แต่สุดท้ายพอถึงหน้าคลินิกหญิงสาวก็ไม่กล้าเข้าไป...เธอขี้ขลาดเกินกว่าจะให้ตัวเองเสี่ยงอันตรายไปด้วย
พอมองสบดวงตาที่แสดงถึงชัยชนะนั่นญี่ปุ่นก็รู้ว่าตัวเองพ่ายแพ้แล้ว...เธอก้มหน้าลง ตอบรับเสียงสั่นเครือ
“ฉัน...ฉันยอมให้ตรวจดีเอ็นเอของลูก”
สิ้นเสียงแผ่วนั้นนับสืบร่างสูงก็เหยียดยิ้มออกมา “เป็นอันว่าตกลง ถ้าหากว่ามีการเล่นตุกติก ไม่มาตามนัด หรือทำอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้การตรวจดีเอ็นเอไม่สามารถทำได้ ภาพพวกนี้จะถูกแพร่ออกไป เข้าใจไหมครับ” การข่มขู่ที่พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆแบบนี้ทำให้ชินกรกัดฟันกรอด กวินไม่สบตาชายคนนั้น เขารู้แน่แล้วว่าตัวเองต้องโดนหมายหัว แต่แล้วไง เขาไม่ใส่ใจหรอก
เพราะเขาเตรียมแผนรับมือเอาไว้หมดแล้ว จะจัดการก็ต้องทำให้หมดจด ไม่ให้เหลือรอดมาทำร้ายตัวเอง
ตีงูก็ต้องตีให้ตาย
หลังจากการเจรจาครั้งนั้นพวกเดือนก็ลงไปให้สัมภาษณ์กับนักข่าว เขาตอบแค่สั้นๆว่าเพื่อความกระจ่างและความถูกต้องทางพวกเขาได้ตกลงกันแล้วว่าเมื่อเด็กเกิดมาจะมีการตรวจดีเอ็นเอ และเพื่อให้ทุกอย่างโปร่งใสที่สุด จะมีนักข่าวหนึ่งคนเข้าไปฟังผลตรวจกับพวกเขาด้วยและโรงพยาบาลที่พวกเขาจะตรวจดีเอ็นเอคือโรงพยาบาลรัฐที่มีชื่อเสียงมากที่สุดเพื่อป้องกันการปลอมแปลงผล และคลิปกล้องวงจรปิดของเดือนกับคลิปวิดิโอของญี่ปุ่นก็จะถูกส่งให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบว่าผ่านการตัดต่อมาหรือไม่ และนำมาเปิดเผยกันต่อหน้านักข่าวพร้อมกับผลดีเอ็นเอเลย
“ทั้งหมดนี่ก็เพื่อความโปร่งใส” สรัลพูดย้ำอีกครั้งก่อนจะขอจบการสัมภาษณ์ เดือนเดินเข้าไปหาพ่อกับแม่ที่ยืนรออยู่พร้อมดิน พวกท่านกอดเขาไว้แน่น ลูบหลังให้กำลังใจ
“ลูกเป็นคนซื่อสัตย์” แม่มะลิพูด แย้มยิ้มโล่งใจ “ความจริงที่ลูกพูดอยู่เสมอจะปกป้องลูก”
“ทำดีมากไอ้เสือ”
หญิงสาวร่างบางก้มมองนาฬิกาข้อมือก่อนอุทานออกมา “พ่อกับแม่ต้องกลับบ้านก่อนนะลูก พี่แก้วฝากซื้อกับข้าว บอกว่าจะเลี้ยงฉลอง ให้ชวนคนอื่นๆไปด้วยนะ” ผู้เป็นลูกพยักหน้ารับ ก่อนจะมองส่งพ่อกับแม่ออกไป เขาจึงหันมาหาคนรักที่ยืนรออยู่ ดินเดินเข้ามาจับมือเขาไว้ก่อนจะสอดประสานมือเข้ากับมือของเขา
“กลับบ้านกันนะครับ”
“อื้อ กลับบ้านกันเถอะ”
