฉันจะให้ทัชทำพินัยกรรมยกให้เหลนฉัน”

!!!

 :katai5:

คราวซวยมาเยือน อัครวินท์รึจะยิ่งใหญ่ไปกว่าคนจ่ายตังค์ ไม่มีคนถือหางแกแล้วนะวิน หัวเรือใหญ่กลับลำไปหาเหลนแล้ว สมบัติเขาก็จะยกให้เหลนแล้วเนี่ย เหอ ๆ
 :sad4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 29-03-2017 11:07:53
5555555 สมน้ำหน้าวิน สมควรแล้ว ทำกับเขาไว้ซะมากมาย
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ตัวไหมอ้วนกลม ที่ 29-03-2017 11:52:04
สามแสบนอนยิ้มในท้องแม่ละนั่น   สมบัติจะเป็นของสามแสบ  :hao3:  :hao3:  :hao3:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 29-03-2017 12:08:57
 ลูกหลานจะเป็นยังไงก็อยู่ที่การเลี้ยงดูสั่งสอนจริงๆ
  รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: cass-meyz ที่ 29-03-2017 12:33:17
นี่เหลนแค่อยู่ในท้องนะเนี่ย ถ้าคลอดเมื่อไหร่วินตายแน่ๆๆ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-03-2017 13:40:37
แผลงฤทธิ์ตั้งแต่อยู่ในท้อง
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 29-03-2017 15:05:16
นังแม่ของวินก็น่าเกลียด
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 29-03-2017 15:14:04
รีบๆเปลี่ยนตัวเองนะวิน
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 29-03-2017 15:30:47
หึ ๆ หงอยเป็นแมวเลย แต่หวังว่าคงจะคิดอะไรได้สักทีนะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 29-03-2017 16:10:06
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 29-03-2017 16:25:29
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 29-03-2017 16:54:14
ก็สมควรดัดนิสัยนะ เพราะวินก็ดูเหมือนเห่อลูกมากกว่าที่จะมีความรับผิดชอบจริงๆ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Pittabird ที่ 29-03-2017 18:40:48
อ่านจากบทนำ เหมือนแยกกับวินแล้วเจอคนใหม่  ชื่ออัษ แล้วก็มีแววจะผิดหวังอีก  เดาไม่ถูก รอตอนต่อไป :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Kkookai ที่ 29-03-2017 20:13:58
ดีต่อใจจริงๆ..น้องกานต์ทำถูกแล้วลูกอยู่บนความหวาดระแวงมันไม่มีความสุขหรอก..ให้กำลังใจคนเขียนนะเขียนดีมากภาษาสวยอ่านไหลลื่น...มาต่อไวๆนะ...✌✌✌
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ujen ที่ 29-03-2017 20:16:33
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 30-03-2017 00:08:13
สมน้ำหน้า เอ๊ย เป็นการลงโทษที่สมน้ำสมเนื้อกับสิ่งที่ทำมาก หึหึหึ
ดีแล้วๆ เหลนจะได้ไม่โตมาเหมือนพ่อ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 31-03-2017 06:01:38
สมควรโดนซะบ้างจะได้ดัดนิสัย สะใจ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 01-04-2017 20:15:54
โอ๊ยยยยย ซะใจฝุดๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: i_Tipz ที่ 02-04-2017 08:42:09
สม !!!
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 02-04-2017 13:04:04
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 02-04-2017 17:26:42
บอกเลยปู่อยู่ฝั่งหลาน
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 02-04-2017 23:14:13
มันต้องแบบนี้!!! o13
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 06-04-2017 22:24:06
มันต้องอย่างงี้ดัดนิสัยสะเลย
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 06-04-2017 23:14:53
สะใจดีจัง  โดนซะมั่ง
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: cinpetals ที่ 09-04-2017 00:56:57
ติดตามๆ :กอด1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๔)(P.๑๐)(๒๓/๐๔/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 23-04-2017 08:32:47
เสน่หา...รักเอย ๒๔
“ตัดบัวอย่าเหลือใย ตัดใจอย่าเหลือรัก”

 
“จะหักอื่นหมื่นแสนแม้นหักได้    หากหักใจไร้สวาทยากหนักหนา
มิเคยลืมเลือนรักสลักอุรา    ยากเพี้ยงว่าถ้าหักได้ใจขาดรอน”
-มญชุ์สิตางศุ์-

ทางแยกย่อยจากถนนสายหลักโรยด้วยหินคลุกทอดตัวไปสู่ท้ายไร่เขียวขจี รพีกานต์เหลือบสายตาแลอาณาเขตที่ดินที่บิดาซื้อเก็บไว้ปล่อยเช่าด้วยความนิยมชมชอบ พ่อรพินทร์เป็นนักเลงที่ดิน ชอบหาซื้อที่สวย ๆ เก็บไว้ปล่อยเช่า ด้วยคุณปู่กับคุณย่าเป็นผู้ดีเก่าที่มีฐานะร่ำรวยมั่งคั่งเป็นทุกเดิมอยู่แล้ว มรดกที่ตกทอดมาให้พ่อรพินทร์จึงมีไม่น้อย แถมบิดาของรพีกานต์ยังรู้จักต่อยอดจากของเดิมที่มีอยู่ให้เฟื่องฟูกว่าเก่า ครอบครัวจึงมีกินมีใช้ไม่ได้อนาทรร้อนใจอันใด และถึงจะมีกิน รพีกานต์ก็ถูกเลี้ยงมาแบบไม่ให้เป็นคนสุรุ่ยสุร่าย เด็กชายจึงรู้จักหาและเก็บออมมาตั้งแต่เด็ก และคาดว่าในอนาคตนิสัยมัธยัสถ์นี้จะถูกถ่ายทอดไปยังเจ้าสามแฝดเข้าด้วย

รถตู้หยุดกึกจอดลงหน้าบ้านไม้สไตล์ล้านนาซึ่งซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติแมกไม้เขียวขจี รพีกานต์เปิดประตูรถออกมายลบ้านหลังไม่เล็กไม่ใหญ่เต็มตาก็ตกหลุมรักในมนตร์เสน่ห์ที่รังสรรค์ออกมาได้กลมกลืนกับธรรมชาติอย่างเข้ากัน โดยเฉพาะรั้วบ้านที่มีต้นดาวนายร้อยกำลังเลื้อยเตาะแตะไต่ขึ้นบนรั้ว ดอกเล็กสีแดงสดน่ารักน่าชัง คนท้องสูดอากาศบริสุทธิ์สดชื่นเข้าเต็ม ๆ ปอดขณะกวาดสายตามองภูเขา ต้นไม้โดยรอบ ที่นี่เหมาะนักสำหรับการพักฟื้นรักษาอาการป่วยของพ่อรพินทร์ และซ่อนเร้นอำพรางสามแฝดจากความวุ่นวายภายนอก ด้วยพื้นที่รอบตัวบ้านกั้นรั้วสูงแยกส่วนจากพื้นที่ให้เช่า จึงหายห่วงเรื่องจะมีใครมายุ่มย่ามรบกวน

“พี่ไทน์เป็นคนออกแบบให้เชียวนะ กานต์ชอบไหมลูก พอพ่อรู้ว่ากานต์จะมีน้อง คิด ๆ ดูแล้ว พากานต์มาหลบอยู่กับธรรมชาติคงดีกว่า จะได้ปลอดโปร่งทั้งกายทั้งใจ หลานพ่อคลอดมาแกจะได้เป็นเด็กอารมณ์ดี” รพินทร์ลูบศีรษะทุยแผ่วเบาขณะเงยหน้ามองบ้านหลังงามฝีมือออกแบบของสถาปนิกวาเลนไทน์ที่รู้จักมักจี่กันมาแต่นานนม รพินทร์คิดทุกอย่างฉับไวนับแต่รู้เรื่อง ต่อให้ป่วยอยู่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับการเตรียมสิ่งดี ๆ ไว้ให้ลูกและหลานในอนาคต

“ชอบครับพ่อ กานต์ชอบมากเลย พี่ไทน์ออกแบบสวยมาก เสียดายไม่ได้เจอกันที่มหา’ลัย พี่ไทน์เรียนจบออกไปเสียก่อน” รพีกานต์ยิ้มสดชื่นเมื่อเห็นที่พำนักใหม่ นึกถึงเพื่อนรุ่นพี่วัยเด็กที่เคยเล่นซนด้วยกัน พี่ไทน์ใจดียอมให้น้องกานต์ขี่หลัง ส่วนพี่ริสาแก่นเซี้ยวชอบพาน้องเข้าป่าเข้าดงลุยพงหญ้าหาจับด้วงกว่างมาเล่น สุดท้ายโดนฤทธิ์ตำแยคันคะเยอทั้งตัว เกาจนหนังแทบถลอก น้ำหูน้ำตาไหลเป็นเผาเต่า นึกแล้วก็ให้ยิ้มขำ เห็นกันผ่าน ๆ ทางเฟซบุ๊ก หลายปีแล้วที่ไม่ได้เจอตัวเป็น ๆ ไม่รู้พวกพี่ ๆ จะเป็นยังไงกันบ้าง

“เข้าไปดูข้างในบ้านกันก่อนนะ พรุ่งนี้ค่อยแวะไปเยี่ยม ถ้าโชคดีพี่ไทน์กับแฟนยังไม่กลับกรุงเทพฯ ก็คงได้คุยกัน” รพินทร์รุนหลังลูกเข้าบ้าน นั่งรถมานาน ๆ เพลียอยู่เหมือนกัน แต่พอเห็นบ้านน้อยแล้วก็กระชุ่มกระชวยขึ้นมาบ้าง

“เอ๋ พ่อเคยเจอแฟนพี่ไทน์แล้วหรือครับ สวยไหมครับพ่อ” รพีกานต์ตาวาวหูผึ่ง นึกอยากเห็นหน้าคนรักของพี่ชายคนรู้จักขึ้นมาครามครัน

“สวยน่ะไม่สวยหรอก แต่หล่อมาก ๆ หล่อแบบเห็นแล้วตะลึงใจเต้นโครมครามเชียวละ ไม่รู้จะบรรยายยังไงถูก รู้แต่ว่าตั้งแต่เห็นคนหล่อมา คนนี้หล่อสุดแล้ว กานต์ต้องเห็นเองน่ะลูก เดือนบริหารฯ ของกานต์เทียบไม่ติดฝุ่น” รพินทร์พาดพิงถึงอัครวินท์แบบไม่เอ่ยชื่อให้ลูกแสลงใจ แต่ยอมรับว่าความหล่อของคุณภีมพริษฐ์นั้นติดตาจนเขาเองแอบใจสั่นไม่น้อย เอาแล้วไหมละ จะเสียคนตอนแก่

“หล่อ ? แฟนพี่ไทน์เป็นผู้ชายหรือครับ ไม่น่าเชื่อ พี่ไทน์เนี่ยนะเป็นเกย์ ไม่มีวี่แววว่าจะชอบผู้ชายเลยนะครับ” รพีกานต์เอ่ยขึ้นอย่างไม่เชื่อหู ด้วยเจ้าตัวเคยเห็นพี่วาเลนไทน์ถักเดตร็อก นั่งดวดเหล้ากับคนงานในไร่ของบิดาตัวเองเมื่อก่อน แถมยังเป็นขาแว้นขี่มอเตอร์ไซค์หอบดอกไม้จากไร่ไปจีบสาวอีกต่างหาก

“ของแบบนี้ อะไรมันก็ไม่แน่หรอกลูก แฟนพี่ไทน์เขาก็ไม่ได้รักชอบผู้ชายมาก่อนเหมือนกัน ไม่รู้ไปสะดุดตาอะไรกันเข้า พ่อกับแม่พี่ไทน์เลยได้ลูกเขยเป็นเจ้าของบริษัทน้ำมันกับเหมืองเพชรไป ไม่นับบริษัทในเครืออื่น ๆ อีก”

“โห ขนาดนั้นเลยหรือครับ งั้นก็รวยมาก ๆ เลยสิอย่างนี้”

“ก็รวยกว่าพ่อของสามแฝดน่ะลูก รวยด้วยฝีมือตัวเองด้วย แถมหล่อกว่า แต่ดูเป็นคนติดดินนะ ชอบอาหารกับวัฒนธรรมท้องถิ่น พี่ไทน์พากินอยู่แบบไหนก็ตามนั้น ไม่เรื่องมาก คุณพ่อกับคุณแม่พี่ไทน์เลยยิ่งชอบใจ”

“พ่อพูดเสียกานต์อยากเจอเลย แล้วพี่ริสาล่ะครับ”

“พี่ริสายังไร้วี่แววอยู่เลย คุณโสมเตียรถ์ก็เปรยขำ ๆ อยู่ว่า ลูกชายพาลูกเขยเข้าบ้าน แต่ลูกสาวเนื้อคู่ยังเงียบฉี่ ว่าแล้วก็ฮาครืนกันไป รายนั้นสายตลกกันทั้งครอบครัว แถมพ่อแม่หัวสมัยใหม่ ลูกชายรักชอบพอกับผู้ชายด้วยกันก็ยังไม่มีใครว่า”

“ไม่มีก็ยังดีกว่ามีแล้วเจอคนไม่ดีนะครับพ่อ อยู่คนเดียวสบายกว่าเป็นไหน ๆ” รพีกานต์เอ่ยพลางลูบท้องนูนน้อย ๆ แผ่วเบาสะท้อนในอก ชีวิตวัยสิบแปดปีที่ควรจะเริ่มต้นด้วยความสดใสในรั้วมหาวิทยาลัย กลับกลายเป็นต้องบากหน้าอุ้มท้องเริ่มต้นเป็นคุณแม่มือใหม่ จะโทษใครได้นอกจากตัวเอง

“กานต์ พ่อจะบอกให้ฟังไว้นะลูก อะไรก็แล้วแต่ที่เข้ามาในชีวิตเรา ไม่ว่าจะดีหรือร้าย มันคือบทเรียนให้เราเรียนรู้ คือบททดสอบ เป็นข้อสอบปลายเปิดที่กานต์จะได้รับผลตามที่กานต์เลือก คนเราต้องเรียนรู้ไปทั้งชีวิตจนกว่าจะตายนั่นแหละ”

“ครับพ่อ ตอนนี้กานต์ทำใจกับพี่วินในระดับหนึ่งแล้ว ตั้งแต่มีลูก กานต์คิดอะไรได้เยอะ ความรักถ่ายทอดไปให้ลูก กานต์เลยไม่ฟุ้งซ่านกับพี่วินเท่าเมื่อก่อน ที่ตัดใจมาก็ไม่คิดว่าจะได้เจอกันเร็ววันหรอกครับ เดี๋ยวพี่วินก็หมดความอดทนกับกานต์ไปเอง คนอย่างพี่วินเบื่อง่าย ไม่มีความอดทนอะไรได้นานหรอกครับ” รพีกานต์เอ่ยแบบปลงตกแม้ภายในจะยอกแปลบ รสรักหวามเมื่อคืนยังอุ่นติดผิวเนื้อแทรกซึมเข้ามาในความรู้สึก แม้จะกลั้นใจสะบั้นรักจากมาก็ใช่ว่าจะหักอกหักใจได้โดยง่าย เพราะรักแรกมันซึมลึกยึดพื้นที่ในใจมากมายเหลือเกิน

“กานต์...” รอยกังวลปรากฏบนใบหน้าผู้เป็นบิดาเมื่อเห็นบุตรชายเซื่องซึมลงทันตา รพีกานต์ยังรักอัครวินท์อยู่มากและยังปวดร้าวอยู่ลึก ๆ แม้จะเป็นฝ่ายหันหลังจากมาเอง

“กานต์ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาเยียวยานานแค่ไหน กานต์ถึงจะไม่ทุรนทุรายคิดถึง แล้วก็ทำใจยอมรับเรื่องไม่มีพี่วินอีกแล้วครับพ่อ กานต์ยังรักพี่วินอยู่มากเหลือเกิน ถ้าไม่มีลูก กานต์คงใจอ่อนยอมให้พี่วินอีก” รพีกานต์สารภาพตามตรงน้ำเสียงสั่นเครือ กระบอกตาร้อนผ่าว หยดน้ำใสกลิ้งลงผิวแก้มร่วงผล็อย รพินทร์รั้งลูกเข้ามากอดแนบกายพลางลูบแผ่นหลังสั่นระริกปลอบแผ่วเบา ใช้ไออุ่นความรักที่มีทั้งหมดกางปกป้องหัวใจของลูก เขารู้ดี ความรักใช่ว่าจะตัดใจกันได้ง่าย ๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ฟูมฟายเสียมากมายในวันที่สูญเสียอินทัชไป

“คิดถึงลูกเข้าไว้นะกานต์นะ เลี้ยงพวกแกให้ดี ๆ โตขึ้นจะได้ไม่ทำนิสัยเกเรกับใคร หรือถ้ากานต์อยากเรียนต่อ พ่อจะดูแลลูกให้เอง กานต์อยากเรียนในไทย หรือไปเรียนเมืองนอกก็ได้ เรียนช้ากว่าเพื่อนปีสองปีก็ลองคิดถึงคนที่ซิ่ว กว่าจะได้ที่เรียนถูกใจ บางคนตั้งหลายปี ไม่เป็นไรนะลูกนะ คนเรามีพลาดกันได้”

“พี่วินจะรู้บ้างไหม ว่าการกระทำของตัวเอง มันทำร้ายใครบ้าง”
รพินทร์กระชับอ้อมกอดรับแรงไหวสะอื้นน้อย ๆ ที่ซุกลงบนบ่า รองรับหยาดน้ำเปียกชุ่มเสื้อที่กลั่นออกมาจากหัวใจที่แสนร้าวรานของลูก สายลมระเรื่อยแตะผ่านผิวกายแผ่วเบา รพินทร์กระซิบบอกลูกอ่อนโยน

“ร้องไห้ให้เท่ากับที่กานต์เสียใจ พรุ่งนี้ วันต่อ ๆ ไป มันจะต้องดีขึ้น พ่ออยากให้กานต์คิดถึงแต่สิ่งดี ๆ นะ กานต์คิดอะไร ลูกในท้องเขารับรู้ได้หมด ชีวิตเราต้องก้าวไปข้างหน้า ถ้ากานต์จะมองย้อนกลับไปข้างหลัง ก็ให้มองว่ามันคือบทเรียนที่ผ่านมาแล้ว อย่าผิดซ้ำ”

“ครับพ่อ กานต์สัญญา พรุ่งนี้จะต้องเข็มแข็งกว่าวันนี้” รพีกานต์กระชับกอดอุ่น รักแท้ยืนอยู่ตรงหน้านี้ รพีกานต์สัมผัสและเป็นเจ้าของได้โดยไม่ต้องไขว่คว้า ร่างสั่นสะอื้นทำใจอยู่ครู่จึงคลายวงแขนออกจากบิดา มือเรียวกรีดเช็ดน้ำตาตัวเอง สูดหายใจลึกเข้าปอด ทิ้งรักลวงไว้ข้างหลัง

“ดีมาก งั้นเราขึ้นไปดูห้องข้างบนกัน นี่พ่อไปเดินดูของตกแต่งมาจากถนนนิมมานกับพี่ไทน์ คิดว่ากานต์น่าจะชอบ แต่ละชิ้นพ่อเลือกเป็นของแฮนด์เมดสวย ๆ ทั้งนั้นเลย” รพินทร์กุลีกุจอเบี่ยงประเด็นให้ลูกหายเศร้า

“โธ่ พ่อป่วยอยู่แท้ ๆ ยังประคองตัวเองทำนั่นทำนี่ให้กานต์ไม่หยุด”

“เอาน่า แค่พ่อนึกภาพว่ากานต์ของพ่อจะดีใจ แล้วถ้ากานต์ดีใจ สามแฝดก็จะพลอยมีความสุขไปด้วย เท่านี้พ่อก็มีความสุข ไม่คิดถึงเรื่องป่วยแล้วลูก” รพีกานต์ฉีกยิ้มได้อีกครั้งจากคำพูดของบุพการี สองคนยิ้มให้กันพลางเดินขึ้นไปชมห้องข้างบน

“ด้านหลังมีลำธารน้ำใสน่าลงเล่นจังครับ” รพีกานต์เอ่ยขึ้นขณะยืนรับลมอยู่ระเบียงหลังบ้าน สายตามองไปยังลำธารที่มีน้ำไหลมาจากภูเขา

“ถ้ากานต์จะไปเล่นก็เดินระวัง ๆ นะลูก เผื่อสะดุดหิน จะลื่นล้มเอาได้” รพินทร์เอ่ยสำทับ รู้ว่าบุตรชายชอบน้ำ สมัยเด็กก็โดดน้ำคลองตูม ๆ ทุกวัน ทุกทีมีพี่ณัฐคอยดูแลไม่ห่าง เที่ยวนี้พี่ณัฐติดธุระจะตามมาทีหลัง รพินทร์จึงนึกห่วงลูกขึ้นมา

“กานต์จะระวังครับ” เจ้าตัวบอกพลางเดินลงจากบ้านตรงไปลำธารอย่างสนใจ รพีกานต์เดินด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ  ค่อย ๆ หย่อนปลายเท้าลงแช่ความเย็นฉ่ำของสายน้ำธรรมชาติที่ไหลมาจากป่าต้นน้ำบนภูเขา เสียงกอไผ่สีสุกริมตลิ่งเสียดสีดังเอียดอาด  แมลงไพรกรีดเสียงลั่นประชันกันก้องป่า ลมเย็น ๆ พัดมาไม่ขาดระยะ รพีกานต์แหงนหน้าแกว่งเท้าเล่นสบายอุราดื่มด่ำกับธรรมชาตินฤมิต

ปลายเท้าเรียวสะดุดกึกกับดอกไม้ที่ลอยมาตามน้ำ รพีกานต์เข้าใจว่าคงเป็นดอกไม้ที่ต้นขึ้นอยู่ริมน้ำ ดอกจึงได้ร่วงโปรยลงน้ำลอยมา แต่เมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง กลีบดอกไม้ลอยน้ำเริ่มเปลี่ยนเป็นกลีบกุหลาบราวกับมีใครเด็ดกลีบโปรยลงสายน้ำมา คิ้วเรียวขมวดด้วยความสงสัย แล้วความซุกซนเล็ก ๆ ก็ผุดขึ้นในหัว รพีกานต์ผุดยิ้มค่อย ๆ พยุงกายลุกขึ้นเดินทวนน้ำตามกลีบกุหลาบนั้นไป

สายตาใคร่รู้ชะเง้อเหลียวหาต้นตอที่มาของกลีบดอกไม้ลอยน้ำ ตอนเด็กเคยทำกระทงกลัดใบตองใส่ดอกไม้ลอยน้ำเล่นกับพี่ณัฐ บ้างนั่งหย่อนเท้าแกว่งเล่นบนสะพานลิดกลีบดอกไม้ทีละกลีบโปรยลงน้ำทำนายทายเรื่องที่อยากรู้ บางทีก็เอามายีทาหน้าพี่ณัฐเล่น หรือที่ครีเอตกว่านั้นก็จับพี่ณัฐโปะแป้งขาววอก ยีดอกคุณนายตื่นสายทาสองแก้มแดงแจ๋ เอากระดาษแผ่นยาวแตะน้ำลายแปะหน้าผากติ๊ต่างว่าเป็นยันต์ สุดท้ายพี่ณัฐกลายเป็นผีดิบจีนกระโดดหย็องแหย็งไล่กวดน้องกานต์ หัวเราะกันไปสนุกสนาน

“เห็นลำธารแล้วคิดถึงพี่ณัฐแฮะ น่าชวนมานั่งบนโขดหิน แช่เท้าในน้ำอ่านหนังสือไปด้วย พี่ณัฐต้องชอบมากแน่ ๆ” รอยยิ้มแย้มพรายนึกถึงพี่ชายคนดี เพราะผูกพันกันมายาวนานเกินกว่าจะตัดขาด ท้ายที่สุดพี่ณัฐก็ยังคงยินดีดูแลเคียงข้างไม่หายไปไหน เราร้องหาคนรักดี ๆ แต่พอคนดีที่ว่าเข้ามาให้รัก หัวใจก็ดันเกเรไปรักคนที่ไม่ควร ความรักช่างเป็นสิ่งละเอียดอ่อนและซับซ้อนอย่างที่รพีกานต์ไม่ค่อยเข้าใจนัก
เสียงน้ำไหลคละเคล้ากับเสียงนกร้องช่วยกล่อมเกลาจิตใจไม่น้อย กลีบดอกไม้ยังลอยละล่องมาตามสายน้ำ ยิ่งเดินตามขึ้นไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งใกล้จะสุดเขตที่ดินของพ่อ กระนั้นรพีกานต์ก็ยังได้ยินเสียงแปลก ๆ เมื่อเงี่ยหูฟังจับน้ำเสียงนั้นดี ๆ ก็เดาว่าน่าจะเป็นเสียงของม้า

“ม้า ? แถวนี้มีม้าด้วยหรือ” รพีกานต์พึมพำชะเง้อมอง ตอนนี้เดินมาสุดเขตไร่ของพ่อแล้ว อาชาไนยสีเทากำลังกวัดแกว่งหางอยู่ไม่ไกลจากริมลำธาร ดวงตากลมโตจ้องมองอย่างสนอกสนใจก่อนตวัดสายตาเหลือบไปประสานกับใครคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งอยู่บนโขดหินเหนือขึ้นไป ในมือคนผู้นั้นมีดอกหญ้าเล็ก ๆ กำหนึ่ง

“เอ่อ...” ดวงตากระพริบปริบ ๆ ต่างฝ่ายต่างมองกันแต่ไม่มีใครเริ่มปริปาก เด็กหนุ่มหน้าตาดีมาก ตาคมคิ้วเข้มมองคนตัวเล็กหน้าใส ภายในใจนึกตรองว่าผู้ชายหรือทอม ที่แปลกใจคงเป็นในมือขาวมีดอกไม้ที่เขาลอยมันลงน้ำไปนั่นแหละ กุหลาบบานหนึ่งดอก ดอกตูมสองดอกมัดรวมเป็นช่อเล็ก ความหมายของรักที่แอบซ่อนเอาไว้ บัดนี้มันตกไปอยู่ในมือคนแปลกหน้าที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

“คุณกานต์ คุณกานต์อยู่ไหนครับ คุณท่านเรียกหา” เสียงลุงคนดูแลบ้านร้องเรียก รพีกานต์ชะงักหันรีหันขวาง ดวงตากลมโตประสานสายตากับใครอีกคนแวบหนึ่งก่อนตัดสินใจหันกลับ ไม่วายละล้าละลังเหลือบกลับมามองอีกหน เสียงม้าร้องฮี่ ๆ ร่างสูงของใครคนนั้นนั่งอยู่บนหลังม้าสีเทาแล้ว สายตาที่มองมาเฉยเมยเหมือนไม่ยินยลต่อโลก ก่อนกระตุกเชือกควบม้าจากไป รพีกานต์มองแผ่นหลังตรงแน่วก่อนผินกลับมา พลางออกตัวเดินกลับที่พักของตัวเองบ้าง

เมนูแรกในบ้านหลังน้อยคือข้าวห่อใบบัว รพีกานต์อมยิ้ม เมื่อตอนขึ้นจากลำธารเห็นกอบัวขึ้นอยู่ริมลำธารกอหนึ่ง เมนูตรงหน้าคงมาจากบัวกอนั้น เห็นพ่อเตรียมของแห้ง พวกกะปิเอย พริกแห้งเอย กระเทียม กุ้งแห้งใส่โหลเรียงใส่ลังมาด้วยประสาคนชอบทำอาหารก็อดอมยิ้มไม่ได้ รพีกานต์กวาดมองบรรยากาศโดยรอบด้วยความชอบใจ ตะเกียงแก้วเจียระไนจากฝรั่งเศสส่งแสงสว่างนวลอยู่กลางโต๊ะ ระเบียงนอกตัวบ้านพ่อรพินทร์ติดไฟหิ่งห้อยแถวราวระเบียงดูสวยระยิบระยับ โรแมนติกอย่างกับมาพักรีสอร์ต บรรยากาศสุดอิ่มเอม ดินเนอร์ท่ามกลางแสงเทียนเคล้าเสียงน้ำไหลจากลำธารใต้หมู่ดาวพร่างพราวเต็มท้องฟ้าปลอดโปร่ง เสียงจักจั่นแมลงกลางคืนกรีดเสียงเซ็งแซ่บรรเลงบทเพลงแห่งพงไพร พาใจสงบจากความวุ่นวายที่ปลีกตัวออกมา

“โรแมนติกจังครับ กานต์ชอบที่นี่จัง” ร่างเล็กทิ้งร่างลงนั่งพลางวางศีรษะซบไหล่บิดา มือขาวกอดเอวออดอ้อนเฉกเช่นวัยเยาว์ในวันวาน

“ถ้ากานต์ชอบ เราอยู่เลี้ยงสามแฝดที่นี่ก็ไม่เลวนะ พ่อชอบอากาศที่นี่เหมือนกัน เดี๋ยวเราเริ่มปลูกผักสวนครัวเล็ก ๆ ไว้กินเอง ส่วนโรงงานที่บ้านพ่อคุยกับอาเล็กแล้ว พ่อค่อยบินไปดูเดือนละครั้ง สองเดือนครั้งก็ไม่มีปัญหาหรอก”

“อ้ออีกอย่าง บ้านนั้นเขาออกตามหากานต์กันจ้าละหวั่นเลยละ” รพินทร์บอกลูกตามที่ได้รับข่าวมาจากน้องชาย

“ช่างเขาเถอะครับพ่อ ยังไงกานต์ก็ไม่ยกลูกให้พี่วินหรอก ทางนั้นเขาอยากได้หลาน แต่ไม่ได้อยากได้ตัวกานต์เสียหน่อย” ใบหน้าใสสลดวูบ

“ใครไม่อยากได้ก็ช่างเขาซี ก็แค่คนอื่น กานต์ของพ่อ พ่อรักออกปานนี้ คนอื่นช่างปะไร”

“ขอบคุณครับพ่อ” รพีกานต์ค่อยยิ้มออก ที่ระหกระเหินกันมาถึงนี่ก็เพราะบิดาอยากปกป้องเขาไม่ใช่หรือ แล้วทำไมจะต้องนึกถึงคนอื่น

“ดีแล้ว เฮ่อ จะว่าไป มีอย่างนึงที่พ่อเสียดาย” รพินทร์ทำหน้าเสียดายจริง ๆ อย่างปากว่า

“อะไรหรือครับ”

“พ่อเสียดายพี่ณัฐ ตอนแรกกะว่าถ้าคบกันยืด สินสอดไม่ต้อง พ่อยกน้องกานต์กับกิจการโรงงานของเราให้ดูแลต่อเลย กิจการของเราขยายตัวต่อไปได้เรื่อย ๆ ถ้าได้พี่ณัฐมาช่วยคงจะดีไม่น้อย”

“กานต์ขอโทษครับ ที่ทำให้พ่อผิดหวัง”

“พ่อไม่ได้ผิดหวัง พ่อแค่เสียดายคนดี ๆ น่ะ แต่ไม่เป็นไรหรอก คนเรามันต้องมีสมใจ ต้องมีเสียดายกันบ้างเป็นธรรมดา มา ๆ กินข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวเย็นชืดแล้วจะไม่อร่อย” รพินทร์ดึงความสนใจลูกมาที่อาหาร ถึงเสียดายก็ได้แต่ทำใจ ตัวเขาเองก็เคยเจอเหตุการณ์ข่มเขาโคขืนให้กลืนหญ้ามาแล้ว ถึงรพีกานต์จะต้องพบเจอความเสียใจ เขาก็จะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งบังคับให้ลูกต้องรักใคร

“แต่ถ้าวันนึงกานต์ได้เจอใครสักคนที่รักโดยยอมรับข้อผิดพลาดของเราได้ละก็ อย่าปล่อยให้หลุดมือไปนะลูกนะ”



ตีนฟ้ายกอรุณรุ่งย่ำเข้าสู่วันใหม่ ชีวิตในเมืองกรุงยังดำเนินไปด้วยความวุ่นวาย ใครคนหนึ่งกระวนกระวายด้วยปฏิบัติการณ์ดัดนิสัยสายฟ้าแลบ

“สองร้อยครับ” อัครวินท์ยื่นธนบัตรฉบับสีม่วงให้โชเฟอร์แท็กซี่ กำลังจะบอกว่าไม่ต้องทอนก็พลันต้องยั้งปากตัวเองไว้ ชีวิตที่จำกัดจำเขี่ยช่วงนี้ ทำให้ต้องกระเบียดกระเสียรจนเขาแทบจะเป็นบ้าตาย นึกเคืองอยู่หน่อย ๆ ว่าบิดาสั่งลงโทษเขาด้วยวิธีอื่นไม่ได้หรือ คนเคยใช้เงินมือเติบ วันหนึ่ง ๆ ใช้เงินไม่คณามือ เจอแบบนี้เข้าไปแทบกระอัก จะอุทรณ์ก็ไม่มีใครเข้าข้าง ร่างสูงรับเงินทอนแล้วเดินไปกดกริ่งหน้าคฤหาสน์ใหญ่ คนสวนของบ้านเลิกคิ้วด้วยความงุนงงเล็กน้อยที่วันนี้เห็นเพื่อนสนิทของลูกชายเจ้าของบ้านนั่งแท็กซี่มาแทนรถหรูหราของเจ้าตัว

“เชี่ยวินมาไงเนี่ย รถมึงไปไหนหมด” ร่างสูงตระหง่านเดินออกมาดูจากข้างในตัวบ้านอย่างไม่เชื่อสายตานักเมื่อเห็นอัครวินท์มาเยี่ยมหาในสภาพต่างจากทุกที

“มึงอย่าเพิ่งถาม ขอกูเข้าไปตากแอร์ข้างในก่อน แม่ง ร้อนฉิบ” อัครวินท์สบถ มือปาดเหงื่อบนหน้าผากด้วยความหงุดหงิด ก่อนจับคอเสื้อเขย่ากระพือลมขณะเดินดุ่ม ๆ แทบจะนำเจ้าของบ้านเข้าไปข้างใน

‘กษิดิศ’ มองเพื่อนสนิทกรอกน้ำเย็นอึก ๆ ลงคอเหมือนเพิ่งหลุดมาจากทะเลทราย เขาไม่เซ้าซี้ถามนอกจากกอดอกนั่งรอเงียบ ๆ ให้เจ้าตัวเป็นฝ่ายเริ่มเปิดปาก สายตาคมกริบมองพิจารณาอัครวินท์ในใจเงียบ ๆ

“แม่ง พ่อดัดนิสัยกู ให้ใช้แค่เดือนละหมื่นห้า แถมยึดกุญแจรถทุกคัน” อัครวินท์เริ่มประเด็นในทันทีหลังหายคอแห้ง

“แล้วมึงไปทำผิดอะไรมา เขาถึงลงโทษ ปู่กับแม่ไม่ช่วยรับหน้าให้อย่างทุกทีหรือมึง” กษิดิศออกแปลกใจไม่น้อยเมื่อฟังที่เกริ่นมา

“ปู่มีแต่จะสนับสนุนพ่อต่างหากละ ส่วนแม่ก็ช่วยไม่ได้ ไม่งั้นพ่อจะเล่นงานแม่ด้วย พ่อกูเวลาเอาจริงขึ้นมาโคตรน่ากลัว”

“แล้วตกลงมึงไปทำอะไรมาวะ”

“มึงยังจำกานต์ได้ไหม กานต์เดือนอักษรฯ ปีหนึ่งที่พวกเราเคยเล่นเกมกันน่ะ”

“จำได้ เด็กคนนั้นรถคว่ำหลังเจอมึงอยู่กับคนอื่นแล้วก็สลัดเขาทิ้งนิ่ม ๆ แล้วยังไงวะ เด็กนั่นมาเกี่ยวอะไรด้วย” กษิดิศยิ่งงุนงงหนักกว่าเก่า เกมในตอนนั้นเขาไม่เห็นด้วยนักและไม่ได้ลงพนันด้วย แต่ก็สังเกตเห็นท่าทีเพื่อนสนิทเปลี่ยนไปเมื่อได้คบกับรพีกานต์

“ก็นั่นแหละ จุดเริ่มต้นมันมาจากเรื่องนั้นน่ะแหละ” แล้วเรื่องราวทุกอย่างก็เริ่มต้นถ่ายทอดผ่านริมฝีปากของเพลย์บอยหนุ่ม กษิดิศนั่งฟังพลางคิ้วขมวดในบางจุด ต่อเมื่ออัครวินท์เปิดคลิปในโทรศัพท์ให้ดูจึงคลายความแปลกใจลง
 
 :katai5:

วินเอ๋ย สำเหนียกตัวไว้เถอะ ตำนานรักเรื่องใหม่ของกานต์กำลังจะเริ่มแล้ว

 ส่วนกวางน้อยวาเลนไทน์เป็นนายเอกเรื่อง อเวจีเสน่หา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=45048.msg2925305#msg2925305) นะคะ อยากรู้เขารักกันยังไง จิ้มชื่อเรื่องโล้ด แต่ภาคสองถูกลบไปแล้วล่ะ เราไม่ได้ลงนาน
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 23-04-2017 09:00:03
โอ๊ะ เป็นเรื่องที่มีจุดเชื่อมกับอเวจีเสน่หาเหรอเนี้ย

คือรู้สึกเนื้อหา การบรรยายต่าง ๆ มันดีขึ้นมากกว่าเรื่องเดิมเยอะเลย
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 23-04-2017 19:55:40
อยากอ่าน เรื่องราวความรักใหม่ของกานต์
ชอบๆ รอตอนต่อไปค่ะะ มาเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: hiwawa ที่ 23-04-2017 22:52:23
สนุกกกกกก  มารออย่างใจจดใจจ่อ


หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๓)(P.๑๐)(๒๙/๐๓/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 24-04-2017 11:28:27
ตัวแปรโผล่มาแล้ว
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๕)(P.๑๑)(๐๑/๐๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 01-05-2017 11:14:47
เสน่หา...รักเอย ๒๕

“สรุปตอนนี้มึงก็ต้องยอมก้มหน้ารับชะตากรรมให้พ่อมึงลงโทษสินะ ว่าที่พ่อลูกอ่อน นี่กูกำลังจะได้เป็นอาคนตั้งแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเลยหรือวะ” กษิดิศเอ่ยขึ้นหลังฟังเรื่องราวจนจบ อดจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ไม่ได้เมื่อเห็นสภาพเสือถูกถอดเขี้ยวเล็บ ผจญความลำบากนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ทำเหมือนจะเป็นจะตาย สำหรับคนอื่นอาจเล็กน้อย แต่สำหรับคุณชายที่มีรถโรลส์-รอยซ์ขับไปส่งโรงเรียนตั้งแต่อนุบาล ดูจะหนักหนาไม่ใช่เล่น

“เชี่ยเกรต มึงไม่ต้องมาเยาะเย้ยกูเลย” อัครวินท์ตาขุ่น อาศัยว่าสนิทกันมาตั้งแต่อนุบาล เวลาเขาออกนอกลู่นอกทางเจ้านี่ก็จะคอยเตือนอยู่ห่าง ๆ มาตลอด ซึ่งอัครวินท์ก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้างไปตามความคึกคะนอง แต่เวลาเกิดปัญหากษิดิศก็ได้ชื่อว่าไม่เคยทิ้งเพื่อน เพราะอย่างนั้นอัครวินท์จึงไว้วางใจเพื่อนคนนี้กว่าใคร

“แม่ง กูไม่เคยถูกใครฉีกหน้าอย่างนี้มาก่อนเลยนะเว้ย ตอนกลางคืนยังว่าง่ายยอมให้กอด ตื่นเช้ามาหายต๋อม หอบลูกในท้องย้ายที่อยู่หนีกูเฉยเลย กูนี่งงดิ เหมือนถูกกานต์ฟันแล้วทิ้ง นี่ถ้าวางเงินไว้ตรงโคมไฟหัวเตียงหน่อยนะใช่เลย ดีนะกานต์วางแค่ดอกไม้ไว้ให้ข้างหมอน เชี่ยเกรต อย่าหัวเราะกูดิวะ กูโดนเมียฟันแล้วทิ้งนะเว้ย กูซีเรียส” อัครวินท์หน้าบูดบึ้ง นัยน์ตาขุ่นกว่าเก่าที่คราวนี้เพื่อนรักระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นจนแทบลงไปกุมท้องตัวงอ ไม่ได้นิ่งฟังนิ่ง ๆ ถนอมน้ำใจกันเช่นทีแรก

“โอ๊ย เชี่ยวิน กูจี้ว่ะ ขอกูขำมึงหน่อยเหอะ ก็ช่างคิดได้นะว่าเมียฟันแล้วทิ้ง กูอยากให้กานต์มาได้ยินกับหูจริง ๆ” ใบหน้านิ่งสง่างามแบบผู้มีชาติกำเนิดดีหลุดการควบคุมเมื่อได้ฟังที่อีกคนเล่า กษิดิศละอยากจะให้รพีกานต์มาได้ยินคำกล่าวหานี้ด้วยตัวเองจริง ๆ อยากรู้ว่าคนตัวเล็กจะทำหน้าแบบไหนตอนได้ยิน ยิ่งคิดก็ยิ่งขำ กษิดิศขำตัวโยน มือกำกำปั้นทุบโซฟาด้วยความบ้าจี้ อัครวินท์เลยปล่อยให้ขำจนพอใจ ไม่วายยกเท้าเตะขาเป็นบางหนเมื่อเห็นว่าไม่หยุดหัวเราะเสียที

“สรุปตอนนี้มึงก็ต้องรอ เพราะไม่รู้กานต์ไปหลบอยู่ที่ไหน มึงก็หัดปรับตัวนั่งรถไฟฟ้าบ้างก็ได้นี่หว่า หรืออยากไปไหนโทรหากูเอาก็ได้ หรือเปิดเทอมแล้วยังหาไม่เจอ ให้กูไปค้างเป็นเพื่อนไหม จะได้นั่งรถกูมาเรียนด้วยกัน มันก็ไม่ได้ผิดข้อตกลงของพ่อมึงนี่” กษิดิศเสนอแนวทางให้หลังหายขำหน้าดำหน้าแดง

“กูเกรงใจว่ะ มึงก็ต้องอยากมีเวลาของตัวเองบ้างสิวะ จะให้มาเป็นสารถีขับรถพากูไปนั่นไปนี่ อย่างกับแฟนกันไปได้ ช่างเหอะ ปิดเทอมกูนอนเล่นอยู่บ้านเอาก็ได้วะ อีกอย่างมึงเรียนคนละคณะกับกู กูไม่อยากรบกวนเวลามึงว่ะ” คนไม่เคยพึ่งใครเอ่ยอย่างละอายปาก พอจะรู้ตัวว่าก่อเรื่องก็ควรรับผิดชอบเอง จึงไม่อยากลากเพื่อนมาลำบากไปด้วย

“แน่ใจว่าจะไม่เบื่อตายไปก่อน ปิดเทอมตั้งสามเดือน แพลนซิ่งรถ เที่ยวเมืองนอก แล้วอะไรอีกหลายอย่างก็ต้องพับเก็บหมดสิแบบนี้”

“เออ” อัครวินท์ตอบสั้น ๆ ด้วยความเซ็ง

“อีกอย่างมึงเป็นเพื่อนกู ไม่มีคำว่ารบกวนหรือลำบากหรอก มันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงอะไร ยืมรถกูไปขับก่อนสักคันไหม”

“ไม่ละ ขอบใจว่ะ กูรู้ว่ามึงรักรถเหมือนลูกทุกคัน แต่กูรับปากพ่อไว้แล้ว สัญญาลูกผู้ชาย กูไม่อยากลักไก่ลับหลังว่ะ”

“มึงมีความคิดก็ดี ถ้างั้นระหว่างรอหาตัวกานต์กับลูกเจอ มึงก็ลองพิสูจน์ตัวเองให้พ่อเห็นซีวะ ปิดเทอมตั้งนาน มึงก็ลองเข้าบริษัทไปช่วยงานแบ่งเบาพ่อมึงบ้าง ปู่มึงเกษียณตัวเองยกงานให้พ่อมึงรับผิดชอบ คงจะเหนื่อยน่าดู ฟื้นฟูสัมพันธภาพพ่อลูกหน่อยเป็นไง ทุกบาททุกสตางค์ที่หาได้ อาทัชเขาก็หามาให้มึงผลาญไม่ใช่หรือ” กษิดิศพูดตรง ๆ จากที่พอจะรู้เลา ๆ ว่าระหว่างอัครวินท์กับบิดานั้น ดูเหมือนจะมีบางอย่างไม่ลงรอยกันอยู่

“ห่าเกรตแม่งเทศน์กู” อัครวินท์ฟึดฟัด แต่ไม่ใช่ว่าไม่ยอมฟังเสียทีเดียว อย่างน้อยเพื่อนคนนี้ก็ไม่เคยคิดร้าย ตอนอนุบาลยังเคยแบ่งกางเกงในให้ใส่หลังสุดหล่อฉี่รดกางเกงในจนร้องไห้จ้า

“กูพูดจริงเว้ย กูนี่พ่อถีบให้ไปทำงาน ให้หัดหาเงินใช้เองตั้งแต่เริ่มขึ้นม.ปลายละ ทำพาร์ตไทม์กว่าจะได้แต่ละบาท เลือดตาแทบกระเด็น แต่มันก็เป็นประสบการณ์ที่ดี กูเข้าใจอะไรมากขึ้นว่ะ”

“เข้าใจอะไรของมึง หลักการมาเชียว”

“ก็เข้าใจว่านิยามการใช้ชีวิตคุ้มของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันสิวะ ถ้ามึงคิดว่ามึงกิน เล่น เที่ยวกลางคืน ลากสาวมาปี้ ตื่นมาเจอคนไม่รู้จักแล้วก็แยกย้าย มันคือใช้ชีวิตคุ้ม งั้นคนที่เขาไม่ชอบแบบนี้ เขาก็ใช้ชีวิตไม่คุ้มหรือวะ กูว่าการใช้ชีวิตคุ้ม คือมึงใช้เวลาทำอะไรก็ได้ที่มึงมีความสุข ไม่จำเป็นต้องทำตัวเสเพล เพลย์บอยอะ ไม่แน่นะ ถ้ามึงตั้งใจทำตัวให้ดีขึ้น กานต์อาจจะกลับมา”

“แล้วกูจะทำได้หรือวะ โลโก้เพลย์บอยแปะหน้าผากกูหราอยู่เนี่ย”

“มึงไม่เริ่มแล้วมึงจะรู้ได้ไง เริ่มจากมึงไปช่วยงานพ่อมึงนี่แหละ ครูที่ดีที่สุด พระประจำบ้านของมึงเนี่ย คนอื่นเข้ามาผลาญเงินมึง พ่อมึงเขามีแต่ให้ มึงเคยซื้ออะไรให้เขาอย่างเปย์ให้สาวบ้างไหมวะ ไอ้เพื่อนเวร”

“เชี่ยเกรตพูดซะกูจุก เถียงไม่ได้เลยมึง”

“กูพูดให้มึงคิดตาม ไม่ได้พูดให้มึงมาเถียงกู กูเสียพ่อกูไปแล้ว กลับมาไม่ทันดูใจ พ่อกูก็สิ้นลมไปก่อน ถึงอยากจะเตือนมึงไว้ รักกันตอนที่ยังหายใจเถอะว่ะ อาทัชรักมึงมากนะเว้ย รักมึงกว่าใคร”

“เชี่ยเกรตแม่ง กูก็รู้จะเว้ย ว่ากูทำตัวไม่ดี พ่อกูบอกสอนอะไร กูจะต้องรั้นทำตรงข้ามมันทุกอย่าง กูโกรธเขา รังเกียจเขา เลยงี่เง่าประชดใส่มันซะทุกเรื่อง แต่ตอนนี้กูกลับเป็นเสียเอง คิดแล้วก็ละอาย พ่อลงโทษกูแค่นี้ยังน้อยไป”

“ยังไม่สายหรอก อย่างน้อยพ่อมึงเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ เขาช่วยมึงตามหากานต์ ยอมรับสิ่งที่มึงทำผิดพลาดก็แสดงว่าเขารักมึงมาก แล้วมึงล่ะ รักเขามากพอไหม ตามเจอกานต์กับลูกก็ใช่ว่าเขาจะยอมกลับมา ถ้ามึงไม่พิสูจน์ให้เขาเห็นว่าทุกอย่างจะไม่วนลูปเดิมอีก มึงคิดจะทำอะไรเพื่อลูกที่กำลังจะเกิดมาได้หรือยังวะ”

เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ กษิดิศไม่พูดอะไรต่อ ปล่อยให้เพื่อนได้คิดเอง ตัวเขานั้นสูญเสียบิดาไปเมื่อเรียนจบมัธยมปลายพอดี หลายสิ่งที่เกิดขึ้นตอนครอบครัวสูญเสียเสาหลักไปทำให้ชายหนุ่มเป็นผู้ใหญ่ มีความคิดเกินตัว อัครวินท์นิ่ง คิดถึงความรักที่บิดามีให้ นึกถึงคำพูดถากถางมากมายที่ออกจากปาก ไม่มีอะไรจะทำให้เสียใจเท่าการทำร้ายกันเองในครอบครัว แล้วถ้าวันหนึ่งกรรมจะสนองกรรม สามแฝดจะทำอย่างนี้กับเขาบ้าง แค่คิดก็ปวดร้าวแล้ว ในสิ่งที่เขาทำกับพ่อ

“ขอบใจว่ะเกรต กูจะพยายามแก้ไขตัวเอง”

“ไม่เป็นไร กูเห็นมึงเป็นเพื่อน ไม่อยากให้ทิฐิมันบังตาจนสูญเสียไป มึงก็เห็น ตอนพ่อกูเสีย กูเป็นยังไง”

“กูจะพยายาม”

“เออ เดี๋ยวกินข้าวด้วยกัน สาว ๆ แม่บ้านเห็นมึงมา ป่านนี้ลงครัวช่วยกันแล้ว ไอ้ห่า ทำพี่เลี้ยงกูเสียคนหมด”

“ก็คนมันหล่อ แล้วแม่มึงไม่อยู่หรือวะ”

“ไปดูงานต่างประเทศน่ะ พ่อไม่อยู่ แม่กูก็เหนื่อยหน่อย กูช่วยเขาเท่าที่ช่วยได้ นี่ก็อยากเรียนจบไว ๆ จะได้มาช่วยแบ่งเบาภาระ
ของแม่ว่ะ ไปเถอะ ไปกินข้าว” สองหนุ่มลุกจากโซฟาเดินตรงไปห้องอาหาร เป็นอย่างที่กษิดิศบอกไว้ บรรดาสาวใช้สาว ๆ ต่างส่งยิ้มให้อัครวินท์ซึ่งชายหนุ่มก็เพียงยิ้มตอบตามมารยาท

อุ !

“วินเป็นอะไรวะ”

“กู !” ไม่ทันขาดคำ ร่างสูงใหญ่ก็รีบพุ่งถลาพรวดพราดไปยังห้องน้ำ อัครวินท์โก่งคออาเจียนเพียงแค่ได้กลิ่นเหม็นฉุนของอาหารบางชนิดบนโต๊ะ

“วินไม่สบายหรือวะ” กษิดิศเคาะประตูถาม เสียงอาเจียนเงียบลงตามด้วยเสียงกดชักโครก จากนั้นประตูจึงเปิดออกให้เห็นใบหน้าซีดเซียวยืนสะโหลสะเหล

“ไม่รู้เป็นอะไรว่ะ เป็นมาหลายเดือนแล้ว ไปหาหมอก็ไม่หาย กูก็ไม่ได้แพ้อะไรนะเว้ย แต่มันเหม็นกับข้าวบางอย่างน่ะ นี่ดีขึ้นแล้วนะ ช่วงสองสามเดือนก่อนแทบจะขนหมอนผ้าห่มไปนอนในห้องน้ำ”

“อ๋อ ที่ช่วงนั้นมึงหน้าซีด กินอะไรก็อ้วก วัน ๆ ร้องหาแต่ของกินเปรี้ยว ๆ ใช่ไหม หึหึ ไอ้พ่อลูกอ่อนที่แท้ก็แพ้ท้องแทนเมีย อาการนี้พี่กูเคยเป็น แม่งแพ้ท้องแทนพี่สะใภ้”

“มันมีด้วยหรือวะ แพ้ท้องแทนเมียนี่”

“มีดิ พี่กูเนี่ย อาการเหมือนมึงเด๊ะ ๆ พี่สะใภ้กูตั้งท้องไม่มีอาการอะไร แต่พี่กูนี่อ้วกเช้าอ้วกเย็น แทบนับญาติกับยาดม มะม่วงเอย มะปรางเปรี้ยว ๆ ตะลิงปลิง เฮียแกเหมาหมด ฟาดคนเดียวเรียบ”

“มึงพูดซะกูอยาก มีอะไรเปรี้ยว ๆ บ้างไหมวะ” อัครวินท์ได้ยินถึงกลับกลืนน้ำลายเอ่ยปากถามหา

“เออ เดี๋ยวกูบอกแม่บ้านเก็บกับข้าวแล้วทำยำ กับต้มยำมาให้ แล้วเดี๋ยวให้ไปดูผลไม้เปรี้ยว ๆ มาถวายคุณชาย ไอ้วินเอ๋ย เสือสิ้นลายเพราะแพ้ท้องแทนเมีย มึงนี่เข้าใจหาเรื่องมาให้ขำ” กษิดิศหัวเราะพลางตบบ่าพาเพื่อนเปลี่ยนไปนั่งรอรับมื้อเที่ยงในสวนแทน เพราะเดี๋ยวคุณชายจะเหม็นกลิ่นอาหารขึ้นมาอีก



คนหนึ่งแพ้ท้องแทน ส่วนอีกด้านนั้นขี้เซาขยันพาลูกนอน

“กานต์ลูก พี่ไทน์มาหาแน่ะ” รพินทร์เขย่าปลุกคนท้องขี้เซาเบา ๆ นัดกันว่าจะไปเยี่ยมหาครอบครัวพี่ชายวัยเยาว์ คนท้องก็ดันง่วงผล็อยหลับไปบนเก้าอี้นอนหวายริมหน้าต่าง รพินทร์จึงปล่อยให้นอนไปก่อน กะว่าพอรพีกานต์ตื่นแล้วค่อยพาลูกไป แต่ทางนั้นกลับเป็นฝ่ายมาเยี่ยมเยียนเสียก่อน รพีกานต์ลืมตื่นสะลึมสะลือ มือปิดปากหาวหวอดพลางลุกขึ้นบิดขี้เกียจอย่างเกียจคร้าน ลมเย็นอากาศดี นอนรอบิดาเข้าห้องน้ำอยู่ดี ๆ ก็เผลอหลับ รพินทร์มองคนขี้เซาด้วยความเอ็นดู มือเกลี่ยปอยผมปรกหน้าให้เบา ๆ

“ลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา ผัดแป้งนวล ๆ นะลูกนะ พี่ไทน์พาแฟนมาด้วยนา กานต์อยากเห็นคุณภีมไม่ใช่หรือลูก เดี๋ยวพ่อออกไปรับหน้าก่อน อย่านานนักนะ พี่เขารอ” ตาสว่างขึ้นมานิดหน่อยเมื่อได้ยินว่าพี่ชายวัยเยาว์พาคนรักมาด้วย จากที่บิดาโฆษณาเอาไว้เลยทำให้รพีกานต์พลอยอยากเห็นหน้าไปโดยปริยาย

รพีกานต์ลุกขึ้นไปทำธุระส่วนตัว ล้างหน้าล้างตาผัดแป้งนวลผ่อง กำลังจะก้าวออกจากห้องก็พลันนึกถึงท้องนูน แม้จะใส่ชุดเอี๊ยมผ้านิ่มพรางไว้ แต่ก็สังเกตเห็นได้ไม่ยาก ตั้งแต่อายุครรภ์เริ่มเข้าเดือนที่สี่ สามแฝดก็พากันโตพรวด ๆ รพีกานต์ทั้งหิวกินจุกจิกบ่อย แถมนอนอุตุได้ตลอด จึงดูอวบขึ้นผิดหูผิดตา คิดมาถึงตอนนี้แล้วก็ให้ละล้าละลังไม่อยากออกไปเจอ แต่ก็เกรงจะเสียมารยาทจึงลงจากบ้านเดินก้มหน้าไปหา

“กานต์” สุ้มเสียงใจดีร้องทักขึ้น รพีกานต์ดวงตาหลุบต่ำขยับหลุกหลิกอย่างไม่มั่นใจในตัวเอง เท้าเหมือนก้าวช้าลงเรื่อย ๆ ด้วยความอึดอัดใจ กลายเป็นวาเลนไทน์ขยับเข้ามาใกล้ มือวาดแผ่นหลังพาพยุงไปนั่ง รพีกานต์เงยหน้าขึ้นสบตาทุกคนพลางกระพุ่มมือไหว้ผู้อาวุโสกว่า

“พี่เอาลูกหม่อนมาฝาก เพิ่งเก็บสด ๆ จากต้น ยังไม่แก่มาก เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ กานต์น่าจะชอบนะ” วาเลนไทน์เลื่อนตะกร้าบรรจุลูกหม่อนเกือบเต็มมาให้ตรงหน้า รพีกานต์มองพลางกลั้นใจเอ่ยปากถาม ดวงตาสวยอมโศกประสานสายตากับอีกฝ่าย

“พี่ไทน์รู้...” ความรู้สึกอายในความแปลกประหลาดของตนเองตีตื้นขึ้นมาในอก วาเลนไทน์เข้าใจสถานการณ์ดีจึงรีบเอ่ยปาก

“เราไปคุยกันตรงลำธารด้านหลังดีไหม น้ำใส ๆ อากาศน่าจะเย็นสบายกว่าตรงนี้” ร่างโปร่งผุดลุกขึ้นก่อนแสดงท่าทีกระตือรือร้นอยากจะไปยังลำธารด้านหลังบ้าน ทางนี้ปล่อยให้ผู้ใหญ่พูดคุยกันเองน่าจะสะดวกใจแก่รพีกานต์กว่า

“ก็ได้ครับ” รพีกานต์ลุกตามอย่างว่าง่ายด้วยเข้าความหมายที่อีกฝ่ายแสดงออก วาเลนไทน์หยิบตะกร้าหม่อนส่งให้คนรักถือเดินตามหลัง

“เอ้อ จริงสิ ลืมแนะนำไป นี่คุณภีม เอ่อ...แฟนพี่เอง” วาเลนไทน์เอ่ยขึ้นหลังหย่อนกายลงนั่งในที่เหมาะ ๆ แก้มขาวเปลี่ยนเป็นสีเรื่อยามสบตาคนรักตอนเปิดปากบอกสถานะความสัมพันธ์ รพีกานต์มองเห็นความรักมากมายที่ทั้งสองมอบให้แก่กันผ่านทางแววตา

“สวัสดีครับคุณภีม เอ่อ...พูด ฟังภาษาไทยได้ใช่ไหมครับ”

“ได้ครับ ยินดีที่ได้รู้จักน้องชายของกวางน้อย โทษที ผมแทนชื่อไทน์ว่ากวางน้อยน่ะ เขาพิเศษสำหรับผม” ภีมพริษฐ์เอ่ยเสียงเรียบ มุมปากยิ้มน้อย ๆ ตามนิสัยเจ้าตัว ไม่เพียงเท่านั้นมือหนายังเลื่อนมากุมมือบางของวาเลนไทน์ บ่งบอกความพิเศษตามปากว่า พี่วาเลนไทน์อดีตเด็กแว้นเก่า ยามความรักเบ่งบานเต็มที่ดูมีออร่าความสุขลอยอวลอยู่รอบตัว คุณภีมหล่อจริงอะไรจริง สะเทือนฟ้าสะเทือนดินอย่างที่พ่อรพินทร์เคยบอกไว้ แต่เหนืออื่นใด การแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาถึงความรักที่มีต่อคนรัก ทำให้รพีกานต์นึกชื่นชมอย่างใจจริง

“แล้วพี่ไทน์ เอ่อ...รู้แล้วใช่ไหมครับ” รพีกานต์เอ่ยพลางลูบพุงกลมที่ขยายขนาดรวดเร็วจนมองเห็นได้แม้อำพรางด้วยเสื้อตัวโคร่ง

“รู้แล้ว” วาเลนไทน์ตอบรับ รู้ว่าน้องชายในวัยเยาว์กังวลไม่น้อยกับความผิดปกติของตนเอง

“กานต์แปลกประหลาด” รพีกานต์ก้มหน้างุดซ่อนความขมขื่น

“ทำไมกานต์ไม่คิดว่ามันคือความมหัศจรรย์ล่ะ” วาเลนไทน์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นท่าทางคิดมากเป็นกังวล

 “ประหลาดกับมหัศจรรย์ ต่างกันแค่เส้นบาง ๆ ทางความคิด แค่กานต์ไม่เก็บเอาคำพูดคนอื่นมาเป็นตัวชี้วัดความสุขของตัวเอง ลูกก็นับเป็นของขวัญสุดมหัศจรรย์ในชีวิตไม่ใช่หรือ ผู้หญิงบางคนท้องไม่ได้ก็มีนะ นี่กานต์เป็นผู้ชาย กานต์ท้องได้ แสดงว่าธรรมชาติได้มอบของขวัญสุดพิเศษให้กานต์แล้ว กานต์น่าจะดีใจซี”

“พี่ไทน์...” รพีกานต์มองอีกฝ่ายด้วยความทึ่ง แค่คำพูดของวาเลนไทน์ก็เปลี่ยนความมืดมนขมขื่นเป็นแสงสว่างในทันที

“โลกเรามีเรื่องน่าประหลาดใจที่เราไม่รู้เยอะออก สิ่งที่แตกต่างนับเป็นความแปลกประหลาด หรือมหัศจรรย์ก็อยู่ที่มุมมอง คนร้อยคนเชื่อเถอะ มองไม่เหมือนกันทุกคนหรอก”

“ขอบคุณครับพี่ไทน์ ก่อนหน้ากานต์คิดว่าลูกเป็นของขวัญ แต่ก็อดกังวลใจไม่ได้ ได้ฟังพี่ไทน์พูดแล้ว กานต์สบายใจจัง” รพีกานต์ฉายรอยยิ้ม เหมือนกลุ่มเมฆที่บดบังแสงสว่างในใจเคลื่อนตัวออกไปแล้ว

“พี่ว่ากานต์โชคดีนะ ถึงคุณภีมจะไม่ได้คิดอะไรเรื่องมีลูก แต่พี่กลับคิดว่าพี่อยากให้คุณภีมมีความสุขมากกว่านี้ ถ้าพี่มีตัวเล็กให้ได้คงจะดี”

“กวางน้อย เราคุยกันเรื่องนี้แล้วนี่” ภีมพริษฐ์หันขวับมาทางคนรัก ไม่อยากให้กวางน้อย ๆ ของเขาต้องกังวล

“ผมเข้าใจครับ แต่ถ้าจะมีอะไรทำให้คุณมีความสุขมากขึ้นกว่าเมื่อวาน ถึงจะแค่เรื่องเล็ก ๆ ผมก็อยากทำนะ” วาเลนไทน์ยิ้มให้คนรัก รพีกานต์มองดูคนทั้งคู่ต่างพยายามทำเพื่อคนรัก เพื่อให้อีกฝ่ายมีความสุขแล้วก็เริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น รักคือคนสองคน ต่างฝ่ายต่างรักและทำเพื่อคนรัก จึงจะเรียกว่ารักแท้ ที่ผ่านมาระหว่างรพีกานต์เองและอัครวินท์ คือความลุ่มหลงและไล่ตาม สุดท้ายฝ่ายที่คอยวิ่งไล่ก็เหนื่อยล้าราแรงลง

พี่วินคงไม่คิดทำอะไรเพื่อกานต์...