ระหว่างทางกลับบ้าน จู่ๆดินก็ถามขึ้นมา “พี่เดือนครับ พี่เดือนอยากมีลูกไหม” คำถามนั้นเรียกให้ดวงตาคมเหลือบมามองแวบหนึ่งก่อนหันไปมองถนนต่อ
“ถามทำไม หืม”
“อยากรู้ครับ” เดือนทำท่าคิดครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า “อื้อ พี่อยากมีลูก” มีเด็กตัวเล็กๆมาวิ่งเล่นในบ้าน ให้เขาสอนปั่นจักรยาน ให้ดินสอนวาดรูป ช่วยกันปลูกต้นไม้ แบบนั้นก็คงดีเหมือนกัน เดือนเหลือบมองดินที่เงียบไปแล้วก็เอื้อมมือข้างหนึ่งไปโยกศีรษะคนผมดำเบาๆ
“ดินขอโทษนะที่มีลูกให้พี่ไม่ได้”
“หยุดความคิดนั่นเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นพี่จะตี”
คนตัวโตเอ่ยเสียงดุ “พี่อยากมีลูก แต่ถ้าคนช่วยเลี้ยงไม่ใช่ดินก็ไม่อยากมีแล้ว...ไม่มีน้อง มันจะเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ได้ยังไง”
คนตัวเล็กไม่ตอบคำเขา แต่ดึงมือเขาไปแนบแก้มแล้วเอียงใบหน้าเข้าหาฝ่ามือใหญ่แบบอ้อนๆ “ว่าแต่ทำไมถามขึ้นมา ดินอยากมีลูกเหรอ”
“เปล่าครับ ดินแค่คิดว่าดินอาจทำให้พี่พลาดโอกาสในชีวิตไป” ดวงตาหลังกรอบแว่นฉายแววเศร้าสร้อยบางเบา “ดินท้องไม่ได้ มีลูกให้พี่ไม่ได้ ทั้งที่ถ้าพี่ไม่เจอดิน พี่ก็อาจได้เจอผู้หญิงดีๆ มีลูก...ให้พาไปโรงเรียน ให้สอนร้องเพลง ให้หัดปั่นจักรยาน...ดินแค่...แค่ทำให้พี่เสียโอกาสพวกนั้น ดินขอโทษ”
รอยยิ้มบางแตะแต้มบนริมฝีปากได้รูปของเดือน ชายหนุ่มอาศัยจังหวะที่รถติดไฟแดงหันมาจูบเบาๆที่ปลายจมูกของดิน
“พี่เองก็ทำให้ดินเสียโอกาสนั้นเหมือนกัน ในเมื่อไม่มีโอกาสกันทั้งคู่แบบนี้แล้ว เราก็ต้องดูแลกันดีๆแล้วไม่ใช่เหรอ” ชายหนุ่มโน้มใบหน้าไปจนปลายจมูกของเขาชนกับปลายจมูกรั้นเบาๆ “อย่าปล่อยมือกันก็พอ”
เดือนออกรถเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว เขาเงียบไปสักพักก่อนพูดขึ้น “แต่ว่า...ถ้าดินอยากเลี้ยงลูก เรารับเด็กสักคนมาเลี้ยงไหมล่ะ”
“เอ๋...จ...จะดีเหรอครับ” เด็กนะไม่ใช่ลูกหมาที่อยากเลี้ยงก็รับมาเลี้ยงได้เลย เขาเองก็ไม่มีประสบการณ์เลี้ยงเด็กมาก่อนนอกจากต้นข้าว...ซึ่งนั่นก็ผ่านมานานมากแล้ว
“เอ้า ก็ช่วยกันเลี้ยงสิ พี่เป็นพ่อ ดินเป็นแม่ ครอบครัวสุขสันต์จะตาย” คนถูกยัดเยียดตำแหน่ง ‘แม่’ มาให้แทบสำลักน้ำลายตัวเอง “ใครจะเป็นแม่ไม่ทราบครับ! ดินเป็นผู้ชายนะ ดินต้องเป็นพ่อสิ”
“อ้าวเหรอ ทีตอนอยู่บนเตียง...”