“ขอบคุณพี่ไทน์กับคุณภีมมาก ๆ นะครับ” รพีกานต์ส่งยิ้มให้ทั้งคู่ พี่วาเลนไทน์ยังคงเป็นพี่ชายแสนดีไม่เสื่อมคลายเช่นวันวาน  ในขณะที่กำลังยิ้มนั่นเอง กลีบดอกไม้คุ้นตาก็ลอยมากับสายน้ำอีกครั้ง


ครอบครัวผู้มาเยี่ยมขอตัวกลับไปแล้วหลังรับประทานอาหารร่วมกัน ในบ้านมีผลไม้หลายอย่างที่แขกขนมาฝาก ซึ่งรพินทร์เองก็มีของฝากจำพวกน้ำพริกฝีมือปรุงเองนำมาจากที่บ้านมาให้ เสียงข้อความไลน์ดังเตือน เจ้าตัวหยิบมาดูก่อนอมยิ้ม นำไปยื่นให้รพีกานต์

“กานต์ พี่ณัฐส่งรูปอะไรมาให้ดูแน่ะ” รพีกานต์ตีคิ้วฉงนพลางยื่นมือออกไปรับโทรศัพท์มาดู ครั้นเมื่อก้มลงมองก็ยังไม่ใคร่เข้าใจนัก

“พี่ณัฐส่งรูปถุงมือมาให้ดูครับ แต่มีข้างเดียว”

“สงสัยเพิ่งหัดถักเสร็จข้างเดียวแล้วเห่อน่ะซี เลยส่งมาให้ดูข้างเดียวก่อน ถุงมือของสามแฝดไง คล่องแล้วคงมีถุงเท้ากับหมวกตามมา”

“นี่พี่ณัฐหัดถักของใช้ให้สามแฝดหรือครับ”

“อือฮึ ที่หายเงียบไปก็เพราะนี่แหละ ตอนแรกเงอะงะน่าดู ผู้ชายมือใหญ่นี่นะ แต่ก็พยายามจนได้ถุงมือมาข้างนึงละ อีกหน่อยก็คงคล่อง เผลอ ๆ จะมีผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ให้กานต์ด้วย”

“พี่ณัฐ...”

“คนที่รักเรา เราไม่ต้องทำอะไรเลยเขาก็รักเราเนอะ กานต์คุยกับพี่ณัฐนะ พ่อจะไปงีบสักหน่อย” รพินทร์ว่าพลางลุกจากห้องไป

 :katai5:

เอาแล้ว ๆ วินกำลังจะกลับตัวแก้ไข คนใหม่กำลังจะมา พี่ณัฐก็ยังคงอยู่
ตอนนี้คิดกลอนไม่ออกนะคะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๕)(P.๑๑)(๐๑/๐๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: i_Tipz ที่ 01-05-2017 11:41:54
กานต์จะรู้ไหมว่าพ่อของลูกจะปรับปรุงตัวว :hao3: :hao3:


หรือว่าจะมีคนมาดามใจคุณแม่ :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๕)(P.๑๑)(๐๑/๐๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 01-05-2017 12:31:37
อยากให้แฝดออกมาเร็ว ว๊าปไปถึงตอนนั้นเลยได้มะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๕)(P.๑๑)(๐๑/๐๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 01-05-2017 13:12:56
กว่าจะคิดได้นะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๕)(P.๑๑)(๐๑/๐๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-05-2017 15:39:03
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๕)(P.๑๑)(๐๑/๐๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 01-05-2017 16:59:40
หาคนดีสักคนเราว่าไม่แย่นะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๕)(P.๑๑)(๐๑/๐๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Chompussru ที่ 01-05-2017 17:08:43
เรือข้อจะล่มมั้ย :katai4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๕)(P.๑๑)(๐๑/๐๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 01-05-2017 18:16:29
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๕)(P.๑๑)(๐๑/๐๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 01-05-2017 18:40:08
 :hao3: กานต์ควรเริ่มต้นใหม่ได้แล้วนะ อยู่กับเรื่องเก่า ๆ ทำให้เศร้าหมอง
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๕)(P.๑๑)(๐๑/๐๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 01-05-2017 20:35:24
 พ่อของกานต์ป่วยยังช่วยดูแลลูกอีก นับถือความเป็นพ่อจริงๆ
   รออ่านตอนต่อไป สนุกมากๆ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๕)(P.๑๑)(๐๑/๐๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ujen ที่ 01-05-2017 20:36:53
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๕)(P.๑๑)(๐๑/๐๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 01-05-2017 21:23:41
โธ่พี่ณัฐทูนหัวของบ่าว ประทับใจมากเลยค่ะ ความรักอันมากมายของพี่ณัฐ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๕)(P.๑๑)(๐๑/๐๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: pawara123 ที่ 01-05-2017 22:13:57
อยากให้มาต่อไวๆ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๕)(P.๑๑)(๐๑/๐๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: SOMCHAREE ที่ 03-05-2017 10:25:02
น้องกานต์สู้ๆน้าาาา
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๕)(P.๑๑)(๐๑/๐๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 04-05-2017 00:17:49
มารอตอนต่อไป ด้วยใจจดจ่อคร่า :hao5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๕)(P.๑๑)(๐๑/๐๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 04-05-2017 08:09:07
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๕)(P.๑๑)(๐๑/๐๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 04-05-2017 09:45:02
พ่อแฝดถ้าไม่รีบปรับตัว จะแย่ละนะ มีคนใหม่รออยู่แบบนี้
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๕)(P.๑๑)(๐๑/๐๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 07-05-2017 09:30:01
มารอตอนต่อไปค่าาาา :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๕)(P.๑๑)(๐๑/๐๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: llSJAr34 ที่ 11-05-2017 21:37:41
ก็ไม่รู้สินะไม่เคยรักใครจริงจัง แต่อ่านตอน 15แบะปากมองบน อยากให้อยู่คนเดียวไป ไม่ต้องมีก็ได้พระเอก อินมาระบายไม่ว่ากันนะครับ :m16: :serius2: :katai1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๕)(P.๑๑)(๐๑/๐๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 17-05-2017 12:42:19
มารอตอนต่อไปค่าาา :call: :call:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๕)(P.๑๑)(๐๑/๐๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: pawara123 ที่ 26-06-2017 16:49:38
หายไปนานนนนนนนนนนนมากกกกกกก
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๕)(P.๑๑)(๐๑/๐๕/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 26-06-2017 19:40:17
กลับมาต่อนิยายได้แล้วนะครับ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๖)(P.๑๒)(๒๘/๐๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 28-06-2017 12:24:40
เสน่หา...รักเอย ๒๖

“ผกาหนึ่งพึงงามเมื่อยามสด    สุคนธรสแรกรักมักหอมหวาน
ครั้นแหนงหน่ายบ่ายหนีมิชื่นบาน   ทิวาวารผันผ่านมานผันแปร"


“กานต์ลูก ไปกันเถอะ”
เสียงรพินทร์เรียกขานบุตรชายหลังช่วยกันตระเตรียมข้าวของใส่ตะกร้าเพื่อไปถวายเพลที่วัดละแวกใกล้ ๆ รพีกานต์ผัดแป้งหน้านวลเดินออกมาจากห้อง มือเรียวลูบท้องนูนด้วยความเคยชิน ได้รับปฏิกิริยาตอบรับจากชีวิตเล็ก ๆ ในท้องก็อมยิ้ม

“ไปทาแป้งมานี่เอง หน้านวลผ่องเชียว นึกว่าหายไปไหน” รพินทร์บีบแก้มนิ่มด้วยความเอ็นดู ทั้งคู่กุลีกุจอถือของออกมาจากบ้านซึ่งพอคนขับรถเห็นก็รีบปราดเข้ามาช่วย รถแล่นออกจากบ้าน รพีกานต์วางมือไว้ที่ท้อง สายตามองเหม่อออกไปข้างนอก

“คิดอะไรอยู่ เงียบเชียว” รพินทร์ส่งเสียงทักคนท้องที่ดูเงียบกว่าปกติ

“สามแฝดทักทายกานต์อยู่บ่อย ๆ กานต์เลยอดคิดไม่ได้ว่าตอนกานต์อยู่ในท้อง แม่ของกานต์จะรู้สึกผูกพันกับกานต์บ้างไหม หรือคิดว่ากานต์เป็นตัวปัญหา จะฆ่าก็กลัวใจไม่แข็งพอเลยเลือกที่เอากานต์มาทิ้ง” รพีกานต์หลุดความคิดออกมาด้วยหัวใจวูบโหวง สายตายังคงทอดมองออกไปข้างนอก

“กานต์...” รพินทร์อ้ำอึ้งตกใจเมื่อได้ยินความคิดจากปากบุตรชาย

“กานต์แค่อยากรู้ ว่าเก้าเดือนที่มีเด็กอยู่ข้างในท้อง แม่ของกานต์ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือครับ สามแฝดดิ้นในท้องกานต์ กานต์ยังรู้สึกรัก รู้สึกผูกพันกับแกเลย”

“กานต์...ไม่ใช่ทุกเรื่องที่เราสงสัยแล้วเราจะได้คำตอบ บางเรื่องเราไม่จำเป็นต้องพยายามที่จะรู้ก็น่าจะสบายใจกว่า จะเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แต่มันก็ทำให้เราได้พบกัน กานต์รู้แค่นี้สบายใจกว่านะลูกนะ” รพินทร์ประโลม ในตอนนั้นเขาเองคิดเพียงว่ามารดาของรพีกานต์คงตั้งครรภ์ทั้งที่ไม่พร้อม จึงได้นำเด็กมาทิ้งเพื่อตัดปัญหาให้พ้นตัว

“เพราะกานต์ได้เจอพ่อ กานต์ถึงรู้สึกขอบคุณที่แม่ทิ้งกานต์ กานต์จะเลี้ยงสามแฝดให้ดีครับ” รพีกานต์หันมาสวมกอดบิดาพลางซบบ่าหาไออุ่น รพินทร์ลูบศีรษะบุตรชายเอ่ยปากถาม

“แล้วถ้าวันหนึ่งลูกถามถึงพ่อล่ะ กานต์เตรียมคำตอบไว้ให้แกหรือยัง ยังไงวันนั้นก็ต้องมาถึงตอนที่ลูกของกานต์ออกไปเผชิญกับโลกภายนอก เขาก็คงจะอยากรู้อย่างที่กานต์เคยถามหาแม่กับพ่อนั่นแหละ” คำถามทำเอานิ่งไป คำถามเดียวกันกับที่รพีกานต์เคยถามบิดาในวัยเยาว์ ในตอนนั้นบิดาก็คงลำบากใจที่จะตอบเช่นเดียวกับรพีกานต์ตอนนี้

“เอาไว้ให้วันนั้นมาถึง กานต์คงคิดออกครับ” รพีกานต์พิงศีรษะซบไหล่บิดา มือลูบท้องกลมพลางอมยิ้ม บางเรื่องเราไม่จำเป็นต้องรู้...


วัดที่แวะมาถวายเพลเป็นวัดเล็ก ๆ ยังไม่เจริญเท่าวัดในเมืองใหญ่หากแต่สงบร่มรื่นตามอัตภาพ สองพ่อลูกถวายเพลเสร็จ อยู่สนทนากับพระท่านอีกครู่จึงลากลับ บ่ายนี้คนท้องยังไม่นึกง่วง รพีกานต์หยิบหนังสือเล่มหนึ่งไปนอนอ่านในเปลริมลำธาร กลีบดอกไม้คุ้นตาลอยละล่องมาตามสายน้ำไหล รพีกานต์มองกลีบดอกไม้ มือลูบท้องกลมอย่างช่างใจ ก่อนตัดสินใจวางหนังสือไว้ในเปลแล้วเดินทวนทางน้ำขึ้นไป กะว่าจะไปเยี่ยมมองดูเฉย ๆ เพียงเท่านั้น

“คิดว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะสนใจนายขึ้นหรือยังไงต้นน้ำ เลิกทำตัวงี่เง่าเสียที ! อย่าให้ฉันหมดความอดทนกับนายไปมากกว่านี้” เสียงหนึ่งดังเกรี้ยวกราดด้วยความหัวเสีย รพีกานต์ชะงักเท้าที่กำลังก้าวเดิน

เอ๋ ? คนทะเลาะกันหรือ ?
บุคคลที่สามพึมพำขณะหยุดฟังเงียบ ๆ ลังเลว่าจะเป็นการเสียมารยาทไปไหมที่มายืนฟัง ขณะที่ละล้าละลังตัดสินใจอีกเสียงก็สวนขึ้นด้วยความเผ็ดร้อนไม่ต่าง

“แล้วผมเคยเรียกร้องให้คุณมาสนใจผมหรือครับคุณอัษศดิณย์ ผมจะทำอะไรมันก็เรื่องของผม คุณนั่นแหละที่ก้าวก่ายชีวิตคนอื่น” อีกฝ่ายเถียงสู้อย่างไม่ยอมแพ้ ดวงตาคมกริบฉายประกายเด็ดเดี่ยววาบวับพร้อมต่อกรเช่นกัน

“นี่นาย ! คิดว่าฉันอยากยุ่งด้วยนักหรือ ถ้าไม่เพราะฉันรับปากกับพ่อไว้ แม้แต่หน้าหรือใช้ลมหายใจร่วม ฉันก็ไม่อยากจะเจอ” ชายหนุ่มเค้นน้ำเสียง มือกระชากคอเสื้อ ตาลุกวาวเคียดขึ้งด้วยความเกลียดชัง

“งั้นก็ไปเสียสิ คุณจะมายืนเถียงกับผมอยู่ทำไม หรือไม่ คุณก็ปล่อยผมไปจากที่นี่ ผมโตแล้ว ดูแลตัวเองได้”

“หึ คิดว่าตัวเองปีกกล้าขาแข็งแล้วสินะ ถึงร่ำร้องจะไปให้ได้ ปล่อยนายไปอย่างนั้นหรือ มันคงง่ายไปหน่อย สู้ขังเอาไว้ที่นี่ดูนายทุรนทุรายอยากตะเกียกตะกายออกไป สนุกกว่าเยอะ เหมือนที่มีคนเคยเผชิญกับมันมาแล้วยังไงละ ฉันจะให้นายได้ลิ้มรสชาติความทรมานนั้นที่นี่ ยอมลงทุนตกนรกอยู่กับสิ่งที่เกลียดชังเพื่อฉุดให้นายดิ้นรนไปไหนไม่ได้ยังไงละ” น้ำเสียงเยาะเย้ย สายตาถากถาง ยิ่งเห็นอีกฝ่ายหน้าแดงหน้าเขียว เปลวโทสะแห่งความเกลียดชังเต้นระริกในดวงตา เขาก็ยิ่งสาแก่ใจนัก

“โรคจิต !” ฝ่ายถูกกระชากคอเสื้อถลึงตา น้ำเสียงห้วนจัดดังขึ้น

ผลัวะ !

รพีกานต์สะดุ้งกับเสียงซัดกำปั้นหนักหน่วงลงบนใบหน้าของเรือนร่างสูงใหญ่จนหน้าสะบัด ร่างเล็กรีบก้าวเข้าไปหลบหลังต้นไม้ก่อนชะเง้อหน้าออกมามองดูเหตุการณ์ด้วยใจลุ้นระทึกไปด้วย มือเรียวรีบกุมปากตะคุบเสียงร้องอุทานของตัวเอง เมื่อเหตุการณ์ถัดมาคือชายร่างใหญ่โตจนบังอีกคนแทบมิด กระชากคอเสื้อคนปล่อยหมัดจนปลายเท้าลอยจากพื้นแล้วโยนละลิ่วลงไปในลำธารเสียงดังตูมอย่างไม่ปรานีปราศัย รพีกานต์ยืดคอชะเง้อมอง ใครคนที่โปรยกลีบดอกไม้เป็นฝ่ายถูกทุ่มลงไปในลำธาร กำลังอาละวาดฟาดงวงฟาดงาฮึดฮัดอยู่ในน้ำ สายตาพิฆาตฟาดฟันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อส่งขึ้นมาให้ใครอีกคนที่ยืนกอดอกมองดูอยู่บนฝั่งอย่างไม่สะทกสะท้าน เรือนร่างสูงใหญ่เป็นยักษ์ปักหลั่น มองเห็นเพียงไรหนวดเขียวจางตรงสันกรามที่โผล่พ้นหมวกคาวบอยออกมา เจ้าของผิวคร้ามแดดยืนมองอีกเพียงไม่นานก็หันหลังผละไป ทิ้งไว้เพียงอีกคนที่ยังคงแช่อยู่ในน้ำมองตามตาเขียว ก่อนฟาดกำปั้นหวดน้ำอีกหลายโครมระบายอารมณ์เดือดดาล

ชายหนุ่มพาร่างเปียกโชกขึ้นจากน้ำแล้วจัดการถอดเสื้อผ้าทุกชิ้นออกผึ่งแดด รพีกานต์ตาโตกับคนเปลือยล้อนจ้อน ไม่เพียงเท่านั้น เหมือนถูกจับได้ว่าแอบมอง ชายหนุ่มยังจงใจหันด้านหน้าขวับมาให้ผงะแบบจัง ๆ ถึงจะมีเหมือนกัน แต่เจอแบบนี้ก็มีสะดุ้ง

“เล่นน้ำด้วยกันไหมถ้ำมอง” ถามพลางยักคิ้วยั่วล้อ น้ำเสียงเย้าหยอกไร้แววขุ่นเคืองอย่างเมื่อครู่เมื่อหันมาเจอคนหน้าตื่นแอบหลบผลุบ ๆ โผล่ ๆ เป็นกระรอกอยู่หลังต้นไม้ ‘ศิรวัฒน์’ อารมณ์สงบลง หายจากอาการขุ่นมัวเมื่อเหลือบสายตาเห็นคนตัวเล็กที่อยู่ฟากไร่ติดกันกำลังยืนแอบอยู่หลังต้นไม้ โผล่มาเพียงศีรษะทุยสีหน้าปั้นยาก แต่ก็อยากรู้อยากเห็นเสียเต็มประดา

“มะ ไม่ได้ถ้ำมองนะ แค่ได้ยินเสียงคนทะเลาะกันเลยเดินมาดู แล้วก็ไม่คิดว่าจะได้เห็นชีเปลือย ไม่รู้จักอายเจ้าป่าเจ้าเขา” รพีกานต์โผล่ออกมาจากหลังต้นไม้พร้อมหันหลังให้ ใจไม่กล้าพอจะยืนประจันหน้าคุยกับชีเปลือยซึ่งยังคงโล่งโจ้งไม่สะทกสะท้าน

“อ้อ อย่างหรอกนั้นหรือ อุตส่าห์หลบมาปลีกวิเวกท้ายไร่ยังมีหมาบ้าตามมาหาเรื่อง แถมมีถ้ำมองมาแอบดูเราเองแท้ ๆ แล้วยังมีหน้ามากล่าวหาว่าเราหน้าไม่อาย” ศิรวัฒน์พยักหน้าขึ้นลงรับรู้ด้วยอาการล้อเลียนพลางสัพยอกคนกล่าวหาตนเอง

“ก็บอกว่าไม่ได้แอบดู เอ๊ะ นายนี่ ใส่เสื้อผ้าก่อนได้ไหม จะยืนเปลือยคุยหรือไง” รพีกานต์หันขวับตั้งท่าจะลับฝีปากด้วย แต่พอเจอคนล่อนจ้อนก็รีบหันหลังกลับทันควัน ศิรวัฒน์ยิ้มขำกับใบหูแดงของคนมองเองอายเอง ไม่วายกวนกลับ

“ชุดมันเปียก ตากแดดรอแห้งอยู่นี่ไง”

“ก็หาใบไม้หรืออะไรปิดไว้ก่อนซี หรือถ้ายังไงเราให้ยืมชุดเราก็ได้” รพีกานต์เสนอความช่วยเหลือ อย่างไรเสียก็ดีกว่าสนทนากันแบบยืนห่มลมห่มฟ้าเป็นไหน ๆ ในใจพลางคิดว่า ตาชีเปลือยนี่ก็ไม่รู้จักอายเสียบ้าง เป็นพวกชอบโชว์หรืออย่างไรกันนะ หรือรพีกานต์จะทำใจกล้าหน้าทนด้วยอีกคน หันไปประจันหน้าแล้วบอกว่า เฮอะ ! ก็แค่ ‘ไส้เดือนดิน’ แล้วทำมาโชว์ อึ๋ย ไม่เอาด้วยหรอก แค่คิดก็สะบัดหน้าหวือสลัดความคิดไม่เข้าท่าทิ้งอย่างรับไม่ได้

“หึ ตัวแค่นี้นี่นะ จะให้ยืมชุดใส่ ถึงนายจะลงพุง แต่เราก็ใส่เสื้อของนายไม่ได้อยู่ดี ยืนตากลมให้ตัวแห้งแบบนี้ดีแล้ว โล่งดีออก” ศิรวัฒน์สัพยอกหยอกเย้ายิ้ม ๆ เข้าใจไปว่าคนสูงน้อยกว่ากินจุแล้วลงแต่พุง ไม่ลงตัว เลยมีสภาพพุงนำหน้าอย่างที่เห็น

“งั้นก็เอาใบไม้ใหญ่ ๆ มาปิดกันอุจาดหน่อยเหอะ” รพีกานต์ฮึดฮัดเล็ก ๆ ต่อให้เป็นพี่ณัฐที่สนิทกัน เจออย่างนี้ก็คงไล่ไปสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยไม่ต่าง

“ไม่ละ ฉันร้อน ชอบเปลือย ๆ แบบนี้แหละ ใครไม่อยากมองก็หันกลับไปสิ ทำไมฉันต้องทำตามความต้องการของนายด้วย” ไม่ว่าเปล่า ชายหนุ่มยังลอยหน้าลอยตาเท้าสะเอวจังก้าท้าแดดท้าลมท้าทายเสียอีกต่างหาก

“งั้นเราก็จะทำตามความต้องการของเราเหมือนกัน” ใบหน้าเนียนใสเชิดขึ้น รพีกานต์กวาดสายตาแลหาบางอย่างก่อนดวงตาสวยจะฉายแววยินดีระยับเมื่อเจออาวุธกำราบคนโป๊ ศิรวัฒน์รู้สึกไม่ไว้ใจกับดวงตาซุกซนเท่าไร และไม่ต้องคิดนานเมื่อคนตัวเล็กก้มลงเก็บลูกตะขบที่ร่วงอยู่ตามพื้นดินได้ ชายหนุ่มก็ต้องกระโดดเหยงหลบกระสุนตะขบที่ปารัวมาทางเขาทันที

“นี่แน่ะ ! ชีเปลือยหน้าไม่อาย ต้องเจอกระสุนตะขบพิฆาต !” ออกกระบวนท่าวาดลวดลายปล่อยกระสุน คนประทุษร้ายหัวเราะเสียงดังด้วยความสะใจ ใบหน้าฉีกยิ้มแป้นเต็มแก้มจนขึ้นก้อนกลม แต่คนกระโดดหลบดูจะไม่สนุกด้วยเท่าไร ศิรวัฒน์กระโดดลงน้ำดำลงลึกหลบอยู่ตรงตลิ่ง รพีกานต์ยั้งมือ คิ้วขมวดชะเง้อมอง เท้าสืบเข้าไปมองดูใกล้ ๆ

แฮ่ ผีหลอก !

ศิรวัฒน์โผล่พรวดขึ้นจากน้ำแลบลิ้นปลิ้นตาทำผีหลอก รพีกานต์สะดุ้งโหยงตกใจ ถอยเท้าหนีอัตโนมัติ ก่อนได้สติเต้นเร่าร้องว่า

“ผีทะเล ! คนผีทะเล” รพีกานต์หน้าเหลอหลาเหลียวหาลูกตะขบ แต่ยังช้ากว่าคนที่ปราดเข้ามาประชิดตัวคว้าข้อมือเล็กรวบดึงเข้าปะทะตัว พลางจ้องตาดุ

“คิดว่าจะยอมให้แกล้งอีกหรือไง หือ ?” น้ำเสียงกดต่ำ ดวงตาคมสีมืดราวห้วงรัตติกาลจ้องมองร่างในอาณัติ ร่างกายเปียกชุ่มแนบชิดร่างอุ่นอีกร่าง รพีกานต์ตะลึงงันกับความใกล้ชิดเกินกว่าปกติ ปากอิ่มเผยอน้อย ๆ ยามประสานสายตากับใครอีกคนที่ใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่น ต่างฝ่ายต่างจ้องตา เนิ่นนานผ่านไปเท่าไรไม่รู้ได้ จนเสียงลูกไม้ร่วงจากต้นลงสู่พื้น สองร่างจึงสะดุ้งผละจากกัน

“ขะ ขอโทษ ที่เราถือวิสาสะแกล้งนาย” น้ำเสียงอ่อย ดวงตาหลุบต่ำหลุกหลิก หลังจากเมื่อกี้เมามันในการกลั่นแกล้งอีกฝ่าย ถึงจะแกล้งปาแค่เฉียด ๆ แต่ก็ดูเกเรอยู่ดี ศิรวัฒน์มองกระต่ายหูลู่สำนึกผิด เขาไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย เห็นอย่างนี้จึงถือสาไม่ลง

“ไม่เป็นไร นาน ๆ ได้เล่นสนุกแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน สงสัยกว่าชุดจะแห้งคงต้องแปลงร่างเป็นคนป่าเสียหน่อย” เอ่ยพลางใช้มีดพกฟันฉวัะที่ใบกล้วย ก่อนเฉือนรูดเอาเฉพาะใบตองมาพันกายไปพลาง ๆ รพีกานต์เห็นอย่างนั้นสายตาซุกซนก็เริ่มนึกสนุกขึ้นมาอีก มือขาวดึงเอาเครือเถาวัลย์มาม้วนทำมงกุฎให้

“มงกุฎหัวหน้าเผ่า” บอกพลางเขย่งเท้ายืดตัววางมงกุฎแหมะลงบนศีรษะ แถมขนนกที่เก็บได้จากแถวนั้นเสียบให้อีกที ไม่เพียงเท่านั้น รพีกานต์ยังหักกิ่งไม้ยัดใส่มือหนาพลางมองแล้วฉีกยิ้ม

“หัวหน้าเผ่าชีเปลือย ฮ่า ๆ ๆ ขอถ่ายรูปลงไอจีได้ไหม นี่ถ้าเอาแป้งมาโปะหน้าด้วยนะ ใช่เลย” นิ้วเรียวดีดเปาะอย่างชอบอกชอบใจ เดินวนซ้ายขวาดูผลงานตัวเองด้วยรอยยิ้มแต้

“สนุกใหญ่ เรารู้จักกันหรือ ฮึ” ศิรวัฒน์หรี่ตาน้ำเสียงขึ้นจมูกมองคนแจกยิ้มเรี่ยราด

“เออ ลืมไปเลยว่าไม่รู้จักแฮะ อยากรู้จักเราไหม เราชื่อกานต์นะ” รพีกานต์ทำหน้านึกขึ้นได้พลางเอ่ยแนะนำตัวเองเสร็จสรรพ

“แนะนำตัวมาขนาดนี้ ถึงไม่อยากรู้จัก ก็ต้องรู้แล้วแหละ เพี้ยนจริง ๆ” ศิรวัฒน์ส่ายหน้ายิ้มน้อย ๆ รอยยิ้มของคนตรงหน้าทำให้เขานึกเอ็นดู

 “เราเพี้ยน นายก็ชีเปลือย” บอกอย่างไม่ยอมลง คงเพราะท่าทางใจดีไม่ถือสาของเขาทำให้รพีกานต์กล้าเล่น เป็นความใจดีคนละแบบกับพี่ณัฐ แต่ก็ให้ความรู้สึกน่าคุยด้วยไม่น้อย

“นายยังไม่บอกชื่อเราเลย”

“เราชื่อต้นน้ำ ส่วนหมาบ้าที่เพิ่งไปเมื่อกี้เป็นพี่ชายของเรา ไม่รู้นายทันได้เห็นหน้าหรือเปล่า รายนั้นชื่อพี่ดิน เป็นเจ้าของไร่พิศาลอนันต์ยศที่นี่แหละ ระวังอย่าไปใกล้เชียว หมาบ้าชนิดนี้ไม่มีวัคซีนรักษา บ้าหาเรื่องคนได้ทุกฤดูทุกเวลา” ศิรวัฒน์ทำหน้าตาขึงขังขู่ คนตรงหน้าเหมือนกระต่ายขนฟูที่น่าขู่ให้ตื่นตูมเป็นที่สุด และก็ได้ผลเมื่อดวงตากว้างเรียวคู่สวยมีแววตระหนกตามน้ำเสียงที่เขาบิวต์ ซึ่งที่จริงแล้วเป็นเพราะรพีกานต์ยังจำภาพผู้ชายคนนั้นโยนน้องชายตัวเองลงน้ำโครมใหญ่ได้ติดตา

“พี่ชายของนายดุมากเลยหรือ นี่นายไม่ถูกกับพี่ชายใช่ไหม”

“ไม่เชิง แต่เขาทำให้เราอยากเป็นนักบินอวกาศ จะได้ไปอยู่ไกล ๆ นอกโลก ไม่ต้องเจอหน้ากันอีก” ศิรวัฒน์ตอบเหมือนไม่ยี่หระ มือกวัดแกว่งกิ่งไม้หวดใบไม้เล่นไปตามเรื่อง หากแววตามีบางอย่างที่รพีกานต์มองไม่เห็นซุกซ่อนอยู่

“โห ขนาดว่าไม่เชิงนะเนี่ย อย่างกับเกลียดกันเข้ากระดูกดำยังไงไม่รู้ เราเป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่น้อง คิดมาตลอดว่าถ้ามีพี่น้องเล่นด้วยกันคงจะดี”

“ถ้าเป็นพี่น้องท้องเดียวกันก็คงจะอย่างนั้น” น้ำเสียงแผ่วเบาลอดผ่านริมฝีปาก เขารู้ดีถึงสาเหตุความเกลียดชังที่พี่ชายในนามมีให้

“เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ เราได้ยินไม่ถนัด”

“ไม่มีอะไรหรอก ขี้สงสัยจริง เป็นเจ้าหนูช่างถามหรือยังไง แล้วนี่ทำไมเราเพิ่งเห็นหน้า” ศิรวัฒน์เปลี่ยนเรื่องทันควัน

“เพิ่งมาอยู่ใหม่น่ะ พอดีคุณพ่อของเราไม่สบาย เลยย้ายมาพักที่ที่อากาศดี ๆ จะได้สดชื่นปลอดโปร่ง หายป่วยเร็ว ๆ” รพีกานต์อ้อมแอ้มตอบไม่เต็มเสียงนัก บิดามาพักฟื้นก็ส่วนหนึ่ง แต่หลักเลยจริง ๆ เป็นเรื่องของรพีกานต์เองต่างหาก ตอนนี้ร่างเล็กเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าคิดถูกหรือเปล่าที่มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น เพราะถ้าท้องโตขึ้น...

สัญญาณดิ้นเล็ก ๆ ในท้องแย้มพรายว่าความลับไม่มีในโลก

“เราจะกลับแล้วละ ไปนะต้นน้ำ” ร่างเล็กบอกพลางออกเดินลิ่ว ๆ จากมา ศิรวัฒน์มองตามแผ่นหลังของร่างเล็กกว่า ในดวงตาของคนทั้งคู่ต่างมีความลับเก็บงำซุกซ่อนเอาไว้ในซอกหลืบที่ไม่ปรารถนาให้ใครได้ล่วงรู้ รพีกานต์ไม่ได้หันกลับไป ส่วนอีกฝ่ายก็ถอนสายตาเบนไปยังทิศทางที่ร่างคร้ามแดดเดินจากเขาไป



“หืม ? แกว่าอะไรนะเจ้าวิน” อินทัชละสายตาจากแท็บเล็ตเงยหน้าเลิกคิ้วถามขึ้นด้วยความพิศวงเมื่อได้ยินถ้อยคำบางอย่างจากปากบุตรชายเพียงคนเดียว

“ผมบอกว่า ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป ผมจะไปช่วยงานพ่อที่บริษัท ทำไมครับ ? หรือพ่อคิดว่าผมมาประจบให้พ่อลดโทษให้” น้ำเสียงขุ่นฉุนกึกฉายแววไม่พอใจไปก่อน อัครวินท์ลนลานโพล่งปากคล้ายวัวสันหลังหวะทั้งที่ไม่ได้มีความผิดอะไรปิดบัง การเข้าหาบิดาเพื่อพูดคุยทั้งที่กินแหนงแคลงใจจนปั้นปึ่งกันมาตลอดสร้างความกระอักกระอ่วนแก่เขาไม่น้อย

“ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรแกเลย ก็แค่ถามทวนดูเผื่อหูเฝื่อนฟังผิด แกจะตีโพยตีพายไปก่อนทำไมเจ้าวิน จากที่ไม่คิดก็จะเริ่มคิดเพราะคำพูดของแกนี่แหละ” อินทัชปรารภอย่างใจเย็นปนระอาเล็ก ๆ จากถามดี ๆ จะกลายเป็นชวนทะเลาะไปเสียได้ สายตาของคนผ่านโลกมาก่อนเหลือบมองร่างเก้กังของบุตรชายอย่างพินิจพิเคราะห์พลางคิดในใจ
โตแต่ตัวจริง ๆ เป็นพ่อคนแล้วแท้ ๆ...

คิดแล้วก็แอบถอนหายใจอยู่ในใจเงียบ ๆ ด้วยความปวดเศียรเวียนเกล้า

“ก็...ผมนึกว่าพ่อคิดอย่างนั้นนี่ เดี๋ยวก็ว่าผมเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่ออีก” อัครวินท์เสียงอ่อยด้วยรู้ตัวว่าทำเสียกิริยากับบิดาไป ร่างสูงใหญ่หย่อนกายลงนั่งโซฟาตัวข้าง ๆ พลางหันกายเข้าหาเพื่อพูดคุย

“ฉันไม่เคยคิดถึงลูกชายตัวเองในแง่ร้ายไปก่อนที่แกจะก่อเรื่อง แกมันโตแต่ตัว เวลาทำผิดก็มีแต่คนออกหน้าปกป้อง จะถูกตำหนิว่าเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อก็ไม่แปลก แต่ของแบบนี้มันปรับปรุงกันได้ ถ้าแกคิดจะทำ แกเป็นพ่อคนแล้ว อีกไม่กี่เดือนลูกของแกก็จะคลอด ความคิดความอ่านก็ควรจะโตเป็นผู้ใหญ่กว่านี้ได้แล้วนะวิน ไม่ใช่เอาแต่ทำตัวเสเพล ทำตัวป๋าสายเปย์ไปวัน ๆ อย่างเมื่อก่อน ไม่อย่างนั้นถึงหาเมียกับลูกของแกเจอ กานต์เขาก็คงไม่ยอมมาด้วยหรอก ดูท่าจะเข็ดขยาดกับแกไม่น้อย” อินทัชพูดตรงประเด็นไม่อ้อมค้อม เพราะพฤติกรรมของบุตรชายไม่ใช่เรื่องน่าชื่นชมแม้แต่น้อย ที่ผ่านมาเพราะมีคนถือหาง เจ้าตัวถึงได้เหลิงระเริงจนก่อเรื่อง จนเขาเองก็นึกหวั่นใจอยู่เหมือนกันว่า สักวันหนึ่งจะมีข่าวไฮโซหนุ่มสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นจนถูกพาดหัวข่าว นำความเดือดร้อนมาถึงชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลบ้างหรือเปล่า

“พ่อก็...ผมอายุสิบเก้าเองนะ มันก็ต้องมีหลงผิดบ้าง เออแล้วเรื่องกานต์ล่ะพ่อ พอจะได้เรื่องอะไรคืบหน้าบ้างไหม” อัครวินท์หน้าจ๋อยลง จากนั้นจึงตาวาวทอประกายกระตือรือร้นร้องถามหาความคืบหน้าของข่าวคราวคนเงียบหาย

“ไม่มีวี่แวว พ่อไปคุยกับคุณเล็ก คุณอาของกานต์แล้ว แต่ก็ยังเงียบฉี่ ทางนั้นปิดปากเงียบไม่รู้ไม่ชี้อะไรทั้งนั้น แถมยังบอกอีกว่าสามแฝดทางนั้นเลี้ยงเองได้สบาย ๆ มีหนุ่มวิศวะสุดหล่ออาสาเป็นพ่อให้ ที่เต้นผางเลยเป็นทางนี้ แล้วดูนี่” อินทัชยื่นแท็บเล็ตให้ดู อัครวินท์รีบคว้ามาดูทันที ข้างในเป็นภาพรพีกานต์กำลังเลิกชายเสื้อขึ้น ดวงตากวางจ้องเป๋งยังหน้าท้องนูนของตัวเองในกระจก ดวงหน้าผ่องใสเปื้อนรอยยิ้มกระจ่าง

“รูปนี้รพินทร์ถ่ายส่งมาให้น้องชายดู คุณเล็กบอกว่าท้องโตขึ้นเร็วมาก คุณหมอคลินิกฝากครรภ์ที่ใหม่ยังบอกว่าท้องโตกว่ารายอื่น ๆ ที่ท้องแฝดเหมือนกันเสียอีก คุณพ่อเขาทำของกินอร่อย ๆ ให้น้องกานต์กินทำน้ำหนักเจ้าตัวเล็กในท้องขนานใหญ่ ตอนนี้แก้มเริ่มยุ้ยหน้าชื่นมื่นทุกวัน” อินทัชบอกพลางลอบกลืนน้ำลาย รสมือรพินทร์ไม่บอกก็รู้ว่าจะอร่อยเด็ดขนาดไหน เขาเองกินแล้วยังอยากกินอีกเรื่อย ๆ

 “พ่อ ผมอยากเจอกานต์กับลูก” อัครวินท์สีหน้าสลดลงพลางเอื้อมมือไปเขย่าแขนบิดาอาการคล้ายเด็กน้อยร้องขอของเล่น

“ฉันก็พยายามเร่งหาให้อยู่ ปู่แกยิ่งกระวนกระวายหนัก จ้างคนช่วยตามหาอีกแรงแทบพลิกแผ่นดิน ยิ่งเห็นรูปนี้ก็ยิ่งทุรนทุราย เพราะท้องแฝดน่าจะคลอดก่อนกำหนด อีกสักสามเดือนกว่า ๆ ได้ละมั้ง เจ้าสามแฝดก็จะคลอดออกมาแล้ว” อินทัชมีสีหน้ายุ่งยากแกมกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด ลมหายใจหนักหน่วงระบายผ่านปลายจมูก ทั้งงานบริษัท งานตามหาคนมะรุมมะตุ้มรุมเร้าเข้ามาทำเอาเหนื่อยไม่น้อย

“เมียแกเข้าใจตั้งชื่อเล่นสามแฝดนะ ‘ฝนหลวง ใกล้รุ่ง ฟ้าห่ม’” อินทัชอมยิ้มเมื่อนึกถึงชื่อเล่นสามแฝดที่ทางนั้นลองตั้งกันดู

“กานต์บอกว่าคุณพ่อเขาช่วยกันคิดชื่อให้ รู้เพศเด็กแล้วเลยลองตั้งชื่อเล่นกันดูเล่น ๆ โอ๊ย พ่อ ผมอยากเจอกานต์” อัครวินท์เริ่มนั่งไม่ติดที่ กระวนกระวายไม่ต่างจากปู่ของตน อินทัชเองก็จนปัญญาจะสรรหามาให้ทันใจ

“เจ้าวิน พ่อถามแกตรง ๆ นะ อายุแกก็แค่นี้ คิดจริงจังกับใครแล้วหรือ วัยอย่างแกยังรักสนุกอยู่แท้ ๆ”

“ผมต้องการกานต์ ผมรู้แค่นี้ ส่วนลูก ผมดีใจที่กานต์ท้องลูกของเรา อันที่จริงผมก็ยังไม่พร้อมกับเรื่องนี้เท่าไร มันกะทันหันแล้วผมก็คาดไม่ถึงด้วย แต่เพราะพวกแกเป็นลูกของเรา ผมต้องการพวกแกกับกานต์ นะพ่อนะ หากานต์ให้เจอ ท้องแฝดอันตรายกว่าท้องปกติ ผมว่ากานต์ต้องคลอดในโรงพยาบาลใหญ่ ๆ ที่เครื่องมือครบครัน น่าจะโรงพยาบาลเอกชนนะ ไม่แน่ว่าหมออาจให้แอดมิตรอคลอดก่อนวันคลอดจริง ถ้าเป็นอย่างนั้นเราเช็กตามโรงพยาบาลใหญ่ ๆ ได้ไหมพ่อ” อัครวินท์เร่งเร้าคาดเดาถึงความเป็นไปได้ เขาเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์แฝดอยู่เรื่อย ๆ รวมถึงเข้าดูตามพันทิปซึ่งทำให้ทราบข้อมูลจากบรรดาคุณแม่ที่มีประสบการณ์

“รู้แล้ว ๆ แกนี่นะ” อินทัชส่ายหน้าอย่างไม่ถือสา ผดาชไมเลี้ยงดูบุตรชายของเขาได้นิสัยไม่ผิดเพี้ยนเจ้าหล่อนสักนิด หล่อนใช้ลูกเป็นเครื่องมือทิ่มแทงเขา แต่อินทัชเองก็ไม่เคยถือสาหาความอัครวินท์เลยสักครั้ง อัครวินท์มองบุพการีอย่างช่างใจ ริมฝีปากได้รูปเม้มเข้าหากัน ลังเลเล็กน้อยก่อนตัดสินใจเอ่ยความรู้สึกบางอย่างออกมา

“ผม...มีบางอย่างที่อยากพูดกับพ่อ ผม...ขอโทษที่เคยทำไม่ดีกับพ่อทั้งคำพูดและการกระทำทุกอย่างที่ผ่านมา ผม...ตั้งแง่กับพ่อ ทั้งดื้อรั้นดันทุรังทุกอย่าง ผมขอโทษ” อัครวินท์รวบรวมความกล้าเอ่ยออกมาในที่สุด เขารู้ว่าตัวว่าร้ายกาจกับบิดาแค่ไหน ถึงจะเป็นการเรียกร้องความสนใจแบบเด็ก ๆ ที่อยากจะให้บิดามองเห็นเขาสำคัญที่สุดก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็อิจฉาริษยาคนที่อินทัชรักจนถึงขั้นราวีทุกคนที่เข้าใกล้ผู้ให้กำเนิด ไม่เว้นแม้แต่อิษวัตคนนั้น แต่สุดท้ายพอก่อเรื่องก็ไม่พ้นบิดาต้องคอยตามล้างตามเช็ด

“พ่อกับรพินทร์รักกันมาก่อนจะเจอแม่ของแก แต่เพราะปู่กับย่าของแกไม่ยอมรับ เราถึงต้องแยกกัน ยี่สิบปีที่แล้วไม่เหมือนกับตอนนี้ ความรักระหว่างเพศเดียวกันเป็นเรื่องที่ต้องหลบซ่อน เสื่อมเสียในสายตาคนอื่น โดยเฉพาะกับปู่ของแกที่ห่วงชื่อเสียงกับหน้าตามากที่สุด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้พ่อหมดรักในตัวรพินทร์ และทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าพ่อจะไม่รักแกนะเจ้าวิน แกเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อ เป็นอิศวัชร์เต็มภาคภูมิ พ่อดีใจที่มีแกเป็นลูก ถ้าแกจะสำนึกผิดและปรับปรุงตัว มันจะดีต่อตัวแกและคนอื่น ๆ” อินทัชบอกเล่าถึงความขื่นขมในอดีต ทั้งน้ำเสียงและแววตาบ่งบอกความเจ็บช้ำที่ตกตะกอนในก้นบึ้ง เขาถูกบิดาตัวเองแสดงท่าทีรังคัดรังแคและถูกลูกในไส้หยามเหยียดในสิ่งที่เป็น อัครวินท์จับกระแสเสียงนั้นได้ และเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมทำร้ายหัวใจของบิดา เพียงเพราะรู้ว่าพ่อ...เป็นเกย์

“ผม...ขอโทษ” ร่างใหญ่เลื่อนกายนั่งลงบนพื้น มือยกขึ้นกระพุ่มไหว้ก่อนกราบลงบนตักด้วยความสำนึกผิด อินทัชนิ่งอึ้งไป เมื่อได้สติจึงลูบศีรษะบุตรชายแผ่วเบา กระบอกตาร้อนผ่าวด้วยความเต็มตื้น เขาต้องขอบใจรพีกานต์ใช่ไหม ถ้าไม่ได้เด็กคนนั้น ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่อัครวินท์จะเลิกมองเขาด้วยสายตาดูแคลนดั่งเขาเป็นผู้ร้ายฆ่าคนตาย เพียงเพราะคนที่เขารักเป็นบุรุษด้วยกัน

“พ่อจะพยายามหาเมียกับลูกของแกให้เจอ อะไรที่มันไม่ดีก็พยายามปรับปรุง แกคงอยากให้ลูกได้เห็นตัวอย่างที่ดี ๆ ใช่ไหม”

“ครับพ่อ” อัครวินท์ถือโอกาสหนุนตักอุ่นต่ออีกครู่หนึ่ง หัวใจสัมผัสได้ว่าบิดายังคงรักเขาเฉกเช่นวันเก่า เหมือนหมอกทึบทึมสลายหายไปจากใจ มือใหญ่ของพ่อยังอบอุ่นดั่งเช่นวันวานและความอุ่นนี้ช่วยสมานรอยร้าวในใจของเขา อัครวินท์ได้เรียนรู้ว่าเพียงเปิดใจยอมรับและปล่อยวางทิฐิ เขาก็ได้บิดาที่เคยรักมากมายกลับคืนมาเช่นเก่า
...สามแฝด พ่อจะพยายามปรับปรุงตัวเอง ให้โอกาสพ่อนะลูกนะ ให้พ่อหาแม่ของหนูเจอเร็ว ๆ ด้วยเถอะ...

“พ่อ ผมนึกออกแล้วละ ว่าจะตามหากานต์เจอได้ยังไง” อัครวินท์ยกศีรษะขึ้นจากตัก มุมปากโค้งขึ้นด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เจ้ากล


-มีต่อด้านล่างค่ะ-
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๖)(P.๑๒)(๒๘/๐๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 28-06-2017 12:27:25
๒๖ (ต่อ)

♫♥ แดดรอนรอน เมื่อทินกรจะลับเหลี่ยมเมฆา ทอแสงเรืองอร่ามช่างงามตา ในนภาสลับจับอัมพร...♫♥

“อื้อหือคนท้อง เคี้ยวตุ้ย ๆ แก้มตุ่ยเลย” รพินทร์ฉีกยิ้มเอ็นดู ดวงตาทอประกายอ่อนโยนทอดมองคนท้องนั่งฟังเพลงสบายใจ ปากอิ่มเคี้ยวข้าวเหนียวขนุนมันแผล็บด้วยสีหน้าเอร็ดอร่อยเต็มที่ หลังจัดการสเต๊กปลาจบไปก็ต่อด้วยของหวาน ตรงหน้ารพีกานต์เป็นจานเปลทรงใบบัวบรรจุข้าวเหนียวขนุน ผลไม้และนมสด สารพัดสารเพของกินบำรุงครรภ์ เมนูขนมหวานทำง่ายและเป็นที่ชื่นชอบของรพีกานต์มาตั้งแต่เด็ก เพราะรพินทร์หัดลูกไม่ให้บริโภคขนมกรุบกรอบมากนัก ตัวเล็กของพ่อจึงชื่นชอบขนมหวานไทย ๆ มาตั้งแต่ตัวกระจ้อยร่อย วงหน้าเล็กเท่างบน้ำอ้อยพอเริ่มพูดได้ก็ร้องหาของกินอย่างน่ารักน่าชัง

“อื้อ อร่อย พ่อทำอร่อยนี่นา ทำอะไรมาอร่อยทุกอย่างเลย ทั้งของคาวของหวาน ยิ่งขนมไทยหอมกลิ่นกะทิแบบนี้กานต์ยิ่งชอบ อ๋อย สามแฝดพ่อท้องตึงจังเลย หนูตัวโตขึ้นแน่ ๆ เลย” คนท้องส่งใบหน้าเปื้อนยิ้มจนตาหยีมาให้พลางยืดกายแอ่นขึ้นเล็กน้อยมือลูบท้องนูนอารมณ์ดี รพินทร์ทรุดกายลงนั่งเคียง มือยกขึ้นลูบเรือนผมนุ่มเป็นม่านเงาแผ่วเบา เห็นคนกินชอบ คนทำก็อิ่มใจ

“ตึงสามแฝดหรือตึงที่กินเข้าไป เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อจะทำลูกเดือยเปียกทรงเครื่องให้กินตอนว่าง” คนจัดสรรเมนูแย้มแพลนให้คนฟังน้ำลายหก

“คุณปู่ของสามแฝดใจดีที่สุด” รพีกานต์ฉีกยิ้มแป้นว่าพลางสอดมือกอดเอวหมับ ซบใบหน้าลงคลอเคลียบนบ่าก่อนเหลือบสายตาขึ้นออดอ้อนประจ๋อประแจ๋เต็มที่ รพินทร์เอ็นดูแกมมันเขี้ยวเล็ก ๆ จึงสนองด้วยปลายจมูกจรดลงยีเล่นบนหน้าผากเนียนเบา ๆ กระเซ้าให้บุตรชายหัวเราะคิกคักด้วยความจั๊กจี้ คนท้องใบหน้าอิ่มไปด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจกอดกระชับเอวบิดามากกว่าเก่า

“หื้อ อ้อนใหญ่เลยน้า กินขนาดนี้ย่อยทันไหมเนี่ย มื้อเที่ยงวันนี้เป็นขนมจีนน้ำเงี้ยวนะ มาถึงแหล่งต้นตำรับอาหารเหนือแท้ ๆ แล้วต้องลองเสียหน่อย พ่อให้คนไปซื้อแล้วละ ถ้าเจอข้าวเกรียบปากหม้อก็ให้ซื้อติดมาด้วย ผักเครื่องเคียงได้กระถินริมรั้วที่ขึ้นเรี่ยอยู่แถวนี้พอดี เออแล้วนี่พี่ณัฐจะมาเมื่อไหร่หรือน้องกานต์” รพินทร์แจงเมนูเรียกสายตาวาวจากคนชอบกินแล้วถามเลยไปถึงเด็กหนุ่มรักดีอีกคน รายนั้นติดใจขนมจีนน้ำยารสมือเขาอยู่เหมือนกัน อาสาขูดมะพร้าวให้แข็งขันทุกที

 “ยังไม่รู้เลยครับ หลวงตาอาพาธ พี่ณัฐเลยอยู่ดูแลก่อน ว่าไปแล้วก็คิดถึงพี่ณัฐกับหนูตะวันเหมือนกันเนอะ เราน่าจะพาหนูตะวันมาด้วยกัน” รพีกานต์นึกถึงมือใหญ่ที่พยายามถักถุงเท้าน้อย กับเด็กชายที่สีหน้าดูอิ่มเอิบกว่าเมื่อก่อน

“พี่ณัฐก็คิดถึงน้องกานต์อยู่ตลอดมาตั้งนานแล้ว และตอนนี้ก็เผื่อแผ่ไปให้สามแฝดด้วย ขอให้หลวงตาหายอาพาธเร็ว ๆ พี่ณัฐจะได้พาถุงเท้าน้อยมาหาสามแฝด” รพินทร์แอบหยอดไปเสียทีหนึ่ง อย่างไรก็นึกชมชอบเด็กรักดีละนะ ถึงจะไม่ได้กีดกันอัครวินท์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไรเลยกับคนที่ทำให้แก้วตาดวงใจของเขาต้องเสียใจ ไม่กีดกันแต่ก็ไม่สนับสนุน เพียงแต่ลูกรักคนไหน เขาก็สุขเอาตามใจลูก รพีกานต์ได้ฟังก็ไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ มือเรียวยังคงกอดบิดาด้วยความสบายใจ

“ยิ่งท้องโตยิ่งขี้อ้อนเป็นลูกแมวเหมียวเลย” รพินทร์ลูบท้องนูนทักทายหลาน ริมฝีปากจรดลงหน้าผากเนียนกดย้ำเบา ๆ อ้อนมาก็ตามใจกลับ ถูกใจคนท้องนักละ

“วันคลอดพ่อเข้าไปกับกานต์น้า”

“ครับผม พ่อจะได้เห็นสามแฝดก่อนใครด้วยเนอะ แต่เอ...ถ้าพี่ณัฐอยากเข้าไปให้กำลังใจด้วยละ รายนั้นหลงสามแฝดอยู่นา” รพินทร์เย้าน้อย ๆ ใจนึกไพล่ไปว่าหากได้ณัฐธีร์มาคอยดูแลคงหายห่วงเป็นปลิดทิ้งทั้งตัวรพีกานต์และหลานตัวน้อย รวมไปถึงกิจการของครอบครัว เขาเข้าใจความรู้สึกของบุพการีที่ปรารถนาอยากให้กุลบุตรได้เจอคู่ครองที่ดีก็คราวนี้ เข้าใจถ่องแท้ถึงหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่แล้วว่าทำไมครอบครัวของอินทัชถึงได้กีดกันเขา เพราะตอนนี้ในใจลึก ๆ รพินทร์เองก็ยังอยากเชียร์ณัฐธีร์เป็นลูกเขยอยู่เหมือนกัน ติดที่ความรู้สึกของรพีกานต์ต้องมาก่อนความปรารถนาของเขา จึงเชียร์ณัฐธีร์ออกนอกหน้ามากไม่ได้

“เออ นึกได้แล้ว ตอนนี้อาเล็กเรากำลังเจอศึกหนัก” รพินทร์เกริ่นขึ้นอย่างเพิ่งนึกออก

“หือ ? ศึกหนักอะไรหรือครับ” รพีกานต์เลิกคิ้วด้วยความฉงน เอี้ยวกายไปตักขนมเข้าปาก ท่าทีตั้งใจฟังไปด้วย

“พี่วินเราน่ะสิ ป่วนอาเล็กเขาจนแทบไม่เป็นอันทำอะไร ตอนนั้นพ่อเองดันสั่งไว้ว่าถ้าเจ้าตัวอยากจะพักที่บ้านเราต่อก็ตามสบาย ใครจะคิดว่าตอนนี้เจ้าตัวจะกลับเข้าไปพัก แถมตามตื้ออาเล็กแจ ชอบทำตาหวานเชื่อมหมาน้อยจ้องอาเขาบ่อย ๆ คงกะใช้ลูกอ้อนง้างปากอาเรานั่นละ สายตาพี่วินเป็นยังไงกานต์ก็รู้นี่ อาเล็กประสาทเสียมากจริง ๆ ไล่ยังไงก็ไม่ยอมไป เหน็บประชดยังมีหน้ายิ้มรับ แถมยังเอาหนูตะวันกับคุณแม่บ้านเป็นพวกอีก ทั้งสอนหนูตะวันว่ายน้ำเอย สอนเล่นบาสออกกำลังเอย ซื้อของเล่นให้อีกพะเรอเกวียน หลอกล่อเก่งจริง ๆ ตาคนนี้ คุณรพีสวัสดิ์ฝากบอกมาว่า ไม่แปลกใจเล้ย ที่น้องกานต์จะตกหลุมพรางพ่อคุณเข้า” รพินทร์ปรารภอย่างติดขำนิด ๆ อินทัชเป็นหนุ่มเจ้าสำอาง ดูดีทุกกระเบียดนิ้ว แต่ไม่มีทีท่ากะลิ้มกะเหลี่ยรู้จักใช้ลูกล่อลูกชนเข้าหาคนอย่างลูกชาย

“คงกะหลอกถามความลับจากเด็กละซี ร้ายกาจจริง ๆ นะ พ่อของสามแฝดเนี่ย ปกติติดหยิ่งถือตัวออกจะตายไป แต่ถ้าคิดจะตกปลาละก็ปลิ้นปลอกกลอกกลิ้งไม่มีใครเกิน” เอ่ยพลางหลุบสายตาลงมองท้องกลม อธิบายความรู้สึกตอนนี้ไม่ถูกนักที่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามตามหาตนเองอยู่ คนอย่างพี่วินเคยง้อ เคยพยายามทำอะไรแบบนี้กับใครบ้างไหมนะ รพีกานต์เผลอกัดริมฝีปากด้วยความสับสนยุ่งเหยิงในใจ บางส่วนของความรู้สึกอ่อนไหวคล้ายว่าหัวใจจะพองขึ้นเล็ก ๆ

“แต่เอ๊ะ พี่วินเล่นกับหนูตะวันได้ด้วยหรือครับ ก็หนูตะวัน...” ท้ายประโยคกลืนหายลงลำคอ อย่างที่รู้กันว่าเด็กชายฉายสิรินั้นไม่ยอมปริปากเจรจากับใคร ตอนแรกเข้าใจกันว่าเด็กชายนั้นเป็นใบ้ เอาเข้าจริงกลับมีสาเหตุอื่นที่เด็กไม่ยอมพูด

“ดูเหมือนจะชวนทำกิจกรรมกระตุ้นให้พูดมั้ง เด็กกำลังอยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็น กานต์ดูคลิปนี่สิ อาเล็กแอบถ่ายส่งมาให้ดู” รพินทร์ยื่นสมาร์ตโฟนให้ดู เป็นภาพเรือนร่างสูงใหญ่ราศีจับสง่ากำลังเล่นบาสกับเด็กชายตัวเล็ก มีสุนัขตัวโปรดของหนูฉายสิริวิ่งวนรอบ ๆ ใบหน้ายิ้มแย้มนั้นหัวเราะ มือลูบหัวเจ้าสี่ขาพันธุ์ไทยธรรมดาอย่างเอ็นดู เสียงชวนพูดคุยยังคงมีเสน่ห์ไม่สร่างซา

“ปกติพี่วินดูเข้าถึงยาก อารมณ์แปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่ยักรู้ว่าจะเล่นกับเด็กหรือสัตว์ได้ กานต์กับพี่วินคงรู้จักกันน้อยเกินไปครับ”

“ก็แค่รู้จักกันไม่นานพอจะเห็นในหลาย ๆ มุมน่ะ ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวเขานั่นแหละว่าจะเปิดให้เรารู้จักเขาได้มากแค่ไหน แฟนกันยังไม่รู้เรื่องของกันทุกเรื่องเลย” รพินทร์มองบุตรชายที่หลุบสายตามองดูคลิป ในสายตารพีกานต์ อัครวินท์เปรียบเหมือนเจ้าชายที่ใครต่างหมายตา เมื่อเจ้าชายยื่นมือมาตรงหน้าเด็กน้อยที่แอบปลื้มตนเองอยู่ รพีกานต์ที่ไม่นึกไม่ฝันว่าอีกฝ่ายจะสนใจตนเองจึงได้ลุ่มหลงกับเจ้าชายในฝัน

“สร้างภาพ” เสียงห้วนขุ่นเคืองดังขึ้น ใบหน้างอง้ำเล็ก ๆ ไม่วายปรายตามองภาพเคลื่อนไหวในสมาร์ตโฟน รพินทร์ยิ้มบางในหน้ามองคนอยากเกลียดเขาแต่ก็เกลียดได้ไม่เท่าปากว่า

“ดูทำหน้าทำตาเข้า ฮึฮึ ไม่มองไม่ต้องสนใจก็สิ้นเรื่องแล้ว” คนพูดปรารภน้ำเสียงราบเรียบมองคนลุกลนหลุกหลิก ไม่ได้รู้ตัวเองเลยว่าที่อีกฝ่ายยังคงมีอิทธิพลในความคิดก็เพราะใจตัวเองยังตัดเขาไม่ขาด

“ไม่ดูแล้วครับ งั้นกานต์ขอแบ่งขนมไปให้เพื่อนใหม่นะ เพิ่งรู้จักกัน แต่กานต์อยากจะพรีเซนต์ของหวานฝีมือพ่อสุด ๆ ไปเลย” คนท้องเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง ดวงตาพราวระยับอีกครั้งเมื่อนึกถึงใบหน้าคมคายของต้นน้ำ

“ไปรู้จักมักจี่ใครที่ไหนมาอีกละ”

“ชื่อต้นน้ำครับ อยู่ไร่ติดกันนี่เอง กานต์เจอต้นน้ำที่ลำธารด้านโน้น” นิ้วเรียวชี้ไปทิศทางที่เจ้าตัวได้เจอมิตรใหม่

“กานต์มีตัวเล็กอยู่ในท้องนะลูก จะมีเพื่อนคบหากับใครก็ดูนิสัยใจคอให้ดี” รพินทร์เอ่ยเตือน เขาพาลูกมาหลบจากความวุ่นวายจึงไม่อยากให้รพีกานต์ชะล่าใจนัก

“จริงด้วย ตอนนี้ต้นน้ำคิดว่ากานต์ลงพุง แต่ต่อไปท้องโตขึ้น ต้นน้ำต้องคิดว่ากานต์แปลกประหลาดแน่ ๆ ถ้างั้นกานต์เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านเราดีกว่า” ใบหน้าสดใสสลดวูบลง ความคิดอยากผูกมิตรแต่เดิมจึงพับไป รพินทร์เห็นแล้วใจอ่อนยวบด้วยความสงสารเต็มกำลัง น้องกานต์อยู่ที่นี่เงียบสงบก็จริง แต่นาน ๆ ไปก็คงต้องมีเบื่อหน่ายกันบ้าง

“เอาเถอะ พ่อทำขนมไว้เยอะเลย น้องกานต์แบ่งไปให้เพื่อนบ้างก็ดีนะ” กลายเป็นรพินทร์ที่ทัดทานต่อไม่ไหว เขาอยากเห็นลูกสดใสมีความสุขอย่างดวงตะวันที่เป็นชื่อของเจ้าตัวจึงอนุโลมให้ รพีกานต์ยิ้มร่า ไม่วายเอ่ยสำทับ

“กานต์จะระวังตัวครับ”

♫♥♫♥♫♥
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๖)(P.๑๒)(๒๘/๐๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 28-06-2017 15:49:44
กลับมาแล้ว ยังรออยู่นะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๖)(P.๑๒)(๒๘/๐๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 28-06-2017 16:29:51
กลับมาแล้ววววว
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๖)(P.๑๒)(๒๘/๐๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 28-06-2017 17:31:06
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๖)(P.๑๒)(๒๘/๐๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 28-06-2017 19:29:25
ฮูเร่ๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๖)(P.๑๒)(๒๘/๐๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 28-06-2017 20:35:45
 แบบนี้คงตัดใจยากล่ะกานต์
 รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๖)(P.๑๒)(๒๘/๐๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 28-06-2017 20:43:35
 :hao6: กลับมาแล้วววว ดีใจมากกกกก ไม่อยากให้หายไปนานๆอย่างนี้เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๖)(P.๑๒)(๒๘/๐๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 28-06-2017 21:30:36
 :pig4: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๖)(P.๑๒)(๒๘/๐๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: pamazier24 ที่ 28-06-2017 21:37:30
รพีกานต์ตอแหลแบ๊วดีค่ะ ชอบ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๖)(P.๑๒)(๒๘/๐๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 28-06-2017 22:16:59
กานต์มีความสุขเราก็ดีใจ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ใจคน
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๖)(P.๑๒)(๒๘/๐๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 28-06-2017 22:42:22
มาให้หายคิดถึงแล้ว
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๖)(P.๑๒)(๒๘/๐๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: แม้วธวัลหทัย ที่ 28-06-2017 22:48:55
ขี้ตาไปประมาณสี่แสนรอบได้
ในที่สุด... มาต่อแล้วววววววววววว
ดีใจมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

ขอบคุณที่มาต่อนะคะ
ตอนต่อไปอย่าทิ้งช่วงนานอีกนะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๖)(P.๑๒)(๒๘/๐๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: pawara123 ที่ 28-06-2017 23:06:22
ขอบการใช้ภาษาอ่ะสวยงามมาก
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๖)(P.๑๒)(๒๘/๐๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Pe_no ที่ 29-06-2017 10:19:29
มาแล้วคิดถึงเรื่องนี้  :mew2:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๖)(P.๑๒)(๒๘/๐๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 29-06-2017 15:43:17
มาต่อแล้ว วินจะตามหากานต์เจอก่อนคลอดไหมเนี่ย สู้ๆนะวิน
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๖)(P.๑๒)(๒๘/๐๖/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 02-07-2017 08:19:05
เพิ่งได้มาตามอ่านค่ะ เรื่องนี้ภาษาสวยมากๆ ชอบบบ
ตอนแรกคือเกลียดอิพี่วินมากก สงสารทั้งกานต์และพี่ณัฐเลย  :hao5:
นี่หวังว่าพี่ณัฐจะได้คู่กะน้องตะวันนะเนี่ย โชตะไปเลย 55555
คู่คุณพ่อก็น่าลุ้น ดูมีอุปสรรคเยอะกว่าคู่ลูกอีก หวังจะมีรีเทิร์นได้มั้ยเนี่ย TT
เราแอบจิ้นคู่วิศรุตกะรพีสวัสดิ์เงียบๆ เพราะเห็นเข้ามาอยู่บ้านใกล้กันแล้ว จะลุ้นขึ้นไหมเนี่ย 5555
เห็นจากเกริ่นนำตอนแรก พี่ดินอะไรนี่จะเป็นคนที่มาจีบกานต์สินะ แล้วต้นน้ำล่ะ พี่น้องคนละพ่อแม่เลยรึเปล่า จิ้นให้คู่กะดินไปเลยได้ไหม 55555
ปล.เราชอบกลอนที่คุณแต่งมากๆ เลยค่ะ เพราะทุกบทเลยย ><
มาต่อไวๆ นะค้า  :ling1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๘)(P.๑๒)(๒๒/๐๘/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 22-08-2017 09:41:10
เสน่หา...รักเอย ๒๗
มัสยาต้องมนตร์วารี

“รื่นรื่นระรงรอง   ไหวสะท้อนรวีฉาย
เคลื่อนเคลื่อนเมฆาคลาย   ฟ้าแจ่มใสใจรื่นรมย์”

คนท้องฮัมเพลงไปพลางลูบพุงทักทายสามแฝดไปพลาง ขณะสาละวนหยิบขนมจัดลงในกล่องทัพเพอร์แวร์แล้วปิดฉึบ นำไปหย่อนลงตะกร้าหวายปิกนิกพร้อมขวดน้ำกับเสื่อ หยิบหมอนใบเล็กหนีบติดรักแร้มาด้วย แล้วเดินลงบันไดอ้อมไปด้านหลังบ้าน รอยยิ้มอ่อนโยนแจ่มใสประดับบนดวงหน้าเยาว์ ยามบ่ายบิดาของเด็กหนุ่มกินยาแล้วนอนพักผ่อนใต้ถุนโปร่ง มีลมโกรกตลอด รพีกานต์ชอบเสียงน้ำไหลเอื่อย เสียงนกร้อง เขาจึงมักพาสามแฝดมานอนหลับใต้ต้นไม้ใกล้ลำธารเสียเป็นส่วนใหญ่

ถือตะกร้ามาถึงเปลนอนใต้ต้นไม้ริมลำธารที่ประจำ ชะเง้อคอยืดยาวมองข้ามรั้วเข้าไปยังเขตไร่ฟากติดกัน ไร้วี่แววคนที่เคยเจอ ใจหนึ่งนึกยินดีด้วยไพล่นึกถึงคำพ่อเตือน อีกใจก็แอบผิดหวังนิดหน่อยเพียงเสี้ยววูบ เพราะอย่างไรเสียเรื่องลูกต้องสำคัญมาอันดับแรกสุด เมื่อเห็นท่าว่าปลอดคน รพีกานต์จึงปูเสื่อวางของ ตัวเขาเองเอนกายนอนบนเปลญวน พลิกท่านอนเหมาะเจาะสบายตัวแล้วจึงเอื้อมมือไปเปิดตะกร้าหยิบแท็บเล็ตขึ้นมาดู
ก่อนมื้อเที่ยงคุณอาเล็กส่งคลิปวิดีโอมาให้ ข้างในเป็นภาพเคลื่อนไหวของคุณชายอัครวินท์กำลังเล่นเปียโนเพลงของโมสาร์ท ใบหน้าหล่อเหลาของเจ้าตัวดูตั้งอกตั้งใจอัดคลิปนี้เป็นพิเศษ สายตาคมคายมองมาที่กล้องเป็นระยะ เหมือนจงใจมองให้ทะลุมายังคนอีกฟาก

“พี่ตั้งใจเล่นเพลงของโมสาร์ทฝากให้สามแฝดกับคุณแม่ ถ้ากานต์อยู่ด้วยกันตอนนี้ พี่คงเล่นให้กานต์กับลูกฟังทุกวัน พี่คิดถึงกานต์กับลูกของเรามากนะ ให้โอกาสพี่เจอกานต์นะครับ” น้ำเสียงเศร้าสร้อยติดวิงวอน สายตาทระนงราวแสงตะวันเจิดจ้าคู่นั้นหม่นแสงลงแตกต่างจากทุกที ไม่รู้เจ้าตัวไปใช้คารมกับคุณอาเล็กยังไงเข้า ถึงได้มีคลิปเพลงไพเราะนี้ส่งมา

“ไม่ยักรู้ว่าพี่วินของกานต์จะมีพรสวรรค์ทางดนตรีแบบนี้” รพีสวัสดิ์ปรารภอย่างนึกทึ่งกับหลานชาย หลังจากได้เห็นปลายนิ้วเรียวพรมลงบนคีย์ราวร่ายมนตร์ชวนเคลิ้มตาม อัครวินท์ในยามนั้นงามสง่าราวเจ้าชายในฝันไม่ปาน ไม่แปลกใจสักนิดหากหลานชายของเขาจะหวั่นไหวเผลอใจให้

“พี่วินเล่นเปียโนเป็นตั้งแต่สี่ขวบแล้วครับ ทั้งทักษะด้านกีฬา แล้วก็พูดภาษาต่างประเทศได้อีกหลายภาษา คุณแม่จัดโปรแกรมชีวิตให้ตั้งแต่เด็ก ทั้งเรียนพิเศษ เรียนดนตรี  โตมาเลยเก่งหลายด้าน แต่ติดขี้เกียจมากสักหน่อย กานต์เคยได้ยินพี่วินบ่นขี้เกียจเรียน หาเรื่องโดดไปทำอะไรไร้สาระอยู่บ่อย ๆ” รพีกานต์นึกภาพงูเหลือมอัครวินท์ตัวเขื่องนอนอิดออดติดเตียงไม่ยอมลุก พอถูกปลุกให้อาบน้ำไปเรียน เจ้าตัวก็มักทำสีหน้าเบื่อหน่ายเสียเต็มประดา คนอื่นเป็นอย่างไร รพีกานต์สุดจะรู้ แต่งูเหลือมวินเท่าที่รพีกานต์เห็น รู้สึกจะไม่ถูกโรคกับคำว่า ‘เรียน’ อย่างกับเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานานนม ถ้าขย้อนออกมาได้ เจ้าตัวคงไม่รีรอที่จะทำ ยกเว้นพูดเรื่องเที่ยวเตร่ที่จะคึกคักเป็นพิเศษ ดีดตัวผึงลุกจากเตียงได้โดยไม่ต้องบอกซ้ำ
รพีสวัสดิ์ฟังคำบอกเล่าจากปากหลานชายก็พอจะนึกภาพความทุกข์ทรมานจากความกดดันในวัยเยาว์นั้นออกกลาย ๆ ลูกฉันต้องเด่นต้องเก่งเหนือนำใคร ๆ เพื่ออรรถรสของบรรดาผู้ปกครองยามโอ้อวดเกทับกัน เคราะห์กรรมเลยมาตกที่เด็ก ถ้าจะมีใครรังแกลูกได้เจ็บปวดที่สุดก็คงไม่พ้นพ่อแม่ของเด็กเองนั่นแหละ

“แล้วเรื่องอื่นล่ะครับ พี่วินทำให้คุณอาปวดเศียรเวียนเกล้ามากไหม” รพีกานต์ออกจะเกรงใจคุณอาคนเล็กอยู่ไม่น้อย แต่คำตอบที่ได้กลับมากลับผิดคาด

“ไม่นะ ตอนแรกอาคิดว่าจะก่อความวุ่นวายมากกว่านี้เสียอีก จะได้ถือโอกาสนี้ใช้เป็นข้ออ้างเตะออกจากบ้าน เอาเข้าจริง พี่วินเราช่วยงานอาได้หลายอย่างเลย นี่ก็ได้พี่เขาช่วยวางแพลนโปรโมตร้านอาหารให้อยู่ คุณชายแชร์ภาพลงไอจี คนตามมาชิมเพียบ ที่โรงงานก็ได้คอนเนกชันเพิ่ม มีออร์เดอร์เพิ่มเข้ามา ชวนอาวางแผนทำโฆษณา อายังแซ็วให้พี่เขามาเป็นพรีเซนเตอร์ให้อยู่เลย ลูกชายนายธนาคารกับเจ้าของห้างดังเชียวนา แล้วนี่นะ ตามอาไปเก็บค่าเช่าในตลาด แม่ค้าลูกค้าสาวแก่แม่ม่ายมองกันตาเยิ้ม พ่อคุณแจกยิ้มเรี่ยราด น้ำตาลแทบท่วมตลาด ได้ทั้งค่าเช่าได้ทั้งของฝากชิม หอบกันไม่หวาดไม่ไหว มิน่ากานต์ของอาถึงได้ทั้งหึงทั้งน้อยใจ มีแฟนแบบนี้มันก็น่าหนักใจจริง ๆ นั่นแหละ” รพีสวัสดิ์กระเซ้าหลานอย่างอารมณ์ดีเป็นพิเศษ มือจับถ้วยน้ำขิงยกขึ้นจิบ หางตาปรายมองคนที่ชะเง้อชะแง้อยู่ห่าง ๆ ท่าทางอยากจะร่วมวงด้วยเต็มแก่

“กานต์ไม่ได้หึงสักหน่อย อาเล็กหลงคารมพี่วินแล้วแน่ ๆ” เสียงนุ่มแย้งขึ้น

“ไม่ต้องมาพาลพาโลอาเลย เรานั่นแหละ หลงเจ้าชายผู้หล่อเหลาก่อนใครเพื่อน” รพีสวัสดิ์อดสัพยอกให้ไม่ได้ อุตส่าห์ตั้งแง่ทำใจแข็ง กะเฉ่งตัวการทำหลานเสียใจสักหน่อย ที่ไหนได้ดันผิดแผน รพีสวัสดิ์ลูบท้ายทอยพลางหัวเราะร่วน วันนี้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะมีหมอนวดหล่อ ๆ คอยนวดไหล่พินอบพิเทาเอาใจ สบายอุราไปแปดอย่าง รพีกานต์ฟังน้ำเสียงคุยจ้อ ประเมินสถานการณ์ดูแล้ว ท่าทางคุณอาคนดีจะโดนคุณไสยยี่ห้ออัครวินท์เข้าเต็มเปาแล้วเป็นแน่ เอ่ยปากชมเปาะฝ่ายนั้นได้เป็นคุ้งเป็นแคว ทัพหน้าที่ส่งไปยันเริ่มสั่นคลอน รพีกานต์ละนึกหวั่นใจการรุกคืบของพ่อเสือตัวร้ายพิกล

“อาเล็กต้องรู้จักพี่วินให้มากกว่านี้ครับ พี่วินทำได้ทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องดี ๆ” แต่อย่าหวังว่าคนอย่างรพีกานต์จะหลงกลซ้ำสอง

“แสดงว่ากานต์รู้จักพี่วินทั้งด้านดีและไม่ดี” รพีสวัสดิ์อมยิ้มหยั่งเชิงกระต่ายขาเดียวที่ยังเต้นเหยง ทั้งที่คนอาบน้ำร้อนมาก่อนจับน้ำเสียงตื่นเต้นจากเจ้าตัวได้ยามเอ่ยปากถึงอีกฝ่าย เขาไม่ได้เออออไปด้วยเพราะความช่วยเหลือแค่นี้หรอกน่า แต่อะไรที่เป็นผลประโยชน์จะปล่อยให้หลุดมือก็ยังไงอยู่ อีกอย่างเขาก็ไม่ได้รับปากเรื่องรพีกานต์เสียหน่อย ในเมื่ออีกฝ่ายอยากอำนวยผลประโยชน์ให้ เขาก็แค่รับไว้ เพราะปลายทางสุดท้ายเม็ดเงินก็ตกไปเป็นค่าเลี้ยงดูสามแฝดอยู่ดี นี่ละนะ ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดี หากป้องกัน ปัญหาก็คงไม่เกิด ใจจริงรพีสวัสดิ์อยากตำหนิหลานเต็มแก่ แต่เห็นหน้าตาเศร้าสร้อยแล้วก็ดุไม่ลง ยั้งคำพูดกลืนลงคอเสียอย่างนั้น

“รู้ แต่ยังไม่มากพอครับ กานต์เองก็ผิด ที่ถลำตัวหลงใหลได้ปลื้มกับเปลือกนอก กานต์ทำร้ายคนดี ๆ อย่างพี่ณัฐ บางทีนี่อาจเป็นบทลงโทษสำหรับกานต์ที่เลือกผิด” ถ้อยคำทิ้งท้ายเด็ดเดี่ยวแต่แฝงด้วยความหดหู่ลึก ๆ

“นี่ละน้าความรัก ถ้าทุกคนบนโลกใช้สมองในการเลือกรักกันหมด โลกนี้คนดีคงไม่ผิดหวัง แต่ก็เพราะมันไม่ง่ายไง หลายคนถึงพยายามไขว่คว้า” คุณอาคนดีปัจจุบันยังเกาะความโสดเอาไว้เหนียวแน่นเปรยขึ้นลอย ๆ รพีกานต์ได้แต่นิ่งฟังคนไม่เคยกังวลเรื่องไร้คู่ ด้วยเจ้าตัวขี้เหนียวเวลาส่วนตัวเป็นที่สุด มือเรียวลูบท้องกลมเริ่มหาวหวอด คุยกับคุณอาลูกหลงคนสุดท้องก็เหมือนคุยกับพี่ชาย แถมรายนั้นใส่ใจดูแลตัวเองดี หน้ายังใสกิ๊งเหมือนวัยรุ่น

รพีกานต์พยายามทำใจแข็งไม่สนใจคนในคลิป มือเรียววางแท็บเล็ตบนฝาตะกร้านอนฟังแค่เสียงดนตรีบรรเลงไปเรื่อย สายลมเย็นโชยผ่าน กิ่งไม้ระบัดใบไหวน้อย ๆ เสียงน้ำไหลเอื่อยรื่นรมย์คละเคล้ากับเสียงดนตรีใสกังวาน ดวงตางามวูบไหวด้วยความสับสนที่ถาถั่งเข้ามาในใจ ความรักกับความกลัวที่เกาะกุมเหนียวแน่นในใจกำลังคานอำนาจกันหนักหน่วง อ้อมกอดอุ่นแปรเปลี่ยนเป็นความหนาวเหน็บซุกซ่อนซึ่งความหวาดกลัวดำมืดในใจ มีพลานุภาพทรงพลังมากพอที่จะกัดกร่อนความรักอ่อนหวานที่ร่วมสานด้วยกันมาให้สะบั้นลง เปิดใจรักว่ายากแล้ว เปิดใจให้เชื่อใจคน ๆ เดิมซ้ำอีกหน ยากเสียยิ่งกว่ายาก

หากจะรัก ต้องรักให้ได้ทั้งหมด ทั้งความงดงามของกลีบดอกสะพรั่ง และรากหยั่งที่เปื้อนตม
หากจะรัก รพีกานต์ต้องรักให้ได้ทั้งหมดในตัวตนของคน ๆ นั้น ทั้งอัครวินท์ในคราบเทพบุตรและมารร้ายกักขฬะ
แต่มันช่างยากเหลือเกิน เมื่อเขาได้ทำสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนเพียงเพื่อหวังผลบางอย่าง สักวันหนึ่งเขาก็จะกลับไปเป็นอย่างที่เคยเป็น ยามรักแม้ดาวเดือนรับปากจะหาให้ ยามหมดใจ ทำอะไรก็ขวางหูขวางตา

รพีกานต์ยอมรับว่าตนเองกำลังหวาดกลัว
กลัวว่าจะทนรับกับความเสียใจซ้ำสองจากคน ๆ เดิมไม่ไหว
ตัวของเขาไม่มีอะไรยืนยันความแน่นอนให้วางใจปล่อยวางจากความกลัวได้เลย

ทั้งอัครวินท์ที่กำลังพยายามเอาชนะหัวใจบอบช้ำของรพีกานต์ และตัวคนท้องเองที่ต้องพยายามเอาชนะความกลัวในใจตนเอง ไม่ว่าทางไหนก็ไม่ง่ายเลยสักนิด เมื่อใครคนหนึ่งทำตัวเสมือนเด็กเลี้ยงแกะ คำพูดของเขาจะหมดความน่าเชื่อถือในครั้งต่อไป ทุกสิ่งที่ทำมาทั้งหมดล้วนหมดความหมายลงจากการโกหกเพียงครั้งเดียว

มธุพจน์รสอ่อนหวาน   แสนชื่นบานยามตรับฟัง
แรกเริ่มแสนสุขล้ำ      ครั้นนานวันคำจืดจาง
อยากรักต้องกล้าแลก   เผื่อรักแตกแหลกขื่นขม
ปวดแปลบแสบระทม   อกตรอมตรมถั่งถมใจ


เสียงเปียโนเพลงของโมสาร์ทยังคงดังกล่อม รพีกานต์เหลือบสายตาเหม่อมองท้องฟ้าปลอดโปร่ง ปุยเมฆขาวเหมือนขนมถ้วยฟูล่องลอย ความรู้สึกหลากหลายถะถั่งโถมเข้าหาราวคลื่นคลั่งซัดกระทบฝั่ง สายลมบางเบาพัดแผ่วผิวกายแต่หนาวเยือกสะท้านถึงข้างใน ความรักยังคงไม่เสื่อมคลาย แต่ความเสียใจยังคงเกาะแน่นฝังรอยร้าวลึก ทิ้งร่องรอยบาดแผลอุกฉกรรจ์เรื้อรังข้างในใจ เหมือนมีหนามเล็ก ๆ ยอกแปลบอยู่ภายในอก ทำอย่างไรก็สะกิดไม่ออก ความเชื่อใจพังทลายหมดสิ้น ไม่ง่ายที่จะสร้างขึ้นมาได้ใหม่ด้วยคำแก้ตัวเพียงไม่กี่คำ

...เคยรักกันจริง ๆ บ้างไหมนะ...
...สนุกมากไหม ? ที่เคยทำร้ายกันอย่างเลือดเย็น...

เสียงเพลงแว่วหวานขับกล่อม สิ่งมีชีวิตในครรภ์ดิ้นตอบรับราวรับรู้ได้ รพีกานต์ลูบท้องกลมแผ่วเบา ปล่อยหัวใจขมุกขมัวที่ซึมซับไปด้วยความหมองหม่นล่องลอยไปเหมือนกลุ่มเมฆหม่นครึ้มใกล้กลั่นตัวเป็นหยดน้ำ
เคว้งคว้าง เดียวดาย และเหน็บหนาว

คืนวันที่แสนปวดร้าว ใครอีกคนไปอยู่เสียที่ไหนนะ ยามที่มือสั่นระริกโอบกอดร่างสั่นสะท้านของตัวเอง เดินสะโหลสะเหลประคองตัวข้ามฝ่ากระแสธารแห่งความเสียใจ เย็นเยือกราวเข็มนับพันทิ่มแทง ยามนั้นมืออุ่นของเขาจับอยู่ที่ใครกันหนอ เขาไปอยู่เสียตรงไหนนะ ในยามที่เราเสียใจอย่างลึกซึ้ง นั่งกอดตัวเองร้องไห้ท่ามกลางความหมองหม่นเหน็บหนาว ในความสลัวพร่าเลือน ไอเย็นหนาวเหน็บแทรกผ่านผิวเนื้อที่เคยมีเขาถ่ายทอดไออุ่น แผ่นอกหนายามค่ำคืนที่เคยซุกซบหลับใหล แผ่นหลังอุ่นด้วยมีเขากอดอยู่ด้านหลัง ความเจ็บปวดรวดร้าวทุกข์ทรมานจากการหกล้มจมในบ่อน้ำตาอันมีที่มาจากเขาปล่อยมือกัน เขาไปอยู่ที่ไหนเสียนะ ตอนที่เราเจ็บปวดจนถึงขีดสุด ล้มลุกคลุกคลานร้องเรียกหาเขา มีทางเลือกสองทาง คือ นั่งจมกับหยาดน้ำตาจนถูกกลืนหายอย่างไร้ค่า หรือลุกขึ้นมาเพื่อเรียนรู้ว่าครั้งหนึ่งเคยเจ็บช้ำ กัดฟันหยัดยืนขึ้นด้วยขาไร้เรี่ยวแรงของตัวเอง กอดตัวเองแทนอ้อมกอดอุ่นที่กลายเป็นของคนอื่นเสียแล้ว ยิ้มบิดเบี้ยวทั้งที่น้ำตานองหน้า อาศัยเวลาเยียวยาจนมันเหือดหายไปเองด้วยความชาชิน

อ้อ...เขากลับมาแล้ว แล้วเราก็ยืนเองได้แล้วเช่นกัน

ดวงตาปิดลงปล่อยวางทุกอย่าง ยิ่งยึดยิ่งเจ็บ วันนี้น้ำตาไม่ไหล แต่ความอ้างว้างเหน็บหนาวยังลอยคว้างรอบกาย หัวใจดวงน้อยบอกตัวเองว่าต้องเข้มแข็ง ลมหายใจพรั่งพรูระบายความขมขื่นหนักหน่วง ซึมซับไปกับบทเพลงกล่อมเกลาคละเคล้าเสียงน้ำไหลริน

คนที่สามารถให้อภัยคนรักที่ทรยศหักหลัง ต้องมีกำลังใจแข็งแกร่งระดับไหนกันหนอ ถึงเชื่อใจได้อย่างยิ่งยวด จนสามารถกลบลบความหวาดกลัวทุกเสี้ยวนาทีที่เคยเจ็บเจียนตายลงได้


เหมือนกำลังถูกจ้องมอง...
ความรู้สึกแรกบอกแก่รพีกานต์อย่างนั้นเมื่อรู้สึกตัวตื่น ดวงตาสวยปรือลืมขึ้น แล้วก็ได้เจอกับต้นตอความสงสัยนั้น คิ้วเข้มยาวเป็นปื้นโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ นัยน์ตาคมกริบ โครงหน้าเรียวคมสัน เจ้าของร่างเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเสื่อไม่ห่างนัก กำลังยื่นใบหน้าเข้ามาจ้องเขม็งอยู่ใกล้ ๆ ในมือยังถือยอดหญ้าชะงักค้าง หญ้าที่หมายใจจะใช้แหย่จมูกแกล้งคนหลับ ทว่าคนขี้เซาดันรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางครัน ศิรวัฒน์จึงถือยอดหญ้าที่กำลังจะยื่นเข้าไปใกล้จมูกค้างเก้อเสียอย่างนั้น

รพีกานต์กระพริบตาปริบประสานสายตาในระยะใกล้ สมองยังมึนงงสับสนเล็กน้อย ดวงตาเบลอลอยเพียงมองเขานิ่ง ๆ อยู่อย่างนั้น

“ตื่นแล้ว” เสียงทุ้มดังขึ้น มุมปากแย้มยิ้มเล็กน้อย ศิรวัฒน์ทอดสายตาอ่อนโยนมองคนเพิ่งตื่นในเปล ถือโอกาสอีกคนกำลังงงแอบโยนยอดหญ้าทิ้งทำลายหลักฐาน

“มาตั้งแต่เมื่อไหร่” รพีกานต์เปิดปากหาวหวอดเอ่ยถาม แขนเสลายืดออกกางบิดขี้เกียจเต็มที่ ปลายเท้าหย่อนลงบนเสื่อหยัดกายลุกนั่งมองคู่สนทนา

“สักพักหนึ่งได้ เห็นคนนอนน้ำลายยืดด้วยละ” เจ้าของใบหน้าคมคายสัพยอกยิ้ม ๆ แน่นอนว่าคนฟังตาโตรีบปาดหลังมือเช็ดมุมปากทันทีทันใดด้วยความร้อนตัว ก่อนจะทันรู้ตัวว่าตกหลุมพรางคนนัยน์ตาคมเสียได้

“แกล้งกันนี่ น้ำลายเราไม่ได้ยืดเสียหน่อย แล้วเมื่อกี้เห็นนะ จะแอบเอายอดหญ้ามาแหย่จมูกเรา” ดวงตากลมโตหรี่มองอย่างรู้ทัน มุกนี้รพีกานต์ทำบ่อยตอนแกล้งพี่ณัฐ ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ มีหรือจะรู้ไม่ทัน

“ฮะ ๆ รู้ทันด้วยแฮะ” คนถูกจับได้ไล่ทันหลุดหัวเราะขำ สีหน้าระรื่นไม่มีสำนึกในความผิดจนคนมองนึกหมั่นไส้

“อุตส่าห์เอาขนมอร่อย ๆ ฝีมือพ่อเรามาให้กิน ขี้แกล้งแบบนี้ไม่ให้กินด้วยแล้ว เราจะกินคนเดียว กินต่อหน้าให้นายน้ำลายหก” คนตัวเล็กลงพุงในสายตาศิรวัฒน์ตั้งท่าขู่ ดูอย่างไรก็น่าแกล้งเสียเหลือเกิน แม้จะรู้จักกันผิวเผินเจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่กลับดึงดูดให้อยากเย้าแหย่นัก ศิรวัฒน์ยิ้มน้อย ๆ มองดูคนทำจริงอย่างปากว่า มือเรียวเปิดตะกร้าหยิบกล่องทัพเพอร์แวร์ออกมาเปิดฝาอวดโฉมขนมไทยหน้าตาน่าลิ้มลอง

“อยากกินละซี ไม่ให้กินด้วยหรอก” บอกพลางหยิบชิ้นขนมส่งเข้าปากเคี้ยวลอยหน้าลอยตา รพีกานต์เป็นผู้ชายที่หน้าตาค่อนไปทางน่ารัก ใบหน้าลอออ่อนใสไร้สิวฝ้า ริมฝีปากช่างจ้ออิ่มแดงดูเปล่งปลั่ง และจมูกโด่งน่าบีบแกล้งให้หายใจไม่ออก ศิรวัฒน์คิดในใจขณะมองคนกินล่อหน้าล่อตา ไม่วายเหล่หางตามองเป็นระยะ มันน่านัก !

“เอามาให้เขาแล้วขี้ตู่กินเองเฉย แบบนี้ต้อง...” หางเสียงลากยาวแล้วละไว้ให้สงสัย ดวงตาหรี่ลงมอง มุมปากยกโค้งด้วยความเจ้าเล่ห์

“ต้องอะไร” คนฟังชะงักมือหยุดมองด้วยสายตาหวาดระแวง เขยิบก้นกระเถิบหนี มือเบี่ยงกล่องทัพเพอร์แวร์หลบด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ

“ต้องแย่งกิน !” โพล่งขึ้นรวดเร็วแล้วพุ่งมือฉกพรวด รพีกานต์หน้าเหวอ รู้ตัวอีกทีในมือก็ว่างเปล่า ขนมทั้งกล่องหายวับ อันตรธานไปอยู่ในอุ้งมือหมีเป็นที่เรียบร้อย

“เฮ้ย ได้ไง” รพีกานต์ร้องโวยวายดังลั่นเมื่อพลาดท่า แต่ก็ช้ากว่ามือที่ฉกขนมส่งเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ ล่อหน้าล่อตาให้เจ็บใจเล่น เกิดสงครามแย่งของกินอุตลุต รพีกานต์พยายามยื้อคืนสุดฤทธิ์แต่ไร้ผล คนท้องฮึดฮัดเล็ก ๆ หน้างอคอหักเป็นปลาทูแม่กลอง นายหมีมือฉกขนมเห็นดังนั้น จึงหยิบขนมโฉบมาใกล้ปาก ยึกยักมากท่าจะยื่นให้ไม่ให้ก่อนส่งเข้าปากตัวเองหน้าตาเฉย ไม่วายยักคิ้วเยาะเย้ย

“กินให้ไขมันจุกอกไปเลย เราบอกจะเอามาให้ถึงยอมอ่อนข้อให้หรอก” คนท้องเฉไฉวางมาดเขื่องทั้งที่ตัวเท่าเมี่ยงเมื่อเทียบกับหุ่นล่ำสูงใหญ่ของอีกคน

-มีต่อด้านล่างค่ะ-
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๗)(P.๑๒)(๒๒/๐๘/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 22-08-2017 09:43:38
๒๗ (ต่อ)

“อร่อยมาก ขอบคุณนะ” ยิ้มหล่อกล่าวขอบคุณอวดเขี้ยวเล็ก ๆ ที่มุมปาก ฝ่ามือใหญ่วางโปะบนศีรษะทุยก่อนยีให้ผมยุ่ง ในใจคิดว่าเจ้าคนหน้าใสกิ๊งนี่น่าแหย่ให้เจ้าตัวหัวฟัดหัวเหวี่ยงทำหน้าบูดเป็นตูดลิงจริง ๆ เห็นแล้วครื้นเครงไม่น้อย รพีกานต์เบี่ยงศีรษะหนีอุ้งมือหมีพลางตวัดมองตาขุ่น อีกฝ่ายไม่เพียงไม่สลด ยังกล้าหาญชาญชัยยื่นมือมาดึงแก้มนวลยืดออกด้วยความเอ็นดู รพีกานต์แยกเขี้ยว มือเล็กปัดป้องอุตลุต ศิรวัฒน์หัวเราะชอบใจ ละมือจากแก้มใสนุ่มนิ่มพลางทิ้งตัวลงนอนบนเสื่อ ประสานท่อนแขนหนุนรองศีรษะต่างหมอน สายตามองกลุ่มเมฆปุยบนท้องฟ้า

“อยากขี่ม้าเที่ยวไหม ตอบแทนเรื่องขนม” อีกฝ่ายถามขึ้น สายตายังคงจับจ้องที่กลุ่มเมฆลอยละล่อง รพีกานต์มองม้ารูปร่างสูงใหญ่ ลักษณะปราดเปรียวสีน้ำตาลเข้มแล้วก็นึกสนใจขึ้นมา ติดที่ว่าเขาในตอนนี้ไม่ใคร่สะดวกนัก

“อยากขี่ แต่ตอนนี้เราไม่สะดวกน่ะ” ปฏิเสธอย่างนึกเสียดาย ใจนึกไพล่ถึงพี่ชายวัยเยาว์อย่างพี่วาเลนไทน์

 ...ไร่พี่ไทน์จะมีม้าไหมนะ จะได้ไปขอขี่เล่นหลังคลอดน้องแล้ว...

“อืม” อีกฝ่ายรับคำสั้น ๆ ไม่เซ้าซี้ต่อ รพีกานต์เหลือบมองคนหลุดเข้าโหมดนิ่งขรึม คิ้วดกเข้มเป็นเส้นยาวพาดเหนือดวงตาคมดุจนัยน์ตาเหยี่ยว แพขนตาหนาขับให้ดวงตากว้างยาวดูคมคายมีเสน่ห์ ยามยิ้มดวงตาทั้งคู่โค้งขึ้นทอประกายระยับชวนฝัน จมูกโด่งโค้งเป็นสันสวย ริมฝีปากบางสีอ่อน ท่าทียามนิ่งขรึมดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัว แต่ก็ชอบแกล้ง เจอกันไม่เท่าไรก็หาเรื่องเย้าแหย่ไล่ต้อนให้หงุดหงิดเล่น กระนั้นแล้วดู ๆ ไปก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร

“มองพินิจพิจารณาขนาดนั้น สแกนพอหรือยัง เก็บค่ามองซะดีไหม” อีกฝ่ายเหสายตาหันมาประสานกัน มุมปากกระตุกยิ้มเล็กน้อย ใบหน้าขี้เล่นยักคิ้วข้างเดียวให้คนตาแป๋ว รพีกานต์เจอรอยยิ้มกระชากใจเข้าไปชักจะอดใจแกว่งไม่ไหว เสหลบคนนัยน์ตาคม

“หล่อละซี” ศิรวัฒน์หัวเราะหึหึในลำคอด้วยความตั้งใจกวนประสาท ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายคือสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการอยากจะเห็น แล้วก็ไม่ผิดจากที่คิดไว้

“โหย หลงตัวเองชะมัด” รพีกานต์โพล่งขึ้นแบบไม่ลังเล ใบหน้าเรียวส่ายหวืออย่างรับไม่ได้เต็มประดา ยอมรับว่าอีกฝ่ายหล่อเหลาจริงดังว่า แต่พอเจอว่าหลงตัวเองเท่านั้นแหละ ดูเหมือนเลเวลความหล่อจะลดลงทันที

เอ...คุ้น ๆ นะ พวกหลงตัวเองนี่

เจ้าตัวเล็กในท้องสะกิดบอกยิก ๆ อ๋อ ตัวพ่อนี่ต้องยกให้คุณชายอัครวินท์ รพีกานต์เหยียดริมฝีปากส่ายหน้าระอาเมื่อใจดันไพล่ถึงใครอีกคน

“จริงสิ นายอายุเท่าไรเนี่ย”

“สิบเจ็ดย่างสิบแปด กำลังจะเข้ามหา’ลัยปีหนึ่ง” ศิรวัฒน์ตอบทีเดียวรวบรัดเสร็จสรรพเพราะรู้ว่าเดี๋ยวอีกฝ่ายก็มีคำถามต่อ

“งั้นเราเป็นพี่นายปีนึง เราสิบแปด” แผ่นอกเล็กยืดขึ้นวางมาดรุ่นพี่ทั้งที่ความสูงน้อยกว่าเป็นคืบ

“พี่เตี้ย” อีกฝ่ายเอ่ยขึ้น คนฟังคิ้วกระตุก ใบหน้าเรียวหันขวับส่งนัยน์ตาขุ่นไม่สบอารมณ์ไปให้

“โอเค ๆ เรียกชื่อก็ได้ ชื่ออะไรนะ กานต์ใช่ปะ กานต์ที่แปลว่าที่รัก งั้น...” ศิรวัฒน์ทำท่านึก แต่มุมปากที่ผุดรอยยิ้มยั่ว แย้มความไม่ชอบมาพากลนั้นพาให้นึกหวั่นใจ  “ไม่เรียกหรอกพี่กานต์น่ะ เรียก ‘ที่รัก’ ดีกว่า” ใบหน้าคมยื่นเข้ามาใกล้พร้อมคลี่รอยยิ้มสว่างไสว ดวงตาทั้งคู่หยีโค้งเป็นรูปจันทร์เสี้ยวทรงคว่ำพานให้ใจสั่นได้ง่าย ๆ

“บ้าแล้ว มีผู้ชายที่ไหนเรียกกันว่าที่รัก ขนลุกน่า” รพีกานต์โวยวาย มือลูบต้นแขนขึ้นลงทำท่าขนลุกขนพอง เรียกน้ำเสียงหัวเราะจากอีกคน

“ฮ่า ๆ คนอื่นก็คงไม่คิดอยากเรียกหรอก ยกเว้นคนน่าแกล้งคนนี้เท่านั้นแหละ” ดวงตาหยีโค้งเป็นรูปจันทร์เสี้ยวทรงคว่ำยังคงทอประกายสว่างไสว ยิ่งอยู่ภายใต้คันคิ้วเข้มหนายิ่งเสริมให้คน ๆ นี้มีเสน่ห์อย่างไม่อยากละสายตา ศิรวัฒน์บอกด้วยแววตาขบขันขณะมองคนหน้าคว่ำ มันจะมีคนประเภทที่เห็นแล้วอยากแหย่ อยากแกล้งกวนประสาทเวลาเจอหน้า และรพีกานต์ก็คือคนประเภทนั้นสำหรับเขา คนฟังหน้าบูดคิ้วขมวดมองเขม่น ดูแล้วตลกเหมือนตัวตุ่นขี้หงุดหงิด

“เก็บไว้ไปเรียกแฟนนายเหอะ ท่าทางแบบนี้สาวเยอะแน่ ๆ” เถียงสู้ไม่ได้ก็แดกดันแทน รพีกานต์ตีหน้ายุ่งตวัดสายตาค้อน คิ้วเข้ม ๆ ยิ้มทีตาหยีโลกสว่างแบบนี้ขวัญใจสาวแน่ ๆ เผลอ ๆ ถ้าเป็นนักกีฬาโรงเรียนด้วย ภาษีความฮอตยิ่งสูงกว่าคนอื่น

“คนมาชอบเราน่ะมีแน่นอนอยู่แล้ว แต่คนที่เราชอบ...โบ๋เบ๋” สองมือผายออก พลิกไปมาเบา ๆ ประกอบคำพูดตัวเอง

“เหอะ พวกหล่อเลือกได้” ความหมั่นไส้ส่งไปยังคนไกลมากกว่าคนใกล้ตรงหน้า พี่วินนั่นมีภาษีหนังหน้า ออปชันนามสกุลดัง พ่วงด้วยรถหรู บัตรเครดิตรูดได้ไม่อั้น ตัวเลือกเลยกรูเข้าหาไม่หวาดไม่ไหว นึกแล้วอยากกระโดดถีบขาคู่ให้หน้าไถลดิน เผื่อจะมีริ้วรอยสกัดความหล่อให้ลดลงบ้าง ทุกอย่างดีหมดยกเว้นนิสัย

“หล่อก็มีหัวใจนะคร้าบ ใช่ว่าจะต้องชอบตอบทุกคนที่มาชอบเรานี่ หัวใจดวงเดียวก็เก็บไว้ให้คนที่ใช่คนเดียวสิ” อีกฝ่ายพูดขณะเก๊กหน้าหล่อ ยักคิ้วกวนประสาทส่งให้ รพีกานต์เห็นแล้วหลุดขำคิกคัก ตาคนนี้หล่อ ขี้เล่น แต่ไม่ยักกะเจ้าชู้แฮะ

“ฮ่า ๆ อยากจะเห็นคนที่ใช่ของนายจริง ๆ” คนท้องเริ่มคุยออกรส ศิรวัฒน์ชอบแกล้งแต่ก็ตลกในเวลาเดียวกัน อย่างน้อยก็ไม่เล่นแรง ๆ แบบที่เด็กผู้ชายเล่นกันในบางที รพีกานต์จึงอุ่นใจว่าจะไม่กระเทือนสามแฝด

“ถึงเวลาก็มาเองแหละ ไม่รีบหรอก” คนคิ้วเข้มว่า

“อายุสิบเจ็ดตัวใหญ่ชะมัด ยังสูงได้อีกนะเนี่ย” รพีกานต์มองหุ่นสมส่วนดูดีของอีกฝ่าย

“ผมชอบว่ายน้ำกับเล่นบาสน่ะ ได้ออกกำลังแล้วเผาผลาญดี ยกเวต โหนบาร์อีก ตอนเช้า ๆ ก็ตื่นมาวิ่งรอบไร่สูดอากาศบริสุทธิ์ ที่รักเองก็น่าจะออกกำลังกายบ้างนะ เผื่อจะสูงขึ้นมาบ้าง” อีกฝ่ายลุกจากเสื่อเดินไปเขย่งปลายเท้าโหนกิ่งไม้ยกตัวลอยขึ้นลงแบบนักกีฬาโหนบาร์ ใบหน้าหล่อทะเล้นไม่วายยิ้มล้อเลียนคนหูผึ่งหลังได้ยินสรรพนามเรียกแทนชื่อตนเอง

“นี่ ! ยังจะเรียกที่รักอีก ชื่อนี้สงวนไว้ให้แฟนเรียกเหอะ” รพีกานต์ชักจะมันเขี้ยวนายคิ้วหนา ดวงตายิ้มจันทร์เสี้ยวนี่จริง ๆ ให้ดิ้นตาย คนตัวเล็กทำท่าฮึดฮัดเล็ก ๆ แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการว่าไม่พอใจอะไรมากมาย ศิรวัฒน์ปล่อยมือหย่อนตัวลงตุบ เดินอมยิ้มเข้ามาหา

“เล่นน้ำกัน ว่ายน้ำบ่อย ๆ ตัวจะได้สูง เป็นฮอบบิทแล้วเนี่ยพี่เตี้ย” อีกฝ่ายเย้าด้วยความเอ็นดู รพีกานต์ก้มมองตัวเองแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า

“ไม่เอา” เห็นอีกฝ่ายปฏิเสธ รอยยิ้มชั่วร้ายจุดขึ้นมุมปากได้รูป นายคิ้วหนาของรพีกานต์ตรงเข้ายื้อยุดฉุดแขนคนในเปลตรงไปที่ลำธาร หนักเข้าก็ทำท่าจะจับทุ่มลงน้ำดื้อ ๆ ประสาเด็กผู้ชายหยอกเล่นกัน

“อย่า !” รพีกานต์ร้องเสียงหลงใบหน้าซีดเผือด มือเล็กสั่นระริกขยุ้มเสื้ออีกฝ่ายแน่นขืนตัวเต็มที่ เนื้อตัวสั่นเทาราวลูกนกตัวน้อย ๆ ในใจหวาดกลัวจับจิตจับใจ

...กลัวแท้ง...

ศิรวัฒน์ชะงักมือหลุบสายตามองคนในอ้อมกอด

“พี่กานต์” เขาเขย่าตัวเบา ๆ เรียกสติคนหวาดกลัว

“อย่า อย่าแกล้ง อย่า ฮึก !” ความหวาดกลัวการสูญเสียลูกน้อยทำให้รพีกานต์สติหลุดชั่วคราว ร่างเล็กสั่นระริกเผลอสะอื้นน้ำตาปริ่ม กลัว กลัวจับใจ หากอีกฝ่ายพลั้งมือเล่นแรง ๆ ด้วยความไม่รู้ ลูกน้อยที่เฝ้าทะนุถนอมรอวันได้เห็นหน้า อาจต้องสูญเสียไปเพราะความสะเพร่าของตัวเอง ความเจ็บปวดผสมปนเปกับความหวาดกลัวที่ร้างเรื้อมานานพาใจทุกข์ทรมานจนเสียการควบคุม ความน้อยใจที่ไร้คนรักปกป้องพานให้น้ำตาเอ่อ

“พี่กานต์ ผมขอโทษ” ความสนุกหายวับเมื่อเห็นท่าทีคนถูกแกล้งในอ้อมกอด ร่างสั่นระริกช่างดูบอบบางราวแก้วใสที่พร้อมจะแตกสลายลงได้ทุกเมื่อ ความรู้สึกผิดประเดประดังเข้ามาแทนที่

“ผมขอโทษ ขอโทษจริง ๆ ผมไม่รู้ว่าพี่กานต์จะกลัวน้ำ ว่ายน้ำไม่เป็นหรือครับ ยกโทษให้ผมนะพี่ นะครับพี่กานต์” ศิรวัฒน์ค่อย ๆ ดันร่างเล็กออกเผชิญหน้า น้ำเสียงนุ่มนวลกล่าวขอโทษขอโพยด้วยความรู้สึกผิด ยิ่งเห็นดวงตากลมเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตาก็ยิ่งใจเสีย รพีกานต์นิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนประสานสายตากับดวงตาคมที่มองมาอย่างวิงวอน ความรู้สึกย่ำแย่เริ่มลดลง รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจ

“พี่ไม่เป็นไรแล้ว เมื่อกี้พี่ตกใจน่ะ ร่างกายพี่ไม่ค่อยปกติเท่าไร พี่กลัวว่า...จะเป็นอันตราย” ปลายเสียงแผ่วหวิว ดวงตาหลุบมองหน้าท้อง

“ผมผิดเองที่เล่นอะไรพิเรนทร์” ศิรวัฒน์ยืดอกยอมรับผิด รพีกานต์เงยหน้ามองดวงตาจริงจังจริงใจแล้วพานโกรธไม่ลง

“ช่างเถอะ น้ำอย่าแกล้งพี่แบบนี้อีกนะ พี่ไม่อยากให้ร่างกายได้รับความกระทบกระเทือน”

“ครับ ผมขอโทษ ผมจะไม่ทำอีกแล้ว ผมคิดน้อยเอง คิดว่าเล่นกับพวกเพื่อนผู้ชายตัวควาย ๆ ที่โรงเรียนแรง ๆ ได้แล้วจะเล่นกับผู้ชายคนอื่นได้เหมือนกัน” ...ถ้าไม่ท้องก็เล่นได้น่ะแหละ... รพีกานต์คิดในใจเพียงแต่ไม่ได้เอ่ยออกไป มุมปากยกยิ้มบางไม่ถือสาแล้ว แค่เห็นท่าทีเอ่ยปากขอโทษขึงขัง ผิดแล้วยอมรับผิด เท่านี้ก็โกรธไม่ลงแล้ว

“น้ำไปเล่นน้ำเถอะ พี่ขี้เกียจกลับไปเปลี่ยนชุด เดี๋ยวนั่งโขดหินจุ่มเท้าเล่นใกล้ ๆ” ศิรวัฒน์ใจชื้นขึ้นมาเป็นกองเมื่อเห็นรอยยิ้มบาง เขายิ้มตอบอีกฝ่าย ถอดเสื้อกางเกงเหลือแต่บ็อกเซอร์พุ่งตัวลงน้ำ หันมามองก็เห็นคนตัวเล็กนั่งบนโขดหิน เท้าจุ่มน้ำเล่นอย่างที่บอก กำลังตั้งท่าสนอกสนใจเขนงนายพรานกินแมลง

...ไม่เรียกที่รัก เรียกพี่แสนดีแทนจะได้ไหมนะ...

“อยู่ที่นี่จริง ๆ ด้วย หายหัวเงียบไป ฉันตามนายได้จากที่นี่สินะ” น้ำเสียงเย็นแฝงความทระนงดังขึ้นจากบุคคลที่สาม ทั้งศิรวัฒน์และรพีกานต์ต่างหันไปทางต้นเสียง แต่ดวงตาคมที่จับประสานกับดวงตางามซึ่งประดับบนดวงหน้าอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาทำให้เขาชะงัก ความรู้สึกบางอย่างแล่นกระทบใจอย่างจัง

      เพียงพิศพิศวาสพิลาสลักษณ์        ลออพักตร์ลักษณ์วิไลประไพแข
งามเฉิดฉันพรรณพิไลเจ้าดวงแด          มองแถงเห็นแต่นวลคอยกวนใจ
      แต่แรกพบสบพักตร์ประจักษ์จิต     โอ้ลิขิตขีดบุพเพเหมาให้
ได้พานพักตร์สบจักษ์ลักษณัย             พี่มาดหมายจอมใจได้คู่เคียง
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๗)(P.๑๒)(๒๒/๐๘/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: แม้วธวัลหทัย ที่ 22-08-2017 16:04:17
พี่วินนนนน
ใช่ม้ายยยยยยยย?