“ไม่อยากขับรถพุ่งชนต้นไม้ก็เงียบครับ”
ดินพูดแทรกเสียงดัง สองแก้มร้อนผ่าวจนต้องก้มหน้างุด แว่วเสียงคนตัวโตหัวเราะในลำคอก็ยิ่งอาย โถ่เว้ย อย่าให้ได้อยู่บนบ้างนะ เขาจะหัวเราะให้สะใจเลย!
หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้นญี่ปุ่นก็ถึงกำหนดคลอด ข่าวนี้นับว่าเป็นประเด็นร้อนที่ทุกคนจับตามองเพราะนั่นหมายถึงการตรวจดีเอ็นเอเพื่อพิสูจน์ว่าเดือนเป็นพ่อเด็กหรือไม่มาถึงแล้ว สรัลนัดหมายกำหนดการตรวจหลังการคลอดไปสามวันเพื่อให้แม่เด็กได้พักฟื้นก่อน
มันเป็นสามวันที่เดือนรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้าที่สุด คงจะจริงที่ว่าถ้าเรารอคอยอะไรบางอย่างเวลาก็จะผ่านไปช้ามากๆ
จนในที่สุดวันที่พวกเขาต้องไปตรวจดีเอ็นเอมาถึง นักข่าวรอกันอยู่ด้านหน้าโรงพยาบาลเป็นจำนวนมาก วันนี้เดือนมากับกุ๊กและอารัณย์ เขาไม่ได้พาดินมาด้วยเพราะไม่อยากให้น้องโดนนักข่าวรุม
เมื่อมาถึงนางพยาบาลก็พาพวกเขาขึ้นไปที่ชั้นสาม อันเป็นชั้นที่ญี่ปุ่นนอนพักฟื้นอยู่ นางพยาบาลนำพวกเขาไปที่ห้องผู้ป่วย เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบชินกรนั่งหน้าเครียดอยู่ในห้องกับญี่ปุ่นที่นอนนิ่งหันหน้าไปนอกหน้าต่าง ไม่สบตากับใครสักคน ข้างเตียงผู้ป่วยคือกระบะใสที่มีทารกเพศชายนอนหลับอยู่
“ขอโทษนะครับ” เดือนเอ่ยกับนางพยาบาลที่ยืนอยู่ในห้อง “เด็กคนนี้ชื่ออะไรเหรอครับ” นางพยาบาลสาวมีท่าทางลำบากใจ เธอหันไปมองชินกรก่อนลากสายตาไปมองญี่ปุ่นที่นอนนิ่งก่อนตอบเสียงแผ่ว “ดิฉันก็ไม่ทราบค่ะ” เดือนพยักหน้า ไม่ได้คิดอะไรให้มากความ
ทั้งสามคนนั่งลงบนเก้าอี้ที่นางพยาบาลจัดมาให้ อารัณย์มองญี่ปุ่นที่ไม่กระดิกตัว ไม่หันกลับมามองใครก่อนจะโน้มตัวลงไปกระซิบกับเดือน “เหมือนจะเป็นอาการซึมเศร้าหลังคลอดว่ะ” เดือนไม่ได้มองญี่ปุ่นแต่มองเด็กทารกอย่างสงสาร ดูเหมือนว่าเด็กน้อยจะไม่ได้รับการเอาใจใส่จากใครเลยนอกจากนางพยาบาล
เกิดมาโดยที่ไม่เป็นที่ต้องการของใครเลย...น่าสงสาร
เดือนมองเด็กน้อยคนนั้นพลันความรู้สึกหนึ่งเกิดขึ้นในใจ มันเหมือนกับว่า...เขาถูกชะตากับเด็กคนนั้น อาจเป็นเพราะความสงสารหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้เหมือนกับดิน...และเขาก็อาจจะเกิดความรู้สึกอยากปกป้องขึ้นมา
“คุณหมอให้พาพวกคุณไปรับการตรวจได้แล้วค่ะ” นางพยาบาลอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกกับพวกเขา เดือนหยิบเอกสารที่ต้องใช้ขึ้นมา เดินตามนางพยาบาลคนนั้นไปพร้อมกับนางพยาบาลอีกคนที่อุ้มเด็กทารกตามมา