ดีใจจมากกกก
ที่มาต่อ

จะขอให้ไม่หายไปนานก็ไม่ได้
คนเขียนเว้นช่วงนานตลอด
คนอ่านแอบเสียใจ

ขอบคุณที่มาต่อนะคะ
คิดถึงเด็กแฝด
อยากอ่านตอนต่อไปเร็ว ๆ
รัก ๆ คนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๗)(P.๑๒)(๒๒/๐๘/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 22-08-2017 16:32:06
พี่ดินจะมาเป็นพระรองหรือพระเอกแทนวินเนี่ย น่าคิดและติดตามมากเลย
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๗)(P.๑๒)(๒๒/๐๘/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 22-08-2017 21:20:45
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๗)(P.๑๒)(๒๒/๐๘/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 22-08-2017 23:50:58
รออ่านนานมาก ดีใจมาแล้ว
 รออ่าน
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๗)(P.๑๒)(๒๒/๐๘/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 23-08-2017 03:56:29
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๗)(P.๑๒)(๒๒/๐๘/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 23-08-2017 22:37:24
รอตอนต่อไป~
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๗)(P.๑๒)(๒๒/๐๘/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 24-08-2017 03:03:15
มาอัพแล้ว  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๗)(P.๑๒)(๒๒/๐๘/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 24-08-2017 09:53:40
คู่แข่งเพิ่มมาอีก1แล้วนะพี่วิน55555555
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๗)(P.๑๒)(๒๒/๐๘/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 24-08-2017 21:09:06
ใจนึงคิดถึงตอนพี่วินทำกับกานต์แล้วก็ไม่อยากให้กานต์ใจอ่อน แต่อีกใจก็อยากให้คืนกัน :serius2:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๗)(P.๑๒)(๒๒/๐๘/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: pawara123 ที่ 24-08-2017 21:52:33
อย่าหายไปนานเลยสงสารคนอ่าน รอนาน
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๗)(P.๑๒)(๒๒/๐๘/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ตัวไหมอ้วนกลม ที่ 27-08-2017 16:08:22
ขอบคุณที่มาต่อค่ะ  ดีต่อใจ  อยากเจอสามแฝดแล้ว   :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๗)(P.๑๒)(๒๒/๐๘/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 27-08-2017 16:57:07
นานจนลืมเรื่องละ  o18
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๘)(P.๑๓)(๑๗/๐๙/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 17-09-2017 21:02:41
เสน่หา...รักเอย ๒๘
พยัคเฆนทร์อหังการ์สยบแทบเท้าศศน้อย

ศศน้อยแช่มช้อยลอยลออ      เพียรพะเน้าเฝ้าพะนอคลอเคลียเจ้า
แก้มจันทร์ผ่องพี่หมายปองคนตาวาว      คอยหยอกเย้าพเยียเพราอย่าตัดรอน

      
“อยู่ที่นี่จริง ๆ ด้วย หายหัวเงียบไป ฉันตามนายได้จากที่นี่สินะ” น้ำเสียงทุ้มห้าวดังขึ้นขณะร่างใหญ่เดินอาด ๆ ก้าวเข้ามาใกล้ตลิ่ง อัษศดิณย์มองเห็นน้องชายต่างสายเลือดดำผุดดำว่ายอยู่ในลำธารแต่ไกล แต่เมื่อเคลื่อนเข้ามาใกล้จึงได้เห็นใครอีกคนปรากฏในคลองจักษุ ดวงหน้าผ่องลออของละอ่อนน้อยดรุณเยาว์สะดุดตา ดวงตาแจ่มใสทอประกายพิลาส ทั้งที่อีกฝ่ายเพียงเงยหน้าเหลือบมองประสานสายตา ไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือจากนั้น แต่กลับมีอิทธิพลให้คนดุร้ายคลายท่าทีดุดันลงไม่รู้ตัว อัษศดิณย์ชะงัก สายตามองจับคนหน้าผ่องเป็นยองใย ปาก คอ คิ้ว คาง ดูแฉล้มชวนมองนัก
   
“นี่พี่กานต์ อยู่ไร่ติดเรานี่เอง เพิ่งมาพักได้ไม่นานเพราะคุณพ่อไม่สบาย ส่วนนี่คุณอัษศดิณย์ เจ้าของไร่พิศาลอนันต์ยศ” ศิรวัฒน์ทำหน้าที่สื่อกลางแนะนำคนทั้งคู่ อัษศดิณย์ยังคงมองคนกระพริบตาปริบ ๆ ไม่ละสายตา แล้วเป็นฝ่ายพูดขึ้น
   
“เรียกพี่ดินธรรมดาก็ได้ ไม่ต้องเรียกชื่อเต็มยศหรอก” น้ำเสียงนุ่มนวล มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคมปลาบทอประกายละมุนดุจแสงแดดอ่อนฉาบอรุณ ทาบจับยังนัยน์ตากวางคู่งาม

“สวัสดีครับ เอ่อ...พี่ดิน” รพีกานต์กระพุ่มมือไหว้ผู้มากวัยกว่า คนตัวเล็กทำใจดีสู้เสือส่งยิ้มให้คนดุอย่างเสือ รัศมีดุดันแผ่ลามออกมาจากเรือนกายสูงใหญ่จนรู้สึกได้ แต่กระนั้นแล้วยามใบหน้าขึงขังลดประกายดุดันลง มุมปากยิ้มละไมเพียงบางเบา กับประกายตาอ่อนโยนก็พาให้หัวใจคนมองอุ่นวาบราวได้รับแสงแดดยามเช้าทาบทาลงมา

ชายผู้มาใหม่นั้นมีใบหน้าหล่อเหลาคมคายชนิดหาตัวจับยาก รพีกานต์เผลอไพล่ถึงพระเอกในนิยายของบิดา บทบรรยายรูปลักษณ์พานให้เคยสงสัยอยู่ครามครัน จะหาคนแบบนั้นได้ที่ไหนหนอ เรื่องไหน ๆ ต่างก็บรรยายรูปลักษณ์พระเอกเสียเลิศเลอ แต่ตอนนี้กลับมายืนให้ประจักษ์อยู่ตรงหน้าราวก้าวออกมาจากบทประพันธ์ก็ไม่ปาน

เค้าโครงรูปหน้าแบบไทยแท้แต่หุ่นสูงใหญ่ล่ำสันแบบยุโรป ดวงตาคมกริบแฝงด้วยกลิ่นอายแห่งอำนาจ ดูดุดันราวนัยน์ตาเสือป่าดุร้าย หากทรงพลังเจิดจ้าดุจแสงตะวันเรืองรอง เพียงมองมาปราดเดียวก็ให้สะท้านยำเกรง น้ำเสียงทุ้มลุ่มลึกไร้การกรรโชกแต่สามารถสยบคนฟังได้ในน้ำเสียงเดียว นี่คือนิยามความเป็น ‘อัษศดิณย์ พิศาลอนันต์ยศ’ บุคคลที่คนทั้งไร่ต่างขนานนามว่า ‘นายดินดุอย่างเสือ’ โดยแท้ รพีกานต์อยากจะรีบรี่กลับบ้านไปถามบิดาตอนนี้เสียจริง ว่าคนนี้หรือเปล่าหนา ต้นแบบพระเอกหน้าไทยในบทประพันธ์ของพ่อ คนที่รพีกานต์เคยนึกสงสัยว่าจะหาได้ที่ไหน

และเพราะเขายังคงทอดสายตาแลมา แก้มใสจึงรู้สึกเห่อร้อนแปลก ๆ รพีกานต์เฉไฉสายตาหลบวูบ ก่อนเหลือบขึ้นส่งรอยยิ้มอ่อนโยนเป็นมิตรให้อีกที อัษศดิณย์ยิ้มพรายรับ ร่างใหญ่ย่อกายลงนั่งบนส้นเท้าข้างหนึ่งใกล้กัน เริ่มบทสนทนาทำความรู้จัก

“ไร่ข้าง ๆ กันนี่ เจ้าของคือคุณรพินทร์ ซื้อที่ทิ้งไว้แล้วก็ปล่อยเช่า ผมเองกำลังมีแผนอยากขยายไร่เพิ่ม สนใจที่ผืนนี้อยู่พอดี” น้ำเสียงของ ‘นายดินดุอย่างเสือ’ อ่อนโยนนุ่มนวลเป็นพิเศษ สายตาคมคายทอดมองอีกฝ่ายลึกล้ำ ดวงตากวางคู่งามกระพริบปริบด้วยความรู้สึกหลากหลาย น้ำเสียงทุ้มนุ่มทอดอ่อนละมุนหูราวคนฟังเป็นบุคคลที่น่าทะนุถนอมไม่ปาน รพีกานต์สบตากับเขา ก่อนเหสายตาเลี่ยงไปอีกทาง

“อ๋อ เป็นคุณพ่อของกานต์เองครับ” คนตัวเล็กร้องอ๋อรับรู้ รอยยิ้มกระจ่างใสฉาบบนผิวหน้านวล บรรยากาศรอบกายพลันสว่างสดใส เหมือนดวงตะวันเปล่งประกายเจิดจรัสยามเมฆเคลื่อนผ่านไปแล้ว

“เคยเจอแต่คุณพ่อ ไม่เคยเจอหน้าค่าตาลูกชายเสียที” มุมปากช้อนขึ้นเล็กน้อยมีชั้นเชิง เผยยิ้มเสน่ห์ร้ายกาจแบบผู้ใหญ่ที่พาให้ใจกระตุกได้โดยง่าย รพีกานต์เหมือนกระต่ายน้อยตัวหนึ่งที่ไม่ทันเฉลียวเล่ห์นายพรานผู้ช่ำชอง

“จริงสิ เมื่อกี้บอกว่าคุณพ่อไม่สบายหรือ” เขาชอบการสนทนากับคนหน้านวลยิ้มสวยขึ้นมาติดหมัด

“ครับ เลยถือโอกาสมาพักผ่อนสูดอากาศบริสุทธิ์”

“แล้วอาหารการกินสะดวกไหม ว่าง ๆ กานต์แวะมาที่ไร่ของพี่ดินสิ มีร้านไอศกรีมกับร้านสเต๊กด้วย ผักผลไม้สด ๆ ปลอดสารพิษ เผื่ออยากเอากลับมาทำกินเอง จริงสิ สนใจเค้กชาเขียวไหม มีพายมัลเบอร์รีด้วยนะ เค้กมัลเบอร์รีก็มี น้ำมัลเบอร์รี สตรอว์เบอร์รีบำรุงสายตา หลายอย่างต้องแวะไปเอง ฮั่นแน่ มีกลืนน้ำลาย” เขาชี้นิ้วหยอกเย้า เมื่อลองหลอกล่อด้วยขนมแล้วอีกฝ่ายมีท่าทีเคลิ้มตาม

“พี่ดินแกล้งกานต์ เอาของกินมาล่อแบบนี้ กานต์ก็หิวซี” รพีกานต์โวยวายเล็ก ๆ กลบเกลื่อนอาการเขินอายที่เผลอนึกภาพตามแล้วน้ำลายสอ ลืมภาพชายดุดันคนเดิมไปเสียสนิท

“ก็อยากหาเรื่องชวนเด็กน้อยเที่ยวนี่เนอะ ก็ต้องหลอกล่อกันหน่อย คราวนี้ก็รู้แล้วว่าน้องกานต์ชอบของอร่อย” เขาฉีกยิ้มกว้างหัวเราะออกมา ไม่เหลือเค้าคนเย็นชาคนเดิม

“เอาไว้พี่จะแวะไปเยี่ยมคุณพ่อ แล้วก็จะพากานต์เที่ยวไร่พี่ด้วย ดีไหม” เขาทอดน้ำใจตีเนียนเสนอตัวเข้าหา อยากทำความรู้จักนิสัยใจคอรพีกานต์มากขึ้นอีก

“ครับ เดี๋ยวกานต์จะบอกคุณพ่อด้วย” คนไม่รู้ตัวว่าถูกตีเนียนจีบเอ่ยปากตอบรับน้ำใจง่ายดาย ด้วยเห็นว่าเขารู้จักบิดาตนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อัษศดิณย์รั้งบทสนทนาชวนคุยอยู่ครู่ใหญ่ กระทั่งรพีกานต์มีโทรศัพท์โทร.ตาม ร่างเล็กจึงร่ำลาขอตัวกลับ ตลอดทางมีสายตาชายหนุ่มมองแผ่นหลังบางห่างออกไปจนลับหายไปในพุ่มไม้

“มองไม่วางตาเชียว เขามีแฟนหรือยังก็ไม่รู้” ศิรวัฒน์เอ่ยขึ้นลอย ๆ หลังกลายเป็นอากาศธาตุมานาน สายตาเหลือบมองใครอีกคนมองตามคนไปไม่วางตา
   
“มีหรือไม่มี ลองคุยไปเรื่อย ๆ ก็รู้ แต่อย่างน้อย ๆ ฉันก็มองสิ่งที่มันเจริญตาละนะ” ถ้อยคำเชือดเฉือนแล่นสวนกลับมา ราวลูกเกาทัณฑ์แล่นออกจากคันพุ่งตรงมาเสียบอกฉัวะ ตัดขั้วหัวใจพอดิบพอดี เมื่อไม่มีรพีกานต์ที่ตรงนี้ก็ไร้ความหมายโดยพลัน อัษศดิณย์จากไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมา ศิรวัฒน์เพียงแค่นยิ้มบางซุกซ่อนร่องรอยโศกศัลย์ในอก บอกตัวเองว่าชาชินเสียแล้ว
   
ชินกับการถูกเกลียดชังเข้ากระดูกดำ ชินกับความหมางเมินที่เหมือนม่านหมอกบาง ๆ คอยผลักคนทั้งคู่ให้ยืนอยู่คนละด้าน มองเห็นแต่แตะต้องไม่ได้ คอยมองดูเขามอบรักให้ใครคนแล้วคนเล่า แต่รักนั้นจะไม่มีวันตกถึงเรา มันก็เท่านั้นเอง แต่ทำไมนะ ทำไม นี่เขากำลังยิ้มอยู่ไม่ใช่หรือ แล้วน้ำใส ๆ เปียกชื้นผิวแก้มนี่มันอะไร
   
“อ้อ อีกอย่าง” เหมือนนึกอะไรได้ คนที่ทำท่าผลุนผลันจากไปกลับชะงักเท้า ผินใบหน้าหันกลับมา ศิรวัฒน์สะดุ้งโหยง ทะลึ่งตัวพรวดพลางหันหลัง มือแสร้งตีน้ำเล่นกลบเกลื่อนอาการลนลาน
   
“ถึงนายจะเจอก่อน แต่ฉันก็ไม่ยอมแพ้หรอกนะ” ทิ้งทวนคำพูดสุดท้ายไม่ต่างจากเอามีดเถือเนื้อกันสด ๆ แล้วควักหัวใจออกมาเหยียบขยี้ด้วยเท้า เสียงรองเท้าย่ำสวบสาบทิ้งห่างออกไปเรื่อย ๆ เหลือไว้เพียงคำพูดดังก้องสะท้อนกลับไปกลับมาในหู เขาปล่อยหยาดน้ำอุ่นใสรินไหลลงแก้ม มุมปากสั่นระริกยกขึ้นเชื่องช้าด้วยความขื่นขม ขณะทิ้งกายอ่อนเปลี้ยลงกลืนกับผืนน้ำช้า ๆ รอบกายเงียบงัน เขายิ้มให้ความอ้างว้างเหน็บหนาวที่รุมกระหน่ำทุบตีหัวใจดื้อดึงไม่ยั้ง ปล่อยให้สายน้ำโอบกอดปลอบประโลมหัวใจนี้ให้ผ่านความเจ็บช้ำไปอีกวัน
   
“ผมไม่เคยคิดอยากแข่งอะไรกับพี่ดินเลย คนอย่างผม ยอมแพ้ให้พี่ตั้งนานแล้ว”
   
“พี่ดิน ๆ รอน้ำด้วยคร้าบ”
“น้ำอย่าวิ่ง ค่อย ๆ เดิน เดี๋ยวหกล้ม พี่ดินรออยู่ มองน้ำอยู่ตรงนี้ ค่อย ๆ ตามมาครับ”
“พี่ดินอย่าทิ้งน้ำนะ”
“ครับ พี่ดินไม่ทิ้งน้ำหรอก”
“สัญญาก่อน”
“ครับ พี่สัญญา”


ตั้งแต่เมื่อไรนะ ? ที่ไม่เหมือนเดิม


ก๊อก ๆ ๆ
เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นขณะที่ศิรวัฒน์เปิดประตูออกจากห้องน้ำพอดิบพอดี ร่างสูงชะงักมือที่กำลังเช็ดผม ปล่อยผ้าขนหนูลงพาดบ่าแล้วเดินไปเปิดประตูให้ผู้มาเยือน

แกรก

“พี่...คุณดิน” เขาเปลี่ยนสรรพนามคำเรียกโดยพลัน เมื่อรู้ตัวว่าเผลอลืมตัวหลุดปากออกไปอย่างสนิทสนม ใบหน้าขึงขังเปลี่ยนไปเสี้ยวหนึ่ง ก่อนกลับมาเฉยชาตามเดิม โดยที่ศิรวัฒน์ไม่ทันสังเกต

“คุณดินมีธุระอะไรกับผมหรือครับ แล้วจะเข้ามาคุยข้างในหรือจะออกไปคุยข้างนอก” ศิรวัฒน์เลิกคิ้วเอ่ยปากถามรวบรวดเดียว ทั้งพิศวงระคนยินดีอยู่ลึก ๆ ที่พี่ชายแวะมาเยี่ยมหา แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับรพีกานต์ที่เจอกันในวันนี้ ความยินดีก็พลันเหือดหายไปจากใจอย่างรวดเร็ว และทุกความรู้สึกนึกคิดล้วนถูกซุกซ่อนไว้ภายใต้ใบหน้าไม่ยินดียินร้ายของเขา

“ข้างใน ส่วนตัวกว่า” อัษศดิณย์ตอบเสียงเรียบเคลือบแฝงลับลมคมในบางอย่าง สายตาคมคายมองจ้องเจ้าของห้องเมื่อได้ประจันหน้าใกล้ ๆ เพิ่งจะได้สังเกตสังกาอีกฝ่ายชัด ๆ ก็คราวนี้ ฝ่ายนั้นเพียงพยักหน้ารับรู้พลางร่นกายถอยกลับเข้าข้างในห้อง ผินหลังเดินนำเข้าไป
อัษศดิณย์มองพิจารณาน้องชายต่างสายเลือดเงียบ ๆ ทั้งส่วนสูงและใบหน้าหล่อเหลา ศิรวัฒน์โตขึ้นกว่าเดิมมาก  ได้ข่าวว่าเป็นนักกีฬาของโรงเรียนที่พ๊อปปูล่าร์น่าดู แต่เขารู้ดี หมอนี่ต้องการเจริญรอยตามเพื่อวัดรอยเท้ากับเขา อัษศดิณย์เลื่อนเก้าอี้ชิดโต๊ะเขียนหนังสือออกพลางหย่อนกายลงนั่ง ถือโอกาสกวาดสายตาสำรวจห้องอีกฝ่ายไปด้วยในตัว ภายในห้องตกแต่งเรียบง่าย เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น
สายตาของชายหนุ่มสะดุดตากับรูปถ่ายวัยเยาว์ที่มีตนเองและน้องชายเป็นนายแบบ นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะนำไปขยายเป็นภาพใหญ่ติดผนัง นอกจากนั้นยังมีขวดโหลบรรจุหญ้าแห้งไว้ข้างใน เป็นหญ้าแพรกหัวโตที่เขาเคยเอามาเล่นตีไก่กับน้อง ตามที่เห็นลูกคนงานเล่นกันสนุกสนาน ภาพความทรงจำวัยเยาว์งดงามดุจผ้าขาวไหลเวียนเข้ามาให้นึกถึง อัษศดิณย์นิ่งงันไปกับของชิ้นเก่า ๆ ที่เขาเคยมอบให้ และผู้เป็นน้องชายยังคงเก็บรักษาไว้อย่างดี

ศิรวัฒน์ทิ้งกายลงนั่งปลายเตียงพลางเหลือบมองตามสายตาพี่ชาย แก้มขาวร้อนเห่อ เพราะอีกฝ่ายมาแบบไม่ทันตั้งตัว เขาจึงไม่ได้เก็บของที่ควรเก็บเสียก่อน หนุ่มผู้น้องรีบเอ่ยถามเบี่ยงเบนความสนใจทันที

“คุณดินมีอะไรจะคุยกับผมหรือครับ” เอ่ยถามสีหน้านิ่งขรึมซุกซ่อนอาการลนลานหวั่นไหวภายใน และก็ได้ผลเมื่อัษศดิณย์หันเหสายตามาที่เขาแทน ศิรวัฒน์แอบโล่งใจลึก ๆ ขณะประสานสายตากัน

“นายรู้จักกานต์นานแล้วหรือ” อัษศดิณย์ยิงเข้าคำถามที่สงสัย เปิดประเด็นทันทีโดยไม่อ้อมค้อม

“ก็เพิ่งเจอกันไม่กี่ครั้ง ที่พาคุณมาถึงนี่ได้ก็เพราะอยากรู้ว่า ผมรู้สึกยังไงกับพี่กานต์ใช่ไหมครับ” ศิรวัฒน์เองก็ตอบกลับไปตรง ๆ เช่นกัน

“ฉลาดนี่  ฉันรู้สึกสนใจกานต์ แต่เห็นนายเองก็ดูสนิทสนมคุ้นเคยกัน เลยอยากถามให้แน่ใจ” ดวงตาคมกล้าฉายแววท้าทายเล็ก ๆ เหมือนจะบอกว่า ‘ต่อให้นายชอบเขา ฉันก็พร้อมจะลองจีบ’ แววตาแบบนี้นับเป็นเสน่ห์เหลือร้ายอีกอย่างของอัษศดิณย์ที่ทำให้คนเป็นน้องใจสั่น ปรารถนาถูกเขาครอบครอง อยากถูกความร้อนแรงของสายตาคู่นี้แผดเผาไปหมดทั้งตัว แต่ก็ได้แค่คิด ที่แสดงออกกลับตรงกันข้าม

“พี่กานต์ดูเข้ากับคนง่าย ถ้าผมบอกว่าชอบพี่เขา มันจะเป็นยังไงหรือครับ” ศิรวัฒน์หยั่งเชิง ตีสีหน้ายียวนกลับ ดวงตาคมกล้าของคนฟังโชนแสงขึ้นเล็กน้อยเหมือนถูกท้าทาย

“ก็ไม่ยังไง ฉันก็จะเดินหน้าจีบกานต์ต่ออยู่ดี” อัษศดิณย์ยักไหล่ไม่ยี่หระ ดวงตาถือดีประสานตอบ ตราบใดที่สองคนนี้ยังไม่ได้ตกลงคบหา เขาเองก็ถือว่ามีสิทธิ์ คนดุอย่างเสือช่างไม่รู้เสียเลย ว่าท่าทียโสของเขาทำให้คนมองพยายามกดข่มอารมณ์พลุ่งพล่านของตนแค่ไหน ศิรวัฒน์หลงใหลท่าทีผยองถือดีของพี่ชาย ทั้งหลงใหลและอยากสยบในบางที อารมณ์ใกล้ ๆ กับริอยากขี่หลังเสือนั่นกระมัง

“ดูคุณจริงจังนะครับ เพิ่งเจอกันครั้งแรกไม่ใช่หรือ” ท่าทีนิ่งขรึมเกินวัยของศิรวัฒน์ บางครั้งก็เป็นสิ่งที่อัษศดิณย์ยากจะเข้าใจ

“บางทีเวลาก็ไม่ใช่ตัวกำหนดความรู้สึกของคนเราหรอกนะ บางคนกว่าจะรู้สึกต่อกันได้ก็เมื่อผ่านไปสักระยะจากการได้เรียนรู้ ได้ใกล้ชิด แต่บางคน แค่เห็นครั้งแรกก็รู้สึกประทับใจแล้วละ โลกถึงได้มีนิยามรักแรกพบยังไงละ” อัษศดิณย์รู้สึกกระดากอยู่หน่อย ๆ ที่ต้องมาพูดอะไรหวานเลี่ยนไม่เป็นตัวเองเช่นนี้ โดยเฉพาะกับคนตรงหน้า นิสัยตรงไปตรงมาของเขาทำให้ถนัดทำมากกว่าพูด

“คุณไม่ต้องห่วงเรื่องผมหรอกครับ ห่วงเรื่องพี่กานต์มีแฟนหรือยังดีกว่า เพราะผมเองก็ไม่เคยถามพี่เขาและพี่กานต์เองก็ไม่ได้เล่าอะไรเกี่ยวกับตัวเองเท่าไร”

“ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องนาย เพียงแต่เรื่องที่ฉันสนใจกานต์ ฉันไม่ได้คิดจีบเขาเพื่อเอาชนะนายแบบเกม แต่ฉันสนใจกานต์จริง ๆ” ถึงเขาจะสนใจรพีกานต์ แต่ก็เป็นลูกผู้ชายพอ อัษศดิณย์ไม่คิดเอาเรื่องนี้มาเอาชนะคะคานย่ำยีหัวใจอีกฝ่าย เกลียดชังแต่ก็ไม่สุด เหมือนจิตใต้สำนึกยังคอยสะกิดเตือนอยู่ในที เป็นความรู้สึกคาราคาซังที่ตัวเองก็อธิบายไม่ถูกนัก แต่นายดินดุกว่าเสือช่างไม่รู้เลยว่า คำพูดเหมือนไม่คิดอะไรนั้น มันทิ่มแทงหัวใจคนฟังได้ร้าวรานแค่ไหน และคนเสพติดความเจ็บปวดจนด้านชาอย่างต้นน้ำก็ทำเพียงยิ้มจาง ๆ ตอบออกไป

“ผมไม่เคยมองว่าความรักเป็นเกม หรือเดิมพันอะไร คนที่คิดแบบนั้นก็มีแต่พวกรักใครไม่เป็นเสียมากกว่า ถ้าคุณอยากเอาชนะจริง ๆ คนที่คุณต้องเอาชนะใจเขาให้ได้ก็คือพี่กานต์” ไป ๆ มา ๆ ดูเหมือนศิรวัฒน์จะกลายเป็นศิราณีให้พี่ชายไม่รู้ตัว ปกติพี่ดินไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ไม่เคยสักครั้ง...ที่จะแสดงออกถึงความไม่เป็นตัวเอง อย่างกับหนุ่มน้อยริลองมีรักเช่นนี้

“สิ่งที่ผมคิด ไม่สำคัญเท่าเรื่องที่ว่า พี่กานต์คิดยังไงกับคุณหรอกครับ” รอยยิ้มบางเบาแกมไปด้วยความหม่นเศร้า หากอีกคนไม่เคยนึกเฉลียวใจ

“อืม ถ้าอย่างนั้น ฉันไม่กวนนายละ” ร่างสูงใหญ่ผุดลุกผละไปง่าย ๆ คำตอบของศิรวัฒน์แม้คลุมเครืออยู่บ้างแต่ก็อย่างที่เจ้าตัวได้บอก คนที่เขาควรแคร์คือรพีกานต์ น้องกานต์คนนั้นต่างหาก มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อยราวกับเพ้อ ความคิดล่องลอยหลุดเข้าไปในห้วงภวังค์เมื่อนึกถึงคนหน้าผ่อง สลัดภาพความหวั่นไหวเดิมตอนเข้ามาเจอของชิ้นเก่าในห้องน้องติดหมัด อัษศดิณย์เดินจากไปโดยลืมใครอีกคนทิ้งไว้ข้างหลัง สายตามองตามแผ่นหลังแกร่งละห้อยโหยหา ความรวดร้าวแผดเผาหัวใจปวดแปลบ ถึงเก่งกาจทนทานสักปานไหนก็ยอมลงให้คนเพียงคนเดียว

“พี่ดิน” เสียงเรียกทำให้มือที่กำลังจับลูกบิดชะงัก อัษศดิณย์หันกลับมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ”

“หึ ระดับนี้แล้ว จีบพี่สะใภ้ให้นาย อย่างฉันไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเด็กม.ปลายหรอก อยากช่วยจริง ๆ อย่าเป็นก้างก็พอ” ผู้เป็นพี่ชายยักคิ้วยิ้มย่อง รอยยิ้มหล่อร้ายกระชากใจคนเป็นน้องจนเผลอใจเต้น มือหนาเปิดประตูเดินตัวปลิวออกไป ทิ้งกลิ่นไออุ่นเจือจางให้เจ้าของห้องสวมกอดได้เพียงเงา ศิรวัฒน์ลุกจากปลายเตียงเดินมาที่เก้าอี้ ทิ้งกายลงครอบครองความอุ่นที่ยังติดตรึงอยู่ตรงที่นั่ง กายสมส่วนโน้มเข้าหาพนักพิง วาดท่อนแขนกอดแผ่นผนักนั้น พลางหลับตากดปลายคางลงเกย จินตนาการว่าตนเองกำลังสวมกอดผู้เป็นพี่ชายอีกครั้ง

ไม่ง่ายที่จะรับใครสักคนเข้ามาในความทรงจำ แต่การลบใครสักคนที่ทำให้เจ็บออกไปนั้น...กลับยากยิ่งกว่า

“โอ๊ย เจ็บ ! พี่ดินน้ำเจ็บ !” เสียงเล็กร้องหาพี่ชายเมื่อยามหกล้ม
“อย่าร้อง เป็นลูกผู้ชาย แผลแค่นี้ไกลหัวใจ อย่าร้องไห้ให้ใครเห็นง่าย ๆ”
“น้ำ ฮึก ก็ร้องแค่ให้พี่ดินเห็น ฮึก คนเดียว น้ำเจ็บ” ปากเล็กเบะออกส่งสัญญาณว่าเจ็บจริง ๆ
“เจ็บก็ทายา แต่อย่าร้อง เป็นลูกผู้ชายต้องหัดเข้มแข็ง อีกหน่อยน้ำต้องช่วยพี่ดูแลไร่ของเรา นายของไร่พิศาลอนันต์ยศ จะร้องไห้ขี้แยได้ยังไง หือ” มืออุ่นเช็ดหยาดน้ำตา พลางลูบศีรษะทุยปลอบประโลม
“น้ำไม่อยากเป็นนายเจ้าของไร่ น้ำแค่อยากเป็นน้องของพี่ดิน เวลาร้องไห้ก็มีพี่ดินคอยอยู่ด้วย”


ไม่มีอีกแล้ว ถึงเจ็บก็ต้องอยู่กับตัวเอง

อิจฉา...

คนที่ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ความรักมาครอบครองไว้ในกำมือ แต่พอนึกว่าเป็นพี่กานต์ คนหน้าใสยิ้มง่ายคนนั้น ความรู้สึกด้านร้ายก็เหมือนจะสลายกลายเป็นหมอกควันเจือจางอย่างน่าประหลาด เขาแค่นยิ้มบาง คนที่เฝ้ามองมาเนิ่นนานก็ยังเป็นเพียงมดแดงแฝงพวงมะม่วงต่อไป

ดินคอยชะแง้เฝ้าแลตะวัน      ส่วนวารีนั้นก็คอยมองดิน
พสุธาเจ้าเอ๋ยหมายเชยอคิน      หมางเมินวารินทร์ลืมสิ้นเยื่อใย



บรื้น
เสียงรถยนต์แล่นเข้ามาหยุดตรงประตูรั้วหน้าบ้าน รพินทร์เยี่ยมหน้าออกมาดูผู้มาเยือน ประตูรั้วเปิดออกต้อนรับอาคันตุกะ ผู้ที่เปิดประตูรถก้าวเท้าออกมานั้นเป็นบุคคลที่พอคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง

“พี่ดิน” ได้ยินเสียงแจ่มแจ๋วของเจ้ากานต์น้อยร้องทักทายแขกอยู่ชั้นล่าง รพินทร์คลี่ยิ้มบาง นึกเอ็นดูเจ้าคนที่มาคะยั้นคะยอให้เขาเล่าที่มาพระเอกในนิยาย สุดท้ายพอรู้ว่าทายถูกเผง เจ้าตัวก็ยิ้มร่าออกอาการลิงโลด เริ่มต้นโม้น้ำลายแตกฟอง

“หูย พ่อรู้ไหม พี่ดินหล่อมาก ๆ หน้าคมเข้มดุดันแบบไทย มีกลิ่นอายแบบดิบ ๆ สไตล์หนุ่มบ้านไร่ โคตรมีเสน่ห์เลย กานต์อยากคมเข้มแบบพี่ดินบ้าง ยิ่งตอนขี่ม้าสวมหมวกคาวบอยนะ เท่สุด ๆ” เจ้าตัวน้อยออกท่าทีเบ่งกล้ามแขนที่ไม่ค่อยจะมี เรียกเสียงหัวเราะร่วน

แล้วหนุ่มหล่อสไตล์ดิบ ๆ โคตรมีเสน่ห์ของน้องกานต์ก็มาเยี่ยมเยือนถึงบ้าน ด้านหลังรถกระบะบรรทุกเข่งบรรจุผลไม้มาฝาก เท่าที่เห็นมีส้ม กล้วย สับปะรด และผักอื่น ๆ

“โห คุณดินเอาอะไรมาฝากเยอะแยะไปหมด คราวหน้าไม่ต้องหรอกนะครับ เกรงใจแย่” รพินทร์รับไหว้เจ้าของร่างสูงใหญ่ ไปเรียนเมืองนอกเมืองนา กลับมาก็ยังไหว้สวย

“อยากให้น้องกานต์ได้ลองชิมส้มสด ๆ จากไร่น่ะครับ นี่พี่มีเค้กมัลเบอร์รีมาฝากด้วยนะ” อัษศดิณย์ชูกล่องสี่เหลี่ยมบรรจุเค้กที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ ให้เจ้าคนตาวาวได้ดู จะจีบลูกชายเขาก็ต้องเอาใจด้วยของชอบเสียหน่อย แล้วรอยยิ้มของคนตัวเล็กก็พาให้ใจชุ่มฉ่ำเหมือนต้นไม้ได้ฝน จนเผลอฉีกยิ้มกว้างส่งให้

“คุณดินเชิญด้านในก่อนนะครับ น้องกานต์ไปเอาน้ำมารับแขกไปลูก” รพินทร์เชื้อเชิญแขกเข้าบ้านพลางหันไปบอกบุตรชาย

“กานต์เอาจานมาใส่เค้กด้วยนะครับ เพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ อยากให้ลองชิม” อัษศดิณย์ร้องบอกสำทับ รอยยิ้มและแววตาที่แสดงออกเปิดเผยยามมองรพีกานต์ไม่ได้รอดพ้นสายตาของรพินทร์ไปได้ ผู้เป็นบิดาเพียงยิ้มรับตอนอีกฝ่ายหันกลับมายิ้มเป็นมิตรให้

“กานต์เล่าให้ฟังว่าเจอกับคุณดินแถวลำธาร แล้วคุยกันถูกคอ” รพินทร์เล่า นึกภาพตอนที่เจ้าตัวดีแล่นถลันเข้ามาหาในห้อง สีหน้าท่าทางเหมือนไปตื่นเต้นอะไรมาสักอย่าง

“ครับ วันนั้นคุยกันหลายเรื่องเลย กานต์บอกว่าคุณรพินทร์ไม่สบายเลยมาพักฟื้น อาการเป็นยังไงบ้างครับ”

“ตรวจเจอมะเร็งตอนไปตรวจสุขภาพประจำปีน่ะครับ ก็ทำคีโมกับฉายแสง อาการก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ เพียงแต่ช่วงให้ยาใหม่ ๆ จะมีผลข้างเคียง ผมร่วงกับเวียนหัวนิดหน่อย”

“โชคดีนะครับที่ตรวจเจอเร็ว ขอให้หายไว ๆ นะครับ”

“ขอบคุณครับ แล้วคุณดินเป็นยังไงบ้างครับ สบายดีไหม ที่ไร่เป็นยังไงบ้าง”

“ผมสบายดีครับ ส่วนไร่ก็กำลังมีแพลนอยากขยายออกไปอีก อย่างที่ผมเคยบอกสนใจที่ดินของคุณรพินทร์นั่นแหละครับ” อัษศดิณย์ทอดรอยยิ้มมุ่งมั่นประสาคนหนุ่มไฟแรง เท่าที่รู้เจ้าตัวขยับขยายการส่งออกไปทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งกิจการโรงแรมกับรีสอร์ตก็ตอบรับลูกค้าที่แวะมาพัก มีบริการนำเที่ยวภายในไร่เพื่อชมและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์แปรรูปต่าง ๆ นับว่าเป็นทายาทรุ่นใหม่ที่บริหารงานได้ดี

อัษศดิณย์ยิ้มรับเจ้าคนกุลีกุจอนำน้ำมาเสิร์ฟ น้ำตะไคร้ใบเตยส่งกลิ่นหอมลอยมาจากข้างในครัว สายตาอาคันตุกะหนุ่มแอบสังเกตความละม้ายของสองพ่อลูกเงียบ ๆ รพีกานต์ไม่ได้โขลกแบบประพิมพ์ประพายมาจากบิดา ทั้งผิวพรรณหน้าตาดูขาวผ่องอมชมพู ต่างจากคุณรพินทร์ที่มีผิวขาวเหลือง อีกทั้งเค้าหน้าที่ไม่ละม้ายคล้ายคลึง อัษศดิณย์จึงทึกทักเอาว่าเจ้าตัวคงคล้ายมารดา

“น้องกานต์คล้ายคุณแม่หรือครับ” ชายหนุ่มเปิดปากถามตามใจคิด สองพ่อลูกชะงักนิดหนึ่ง ก่อนรพินทร์เป็นฝ่ายเอ่ยวาจาตอบ

“ทำนองนั้นแหละครับ ผมไม่ได้แต่งงานกับคุณแม่น้องกานต์ แต่ก็เลี้ยงกันมาจนโต” รพินทร์ตอบประหยัดคำ พลางยิ้มบาง อัษศดิณย์รู้สึกว่าตนเองเผลอเสียมารยาทไป

“ขอโทษที่ถามนะครับ ผมไม่ทราบจริง ๆ พอดีเห็นน้องกานต์ไม่ค่อยคล้ายคุณพ่อ”

“ไม่เป็นหรอกครับ เมื่อก่อนก็มีคนทักอยู่ ตอนเด็ก ๆ น้องกานต์ก็โยเยบ้างตอนถูกเพื่อนล้อ แต่ก็ผ่านกันมาได้เนอะ” รพินทร์หันไปลูบศีรษะทุยพลางโคลงเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู รพีกานต์เองก็ยิ้มรับพลางตัดเค้กใส่จาน

“แต่คุณพ่อใบเลี้ยงเดี่ยวก็เลี้ยงได้ดีนะครับ น้องกานต์สดใสแล้วก็อารมณ์ดี” อัษศดิณย์ชอบรอยยิ้มกระจ่างใสนี่จริง ๆ เป็นรอยยิ้มที่ชวนให้คนเห็นชื่นใจดุจสายน้ำเย็น รพีกานต์เลื่อนจานเค้กให้แขกและบิดา ส่วนของตนเป็นจานสุดท้าย สีหน้ายามตักเค้กเข้าปากของคนตัวเล็กทำให้ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม

“อื้ม อร่อย”

“เดี๋ยววันหลังพี่เอาพายมัลเบอร์รีมาฝาก หรือน้องกานต์จะไปเที่ยวไร่ดี ไปกินสเต๊กกับไอศกรีม ดีไหม” ใบหน้าหล่อเหลายิ้มอ่อนโยน ปฏิบัติการจีบเด็กต้องหลอกล่อด้วยของอร่อย เค้กก้อนนี้นายดินลงทุนเก็บลูกหม่อนเองกับมือ ขับรถเอาไปให้เชฟที่โรงแรมรังสรรค์รสชาติถูกลิ้น เพื่อแค่ให้ได้เห็นรอยยิ้มถูกใจของคนตรงหน้า แล้วก็ไม่ผิดหวัง

“พี่ดินอะ เอาของอร่อยมาหลอกล่อ”

“ก็กานต์กินหน้าตาดูน่าอร่อย แบบนี้คนทำยิ้มแก้มปริ” ว่าง ๆ เขาน่าจะหัดทำเค้กดูบ้าง

“อย่ามองซี” ท่าทางขวยเขิน แต่ไม่วายตักเค้กเข้าปาก อัษศดิณเห็นแล้วถึงกับหลุดหัวเราะ คันไม้คันมืออยากบีบจมูกคนเล่น เสียงโทรศัพท์โทร.เข้า รพินทร์จึงปลีกตัวออกมา ปล่อยให้สองคนได้คุยกัน เสียงหัวเราะดังแว่ว รพินทร์เหลือบมองแล้วก็ส่ายหน้า คนท้องหนอคนท้อง อุตส่าห์พามาหลบในป่าในดง ก็ยังไม่วาย

“เมื่อกี้พี่พินทร์ว่าน้องกานต์เหมือนมีคนมาชอบหรือ” เสียงรพีสวัสดิ์ร้องถามมาตามสาย น้ำเสียงตื่นเต้นนิด ๆ

“คิดว่านะ ถ้าดูสายตาคุณดินไม่ผิด นี่ก็กำลังหัวเราะร่วน น้องกานต์ได้กินเค้ก อารมณ์เลยดีจัด”

“ถ้าอย่างนั้น พี่พินทร์แอบถ่ายคลิปมาให้เล็กหน่อยสิ เอาแบบเห็นแค่ข้างหลังคุณดินนะ แต่ขอเห็นหน้าน้องกานต์ตอนหัวเราะมีความสุขชัด ๆ” ถ้าเป็นในการ์ตูนก็คงจะเห็นคุณอาเล็กของรพีกานต์มีเขาและหางโผล่แบบเดวิล ยามเจ้าตัวผุดไอเดียแกล้งคนออกมาได้

“เล็กจะทำอะไร พี่รู้นะ อย่าหาเรื่องป่วนเลยน่า มันจะยุ่งไปกันใหญ่” รพินทร์ปรามน้อง ถึงจะโตขึ้นแต่ก็ไม่ได้ทิ้งลวดลายแก่นแสบไปเสียทีเดียว

“โธ่ พี่ก็ ขอเล็กเอาคืนให้หลานบ้างเถอะ เล็กไม่ได้ใจดีอย่างพี่นะ ให้ทางนั้นรู้เสียบ้างว่าน้องกานต์น่ะ ไม่สิ้นไร้ผู้ชายดี ๆ หรอกนะ”

“เล็ก ไม่เอาน่า”

“พี่พินทร์ น้องกานต์นั่นก็หลานเล็กนะ เล็กช่วยเลี้ยง ช่วยเปลี่ยนผ้าอ้อม อาบน้ำ ล้างก้น ก็ทำมาแล้ว ให้เล็กได้ปกป้องหลานบ้าง แค่ให้บทเรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นเอง” รพีสวัสดิ์เกลี้ยกล่อม คารมเจ้าตัวใช่ย่อยเสียที่ไหน รพินทร์เองก็ชักคล้อยตาม ด้วยรพีกานต์เป็นดวงแก้วตาของเขา ลูกถูกทำร้าย หัวใจของเขาก็ร้าวรานไม่น้อย ถ้าจะให้บทเรียนกันเสียหน่อยก็คงไม่เกินกว่าเหตุอะไร

“สัญญานะว่าจะไม่ทำเรื่องยุ่ง” ไม่ค่อยอยากไว้ใจตัวแสบสักเท่าไร

“สัญญาคร้าบ” น้ำเสียงเริงร่า เสี้ยวความแก่นเซี้ยวของเจ้ากานต์น้อยก็มาจากอาเล็กเขานี่แหละ

“โอเค แค่นี้ก่อน” รพินทร์วางสาย ในใจตีกันยุ่งเหยิงไปหมด รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไร ด้วยไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน แถมเรื่องนี้อัษศดิณย์ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยอีก

“เอาไงดี เหมือนหลอกใช้ยืมมือคนอื่นยังไงไม่รู้” รพินทร์พึมพำ เดินวนไปมาด้วยความหนักใจ พ่นลมหายใจพรูอย่างตัดสินใจ ก่อนยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายวีดีโอสั้น ๆ หลังจากเช็กดูภาพแล้วจึงกดส่งให้ผู้เป็นน้องชาย

“หวังว่าจะไม่มีเรื่องยุ่งยากตามมาหรอกนะ แค่ทางนี้ก็เริ่มส่อเค้ายุ่งแล้ว” สายตาคนอาบน้ำร้อนมาก่อนชะเง้อมอง เจ้ากานต์น้อยก็ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย
คนนี้ คนนั้น คนโน้น
เฮ่อ ! ปวดหมองจริง ๆ ว่าไหมสามแฝด

 :mew3:

พี่วิน พี่ณัฐ คุณดิน ฮอตจริง ๆ มามี้สามแฝด
ขออภัยสำหรับพาร์ตพี่น้องดินน้ำที่เราไม่ได้ใช้ภาษาเหนือนะคะ ไม่สันทัดค่ะ เดี๋ยวจะทำให้ภาษาดั้งเดิมวิบัติหมด
เมื่อเสือสองตัวหมายตากระต่ายตัวเดียวกัน หุหุ
รักเหงา รักร้าว รักเศร้า รักระทม รักเอ๋ยรัก
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๗)(P.๑๓)(๑๗/๐๙/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 17-09-2017 21:23:41
 :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๗)(P.๑๓)(๑๗/๐๙/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 17-09-2017 21:33:11
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๗)(P.๑๓)(๑๗/๐๙/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 17-09-2017 22:09:01
น้องกานต์ฮอตเกินไปแล้ว
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๗)(P.๑๓)(๑๗/๐๙/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 17-09-2017 22:40:33
ไม่นะน้องกานต์ พ่อของสามแฝดต้องพี่วินโอนลี่
พี่วินกำลังปรับปรุงตัวอยู่ววววว  :z3:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๗)(P.๑๓)(๑๗/๐๙/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 18-09-2017 15:02:32
คุณดินนะคุณดินมีของดีในมือไม่เห็นค่า เดี๋ยวไม่วายกลายเป็นวินสอง
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๗)(P.๑๓)(๑๗/๐๙/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 18-09-2017 16:01:09
คนท้องเสน่ห์แรงจริงๆ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๗)(P.๑๓)(๑๗/๐๙/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 18-09-2017 16:33:04
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๗)(P.๑๓)(๑๗/๐๙/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 18-09-2017 20:51:11
โปรยเสน่ห์ไม่รู้ตัว งานนี้มีคนหึงควันออกหูบ้างแหละ :laugh:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๗)(P.๑๓)(๑๗/๐๙/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 18-09-2017 21:15:02
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๗)(P.๑๓)(๑๗/๐๙/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 19-09-2017 00:21:09
น้องน้ำน่าสงสาร แต่ดูท่าทางจะชอบความเจ็บปวดนิดๆเหมือนเป็นมาโซคิสต์เลย จะลงเอยยังไงน้า
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๗)(P.๑๓)(๑๗/๐๙/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 19-09-2017 11:13:23
ติดตามด้วยคน รออ่านตอนหน้าค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๗)(P.๑๓)(๑๗/๐๙/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 21-09-2017 19:44:56
แม่สามแฝดเสน่ห์แรง อิอิ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๙)(P.๑๓)(๐๒/๑๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 02-11-2017 19:01:58
เสน่หา...รักเอย ๒๙
ดั่งวิหคไร้คู่คอน  ตัวพี่นอนเปลี่ยวเดียวดาย

‘มองวิหคนกร้องมันครองคู่  ตัวพี่อยู่เดียวดายอายนกหนอ
นกมันเกี้ยวเดี๋ยวเย้าพะเน้าพะนอ  พี่นอนรอเรียมคืนแสนขื่นใจ’


“กานต์...”

ใบหน้าหล่อเหลาบูดบึ้งถมึงทึงขณะดูคลิปวิดีโอในมือ น้ำเสียงขุ่นลอดผ่านลำพอแผ่วเบาแต่อัดแน่นไปด้วยเพลิงอารมณ์กรุ่น อัครวินท์ขบกรามกรอด สายจ้องมองคนหัวร่อต่อกระซิกอย่างมีความสุขขณะที่เขาหัวหมุนกับการตามหาเจ้าตัวแทบพลิกแผ่นดิน แน่นอนว่ากิริยาอาการทั้งหมดอยู่ในสายตาคุณอาคนดี ที่กำลังนั่งจิบชามองด้วยท่าทางอารมณ์ดีขีดสุด

“กานต์ดูมีความสุขดีนะ สามแฝดคลอดออกมาคงอารมณ์ดีมากแน่ ๆ” สีหน้าแสร้งยิ้มชื่นมื่น น้ำเสียงไม่เดือดไม่ร้อนกระตุ้นอารมณ์เดือดอัครวินท์ได้ชะงัดนัก

“ใคร ?” น้ำเสียงห้วนจัดอัดแน่นด้วยความเดือดดาล สาบานว่าถ้าสามารถทะลุเข้าไปในจอได้ เขาจะกระชากมันออกห่างจากกระต่ายน้อยของเขา

“หืม ?” รพีสวัสดิ์เลิกคิ้วตีหน้าซื่อ แต่ท่าทีนั้นดูก็รู้ว่ายียวนสุด ๆ

“คนในคลิปนี่ใครครับ อาเล็ก” อัครวินท์พยายามข่มอารมณ์เดือดดาลสุดขีด ไม่หลงกลหลุมพรางคนเป็นอาที่ขยันยั่วยุอารมณ์เขาเสียเหลือเกิน

“อ๋อ ดูเหมือนเขาจะมาจีบกานต์นะ” รพีสวัสดิ์ยิ้มบางลากเสียงตอบ หากคนฟังคิ้วกระตุกในทันใด ร่างสูงใหญ่แทบปราดเข้าไปคว้าคนเป็นอาเขย่าเพื่อเค้นถาม

“ทั้ง ๆ ที่กานต์มีลูกของผมติดท้องนี่นะครับ” อัครวินท์แทบระงับความรู้สึกอยากระเบิดอารมณ์ลงกับอีกฝ่ายไม่อยู่ เส้นเลือดข้างขมับเต้นตุบๆ ด้วยความคุกรุ่น ในอกราวถูกแผดเผาไม่ปาน

“ก็นะ คนที่รักกันจริง ๆ เขาจะยอมรับในความผิดพลาดของเราได้โดยไม่ขุดคุ้ยอดีต อีกอย่างสมัยนี้ไม่มีใครยกเรื่องลูกมาอ้างเรียกร้องความรับผิดชอบแล้วละมั้ง”

“ผมรู้ว่าคนที่นี่เลี้ยงเด็กได้ แต่ทำไมไม่ให้โอกาสผมกับกานต์ปรับความเข้าใจกันบ้างละครับ ทุกคนคิดแทนเราทั้งคู่ คิดแทนสามแฝด พิพากษาตัดสินผมว่าชั่วว่าเลว ถึงผมเลวผมก็มีหัวใจ และผมก็ไม่เคยรู้สึกดีใจที่ทำร้ายกานต์” น้ำเสียงจริงจัง สายตาแน่วแน่ รพีสวัสดิ์สบตาอีกฝ่าย คำพูดเล่นลิ้นกลืนหายลงลำคอ สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

“เมื่อก่อนเธอเองก็ตัดสินว่าพี่ชายของฉันเลวทรามต่ำช้าไม่ใช่หรือ เธอเคยให้โอกาสพี่ฉันได้อธิบายบ้างไหมนอกจากฟังความข้างเดียวจากคนที่แย่งคนรักของพี่ฉันไป” น้ำเสียงฉะฉานตรงประเด็นหากแทงใจดำคนฟังสะอึก

“รู้ไหม ทำไมพวกเราถึงรักและเอ็นดูน้องกานต์มาก ทั้งที่...เอ่อ ไม่รู้กานต์ได้บอกอะไรเธอหรือเปล่า”

“กานต์ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของคุณรพินทร์น่ะหรือครับ”

“กานต์บอกสินะ นั่นเพราะว่าเด็กคนนั้นไว้ใจเธอ” สายตาของรพีสวัสดิ์เหมือนมีคำตำหนิกลาย ๆ ต่อมาว่า ‘แต่เธอก็ทำลายความไว้ใจนั้นเสียย่อยยับ’

“ที่พวกเรารักกานต์มาก เพราะเด็กคนนั้นช่วยชีวิตพี่รพินทร์ไว้ พี่ชายของฉันสะสมความเสียใจเอาไว้มากจนเผลอคิดฆ่าตัวตาย วันนั้นพี่ซื้อยานอนหลับกลับบ้านแต่เพราะได้เจอกานต์ เด็กทารกแผดเสียงร้องไห้จ้าข้างถังขยะ เด็กคนหนึ่งยังพยายามไขว่คว้าหาโอกาสมีชีวิตรอด ฟางเส้นสุดท้ายที่ดึงสติพี่ชายของฉัน นั่นทำให้ฉันรักและเอ็นดูกานต์มาก” รพีสวัสดิ์มองอีกฝ่ายนิ่ง ๆ กลายเป็นอัครวินท์ที่มีแววตาคาดไม่ถึงปรากฏขึ้นในดวงตาคม

“ฉันไม่รู้หรอกนะ อะไรทำให้เธอเกลียดพี่ชายฉัน แต่พี่รพินทร์คือคนที่มาก่อนแม่ของเธอแต่กลับต้องสูญเสียคนรักเพียงเพราะเป็นผู้ชาย ครอบครัวอินทัชห่วงชื่อเสียงหน้าตาไม่ยอมรับที่ลูกเป็นเกย์ แล้วครอบครัวเรายินดียังนั้นหรือ เธอเคยคิดถึงจุดนี้บ้างหรือเปล่า” คำถามนี้จี้ใจอัครวินท์ไม่น้อย ชายหนุ่มทั้งจุกและจนด้วยคำพูด ได้แต่ยืนทำสีหน้าโง่งมฟังคุณอาเล็กพูดต่อ

“พี่รพินทร์เองก็อึดอัดถึงแยกมาอยู่คนเดียว เพราะถึงพ่อกับแม่จะไม่พูด แต่ยังไงก็รู้สึกรู้สา สมัยนี้ถึงแม้เปิดกว้างแต่ใช่ว่าทุกครอบครัวจะยอมรับ แล้วยี่สิบปีที่แล้ว เธอคิดว่าพวกเขาต้องลำบากแค่ไหน”

“ความโกรธเกลียดที่เธอได้รับจากกานต์มันมาจากเธอทำไม่ดีกับกานต์ก่อน แต่ความโกรธเกลียดที่เธอมีต่อพี่ชายของฉัน พี่รพินทร์ทำอะไรผิดอย่างนั้นหรือ เธอแบกรับบทลงโทษจากผลของการกระทำที่เธอก่อขึ้น แต่พี่ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยแล้วต้องเจอพลังความโกรธเกลียดที่สั่งสมในใจของเธอ เธอคิดว่ามันหนักหนาสาหัสกว่าเธอแค่ไหน เธออยากให้พี่ฉันเจ็บถึงได้ร้ายกาจกับหลานของฉัน ที่ผ่านมาพี่รพินทร์ยังเจ็บปวดไม่พออีกหรือ ต้องให้ฉันพูดไหมว่าแม่ของเธอแย่งชิงคนรักของคนอื่น และคนขี้ขลาดอย่างพ่อของเธอก็ตัดช่องน้อยแต่พอตัวทิ้งพี่ชายของฉันไปแต่งงานกับผู้หญิงกลบเกลื่อนบิดบังสิ่งที่ตัวเองเป็น ทบทวนให้ดีอัครวินท์ ฉันรู้ว่าเธอเป็นเด็กฉลาด ใช้มันให้ถูกทาง ถามตัวเองให้ดีว่าเธอกลับมาที่นี่ทำไม” น้ำเสียงรพีสวัสด์ราบเรียบ แต่คนฟังกระบอกตาร้อนผ่าว

“อิศวัชร์ห่วงชื่อเสียงหน้าตา แต่ฉันห่วงชีวิตของพี่ชายฉัน และหลานชายของฉันก็เกือบต้องตายเพราะความรักหลอกลวงของพวกเธอ ทุกครั้งที่มองหน้าพี่ ฉันอดใจเสียไม่ได้ว่าครั้งหนึ่งพี่ชายของฉันเคยคิดฆ่าตัวตาย เธอบอกว่าเธอรักกานต์ เธอรู้จักความหมายของมันแค่ไหน” รพีกานต์สวัสด์ทิ้งท้าย สีหน้าเรียบเฉยพลันเย็นเยือกในความรู้สึก อัครวินท์รู้สึกถึงความเกลียดชังลึกซึ้งที่ซุกซ่อนมิดชิดในท่าทีสบาย ๆ ที่อีกฝ่ายเผยออกมา ร่างสูงตรึงนิ่งอยู่กับที่ คนที่ถูกเขาเกลียดชังกล้าที่จะยินยอมให้เขาเข้าหาลูกชาย นั่นคือการวัดใจจากรพินทร์ แต่เขากลับทำลายทุกอย่างให้ย่อยยับลงด้วยน้ำมือตัวเอง

“กลับไปเสียเถอะ อัครวินท์” น้ำเสียงเฉียบขาดเด็ดเดี่ยวของผู้อำนวยการโรงเรียนพาให้ใจแป้ว เขาเคยเกลียดแค้นรพินทร์ เมื่อยามที่ตนเองเป็นฝ่ายถูกชิงชังบ้าง ช่างเป็นความรู้สึกอึดอัดเหมือนถ่วงหินหนักอึ้งไว้ภายในใจ สายตาหยามเหยียดนั้นประเมินเขาเป็นเพียงเด็กเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ อาศัยบารมีเม็ดเงินบุพการีเบิกทาง ความรู้สึกนี้เจ็บยิ่งกว่าถูกตบหน้า ความแค้นลึกซึ้ง ความชิงชังฝังแน่นหยั่งรากลึกนี้ ไม่ใช่แค่เขาที่ต้องชดใช้ แต่รพีสวัสดิ์หมายรวมไปถึงอิศวัชร์ทุกคน แค่คิดอัครวินท์ก็รู้สึกเย็นสันหลังวาบ

“แต่ผมเคยเห็นพ่อกับพ่อของกานต์บนเตียง เป็นคุณคุณจะไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไง” น้ำเสียงแย้งขึ้นอย่างไม่ยอมจำนน รพีสวัสดิ์เพียงมองสบตาอีกฝ่ายนิ่ง ๆ ประหนึ่งผู้ใหญ่มองผู้เยาว์โลก เพียงเท่านั้นก็เรียกกระแสความอึดอัดวิ่งวนในใจอัครวินท์ และทำให้คนอายุน้อยกว่ารู้สึกว่าตนเองเหมือนคนโง่ได้แล้ว

“นั่นเพราะคนขี้ขลาดอย่างอินทัช อิศวัชร์ทิ้งรสนิยมเดิม ๆ ของตัวเองไม่ได้น่ะสิ” รพีสวัสดิ์เหยียดยิ้มเยาะเอ่ยขึ้นในที่สุด คำพูดธรรมดาแต่แช่แข็งหัวใจอีกคนติดหมัด อัครวินท์รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเมื่อถูกไล่ต้อนจนมุม

“พวกคุณกำลังแก้แค้นเรา”

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพี่ ฉันก็แค่หมั่นไส้ เลยอยากให้บทลงโทษนิด ๆ หน่อย ๆ กับอิศวัชร์มันก็เท่านั้น เธอจะถอนตัวออกไปตอนนี้ก็ได้ จริง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องแคร์เลยด้วยซ้ำ ยี่ห้ออิศวัชร์เสียอย่าง ใครก็อยากเกี่ยวดองด้วยทั้งนั้น มีลูกครบทีมฟุตบอลยังได้ แค่เด็กแฝดสามคนขี้ปะติ๋วน่า กานต์เองยังถูกแม่แท้ ๆ เอามาทิ้ง”

“คุณอาใจร้าย” ตัดพ้อเล็ก ๆ ไม่จริงจังนัก แสดงเจตนารมณ์ว่าอย่าเหมารวมตนเขากับคนจำพวกนั้น

“ฉันเตือนเธอก็ถือว่าใจดีมากแล้ว กานต์เองยังไม่เคยได้รับคำเตือนอะไรจากเธอเลย ถ้าขืนยังทู่ซี้อยู่ ฉันจะทรมานเธอ เธอเจ็บปวดทุรนทุราย ครอบครัวของเธอก็ต้องรู้สึกตกนรกทั้งเป็นไม่ต่าง เหมือนอย่างที่เธอคิดใช้กานต์จี้แผลให้พี่ชายของฉันเจ็บปวดยังไงละ” อัครวินท์กลืนน้ำลายอึกเมื่อเจอสายตาดุคาดโทษ ถ้าเขาถอยก็เท่ากับยอมรับความพ่ายแพ้และสูญเสียรพีกานต์ไป แต่ถ้าเดินหน้านั่นก็เท่ากับยอมรับบททดสอบ แต่ปู่เคยบอกเสมอ เพชรแท้ไม่กลัวการเจียระไน ทองแท้ถูกเผายังไงก็ยังเป็นทอง เขาต้องพิสูจน์ให้ทุกคนวางใจในตัวเขา

“ผมไม่ยอมถอยง่าย ๆ ให้อาหัวเราะผมหรอก”

“ก็ดี เดี๋ยวจะได้รู้กัน ดีจริงหรือดีแต่พูด” รพีสวัสดิ์ยักไหล่

“แต่คนที่มาตอแยกานต์นี่ล่ะอาเล็ก อากักตัวผมไว้ที่นี่ก็เป็นโอกาสให้หมอนี่ทำแต้มสิ” อัครวินท์คันยิบ ๆ ในอก

“เธอไม่เชื่อในตัวกานต์หรือ นี่ก็เป็นบททดสอบตัวหลานฉันด้วยเหมือนกัน ว่ากานต์รักเธอมากพอหรือเปล่า ถ้าเด็กคนนั้นหวั่นไหวกับใครได้ง่าย ๆ เธอก็น่าจะรู้แล้วนะว่ายังอยากได้คนรักแบบนี้อยู่ไหม แต่ถ้าคนมันจะใช่ สิ่งที่เธอควรทำคือมีน้ำใจนักกีฬา ยังไงก็รีบหาให้เจอล่ะหลานชาย หนุ่มคนนี้หล่อมาก” ตบบ่าปุ ๆ พลันลุกหนี ทิ้งให้อีกคนยืนทำหน้าเซ่อโจทย์หินพุ่งกระแทกเต็มหน้าแบบไม่เปิดโอกาสให้บิดพลิ้ว อัครวินท์ทำได้เพียงยอมรับโดยดุษณี ในอกคันยุบยิบขัดเคือง นี่ไม่เท่ากับว่าระเบิดเวลาได้เริ่มทำงานแล้วหรือ ขืนชักช้าถ้ากานต์เกิดหวั่นไหวขึ้นกับหมอนั่นขึ้นมา...