หลังจากยื่นเอกสารและชำระเงินค่าตรวจเรียบร้อย พวกเขาก็ไปถ่ายรูปพร้อมกันโดยเจ้าหน้าที่ของหน่วย จากนั้นพวกเขาก็เข้ารับการตรวจโดยใช้วิธีป้ายเยื่อบุข้างแก้ม เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนการตรวจเจ้าหน้าที่ก็นัดให้พวกเขาเข้ามาฟังผลตรวจได้ในอีกประมาณสามอาทิตย์
หลังตรวจเสร็จกุ๊กก็โทรมาบอกให้เดือนออกไปรอที่ด้านนอกโรงพยาบาลเพื่อป้องกันนักข่าว ก่อนไปชายหนุ่มก็ร้องเรียกนางพยาบาลที่อุ้มเจ้าหนูน้อยคนนั้นให้หยุดก่อน เดือนวิ่งเข้าไปหา ก้มมองเด็กน้อยที่บัดนี้ตื่นแล้วและกระพริบตามองปริบๆ
ความรู้สึกบางอย่างปรากฏขึ้นในใจ เขาไม่ใช่พ่อเด็ก แต่น่าแปลกที่เขารู้สึกผูกพันกับเด็กคนนี้
ชายหนุ่มโน้มตัวลงไปจูบเบาๆที่กระหม่อมบาง เขาส่งยิ้มให้นางพยาบาลที่ดูตะลึงอยู่ไม่น้อยก่อนจะหันกายเดินออกไป
สามสัปดาห์...อีกแค่สามสัปดาห์ ทุกอย่างก็จะจบลง
หากตอนที่เขารอสามวันว่านานแล้ว การรอสามสัปดาห์ก็เป็นอะไรที่ทรมานใจพอกัน ชายหนุ่มที่ดูฟุ้งซ่านถูกดินดึงไปทำกิจกรรมนู่นนี่ตลอดเวลา แต่ชายหนุ่มผมดำก็รู้สึกว่าพักหลังมานี้เดือนมักจะเหม่อลอยเป็นพักๆ เหมือนกับว่าเขาคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา
เวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงกำหนดฟังผล เดือนพาดินกับพ่อแม่ไปโรงพยาบาลด้วย ส่วนแม่แก้วบอกว่าจะขอเตรียมอาหารรออยู่ที่บ้าน ชายหนุ่มให้ดินนั่งรออยู่ในห้องพักผู้ป่วยกับญี่ปุ่นระหว่างที่ตัวเองไปฟังผล โชคยังดีที่ในห้องมีพ่ออัลเฟรดกับแม่มะลิอยู่ด้วยดินจึงไม่อึดอัดมากนัก
คนผมดำมองหญิงสาวที่นั่งเหม่อลอยไปนอกหน้าต่าง ญี่ปุ่นไม่สนใจใครในห้องเลย ตั้งแต่พวกเขาเข้ามาก็พบว่าหญิงสาวอยู่ในท่านั้นอยู่แล้ว เธอดูเหมือน...เหมือนหุ่นกระบอกเชือกขาด ไร้เรี่ยวแรงและดูหมดกำลังใจในชีวิต เขากวาดตามองไปรอบๆห้องพักที่ตกแต่งอย่างดีสมราคาที่จ่าย ข้างเตียงมีเพียงกระเช้าผลไม้หนึ่งใบ มีดปอกผลไม้กับจานเปล่าวางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆกัน นอกจากพวกเขาในห้องนี้ก็มีแค่ลูกน้องชินกรแค่คนเดียวเท่านั้น
มันดูว่างเปล่าแล้วก็โดดเดี่ยวจนน่าใจหาย
ชายหนุ่มหันไปมองกระบะเด็กอ่อน เด็กคนนั้นเป็นผู้ชาย... ตอนที่เห็นแวบแรกดินก็รู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้อย่างบอกไม่ถูก ทั้งถูกชะตาทั้งสงสาร มันเหมือนกับว่าเห็นตัวเขาในวัยเด็กล่ะมั้ง นอนอยู่แต่ไม่มีใครสนใจ เขามองเด็กน้อยที่ไม่รู้ชื่อสลับกับแม่เด็กที่ดูอ่อนแรง ด้วยความสงสารดินจึงขยับไปข้างเตียงญี่ปุ่น หยิบแอปเปิ้ลขึ้นมา “คุณญี่ปุ่นทานแอปเปิ้ลไหมครับ เดี๋ยวผม...”