“ไม่ พี่ไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นแน่ พี่ไม่ยอม” อัครวินท์ส่ายหน้าหวือไม่ยินยอม ภายในใจพลันเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา




“สรุปก็ก่อเรื่องขึ้นจนได้นะเรา” รพินทร์ปรารภขึ้นเมื่อฟังน้องชายเล่าจบ

“ช่วยไม่ได้ เล็กออกจะแฟร์กับทั้งสองฝ่าย เด็กวินนั่นเป็นลูกชายนักธุรกิจ ยังไงก็มีตราชั่งในใจอยู่แล้ว ว่าควรให้คุณค่ากับสิ่งไหน ถ้าน้องกานต์มีค่ากับวิน วินจะพยายามทั้งรักและดูแลให้ดี ไม่ปล่อยหลุดมือง่าย ๆ หรอก”

“อืม แล้วแต่เถอะ พี่ไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่าอาหารบำรุงสามแฝดในท้องหรอก”

“ที่จริงเด็กวินก็ไม่ได้เลวร้ายเสียทีเดียวนะพี่ กะเทาะเปลือกออกก็เป็นเด็กใช้ได้คนหนึ่ง อย่างเรื่องสอนหนูตะวันว่ายน้ำน่ะ วินบอกว่าบ้านเราอยู่ใกล้น้ำ หนูตะวันพูดไม่ได้ เกิดตกน้ำตกท่า จะร้องเรียกคนช่วยคงลำบาก เจ้าตัวเลยสอนว่ายน้ำเสียเลย ความคิดเข้าทีเหมือนกัน”

“ก็ดูกันไป ทางนี้คุณดินก็ขยันแวะมาหาน้องกานต์ ส่วนเจ้าตัวดีก็ชอบไปคุยเล่นกับเด็กต้นน้ำ น้องชายคุณดินนั่นแหละ เฮ่อ นี่ยังไม่นับตาณัฐอีกคน รักน้องน้อยเหลือเกิน พี่น่ะนะ อยากได้ตาณัฐนี่ละเป็นลูกเขย แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง อิรุงตุงนังเหลือเกิน” รพินทร์ถอนหายใจยืดยาว นึกเสียดายเด็กรักดีอย่างณัฐธีร์จับใจ

“เล็กก็เสียดาย เห็นนิสัยใจคอมาตั้งแต่เด็ก กานต์นะกานต์ ดันแพ้ทางคนปากหวาน น่าตีจริง ๆ”


ขณะที่ผู้ใหญ่สองคนกำลังคุยกัน คนท้องกลับหนีมาชื่นมื่นเล่นน้ำในลำธารสบายใจเฉิบ เท้าเปล่าแกว่งเล่นในน้ำไปมา ใกล้กันนั้นมีโทรศัพท์เปิดเพลงเสียงกังวานคลอไปกับเสียงน้ำไหล ทั้งใสและเย็นชื่นใจ

“สบายดีจังสามแฝด หนูก็ชอบใช่ไหมละ ดูซีดิ้นใหญ่เลย” รพีกานต์อารมณ์ดีเป็นพิเศษ มือลูบท้องกลมแผ่วเบา ใบหน้ากระจ่างใสเกลื่อนด้วยรอยยิ้มมีความสุข ในใจนึกไพล่ไปถึงเด็กทารกฝาแฝดสามคนตัวน้อยในท้อง ลูกคือของขวัญสุดมหัศจรรย์ที่ทำให้สิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้เกิดขึ้นจริง จริงอยู่ว่าหากรพีกานต์แต่งงานกับสตรีก็มีโอกาสมีลูกของตัวเองได้ แต่อะไรจะมหัศจรรย์พันลึกเท่าความรู้สึกของการได้อุ้มท้องเอง ของขวัญแสนวิเศษที่ธรรมชาติเลือกสรรให้สตรี ตอนนี้รพีกานต์กำลังได้สัมผัสกับความรู้สึกนั้น

“รักหนูนะครับ” ดวงหน้านวลก้มลงบอกกับตัวเล็กในท้อง เขาบอกรักลูกทุกวัน และดูเหมือนสามแฝดจะรับรู้ได้จากปฏิกิริยาตอบสนอง นั่นทำให้รพีกานต์หัวเราะคิกคัก

“คงต้องขอบคุณพ่อของหนูแล้วละเนอะ ที่ทำให้เราได้อยู่ด้วยกันอย่างนี้ พ่อของหนูนะหล่อมากเลย เหมือนเจ้าชายในฝัน สาว ๆ กรี๊ดพ่อของหนูมากเลยน้า นอกจากนั้นคุณพ่อตัวโตยังเล่นดนตรีเก่งมาก ๆ คิดไม่ถึงว่าเห็นอย่างนั้นจะเรียนเก่งด้วยนะ อันนี้น้ารินของหนูเคยบอกมาน่ะ น้ารินก็คือน้องสาวของพ่อวิน” จิตใจแจ่มใสปลอดโปร่งคลายจากความรู้สึกขุ่นขมุกขมัวก่อนหน้าลงแล้ว รพีกานต์จึงเริ่มพูดถึงบิดาของลูกให้สายเลือดได้รับรู้ ลูกจะได้ค่อย ๆ ซึมซับถึงพ่อของเขา ใบหน้ายามพูดถึงอัครวินท์นั้นฉายรอยความสุขเต็มเปี่ยม ดูเหมือนบรรยากาศรื่นรมย์จะพัดพาเรื่องไม่พึงปรารถนาออกไปจากใจชั่วคราว ที่นึกถึงตอนนี้จึงเป็นเรื่องราวความสุขระหว่างกันเสียมากกว่า บ่ากว้าง แผ่นอกตึงแน่นแสนอบอุ่นนั้น ถ้าลูกน้อยได้ซบหลับ สามแฝดคงจะรู้สึกดีไม่น้อย

รพีกานต์ไม่ได้อยากให้ลูกเกลียดพ่อ กระทั่งตัวเขาเองตอนนี้ก็คลายความรู้สึกย่ำแย่ต่ออีกฝ่ายลงแล้ว เขาไม่เคยโกรธใครได้นาน ยิ่งความรู้สึกเกลียดแค้นยิ่งไม่เคยมีในความคิด พ่อรพินทร์สอนเสมอให้รู้จักให้อภัย ตอนนี้รพีกานต์ไม่ได้โกรธเคืองอัครวินท์แล้ว เพียงแต่ยังหวาดหวั่นและไม่สามารถเชื่อใจได้อย่างเดิมอีกก็เท่านั้น ถึงอย่างนี้ร่างเล็กก็ยังอยากบอกเล่าเรื่องของเขาให้ลูกฟัง เปิดเพลงที่เขาเล่นให้เจ้าตัวน้อยได้รื่นรมย์

“ถ้าสามแฝดเก่งได้อย่างพ่อวินคงดี แต่นิสัยนี่ต้องให้คุณปู่สอนเยอะ ๆ หนูจะได้ไม่เกเรเนอะ แต่ถึงจะไม่เก่งก็ไม่เป็นไร แค่หนูเป็นเด็กดีก็พอแล้ว ยังไงก็รักหนูที่สุด” รพีกานต์ยังเจื้อยแจ้วได้ต่อ แรงตอบรับเล็ก ๆ ในท้องยังความปรีดีแก่เขาได้ไม่สิ้นสุด

“แล้วพ่อวินนะ เคยไปที่บ้าน พวกเรานั่งเรือไปเก็บบัวสายกับโสนด้วยกัน เอามาทำแกงส้มโสนปู อื้อหือ ฝีมือปู่รพินทร์นะ อร่อยเหาะ พูดแล้วก็หิวแฮะ วันนี้อ้อนคุณปู่ทำแกงส้มโสนปูกันดีกว่า คิกคิก” คนท้องหัวเราะคิกคัก ยิ่งนึกถึงเรื่องดี ๆ ที่เคยมีร่วมกันก็ยิ่งฉ่ำหวานในความรู้สึก

“ยังมีอีก วันลอยกระทงกลางคืนนะ พ่อวินเซอร์ไพรส์แอบเช่าโฮมสเตย์ริมน้ำแถวนั้น แล้วก็พายเรือมาลอยกระทงด้วยกัน ตอนนั้นพ่อคิดว่า พ่อรักผู้ชายคนนี้มากจริง ๆ” ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งโหยหาลึก ๆ อยากใช้เวลาร่วมกันให้มากกว่านี้ ริ้วความเศร้าเล็ก ๆ ผุดขึ้นในใจพร้อมกับความหวาดกลัว กลัวใจตัวเอง กลัวว่ารักแล้วจะอยากผูกมัด ยึดเอาไว้เป็นของตัวเองคนเดียว ยิ่งเขาคนนั้นเป็นที่ปรารถนาของใครหลายคนก็ยิ่งนึกหวง แต่ที่กลัวจับใจมากที่สุด คือกลัวเขาจะไม่รัก เป็นอะไรไปหนอ ความรู้สึกนี้ทำให้อึดอัดนัก ทั้งที่ก็มีคนรักรายรอบกายแต่กลับคาดหวังจากคนคนเดียว พิกลจริง รพีกานต์สลัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านทิ้งแล้วเริ่มต้นคุยต่อ

“เอ เล่าเรื่องอะไรต่อดี” ใบหน้ายิ้มละไมทำท่านึก ดูเหมือนเรื่องระหว่างกันจะมีไม่มากเท่าไร แต่แผ่นอกอุ่นยามซุกซบ กลิ่นกายหอมและเสียงเต้นของหัวใจจะติดอยู่ในความทรงจำไม่สร่างซา

“พ่อวินของหนูไม่ได้เลวร้ายหรอกครับ เพียงแต่...เราคงยังรักกันไม่มากพอ” รอยยิ้มจางผุดขึ้นมุมปากขณะมือลูบท้องคล้ายปลอบประโลมลูกน้อย

โอ้เอ๋ยลูกหนอ เจ้ามีพ่อห่อนหน้า ยามเจ้าร้องเรียกหา ควรตอบว่าไฉน
ลูกแก้วมีพ่อ โอ้ละหนออยู่ไหน พ่อเจ้าเป็นหรือตาย จักตอบลูกเช่นไรดี

 

“กะ กานต์” เสียงหนึ่งดังขึ้นตะกุกตะกักแต่เหมือนทิ้งหินก้อนใหญ่ลงน้ำดังตูม รพีกานต์สะดุ้งโหยง เบือนหน้าหันขวับไปยังต้นเสียง ร่างสูงตระหง่านหากแต่ท่าทางการยืนดูไม่มั่นคงนัก สีหน้าของเขาดูตกใจเหมือนได้พบเห็นเรื่องคาดไม่ถึง เพียงเท่านี้รพีกานต์ก็เดาได้แล้วว่าเขาคงได้ยิน

“พี่ดิน” สถานการณ์อิหลักอิเหลื่อ รพีกานต์ขานเรียกชื่อเขาไม่เต็มเสียงนัก

“เมื่อกี้พี่ได้ยิน กานต์พูดอยู่กับ...” ตาคมหลุบมองท้องกลมซึ่งนูนขึ้นมา แต่เดิมเขาคิดว่าอีกฝ่ายมีไขมันสะสม  เรื่องเหลือเชื่อเช่นนี้ทำให้เขาอึกอักพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

“กานต์...เป็นผู้หญิงหรือครับ” ถามเสร็จก็แทบกัดลิ้นตัวเอง แต่สถานการณ์นี้เขาเองก็จนปัญญาจะคิดเฟ้นคำถามอะไรมาถาม

“พี่ดินได้ยินที่กานต์คุยกับ...ลูก” คำว่า ‘ลูก’ ฟาดเปรี้ยงเข้าเต็มหน้า อัษศดิณย์ชะงักงัน สีหน้าเหลอหลา รพีกานต์เม้มริมฝีปากกระอักกระอ่วนจนด้วยคำพูดตอบเขาเช่นกัน ทำยังไงดี เขาเป็นผู้ชายแต่กลับท้องได้ ครั้นจะบอกว่าตนเองเป็นสตรี รพีกานต์ก็ไม่อยากโกหก ความคิดวนเวียนกลับไปกลับมาสุดท้ายก็จนด้วยทางออก อีกทั้งปมในใจยังทำให้หวาดหวั่นว่าจะถูกมองเป็นตัวประหลาด ไม่คิดให้มากความ รพีกานต์ผุดลุก เท้าถอยกรูดสบตากับเขาด้วยความรู้สึกหลากหลาย หัวใจถูกบีบอัดรุนแรงเมื่อความลับถูกล่วงรู้ ยิ่งเขามองมาด้วยสายตาตกตะลึง รพีกานต์ก็อยากลี้หนีหน้าไปจากตรงนี้

“กานต์!” อัษศดิณย์ตะโกนเรียกเสียงดัง มือปราดเข้าคว้าข้อมือโดยสัญชาติญาณ เมื่ออีกฝ่ายจ้ำอ้าวก้าวพรวด ๆ หนีเขา

“อย่ายุ่งกับกานต์อีก!” รพีกานต์บิดข้อมือกระชากแขนหนี สายตาเจ็บปวดรวดร้าวที่ส่งมาตรึงเท้าที่กำลังจะก้าวตามของอัษศดิณย์ชะงัก คนท้องเม้มปากก่อนผลุนผลันจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก

 :L2:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๙)(P.๑๓)(๐๒/๑๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 03-11-2017 02:34:37
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๙)(P.๑๓)(๐๒/๑๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 03-11-2017 03:09:09
อ่านรวมเดียว 29 ตอน หนุกหนาน ๆ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๙)(P.๑๓)(๐๒/๑๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 03-11-2017 10:28:52
เอาคื่นให้สาสม
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๙)(P.๑๓)(๐๒/๑๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ตัวไหมอ้วนกลม ที่ 03-11-2017 12:27:48
อ๊ากกกกกกกกกก   ดีใจนึกว่าตาฝาดคิดถึงสามแฝด   :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๙)(P.๑๓)(๐๒/๑๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 03-11-2017 19:23:48
ทุกอย่างต้องใช้ความอดทนนะพี่วิน สู้ๆ แต่อยากให้สามแฝดออกมาเจอป้าๆ แล้ว o18
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๙)(P.๑๓)(๐๒/๑๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: ก้อนขี้เกียจ ที่ 03-11-2017 20:36:15
อ้าว หนีคุณดินซะงั้น   :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๙)(P.๑๓)(๐๒/๑๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: pawara123 ที่ 09-11-2017 22:00:37
นิยายดีๆทำไมคนอ่านน้อยจัง
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๙)(P.๑๓)(๐๒/๑๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 23-11-2017 00:14:52
กานน้อยคงเสียขวัญ  :hao4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย(Mpreg)(อัพตอนที่๒๙)(P.๑๓)(๐๒/๑๑/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 23-11-2017 14:20:11
ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของเวลาก็แล้วกัน
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย ๓๐(Mpreg)(P.๑๓)(๐๖/๑๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 06-12-2017 15:03:42
เสน่หา...รักเอย ๓๐
‘มองเห็นเดือนเคลื่อนคล้อยลอยพยับ     พี่สดับตรับเสียงสำเนียงขาน
ฟังหรีดหริ่งกริ่งร้องก้องชลธาร     หิ่งห้อยผ่านเวียนวนคนเหม่อลอย
พี่นั่งคอยกลอยเจ้าเศร้าริมท่า     โอ้ละหนาอกไหม้ใจขื่นขม
เคยทำผิดคิดร้ายให้ระทม     อกข้าตรมบ่มช้ำร่ำหานวล’

“อย่ายุ่งกับกานต์อีก!”

เท้าที่กำลังจะก้าวตามพลันชะงักกึกเมื่อได้ยินประกาศิตเด็ดขาดจากคนที่มีใบหน้ายิ้มแย้มเป็นนิจ ซึ่งบัดนี้รอยยิ้มนั้นได้อันตธานวับไป อัษศดิณย์รู้สึกสมองตื้อชั่วขณะเหมือนถูกทุบด้วยค้อนปอนด์หนักหน่วง สายตางุนงงสับสนเหลือบมองตามร่างที่กำลังแล่นหนีจากเขาไปอย่างเร่งร้อนจนแผ่นหลังหายลับไปในแนวพุ่มไม้ ชายหนุ่มไม่ได้ก้าวขาตามไปด้วยชะงักกับน้ำเสียงตวาดที่เจือระคนด้วยความโศกศัลย์หนักหน่วง เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดรวดร้าวในน้ำเสียงหนักอึ้งนั้น และใบหน้าบิดเบี้ยวปริ่มจะร้องไห้อยู่รอมร่อนั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่ได้ตามไปเร่งเร้าเอาความ แต่ตอนนี้อัษศดิณย์กำลังเกิดคำถามกับตัวเองเงียบ ๆ

เกิดอะไรขึ้น?

อัษศดิณย์จับต้นชนปลายไม่ถูก ทุกอย่างที่ได้รับรู้มันกะทันหันเกินไป และเขาไม่ทันได้เตรียมใจตั้งรับมาก่อน รู้เพียงว่าในตอนนี้คนที่เขาหมายตากำลังตั้งครรภ์ ไม่ผิดแน่ เขาได้ยินชัดเจนตอนรพีกานต์คุยกับชีวิตน้อย ๆ ที่ถือกำเนิดขึ้นในครรภ์ เขาในตอนนั้นซึ่งตกใจจนก้าวขาไม่ออก คลำหาเสียงตัวเองไม่เจอ ได้แต่ยืนบื้อใบ้นิ่งฟังอยู่เป็นนาน

“กานต์ท้อง” อัษศดิณย์ครางเสียงแผ่วหวิวดังคนสติหลุดลอย ความรู้สึกบีบอัดในใจเหมือนกำลังจมน้ำไม่ปาน ความรู้สึกว่าตนโง่งมและกำลังจะกลายเป็นชายชู้ตีแสกกลางใบหน้าจนชา เขาสูดลมหายใจลึกเข้าปอด พาร่างหนักอึ้งฝืนกำลังขาเดินเซื่องซึมกลับไปที่รถ

“อ้าว คุณดิน เมื่อกี้น้องกานต์” รพินทร์ทักขึ้นเหมือนอยากถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นสีหน้าของอัษศดิณย์ก็ยั้งคำพูดไว้เสีย แล้วค่อยเลียบเคียงด้วยความระวัง “มีอะไรกันหรือเปล่าครับ”

“เอาไว้เดี๋ยวผมมาใหม่นะครับ” อัษศดิณย์ส่ายหน้ายิ้มเซียวเหมือนคนหมดเรี่ยวแรงส่งให้ สีหน้าแสดงความผิดหวังออกมาจนรพินทร์ไม่กล้าซักไซ้ต่อ เจ้าของบ้านมองตามแผ่นหลังหนักแน่นที่บัดนี้ลู่ลงดั่งแผ่นผาพังทลายจนรู้สึกได้ จวบเมื่ออัษศดิณย์ปิดประตูรถแล้วขับออกไป เขาจึงได้หันกลับขึ้นไปบนบ้าน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“น้องกานต์ลูก เปิดประตูให้พ่อได้ไหม” รพินทร์ถามเสียงอ่อนโยนเจือความเป็นห่วง เงียบอยู่ครู่ เสียงกอกแกกจึงดังขึ้นตามด้วยประตูที่เปิดออก

“พ่อ พี่ดินรู้แล้ว” รพีกานต์โพล่งขึ้นด้วยสีหน้าไม่สู้ดี คนท้องโผเข้ากอด ซบใบหน้าลงบนไหล่บิดาพลางสะอื้นตัวโยนด้วยความหวาดกลัว หยาดน้ำใสทะลักทลายลงอย่างสุดกลั้น กายไหวสะท้านกับสิ่งที่ประดังประเดซัดโหมเข้าหา

“รู้เรื่องสามแฝดน่ะหรือ” รพินทร์ถามย้ำ

“ครับ แต่พี่ดินเข้าใจว่ากานต์เป็นผู้หญิง” เสียงตอบกลับอู้อี้น่าสงสาร รพีกานต์ทุกข์ทรมานกับความรู้สึกนี้มาโดยตลอด

“เข้าไปนั่งคุยข้างในก่อนดีเนอะ” รพินทร์ลูบแผ่นหลังสั่นระริกปลอบโยน รพีกานต์ผละออกจากบิดาแล้วกลับหลังหันเข้าไปข้างใน สองพ่อลูกหย่อนกายลงนั่งเผชิญหน้ากัน รพินทร์เกลี่ยหยาดน้ำตาให้ลูก คนท้องอ่อนไหวง่ายจนเขานึกห่วง

“กานต์รู้ใช่ไหม ว่าพี่ดินเขาเทียวไล้เทียวขื่อคือพี่เขากำลังจีบเราอยู่”

“กานต์ กานต์พอทราบครับ แต่ไม่รู้จะพูดยังไง คิดว่า...พี่ดินเขาคงไม่จริงจัง ไม่นานคงเลิกราไปเอง”

“กานต์คิดน้อยไปนะ พี่ดินอายุไม่น้อยแล้ว วัยพร้อมสำหรับลงหลักปักฐานกับใครสักคนแล้ว ไม่ใช่อย่างพี่วินที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ จะได้ลอยชายไปเรื่อย หรือแม้แต่พี่ณัฐที่รักน้องกานต์จริง ๆ ก็ยังไม่พร้อมเท่าพี่ดินในตอนนี้ พ่อคิดว่าพี่ดินเขาจริงจัง เพราะพี่เขาพร้อมแล้วทั้งหน้าที่การงานแล้วก็อื่น ๆ เขาถึงคิดอยากมีใครสักคนเคียงข้างเป็นคู่ชีวิต ไม่ใช่แค่คู่นอน” รพินทร์พูดตรง ๆ ให้ลูกเข้าใจ เขามองเจตนารมณ์ของอัษศดิณย์ออก แต่เจ้าตัวเล็กของเขานี่ละ ที่ยังเยาว์ต่อโลกยิ่งกว่า เลยคิดง่าย  ๆ ว่าเดี๋ยวจีบไม่ติดอีกฝ่ายก็คงล่าถอยไปเอง

“กานต์นี่ใช้ไม่ได้เลย เมื่อก่อนตัดพ้อตำหนิแต่พี่วิน ตอนนี้กลายเป็นว่ากานต์เองกลับแย่ยิ่งกว่า” รพีกานต์หน้าสลด ดวงตาหลุบต่ำยอมรับคำตำหนิเสียงอ่อย ตัวเขาเคยเรียกร้องความจริงจังจริงใจจากอัครวินท์ เรียกร้องให้พี่วินรักแล้วก็มีน้องกานต์คนเดียว เอาเข้าจริงรพีกานต์เองก็ยังมองอะไรไม่ลึกซึ้งพอ

“ถ้ากานต์ไม่มีสามแฝด ผิดหวังแล้วอยากเริ่มกับคนใหม่มันก็ไม่ผิดหรอก คุณดินเองก็มีวัยวุฒิพอ พี่ณัฐรึก็ดูแลกานต์ได้ แต่ตอนนี้กานต์กำลังมีลูก จะทำอะไรกานต์ต้องคิดให้ดี ตัดสินใจให้เด็ดขาดแน่นอน อะไรไม่ควรให้ความหวังก็อย่าทำ แต่ถ้าคิดว่าตัดขาดจากพี่วินได้แน่ ๆ ไม่มีทางหวนกลับไปแล้ว กานต์จะทำอะไรพ่อคงไม่ห้าม สามแฝดพ่อก็จะรับเลี้ยงให้เอง ถ้ากานต์อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่แบบไร้พันธะน่ะนะ เรื่องนี้ไม่มีปัญหาเลย แต่อยากให้ทบทวนดูดี ๆ กานต์ยังรักพี่วินอยู่ไหม คุณดินก็ดี พี่ณัฐก็ดี พวกเขาล้วนแต่ดีกับกานต์”

“กานต์คนบาปหนา มีแต่คนดี ๆ มารักกานต์ แต่กานต์กลับรักคนเกเรครับพ่อ” ดวงตาหวานเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำพร่างพราวจวนเจียนจะล้นทะลัก คำพูดของบิดาตีแสกหน้าจนอดสะท้านไม่ได้ ร่างเล็ก ๆ สั่นระริกอย่างคนสลัดความทุกข์ระทมนั้นไม่หลุด ความเจ็บปวดเกาะกุมหัวใจ ดิ้นรนอย่างไรก็ยังทรมาน

“มันก็ไม่แน่เสมอไปหรอก ถ้าพี่วินเขากลับตัวได้ ยอมรับที่จะปรับปรุงตัว พี่วินจะเป็นผู้ชายที่ดีพร้อมมาก ๆ คนหนึ่ง พร้อมสำหรับเป็นคนรักและพ่อของลูก แต่ตอนนี้พี่วินของกานต์อายุแค่สิบเก้า ปุบปับจะให้ดีทันใจคงเป็นไปไม่ได้ ต้องค่อย ๆ ปรับกันไป” รพินทร์พูดตามที่เห็นโดยไร้อคติ โดยพื้นฐานอัครวินท์มีสิ่งดีพร้อมเป็นต้นทุนอยู่แล้ว หากนิสัยใจคอหนักแน่น รู้ผิดชอบชั่วดี ชายหนุ่มจะเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบคนหนึ่ง

“กานต์ควรทำยังไงดี”

“พูดความจริงลูก คุณดินคงช็อกน่ะ แต่ไม่แน่ว่าอาจจะกลับมาอีก ถึงตอนนั้นคงขนคำถามมาเป็นกระบุง กานต์ก็ตอบเท่าที่ตอบได้ อย่าโกหกเขา เราต้องบอกเกี่ยวกับร่างกายของเราด้วย พ่อคิดว่าคุณดินคงจะเข้าใจอะไรได้ไม่ยากหรอก อย่างน้อยก็น่าจะยังเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันได้”

“ถ้าพี่ดินโกรธกานต์ละครับ”

“ก็ต้องยอมให้พี่เขาโกรธ แต่เราก็ชี้แจงอธิบายให้ฟังได้นี่ลูก คุณดินเป็นผู้ใหญ่ วัยยี่สิบปลายแล้ว ดูแลกิจการมากมาย คุมคนงานเป็นร้อย ๆ อย่างน้อยคงมีใจคอกว้างขวางอย่างคนเป็นผู้นำบ้างละ คงไม่งี่เง่าไร้เหตุผลหรอก” รพินทร์ประโลมลูก มือเรียวแนบใบหน้าหม่นหมองถ่ายทอดความอบอุ่นให้ลูกได้ใจชื้นขึ้น

“แล้วกานต์คิดยังไงกับคุณดิน”

“กานต์ไม่รู้ครับ กานต์รู้แค่ว่าพี่ดินอบอุ่น ตรงไปตรงมาแต่ไม่ใช่คนโผงผาง แล้วก็มีความจริงใจเต็มเปี่ยม ดูแลใส่ใจความรู้สึกดีมาก”

“แล้วต้นน้ำล่ะ”

“กานต์ กานต์ก็ไม่รู้ครับ แต่คุยกับต้นน้ำแล้วกานต์สบายใจ ต้นน้ำอ่อนโยน ถึงจะชอบเย้าชอบแหย่แต่ก็เป็นคนใจดี เข้าใจคนอื่นมากคนหนึ่ง”

“คุณดินกับต้นน้ำเป็นพี่น้องพ่อเดียวกัน ทำอะไรก็คิดหน้าคิดหลังอย่าให้กระทบกระทั่งกันนะลูก กานต์ไม่ชอบพี่วินหลายใจ กานต์ก็อย่าเที่ยวให้ความหวังทำร้ายใคร พี่ณัฐก็ยังรอกานต์อยู่ ไม่ลืมใช่ไหม”

“แต่บางทีกานต์ก็ไม่ได้คิดอะไรจริง ๆ นะครับ แค่คุยเล่นสนุก ๆ มันก็มีบ้างบางทีที่หวั่นไหว พวกเขาเป็นผู้ชายที่ดีมากจริง ๆ เฮ่อ ถ้าแยกร่างได้นะ กานต์จะเหมาหมดเลย” คนท้องทำหน้ากลุ้มอกกลุ้มใจ

“ดูพูดเข้า แค่กานต์เป็นกานต์ก็ทำให้คนหวั่นไหวได้แล้ว เพราะงั้นลูกต้องรู้จักวางตัวให้ดี” รพินทร์ยิ้มในหน้าขณะกระเซ้าน้อย ๆ เจ้าคนนี้อาเล็กเขาเอ็นดูนัก อากับหลานสนิทสนมกันราวพี่น้องก็ไม่ปาน

“พ่อ...ทำไมทุกอย่างถึงยุ่งเหยิงแบบนี้ได้ละครับ” รพีกานต์โอดครวญ

“ความรักนี่เนอะ วุ่นวายบ้างเป็นธรรมดา บางครั้งก็ต้องมีบททดสอบความหนักแน่นแข็งแกร่งกันบ้าง พ่อเองยังเกือบเอาตัวไม่รอดเลยนะ”

“พ่อรักพ่อพี่วินมากเลยหรือครับ” รพีกานต์ถามบิดาซื่อ ๆ

“มาก” รพินทร์ตอบหนักแน่น ดวงตาดำขลับทอประกายแน่วแน่

“แล้วตอนนี้ล่ะครับ”

“เราสามารถเก็บคนที่เรารักเอาไว้ในใจของเราได้ ถ้าเราไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ครอบครองตัวเขาน่ะนะ ใครก็แยกเขาไปจากใจเราไม่ได้หรอก” รพินทร์ยิ้มบางให้ลูก เขาเองก็โตและผ่านอะไรมามากจึงไม่ได้คร่ำครวญกับการสูญเสียเฉกเช่นครั้งอดีต

“กานต์พักผ่อนนะลูก สบายใจกว่านี้ค่อยแวะไปคุยกับคุณดิน คิดยังไงก็บอกเขาไปตรง ๆ ถ้าอยากเปิดใจ สามแฝดพ่อจะเลี้ยงให้เอง”

“แบบนั้นก็เหมือนกานต์ตัดช่องน้อยแต่พอตัว คิดถึงแต่ความสุขของตัวเอง ถ้าสามแฝดรู้คงผิดหวังมากแน่ ๆ แล้วถ้าพี่วินรู้ คงหาข้ออ้างมาฉกลูกไป กานต์ไม่ยอมหรอก ทำใจไม่ได้จริง ๆ ถ้าลูกจะเรียกกานต์ว่าพี่” รพีกานต์บ่นอุบ หน้าตาบู้บี้ รพินทร์ลูบศีรษะทุยแผ่วเบาพลางบอก

“ทางนั้นพี่วินเขาก็ไม่ได้นิ่งนอนใจนะ พยายามตามหาอยู่ ถ้าพี่เขาตามมาเจอ จะทำยังไงกันฮึ”

“ไม่รู้ครับ” คนท้องหลุบสายตาลงต่ำ ต่างฝ่ายต่างเงียบงันจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง ตอนนั้นเองเสียงโทรทัศน์ที่รพีกานต์เปิดทิ้งไว้ก็ดังแว่วเข้าหู เป็นข่าวแวดวงบันเทิงที่นำเสนอเรื่องราวการเลิกรา หย่าร้าง ของคู่รักหวานชื่นคนบันเทิงคู่หนึ่งที่นับว่าสร้างความคาดไม่ถึงแก่คนที่รู้ข่าวไม่น้อย

“บางคนตอนแรกดี ไป ๆ มา ๆ ดีแตกก็มี ลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจหรือ ก็ถ้าคนมันจะไป เอาช้างมาฉุดก็เอาไม่อยู่ ยามกิเลสราคะบังตา หน้าลูกหน้าเมียก็คงจะไม่นึกถึง แต่บางคนเคยผิดพลั้งพลาดแล้วรู้จักปรับปรุงแก้ไขตัวเอง ไปกันรอดก็มี ของแบบนี้ต้องดูยาว ๆ” รพินทร์โคลงศีรษะขณะสายตามองดูข่าวบันเทิงที่นำเสนอความเป็นไปของวงการมายา

“รักตัวเองมาก ๆ แต่ไม่ใช่เห็นแก่ตัวจนสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นนะกานต์นะ”


ร่างแกร่งกำยำเปิดประตูก้าวลงจากรถในลักษณะสิ้นไร้เรี่ยวแรงไม่ต่างจากไม้ใหญ่ข้างในกลวงโบ๋ ตลอดทางที่ขับรถมาหลากความรู้สึกตีรวนในใจไม่จบไม่สิ้น อัษศดิณย์สูดลมหายใจลึกก่อนก้าวเท้าขึ้นเรือน พยายามขับไล่อารมณ์ขุ่นมัวออกไปลำบากยากเย็นด้วยภาพนั้นยังย้ำชัดติดตา มือใหญ่กำหมัดแน่น อึดอัดคับอกคับใจมากเข้าก็ระบายลงกับราวบันไดไม้ดังเปรื่องใหญ่

หนึ่งไม่บอกกล่าว อีกหนึ่งก็ไม่ได้ไถ่ถาม

ไม่รู้จะสืบสาวราวเรื่องเอาผิดที่ใคร

ไม่สิ ไม่ถูก

อัษศดิณย์ยั้งความคิดฟุ้งซ่านบุ่มบ่ามของตนเอง เขาเพิ่งเริ่มต้นลองจีบ ยังไม่ได้เอ่ยปากบอกกล่าวจริงจังเสียด้วยซ้ำ ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก ขาก้าวพ้นบันไดก็เจอกับใครบางคนตรงชานระเบียง ศิรวัฒน์เหลือบสายตาขึ้นมองตรงมาทางเขาพอดี

“แห้วไหม” เสียงถามเรียบ ใบหน้าเฉยของมันทำเอาคนฟังคิ้วกระตุกด้วยถูกจี้ใจดำ สายตาคมตวัดมองค้อนคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ซึ่งนั่งเคี้ยวแห้วกร้วม ๆ แม้จะรู้สึกขวางหูขวางตาแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอะไรผิด เพราะเจ้าตัวเพียงชวนเขากินแห้วตามมารยาท แต่เห็นแค่นี้คนทำท่าจะ ‘แห้ว’ ก็นัยน์ตาขวางขุ่นประหนึ่งว่าถูกไอ้เด็กหน้ามึนปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมวัวมันเย้ยเอา

“หือ?” คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลิกคิ้วเป็นเชิงคำถาม เมื่อถามแล้วอีกฝ่ายไม่ตอบแถมทำสีหน้ายุ่งคล้ายคนท้องผูก กระนั้นแล้วใบหน้านิ่งเป็นนิจจนบางครั้งดูคล้ายยียวน ก็สยบอารมณ์เกรี้ยวกราดอยากอาละวาดของอัษศดิณย์สงบลงอย่างน่าประหลาด
หน้ามันมึนจนไม่รู้จะหาเรื่องอะไรมัน
อัษศดิณย์ได้แต่สบถในใจเงียบ ๆ ในใจพาลพาโลนึกอยากสาดจานแห้วทิ้งให้รู้แล้วรู้รอด ทิ่มตำใจเหลือเกิน แห้ว แห้ว แห้ว!

“ไม่กิน” เขาตอบเสียงห้วนสั้นพลางสะบัดหน้าหนีด้วยความชีช้ำก่อนเหล่มองอีกฝ่ายด้วยหางตา ถ้าเจ้าเด็กนี่รู้ว่าเขากำลังจะแห้ว มันคงได้หัวเราะเยาะคนอกเดาะ ว่าแล้วก็อยากอาละวาดระเบิดลงกับมันแต่ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไร จึงทำเพียงนั่งมองไอ้เด็กกวนโอ๊ยกระดิกเท้ากินแห้วเงียบ ๆ พอได้มองเต็มตาถึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายโตขึ้นเป็นหนุ่มเนื้อหอมไม่เบา เจ้าตัวชื่นชอบการออกกำลังกาย ทั้งว่ายน้ำ เล่นบาสเก็ตบอล ส่วนสูงถึงเพิ่มขึ้นพรวด ๆ และส่วนหนึ่งคงมาจากที่เจ้าตัวชอบดื่มนมวันละแกลลอน เวลาโมโหมันมาก ๆ เข้า เขาถึงได้ตวาดมันด้วยความฉุนเฉียวว่า ‘ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นนมวัว’ ซึ่งแน่นอนว่าศิรวัฒน์ก็ไม่เถียงเพราะมันคือเรื่องจริง เจ้าตัวเพียงตอบกลับมาด้วยหน้ามึน ๆ ไร้อารมณ์ว่า “นมแพะก็อร่อยนะ”เอากับมัน อัษศดิณย์โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่เขาไม่ใช่คนหยุมหยิมมายืนตีฝีปากกับเด็ก จึงแค่กระฟัดกระเฟียดแล้วก็ถอยออกห่าง ๆ มัน

ศิรวัฒน์สังเกตเห็นว่าอัษศดิณย์กำลังหงุดหงิดไม่สบอารมณ์ ทั้งที่ตอนก่อนออกจากบ้านไป หน้ายังบานเป็นจานดาวเทียม เขาไม่รู้ต้นสายปลายเหตุจึงไม่สุ่มเสี่ยงพูดอะไรออกไปให้ระเบิดลงใส่หัว ดูก็รู้ว่าพี่ดินกำลังหาที่ลง เรื่องอะไรเขาจะเอาตัวเองไปรองรับ ตอนมีความสุขไม่เห็นนึกถึงกัน จึงทำเพียงนั่งกินแห้วเงียบ ๆ ด้วยท่าทียียวน เผื่อผลพลอยได้จะได้เห็นคนลมจุกอก อยากทำตัวน่าหมั่นไส้ดีนัก ที่เขาต้องมานั่งกินแห้วตอกย้ำตัวเองอยู่นี่ก็เพราะพี่เลย พี่ดิน!

“อยากกินเหล้า” อัษศดิณย์โพล่งขึ้นห้วน ๆ ไม่มีปี่มีขลุ่ย ศิรวัฒน์เหล่มองพี่ชาย กระนั้นก็ยังไม่เปิดปากถามให้ระเบิดลงหัว เจ้าตัวเพียงพยักหน้ารับรู้แล้วผละไปที่ห้องครัวเพื่อสั่งแม่บ้านทำกับแกล้ม ส่วนตัวเขายกขวดเหล้ากับนมขึ้นมาบนเรือน

“ผมอายุไม่ถึงสิบแปด ดื่มนมเป็นเพื่อนละกัน” เจ้าตัวว่า อัษศดิณย์เหลือบสายตาคมร้อนแรงตวัดขึ้นมองเจ้าตัวดี มันจงใจกวนอารมณ์เขาชัด ๆ นอกจากถลึงตาใส่ เขาก็อดคาดโทษมันไม่ได้

“อย่าให้ฉันเห็นไอ้เด็กแก่แดดที่ไหนไปแอบกินเหล้าตอดสาวละกัน” ผู้มีศักดิ์เป็นพี่เหน็บเสียงเยาะขึ้นจมูก

“ก็ไม่ได้แอบ กินให้เห็นโต้ง ๆ ส่วนสาวก็ไม่ได้ตอด เขามาจีบเอง คนมันหล่ออะนะ” ศิรวัฒน์เอ่ยเสียงเรียบเรื่อย ขณะแสร้งก้มหน้า มือสาละวนกับการชงเหล้าให้พี่ชายที่กลายร่างเป็นยักษ์พร้อมฉีกร่างเขา อัษสดิณย์ถลึงตาวาว ๆ ใส่เจ้าคนเสแสร้ง สายตามองคนน้องชงเหล้าให้ตัวเอง พอแก้วเหล้าเลื่อนมาตรงหน้าเจ้าตัวก็ยกขึ้นกระดกพรวด

“เหลือพื้นที่ให้กับแกล้มลงกระเพาะบ้าง ทำอย่างกับคนอกหัก” ศิรวัฒน์ดักคอ สายตามองใบหน้าพี่ชายนิ่ง ๆ อัษศดิณย์ประสานสายตากับน้องชาย สุดท้ายคนเป็นน้องจึงเป็นฝ่ายถอนสายตาออกไปก่อน

“ผมจะไปดูกับแกล้ม คุณนั่งไปก่อนแล้วกัน” ศิรวัฒน์หาข้ออ้างผละออกมา เขาทนสายตาของพี่ชายไม่ไหว สายตาที่ทำให้ตื่นตัวและกระสับกระส่าย สายตาที่ไม่เคยชายแลมาที่เขา แต่เมื่อยามประสานสายตากันตรง ๆ พลังดึงดูดมหาศาลนั่นกลับกระตุ้นให้เขาอยากกระชากพี่ชายเข้ามาจูบ บดเบียดริมฝีปากสอดปลายลิ้นเกี่ยวรัด ปลุกปั่นอารมณ์ร้อนแรงแผดเผาคนทั้งคู่ อารมณ์รุนแรงของวัยรุ่นทำให้เขาต้องพยายามยับยั้งช่างใจตัวเองหนักหน่วงด้วยการหาข้ออ้างผละออกมาก่อนเผยพิรุธให้พี่เห็น

เขาควรไปจากที่นี่และไม่กลับมาอีก เสน่ห์ของความลับคือเราสามารถซุกซ่อนมันไว้ในก้นบึ้งโดยไม่แพร่งพรายให้ใครได้รับรู้ ความลับจึงจะเป็นความลับ ภาวนาให้ความลับนี้คงอยู่กับเขาตลอดไป อย่าให้พี่ชายระแคะระคายในตัวเขาเลย แค่ตอนนี้ที่เขาขอเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่ได้เห็นหน้าเป็นความทรงจำก่อนจากไปก็พอ
ขอแค่นี้จริง ๆ


“อื้อ” ร่างซวนเซของคนเมางึมงำตลอดทางกลับห้อง ศิรวัฒน์พยุงร่างหนักวางลงนอนบนเตียงแล้วหันไปสั่งแม่บ้าน

“เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการเอง ปิดประตูแล้วก็ไปพักเถอะครับ” แม่บ้านเก่าแก่พยักหน้ารับรู้ ร่างเจ้าเนื้อเดินออกจากห้องไปแล้วปิดประตูงับให้เรียบร้อย ศิรวัฒน์มองประตูแล้วตามไปกดล็อก ก่อนเบนสายตากลับมายังยักษ์หมดสภาพไม่ต่างจากปลาบนเขียง ชายหนุ่มเท้าสะเอวพ่นลมหายใจคำรบหนึ่งแล้วเริ่มต้นลอกคราบพี่ชาย

ผิวสีแทนอุดมด้วยมัดกล้ามสวยงามรังสรรค์ร่างกายที่แสนวิเศษในสายตาศิรวัฒน์ ร่างเปลือยเปล่าของอัษศดิณย์ปรากฏแก่สายตาของผู้เป็นน้องชาย ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกสะกดกลั้นความรุ่มร้อนอันแสนทรมานที่แผดเผาหัวใจ ยามมองร่างกายที่ตนปรารถนาครอบครอง ร่างสูงโปร่งเดินเข้าในห้องน้ำแล้วออกมาพร้อมผ้าขนหนูและกะละมังใบเล็ก

“เช็ดตัวนะพี่ดิน จะได้นอนสบาย ๆ” เขาบอกพี่ชาย เตือนตนเองว่านี่คือพี่ชายของเขา ข่มใจนิ่งอยู่อึดใจ มือใหญ่จึงบิดผ้าขนหนูในกะละมังแล้วย้ายมาเช็ดที่ใบหน้าคร้ามคม

พี่ดินหล่อมากจริง ๆ

ศิรวัฒน์มองพี่ชายด้วยความหลงใหล หัวใจเต้นกระหน่ำรัวเร็วกว่าทุกที แม้หลายคนจะเคยชมว่าศิรวัฒน์เองก็หล่อเหลาไม่แพ้พี่ชาย แต่ชายหนุ่มก็ยังมองว่าพี่ชายดูดีมีเสน่ห์กว่าเขาหลายขุม เสน่ห์ที่ซุกซ่อนภายใต้สายตาคมร้อนแรง ยามยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดแผดจ้า พี่ชายของเขาดูมีออร่าจับตา เพื่อนสนิทที่โรงเรียนล้วนแล้วแต่หน้าตาดี แต่ไม่มีคนไหนมีเสน่ห์บาดจิตบาดใจทรมานเขาได้อย่างพี่ชาย เวลานี้สีหน้าเฉยเมยของศิรวัฒน์ฉายแววทุรนทุรายออกมาอย่างไม่ปิดบังขณะมือเลื่อนผ้าขนหนูลงเช็ดตามซอกคอ แผ่นอกตึงแน่น กล้ามท้องขึ้นลอนของพี่ชายแผดเผาหัวใจแทบขาดเป็นริ้วได้มากกว่าส่วนอื่น เพราะเห็นอยู่บ่อย ๆ ยามพี่ดินรั้งชายเสื้อขึ้นซับเหงื่อบนหน้า เผยให้เห็นหน้าท้องเรียงลอนชุ่มด้วยเหงื่อโชกเป็นมันย่อง หัวใจคนมองกระตุกกับความเซ็กซี่ร้ายกาจนั้น ไม่รู้เมื่อไรที่สายตาไม่อาจละไปจากคนต้องห้าม ยิ่งถูกเกลียดชังก็ยิ่งดันทุรัง 

ศิรวัฒน์กลั้นใจยามลากผ้าขนหนูเช็ดซิกแพค และพยายามมองเมินส่วนสงวนของบุรุษ เขาหันหลังให้และเริ่มต้นเช็ดต้นขาไล่ลงไปรวดเร็ว จากนั้นรีบตลบผ้าห่มคลุมสิงห์เปลือยทันที ร่างสูงหอบหายใจหนักหน่วงราวกับซ้อมลี้ภัยมา ยามหันกลับมามองคนเมา
เขาทรุดกายลงนั่งแปะพื้นใกล้พี่ชายแล้วจ้องมองด้วยความหลงใหลสุดหัวใจ มีเพียงเวลานี้เท่านั้นที่เขาสามารถมองอีกฝ่ายได้เต็มตาเท่าที่อยากมอง ความเจ็บปวดตอกลิ่มขณะมุมปากวาดยิ้มน้อย ๆ มองคนที่เคยรักและเอ็นดูเขา

“ถึงไม่เกิดเรื่องนั้นขึ้น เราก็คงรักกันไม่ได้อยู่ดี” หยาดน้ำตากลิ้งลงบนแก้มขาว ศิรวัฒน์ปวดร้าวและทุกข์ทรมานกับความขื่นขมที่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนเสมอมา ความแค้นคุกรุ่นของคนเป็นแผดเผาคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ชีวิตของเขามีเพียงพี่ชายเป็นความหวัง เป็นแสงตะวันเพียงดวงเดียวที่พยายามเอื้อมมือคว้า แม้จะรู้ว่าดวงตะวันนั้นร้อนแสนร้อนเพียงใด พี่ชายที่รักคนอื่นและไม่เคยมองมาที่เขา แสงตะวันไม่เคยสาดส่องลงมาที่หัวใจเหน็บหนาวของเขา เด็กน้อยได้แต่คู้กอดตัวเองสั่นระริกอยู่กับความผิดที่ไม่ได้ก่อ แต่ละวันล้วนผ่านไปด้วยความขมเฝื่อน ความรักที่มีให้พี่ชายเป็นแสงสว่างริบหรี่เดียวที่เขามี

“ตัวหนักเป็นบ้า ขอค่าแบกหน่อยแล้วกัน” เขายิ้มจางขณะยื่นใบหน้าเข้าใกล้ แตะริมฝีปากอ่อนโยนบางเบาราวแมลงปอแตะผิวน้ำลงบนริมฝีปากได้รูปของพี่ คิดไม่ถึงว่ากรงแขนมากด้วยพละกำลังจะตวัดโอบรัดตัวเขา และพี่ชายจะเบียดริมฝีปากร้อนลวกบดขยี้จาบจ้วงกับริมฝีปากสีอ่อนของคนไม่ทันตั้งตัว อัษศดิณย์สอดปลายลิ้นคลุกเคล้าทั้งสติพร่าเลือนสะลึมสะลือ เขารับรู้ถึงรสชาติของนมลาง ๆ ปลายลิ้นเอาแต่ใจเกี่ยวรัดเร่งเร้า รสจูบหนักหน่วงเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าพาสมองของศิรวัฒน์ขาวโพลน ชายหนุ่มพยายามดิ้นรนผลักไสราวต้องของร้อน หัวคิ้วขมวดแน่น แต่ท้ายทอยถูกกดแน่นให้รับรสจูบร้อนแรงที่อีกฝ่ายป้อนให้

อืม

ท้องน้อยร้อนวูบ ร่างกายสูบฉีดร้อนรุ่มไปทั่วตัว พลังของเขาถูกสูบแทบสิ้นเรี่ยวแรงจากเรียวลิ้นดูดดุนหนักหน่วง เขากำลังจะตกเป็นทาสของกิเลสกับคนเมาไม่ได้สติ ศิรวัฒน์พยายามเบี่ยงหนี แต่คนเมาดื้อดึงกลับฤทธิ์เยอะผิดคาด อัษศดิณย์กระชากคนเป็นน้องกดลงแนบเตียงแล้วทาบทับด้วยกายหนาหนักของตน ริมฝีปากร้อนผ่าวคละคลุ้งด้วยกลิ่นเหล้าหึ่งตะโบมจูบตะกรุมตะกราม ฝ่ามือร้อนลวกฟอนเฟ้นไปตามเนื้อตัวตึงแน่น  ศิรวัฒน์ไม่ได้มีร่างกายอ่อนนุ่มนิ่มอย่างอิสตรี อีกทั้งเขายังเป็นนักกีฬาใช้พละกำลังออกกำลังกายเป็นประจำ หากความแน่นหนั่นกลับเร้าอารมณ์คนเมาได้อย่างน่าประหลาด

ชายหนุ่มดิ้นรนสุดกำลัง เขาเบือนหน้าหนีการรุกรานแสนช่ำชองและเหิมเกริม พยายามควบคุมลมหายใจถี่กระชั้นด้วยความร้อนรุ่มของตัวเอง สัญชาตญาณดิบของผู้ชายยามถูกคนที่ตนเองพึงใจกระตุ้นกำลังลุกไหม้ในตัวเขา ศิรวัฒน์ต่อสู้กับจิตใจด้านมืดของตัวเองด้วยความยากลำบาก ซอกคอถูกซุกไซ้ตัดทอนกำลัง ลมหายใจร้อน ๆ เป่ารดผิวเนื้อทำให้ร่างกายหนุ่มแน่นตื่นตัว

“พี่ดินอย่า!” น้องชายร้องห้ามคนสติหลุด แต่อัษศดิณย์อารมณ์ปรารถนาคุกรุ่นยากจะมอดดับเสียแล้ว นอกจากจะไม่ฟังเสียง มือหนายังเลื่อนลงลูบเป้ากางเกงและอาจหาญจะรูดซิปเพื่อซุกมือร้อนเข้าไปปลุกปั่น ศิรวัฒน์ร้อนจัดไปทั้งใบหน้า เขาผ่อนลมหายใจ รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดผลักร่างใหญ่หงายลงเตียง ก่อนตะเกียกตะกายพลิกหนีลงเตียงด่วนจี๋ แล้วมายืนหอบแฮ่กอยู่ปลายเตียงในระยะปลอดภัย

“กานต์...” คำเดียวที่หลุดแผ่วจากปากไม่ต่างจากน้ำเย็นจัดสาดซัดใส่หน้ากะทันหัน ร่างกายที่เคยร้อนรุ่มจากแรงปลุกเร้าเย็นเฉียบ เย็นเยียบไปถึงหัวใจก้นบึ้ง ตระหนักซึ้งในตอนนี้เองว่าที่อีกฝ่ายแตะต้องเขา เพราะเข้าใจว่าร่างกายนี้คือ...รพีกานต์

“ผมไม่ใช่กานต์ ที่อยู่ตรงนี้คือน้ำต่างหาก” ศิรวัฒน์พึมพำด้วยหัวใจปวดหนึบ สายตาปวดร้าวมองดูพี่ชายสงบลงก่อนเข้าสู่นิทราเงียบ ๆ ร่างสูงหยิบผ้าผวยห่มให้คนหลับ ไม่วายโน้มใบหน้าเข้าใกล้กระซิบริมใบหูคนสิ้นฤทธิ์เดช

“สายน้ำชโลมดินชุ่มฉ่ำ พืชพรรณอุดมสมบูรณ์ อย่างที่พ่อเคยบอก ดินไม่อาจขาดน้ำ น้ำจะอยู่ได้ต้องมีดินอุ้มสม พี่ยังจำได้ไหมที่พ่อบอกให้เรารักกัน แต่น้ำไม่ได้รักพี่ในความหมายนั้น ต้องทำยังไงถึงจะคิดกับพี่แบบบริสุทธิ์ใจได้” เขาแค่นยิ้มขื่นขม จุมพิตนุ่มนวลประทับลงบนริมฝีปากอุ่นกรุ่นกลิ่นเมรัยก่อนผละจากมา ศิรวัฒน์สูดลมหายใจเข้าปอดลึกสงบจิตสงบใจก่อนเปิดประตูกลับออกไป

ลมเย็นโชยอ่อนเอื่อย หัวใจเหนื่อยล้าถวิลหารักอุ่น จันทร์ละมุนด้วยอุ่นไออคินฉาย โหยไฟรักบรรเทาคลายหนาวสั่น สายน้ำพสุธานภากาศ แม้นม้วยสิ้นชีวาวาตม์ยังมาดมั่น ใจภักดิ์รักเดียวผูกพัน เยื่อใยรัดรึงนั้นสิ่งใดจักสะบั้นวานขานที
[ต่อด้านล่างค่ะ]
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๐(Mpreg)(P.๑๓)(๐๖/๑๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 06-12-2017 15:08:46
๓๐ [ต่อ]


*แก้วตาขวัญใจเธออยู่แห่งใดขวัญเอย ขาดชู้คู่เชยรักเอยเดียวดาย
เฝ้าคอยรักเศร้าเหงาใจแสนหน่าย เปลี่ยวปานชีวาวางวายคลายสุขตรม


แว่วเสียงเพลงพระราชนิพนธ์ของในหลวงรัชกาลที่เก้าลอยมาจากในบ้าน อรุณเบิกฟ้าเคลื่อนเข้ายามสาย บัวบานสลอนส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลฟุ้งสระ ภู่ภมรร่อนบินโฉบเกสรดอกไสว นาวาน้อยลอยล่องพาเด็กชายตัวจ้อยเก็บฝักบัว อัครวินท์จ้วงพายแช่มช้า สายตามองหนูตะวันนั่งแกะเม็ดบัวกินเล่น ไม่เพียงเท่านั้นหนูน้อยยังมีน้ำใจส่งเม็ดบัวแกะแล้วยื่นมาป้อนตรงริมฝีปาก อัครวินท์งับเม็ดบัว เคี้ยวแล้วส่งยิ้มขอบคุณให้ พื้นที่รอบบริเวณบ้านกว้างขวางกว่าสองไร่ปลูกต้นไม้ร่มรื่น ในสวนมีสระบัวและหลังบ้านติดคลอง บรรยากาศรื่นรมย์พาให้จิตใจแช่มชื่นสงบเยือกเย็นได้อย่างน่าประหลาด ต่อให้ข้างนอกวุ่นวายสักเพียงใด พอก้าวเข้ามาที่นี่ก็เหมือนหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่ง อัครวินท์มองดูเด็กชายพยายามจะพับกลีบดอกบัวอย่างที่เห็นคุณรพินทร์ทำถวายพระ เขามองด้วยความเอ็นดูแล้วอดสะท้อนใจไม่ได้ เท่าที่รู้คือหนูตะวันไม่ได้เป็นใบ้ สาเหตุบางอย่างทำให้เด็กชายไม่ยอมพูดและฝันร้ายจนสะดุ้งตื่นยามดึกบ่อย ๆ

ทุกบาดแผลต้องใช้เวลาเยียวยา แต่ต่อให้หายก็ย่อมทิ้งร่องรอยไว้

ใบหน้าหล่อเหลาสลดขรึมยามนึกถึงการกระทำของตัวเอง แม้จะคนละวิธีแต่ก็ได้ชื่อว่าย่ำยีขยี้หัวใจไม่ต่าง บาดแผลที่เจ็บปวดที่สุดมักมาจากคนใกล้ตัวที่ได้รับความไว้ใจที่สุด เขาไม่มีข้อแก้ตัว เพียงแค่อยากขอโอกาส โอกาสที่ไม่รู้ระหกระเหินหนีหายเขาไปเสียที่ไหน

ขวัญเอ๋ย ขวัญบิน หนีลี้หน้า      ขวัญลา เรียมร้าง ห่างสงวน
เคยชม ขมม เจ้าเนื้อนวล           พี่ครวญ นวลร้าง ห่างไมตรี

“กานต์อยู่ที่ไหน” เขาพึมพำใจลอย สายตามองเหม่อทอดอาลัย เห็นดอกบัวไสวหัวใจก็ไพล่กระหวัดถึงวันวานที่เคยพาคนหน้านวลพายเรือไปเก็บบัวสายแถวชายทุ่ง เขาชอบรอยยิ้มสว่างไสวแผ่ซ่านไปทั่วดวงหน้ากระจ่างสมชื่อดวงตะวันนั่น ชอบพวงแก้มนวลเปล่งปลั่งจับแสงตะวันฉาดฉาน ชอบทุกสิ่งที่เป็นรพีกานต์ แต่ก็เป็นเขาเองที่ทำลายทุกอย่างย่อยยับคามือ
ของบางอย่างพังแล้วหาใหม่ได้ แต่บางอย่างก็ไม่มีอะไรทดแทนของเดิม

“พี่คิดถึงกานต์” เขาพร่ำพรรณนาสายตามองดูตัวผึ้งเกลือกกลั้วเกสรดอกบัวในสระ เขาเองก็เคยเป็นแมลงภู่เกี้ยวพาอุบลบาน เสียงแจ่มแจ๋วชวนคุยจ้อยังชัดในความรู้สึกจนอดยิ้มน้อย ๆ ไม่ได้

“พี่วิน ๆ หอมกลิ่นดอกบัวไหม” เสียงนุ่มดังขึ้นขณะเรือกำลังแหวกผ่านกอบัวออสะพรั่ง

“พี่ไม่ได้กลิ่น” เขาตอบหน้านิ่ง ในใจผุดแผนชั่วร้าย

“ได้ไง ออกจะหอม นี่ลองดม กานต์ส่งให้ถึงปลายจมูกเลยเอ้า” คนตัวเล็กใจป้ำลงมือเด็ดบัวยื่นให้ดมถึงปลายจมูก หลงกลคนเจ้าเล่ห์ไม่รู้ตัว มือหนาจับมือขาวออกแรงดึงรวบตัวคนเข้ามากอดกักไว้ในอก

“พี่ไม่ได้กลิ่นบัวเพราะพี่ได้กลิ่นแก้มกานต์ต่างหาก” เขาหอมฟอดหนัก ฝังจมูกฟัดแก้มนวลหนำใจด้วยความมันเขี้ยว รพีกานต์อ้าปากค้าง ตกหลุมพรางเข้าเต็ม ๆ พอตั้งสติได้ก็เริ่มออกแรงดิ้นขัดขืน

“กานต์อย่าดิ้น เดี๋ยวตกน้ำตัวเปียกไม่รู้ด้วยนะ” เขาแสร้งหลอกล่อคนที่ดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขน

“ไม่ดิ้นพี่วินก็ไม่หยุด” คนตัวเล็กตวัดสายตาขึ้นค้อน แก้มขาวพองลม

“ไม่หยุดก็ปล่อยให้พี่หอมจนพอใจซี ไม่งั้นกานต์จะหอมคืนพี่ก็ได้นะ อะ เอียงแก้มให้แล้ว” เขายิ้มเจ้าเล่ห์ อย่างไรเสียก็ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง มองคนแก้มป่องตามเหลี่ยมเขาไม่ทันด้วยความเอ็นดู

“ไม่เอา” คนปฏิเสธสะเทิ้นอายสะบัดหน้าพรืด

“ไม่อยากรู้หรือ ว่าแก้มพี่กับบัวอันไหนหอมกว่า” ชายหนุ่มเย้าแหย่ แหย่ใครก็ไม่สนุกเท่าแหย่คนนี้ เพราะรพีกานต์แพ้ทางเขาทุกที

“ไม่เอา เก็บบัวเถอะครับ เดี๋ยวพ่อจะรอ เอ๊ะ ตรงนั้นมีผักบุ้ง เดี๋ยวเก็บไปด้วยเลย กินบ่อย ๆ ตาจะหวาน นั่นผักกระเฉด ผักตบชวาก็มี ดอกอ่อนลวกจิ้มน้ำพริกหรือทำแกงส้มอร่อย” คนตัวเล็กพูดเป็นต่อยหอย สายตาชม้อยชม้ายชวนชี้มองไปเรื่อย ใจหมายตะล่อมกล่อมเสือเจ้าเล่ห์กลบเกลื่อนแก้มแดง ๆ ไม่รู้แดงเพราะอายหรือแดงเพราะถูกหอม อัครวินท์เหมาว่าทั้งสองอย่าง แล้วยังสายตาหลุกหลิกมองเฉไปเฉมาไม่ยอมสบตา ปากเจื้อยแจ้วเจรจาพาทีไม่มีหยุด เป็นอย่างนี้ทุกครั้งยามเขิน ตาหวาน ๆ วาวระยับดุจดวงดาวคู่นั้นเพราะกินผักบุ้งบ่อยสินะ เขาจูบแก้มนวลอีกหน สายตาหลุบมองคนในวงแขนด้วยแววเสน่หาลึกซึ้งที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ตัว อา...อยากจูบเนื้อนวลคนเก็บบัวไปทั้งตัว

เขาไม่เคยรักใคร แม้ยามที่ตกหลุมรักไปแล้วก็ยังปล่อยให้อำนาจแห่งความโกรธเกลียดเผาทำลายทุกอย่างย่อยยับไปกับมือ
ทำอย่างไรจะได้หัวใจกลับคืน ? อยากได้คนแก้มนวลมาอยู่ในอ้อมแขนให้หอมได้ไม่รู้เบื่อ

ความทรมานกัดกินเขาอยู่ทุกวันคืน ความโหยหารุมรึงจนดิ้นไม่หลุด รพีกานต์มอบบทเรียนแสนแพงแก่เขา วานรได้แก้วเป็นเช่นไรเขาก็เพิ่งรู้ซึ้งเอาตอนน้ำตาตกใน รสชาติการเลียบาดแผลปนกับหยดน้ำตาขมปร่ามันช่างขมขื่นจนลืมไม่ลง ลมเย็นพัดโชย พัดเอาความโหยหากระซิบกระซาบให้ถวิลถึง อยู่ไหนนะ ? ตัวเล็กของเขา คนแก้มนวลอวลกลิ่นแป้งเด็กคนนั้น

“หืม ?” กำลังหลงอยู่ในห้วงภวังค์ แรงสะกิดเล็ก ๆ ทำให้ระลึกได้ อัครวินท์เลิกคิ้วมองหนูฉายสิริตัวน้อยที่กำลังมองเขาตาแป๋ว พ่อหนูไม่ตอบ เพียงแต่ยื่นโทรศัพท์ให้ดู เมื่ออัครวินท์รับมาดูจึงได้เห็นใบหน้าคุ้นตาในนั้น

‘ณัฐธีร์’

“อยากไปหาพี่ณัฐหรือครับ” เอ่ยถามออกไป คำตอบที่ได้คืออาการพยักหน้ารับ หนูตะวันไม่ได้เจอพี่ณัฐหลายวันแล้ว นับตั้งแต่พี่วินมาอยู่ที่นี่ก็ไม่เคยเห็นพี่ณัฐเยี่ยมหน้ามาเลย อัครวินท์นิ่งไปเมื่อได้คำตอบ ครู่หนึ่งจึงพยักหน้าตกลง วาดพายพาเรือเข้าฝั่ง บอกเล่าเก้าสิบผู้ใหญ่แล้วจึงพาเด็กน้อยไปขึ้นรถ จะว่าไปแล้วเด็กชายฉายสิริก็นับว่าเป็นความแปลกใหม่ของเขาไม่น้อย ด้วยอัครวินท์ไม่เคยคลุกคลีกับเด็กมาก่อน ที่บ้านทุกคนล้วนเกรงอกเกรงใจปฏิบัติต่อเขาอย่างนายจ้าง แต่หนูฉายสิริว่านอนสอนง่ายชนิดที่ว่าแทบไม่เคยขัดคำพูดใครเลย พ่อหนูจะสั่นเกรงในบางครั้ง แต่ไม่เคยสั่นศีรษะปฏิเสธแม้ไม่อยากทำ ซึ่งสะท้อนในสิ่งที่เด็กเผชิญมา ทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจกับความรู้สึกของคนอื่นและใจเย็นลง

พี่วินหล่อมากแต่ความใจดีพี่ณัฐชนะใส ๆ

หนูน้อยคิดในใจด้วยความกระตือรือร้นขณะรถคันโก้เบาะนุ่มสบายกำลังแล่นไปสู่วัดที่ณัฐธีร์อาศัยอยู่กับหลวงตา ในวัดร่มรื่น ณัฐธีร์กำลังกวาดเศษใบไม้ที่ร่วงบนลานดินขะมักเขม้น เสียงรถแล่นเข้ามาทำให้เขาชะงักมือ สายตาเหลือบมองผู้มาเยือน และเพราะผู้ที่เปิดประตูก้าวลงรถมาเป็นคนที่เขาไม่คาดฝันมาก่อน ดวงตาทอประกายสนเท่ห์จึงเกลื่อนไปด้วยคำถามมากมาย ยิ่งอีกฝ่ายเดินอ้อมไปเปิดประตูให้คนนั่งมาข้าง ๆ ได้ลง ดวงตาคมก็ยิ่งขยายกว้างด้วยไม่อยากเชื่อสายตา ณัฐธีร์นิ่งงัน ผ่านไปอึดใจหนึ่งจึงคืนสติ

หนูตะวันนั่งรถมากับอัครวินท์

ไม่ยักรู้ว่าหมอนั่นเข้ากันกับเด็กได้ แล้วจุดประสงค์ที่มาที่นี่ หรือว่า...จะเกี่ยวกับกานต์ ใช้เด็กเป็นสะพานเชื่อมอย่างนั้นหรือ
ณัฐธีร์คิดในแง่นั้นไว้ก่อนแต่ยังไม่ฟันธงตัดสิน ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มวัยยี่สิบยืนนิ่งดูท่าทีทั้งคู่ ผิวพรรณน้ำนวลสีน้ำผึ้งผ่องใส เสื้อสีกรมท่าผ่านการซักจนเริ่มซีดแต่สะอาดสะอ้าน คอเสี้อมีรอยขาดพลุ่ยหน่อย ๆ แต่ยังใช้ได้สำหรับเขา ดวงตาคมหรี่มองผู้มาเยือนทั้งคู่ก่อนละงานในมือเมื่อเด็กน้อยตรงมาหาเขา

“หนูตะวัน” เขาพิงไม้กวาดทางมะพร้าวด้ามยาวไว้กับต้นมะม่วง แล้วกุลีกุจอเข้าไปหา มือเล็กยื่นมาพร้อมฝักบัวของฝาก ยังมีดอกบัวพับที่พยายามทำตามอย่างคุณรพินทร์แต่ยังดูไม่ดีนัก กลีบดอกขยุกขยุยบิดเบี้ยว แต่น่าเอ็นดูในสายตาณัฐธีร์

“หนูตะวันอยากมาหานาย” อัครวินท์บอกเสียงเรียบ ในใจกระอักกระอ่วนด้วยไม่เคยพูดจาปราศรัยกันดีแล้วเขายังแย่งรพีกานต์มาจากอีกฝ่าย ณัฐธีร์พยักหน้ารับรู้แล้วหันมาคุยกับหนูตะวัน

“หลวงตาอาพาธ พี่เลยไม่ได้แวะไปน่ะ” เขาบอกเหตุผลแก่เด็ก เร้นงำอีกหนึ่งเหตุผลซึ่งก็คือเพราะมีใครอีกคนอยู่ที่นั่น

“นี่เอาบัวมากราบพระทองหรือ เดี๋ยวพี่ช่วยแต่งกลีบบัวสวย ๆ เนอะ” เขาบอกอ่อนโยน มือหนาใหญ่ทว่านุ่มนวลค่อยคลี่กลีบบิดเบี้ยวบางกลีบออกแล้วบรรจงพับเข้าไปใหม่ เขาจับมือเล็กให้ค่อย ๆ พับกลีบบัวอีกหนด้วยความใจเย็น ช้า ๆ ทีละกลีบจนแล้วเสร็จ

“สวยแล้ว หนูตะวันเก่งจังเลย” ใบหน้านุ่มนวลเจือรอยยิ้มอ่อนโยนเอ่ยชมเปาะพลางลูบศีรษะเล็ก หัวใจดวงน้อยพองโตแสดงความดีใจออกทางดวงตาเป็นประกาย ฉายสิริไม่เคยได้รับคำชม แต่พี่ณัฐมีให้เด็กน้อยอยู่บ่อย ๆ ทั้งยังสอนพับนก พับเรือ พับตั๊กแตนจากทางมะพร้าว หนูน้อยชอบฝ่ามือใหญ่ยามโปะลงบนศีรษะ ชอบความรู้สึกอุ่น ๆ พองคับในอกยามอยู่กับพี่ณัฐ อารามดีใจปากเล็กจิ้มลิ้มเผยอขึ้นน้อย ๆ คล้ายจะเปล่งถ้อยวาจา

“หนูตะวันจะพูดหรือ” เป็นอัครวินท์ที่เลิกคิ้วมองส่งเสียงทัก หนูน้อยชะงักก่อนเม้มริมฝีปากเงียบ

“ถ้าตะวันพูดนะ พี่จะสอนร้องเพลง จะเล่นเปียให้ตะวันเป็นคนร้อง ดีไหม” อัครวินท์แสดงออกในแบบฉบับของตนเอง ชายหนุ่มสองคนเติบโตมาต่างกัน อัครวินท์เน้นซื้อของเล่นให้เสียส่วนใหญ่ ส่วนณัฐธีร์เน้นหาสิ่งใกล้ตัวมาประดิดประดอยทำเล่นเอง ได้ทำเองแถมไม่เสียเงิน ดูเหมือนฉายสิริจะชอบอย่างหลังมากกว่า เพราะมักพ่วงมาด้วยคำชมว่าเก่ง เวลาที่เขาทำได้

“ไปไหว้พระทองกันเถอะ แล้วคุณจะไปด้วยกันไหม” ณัฐธีร์อ้อมแอ้มถาม กระอักกระอ่วนกับคำเรียกแทนตัวนิดหน่อย รู้ว่าอีกฝ่ายอายุน้อยกว่าเขาแต่ก็ไม่ได้สนิทกัน เรียกแบบนี้คงเหมาะแล้วกระมัง

“ไปสิ” อัครวินท์ตอบรับคำเชิญสั้น ๆ ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันด้วยความรู้สึกแปลก
ณัฐธีร์พาทั้งคู่ไปที่ศาลาการเปรียญ จัดแจงแจกธูปเทียนให้ สำหรับหนูน้อยเขาจุดไฟที่ธูปให้แล้วกำชับให้ระวังขี้ธูปหล่นใส่ขา คนตัวใหญ่ไซซ์ฝรั่งอย่างอัครวินท์นั่งพับเพียบดูเงอะงะเก้งก้าง กิริยาดูหลุกหลิกน่าขันหน่อย ๆ แต่ณัฐธีร์ก็ไม่ได้ขันให้เห็น ทั้งสามคนพนมมือไหว้พระทององค์ใหญ่งามอร่าม อัครวินท์มององค์พระ ในใบสูติบัตรระบุนับถือศาสนาพุทธ แต่คนอย่างเขาก็ช่างห่างไกลกับบวรพุทธศาสนาเหลือเกิน วัดแทบไม่เคยเฉียด โรงแรมกับผับแทบนับเป็นบ้านหลังที่สอง คิดแล้วก็ให้เกิดความละอาย ถ้าจะขอพรให้เจอกานต์กับลูก พระท่านจะเมตตาคนอย่างเขาไหมหนา คนเราก็เป็นเสียอย่างนี้ เดือดร้อนก็หันหน้ามาพึ่งพระ ตอนดีก็ทำตัวอีเหละเขะขะ ว่าไปแล้วณัฐธีร์นี่ทองแท้ฉาบปูน ส่วนตัวเขาก็สีทองเก๊เอามาทาปูนให้ดูสวย อาศัยมีบิดารวยเป็นอาภรณ์ประดับตัวแท้ ๆ

“ผมรู้ว่าผมทำไม่ดีมามาก แต่ผมอยากขอโอกาสแก้ไขตัวเองเสียใหม่ หลวงพ่อช่วยให้ผมเจอกานต์กับลูกด้วยนะครับ ผมอยากทำให้ดี” เขาอธิษฐานในใจ ไม่รู้จะช่วยได้ไหมเพราะตัวเองก็เคยทำไม่ดีไว้มากจนตัวเองยังละอาย แต่ตอนนี้ตัวเขากำลังจนใจ เลยลองขอพรพระท่านดู แต่ไม่ได้คาดหวังอะไร อย่างไรเสียอาศัยขอแต่พรคงไม่สู้ลงมือทำ ไม่งั้นทุกคนที่ขอพระท่านคงบันดาลให้รวยกันหมด

ณัฐธีร์ลอบมองชายหนุ่มซึ่งกำลังจดจ้ององค์พระ ก่อนหน้าเขาเคยสงสัย ว่าอะไรทำให้รพีกานต์ไม่เลือกเขา เป็นเพราะเขาหล่อรวยสู้อัครวินท์ไม่ได้ ? ไม่ ความคิดนั้นเท่ากับดูถูกน้ำใจน้องน้อยที่รู้จักกันมานาน เป็นเหตุผลอื่นที่เขาไม่ถูกรัก ณัฐธีร์เผลอมองคนไม่ทันรู้ตัว วงหน้าเชิดสง่าราศี คิ้วเข้ม ดวงตาคมใหญ่มุ่งมั่น ทุกส่วนบนใบหน้าล้วนรังสรรค์วิจิตรรจนาอย่างไร้ที่ติ ผิวของอัครวินท์ขาวจัด ขาวจนเรียวปากเป็นสีกุหลาบเรื่อ ผู้ชายด้วยกันยังต้องยอมรับว่าหล่อจัด แต่ที่ดึงดูดรพีกานต์คงเป็นออร่าบางอย่างที่อยู่ในตัวคน ๆ นี้ สายตา น้ำเสียง ท่าทางล้วนเป็นเสน่ห์ราวเจ้าชายในฝัน น้องน้อยคงใจสั่นกับบุคลิกมาดเจ้าชาย เป็นเขาต่างหากที่ต้องยอมรับว่าคนที่ดีกับคนที่รักนั้นต่างกัน คนที่ใช่อาจไม่ใช่คนที่ดี เพราะเขาไม่ใช่สำหรับน้องน้อยก็เท่านั้นเอง

ณัฐธีร์มองร่างใหญ่ก้มลงกราบพระเก้กัง ลุกจากนั่งพับเพียบจึงออกซวนเซเสียหลักเล็กน้อย ชายหนุ่มถอนสายตาออกมาก่อนอีกฝ่ายจะรู้ตัว

“แล้วนี่พาหนูตะวันมากราบพระ แล้วจะพากันไปไหนอีกหรือเปล่า” ณัฐธีร์ออกปากถาม เขารอเวลาให้ทางนั้นซักถามเขาเกี่ยวกับรพีกานต์แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นอัครวินท์จะปริปากอะไรสักคำ คิดว่าอมพะนำสงวนท่าทีรึก็ดูไม่เหมือน กลายเป็นเขาที่ฉงนสนเท่ห์เสียอีก

“ไม่รู้เหมือนกัน แล้วแต่ตะวันแหละ นี่พาเด็กมากวนหรือเปล่า” อัครวินท์ตะขิดตะขวงใจแปลก ๆ ยามเอ่ยถ้อยเจรจา อีกฝ่ายคงคิดว่าเขาตั้งใจมาถามข่าวรพีกานต์เต็มประดา จึงได้ตั้งป้อมจนดูออกขนาดนั้น เขาเป็นทายาทนักธุรกิจเขี้ยวลากดิน พบเจอคนมาหลากหลายแบบ มีหรือจะดูไม่ออก แต่ก็สมควรแล้วที่จะถูกเหม็นขี้หน้า ถ้าไม่ติดว่าเป็นในวัด บางทีณัฐธีร์อาจต้อนรับเขาด้วยหมัด

“ไม่หรอก งานทำเสร็จหมดแล้ว กวาดใบไม้นั่นก็เสร็จพอดี” ณัฐธีร์พูดถึงงานทั่วไปที่เขามักขะมักเขม้นง่วนตัวเป็นเกลียวมือเป็นระวิงทำอยู่ทุกวัน ชายหนุ่มลดกำแพงในใจลงนิดหน่อย เห็นท่าทางลำบากใจของทางนั้น เขาเองจึงผ่อนปรนลง

“ใกล้เที่ยงแล้ว ไปหาอะไรกินไหม หนูตะวันคงหิวแล้ว แถวนี้ที่ไหนอร่อย” เอ่ยถามแล้วก็แทบกัดลิ้นตัวเอง สาบานว่าจีบสาวอัครวินท์ยังไม่ตื่นเต้นขนาดนี้ แต่นี่ณัฐธีร์ ผู้ชายตัวใหญ่พอ ๆ กับเขา หล่อคมขำแถมยังถูกเขาแย่งคนรัก ให้ตายเถอะ มันเป็นบทสนทนาที่แสนบัดซบสิ้นดี

“อร่อยสุดก็ต้องร้านอาหารริมแม่น้ำของบ้านกานต์นั่นแหละ กุ้งแม่น้ำเผาน้ำจิ้มเด็ดสุดยอด อาหารตำหรับชาววัง อาหารฟิวชั่น ของหวานไทยเทศมีหมด เคยไปหรือยังล่ะ” ณัฐธีร์ยังคงสีหน้าอารมณ์เดียวไถ่ถาม เขาอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน

“อาเล็กเคยพาไปแล้ว”

“งั้นเปลี่ยนบรรยากาศไปลองร้านอื่นไหมล่ะ ถามเราเราก็ต้องเชียร์ร้านของกานต์อยู่แล้ว” ณัฐธีร์ตอบสบาย ๆ คำพูดคำจาดีจนอีกคนออกอาการอึกอักกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สายตาหลุกหลิกระแวงหน่อย ๆ เหมือนวัวสันหลังหวะ

“ร้านของกานต์นั่นแหละ ร้านอื่นเคยไปแล้ว”

“อืม งั้นเดี๋ยวโทร.ไปจองไว้ก่อน ใกล้เที่ยงแบบนี้เผลอ ๆ ร้านเต็ม แล้วก็รอกันตรงนี้นะ ขอไปเปลี่ยนเสื้อย้วย ๆ นี่หน่อย” ณัฐธีร์ปลีกตัวออกมาเปลี่ยนชุดใหม่ เสื้อสีซีดคอย้วยกับเสื้อแบรนด์ดังเรียบกริบต่างกันยิ่งกว่าก้นเหวกับฟ้า ถึงเปลี่ยนเป็นเสื้อโปโลราคาถูกตัวใหม่ราศีก็ยังต่างกันอยู่ดี

รถคันโก้แล่นพาสามชีวิตไปยังร้านอาหารริมน้ำของครอบครัวรพีกานต์ เพราะณัฐธีร์วางตัวเฉยอยู่ตลอดเลยทำให้อัครวินท์ทำตัวไม่ถูก หากอีกฝ่ายแสดงท่าทีโกรธเกรี้ยวเสยหมัดลุ่นตะเบ็งเสียงดังใส่กัน เขายังจะพอทำตัวได้ถูกกว่านี้ เจอโหมดสงบสยบความเคลื่อนไหวแบบนี้ บอกตรง ๆ ว่าเขาไม่ชิน

อาหารลำเลียงมาเสิร์ฟตามความชอบของแต่ละคนที่ออร์เดอร์รายการไป ณัฐธีร์ดูแลหนูตะวันอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ให้กินมูมมามและหกเลอะเทอะ อัครวินท์ดูแล้วอดคิดไม่ได้ว่าถ้าสามแฝดเป็นลูกชายของณัฐธีร์ แล้วตรงนี้มีรพีกานต์นั่งร่วมโต๊ะอยู่ใกล้ เจ้าตัวก็คงจะดูแลเจ้าตัวเล็กได้เป็นอย่างดี

ไม่ ไม่ ไม่ !

เขาเองก็ต้องทำได้สิน่า ที่ผ่านมาไม่เคยทำ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้ เติบโตมาตั้งแต่จำความได้เขาก็ถูกประคบประหงมตลอด ถ้าคิดอยากจะดูแลใครสักคนมีหรือจะทำไม่ได้ แค่ยังไม่เคยลอง

“มองอะไร อยากให้ป้อนบ้างหรือไง” ณัฐธีร์แหย่หน้าตาย  มือหยิบทิชชู่ซับปากเปื้อนมันกุ้งให้หนูน้อยไปด้วย คนฟังสะดุ้งกระพริบตาถี่ นึกภาพตามแล้วขนลุกด้วยความสยอนแสยงแปลก ๆ

“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น คิดว่าฉันอยากป้อนหมียักษ์ตัวขาวเผือกหรือไง” ณัฐธีร์เองก็ขนลุกกับความปากไวของตน ต่างฝ่ายต่างลงมือจัดการอาหารของตนเอง

“อ้าวไอ้เสือ มากินร้านนี้ไม่บอกวะ จะได้มาด้วย” เสียงดังโผงผางของผู้มาใหม่เรียกความสนใจจากทุกคนบนโต๊ะและโต๊ะใกล้ ๆ อัครวินท์เงยหน้ามองร่างสูงใหญ่ คิ้วเข้ม ตาคมเปล่งประกายเอาจริง ชายหนุ่มประเมินอีกฝ่ายในใจเงียบ ๆ ดูจากท่าทางคงรอบจัดทีเดียว

“พอดีติดรถคนรู้จักมาน่ะพี่ แล้วนี่พี่มากับใคร นั่งด้วยกันไหม” ณัฐธีร์ชักชวน อัศม์เดชหันไปพยักหน้าส่งสัญญาณให้ลูกน้องหาที่นั่งกันเองแล้วดึงเก้าอี้ทิ้งกายลงนั่งข้างอัครวินท์พอดี

“นี่พี่เดช หลานชายแท้ ๆ ของหลวงตา ศิษย์วัดโตมาด้วยกัน ส่วนนี่วิน เอ่อ...” ณัฐฐธีร์อึกอักกับสถานะของอีกฝ่าย

“แฟนกานต์คนที่เอ็งเคยเล่าให้ข้าฟังหรือเปล่า ที่ว่าหล่อ ๆ รวย ๆ เอ็งสู้เขาไม่ได้น่ะ” กลายเป็นอัศม์เดชที่จำได้แม่นยำเสียอย่างนั้น ตานกเหยี่ยวคมปลาบตวัดมองแต่ละทีราวคมดาบตวัดฟาดฟัน มองปราดเดียวก็รู้ว่าหนุ่มสำอางของแท้

“หล่อโก้ไฮโซขนาดนี้ เด็กวัดอย่างเอ็งมันจะไปเทียบติดฝุ่นได้ยังไงวะ” อัศม์เดชโพล่งแบบขวานผ่าซาก ยอมรับว่าคู่แข่งเจ้าณัฐโคตรหล่อมากจริง ๆ หล่อแบบแบดบอยสาวกรี๊ดเสียด้วย เขาอยู่ข้างนอกมองเข้ามา ผิวเจ้านี่ขาวสว่างออร่ากระแทกตาเฮีย ยอมรับว่าเห็นมันก่อนน้องตัวเอง แถมพ่วงด้วยรถคันโก้ใส่แบรนด์เนมทั้งตัว ถ้าเปรียบสองคนเป็นรถก็แลมโบร์กินีกับตุ๊กตุ๊ก เอ่อ เอาเป็นอีโคคาร์แล้วกัน นั่นแหละ เจ้าณัฐไม่มีอะไรเทียบเขาได้เลย แต่กานต์ไม่ใช่คนแบบนั้น ที่ตกหลุมเจ้าหมอนี่ก็คงลุ๊กเจ้าชายแบบแบด ๆ ของมันนี่แหละโดนใจวัยรุ่นนัก เด็กน้อยตามไม่ทันคนรอบจัดแท้ ๆ กานต์เอ้ย

“เฮ้ย ไอ้หน้าขาว เอ็งแม่งโดนว่ะ ให้ข้าจีบเอ็งได้ไหม แล้วเอ็งก็ปล่อยกานต์ให้เจ้าณัฐน้องข้าไป แบบนี้โคตรจะจบแบบแฮปปี้ เฮียจะหาฟรีไทม์ให้เอ็งบ่อย ๆ” คนพูดแสดงอาการดี๊ด๊ากระปรี้กระเปร่า อัศม์เดชยอมรับว่าความขาวกับปากแดงของมันกระแทกตากระแทกใจเฮียอย่างแรง มาดคุณชายท่าทางถือดีของมันโคตรน่าเอาชนะ น่า... รับรองว่าจะเลี้ยงดูอย่างดีมีกระสอบทรายให้ต่อยฟรีเวลาโมโห เป็นการสรุปรวบรัดของเฮียที่พาเอาผู้ร่วมโต๊ะสะดุ้งแถมสีหน้าแต่ละคนเหมือนกลืนของขม

“เฮียล้อเล่นใช่ไหม” เป็นณัฐธีร์ที่ถามด้วยอาการเหงื่อตก รู้สึกเสียวสันหลังแทนเพราะสีหน้าเฮียเดชโคตรจะจริงจัง

“ข้าเอาจริงเว้ย ไอ้หล่อนี่ขาวโดนใจ ก็ในเมื่อพวกเอ็งแย่งกันดีนัก นี่ไง ข้าเสนอทางออกให้ เห็นอย่างนี้ข้าดูแลเทกแคร์แฟนดีนะเว้ยไอ้หน้าขาว ไม่เคยลงไม้ลงมือกับแฟนถึงข้าจะต่อยมวยก็เหอะ” อัศม์เดชเริ่มอวดโอ้สรรพคุณซึ่งคนเป็นน้องชายฟังอย่างไรก็รู้สึกเหมือนโฆษกหนังขายยาฝอยน้ำลายแตกฟองเสียมากกว่า ณัฐธีร์กุมขมับกับโฆษกเจ้าของค่ายมวย ซึ่งคนถูกจีบกะทันหันออกอาการใบ้รับประทานไปแล้วเรียบร้อย นั่งนิ่งเป็นหินกะพริบตาปริบ ๆ

“พี่เดชอย่าขู่เขาซี มีอย่างที่ไหนจีบหนุ่มแบบนี้กันละ” ไม่ติดว่าเป็นพี่ ณัฐธีร์จะเคาะกบาลให้สักโป๊ก ความเกรียนของเฮีย คนรับมุกไม่ทันอาจมีช็อกตาย

“บ๊ะ เอ็งนี่อย่าขัดลำข้า คนอุตส่าห์ช่วยหาทางออกให้ ไอ้ลูกหมานี่ ไม่ใช่เอ็งเรอะที่มาร้องห่มร้องไห้น่ะหือ หรือจะให้ข้าฉุดมันก่อนแล้วค่อยถามความสมัครใจทีหลัง” อัศม์เดชทำท่าขัดใจก่อนเบนความสนใจมาที่อัครวินท์อีกครั้ง สาบานว่าสายตาดุแบบนั้นคือจีบ นึกว่าคนเมายาบ้าเอามีดจี้ตัวประกัน

“ไม่เอา แต่ถ้าคุณยอมให้ผมจิ้มก็จะลองคิดดู แต่ไม่ดีกว่า ผมรักกานต์คนเดียวเหอะ” อัครวินท์สะบัดหน้าพรืดเหมือนคนเจอฝันร้ายสุดสยอง ใครบ้างจะไม่ขนลุก เจอหมีควายตัวเท่ายักษ์จีบโต้ง ๆ ท่าทางอย่างกับโจรกรรโชกทรัพย์

“ตอนแรกกะว่าถ้าเจอหน้าจะซัดให้หมอบนอนหยอดน้ำข้าวต้มสักเดือน แต่เห็นความขาวแล้วเฮียทำไม่ลง ฉุดแทนได้ไหมวะ แม่งขาวเนียนกว่ากานต์อีก ตอนเด็กแดกนมผสมกลูต้าเหรอ” ไอ้เฮียปากปีจอ ! ถ่อยเถื่อนมาครบ คันปากเท้ากระตุก แต่ต้องเก็บอาการสงบเสงี่ยม ว่ากันว่าคนบ้ามักไม่ค่อยกลัวอะไร แหยมกับเจ้าของค่ายมวย หนังหน้าไม่น่ารอด แถมถ้าก่อคดีเพิ่มกานต์ได้เคืองหนักกว่าเก่า เหตุผลหลังน้ำหนักมากสุด เขาจึงเลือกที่จะนิ่ง

“พอเถอะเฮีย แหย่พอแล้วน่า นั่นอาหารโต๊ะเฮียมาแล้ว พวกนั้นชะเง้อคอรอกันใหญ่” ณัฐธีร์ลั่นระฆังพักยก

“เออ ๆ ไปก็ได้ ว่าแต่เอ็งไม่สนใจแก้มือกับไอ้นี่ที่ค่ายหน่อยหรือ เอาคืนหน้าหล่อ ๆ ให้ตาปูดสักหลาย ๆ วัน เฮ้ย !ไอ้หนุ่ม เอ็งกล้าดวลกับน้องข้าไหมวะ” อัศม์เดชร้องท้า ในใจคิดหาทางเอาคืนให้น้องชายแบบไม่ผิดกติกา

“ผมไม่สันทัดมวยเท่าไร แต่ถ้ายิวยิตสู คราฟมากาละก็ของถนัด” มุมปากยกยิ้มแย้มพรายเขี้ยวเล็บชาติพยัคฆ์ที่ถูกกลบด้วยมาดหนุ่มสำอาง

“ยิวยิตสูเอ็งต้องมาสู้กับข้า จะทุ่มจะทับให้ลุกไม่ขึ้นเชียว” ท่าทางโอหังถือดีของอัครวินท์ทำให้อัศม์เดชอยากเอาชนะ แต่พอรู้ว่าหมอนี่ก็มีอาวุธร้ายในตัว ก็ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจ

“ข้าชักสนใจเอ็งว่ะ ว่าง ๆ แวะมาค่ายข้าสิ ไม่ได้มีแค่มวย อย่างอื่นก็เปิดสอน” อัศม์เดชรู้ว่าน้องชายน้อยใจในโชคชะตาของตัวเองแต่ไม่ได้โกรธแค้นอะไรอัครวินท์ ไม่งั้นคงไม่มาด้วยกัน เขารู้นิสัยน้องดี เรื่องแบบนี้บางทีลูกผู้ชายอย่างเรา ๆ ก็ต้องยอมรับว่าเขาไม่เลือกเราเพราะเรามันไม่ใช่ เพราะงั้นถึงเขาแสดงท่าทางสนใจอยากหยั่งเชิงฝีมือไอ้คุณชายนี่ ณัฐธีร์ก็จะคงไม่ติดใจอะไร อย่างไรเสียน้องอย่างมันก็สำคัญกว่าอยู่แล้ว นี่เขาแค่สนใจของเล่นใหม่ก็เท่านั้น

“ดูก่อนแล้วกันเฮีย จริง ๆ น่าจะสอนให้หนูตะวันรู้จักป้องกันตัวด้วยนะ” ชายหนุ่มเหล่มองหนูน้อยที่นั่งตาแป๋ว แก้มขาวแดงเรื่อเมื่อสามตาสามคู่พุ่งความสนใจมาที่ตนเอง

“หึ เด็กกลัวแล้วเฮีย” ณัฐธีร์กระเซ้าพี่ หนูตะวันดูท่าจะไม่ถูกโฉลกกับเฮียหน้าดุ เห็นหน้าก็ทำท่าเหมือนอยากร้องไห้

“เฮอะ เดี๋ยวข้าทำลูกเขาร้องไห้ ได้โดนด่าเช็ด” อัศม์เดชเองก็ดูท่าจะไม่ถูกโรคกับเด็ก แต่ถ้าอีหนูเอ๊าะ ๆ แบบนั้นป๋าชอบ

“ไปแล้ว หิว” ร่างสูงใหญ่ลุกพรวดเดินหย่อนก้นนั่งอีกโต๊ะ มาเร็วไปเร็วปานพายุหอบ

“อิ่มกันหรือยัง จะได้คิดเงิน” ณัฐธีร์ถามเมื่อทุกอย่างกลับสู่ความสงบ สองคนที่เหลือพยักหน้า อัครวินท์อาสาเป็นเจ้ามือเลี้ยง ณัฐธีร์ไม่ยินยอมแต่ก็ช้ากว่าอีกฝ่าย

“เก็บไว้เหอะ ความจำเป็นของคนเราต่างกัน” อัครวินท์บอกแค่นั้นเป็นอันเข้าใจ สามคนเดินเข้ามานั่งในรถถามถึงเส้นทางต่อไป

“ไม่รู้จะไปไหนดี หนูตะวันอยากไปไหน” อัครวินท์โบ้ยให้เด็กน้อยตัดสินใจ ตัวเขาทำหน้าที่สารถีให้ ดวงตาใสแจ๋วมองมาที่ณัฐธีร์

“อยากไปเล่นกับพี่หรือ” ณัฐธีร์เอ่ยถาม หนูน้อยพยักหน้าเป็นเชิงว่าอยากอยู่กับเขาต่อ

“อิ่มแล้วง่วง ไปนอนที่ห้องนายได้หรือเปล่า จะฆ่าหมกส้วมไหม”

“ตอนแรกไม่คิด พอดีมีคนชี้ทาง ห้องมันเล็กนะ”

“เออน่ะ คิดว่านอนเต็นท์ละกัน” ไอ้นี่... ณัฐธีร์นึกเข่นเขี้ยวในใจ ยังดีที่มันไม่บอกเปิดประสบการณ์ใหม่นอนในรูหนู นั่นแหละนะ บางทีคน ๆ นี้อาจมีอีกหลายมุมที่เขาไม่รู้จัก น้องน้อยของเขาไม่ใช่คนมองใครที่เปลือก แต่ก็ไม่รู้อะไรดลใจกานต์ บางทีน้องน้อยอาจค้นพบบางอย่างที่เขาไม่เคยรู้
[มีต่อด้านล่างอีกค่ะ]
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๐(Mpreg)(P.๑๓)(๐๖/๑๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 06-12-2017 15:12:01
๓๐ [ต่อ]


ทั้งสามคนกลับมาที่วัดและตรงไปส่วนที่พักของณัฐธีร์ ห้องเล็กเรียบง่าย มีของใช้เท่าที่จำเป็น ภายในห้องสะอาดสะอ้าน อัครวินท์ดึงหมอนขิดออกมาแล้วทิ้งตัวลงนอนหนุนบนพื้นด้วยท่าทีง่าย ๆ

“นอนพื้นปวดหลังไหมนั่น ถ้าไม่รังเกียจขึ้นไปนอนบนเตียงก็ได้” ณัฐธีร์บอกงูเหลือมซึ่งนอนเหยียดยาวบนพื้น คุณชายก็ไม่เรื่องมาก บอกปุ๊บขยับปีนขึ้นเตียงปั๊บ สงสัยจะปวดหลังจริง ณัฐธีร์กางโต๊ะญี่ปุ่นตัวเตี้ยเตรียมสอนหนูน้อยเขียนหนังสือ

“ที่มานี่แค่พาหนูตะวันมาเท่านั้นหรือ ไม่เกี่ยวกับเรื่องกานต์?”

“ฉกของ ๆ เขาไป ทำหลุดมือแล้วจะมาถามหา นายคงไม่อยากบอกเท่าไร แต่กานต์สบายดีใช่ไหม”

“ท้องแฝดโตเร็วมาก ตัวเล็กดิ้นบ่อย” ณัฐธีร์บอก ไม่ได้เหลียวดูสีหน้าคนบนเตียงที่นิ่งไป ต่างฝ่ายต่างทรมาน คนเป็นเจ้าของก็ตามหาหัวใจตัวเองไม่เจอ คนไม่ใช่เจ้าของ แม้รู้ก็เท่านั้น หัวใจรพีกานต์ไม่ได้อยู่ที่เขา

“รู้อะไรไหม ฉันเสียใจที่ตัวเองไม่ใช่คนที่ทำให้กานต์มีความสุข แต่เจ็บยิ่งกว่าเมื่อคนที่กานต์รัก ทำให้กานต์เสียใจ” มีเพียงความเงียบเป็นสื่อกลางระหว่างทั้งคู่ อัครวินท์จมอยู่กับความคิดตัวเอง การกระทำโง่งมของเขาทำร้ายคนมากเหลือเกิน

“ขอโทษ...ที่แย่งกานต์มาจากนาย”

“ถ้าเรื่องนั้นไม่ต้องหรอก เรามันก็แค่คนที่ไม่ใช่ ที่กานต์ไม่รักไม่ใช่เพราะเราไม่ดี แต่เพราะเราไม่ใช่สำหรับกานต์มันก็เท่านั้นเอง แต่ที่ยอมรับไม่ได้ คือเรายอมปล่อยมือ แทนที่น้องจะลอยไปสู่ความสุข กลับร่วงตกเหว เราเจ็บที่เห็นน้ำตา” ณัฐธีร์พรั่งพรูความรู้สึกอัดอั้นออกมา

“เรารักกานต์ รู้ตัวก็ตอนที่สายไปแล้ว เราทำผิดพลาดทุกอย่าง เพราะเราไม่ให้อภัย เราถึงต้องสูญเสีย แต่เราก็อยากขอโอกาส ทุกคนมีสิทธิ์ทำผิดพลาดไม่ใช่หรือ เราเองก็แค่คนธรรมดาคนนึง” อัครวินท์ระบายออกมาด้วยความเจ็บปวด เขาท้อแท้และอ่อนล้า ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงพูดมันกับณัฐธีร์ แต่เขาไม่รู้จะพูดกับใคร ทุกคนมองว่าเขาผิด แต่จะมีกี่คนที่ยินดีหยิบยื่นโอกาสให้แก้ตัว ความอาฆาตแค้นไม่เคยให้คุณแก่ใคร เขารับสารฝ่ายเดียวแล้วตัดสินโดยไม่ไตร่ตรอง ตอนนี้ผลนั้นก็ย้อนกลับมาที่เขา เขาอาจไม่พร้อมสำหรับการเป็นพ่อของใคร แต่เขาก็อยากเรียนรู้สิ่งนี้ไปพร้อม ๆ กับเรียนรู้อนาคต บางครั้งความผิดพลาดก็เป็นบทเรียนสอนตัวเราได้ไม่ใช่หรือ

ความเงียบโรยตัวอยู่ในนั้น ไม่ใครปริปากอะไรอีก อัครวินท์หลับตาจนเผลอหลับไปในที่สุด บนพื้นกลางห้อง ณัฐธีร์กำลังสอนหนูตะวันคัดตัวพยัญชนะ สายตามองเด็กชายค่อย ๆ ลากลายเส้น แต่จิตใจกลับล่องลอยไปคิดเรื่องอื่น

เช้าตรู่วันถัดมา

วันนี้ณัฐธีร์เดินตามหลวงตามาบิณฑบาตถนนสายนี้ด้วย หน้าเรือนขนมปังขิงหลังงามปรากฏร่างสูงใหญ่ของอัครวินท์กับหนูตะวันตัวน้อยและป้าแม่บ้าน คุณอาเล็กไม่ได้ออกมาใส่บาตรเช้าด้วยกัน เขาช่วยรับของจากบาตรหลวงตาใส่ย่าม เอ่ยทักทายหนูน้อยแล้วหันไปยิ้มให้อัครวินท์นิดหนึ่งโดยไม่พูดอะไร หลวงตากับณัฐธีร์เดินผ่านไปแล้ว อัครวินท์ช่วยคนอื่นเก็บของเข้าบ้าน หากแต่สายตาเหลือบไปเห็นบางสิ่งบนโต๊ะ เป็นโทรศัพท์เครื่องหนึ่งซึ่งไม่ใช่ของเขา

“ป้าถม นี่โทรศัพท์ป้าถมหรือเปล่าครับ” เขาถามยายของตะวัน

“ไม่ใช่ค่ะ แล้วเครื่องนี้ก็ไม่ใช่เครื่องที่คุณรพินทร์ซื้อให้ตะวันพกติดตัวด้วย ของใครกันนะ ดูคุ้นตาชอบกล” นางถมยาพยายามนึก แรงดึงจากปลายนิ้วทำให้หันมอง หนูตะวันชี้นิ้วไปทางที่ณัฐธีร์เพิ่งเดินตามพระผ่านไป

“ของพี่ณัฐ?” อัครวินท์เลิกคิ้ว ลองกดดูก็พบว่าโทรศัพท์ไม่ได้ล็อกเครื่อง บนหน้าจอปรากฏเบอร์โทรศัพท์เบอร์หนึ่งเมมชื่อว่า ‘น้องน้อย’ หัวใจพลันเต้นระรัว ที่ณัฐธีร์สบตากับเขาเมื่อกี้มีความหมายอย่างนี้เองหรือ

ณัฐธีร์จะให้โอกาสเขา ?

อัครวินท์มือสั่นลนลานไปหมด ในใจเต็มตื้นอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่ว่าณัฐธีร์มองเขาเป็นศัตรูเป็นคู่แข่ง หรือแม้กระทั่งตัวทำลายความสุขมาตลอดหรอกหรือ แล้วทำไม ทั้งที่มีโอกาสหัวเราะเยาะไอ้โง่อย่างเขาแท้ ๆ

“พี่จะเอาโทรศัพท์ไปคืน หนูตะวันเข้าบ้านไปหายายก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่กลับมา” เขาบอกเสียงสั่นรัว มือรุนแผ่นหลังเล็กให้เข้าบ้านตามยายไป ตัวเขาเก็บโต๊ะพับอเนกประสงค์เข้ามาวางไว้ในบ้านแล้วรีบผลุนผลันวิ่งตามออกไป

“เดี๋ยว เมมเบอร์ไว้ก่อน” เขาหยุดกึกทั้งหอบหายใจ มือไม้สั่นไปหมดด้วยความตื่นเต้น เขาได้เบอร์ติดต่อของรพีกานต์จากคนที่คาดไม่ถึง ความรู้สึกนี้เขาเองก็บอกไม่ถูก รู้แค่ว่าดีใจ ดีใจที่มีคนให้โอกาส แล้วยังมาจากคนที่เขาไม่นึกไม่ฝันอีกต่างหาก

“พี่ณัฐ !” เขาตะโกนเรียกคนที่เห็นหลังไว ๆ แล้วเร่งฝีเท้าตามจนทัน

“โทรศัพท์ เบอร์ในนี้...เบอร์กานต์” ความดีใจตื่นเต้นเกลื่อนเต็มใบหน้าผุดเม็ดเหงื่อ

“เราทำโทรศัพท์ตกไว้ แล้วนายก็เป็นคนเก็บมันได้ ต่อจากนั้นเราไม่รู้แล้ว โชคดี โอกาสมีครั้งเดียว”

“ขอบคุณ ไม่คิดจริง ๆ ว่าจะได้โอกาสจากพี่” อัครวินท์เขย่ามืออีกฝ่าย ความปลาบปลื้มดีใจบนใบหน้าปิดไม่มิด

“เมื่อวานตอนนายหลับเราคิดตลอด เราไม่มีพ่อแม่มีแต่หลวงตาที่เลี้ยงมา หนูตะวันเองก็ไม่ต่าง เราอยากให้กานต์กับสามแฝดมีความสุขที่สุด อยู่ที่นายแล้ว ว่าจะจัดการกับโอกาสนี้ยังไง โชคดีนะไอ้น้อง อย่าแห้วละ เดี๋ยวเฮียเดชแกจีบเอาอีก” ณัฐธีร์ตบไหล่ปุ ๆ แล้วดึงโทรศัพท์กลับคืนไป หันหลังให้แล้วเร่งฝีเท้าจ้ำตามหลวงตา

“หวังว่าพี่คงตัดสินใจไม่ผิดนะ” เขาพึมพำ มุมปากยิ้มสุขปนเศร้า เขารักรพีกานต์ แต่ถ้าเขาไม่ใช่คนที่จะทำให้น้องน้อยมีความสุข เขาก็ไม่อยากกักเก็บโอกาสนั้นไว้ทรมานหัวใจคนเล่น

“ขอโทษนะกานต์ พี่ไม่อยากให้สามแฝดเกิดคำถามกับตัวเองบ่อย ๆ เหมือนพี่ ถ้าเขาทำไม่ดีอีก พี่ก็จะไม่ปล่อยกานต์ให้เขาอีกแล้ว”


 :L2:

*เพลงแก้วตาขวัญใจ เพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่๙ พอดีกำลังคิดว่าจะแต่งกลอนแบบไหนสื่ออารมณ์นึกคิดของวินดี บังเอิญเจอเพลงนี้ค่ะเลยหยิบมา คุณพลอยไพลินถ่ายทอดเพลงนี้ออกมาได้ไพเราะจับใจมาก ลองหาฟังดูนะคะ นับเป็นพระอัจฉริยภาพอีกด้านหนึ่งของพระมหากษัตริย์ของเรา
มีใครเดาได้บ้างเอ่ย ว่าเป็นพี่ณัฐที่บอกที่อยู่กานต์
ขอบคุณสำหรับการเข้ามานะคะ เราอัปช้า นิยายครบ ๑๐๐% แล้วถึงจะรวบมาอัปทีเดียว เลยทิ้งช่วงนานค่ะ

หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๐(Mpreg)(P.๑๓)(๐๖/๑๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: แม้วธวัลหทัย ที่ 06-12-2017 16:17:15
ดีใจมากที่มาต่อ
อ่านเรื่องนี้ทีไรได้น้ำตาทุกที
ตอน 30 เป็นตอนที่ยาวมากจริงๆ ค่ะ
สามส่วนกันเลยทีเดียว

พี่วินได้เบอร์น้องแล้วจะทำยังไง
รีบไปง้อน้องเลยนะพี่วิน
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๐(Mpreg)(P.๑๓)(๐๖/๑๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 06-12-2017 22:25:59
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ คิดถึง 3แฝด
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๐(Mpreg)(P.๑๓)(๐๖/๑๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: net. net_n2537 ที่ 06-12-2017 23:35:52
มีโอกาสแล้วก็ทำให้ดีล่ะ ไม่ขอพูดอะไรมากแล้วกัน ปล่อนให้กานต์ตัดสินใจเอง
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๐(Mpreg)(P.๑๓)(๐๖/๑๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 07-12-2017 00:17:34
บวกเป็ด  o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๐(Mpreg)(P.๑๓)(๐๖/๑๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: maxtorpis ที่ 07-12-2017 00:20:12
ยาวนาน
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๐(Mpreg)(P.๑๓)(๐๖/๑๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-12-2017 00:33:14
อ่านตอนนี้แล้ว รู้สึกอยากจะให้เป็นอย่างที่เฮียเดชแกบอกหว่า  :m23:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๐(Mpreg)(P.๑๓)(๐๖/๑๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: pamazier24 ที่ 07-12-2017 02:24:43
ขอบคุณที่มาต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๐(Mpreg)(P.๑๓)(๐๖/๑๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 07-12-2017 08:31:35
ได้โอกาสมาแล้วทำให้ดีล่ะวิน
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๐(Mpreg)(P.๑๓)(๐๖/๑๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 07-12-2017 16:44:15
สารภาพครับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่หยุดอ่านไปหลายครั้งมาก สิริรวมแล้วน่าจะสองสามครั้ง ที่ผมหยุดก็มีหลายสาเหตุนะครับ ขอตั้งสังเกตไว้ตรงนี้แล้วกัน

ข้อแรก ผมรู้สึกว่าศัพท์บรรยายของเรื่องดูไทยโบราณมาก คือมันไทยแบบค่อนข้างไทยโบราณสมัยรัชกาลที่ห้าเลยครับ มีการใส่กลอน มีการใส่สุภาษิตไทยเข้ามาเพื่อสอนตัวละคร แต่เนื้อเรื่องคือยุคสองพันกว่าแล้ว ดังนั้นการบรรยายแบบนี้มันเลยทำให้ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยสอดคล้องกับสภาพการดำเนินเรื่อง โดยเฉพาะยิ่งในฉากมหาวิทยาลัยสมัยใหม่ครับ จะมีฉากที่ใช้การบรรยายแบบนี้ที่เรารู้สึกว่าอ่านแล้วสวย งดงาม คือฉากที่รพีกานต์กลับไปหารพินทร์ กับตอนที่อยู่บ้านต่างจังหวัดกับณัฐธีร์นี่แหละครับ เพราะการบรรยายแบบนี้มันค่อนข้างไหลลื่นไปกับฉากประกอบ ความสัมพันธ์ของพ่อลูกคู่นี้ค่อนข้างอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยดั้งเดิม ทั้งเรื่องอาหาร ที่พักอาศัย ดังนั้นการบรรยายไทยโบราณก็จะทำให้รู้สึกสวยงามไม่น้อย ณัฐธีร์เองก็เด็กวัด กับฉาก flashback ที่เป็นสมัยอดีตแบบต่างจังหวัด มันก็ส่งเสริมการบรรยายแบบนี้ได้ดี

ข้อที่สองคือเนื้อเรื่องเคลื่อนช้ามากละมั้งครับ ผมเห็นเขียนมาตั้งแต่ปีที่แล้วตอนต้นปี แต่ก็ยังค่อยๆเคลื่อนมา เนื่องด้วยความไม่กลมกลืนข้อแรก มันทำให้เวลาเนื้อเรื่องเคลื่อนบางทีก็รู้สึกแปลกๆ อย่างตอนคารมอัครวินพะเน้าพะนอ ผมรู้สึกว่ามันดูลิเกแปลกๆน่ะครับ เพราะสไตล์จีบแบบนี้มันค่อนข้างไทยสมัยเก่าเลยนะ ซึ่งมันแปลกจากสภาพคำพูดคำจาแบบวัยรุ่นของพื้นหลังเรื่องที่เข้าสู่ยุคโมเดิร์น หรือตอนณัฐธีร์ตัดพ้อที่กานต์ไม่รัก มันเลยดูลิเกแปลกๆแล้วตะขิดตะขวงน่ะครับ

สำหรับพล็อต มีทั้งจุดที่ดีและไม่ดีนะครับ ข้อดีคือผมรู้สึกว่าใส่ตัวละครมาเยอะดี และทุกคนมีบท ถึงแม้การบรรยายของฉากปฏิสัมพันธ์ของตัวละครหลายคู่จะค่อนข้างอึนๆหน่อย แต่เนื้อเรื่องสนับสนุนของตัวละครทุกตัวมีหมด วาเลนไทน์ ปมของคุณปู่และคุณแม่ของอัครวินท์ ความสัมพันธ์ในอดีตของรพินทร์และอินทัช ณัฐธีร์และอัศม์เดชก็มีบทในช่วงที่ควรมี ทำให้เนื้อเรื่องมีมิติมากขึ้น

ผู้แต่งเขียนฉากสะท้อนความเจ็บปวดของอัครวินท์ได้ดีนะครับ แต่ยังน้อยเกินไป ฉากที่ผมเห็นหนักๆว่าเขาเกลียดอดีตของพ่อคือฉากที่เขาทะเลาะกับอินทัชแล้วทำลายข้างของ กับฉากที่เขาสั่งคนไปทำร้ายน้องเก้า แต่มันมีแค่สองฉากครับ มันยังขยี้ไม่พอ สองฉากนั้นดีมากเลยนะ แค่มันยังไม่มากพอที่จะสะท้อนปมชีวิตของอัครวินท์ให้คนอ่านเห็นได้ชัดเจนครับ ควรมีฉากเพิ่มมากกว่านี้

เอาจริงๆตอนแรกที่ผมตัดสินใจอ่านเพราะอินโทรนะครับ ผมเห็นว่าเหมือนตัวนางจะได้รับการร่วมรักจากคนที่มีบุคลิกที่เป็นตัวพระถึงสองคน มันมีความนัยเชิงวรรณกรรมเยอะมากแบบนี้ เพราะมันอาจใส่แนวคิดหลายแบบมาใส่ในเรื่องได้เยอะมาก และเรื่องนี้ก็มีแนวคิดเยอะมากจริงๆ ทั้ง
- คนที่รักเราแต่เราไม่รักเขา แต่สถานการณ์คือสนิทกันมานาน ควรทำยังไง
- ปมชีวิตของครอบครัวอัครวินท์ มันคือใครผิดกันแน่ อินทัชกับรพินทร์ หรือแม่ของอัครวินท์ หรือคุณปู่ของอัครวินท์ ผมชอบปมตรงนี้มากเพราะมันค่อนข้าง subjective ครับ
- การเรียนรู้เกี่ยวกับความรักของอัครวินท์ ณัฐธีร์ รพีกานต์ รวมถึงตัวละครที่มีแนวโน้มโรแมนติกตัวอื่นๆ
- การเปลี่ยนแปลงของความคิดจากความสัมพันธ์ที่เคยผูกพันกันแน่นมากของอินทัชกับรพินทร์ แต่ต้องแยกกัน
จะเห็นว่าแนวคิดหลายข้อแตกออกมาได้เป็นพล็อตซ้อนกันเยอะมาก ผมจับประเด็นทั้งหมดได้ แต่อยากให้จัดระบบมากกว่านี้ครับ มันดูปนๆกันไปหมด ทำให้อ่านแล้วไม่เกี่ยวเนื่องและอารมณ์ของหลายๆฉากมันไม่เกื้อหนุนกันครับ ทำให้ขยี้ไม่สุดสักแนวคิด แถมยังมีเรื่อง Mpreg ของรพีกานต์มาเอี่ยว หนีไปให้อัครวินท์ต้องตามง้อ รพินทร์เป็นมะเร็งอีก คือมันเกี่ยวพล็อตเยอะมากจนผมรู้สึกว่าความสัมพันธ์มันตีกันเยอะ แถมบทบรรยายที่ไม่เข้ากับฉากประกอบก็จะยิ่งทำให้คนอ่านมึนไปอีก ถ้าให้ผมแนะนำ คือพล็อตทั้งหมดดีมากๆแล้ว Epic ดี แต่ควรขยี้ให้จบไปเป็นเรื่องๆครับ ผมแนะนำให้ลองวาดแบ่ง section คร่าวๆในกระดาษ ว่าจะแบ่งเป็นกี่ช่วง ช่วงไหนเน้นขยี้อารมณ์ไหนแล้วจะแทรกแนวคิดอันไหน มันจะเป็นระบบแล้วคนอ่านจะไหลตามกระแสอารมณ์ของเรื่องได้ดีกว่าครับ

อย่างเรื่องอัครวินท์ ถ้าจะโฟกัสเขาตั้งแต่ต้นเรื่อง สารพัดปมของเขา ก็โฟกัสให้จบถึงช่วงที่กานต์ตัดสินใจจะหนี ตรงนี้เราแทรกเรื่องของณัฐธีร์มาได้ให้พล็อตของเขาจบ หลังจากนั้นเราก็โฟกัสต่อที่อัครวินท์จนกว่าจะคิดได้ อันนี้ก็จะจบไปหนึ่งเรื่อง ตรงช่วงแรกนี้คุณคนเขียนอยากใส่ Easter Eggs ของใครบ้างก็ใส่มาได้ครับ ควรใส่มาให้หมดเพื่อให้คนอ่านใครรู้เกี่ยวกับพล็อตสนับสนุน แต่เราเน้นที่ปมของอัครวินท์ พอเรื่องเขาจบ รพีกานต์หนีไปแล้ว เราค่อยมามาขยี้เรื่องรพินทร์หรือเรื่องใครก็ได้ที่เราซ่อน Easter Eggs ไว้ในช่วงแรกต่อครับ มันก็จะจบเป็นช่วงๆ ทำให้เราเข้าใจตัวละครตัวนึงได้เต็มที่ เพราะเราเน้นรพีกานต์ดำเนินเรื่อง และรพีกานต์ต้องเจอคนใหม่อีก ตรงช่วงรอยต่อของคนสองคนนี่แหละครับ ที่จะทำให้เราใส่สารพัดเนื้อเรื่องพื้นหลังเข้ามาได้ และทำให้คนอ่านมีความคิดที่น่าสนใจ เพราะตัวละครเยอะ ใครจะเข้าฝั่งใครก็จะมีกันเยอะมาก ยกตัวอย่างเช่นผม