“ไปให้พ้น”
น้ำเสียงแผ่วเบาตัดบทเขา หญิงสาวยังคงไม่หันหน้ามา ดินเองก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากวางมีดกับแอปเปิ้ลลง เขากำลังจะถอยกลับไปนั่งที่โซฟาตามเดิมก็เป็นเวลาเดียวกับที่เจ้าหนูน้อยในกระบะเด็กอ่อนส่งเสียงร้องขึ้นมา เสียงแหลมๆของเด็กทำให้ดินปวดหัวไม่น้อย เขาไม่มีประสบการณ์เลี้ยงเด็กไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่มองหน้ากับคนในห้องเลิกลั่ก
คนที่ตกใจเป็นพวกเขาแต่แม่เด็กแท้ๆกลับนั่งนิ่ง ไม่ทำอะไรนอกจากขยุ้มผ้าห่มแน่น
ในที่สุดเมื่อความอดทนสิ้นสุดลง..ญี่ปุ่นก็แผดเสียงออกมา
“หุบปาก!” หญิงสาวกรีดเสียงร้องแหลมทำให้ดินตกใจ ญี่ปุ่นยกสองมือขึ้นปิดหู หวีดเสียงออกมาแข่งกับทารกน้อย
“หุบปาก หุบปากเดี๋ยวนี้! ไอ้เด็กเวร ฉัน...ฉันรำคาญแกจะตายแล้ว แหกปากอะไรนักหนาได้ทุกวัน กรี๊ดดด ฉันบอกให้หุบปากไง! ใครก็ได้...ใครก็ได้ทำให้มันเงียบที”
ดินตกใจกับท่าทางที่เหมือนคนเสียสติของญี่ปุ่น หญิงสาวยังคงแผดเสียงไม่เลิกประกอบกับเสียงเด็กร้องมันทำให้ดินปวดหัวจนอยากจะออกไปให้พ้นๆ แม่มะลิที่ทนไม่ไหวรีบเข้ามาดู เด็กน้อยร้องไห้ออกมาเพราะเขาอุจจาระเลอะผ้าอ้อม คุณแม่มะลิเลยจัดการเปลี่ยนผ้าอ้อมให้อย่างเชี่ยวชาญ
ดวงตากลมแฝงแววตำหนิไปที่ญี่ปุ่น หญิงสาวบนเตียงเมื่อทารกหยุดร้องไห้ก็สงบสติอารมณ์ลง ร่างบางหายใจหอบอย่างแรง ผินหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างตามเดิม
“นี่...คุณแผดเสียงโวยวายแข่งกับลูกทุกครั้งที่ลูกคุณร้องหรือไง” น้ำเสียงหวานกล่าวอย่างตำหนิ “อย่างน้อยก็ช่วยสนใจลูกบ้างเถอะ ยังไงก็เป็นลูกคุณ”
“หุบปาก!” ใบหน้าหวานที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวหันกลับมามองพร้อมน้ำเสียงตวาด “มันไม่ใช่ลูกฉัน ฉันไม่อยากได้เด็กแบบมัน! ไอ้เด็กนรก! ฉันเกลียดมัน มัน...มันเกิดมา...เกิดมาเพื่อทำลายชีวิตฉัน”
ถ้อยคำหยาบคายรุนแรงที่เธอใช้ด่าทอเด็กน้อยบริสุทธิ์ที่นอนไม่รู้เรื่องอยู่ในกระบะเด็กอ่อนทำให้มะลิเผยสีหน้าไม่อยากเชื่อ หล่อนไม่คิด...ว่าบนโลกของเรามันจะมีคนประเภทนี้อยู่ด้วยจริงๆ นึกว่ามีแต่ในละครเสียอีก แต่วันนี้เธอเห็นแล้วว่ามันมีจริงๆ...แม่ที่ไม่เคยรักลูกของตัวเองเลย
หญิงสาวถอนหายใจ ดึงลูกชายที่ยืนอึ้งอยู่ให้กลับมานั่งที่ ก่อนจะนั่งคอยลูกชายคนโตต่อไป
แกรก