ตอนแรกผมอ่านๆไป ผมยังคิดว่าณัฐธีร์นี่ร่างสูงโปร่งเลยนะครับ เพราะช่วงแรกๆไม่มีบรรยายเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของณัฐธีร์อย่างละเอียดเลย จนมาถึงฉากต่อยกันกับอัครวินท์นี่แหละที่ผมเพิ่งรู้ว่าเขาตัวพอๆกัน เห็นตอนแรกเป็นประธานคณะวิศวะ แถมมีบุคลิกอ่อนโยนใจดีกับทุกคน ภาพของณัฐธีร์ในสายตาผมเลยดูเป็น Soft and Gentle มาก เป็นสุภาพบุรุษที่สูงโปร่ง (เพราะเหมือนผมเห็นว่าบรรยายตอนแรกไว้ว่าอย่างนี้ และตอนที่เจออัศม์เดชก็ดูเหมือนจะคนละไซส์กันจริงๆ) แถมความเป็นคนดีของณัฐธีร์นี่แบบ โอ้โห ผมแทบหลั่งน้ำตาให้เลยกับสารพัดมรสุมที่เข้ามาหาเขาน่ะ ทั้งรักเขา ทุ่มเททุกอย่าง แต่เขาไม่รักตอบ แถมการกระทำหลายๆอย่างของกานต์ก็ค่อนข้างทำร้ายจิตใจณัฐธีร์พอสมควร (โอเค มีหลายครั้งเหมือนกันที่บทพูดณัฐธีร์ดูตื๊อกานต์มากไปหน่อยจนผมรำคาญ) แต่ความดีหลายๆอย่างและความรู้สึกห่วงใยใส่ใจของเขาก็ทำให้ผมประทับใจตัวละครนี้นะ พอเจอบทที่สามสิบนี่ผมยัง...เอ้อ.. หรือว่าจะเป็น อัครวินท์ x ณัฐธีร์ ดีวะเนี่ย ดูเป็นคู่ที่น่าจะเลี้ยงลูกได้ดี นิสัยต่างกันสุดขั้วจากปมชีวิตที่แตกต่างกันขนาดนี้ มันจะปรับหากันได้ยังไง

เอาจริงๆผมคิดว่ารพีกานต์เล้าหลือระดับนึงเลยนะครับ ผมชอบการบรรยายของรพินทร์ที่สอนลูกดี แต่บางครั้งดูเหมือนรพีกานต์จะให้บุคลิกแบบทำอะไรไม่ได้เลยหรืออ่อนแอมากจนรู้สึกเหมือนต้องปกป้องตลอดเวลา ทำให้ฉากรพีกานต์ต้องสอนลูกมันมาบ่อยจนเกินไป จนผมรู้สึกแปลกๆ เพราะมันขัดอารมณ์เนื้อเรื่องครับ บุคลิกแบบนี้ควรอยู่ในวรรณกรรมชายหญิงมากกว่าวรรณกรรมชายชายน่ะนะ ไม่ได้หมายความว่าใส่คาแรกเตอร์แบบนี้ไม่ได้นะครับ แต่มันควรมีเอกลักษณ์ที่ไม่ Girlish จนเกินไป หรือถ้าจะใส่คาแรกเตอร์แบบนี้ ต้องเว้นระยะของฉากร้องไห้หรือฉากสะเทือนใจบ่อยๆของรพีกานต์ครับ อย่าใส่มาติดๆกันเกินไป มันดูบ่อยจนไม่เห็นฝั่งของตัวละครอื่นหรืออารมณ์อื่นของตัวละคร

ตอนนี้ที่ผมอยากเห็น ก็เป็นพวกพล็อตของครึ่งหลังของพ่อเลี้ยงไร่ติดกันกับรพีกานต์น่ะครับ จั่วหัวมาว่าต้องได้กันแน่ๆ ทีนี้ผมก็รอดูพล็อตสนับสนุนอย่างอื่นแล้วแหละ แล้วก็ดูพวกสัมพันธ์ของอินทัชกับครอบครัว ถ้าเขาเจอรพินทร์ ผมคิดว่าคู่นี้ลุ้นไม่ขึ้นหรอก แต่ก็น่าสนใจว่าจะแก้ปัญหายังไง เพราะเอาเข้าจริง ผมก็ไม่คิดว่าภรรยาของอินทัชผิดนะครับ คือถ้าอินทัชตัดสินใจแต่งงานแล้ว ก็ควรต้องทำหน้าที่ให้ดีน่ะครับ ต่อให้ไม่รัก แต่หน้าที่ของสามีทางนิตินัยต้องเหมาะสม รักษาน้ำใจของคนอยู่ร่วมกัน เว้นระยะห่างบ้างเพื่อให้เกียรติต่อพื้นที่ส่วนตัว ไม่ใช่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนแต่งงานแล้วไม่ให้เกียรติกัน มันก็เลยทำให้ลูกมีปัญหาน่ะครับ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๐(Mpreg)(P.๑๓)(๐๖/๑๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 07-12-2017 19:30:04
มาต่อแล้ว ตอนวินโดนจีบนี่ขนลุกเลย นึกว่าะโดนเปลี่ยนขั้วซะแล้ว หรือจะเป็นวิน-ณัฐดี 55555 ไม่เอาๆ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๐(Mpreg)(P.๑๓)(๐๖/๑๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 07-12-2017 22:18:21
บอกได้แค่ว่า งานนี้พี่ณัฐเอาคะแนนแม่ยกไปเลย คือ สุภาพบุรุษมากๆ ทั้งใจดี ทั้งมีความเป็นผู้ใหญ่ อบอุ่น แล้วก็รักเด็กอีก ให้พี่ณัฐเป็นนางเอกเถอะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๐(Mpreg)(P.๑๓)(๐๖/๑๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 08-12-2017 01:11:29
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๐(Mpreg)(P.๑๓)(๐๖/๑๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: i_Tipz ที่ 09-12-2017 14:32:59
 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๐(Mpreg)(P.๑๓)(๐๖/๑๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 09-12-2017 18:57:09
อ่านทันแล้ว อยากให้กานต์กับพี่วินปรับความเข้าใจกันได้เร็วๆ :L2:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๐(Mpreg)(P.๑๓)(๐๖/๑๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 09-12-2017 22:02:31
วินมีเบอร์แล้วจะเป็นยังไงบ้างน้า

พี่ดินจะจำที่ทำกับน้ำได้ไหมเนี่ย สงสารน้ำมากเลย
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๐(Mpreg)(P.๑๓)(๐๖/๑๒/๖๐)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 09-12-2017 22:03:29
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๑(Mpreg)(P.๑๔)(๒๙/๐๔/๖๑)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 29-04-2018 09:28:34
เสน่หา...รักเอย ๓๑
แสนคะนึงหนึ่งน้อยกลอยเนื้อเจ้า

ยินเสียงเรียมร่ำร้อง      รอนรัก   ราแฮ
ทรุดสั่นนวลไสผลัก      หม่นช้ำ
เรียมขอพี่ยอมหัก         ยอมปล่อย กลอยนา
รอนพี่เจ็บลึกล้ำ         พี่กล้ำกลืนยอม

แสนคะนึงหนึ่งน้อยกลอยเนื้อเจ้า   พี่นอนเหงาเศร้าซึมรำพึงหา
เคยทำผิดคิดชั่วรู้ตัวช้า         ยามรักราน้ำตาหลั่งดั่งขาดใจ


“คุณดินคะ มีแขกชื่อคุณกานต์มาขอพบค่ะ ตอนนี้รออยู่ที่ห้องรับแขก กำลังคุยอยู่กับคุณต้นน้ำค่ะ” เสียงแม่บ้านเคาะประตูหน้าห้องทำงานอยู่สองสามหน ก่อนเอ่ยปากรายงานกิจธุระ อัษศดิณย์เงยหน้าจากกองเอกสารบนโต๊ะ ชื่อที่คุณแม่บ้านรายงานมาทำให้เขาชะงัก คิ้วเข้มขมวดหากันนิดหนึ่ง

“คุณดินคะ” เสียงคุณแม่บ้านขานซ้ำ เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากนายใหญ่ของบ้าน อัษศดิณย์ดึงสติกลับ ปรับอารมณ์สีหน้าให้เป็นปกติเอ่ยตอบออกไป

“เดี๋ยวผมไป ขอบคุณครับนม” ชื่อแขกที่มาขอพบทำให้ใบหน้าคมคายขรึมลง ชายหนุ่มจมอยู่ในห้วงอารมณ์หนักอึ้งเพียงครู่แล้วจึงลุกจากเก้าอี้สาวเท้าไปที่ห้องรับแขก ‘อัษศดิณย์ พิศาลอนันต์ยศ’ ไม่เคยกลัวการเผชิญหน้าและมีความชัดเจนในตัวเองพอ เพียงแต่ชายหนุ่มไม่ชอบความคลุมเครือที่คอยรบกวนจิตใจ แต่เจ้าของใบหน้าใสคนนั้นกลับทำให้เขาตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้ว่าควรเดินหน้าต่อหรือถอยหลัง ถ้าคิดโปรยเสน่ห์ปั่นป่วนให้เขาหัวหมุน ชายหนุ่มก็ยอมรับว่าอยากจับมาฟาดก้นสักป้าบสองป้าบให้หายเคือง

ร่างใหญ่เดินอาด ๆ มาที่ห้องรับรองแขก ซึ่งอยู่ชั้นสองของเรือนหมู่ไม้สักทองหลังใหญ่ เพียงแรกสบตารพีกานต์ก็เป็นฝ่ายอึกอักทำอะไรไม่ถูก ก่อนคนตัวเล็กจะรีบยกมือพนมไหว้เขา อัษศดิณย์สีหน้าเรียบสนิทยกมือขึ้นรับไหว้ผู้มาเยือน ไม่วายเหลือบสายตาปรายมองหน้าท้องนูน เป็นเขาที่เข้าใจผิดไปเอง

“กานต์มารบกวนหรือเปล่าครับ” รพีกานต์เอ่ยขึ้นกล้า ๆ กลัว ๆ สีหน้าดูกังวลชัดเจน คำพูดที่เตรียมมาก่อนหน้ากลืนหายหมดสิ้นเมื่อเจอใบหน้านิ่งเฉยของผู้เป็นนายใหญ่ของไร่ อัษศดิณย์ในโหมดเงียบขรึมไม่ต่างจากราชสีห์ยามจ้องหมายปลิดชีพเหยื่อ อีกทั้งแผ่กลิ่นอายน่าเกรงขามดูราวคนแปลกหน้า

“ไม่หรอก นั่งเถอะ” อัษศดิณย์รักษาท่าทีและน้ำเสียงราบเรียบเป็นปกติ บรรยากาศชวนอึดอัดกดดันจนทำให้อีกคนประหม่า

“กานต์อยากขอโทษ” รพีกานต์เอ่ยเสียงอ่อยท่าทีอ้อยส้อย ดวงตางามหลบวูบไม่กล้าสู้สายตาคมกริบ หวาดเกรงจนตัวเกร็งไปหมด

“กานต์เป็นผู้หญิงแล้วก็กำลังตั้งท้อง ที่มาที่นี่คือหลบมาคลอดชั่วคราว พี่เข้าใจถูกไหม” อัษศดิณย์สรุปชัดเจนตรงไปตรงมา

“ถูกครึ่งเดียวครับ ความจริงกานต์เป็นผู้ชาย แต่ร่างกายผิดปรกติจนได้เจอกับพ่อของเด็กในท้อง พอมีพวกแกกานต์เลยหนีมาหลบที่นี่”

“เดี๋ยวนะ พี่ขอทำความเข้าใจกับคำพูดของกานต์หน่อย กานต์เป็นผู้ชายแต่ท้องได้ แล้วก็หลบมารอคลอดที่นี่” อัษศดิณย์ออกจะงุนงงอยู่สักหน่อย ชายหนุ่มประมวลผลตามคำบอกเล่าขณะฟังเรื่องแสนพิลึกพิลั่น สมองปราดเปรื่องกลั่นกรองเรียบเรียงสิ่งที่ได้ยินบรรจุเข้าสมอง พลางสูดลมหายใจลึกกลั้นใจถาม “ต่อแล้วนี่พ่อของเด็กรู้เรื่องไหม”

“รู้ครับ แต่เขาไม่รู้ว่ากานต์อยู่ที่นี่ เรา...มีปัญหากัน และกานต์คงไม่กลับไปอีก จนกว่าเขาจะรามือ ไม่ก็ลูกโตจนเข้าโรงเรียนได้” ท่าทีของรพีกานต์บ่งบอกว่าเจ้าตัวคงจะมีปัญหาหนักอึ้งไม่น้อย

“โอเค พี่จะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของกานต์ แต่กานต์รู้ไหม กานต์ทำเหมือนพี่เป็นไอ้งั่งคนหนึ่ง หรือว่ากานต์ดูไม่ออกว่าพี่กำลังจีบกานต์อยู่” อัษศดิณย์ค่อนข้างหัวเสียอยู่สักหน่อย เขาไม่ใช่คนนิสัยเหลาะแหละ หากคิดจริงจังกับใครชายหนุ่มมักแสดงออกให้รับรู้ หากถูกปฏิเสธอย่างน้อยก็ยังพอทำใจได้

“กานต์ กานต์...” ท่าทางอึกอักของเด็กหนุ่มตรงหน้าพานให้เขานึกอยากจับตัวมาเขย่าแรง ๆ คาดคั้นเสียให้รู้แล้วรู้รอด มันให้ความรู้สึกหงุดหงิดน้อยเสียเมื่อไร

“กานต์คิดจะบอกพี่เมื่อไหร่ครับ คิดจะปล่อยเลยเถิดจนพี่ถลำลึกลงไปเรื่อย ๆ รู้อีกทีกานต์ก็คลอดเด็กออกมาบอกความจริงให้พี่หน้าหงาย ถ้าถึงตอนนั้นจริง มันไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือครับ” ชายหนุ่มตัดพ้อมากกว่าจะตำหนิ ความจริงใจของเขากลายเป็นสิ่งไร้ค่าในสายตาอีกคนอย่างนั้นน่ะหรือ

“กานต์รู้สึกดีกับสิ่งที่พี่ดินทำให้กานต์ กานต์รับรู้ทุกอย่าง แต่กานต์ขี้ขลาดเกินกว่าจะเริ่มต้นบอก ถ้ากานต์ไม่มีลูก กานต์คงสลัดเรื่องร้าย ๆ ทิ้งไว้กับอดีตแล้วเริ่มใหม่กับพี่ดินได้ กานต์คิดง่าย ๆ แค่ว่าวันหนึ่งกานต์จะลืมเขาแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ แต่เปล่าเลย มันไม่ง่ายขนาดนั้น ยิ่งมีลูกของเขาอยู่ในท้อง พวกแกดิ้นทุกวันตอกย้ำให้กานต์นึกถึงเรื่องที่ผ่านมา กานต์ไม่เคยหมดรักในตัวเขาทั้งที่กานต์พยายามให้โอกาสตัวเองได้เริ่มต้นใหม่ กานต์ไม่ได้อยากทำร้ายพี่ดิน กานต์พยายามแล้ว พยายามจะลืมเขา กานต์ กานต์เสียใจ” รพีกานต์สับสนจนแทบเรียบเรียงคำพูดไม่ถูก ทุกอย่างพรั่งพรูออกมาราวเขื่อนแตก ความรู้สึกที่มีต่ออัษศดิณย์ยังไม่ก้าวผ่านถึงคำว่ารัก ด้วยยังมีรั้วรักในอดีตของอัครวินท์กั้นไว้แน่นหนา อัษศดิณย์เพียงมองข้ามรั้วเห็นหน้ารพีกานต์ ส่งยิ้มทักทาย แต่ยังไม่อาจก้าวข้ามไปหาเพราะเจ้าของรั้วยังไม่เปิดประตูให้เขา รพีกานต์เพียงแต่ส่งยิ้มข้ามรั้วนั้นมาให้

“พี่ก็เสียใจกานต์” น้ำเสียงอัษศดิณย์เครือคราง คนที่ใช่มาผิดที่ผิดเวลา มันบั่นทอนหัวใจกล้าแกร่งดั่งหินผาลงได้ถึงเพียงนี้ บรรยากาศปวดร้าวครอบคลุมบริเวณห้องอึดอัดไม่ต่างจากพยายามหายใจในน้ำ

“แล้วมันไม่ง่ายสำหรับพี่เหมือนกัน  กว่าจะเจอคนที่ใช่ คนที่อยากใช้ชีวิตด้วยกัน คนที่ตื่นขึ้นมาตอนเช้า ๆ เราได้เจอหน้าเขาเป็นคนแรก พี่เจอคนมาเยอะ มีคนเข้ามาหาไม่เคยขาด แต่ความรู้สึกของพี่มันมาหยุดที่กานต์ พี่เจ็บนะ ที่กานต์ไม่ยอมบอกความจริงพี่ตั้งแต่แรก” ชายหนุ่มตัดพ้อ ในเวลานี้ไม่ใช่แค่เขาที่เจ็บ เขาอีกคนที่ทำตัวเป็นอากาศธาตุก็ปวดร้าวกับคำพูดที่เปล่งออกจากปากของเขาเช่นกัน

“กานต์ไม่ได้ตั้งใจ แต่กานต์ไม่กล้าบอกพี่เรื่องลูก เรื่องความผิดปกติของกานต์ กานต์ขอโทษ พี่ดินจะตำหนิจะต่อว่ากานต์ยังไงก็ได้ทั้งนั้น วันนี้กานต์มาหาพี่ก็ด้วยเหตุผลนี้” สีหน้านั้นบอกความทรมานใจไม่ต่าง แต่นั่นยังไม่เพียงพอสำหรับการยกโทษให้ในความคิดของอัษศดิณย์

“เด็กน้อย พอทำอะไรไม่ถูกก็ผลักภาระเอ่ยขอโทษไว้ก่อนง่าย ๆ แบบนี้เลยหรือ คำว่าขอโทษ ถ้าพูดง่ายเกินไป พูดบ่อยเกินไป มันก็ไร้ค่า เพราะเหมือนกับว่าน้องไม่ได้สำนึกจากใจจริง ๆ แค่พูดส่ง ๆ ให้เรื่องมันจบ เพื่อที่น้องจะได้อ้างว่าน้องก็ขอโทษแล้วไง ผลักความผิดบาปให้ฝ่ายถูกกระทำที่ไม่ยอมจบเรื่องโดยง่าย น้องครับ พี่จะบอกให้นะ ความรู้สึกของฝ่ายถูกกระทำมันไม่ง่ายขนาดนั้นนะครับ น้องลองคิดถึงตอนน้องถูกกระทำบ้าง น้องจะเข้าใจสิ่งที่พี่จะสื่อ แต่ก็นั่นแหละ ผิดแล้วไม่ยอมขอโทษ นั่นยิ่งแย่” อัษศดิณย์สอนมวยให้เด็กน้อยตรงหน้า นิ่มแต่เจ็บลึก รพีกานต์สะอึกเมื่อได้ยิน ไม่เคยมีใครพูดตรง ๆ ต่อหน้าอย่างนี้มาก่อน แต่ในเนื้อความของอัษศดิณย์ไม่ได้ซุกซ่อนความมาดร้าย นอกจากสอนให้เขาตาสว่าง

 “กานต์ กานต์เสียใจ พี่ดินไม่ต้องยกโทษให้กานต์ก็ได้ครับ” รพีกานต์คอตก อัษศดิณย์ในยามวางมาดผู้ใหญ่เต็มขั้นทำเอาอีกฝ่ายถึงกับไปไม่เป็น นายของไร่พิศาลอนันต์ยศปกครองคนทั้งพระเดชและพระคุณ คนในไร่ไม่ได้เกรงกลัวเพราะเขาถืออำนาจบาตรใหญ่ แต่เพราะอัษศดิณย์รู้ว่ายามไหนควรจัดการเช่นไร การสั่งสอนด้วยถ้อยคำนุ่มนวลกับรพีกานต์นับว่าปรานีอย่างที่สุดแล้ว รพีกานต์ไม่กล้าแม้แต่จะร้องไห้ให้อีกฝ่ายเห็นด้วยซ้ำ บางอย่างที่อายอวลห่อหุ้มรอบกายเป็นสัญญาณเตือนว่าอัษศดิณย์ไม่ใช่คนที่ใครจะล้อเล่นด้วยได้ รพีกานต์กลัวเขาจับใจขนาดไม่กล้าร้องไห้ด้วยซ้ำ แต่ใครอีกคนที่อยู่ด้วยกันมานานจนรู้นิสัยใจคอ รู้ดีว่าอัษศดิณย์ไม่ได้เจ้าคิดเจ้าแค้น ลองเจ้าตัวพูดตรง ๆ ต่อหน้า นั่นย่อมหมายถึง เขาจะไม่เก็บมาเป็นอารมณ์อีก

ความอึมครึมปกคลุมบรรยากาศโดยรอบ รพีกานต์กุมมือตนเองแน่นด้วยความกดดัน ความเงียบทำให้เขาใจคอไม่ดีเอาเสียเลย ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบจมในวังวนความคิดของตัวเอง ขณะที่เวลายังคงเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยความซื่อสัตย์ จนในที่สุดเจ้าของบ้านก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบนั้นลง

“เล่าสาเหตุที่ทำให้กานต์ต้องมาที่นี่ได้ไหม” น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นจนรู้สึกได้ รพีกานต์ใจชื้นขึ้นยามเงยหน้าสบตา

“กานต์กับพ่อของเด็กเจอกันที่มหาวิทยาลัย...” แล้วเรื่องราวก็ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดผ่านปากของรพีกานต์ ระหว่างนั้นอัษศดิณย์เพียงนั่งฟังเงียบ ๆ ไม่เอ่ยขัดอะไร หากสมองคิดตามทุกคำพูดจากประสบการณ์ที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวช่วงวัยรุ่นมาก่อน จนเมื่อรพีกานต์เล่าจบ ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง อัษศดิณย์สบตากับเจ้าของใบหน้าใส ในสมองครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่จึงยอมเอ่ยปากหยั่งเชิง

“ถ้าพี่ยอมรับเด็กได้ กานต์จะเปิดใจกับพี่ได้ไหมครับ” คำถามที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ยินสร้างความตกอกตกใจไม่น้อยแก่รพีกานต์ แต่ไม่น่าแปลกใจสำหรับศิรวัฒน์เท่าไร กระนั้นก็กรีดหัวใจปวดแปลบ

“พี่ดิน...” รพีกานต์ดวงตาเบิกกว้างกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนตัดสินใจมาที่นี่ เขาไม่คิดว่าเรื่องจะมาลงอีหรอบนี้

“แต่เดิมพี่ก็คิดว่ากานต์มีทายาทให้พี่ไม่ได้อยู่แล้ว ตอนนั้นพวกเราอาจรับเลี้ยงเด็กเป็นลูก หรือรอดูความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ แต่นี่กานต์ก็มีน้องในท้องได้ กานต์จะว่าอะไรไหม ถ้าพี่จะรับพวกแกเป็นลูกของพี่ พี่ไม่ได้รักแค่ตัวกานต์ แต่พี่รักทุกอย่างรวมไปถึงความพลาดพลั้งในอดีต ถ้ากานต์จะโอเคกับพี่น่ะนะ” อัษศดิณย์พูดในสิ่งที่คิดหลังทบทวนในหัวอยู่หลายตลบ เขายอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบของปัจเจกบุคคล แม้แต่เขาเองก็ไม่สมบูรณ์แบบอะไร

“...” รพีกานต์กำลังสับสนอย่างหนัก นอกจากพี่ณัฐที่สนิทสนมกันมานานนม รพีกานต์ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีใครยอมรับเรื่องนี้ได้ แต่นี่อัษศดิณย์กลับยอมรับมันได้ หลังจากเจ้าตัวนิ่งคิดอยู่พักใหญ่ นายเจ้าของไร่ผู้มีคุณสมบัติเพียบพร้อมก็เปิดปากยอมรับเด็กที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตนเป็นลูก มัน...เกินความคาดหมายจากที่รพีกานต์คิดไว้มากจนเรียกว่าโชคของเขาดีจนเกินไป ทุกคนที่มาหลงรักล้วนดีงาม เว้นก็แต่บิดาที่แท้จริงของเจ้าแฝด หล่อแต่รูปจูบแล้วเหม็นนิสัย

“นี่ไม่ใช่ความผิดของเด็ก เด็กทุกคนล้วนเกิดมาบริสุทธิ์ อยู่ที่สภาพแวดล้อมจะแต่งเติมสีไหนให้แก พวกแกไม่มีส่วนต้องรับผิดชอบอดีตของผู้ใหญ่ พี่คิดว่าพี่ยอมรับตรงนี้ได้ ถ้ากานต์กังวลว่าพี่จะไม่รักพวกแก กานต์หายห่วงได้ ไร่พิศาลอนันต์ยินดีต้องรับนายน้อยตัวเล็ก ๆ ด้วยความเต็มใจ” อัษศดิณย์ให้คำมั่นตรงไปตรงมาชัดเจน เอ่ยถึงตรงนี้แล้วต้องชะงัก สายตาคมปลาบเหลือบมองใครอีกคนซึ่งนั่งนิ่งทำตัวเป็นอากาศธาตุในห้องมานานตลอดการสนทนา ใครอีกคนที่ถูกเขาสาดโทสะระบายความเกรี้ยวกราดในบางครั้ง คำพูดเมื่อครู่นับว่าย้อนเข้าตัวอย่างจัง ดูได้จากสายตาของบุคคลที่สามซึ่งจับจ้องมองมายังเขา สายตาที่ประท้วงว่าตนไม่ได้รับความยุติธรรมของศิรวัฒน์ เด็กตัวร้ายนั่นกำลังใช้สายตาแบบนั้นทวงถามความยุติธรรมให้ตนเองจากคำพูดของเขา

แสบมากต้นน้ำ

“กานต์เก็บเอาไปคิดก่อนก็ได้ ยังไม่ต้องรีบตอบ เดี๋ยวว่างแล้วพี่จะแวะไปหา” น้ำเสียงจริงจังอ่อนลงเมื่อมองคนตรงหน้า สายตาของรพีกานต์ทำให้เขาใจแข็งด้วยไม่ลง เหมือนกระต่ายตัวน้อยเซื่องซึมซึ่งเขาไม่ต้องการเห็นรพีกานต์เป็นอย่างนั้น เจ้าตัวเหมาะกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ที่สำคัญกว่านั้น เขาค่อนข้างเป็นห่วงอารมณ์คนท้องหากให้แบกรับอะไรที่หนักเกินไป ชายหนุ่มจึงพยายามประนีประนอมคำพูดอย่างที่สุด

“พี่ดินไม่โกรธกานต์แล้วหรือครับ” รพีกานต์เอ่ยถามในสิ่งที่ค้างคาใจ

“พี่ไม่ได้โกรธ พี่แค่เสียใจ อยากให้กานต์จำไว้เป็นบทเรียน” อัษศดิณย์ยอมรับตามตรง มือหนายื่นไปลูบกลุ่มผมนุ่มปลอบประโลมคนที่หน้าม่อยหมองลงไปอีก

“อย่าคิดมาก มันไม่ดีต่อเด็กในท้อง ถือเสียว่าเราปรับความเข้าใจกันแล้ว พี่ไม่ได้โกรธแต่จะให้ไม่รู้สึกอะไรเลยก็ประหลาดละ พี่ไม่อยากโกหกเรา ตอนนี้พี่เองก็ต้องปรับอารมณ์ตัวเองเหมือนกันเรื่องที่กานต์มีเจ้าตัวเล็กได้ มัน...ค่อนข้างมหัศจรรย์สำหรับพี่น่ะ” เขายิ้มอ่อนโยน สายตามองท้องกลม รู้สึกตะขิดตะขวงใจนิดหน่อยเพราะดันไพล่ไปนึกภาพต้นน้ำอุ้มท้องใหญ่ ซึ่งทำให้เขาปั้นหน้าไม่ถูก รีบดึงสติกลับโดยด่วน

“บอกว่าแปลกประหลาดก็ได้ครับ” รพีกานต์ยิ้ม รอยยิ้มซึ่งสะท้อนความรู้สึกข้างใน ชายหนุ่มรู้สึกโล่งกว่าเดิมนิดหน่อยที่อย่างน้อยอัษศดิณย์ก็มีเหตุผลกว่าที่คิด

“พี่แตะได้ไหม อยากลองสัมผัสพวกแกดู” อัษศดิณเอ่ยปากขออนุญาต เมื่อรพีกานต์พยักหน้ายินยอม ชายหนุ่มจึงลองแตะท้องนูน

“กะ แกดิ้นด้วย เมื่อกี้พี่รู้สึกว่าแกทักทายพี่” น้ำเสียงของอัษศดิณย์ตื่นเต้นอยู่หน่อย ๆ เขาไม่เคยสัมผัสท้องคนตั้งครรภ์มาก่อน ปฏิกิริยาตอบรับของทารกในครรภ์นับว่าสร้างความรู้สึกแปลกใหม่แก่เขา

“พวกแกดิ้นอยู่ตลอดครับ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าคนไหนคึกคักที่สุด” รพีกานต์บอกด้วยรอยยิ้ม

“พ่อของพวกแกโชคดีกลับไม่คว้าโอกาสนี้เอาไว้ ถ้ากานต์ไม่ว่าอะไร พี่อยากขอโอกาสนี้ให้พี่” อัษศดิณย์บอกคนท้อง เขาแน่ใจว่าตนเองจะดูแลอีกฝ่ายและเด็กได้ดี เขามีทุกอย่างมั่นคงพอสำหรับต้อนรับอีกสี่ชีวิตได้อย่างไม่มีปัญหา ขอเพียงรพีกานต์จะให้โอกาสนั้นแก่เขา

“ลองกลับไปคิดดูนะครับ ไม่ต้องรีบ พี่รอกานต์ได้เสมอ” รอยยิ้มละไมแย้มส่งมาให้ รพีกานต์สบตาคม มองเห็นความปรารถนาดีในดวงตาคู่นั้น หัวใจหม่นหมองคล้ายว่าเห็นแสงตะวันเรืองรองสาดส่องลงมา
ทำไมคนที่ดีกับรพีกานต์ถึงไม่ใช่พ่อของสามแฝดนะ


แค่ได้รู้ว่ารพีกานต์อยู่ที่ไหน หัวใจเหี่ยวฟีบก็พลันโดดเด้งโผนทะยานไปถึงที่หมายก่อนตัวเสียอีก อัครวินท์ฉีกยิ้มร่าอารมณ์ดีสุดขีดขนาดกดปลายจมูกหอมแก้มณัฐธีร์ฟอดหนัก แล้วหันไปผิวปากหวือ มือสาละวนจัดเสื้อผ้าลงกระเป๋าใบเขื่องหย่อนลงท้ายรถ ก่อนออกตัวไม่วายหันมากอดคอแล้วฝังจมูกโด่งหอมแก้มณัฐธีร์อีกข้างอย่างเท่าเทียม ยักคิ้วทะเล้นกระพุ่มมือไหว้คุณอาสุดหล่อแล้วแล่นไปอยู่หลังพวงมาลัยก่อน ปล่อยณัฐธีร์ที่ยืนนิ่งทำหน้าเหมือนอมบอระเพ็ดเน่ากับหนูฉายสิริยืนมองตาปริบ ๆ

“ยอมปล่อยมือง่าย ๆ แบบนั้นเลยหรือพระเอก” รพีสวัสดิ์กระเซ้ายิ้ม ๆ ทีแรกเขาเข้าใจว่าอัครวินท์กับณัฐธีร์จะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมากกว่านี้เสียอีก

“ผมอยากให้พวกเขาได้ลองปรับความเข้าใจกันครับ ความกลัวรังให้คิดแต่จะหนี แล้วก็หนีไม่จบไม่สิ้น การหนีไม่ได้ทำให้จบปัญหา ถ้ากานต์มีความกล้าเผชิญหน้า ต่อไปกานต์ก็ไม่ต้องหนีอะไรอีก แล้วถ้าเขาทำกานต์เสียใจอีก นี่จะเป็นโอกาสสุดท้ายของเขา” นัยน์ตาของณัฐธีร์เด็ดเดี่ยว ภายในหัวใจของเขาเจ็บหนึบ แต่เขากล้าที่จะเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดนั้น ชายหนุ่มปลอบประโลมหัวใจตัวเอง ขอแค่ได้รักก็เพียงพอแล้ว

“เอาเถอะ เดินทางปลอดภัยนะ” รพีสวัสดิ์ตบบ่าอย่างเข้าใจ เด็กคนนี้เป็นคนดีจนเขานึกเสียดายอยู่ไม่คลาย แต่ในเมื่อณัฐธีร์ตัดสินใจแล้ว เด็กคนนี้ย่อมมีเหตุผลพอ คุณอาคนเก่งมองร่างล่ำสันของวัยหนุ่มเปิดประตูเข้าไปนั่งข้างคนขับ หลังเปิดประตูส่งหนูตะวันนั่งเบาะหลัง รถคันโก้แล่นจากไปแล้ว บ้านก็ตกอยู่ในความเงียบจนรพีสวัสดิ์คิดถึงคนไกล

“เสือสามตัวกับกระต่ายท้อง งานนี้ตากานต์รับศึกหนัก” รพีสวัสดิ์เอ่ยลอย ๆ กับตัวเอง ชายหนุ่มยักไหล่เตรียมหันหลังกลับเข้าบ้าน ทว่ากลับรู้สึกถึงสายตาจ้องมองมาไม่ไกล รพีสวัสดิ์ชะงักเท้า มุมปากวาดยิ้มร้ายหันขวับไปยังรั้วบ้าน ใครคนนั้นส่งยิ้มอบอุ่นผ่านรั้วเถาตำลึงมาให้

“นายวัวเชื่อง” รพีสวัสดิ์พึมพำแผ่วเบา หนุ่มมั่นยักคิ้วให้ครูหนุ่ม ฝ่ายนั้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ แล้วการทักทายประสาเพื่อนบ้านก็กินเวลาลากยาวไปจนถึงร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน และจบลงที่ฝ่ายนั้นนัดชวนไปวิ่งออกกำลังกายยามเย็น


เส้นทางจากกรุงเทพฯ ขึ้นเชียงใหม่กินเวลาไม่น้อย หากนั่งเครื่องบินจะเซฟเวลาได้มากแต่อัครวินท์คิดว่ามีรถใช้สะดวกกว่าสำหรับเขา ชายหนุ่มแวะพักกินข้าวและสำรวจที่พักละแวกใกล้เคียงกับจุดที่รพีกานต์อยู่ หากฉุกเฉินถูกไล่ตะเพิดอย่างน้อยก็มีที่ให้ตั้งหลักง้อ แต่เพื่อความชัวร์อัครวินท์แวะซื้อเต็นท์กับถุงนอนกันเหนียวเผื่อได้นอนเฝ้าหน้าบ้านกันเลยทีเดียว

“นายกับหนูตะวันรอด ไม่ถูกกานต์ไล่แน่ ๆ  แต่ฉันอะต้องเตรียมพร้อมกันเหนียวไว้ก่อน เผื่อได้นอนเฝ้าหน้าบ้าน” อัครวินท์บอกกับณัฐธีร์ขณะโยนเต็นท์กับถุงนอนไว้ท้ายรถ มีเสบียงของกินตุนเก็บไว้อีกนิดหน่อยกันประวัติศาสน์ซ้ำรอย ณัฐธีร์เพียงส่ายหน้าน้อย ๆ ไม่เอ่ยขัดอะไร เพราะมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดเหตุการณ์อย่างที่อัครวินท์คาดเดา

 “รอพ่อนะสามแฝด พ่อจะง้อแม่ของหนู” เขาบอกกับตัวเอง หมายมั่นว่าต่อให้ถูกกวัดไกวไสส่งอย่างไรเขาก็ไม่ถอย โชคดีหน่อยที่ณัฐธีร์คอยเปลี่ยนมือช่วยขับ ระหว่างนั่งรถไป อัครวินท์จึงเปิดดูคลิปอัลตราซาวด์บรรเทาความคิดถึง เด็กชายฝาแฝดเป็นลูกของเขา มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายยากสักหน่อย อย่างแรก อัครวินท์ยังไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้น มันค่อนข้างไกลตัวผู้ชายอายุสิบเก้าที่แวดล้อมไปด้วยสหายเพื่อนฝูง กิน ดื่ม เที่ยว รักสนุกตามประสาวัยรุ่นทั่วไป วัยอยากรู้อยากลอง เขาไม่แน่ใจว่าตนเองจะเป็นพ่อที่ดีได้ แต่ในเมื่อทุกอย่างดำเนินมาในทิศทางนี้ เขาเองก็ควรมีส่วนในการร่วมรับผิดชอบ เขาจะพารพีกานต์กลับไปด้วยกัน อย่างน้อย ๆ เขาก็อยากพิสูจน์ให้เห็นว่า คนผิดคนนี้พร้อมจะกลับตัวกลับใจ

“รอพี่นะกานต์” เขาทอดสายตามองไปเบื้องหน้าหมายมั่น เวลาจวนแจใกล้เข้ามาไม่ได้ระงับความตื่นเต้นลดน้อยถอยลงได้เลย ตรงกันข้าม ยิ่งเข้าใกล้ หัวใจยิ่งโลดแรงด้วยความคิดถึงและความหวังล้นปรี่ที่จะได้ตัวคนของหัวใจกลับคืน
หนุ่มขรึมเหลือบสายตามองคนนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่สลับกับกระสับกระส่ายเป็นบางหน ดูท่าจะร้อนใจร่ำ ๆ อยากเร่งให้รถเหาะไปถึงโดยเร็วทันใจ ณัฐธีร์ระบายลมหายใจเชื่องช้า “พี่ทำถูกแล้วใช่ไหมกานต์”


(ต่อด้านล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๑(Mpreg)(P.๑๔)(๒๙/๐๔/๖๑)
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 29-04-2018 09:32:27
๓๑ (ต่อ)

ดวงตะวันเย็นย่ำเคลื่อนคล้อยลอยต่ำจวนลับเหลี่ยมเขา ลมสายหนึ่งพัดพายกิ่งก้านแมกไม้พลิ้วไหวเนิบนาบนุ่มนวล ใบไม้แห้งกรอบอ่อนแรงปลิดขั้วร่วงพรู เมล็ดดอกรักปลิ่วว่อนร่อนเร่ตามอิสระของสายลมพา ไม่ยึดเกาะกับสิ่งใดเฉกเช่นหัวใจบางคน

“วันนี้พี่ดินจะกินข้าวที่นี่ไหมครับ” รพีกานต์หลุบสายตามองคนที่กำลังหนุนแขนนอนเล่นข้างกาย มือข้างหนึ่งลูบสัมผัสพุงกลมเอื่อยเฉื่อยไปมา หลังจากติดตามดูแลความเป็นไปในไร่จนเกือบหมดวัน อัษศดิณย์มักแวะมาที่นี่บ่อย ๆ ขนขนมผลไม้จากไร่ติดไม้ติดมือมาฝากกันไม่ขาด

“ครับผม ขอฝากท้องกับคนท้องบ่อย ๆ ชักอยากจะลักพาตัวไปอยู่ด้วยกันที่บ้าน” พ่อเลี้ยงหนุ่มใบหน้าเปื้อนยิ้ม พลิกตัวยกศีรษะขยับแนบท้องกลมฟังเสียงขยับของเจ้าตัวเล็ก บรรยากาศอุ่นเอมอายอวลรอบกาย สุขสงบเหมือนสายน้ำเย็นชโลมลงหัวใจแห้งผาก ดวงตาคมกริบดำสนิทติดดุ แฝงความมีอำนาจแบบผู้สันทัดการออกคำสั่งอ่อนแสงลงดั่งตะวันรอนแสงยามอยู่ใกล้กัน เท่านั้นก็ทำให้รพีกานต์อุ่นใจ คนท้องปิดปากเงียบสนิทเกี่ยวกับพ่อของเด็กแฝดในท้อง ทำเหมือนหลงลืมไปนั่นคือสิ่งที่
อัษศดิณย์ยังติดค้างในใจลึก ๆ ลางสังหรณ์บางอย่างบอกเขา ความสัมพันธ์ของชายหนุ่มกับรพีกานต์จึงยังเป็นไปในระยะค่อย ๆ เรียนรู้กัน แต่อาการกระวนกระวายในใจแปลก ๆ นี้ อัษศดิณย์สลัดอย่างไรก็ไม่หลุด ยิ่งเหลือบมองเจ้าของ “จูบกลิ่นนม” ด้วยแล้วเขายิ่งรู้สึกงุ่นง่านหงุดหงิดแปลก ๆ

“แล้วน้ำล่ะ อยู่กินข้าวด้วยกันไหม” รพีกานต์หันไปถามใครอีกคนด้วยรอยยิ้มพราย เรือนร่างสูงใหญ่ทั้งที่อายุน้อย อีกไม่นานคงสูงนำโด่งอัษศดิณย์อย่างไม่ต้องสงสัย ท่าทางนิ่งเงียบเสริมให้เจ้าตัวดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัย ทั้งหมดทั้งมวลศิรวัฒน์ล้วนซึมซับมาจากพี่ชาย เด็กน้อยที่เคยไล่ตามช่วงขาก้าวยาวต้อย ๆ ในวันวาน ในวันนี้แตกต่างออกไป อัษศดิณย์ไม่เคยรู้สึกจนกระทั่งจูบกลิ่นนมนั่นคอยรบกวนจิตใจของเขาไม่ขาด

ศิรวัฒน์เหลือบสายตามองผาดพี่ชายวูบหนึ่ง กำลังจะเปิดปากเอ่ย รถคันหนึ่งก็แล่นมาจอดเทียบหน้ารั้วบ้านพอดี

“เดี๋ยวเราไปเปิดให้” ศิรวัฒน์อาสา ร่างสูงผุดลุกจากที่นั่ง เดินอาด ๆ ไปเปิดประตูรั้วสอบถามผู้มาเยือนแล้วจึงเปิดประตูออกกว้างต้อนรับอาคันตุกะ รพีกานต์ชะเง้อคอมองด้วยความสงสัย ดวงตากวางเบิกกว้างเมื่อเห็นใบหน้าของผู้ที่ก้าวลงจากรถชัด ๆ

“พี่วิน!” หลุดอุทานด้วยความตะลึง ร่างสูงเอี่ยมสำอางปรี่เข้าประชิดรวบร่างกลมเข้าในอ้อมกอดด้วยความคิดถึง

“กานต์หนีพี่มาไม่บอกสักคำ แม่น้องแฝดใจร้าย พาลูกหนีพ่อของแกแบบนี้ได้ไง” เปรี้ยงเดียวสะท้านเยือกในใจคนฟัง โดยเฉพาะพ่อเลี้ยงหนุ่มซึ่งมาก้อร่อก้อติกไม่ขาด คำพูดของคนมาใหม่ละลายสิ่งที่เคยคั่งค้างในใจกระจ่างชัดเต็มสองตา นี่คือพ่อตัวจริงของเด็กแฝดในท้อง คนที่เขายังมีเยื่อใยให้คนของเขาเต็มเปี่ยม แรงกอดกระชับยืนยันในความยินดีแบบปิดไม่มิดนั่นได้ดี
บรรยากาศอึมครึมชวนกระอักกระอ่วนของหนึ่งนายกับสามชาย เมื่อบุรุษที่มารุมเสน่หาปรากฏกายขึ้นพร้อมกัน รพีกานต์สบตาณัฐธีร์ทั้งพูดไม่ออก แล้วยังอ้อมกอดของคนที่สั่นน้อย ๆ คล้ายคนดีใจนักหนาที่ของหายแล้วได้คืนนี่อีก

“พี่วินมากับพี่ณัฐ...” รพีกานต์เค้นคำพูดเอ่ยออกมาได้แค่นั้น สิ่งที่คาดไม่ถึงคือสองคนนี้ญาติดีกันได้

“สงเคราะห์หมาบ้า” ณัฐธีร์พูดหน้าตาย เจ็บเป็นริ้ว ๆ เมื่อเห็นน้องน้อยยังมีอีกสองชายหมายตา แต่ไม่มีสักครั้งที่น้องจะมองมาทางพี่

“พี่ติดรถมาด้วยเพราะใกล้ถึงเวลานัดที่คุณรพินทร์จะต้องไปพบหมอที่กรุงเทพฯ แล้ว พี่จะไปเป็นเพื่อนเอง ส่วนคนท้องก็มีคนอาสาดูแลทางนี้แล้ว” ณัฐธีร์บอกจุดประสงค์การมาของเขา สายตาเหลือบมองบุรุษหล่อเหลาอีกสองคน ที่คุณอาเล็กเคยคุยให้ฟังน่าจะเป็นสองคนนี้ หล่อสูสีกับพ่อเจ้าแฝด แต่คนละแบบและยังอยู่จะเป็นเสาหลักดูแลได้ดีกว่า

“ได้ยินเสียงรถ มาถึงกันแล้ว” เสียงของรพินทร์ช่วยลดบรรยากาศน่าอึดอัดลงได้ถนัดตา อัครวินท์ปล่อยตัวคนท้องชั่วคราวหันมายกมือไหว้ทักทาย รพินทร์มองบรรยากาศหนึ่งนายสามชายแล้วก็ให้เห็นใจทุกคน

“มาเหนื่อย ๆ พักกินน้ำกินท่ากันก่อน อีกสักพักค่อยตั้งโต๊ะมื้อเย็น คุณดินกับน้ำก็อยู่รับมื้อเย็นด้วยกันก่อนนะครับ อย่าเพิ่งรีบกลับ” รพินทร์รับหน้าไว้ทั้งหมด แล้วอาการเด็กขี้หวงของคนโตแต่ตัวก็เริ่มแผลงฤทธิ์เดช เมื่อเห็นความไม่ธรรมดาของคู่แข่ง

“คิดถึงกับข้าวฝีมือกานต์ กินที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่า ‘เมีย’ ทำ” คุณชายอัครวินท์เล่นใหญ่ขนาดยอบกายลงแนบใบหน้ากับพุงกลมหลังประกาศความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเต็มที่ “คิดถึงจัง คิดถึงพ่อไหมสามแฝด” ประกาศซ้ำอีกหนให้หลาย ๆ คนในที่นี้ได้ยินชัด ๆ ว่าคนคนนี้ของเขา ลงหลักจับจองอยู่ในท้องถึงสามคนด้วยกัน สายตาคมนิ่งส่งสัญญาณไปยังผู้หมายใหม่ อัษศดิณย์สบสายตานั้น เห็นจริงเกี่ยวกับนิสัยเจ้าตัวอย่างที่รพีกานต์ว่า ตาต่อตาสบประสาน สุดท้ายนายใหญ่ของไร่พิศาลอนันต์ก็เลื่อนสายตาไปยังอีกคน ท่าทางนิ่งแต่ดวงตาอาลัยอาวรณ์มองมายังคนท้องด้วยความตัดพ้อลึก ๆ ดูท่าดอกไม้หอมจรุงดอกนี้จะมีภู่ผึ้งมากหน้าเสนอตัวมาให้เลือก คนยืนดูเฉย ๆ อย่างณัฐธีร์ไม่เท่าไร แต่เจ้าคนกอดหนึบนี่สิ ดูท่าจะเป็นต่อหัวเสือหวงดอกไม้ อันตรายมากเสียด้วยต่อชนิดนี้

“ณัฐกับวินเอากระเป๋าไปเก็บบนบ้านก่อนไป” รพินทร์ตัดบทก่อนสงครามประสาทจะยืดเยื้อไปกว่านี้

“กานต์พาพี่ไปหน่อย พี่ไม่รู้ว่าห้องกานต์ห้องไหน” คนเจ้าเล่ห์ก็ยังเจ้าเล่ห์อยู่วันยังค่ำ รู้ว่าจะถูกจับแยก เจ้าตัวก็เลยถือโอกาสดึงรพีกานต์ออกห่างจากอัษศดิณย์ไปด้วยเสียเลย

“กานต์ไม่ได้จะให้พี่นอนกับกานต์ ห้องเต็มแล้ว พี่ไปหารีสอร์ตแถวนี้พักเถอะ”

“พี่รู้ว่ากานต์จะไล่ พี่เตรียมเต็นท์กับถุงนอนมาแล้ว กางนอนปิดทางออกมันหน้าบ้านนี่ละ แต่ถ้ากลางคืนพี่หนาว พี่จะแอบขึ้นไปนอนกอดกานต์” จอมร้ายว่าหน้าทะเล้น ดักทันทุกทางจนคนท้องชักจะหมั่นไส้

“พี่วิน!” ถ้าไม่เกรงใจหลายคนในนี้ ชมพู่ในกระจาดได้ปลิวว่อนกระแทกหัวคน คนท้องเข่นเขี้ยวฮึดฮัดอยากลงไม้ลงมือกับคนทะเล้นเต็มแก่

“อย่าฉุนเฉียวซี เดี๋ยวลูกอารมณ์ไม่ดีนะ” ได้ผล แค่อ้างอะไรที่เกี่ยวกับลูก รพีกานต์จะฟังตามโดยอัตโนมัต เกลียดนักคนรู้ทัน!

“เฮ่อ หยุดเถียงกันได้แล้ว เอาของไปเก็บไป๊” รพินทร์อ่อนอกอ่อนใจออกปากไล่ก่อนจะวุ่นวายไปมากกว่านี้ มือหนาคว้าเอวคนท้องหมับ คะยั้นคะยอลากไปด้วยกันจนได้ รพินทร์มองความวุ่นวายเล็ก ๆ ก่อนหันมาทางอัษศดิณย์

“นั่นละ พ่อที่แท้จริงของสามแฝด เป็นรุ่นพี่ที่มหา’ลัยของกานต์ เอ่ยนามสกุลคุณดินก็น่าจะร้องอ๋อ อีกคนก็พี่ณัฐ รู้จักกานต์มาตั้งแต่ยังเล็ก เล่นหัวกันมา หลงรักกานต์มานานหลายปีแล้วเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็แพ้ทางคนปากว่ามือถึง รูปหล่อ คารมไม่เป็นรอง” รพินทร์สาธยายหลังจากอัษศดิณย์ได้ประจักษ์ด้วยสายตาตัวเอง

“หล่อ รวย แบดกายอย่างที่กานต์เคยบอกจริง ๆ ด้วยครับ เสียดาย ผมเจอกานต์ช้ากว่า” สีหน้าของอัษศดิณย์บ่งบอกว่าเสียดายจริง ๆ จะดีสักแค่ไหนถ้าเด็กในครรภ์กำเนิดจากเขา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้รังคัดรังแคทารกน้อย

“แล้ว...คุณดิน”

“ผมให้กานต์ตัดสินใจครับ ไม่มีปัญหาเลยกับเรื่องลูก ผมดูแลได้ทั้งหมดครับถ้ากานต์เลือกผม” อัษศดิณย์ให้คำยืนยัน เขาพร้อมลงสนามสู้ หากหัวใจของรพีกานต์นั้นจะปันมาที่เขาบ้าง แววตาหวั่นไหวยามถูกคนคุ้นเคยโอบกอดเมื่อครู่ไม่ได้รอดพ้นสายตาเหยี่ยวของเขา แต่ชาวหนุ่มอยากฟังจากปากเจ้าตัว อีกอย่าง เขาอยากให้คนนั้นของรพีกานต์ได้รู้ว่า บางอย่างก็ไม่ใช่ของตายที่จะละเลย น่าแปลกที่อัษศดิณย์รู้สึกโล่งอย่างประหลาด เหมือนกับว่าเขาเคยเสียใจเป็นบ้าเป็นหลังมาแล้ว แม้จะต้องเสียใจอีกหน มันก็แค่เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ดวงตาคมปลาบตวัดประสานกับใครอีกคนที่มองมายังเขาเงียบเชียบ กลิ่นนมกรุ่นในปากหวนสะกิดความทรงจำให้ระลึกถึงอีกหน ตั้งแต่เมื่อไรที่สายตาเด็กน้อยในวันวานกลับกลายเป็นสายตาของชายหนุ่ม เงียบงันแต่แผดเผาในอก เขาเกลียดที่ตกเป็นเป้าสายตานิ่ง ๆ คู่นั้น

“จะเยาะเย้ยฉันหรือไง” หลุดคำพูดโง่ ๆ ออกไปเพื่อให้มีบทสนทนาทำลายความเงียบระหว่างกัน หลังจากรพินทร์ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ สายตาของเด็กนี่ทำเขาว้าวุ่นใจซึ่งอัษศดิณย์ไม่ชอบนัก

“เยาะเย้ยตรงไหนกันลุง ก็แค่มอง”

“ไอ้เด็กประสาท”


เมื่อทุกคนพร้อมหน้าบนโต๊ะกินข้าวรพินทร์จึงได้เริ่มแนะนำแต่ละคนให้ได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ ยอมรับว่าหนักใจไม่น้อย แต่เมื่อหนุ่ม ๆ ไม่ได้มีท่าทีคุกคามกันชัดเจน นอกจากมองสบตากันไปมา มื้อเย็นจึงผ่านไปด้วยดี

“พี่รบกวนกานต์แค่นี้ เดี๋ยวขอตัวกลับก่อนก็แล้วกัน ดูกานต์น่าจะมีเรื่องที่อยากจะเคลียร์กับทางนี้”

“พี่ดินโกรธกานต์หรือเปล่า กานต์เหมือนคนโลเล” รพีกานต์กังวลใจ ยิ่งเห็นอัษศดิณย์นิ่งเงียบเขาก็ยิ่งกระวนกระวาย

“กานต์ไม่ได้โลเลหรอก แต่สายตากานต์ไม่เคยเปลี่ยนไปมองคนอื่นต่างหาก” อัษศดิณย์ยิ้มให้พลางขยี้ศีรษะทุยเล่น

“พี่ดิน...”