ในที่สุดเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น เดือนเดินเข้ามาพร้อมกับชินกร บนใบหน้าของชายหนุ่มปรากฏแววโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นดินเดือนก็ตรงเข้ามารวบร่างเล็กเข้าไปกอดแน่น เสียงทุ้มกระซิบอยู่ข้างหู
“ผลตรวจออกมาแล้ว...ไม่ตรงกัน...พี่ไม่ใช่พ่อเด็ก” ดินซุกหน้าลงกับไหล่คนรัก หัวเราะแผ่วเบาออกมาด้วยความยินดี พวกเขาเป็นอิสระแล้ว...จากทุกข้อกล่าวหา ความโล่งใจแผ่ไปทั่วจนร่างกายเบาโหวง เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ไม่นานสรัลก็ตามเข้ามา “ลงไปข้างล่างกันเถอะ จะได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าว” เดือนพยักหน้า จับจูงคนตัวเล็กให้เดินไปด้วยกัน
ทันทีที่ลงมาถึงหน้าโรงพยาบาล พวกเขาก็พบนักข่าวกลุ่มใหญ่รออยู่ พวกเขากรูล้อมเดือนทันทีที่ชายหนุ่มปรากฏตัว ดินพยายามปลดมือพี่ชายต่างสายเลือดออกแต่เดือนกลับส่ายหน้าแล้วกระชับมือให้แน่นขึ้น
“คุณเดือนคะ สรุปผลตรวจเป็นยังไงบ้างคะ” นักข่าวสาวคนหนึ่งยิงคำถามขึ้นมาทันที เดือนเปิดผลตรวจแล้วยื่นไปหน้ากล้อง บนแผ่นกระดาษนั้น...แสดงให้เห็นว่าเขากับเด็กชายคนนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆทางสายเลือดต่อกันเลย คำถามอีกมากมายตามมาซึ่งเดือนก็พยายามตอบให้รักษาหน้าหญิงสาวในห้องพักผู้ป่วยให้มากที่สุด แสดงให้เห็นถึงความเป็นสุภาพบุรุษและการได้รับการสั่งสอนมาอย่างดี ดินอมยิ้มให้กับการกระทำนั้น
ไม่นึกเคียดแค้นคนที่ทำให้ตนเดือดร้อน...แต่กลับช่วยเหลืออีกฝ่าย แม้จะเป็นแค่การกระทำเล็กๆน้อยๆก็ตาม
“แล้วความสัมพันธ์ของคุณกับคุณดินเป็นยังไงกันแน่ครับ” ดินถึงกับลมหายใจสะดุดเมื่อได้ยินคำถามนี้ นักข่าวคนอื่นต่างเงียบลงรอฟังคำตอบ เดือนหันไปสบตาสรัลแวบหนึ่งก่อนจะหันไปยิ้มให้เหล่านักข่าว ฝ่ามือใหญ่บีบกระชับมือเล็กแน่น ก่อนที่เดือนจะเอ่ยคำตอบที่หนักแน่นออกมา
“เราเป็นคนรักกันครับ” สิ้นคำตอบนั้นคำถามหลายคำถามก็ระดมยิงตามมาจนดินชักเวียนหัว เขาจับใจความได้แค่คร่าวๆเท่านั้น
“แบบนี้แปลว่าคุณเดือนเป็นเกย์เหรอครับ”
“ก็คงงั้นครับ ถ้าพวกคุณนิยามคนชอบผู้ชายด้วยกันว่าเกย์ละก็นะ”
“แล้วคิดว่าจะมีผลกับหน้าที่การงานไหมคะ”
“ผมใช้ความสามารถทำงานครับ คิดว่าหลายคนคงมองที่จุดนี้มากกว่ามองที่การคบหาคนรักของผม”
“แล้วเรื่องแฟนคลับล่ะคะ ไม่กลัวเรตติ้งตกเหรอ”
พอถึงคำถามนี้เดือนก็ก้มหัวให้กับกล้อง