“ตอบใจตัวเองให้ดีว่าจะเลือกยังไง ถ้ากานต์เลือกพี่ พี่ก็พร้อมจะดูแลกานต์กับลูก แต่กานต์แน่ใจอย่างนั้นหรือ แล้วดูท่าเขาคนนั้นของกานต์ก็คงจะไม่ยอมง่าย ๆ”

“กานต์กลัวครับพี่ดิน เวลากานต์รักพี่วินกานต์ก็รักได้ง่าย ๆ แต่เวลาพี่วินทิ้งกานต์ก็ทิ้งได้ง่าย ๆ เหมือนกัน การกลับมาของเขายังทำให้กานต์สงสัยอยู่ตลอดว่าเขากลับมาเพื่ออะไร รับผิดชอบลูก? รัก ? หึ  กานต์คงต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะเชื่อ ทั้งที่ตอนรักพี่วิน กานต์ไม่ต้องใช้อะไรเลย”

“แล้วกับพี่ล่ะครับ กานต์กำลังพยายามอยู่หรือเปล่า” คำถามของอัษศดิณย์สร้างความสับสนในแววตารพีกานต์ไม่น้อย

“คิดดูให้ดี นอกจากพี่ พี่วิน ยังมีพี่ณัฐอีกคนใช่ไหม ใช้หัวใจเลือกดู พี่เองก็ไม่ใช่คนดีอะไรหรอก กานต์ยังไม่รู้จักด้านแย่ ๆ ของพี่ด้วยซ้ำ”

“หมายถึงเรื่องต้นน้ำใช่ไหมครับ กานต์คิดว่ามันคงมีสาเหตุ แต่เท่าที่พี่ดินไม่ได้ปล่อยปละละเลยต้นน้ำเสียทีเดียว อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่า พี่ดินไม่ได้คิดร้ายอะไรกับน้ำหรอกครับ แต่จะมีปัญหาอะไรกันนั้น กานต์เชื่อว่าพี่ดินเป็นผู้ใหญ่พอ”

“ถ้าเจ้าเด็กบ้านั่นมันรู้จักทำตัวให้น่ารักขี้อ้อนได้อย่างกานต์ พี่คงเอ็นดูกว่านี้ แต่ว่าก็ว่าเถอะ ตัวยักษ์อย่างมันออดอ้อนคงได้ขนลุกมากกว่าน่ารัก” อัษศดิณย์มองรพีกานต์ด้วยสายตาเอ็นดู แต่กระตุ้นให้ใครบางคนตาร้อนผ่าว

“งั้นพี่กลับก่อนนะ เอาไว้จะมาใหม่” เขายิ้มให้รพีกานต์ก่อนตวัดสายตาขึ้นมองคนที่ชะเง้อคอยาว แววตาขับไล่เขาตลอดเวลา เห็นอย่างนั้นอัษศดิณย์จึงกอดตัวกลมหมับแล้วผละออกเร็ว ๆ ยิ้มยั่วให้อีกคนที่แทบกระโจนมางับหัว แล้วจึงหันกลับมาขึ้นรถขับจากมา

รพีกานต์ผินกายหันกลับขึ้นบ้าน เมื่อเจอใครบางคนเดินงุ่นง่านอยู่หน้าห้องก็ยังเฉย เปิดประตูเข้าห้องตัวเองไป มือขาวฉวยผ้าเช็ดตัว เปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดสำหรับผลัดเปลี่ยนแล้วเดินเข้าห้องน้ำตัดบทคนที่ตามเข้ามาในห้อง ระหว่างอาบน้ำเขาก็ใช้เวลาครุ่นคิดก่อนออกไปเผชิญหน้า คิดทบทวนหลายต่อหลายอย่าง จนตัดสินใจได้แล้วจึงเปิดประตูห้องน้ำออกมา
อัครวินท์เองก็อาบน้ำจากห้องอื่นเรียบร้อยแล้วเช่นกัน รู้สึกใจแป้วกับสีหน้าเฉยเมยของรพีกานต์ไม่น้อย ยิ่งภาพที่เห็นตอนรพีกานต์ออกไปส่งอาศดิณย์นั้นยิ่งทำให้เขาคันยุบยิบในอก

“กานต์” เขาร้องเรียกคนที่เปิดประตูห้องน้ำออกมา ไม่เจอกันเดือนกว่าท้องแฝดโตเร็วมากจนน่าตกใจ รพีกานต์สบตาเขาตามเสียงเรียก เมื่อเห็นเขาไม่พูดอะไรต่อคนท้องจึงผละขึ้นนอนบนเตียงแล้วหลับตานิ่ง พูดง่าย ๆ คือไล่แบบไม่มีเสียง แต่คนอยากอัครวินท์หรือจะยอมถอยโดยง่าย เขาปีนขึ้นเตียงแล้วเริ่มต้นทักทายสามแฝด

“อืม คึกจังสามแฝด ดิ้นใหญ่เลย”

 อัครวินท์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แนบใบหน้าทักทายเจ้าตัวเล็กที่ยังคึกคักในท้อง ทั้งจูบทั้งแนบหูฟังเสียงตอบกลับมา สายตาก็คอยมองคนที่นอนหลับตาเมินเขา หนักเข้าจึงเลิกเสื้อแนบแก้มกับผิวพุงกลมเสียเลย ให้รู้ไปว่าจะไม่ยอมพูดกัน

“ถ้ากานต์มีอะไรจะขอ พี่จะให้ได้ไหม” คนที่เงียบมาได้สักพักเอ่ยออกมาในที่สุด อัครวินท์ผงกศีรษะมอง ตาวาวด้วยความหวัง   

“ได้ กานต์ขออะไร พี่ยอมหมดเลย ขออย่างเดียว อย่าขอให้พี่ไปจากชีวิตกานต์กับลูก” อัครวินท์กำลังตื่นเต้นแบบเด็ก ๆ รพี
กานต์อยากขออะไรเขาก็พร้อมตามใจให้หมด รพีกานต์มองคนตื่นเต้นดีใจด้วยใบหน้าเรียบเฉย เอ่ยขึ้นช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำ แต่หั่นหัวใจคนฟังแทบหยุดหายใจ

“ก็นั่นแหละที่อยากจะขอ จากนี้ความสุขหรือทุกข์ในชีวิตของกานต์จะไม่มีพี่มาเกี่ยวข้องอีก”

“กานต์...ไม่ ไม่เอา” เขาส่ายหน้าปฏิเสธ

“อย่าคิดกักขังหน่วงเหนี่ยวกานต์เชียว อำนาจเงินของพี่มันเนรมิตไม่ได้ทุกอย่าง เพราะพี่จะได้แค่ตัว แต่หัวใจกานต์จะเกลียดพี่ เกลียดมากขึ้นทุกวัน แล้วความเกลียดมันก็จะถ่ายทอดไปสู่ลูกในท้องด้วย” คำว่า ‘เกลียด’ เสมือนหอกเหล็กเผาไฟร้อน ๆ กระหน่ำจ้วงแทงบนร่างจนพรุน ไม่เพียงเท่านั้น รพีกานต์กำลังจะใช้ลูกเป็นเครื่องมือแก้แค้นเขา นั่นคือสิ่งที่เขาทนไม่ได้ที่สุด

“กานต์กำลังใช้ลูกเป็นเครื่องมือ กานต์ไม่ให้ทางเลือกอะไรพี่เลย”

“เหมือนที่พี่ใช้กานต์เป็นเครื่องมือทำร้ายพ่อของกานต์ไง”

“ก็ถ้ากานต์เป็นพี่บ้างล่ะ” อีกฝ่ายทัดทานไม่ยินยอมโดยง่าย
   
“บาปเวรของคนรุ่นพ่อกลายเป็นโซ่ตรวนร้อยรัดคนรุ่นหลังสินะ ถ้าอย่างนั้นก็ถึงเวลาปลดเปลื้องพันธนาการนี้ได้แล้ว พี่ไม่รู้หรอก การรักพี่แล้วมีแต่ความทรมานมันเป็นยังไง ตอนนี้พี่ทนความงี่เง่าของกานต์ได้ ถึงกานต์ระแวงกานต์งี่เง่าพี่ยังทนได้ แล้วอนาคตล่ะ”
   
“กานต์ก็คอยคิดแต่ว่าพี่จะทำร้ายกานต์ ทำไมไม่ให้โอกาสพี่ได้แก้ตัวบ้าง”
   
“พี่วินฟังกานต์นะ กานต์ในตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว หมดเวลาของเด็กน้อยช่างฝันเพราะทุกนาทีตอนนี้คือชีวิตจริง พ่อกานต์ไม่สบายและกานต์เองกำลังจะมีลูก สองหน้าที่ในคน ๆ เดียว หน้าที่ของลูก กานต์ทำได้ไม่ดีนัก กานต์ทำให้พ่อเสียใจ แต่กานต์ก็อยากแก้ไขด้วยการทำหน้าที่พ่อและแม่ของสามแฝดให้ดี กานต์มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ กานต์อยากเรียนให้จบเพื่อจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อ แล้วก็จะได้เลี้ยงลูกให้ดี กานต์ทรมานทุกนาทีที่นึกว่าพ่อป่วยเป็นอะไร กานต์กลัว กานต์หวาดกลัวทุกลมหายใจ กลัวพ่อ ฮึก กลัวว่าพ่อจะไม่ได้อยู่ดูความสำเร็จของกานต์ไปนาน ๆ กานต์ไม่ได้รักแต่พี่ มองว่าพี่คือทุกอย่างในชีวิตอีกแล้ว ความรักตอนนี้กานต์โฟกัสที่ลูกและพ่อของกานต์ เพราะความเชื่อใจของกานต์มันพังไปแล้ว”
   
“กานต์ปล่อยพี่วินแล้ว พี่วินก็ปล่อยกานต์เถอะนะ เราต่างคนต่างปล่อยมือซึ่งกันและกัน ไม่มีอะไรติดค้างต่อกันอีก ที่ผ่านมาให้แล้วต่อกันเถอะ ถือว่ากานต์ขอ”
   
“ไม่ พี่ไม่ปล่อย กานต์คิดเองเออเองอยู่ฝ่ายเดียว เพราะเขาใช่ไหม เพราะผู้ชายคนนั้น เขายอมรับเด็กที่ไม่ใช่ลูกตัวเองได้หรือ กานต์...เรารักกันไม่ใช่หรือครับ อะไรที่พังไปแล้ว กานต์จะให้โอกาสพี่ซ่อมมันใหม่ไม่ได้หรือ พี่ทำผิดครั้งเดียว กานต์ตัดสินพี่รุนแรงขนาดนี้เลยหรือ เหมือนเราไม่เคยรักกัน” อัครวินท์ส่ายหน้าดึงดัน ความผิดหวังไม่ใช่สิ่งที่เขาประสบพบเจอบ่อยนัก ทุกครั้งที่ทำผิดพลาดเขามักได้รับการให้อภัยง่ายดาย ชายหนุ่มทำอะไรไม่ถูกกับการถูกปฏิเสธซึ่ง ๆ หน้า
   
“คนรักกัน มันจะไม่เคยมีอะไรผิดพลาดกันเลยหรือกานต์”
   
“กานต์คงยังรักพี่ไม่มากพอ” รพีกานต์จำต้องกัดฟันบอกไปแบบนั้น ยอมกรีดหัวใจตัวเองขาดเป็นริ้ว ๆ เพื่อยุติทุกความสัมพันธ์ที่เคยดำเนินมา เพราะความกลัวในใจ ชายหนุ่มยอมรับว่าอ่อนแอเกินกว่าจะคิดเอาชนะ รพีกานต์จึงเลิกตัดทิ้งไป

“กานต์...” อัครวินท์ครางเสียงแผ่ว อ้าปากค้างด้วยความคาดไม่ถึง ไม่ใช่แค่เขาที่เจ็บ ณัฐธีร์ที่ยืนฟังอีกฝั่งประตูก็ปวดหนึบไปทั้งใจ

“กานต์กำลังกลัวอะไร การรักพี่มีอะไรที่น่ากลัวสำหรับกานต์หรือ ถ้าเรื่องนอกใจ พี่รับปากกานต์ตรงนี้ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก ตอนนั้นพี่ทำเรื่องโง่ ๆ ไป พี่ขอโทษ ถึงพี่ใครเข้ามา ถ้าพี่ไม่เล่นด้วย เขาก็ทำอะไรความรักของเราไม่ได้ พี่ไม่ทำอีกแล้วกานต์ ไม่อีกแล้ว”

“กานต์ให้พี่อยู่ได้ถึงวันคลอด ในห้องคลอดถ้าพี่อยากเข้าไปกานต์ก็ไม่ห้าม แต่หลังจากนั้น กานต์ขอร้องให้พี่ไปจากชีวิตกานต์ ขอแค่นี้ ทำให้กานต์ได้ไหมพี่วิน”

หยาดน้ำตาหรือคำหวานซ่านในอก      ลงนรกฤาสวรรค์ตามสรรหา
เจ้ารอนรักสลัดทิ้งจริงหรือนา         เจ้าฆ่าคนด้วยวาจาแทบวายวาง
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๑(Mpreg)(P.๑๔)(๒๙/๐๔/๖๑)
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 29-04-2018 12:13:54
ปวดหมองแทนกานต์จริง ๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นทางไหนก็มีแต่เรื่องปวดหมอง  :a6:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๑(Mpreg)(P.๑๔)(๒๙/๐๔/๖๑)
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 29-04-2018 12:29:56
ดราม่าสุดๆ :katai1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๑(Mpreg)(P.๑๔)(๒๙/๐๔/๖๑)
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 29-04-2018 15:58:16
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๑(Mpreg)(P.๑๔)(๒๙/๐๔/๖๑)
เริ่มหัวข้อโดย: bearjunjun ที่ 29-04-2018 16:57:34
โอ้ย น้องกานนนนนนนนนต์
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๑(Mpreg)(P.๑๔)(๒๙/๐๔/๖๑)
เริ่มหัวข้อโดย: maxtorpis ที่ 29-04-2018 19:41:25
จัดให้หนัก กานต์ได้เลือกบ้าง
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๑(Mpreg)(P.๑๔)(๒๙/๐๔/๖๑)
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 29-04-2018 21:26:59
น้องกานต์ใจแข็งมากกกกกกก แต่วิน ได้อยู่ใกล้ๆกานต์แล้วพยายามแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ เผื่อกานต์จะใจอ่อน
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๑(Mpreg)(P.๑๔)(๒๙/๐๔/๖๑)
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 29-04-2018 23:53:22
กานต์ใจแข็งมาก วินต้องสู้สุดใจแล้วล่ะแสดงความจริงใจและรักออกมาให้เต็มที่ไปเลย
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๑(Mpreg)(P.๑๔)(๒๙/๐๔/๖๑)
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 30-04-2018 08:26:15
เฮ้อ~
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย๓๑(Mpreg)(P.๑๔)(๒๙/๐๔/๖๑)
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 30-04-2018 08:49:26
เข้ามาส่อง แบบสารภาพเลย อ่านบ้างข้ามบ้าง :hao5:

หน่วงมาก อ่านแล้วอินตามจะเป็นไมเกรน (ฮา)
หัวข้อ: Re: เสน่หา...ฉากสุดท้ายๅ{จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๒๙/๐๔/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 15-05-2018 08:25:54
เสน่หา...ฉากสุดท้าย

"เสน่หาขับขานกังวานรัก   การพบพักตร์จตุนายหมายศศิน
เมื่อความรักพบผ่านในชีวิน   สุขถวิลหรือสิ้นใยใครคาดเดา"
[/b]


“กานต์จะทำอะไรหรือถึงใช้พี่นวดแป้ง” อัครวินท์ส่งเสียงถาม มือก็ลงแรงนวดแป้งในกะละมังไปด้วย โดยมีคนท้องคอยดูไม่ให้ตัวเนื้อแป้งแห้งจนเกินไป พี่ณัฐเอาคนมาให้ใช้ รพีกานต์ก็ใช้เต็มที่ ในมือเรียวมีก้านมะยมคอยหวดคนที่รุ่มร่ามเป็นระยะ

“ขนมหม้อตาล” บอกพลางเสิร์ชภาพในอินเทอร์เน็ตให้ดู อัครวินท์ไม่รู้จักตามเคย แต่เห็นคนท้องบอกจะทำให้กินเขาก็ตั้งหน้าตั้งตานวดแป้งให้ ช่วงนี้สบโอกาสจังหวะเหมาะ ณัฐธีร์พาคุณรพินทร์นั่งเครื่องไปตามแพทย์นัดที่กรุงเทพฯ แล้วจะเลยไปดูความเรียบร้อยที่บ้านต่อ คงอยู่ต่ออีกหลายวันกว่าจะกลับ เรียกว่าโอกาสเป็นใจให้เขาได้ใช้เวลากับคนท้องได้เต็มที่ ทั้งกอดทั้งหอมทั้งฟัด ถูกคนท้องขึงตาดุตีด้วยก้านมะยมเอาบ้างก็ถือว่าคุ้ม

มือหนานวดจนเข้าที่ก็เข้าสู่กระบวนการปั้น รพีกานต์รับช่วงต่อในขั้นตอนนี้ มือเรียวปั้นแป้งเป็นก้อนกลมนำไปกดใส่แบบ ส่วนอัครวินท์นั้นรพีกานต์ให้ช่วยปั้นหูหม้อ ดูจะเหมาะกันดี สองคนร่วมด้วยช่วยกันสุดท้ายก็ได้หม้อใบเล็กหลายใบส่งเข้าเตาอบ

“วันนี้ยังกินไม่ได้ เอาออกจากเตาอบแล้วต้องอบควันเทียนทิ้งไว้หนึ่งคืน พรุ่งนี้กานต์ถึงจะทำน้ำตาลหยอดลงในขนมให้กิน วันนี้รางวัลที่นวดแป้งให้ กานต์จะทำอย่างอื่นให้พี่กินก่อน หม้อตาลนี่หากินยากอยู่ เมื่อก่อนเขาใช้ในงานมงคล พวกงานแต่งงานนี่แหละ” คนท้องอธิบายไม่ได้คิดอะไร แต่คนฟังเผลอคิดไถลไปไกลจนผุดรอยยิ้มออกมา

“ยิ้มอะไรพี่วิน”

“พี่ยิ้มเมียพี่ทำขนมแต่งงานของเราน่ะ”   

“พี่คิดอะไรของพี่เนี่ย เพ้อเจ้อ เสร็จแล้วเดี๋ยวพี่ณัฐพี่ดินก็จะได้กินเหมือนกัน” คนท้องทำหน้าปุเลี่ยน เอ่ยดับฝันอีกคนสลายเสียป่นปี้ ยิ่งชื่อสุดท้ายยิ่งแสลงหู

“กานต์ไม่อยากแต่งกับพี่ ไม่อยากอยู่กับพี่หรือครับ” สีหน้าหมาตัวใหญ่หูลู่หางตกดูแล้วก็น่าสงสารอยู่หรอก กับคนที่มีแต่คนห้อมล้อมอยากเข้าหามาตลอด แต่พอยัดเยียดตัวเองมาอยู่ที่นี่ ถูกไล่เช้าไล่เย็น บ่อยเข้าก็เริ่มน้อยใจเป็นเหมือนกัน

“ไม่คุยกับพี่แล้ว จะกินไหมขนมจีบ” รพีกานต์เฉไฉนอกเรื่อง วูบหนึ่งที่ความรู้สึกสงสารแล่นเข้ากระทบใจ สายตาคมของเขา สายตาที่รพีกานต์เคยปรารถนาเป็นเจ้าของครอบครองไว้เพียงผู้เดียว สายตาที่หมายมาดให้เพ่งตรงที่คนเพียงคนเดียว ยามนี้สายตานี้สะท้อนภาพตนเองแล้ว กลายเป็นรพีกานต์เสียเองที่ไม่กล้าสบตาเขาโดยตรง กลัวความรู้สึกในยามอดีตที่เคยกักเก็บไว้จะทำให้เผลอใจอ่อน

“พี่ไม่กินก็ได้ เดี๋ยวกานต์จะเหนื่อย กานต์เมื่อยไหม เดี๋ยวพี่นวดให้ พี่ดูจากอินเทอร์เน็ต บางทีคนท้องก็มีอาการเหน็บที่ขา ให้พี่นวดให้นะ” อัครวินท์กระวีกระวาดเอาอกเอาใจ เขารุนหลังคนท้องไปนั่งบนเก้าอี้นอน ส่วนตัวเองก็รีบกลับมาเก็บอุปกรณ์ไปแช่ไว้ตรงอ่างล้างจาน

“ล้างอุปกรณ์ให้เรียบร้อยก่อนพี่วิน” คนท้องติง บอกแล้วจึงลุกขึ้นหยิบมะม่วงตลับนากมาปอกเปลือก สายตาชำเลืองมองคนเงอะงะที่ดูแล้วน่าจะทำครัวพังเสียมากกว่าช่วย อัครวินท์ทำอะไรแบบนี้ไม่เป็นสักอย่าง แต่ท่าทางตั้งอกตั้งใจทำให้รพีกานต์ไม่ได้เอ่ยอะไรทำลายน้ำใจ ปอกมะม่วงไป ชำเลืองมองอีกคนไปเงียบ ๆ อัครวินท์ในยามนี้ช่างต่างจากมาดเจ้าชายที่เจอในตอนแรก ตอนนั้นผู้ชายคนนี้ดูเข้าถึงยากจนไม่น่าเชื่อ

“เสร็จแล้ว” เสียงร่าเริงปลุกสติคนท้องจากภวังค์ ร่างใหญ่ปราดเข้ามาหา ทิ้งคราบน้ำกระเซ็นเป็นหย่อม ๆ ไว้เบื้องหลัง รพีกานต์พยักพเยิดให้ดู ชายหนุ่มยิ้มเผล่รีบกลับไปถู แล้วจึงตามคนท้องไปที่ห้องนอน

รพีกานต์เอาหมอนใบใหญ่รองแผ่นหลังรออยู่บนเตียง เขาไม่ได้ตะแหง่แง่งอนมากมายจนดูน่ารำคาญ อัครวินท์อยากทำอะไรก็ตามใจ แต่รพีกานต์ก็ไม่ได้แสดงท่าทีสนใจเท่าไรนัก ถามคำตอบคำแบบขอไปที ในความมึนตึงเล็ก ๆ พูดจากันน้อยคำ พ่อเจ้าแฝดอดทนกับความเฉยชาสูงกว่าที่คิด เหมือนจะรู้ตัวว่าถูกแกล้งเพื่อไล่กลาย ๆ อย่างนั้นแล้ว รพีกานต์ประชดประชันอะไร เจ้าตัวก็เพียงทำหูทวนลม เฉยเสีย ให้คนท้องเหนื่อยไปเอง

มือหนานวดไปตามต้นขา สายตาอาทรส่งให้ไม่ขาด ท้องกลมโตจนโย้ เวลาเดินจะดูแอ่นหน่อย ๆ อัครวินท์ชอบยามที่ยื่นใบหน้าแนบท้องฟังเสียงดิ้นของสามแฝด ฟังเสียงแล้วก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้อีกคน สว่างสดใสทั้งดวงตาและรอยยิ้ม รพีกานต์หลบสายตาเปี่ยมความหวังเสมองไปนอกหน้าต่าง เตือนตัวเองให้ใจแข็งอย่างที่สุด เพราะหัวใจไม่เคยเกลียดชังคนตรงหน้า ความพยายามจึงหนักหนาเอาการ

 ครู่หนึ่งจึงรู้สึกถึงสัมผัสแผ่วเบาบนหลังเท้า

“พี่วิน” รพีกานต์จะชักเท้าหนี แต่ภาพตรงหน้ากลับตรึงร่างกายไว้นิ่ง คนตัวโตประทับรอยจูบแล้วแนบแก้มตามไป ดวงตากลมสั่นไหว ความหวั่นหวิวแล่นเข้าจู่โจม เพราะเกลียดไม่ลง การทำใจให้แข็งจึงยากแสนยาก

“พี่ขอโทษ ขอโทษจริง ๆ” เสียงทุ้มพึมพำ ใบหน้ายังแนบแช่ไว้ที่หลังเท้า ในใจกำลังกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว กลัวที่จะเสียรพีกานต์ไป เพราะเขารู้ดีว่าผู้ชายคนนั้นจะดูแลคนตรงหน้าได้ดี คนที่เห็นคุณค่าดวงแก้วที่เขาทำหลุดมือไป ที่ทำได้คือยื่นให้สุดแขนเพื่อคว้าเอาคืน ยื้อเอาไว้ด้วยความดื้อดึง ความเย็นชาที่รพีกานต์แสดงออกเสมือนเยื่อบางเบากางกั้นระหว่างกัน มันทำให้เขาหวาดกลัวอยู่ลึก ๆ อยู่หรือไปไม่ใช่เขาที่ตัดสิน

ก้อนเนื้อในโพรงอกด้านซ้ายบีบตัวด้วยความปวดหนึบ หยดน้ำใสหลั่งรินเงียบเชียบ บาดแผลที่มองไม่เห็นทรมานเขาช้า ๆ ลุกลามไม่ต่างจากมะเร็งร้าย

“กานต์ไม่ได้โกรธ กานต์แค่เสียใจ กานต์รักพี่เป็นคนแรก รักพี่คนเดียว แล้วกานต์ก็ต้องเสียใจด้วยน้ำมือคนที่กานต์รัก คนที่ไม่เคยมองว่ากานต์มีค่า พี่รู้ไหม มันจะง่ายมาก ถ้าพี่จะไม่กลับมาในชีวิตกานต์อีก จบเรื่องระหว่างเราแล้วต่างคนต่างมีชีวิตใหม่ พี่น่าจะดีใจนะ คนที่เข้ามาหากานต์ ไม่มีใครรังเกียจสามแฝดเลย”

“กานต์ หยุดไล่พี่เถอะนะ พี่ขอร้อง” เขาร้องขอเสียงสั่น หัวใจปวดแปลบจนน้ำตาไหล จับมือเรียวแนบแก้ม ดวงตาเว้าวอนจ้องมองผ่านความพร่าลางยังคนที่มองเขาราวคนแปลกหน้า มันเฉยชา ไร้ความเชื่อใจเสียจนเขาไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยคำขอให้ยกโทษ ยังเหลืออยู่ไหมนะ ความรักในใจรพีกานต์ ทั้งผลักไสและไม่เปิดใจรับ รอยยิ้มวันวานเปลี่ยนเป็นความแห้งผาก เฉยเมย แม้อยู่ใกล้กันเพียงสัมผัส แต่หัวใจกลับทุรนทุรายเหลือเกิน

“กานต์อยากอ่านหนังสือเงียบ ๆ ถ้าพี่เบื่อนวดแล้ว อยากไปทำอะไรก็ไปเถอะ” รพีกานต์เบือนหน้าหนี ตัดบทด้วยการหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิดอ่าน เมินเฉยต่อน้ำตาอ้อนวอนให้ปรานี

ไล่พี่อีกแล้ว

แม้มองด้วยสายตาตัดพ้อสักแค่ไหน รพีกานต์ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขามากไปกว่าหนังสือในมือ ทุกสิ่งอย่างสำคัญและมาก่อนเขาเสมอ คนท้องเฉยชาได้แม้กระทั่งน้ำตาที่ไม่เคยหลั่งให้ใครเห็น อัครวินท์เสียใจ ได้แต่บอกกับตัวเองว่าเสียใจเหลือเกิน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากปล่อยมือ

 โน้ตแผ่นเล็กสอดไว้ข้างในหนังสือเป็นลายมือคุ้นตาของพ่อ รพินทร์ส่งหนังสือเรื่องเวียงกุมกามให้บุตรชายก่อนออกเดินทาง รพีกานต์เพิ่งเปิดเห็นโน้ตนั้น หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อเจอประโยคสื่อความนัยในโน้ต

 “จงรักเสีย เมื่อเป็นเวลาแห่งรัก ไม่นานนัก ให้แสนรักก็ต้องลา...”

เนื้อความจับจิตจับใจตามสไตล์นักประพันธ์ชั้นครูนามปากกาทมยันตี นี่คือสิ่งที่บิดาอยากสื่อ ดวงตากลมมองเลยแผ่นโน้ตไปยังคนที่ยังคอยนวดให้เงียบ ๆ ท่าทางเซื่องซึมจนไหล่ลู่ลงเหมือนคนท้อแท้สิ้นหวัง

 จะมีสิ่งใดทำร้ายจิตใจได้เท่าคำพูดร้ายกาจที่มนุษย์มอบให้แก่กัน คมปลาบปวดแปลบเสียยิ่งกว่าใบมีดใด ๆ พลานุภาพทำล้างทำลายหนักหนาสาหัสเสียยิ่งกว่าขีปนาวุธ คำพูดเป็นทั้งน้ำทิพย์ชุบชีวิตและปลิดชีพคนได้ง่ายดายราวใบไม้ปลิดขั้วร่วง และรพีกานต์ก็เลือกสาดคำพูดเสียดแทงให้คนตรงหน้า มล้างทำลายให้เขาเจ็บปวดเหมือนตนเองเคยเจอ อัครวินท์ที่เคยสง่างามทะนงในตัวเอง เวลานี้กลับดูเลื่อนลอยเหมือนคนสูญสิ้นความหวังทั้งหมดของชีวิต

ถามหัวใจตัวเองเถิด สาแก่ใจจริง ๆ ไหมที่เห็นน้ำตาอีกคน

คำตอบคือไม่เลย

“จงรักเสีย เมื่อเป็นเวลาแห่งรัก ไม่นานนัก ให้แสนรักก็ต้องลา...”

คำย้ำเตือนเสมือนให้ได้ยินเสียงกระซิบข้างใบหู รพีกานต์กัดริมฝีปากด้วยความสับสน ความเชื่อใจที่เกิดรอยร้าว มันยากที่จะผสาน จะสรรหาความเข้มแข็งจากไหนให้กลับมาเชื่อใจในคนเดิม เพราะรพีกานต์นั้นขี้ขลาดเกินกว่าจะทำ เหมือนสัตว์บาดเจ็บที่มักเข็ดกับคนที่เคยทำร้าย เขาทั้งขี้ขลาดและหวาดกลัวเหลือเกิน


วันเวลายังเลื่อนผ่านไปด้วยความซื่อสัตย์ ยาวนานเชื่องช้าสำหรับหัวใจคนทรมาน เหมือนสะพานที่ทอดยาวไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย เวลาเป็นใจแต่อีกคนไม่เปิดใจ อัครวินท์จึงถูกความทรมานกัดกินช้า ๆ อ้อมกอดน้ำตาไหลมาในบางคราว ความรู้สึกฝืดเฝื่อนยามพยายามกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงคอด้วยความน้อยใจ กระนั้นก็ไม่กล้าให้คลาดสายตาไปอีก

อัษศดิณย์ยังแวะเวียนมาหา ความรู้สึกราวอากาศธาตุไร้ความสำคัญกัดกร่อนหัวใจเช่นนี้เอง ทุกอย่างย้อนคืนในสิ่งที่เขาเคยทำกับคนที่รักเขาตอนนั้น วันนั้นที่เคยทรยศหักหลังต่อความรักในมือ ในวันนี้รพีกานต์ไม่ได้หักหลัง มันยังทำให้เขารู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดได้ขนาดนี้ หัวใจและร่างกายที่เคยแกร่งดุจหินผา ตอนนี้มันโงนเงนง่อนแงนเหมือนพร้อมจะพังทลายลงทุกเวลา ให้คนที่รักออกปากขับไล่ไสส่งยังจะเจ็บน้อยกว่านี้ กระนั้นหัวใจดื้อรั้นก็ยังค้านชนฝา

“ไม่ได้นะเว้ย ถ้ายอมแพ้ง่าย ๆ ตอนนี้ กานต์ก็จะเห็นว่ามึงไม่มีความอดทนอะไรเลย กานต์จะไม่มีทางเชื่ออย่างเด็ดขาดว่ามึงอยากได้กานต์คืนจริง ๆ” เขาแอบมาชกต้นไม้ระบายอารมณ์ คิดโง่ ๆ ว่าเผื่อมันจะช่วยย้ายความเจ็บปวดในใจไปไว้ที่อื่นได้บ้าง เขาเจ็บ...ที่รอยยิ้มที่คนที่รักไม่ได้มีไว้ให้เขา

รอด้วยความอดทนโดยไม่เข้าไปก่อกวน เขาให้เกียรติคนที่เขารัก เพราะหลังจากอัษศดิณย์กลับไปแล้ว เวลาที่เหลือยังเป็นของเขา ใช่ ยังเป็นของเขา รอยยิ้มขมขื่นประโลมหัวใจอ่อนล้า ได้แต่หวังว่ามันจะไม่นานจนเกินไปนัก รักให้ชีวิต รักก็คร่าชีวิตได้เช่นกัน แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของรัก

“กานต์ รินอยากคุยด้วย เราเฟซไทม์คุยกับรินกันนะ รินอยากเห็นว่าตัวเล็กโตแค่ไหนแล้ว” เขากระวีดกระวาดบอกด้วยความดีใจเมื่อรพีกานต์กลับเข้าห้องมาเสียที

“พี่ดินเอาขนมมาฝาก มีเผื่อพี่ด้วย”

“ได้ ๆ กานต์อยากกินใช่ไหม งั้นกานต์ไปนั่งรอก่อนนะ เดี๋ยวพี่จัดใส่จานให้ แล้วเราจะคุยกับรินกันนะ” เขารับขนมมา กุลีกุจอหาจานมาใส่แล้วรีบตามคนท้องไป เก้าอี้ไม้ตัวเล็กถูกขยับมาข้างเตียงสำหรับวางจานขนม อัครวินท์ตบปุ ๆ ให้คนท้องนั่งตรงตำแหน่ง มือกดโทรออกแล้วเสียบโทรศัพท์เข้ากับขาตั้ง กะระยะให้มองเห็นกันถนัด

“หวัดดีพี่ชาย กานต์ด้วย” ไอยวริญท์ฉีกยิ้มทักทายด้วยความตื่นเต้นดีใจ อัครวินท์กลับไปนั่งซ้อนหลัง เขาฉีกขาออกเพื่อรับร่างอวบมาไว้ตรงกลาง มือสวมกอดท้องกลมพลางฉีกยิ้มตอบ

“ริน หลานรินดิ้นใหญ่เลยในท้อง”

“หูย ตื่นเต้น กานต์ไม่พูดอะไรบ้างล่ะ แล้วนี่จะคลอดเมื่อไร อยากไปหาจัง” ไอยวริญท์ส่งเสียงเจื้อยแจ้วพลอยตื่นเต้นไปด้วย

“ลูกแฝดมักคลอดก่อนกำหนด หมอบอกให้พยายามพยุงให้ได้สักสามสิบสี่วีค เราคงแอดมิตเข้าไปรอคลอดที่โรงพยาบาลแหละ ท้องโตคงเดินไม่ค่อยไหวแล้ว”

“กานต์อย่าว่ารินยุ่งเลยนะ ไหน ๆ พี่วินก็หากานต์เจอแล้ว คราวนี้คงไม่ปล่อยให้หนีอีกแน่ ๆ รินว่ากานต์มาคลอดที่นี่ดีไหม ญาติเรามีโรงพยาบาลอยู่ ติดต่อให้ดูแลกานต์ได้สบายเลย ให้พวกเราดูแลกานต์เถอะนะ ถือว่าชดเชยที่พี่ชายไม่ได้เรื่องของเราก่อเรื่องกับกานต์ไว้ อันนี้พี่วินบอกเราให้คุยกับกานต์ให้ บอกเองกลัวกานต์ไม่ยอม แต่เราอยากให้กานต์มาที่นี่นะ ครอบครัวเราอยากชดเชยอะไรให้กานต์บ้าง ให้พวกเราดูแลกานต์เถอะ นี่ปู่ก็เตรียมส่งเครื่องส่วนตัวไปรับ รอแค่กานต์ตกลง กานต์มาเถอะนะ” ไอยวริญท์เริ่มขบวนการเกลี้ยกล่อม คนท้องนกรู้ตวัดสายตามองคนข้างตัว อัครวินท์ยังไม่ตกปากรับคำกับข้อตกลง และตอนนี้ดูเหมือนคนเจ้าเล่ห์จะวางแผนบางอย่าง

“กานต์รู้นะว่าพี่จะกันกานต์ออกห่างพี่ดิน แล้วพี่ก็ยังไม่รับปากกับข้อตกลงของเรา”

“ที่นี่อากาศดี เราอยากพักพักผ่อนอยู่ที่นี่มากกว่า อีกอย่างเปิดเทอมพี่วินก็ต้องกลับไปเรียน คงไม่ได้อยู่ตอนคลอด” คนท้องตัดรอน คนพยายามหาพวกเลยได้แต่จ๋อย

“งั้นรินไม่บังคับกานต์ก็ได้ แต่รินขอเบอร์ใหม่กานต์หน่อยซี มีเรื่องอยากปรึกษาแบบส่วนตัวน่ะ” ไอยวริญท์อ้อมแอ้มคุย สายตาหลุกหลิกผิดปกติ

“ก็ปรึกษาไปซี ทำอย่างกับพี่ไม่รู้เรื่องพี่ฉายฉาน ลูกชายเอกอัครราชทูต” อัครวินท์ขัดคอน้องสาว ไม่มีเสียละที่เขาจะออกไป

“พี่วินอย่ามาล้อรินนะ เรื่องแบบนี้เพื่อนเขาปรึกษากัน” ไอยวริญท์ค้อนให้ เพียงเท่านี้รพีกานต์ก็เข้าใจในเรื่องที่อีกฝ่ายอยากคุย คนท้องยังจำพี่ฉายฉานคนนั้นได้ หน่วยก้านนับว่าไม่เลวเลย อุปนิสัยและหน้าตาดีทีเดียว

“ถ้าพี่วินไม่ดื้อ กานต์จะพูดกับพี่ดี ๆ ตกลงไหม” รพีกานต์ต่อรองคนที่อิดออดไม่ยอมไป สุดท้ายคนตัวใหญ่เลยยอมแต่โดยดี

“โห กานต์เจ๋งชะมัด ปราบพี่วินเสียราบคาบ”

“ช่วงโปรโมชันน่ะริน เอาละ มาเรื่องที่รินอยากคุย พี่ฉายฉานนี่ใช่คนเดียวกับเดือนรัฐศาสตร์มอเราไหม” แล้วสองเพื่อนก็เริ่มพูดคุยเรื่องหัวใจ ในขณะที่คนตัวใหญ่ก็ยังวางแผนเรื่องเกลี้ยกล่อมรพีกานต์ให้กลับไปคลอดที่บ้านอยู่ดี เพราะรู้ว่าหากตนเองเปิดเทอม โอกาสอยู่ด้วยกันคงน้อยลงตาม

Tru Tru Tru

“ครับพ่อ กานต์คุยกับรินอยู่น่ะครับ” อัครวินท์รับโทรศัพท์ของรพีกานต์แทน หลังเห็นหน้าจอโชว์สายเรียกเข้าเป็นเบอร์โทร.ของรพินทร์

“วิน บอกกานต์หน่อยนะ หลวงตามรณภาพแล้ว นี่พี่ณัฐก็ว่าจะบวชให้ไปจนเปิดเทอมโน่นเลยถึงจะสึก พ่อคงอยู่ที่นี่อีกหลายวัน วินดูแลน้องไปก่อนนะ” ฟังที่รพินทร์เล่ามาแล้วอัครวินท์ก็เริ่มคิดแผนพาคนท้องกลับออก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาคงต้องขอความช่วยเหลือจากรพินทร์อีกแรง

“พ่อครับ ผมมีเรื่องอยากให้พ่อช่วยหน่อย พ่อช่วยผมหน่อยนะครับ” เขาขอร้องอีกฝ่าย พอจับความรู้สึกได้ว่ารพินทร์ไม่ได้ต่อต้านเขา หากพูดจากันดี ๆ ก็ไม่ยากที่รพินทร์จะรับฟัง

ด้วยการเกลี้ยกล่อมจากหลายคน สุดท้ายรพีกานต์ก็ได้กลับบ้านอีกครั้ง สาเหตุหลักเพราะคนท้องอยากมาไหว้ศพหลวงตาที่เห็นกันมาแต่เล็กแต่น้อย หลวงตาท่านอาพาธมาพักหนึ่งแล้วและตอนละสังขารท่านก็จากไปอย่างสงบ เป็นห่วงก็แต่พี่ณัฐที่ดูจะซึมไป หลังจากพูดคุยปรึกษากันก็ได้ความว่าหลังเสร็จงานศพหลวงตา พี่ณัฐจะบวชต่อจนใกล้เปิดเทอมจึงจะสึก

เช้าตรู่อากาศสดชื่น หลวงพี่บวชใหม่เดินบิณฑบาตกรายมาหน้าบ้าน รพีกานต์และอัครวินท์ยืนสำรวมรอใส่บาตรให้ท่าน สีหน้าหลวงพี่ผ่องใสขณะให้ศีลให้พร จริยวัตรของท่านงดงามน่าเลื่อมใส อัครวินท์รู้สึกอิ่มเอิบอย่างบอกไม่ถูกที่ได้ทำบุญใส่บาตรร่วมกับรพีกานต์ หากไม่ได้หลวงพี่ท่านช่วย ทุกวันนี้เขาคงยังทุกข์ใจกับการหาคนรักไม่เจอ สายตาขอบคุณที่ส่งให้ตอนใส่บาตร หลวงพี่ท่านคงรู้สึกได้ จึงได้ยิ้มบางส่งให้

“ถ้าไม่ได้หลวงพี่ท่านช่วย พี่คงหากานต์ไม่เจอง่าย ๆ”

“พี่วินน่าจะปล่อยให้กานต์ได้ไปเจอคนดี ๆ ว่าไหม” คนท้องแหย่หน้าตาย

“ไม่ อย่างกานต์ต้องอยู่กับพี่เท่านั้น” ใบหน้าหล่อเหลาจริงจัง ไม่ยอมรับมุกโดยง่าย

“ข้อตกลงของเรา หวังว่าพี่จะไม่ลืม” รพีกานต์ย้ำคำ รู้ว่าอีกฝ่ายจะบิดพลิ้วด้วยการไม่รับยอมรับปาก เกิดความเงียบขึ้นระหว่างทั้งคู่ รพีกานต์ผละเข้าบ้านไป เวลาระหว่างกันร่นใกล้เข้ามาทุกที

.

.

“อือ พี่วิน กานต์ปวดท้อง” รพีกานต์ร้องเรียกคนมานอนเฝ้า ตอนนี้เขาแอดมิตรอคลอดที่โรงพยาบาลแล้ว คุณหมอท่านนัดผ่าคลอดอีกสองวันข้างหน้า แต่วันนี้เขาปวดท้องขึ้นมาเสียก่อน

“พี่วิน” รพีกานต์หน้าซีด ท้องโย้โตจนน่ากลัว เขาเดินเหินแทบไม่ไหว อัครวินท์เด้งผึงจากที่นอนเมื่อได้ยินเสียง เขารีบผลุนผลันเข้ามาหา

“กานต์ กานต์จะคลอดแล้วหรือ เดี๋ยว เดี๋ยวพี่กดเรียกหมอให้” อัครวินท์ตื่นเต้นจนมือสั่น เขาสวมกอดท้องโย้ จูบขมับให้กำลังใจขณะรอ


ถ้าจะมีอะไรตื่นเต้นที่สุดในชีวิตของผู้ชายที่ชื่ออัครวินท์ อิศวัชร ก็คงต้องบอกว่าตอนนี้แหละที่ตื่นเต้นที่สุดในชีวิต ก้อนเนื้อในโพรงด้านซ้ายเต้นโครมคราม มือเย็นเฉียบชื้นเหงื่อขณะกุมมือให้กำลังใจคนรัก สายตารอคอยการได้เจอเด็กน้อยสายเลือดตัวเอง ทั้งลุ้นทั้งกระวนกระวาย ยามเห็นหมอลงมีดกรีดผิวเนื้อ ยอมรับว่าแทบหยุดหายใจไปเหมือนกัน

“กานต์เจ็บไหม” อัครวินท์ถามเสียงสั่น ทั้งตื่นเต้นทั้งลุ้นทั้งรู้สึกเจ็บแทน รพีกานต์ส่ายหน้าปฏิเสธเพราะถูกบล็อกหลังระหว่างคลอด อัครวินท์มองดูทุกอย่างด้วยความตื่นเต้น มีคุณพยาบาลคอยถ่ายวิดีโอไว้ให้

“อะ ออกมาแล้วกานต์” น้ำเสียงตื่นเต้นปลื้มปริ่มเต็มที่ยามมองเด็กตัวจ้อยถูกควักออกจากท้อง เสียงคุณหมอขานบอกเวลา อัครวินท์กุมมือนุ่มแน่นขึ้นจนสั่น

“คุณพ่อร้องไห้แล้ว” เสียงพยาบาลเอ่ยแซว อัครวินท์เพิ่งรู้สึกถึงความเปียกชื้นที่แก้มตอนนั้นเอง เขายิ้มทั้งน้ำตา ยังควบคุมอาการตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ มือหนายกมือบางขึ้นจูบ สายตายังคงมองลุ้นการทำคลอดอย่างต่อเนื่อง

“พี่วินยังไม่ลืมที่กานต์เคยขอใช่ไหม” จู่ ๆ รพีกานต์ก็เอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าเฉยชา

“กานต์...” เขามองอีกฝ่ายอย่างคาดไม่ถึง ไม่คิดว่ารพีกานต์จะทวงถามกันในยามนี้

“พี่ดินกำลังจะมาที่นี่ รบกวนพี่วินไปรับให้หน่อยนะครับ กานต์จะแต่งงานกับพี่ดิน แล้วพี่วินก็ไม่ต้องมาให้กานต์เห็นหน้าอีก ถือว่ากานต์ขอ...เพื่อลูก”

“กานต์...” เหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจ อัครวินท์ตัวช้าดิก ใบหน้าซีดเผือด แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน น้ำตาที่หลั่งด้วยความโสมนัสอย่างสุดซึ้งกำลังกลายเป็นน้ำตาแห่งความอาดูรอย่างที่สุด

“คุณพ่อถ่ายรูปกับสามแฝดนะคะ” พยาบาลยิ้มให้ด้วยความเอ็นดูคุณพ่อมือใหม่ เข้าใจว่าเขาดีใจจนร้องไห้ ใช่ เขาดีใจจนร้องไห้ในคราแรก แต่ตอนนี้เขาหลั่งน้ำตาเพราะดวงใจถูกควักออกไป


“กานต์...ใจร้าย” น้ำตายังหลั่งไม่ขาดสาย มันคงจะกลายเป็นสายเลือดขึ้นมาจริง ๆ หากเขายังคงร้องออกมาไม่หยุด อัครวินท์ขับรถไปด้วยความเสียใจ ความรู้สึกเดียวกับรพีกานต์ยามเห็นเขาหักหลังกันในคราวนั้น คราวที่กานต์รถคว่ำ
บนถนน ฝนไม่ได้ตก แต่การมองเห็นของเขามันพร่าเลือนเกินกว่าจะมองเห็นสิ่งใดชัดเจน ปลายทางช่างบีบรัดหัวใจเขานัก ไปรับใครอีกคนมาทำหน้าที่คนรักและพ่อของลูกแทนเขา ใจเอ๋ย มันจะขาดรอน ๆ ก็คราวนี้

ปี๊นนน

โครม !

“จงรักเสีย เมื่อเป็นเวลาแห่งรัก ไม่นานนัก ให้แสนรักก็ต้องลา...”


มือเปื้อนเลือดค่อยขยับเชื่องช้า ชื่อของคนที่รักถูกจารึกด้วยอักษรโลหิตบนกระจก ให้รู้ว่ารักสุดหัวใจจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต

“กานต์”

“พี่รักกานต์” เสียงเบาหวิวแผ่วเบาเหลือเกิน มันคือกำลังเฮือกสุดท้ายที่เขารวบรวมเปล่งออกมา แม้คนที่รักจะไม่ได้อยู่ฟังก็ตาม
น้ำตาสองสายไหลหยาดบนดวงหน้า ร่างกายเกร็งกระตุกอยู่สองสามหนก่อนแน่นิ่งไป นัยน์ตาทั้งคู่ยังคงเหลือกค้างด้วยใจยังอาวรณ์เหลือคณา แต่สุดทานกำลังจะต้านไหวแล้ว ลมหายใจบางเบากลับไขว่คว้าไว้ได้ยากเย็น

ลูกจ๋า พ่อไม่ได้อยากจากหนูไปเลย

โลหิตเปรอะนองท่วมร่าง ยามที่ลมสายหนึ่งพัดพาไปไกลแสนไกล เวลาปรานีเขาได้เท่านี้เอง

กลิ่นน้ำมันฉุนกึก ตามด้วยเสียงระเบิดดังสนั่น พระเพลิงเริงโรจน์ฉาน ผลาญเผาร่างเขามอดไหม้ในเปลวเพลิง
จบแล้วกับการชดใช้

กานต์พอใจแล้วใช่ไหม คนดี

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

ต่อด้านล่างค่า
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: Moony_Darling ที่ 15-05-2018 08:31:31
เฮือก!

“พี่วิน!” รพีกานต์สะดุ้งเฮือก ใจหวิวเหมือนดิ่งวูบลงจากที่สูง นัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความตกใจสุดขีด จนเผลอร้องตะโกนออกมาเสียงดังลั่น

“กานต์ กานต์เป็นอะไรครับ” อัครวินท์ลุกพรวดจากที่นอน กระวีกระวาดเข้ามาประคองคนท้องซึ่งใบหน้าเผือดสี เหงื่อเม็ดเล็กผุดซึมแถวขมับ รพีกานต์หันใบหน้าตกใจมามอง มือจับสองแขนอีกฝ่ายเขย่าเพื่อยืนยันว่าตนเองไม่ได้ฝันไป

“พี่ยังอยู่ นี่ นี่ไม่ใช่ความฝันใช่ไหม” เสียงนั้นสั่นเครือด้วยความหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ ถามย้ำให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันไป

“พี่ยังอยู่ ยังอยู่ตรงนี้ กานต์ฝันร้ายหรือครับ” อัครวินท์ปลอบประโลมคนท้องที่น้ำตาไหล จู่ ๆ ก็ร้องไห้เป่าปี่จนเขาพลอยตกใจไปด้วย

“ฮึก! พี่วิน กานต์ขอโทษ ขอโทษที่ไล่พี่ กานต์ไม่ได้ต้องการชีวิตใครมาชดใช้” รพีกานต์สะอึกสะอื้น ในอกกระเพื่อมไหวด้วยความตกใจระคนเสียใจ ด้วยภาพฝันนั้นชัดเจนเหลือเกิน อัครวินท์ที่เลือดท่วมตัว ร่างจมในกองเพลิงระอุ นั่นไม่ใช่สิ่งที่รพีกานต์ต้องการสัดนิด

“กานต์ใจเย็น ๆ นะครับ ทำใจเย็น ๆ พี่อยู่ตรงนี้ อยู่กับกานต์นี่ไง ไล่ยังไงก็ไม่ไป ในฝันนั่นตัวปลอมแน่ ๆ” อัครวินท์พยายามปลอบ เขาไม่รู้คนท้องฝันอะไรถึงได้หวีดร้องขึ้นมากลางดึก แต่คงไม่ใช่ฝันที่ดีนัก รพีกานต์ถึงได้ตัวสั่นระริก น้ำหูน้ำตาไหลขนาดนี้ แขนหนากอดกระชับ ริมฝีปากจรดจูบหน้าผากปลอบโยนให้เย็นลง

“พี่อยู่ตรงนี้กับกานต์เสมอนะ อย่ากลัว พี่ไม่ไปไหนหรอก” ปลอบกันอยู่สักพักจนรพีกานต์คลายเสียงสะอื้น คนท้องจ้องมองเขาเต็มสองตาให้แน่ใจว่าอัครวินท์ยังอยู่ มองอยู่ครู่ใหญ่จึงเอ่ยเสียงสั่น

“กานต์ฝันว่ากานต์คลอดน้องแล้วก็ไล่พี่ไป พี่วินเสียใจจนรถคว่ำ มัน...น่ากลัวมากเลย” ฝันนั้นยังติดตาจนนึกกลัว

“มันแค่ความฝันเนอะ ฝันร้ายจะกลายเป็นดี พี่วินตัวเป็น ๆ ไล่ไม่ไปหรอก จะดื้อด้านอยู่กับกานต์กับลูกอย่างนี้แหละ” เขาจูบปากนิ่ม คนท้องฝันร้ายจนน่าสงสาร ฝันแบบไหนนะ รพีกานต์ถึงได้ขวัญเสียขนาดนี้

“กานต์...ไม่ได้รักพี่ดิน กานต์เคยพยายามเพราะพี่ดินเป็นคนดี”

“ถ้ากานต์จะรักคนอื่นก็เพราะพี่มันแย่ แต่ตอนนี้พี่ขอแค่โอกาสพิสูจน์ให้กานต์เห็นว่า คนแย่คนนี้พร้อมแก้ไขตัวเอง เพื่อ ‘เรา’ เพราะงั้นพี่จะไม่ไปไหนไกลจากกานต์ กานต์ให้โอกาสพี่นะ”

“ถ้าให้แล้วอย่าใช้มันเปลือง ถ้าพี่หมดรักกานต์ พี่ต้องบอก ไม่ใช่หักหลังย่ำยีความรู้สึกกัน ทำได้ไหม”

“พี่สัญญา”

“อย่าสัญญา แค่ทำให้กานต์เห็นก็พอ คำสัญญา ใคร ๆ ก็พูดได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้”

“ขอบคุณกานต์ ขอบคุณที่ยอมให้โอกาส ขอบคุณจริง ๆ” อัครวินท์กอดคนรักด้วยความดีใจ หลังพยายามมาหลายวิธี สุดท้ายเขาต้องขอบคุณฝันร้ายใช่ไหม ที่ทำให้รพีกานต์ยอมเปิดใจให้โอกาส

ฝันร้ายที่กลายเป็นดี

ขอบคุณความรักที่กลับคืนมา



“โอะ พี่วิน กานต์ปวดท้อง”

“หา! ปวดท้อง! ยะ อย่าบอกนะว่าจะคลอด  ดะ เดี๋ยวพี่กดเรียกหมอให้ ใจเย็น ๆ นะกานต์”

“เย็นไม่ได้แล้ว กานต์เจ็บ!”


จบจ้า
 
:mc4: :mc4: :mc4:


 สารภาพว่าตอนแรกเขียนให้วินตาย เขียนค้างไว้หลายวันแล้ว สุดท้ายตัดสินใจให้โอกาส เพราะอยากให้เรื่องนี้เป็นนิยายรักภาษาหวาน ไม่ได้อยากให้ดราม่า
วินเลยเหมือนหางจิ้งจกที่งอกออกมากระดี้กระด๊าได้ใหม่ หลังถูกมึนตึงมาสองเดือนกว่า กานต์ท้องเข้าเดือนที่เจ็ดนะคะตอนรินกล่อมให้กลับกทม. อายุครรภ์ยังไม่ถึง 28 วีค
 เราสร้างตัวละครกานต์ให้ไม่ใช่คนใจร้ายหรือใจแข็งมากมาย น้องไม่ใช่คนปากร้ายโวยวาย แต่ยามน้องตัดขาดก็ fun ชายวินแล้วชิ่งหนีได้แบบไม่บอกไม่กล่าว สารภาพว่าตอนจบแรกคือวินมันรถคว่ำตายค่ะ เขียนทิ้งไว้หลายวันละ แล้วก็ลองทบทวนดูว่าจะให้ตายดีไหม สเปกผู้ชายที่เราชอบจริง ๆ เราชอบแบบพี่ดินนะ ซบอกแล้วคงจะก๊าวใจ
พล็อตแรกในความคิดมาในแบบหนึ่งนายกับสามชาย มีลูกแฝดกับวิน กับพี่ดินนี่ไม่ท้อง คนสุดท้ายพี่ณัฐเป็นแฝดชายหญิง แต่พอลงมือเขียน กานต์ทำให้เราซึมซับความรู้สึกและตระหนักได้ว่า การเริ่มต้นรักอาจไม่ยาก เพียงสบตาใครคนหนึ่งก็ทำให้ใจหวั่นไหว แต่การลืม ทั้งยากและทรมาน ยิ่งวินมันสร้างแลนด์มาร์กหย่อนไข่ไว้ให้ถึงสามคน ไม่ง่ายที่กานต์จะลืม ขณะที่เขียน เราซึมซับความรู้สึกรักของตัวละคร และพบว่ามันไม่ง่ายเลยจริง ๆ ถ้ากานต์ลืมวินได้ง่าย รักใครก็ได้ง่าย ๆ กานต์ก็แค่คนมากรักคนหนึ่ง ส่วนหนึ่งเราเคยเห็นคุณแม่ใบเลี้ยงเดี่ยวบางท่าน เมื่อเธอมีลูก เธอก็ไม่ได้โหยหารักอื่นอีก ทุ่มเททั้งหมดเพื่อลูก กานต์เองก็เป็นเคสนั้น พล็อตแรกที่วางไว้เลยล่ม กานต์เลยมีแค่วิน
แต่เราก็ไม่ได้ทิ้งแนวหนึ่งนายกับสายชายนะคะ เพียงแต่ไม่ใช่ Mpreg และตัวเรายังไม่พร้อมสำหรับ “สายบ่หยุดเสน่ห์หาย” (ชื่อของนิยายนอร์มอลเรื่องหนึ่งค่ะ มาจากลิลิตตะเลงพ่ายอีกที ชอบชื่อนี้เลยเอามาตั้งให้วาย แต่เนื้อหาไม่ได้ก๊อปปี้แต่อย่างใด) เราอยากไล่เขียนเรื่องอื่นน่ะ ดองนานละ

มาถึงตรงนี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามกันมา นิยายจะทำการรีไรต์อีกครั้ง รายละเอียดอื่น ๆ จะแจ้งความคืบหน้าทีหลังนะคะ



แถม :mew1:

หลังพายุสงบ เศษซากกระจัดกระจายเกลื่อนกลาดคือคำบรรยายในสิ่งที่ผ่านมาได้ดี

“ผมไม่ขอโทษหรอกนะ ผมรู้สึกได้ ว่าตอนนั้นพี่เองก็รู้สึกร่วมกันกับมัน” ศิรวัฒน์เอ่ยกับคนที่นั่งนิ่งมานานหลังสร่างเมา

“ฉันไม่ได้ต้องการคำขอโทษ แค่แกไปให้พ้นหน้าฉันตอนนี้ก็พอ” อัษศดิณย์ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง

“พี่เป็นเมี-”

“น้ำ! มันแค่อารมณ์เผลอไปก็เท่านั้น หยุดเซ้าซี้แล้วก็ออกจากห้องฉันไปได้แล้ว”

ขอบคุณที่ติดตามจ้า  :mc4:

หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 15-05-2018 08:55:11
 โล่งอกที่วินไม่ตายยังไงก็เป็นพ่อสามแฝดไม่อยากกานต์มากรักคือรักใครง่ายๆเกินไป :pig4: :pig4: :pig4:ยอมให้เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวกว่า
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 15-05-2018 09:40:16
อ้าว จบแล้วเหรอ?
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 15-05-2018 10:26:31
พี่ดินเป็นเมียน้องน้ำ ดีงาม ........ จริงคร้าบ มากที่สุด นุ้งกานต์ต้องรักเดียวใจเดียว ถ้าตามพล็อตเดิมก็น่าสนใจ อยากให้หลวงพี่นัฐสมหวังบ้าง ส่วนพ่อเลี้ยงดิน เป็นของน้องน้ำ ถูกกก ต้อง.แล้วจร้า. (ขอไปอ่านอีกที่นึงแล้วกันเนอะ เพราะอ่านมาตลอด da gan da ตอนนี้มีปัญหา เข้าบัญชีตัวเองบ่ได้ อีเมล์ที่ใช้สมัครเฟซถูกยกเลิกจากบริษัทเดิมซะงั้น)
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 15-05-2018 14:09:25
ว้า... อดเห็นหลานแฝดเลยอ่ะ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 15-05-2018 14:34:57
ตอนแรกช็อคมากนึกว่าพี่วินจะตาย
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 15-05-2018 15:30:57
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 15-05-2018 18:00:12
อ่านถึงตอนวินตายน้ำตาไหลตามเลย โชคดีที่แค่ฝันไป
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 15-05-2018 19:56:11
  :sad4: ใจร้าย ฮืออ ตอนวินโดนชนแล้วรถระเบิดน้ำตาคลอ

ฮืออ อีกรีพลายมาเราจะบ้า ผู้แต่งอ่ะ  :o12:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 15-05-2018 23:16:01
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 16-05-2018 00:02:49
ตอนวินรถคว่ำเราน้ำตามาเลย
พอเฉลยเท่านั้นแหละ อือหื้อ เบรกอารมณ์ไม่ทัน

อยากขอตอนพิเศษสามแฝดค่าา อิ้อิ้
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 16-05-2018 11:30:27
ตอนแรกนี่จะร้องไห้เลยนึกว่าพี่วินตาย กลายเป็นฝัน เฮ้อออ โล่งใจ ลดทิฐิรักกันดีกว่า  ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 16-05-2018 21:55:16


ขอบทให้สามแฝดอีกนิดขอรับ

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 16-05-2018 22:16:01
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 19-05-2018 21:25:34
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 23-05-2018 19:16:18
ไม่มีแฝดสามมาลั้ลลาหรอ  :ling1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 24-05-2018 21:39:13
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 04-06-2018 13:13:54
นึกว่าวินจะตายซะอีก ถ้าตายจริงคนเสียใจก็กานต์อีกนั่นแหละ ยังไงก็เจ็บเองอยู่ดี
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 06-06-2018 13:30:39
อ้าวจบแบบด้วนๆเลย
สามแฝดล่ะ ยังไม่ออกมาให้ลั่นล้าเลย
แถมพี่ดินเป็นเมียน้ำไปแล้ว
แล้วพี่นัฐล่ะ อยากให้พี่นัฐมีคู่
พี่นัฐน่าสงสารที่สุดในเรื่องนี้แล้ว
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: แมว ที่ 08-06-2018 01:55:14
เห็นคนเขียนบอกตอนแรกจะให้วินตาย งือออ ใจร้ายย แต่ก็ขอบคุณมาที่เปลี่ยนเป็นความฝัน :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 21-08-2018 19:59:49
เชียร์คู่น้องน้ำพี่ดินแทบตาย ดีใจ 5555
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: memozy ที่ 30-10-2018 16:45:28
จบแล้ว ลุ้มมาก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 27-11-2018 23:15:25
ภาษาบรรยายเหมาะกับนิยายพีเรียดมาก ๆ

 :L2:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: อยากอ่าน ที่ 04-12-2018 20:41:13
 สะ หนุก มาก

ฟังเพลงซ่อนกลิ่นไปอ่านไปน้ำตาไหลเป็นปี๊ป

ภาษาดีจังเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 29-01-2019 17:17:14
ชอบที่จบแบบ happy ending มากกว่าน้าาาา
ดรามา  มาพอประมาณ
สรุปชอบเรื่องนี้  ถ้า รีไรท์ จะติดตามต่อไป...
 :mew1: :katai2-1: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 13:56:05
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: AgotoZ ที่ 31-05-2020 21:31:52
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 01-06-2020 18:08:12
ตอนที่วินรถคว่ำน้ำตาไหลเลย สรุปไหลฟรีเลย :katai1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 02-06-2020 18:38:36
แวะมาอ่านใหม่อีกรอบหนึ่ง...คิดถึง...
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 06-06-2020 22:42:39
 o13
หัวข้อ: Re: เสน่หา...รักเอย {จบแล้วจ้า}{Mpreg}{P.๑๔}{๑๕/๐๕/๖๑}
เริ่มหัวข้อโดย: Freezz ที่ 19-06-2020 00:12:04
กานต์ น่ารักก