“ผมต้องขอโทษแฟนคลับทุกคนจริงๆครับ หลายคนอาจจะผิดหวังและเลิกชอบผมไปผมก็ไม่ได้ว่า แต่ผมไม่อยากปิดบังพวกคุณ คนที่ผมรัก...ผมตัดสินใจดีแล้วว่าผู้ชายคนนี้คือคนที่ผมรักและอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ผมไม่ได้บอกว่าพวกคุณต้องชอบหรือยอมรับการตัดสินใจของผม แต่ผมแค่คิดว่ามันคงจะดีถ้าพวกคุณยอมรับและรักคนที่ผมรักด้วยเหมือนกัน สำหรับใครที่ไม่ชอบผมก็คงต้องขอโทษด้วยที่ผมเป็นคนที่คุณหวังไม่ได้ สำหรับใครที่ยังคงติดตามผมอยู่ผมก็ต้องขอบคุณมากนะครับ ขอบคุณที่ยังรักผมอยู่ ผมสัญญาว่าจะทำงานหนักขึ้นเพื่อให้มีผลงานดีๆออกมาให้พวกคุณได้ติดตามนะครับ”
คราวนี้ไมโครโฟนถูกจ่อมาทางดินบ้าง
“แล้วคุณล่ะครับ มีอะไรจะกล่าวไหม”
กล่าว? ให้เขากล่าวอะไรล่ะ
นายปฐพีผู้ไม่ชินกับการตอบคำถามต่อหน้าคนหมู่มากเริ่มอึกอักและหันไปขอกำลังใจจากคนรัก พี่ชายต่างสายเลือดยิ้มบางให้เขาและพยักหน้ากลับมา
ซึ่งกูก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามึงพยักหน้าเพื่อจะสื่ออะไร...
พอเห็นว่าคนรักไม่ได้ช่วยอะไรเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเริ่มด้นสดในหัว
เรียบเรียงในสิ่งที่เขาอยากจะพูด
“ก่อนอื่นผมก็ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะครับ...ขอโทษสำหรับหลายคนที่ทำให้พวกคุณผิดหวังในตัวพี่เดือน ขอโทษที่พวกคุณบางคนอาจมองว่าผมดีไม่พอ...ซึ่งผมก็รู้สึกแบบนั้นในบางครั้ง สิ่งที่ผมอยากจะบอกกับพวกคุณก็คือผมอยากให้พวกคุณรักและสนับสนุนพี่เดือนต่อไป...เขาทุ่มเทกับงานมากจริงๆครับ ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีแต่ผมสัญญาว่าจะไม่ปล่อยมือเขา...ในวันที่ลำบาก ในวันที่เศร้า ร้องไห้ หรือเหน็ดเหนื่อย ผมจะดูแลเขาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ ผมจะรักเขาให้มาก...มากจนไม่มีวันปล่อยมือกันไป ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้เขาเสียใจครับ” ดินทำท่าเหมือนอยากพูดอะไรต่อแต่ก็คิดไม่ออก เขาเลยได้แต่ก้มหัวให้ เป็นอันจบการตอบคำถาม
เดือนที่ได้ยินคำตอบนั้นอมยิ้มจนแก้มแทบปริ อยากจะคว้าร่างนั้นมากอดแน่นๆ หอมแก้มหนักๆ แต่ทำตรงนี้คงไม่ดี เขาเลยได้แต่รอจนกระทั่งสรัลบอกให้พวกเขาเดินออกไปเป็นอันจบการสัมภาษณ์ พอเดินออกมาถึงมุมที่ลับตาคนเดือนก็คว้าร่างบางมากอดแน่น จูบหนักๆที่ริมฝีปากบางนั้นหลายทีจนแทบช้ำ ดินที่หายใจไม่ออกต้องประท้วงให้คนตรงหน้าผละริมฝีปาก ปลายนิ้วเรียวเกลี่ยริมฝีปากบางที่ขึ้นสีแดงช้ำแผ่วเบา ก้มลงไปจูบผะแผ่วอีกครั้งอย่างรักใคร่
“เรื่องร้ายๆผ่านไปแล้วนะ” เขากระซิบบอกคนรักในอ้อมแขน อุปสรรคใหญ่ครั้งนี้...ก็ขอให้มันเป็นบทเรียนก็แล้วกัน อย่าให้ผิดพลาดซ้ำสองแบบนี้อีก “ทางพวกพี่กุ๊กคงเริ่มแถลงเรื่องคลิปกันแล้ว เท่านี้ก็หมดภาระแล้วนะ”
“ครับ...ดีจังเนอะ”
“อื้อ กอดดินได้แบบเปิดเผยสักที”
“นี่ แค่ทุกคนรับรู้ไม่ได้หมายความว่าพี่จะทำรุ่มร่ามกับดินที่ไหนก็ได้นะครับ” คนตัวเล็กแยกเขี้ยวใส่ร่างสูงก่อนจะเดินไปที่ลิฟท์ ทำให้ร่างสูงต้องเร่งฝีเท้าตามเข้าไป พ่อกับแม่ของพวกเขายังคงรออยู่ในห้องพักของญี่ปุ่น ระหว่างที่อยู่ในลิฟท์พวกเขาก็คุยกันถึงเรื่องการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินในการรักษาน้องสาวของกวิน เงินที่ช่วยไปอาจไม่มากพอจะส่งเด็กคนนั้นไปรักษาตัวที่อังกฤษก็จริงแต่อย่างน้อยก็ยังช่วยให้ย้ายมารักษาในโรงพยาบาลชั้นนำได้
ความคิดถึงแผนการในอนาคตที่จะได้ทำร่วมกันทำให้คนทั้งคู่ยิ้มออกมา แต่ทันทีที่มาถึงหน้าห้องพัก เสียงหวีดร้องพร้อมกับเสียงโครมครามก็ทำให้รอยยิ้มเลือนหายไป
ปัง
เดือนผลักประตูเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว ภาพที่เห็นเบื้องหน้าทำเอาเขาตกตะลึง แม่มะลิของเขากำลังโอบกอดลูกของญี่ปุ่นแน่น โดยมีคุณอัลเฟรดยืนขวางอยู่อีกที นัยน์ตาสีอ่อนเลื่อนไปมองที่ร่างหญิงสาวในชุดผู้ป่วยที่ลงมายืนบนพื้นด้วยท่าทางไม่มั่นคง
ญี่ปุ่นมีท่าทางเหมือนคนพร้อมจะเป็นลมล้มพับได้ทุกเมื่อ เข็มน้ำเกลือถูกดึงออกไปตอนไหนก็ไม่รู้ มือบางจับแผงกั้นของเตียงเอาไว้ขณะที่อีกข้างถือมีดปอกผลเล่มเล็กไว้แน่น ดวงตาที่แสดงถึงความทุกข์ทน ความโกรธ ความอับอาย ผสมปนเปกันจนกลายเป็นแววตาของคนคลุ้มคลั่ง
ลูกน้องที่ชินกรทิ้งไว้ให้เฝ้าญี่ปุ่นพยายามรั้งตัวหญิงสาวไว้อย่างสุดความสามารถ
“แม่ครับ เกิดอะไรขึ้น” เดือนรีบเดินเข้ามาในห้อง หญิงสาวที่ตอนนี้เหมือนกลายเป็นคนเสียสติไปแล้วหันปลายมีดไปทางเดือน ดวงตากลมโตถลึงใส่เขาก่อนจะย้ายไปมองดิน จากนั้นเธอก็กรีดร้องออกมา
“เพราะแก! เพราะแกคนเดียวทุกอย่างมันถึงได้เป็นแบบนี้ อึก แกกับไอ้เด็กเปรตนั่น...เกิดมาทำไม! มันเกิดมาทำไมในเมื่อฉันไม่ต้องการ!”
“ญี่ปุ่น..ใจเย็นๆก่อนนะ” เดือนค่อยๆพูด ใช้น้ำเสียงที่อ่อนลง เขาพยายามขยับไปใกล้หญิงสาวแต่ร่างเล็กกลับรู้ทันกวัดแกว่งมีดไปมาอย่างน่าหวาดเสียว “อย่าเข้ามานะ! ส่งไอ้เด็กนั่นมาให้ฉัน”
“คงให้ไม่ได้หรอกครับ”
ดินตอบเสียงเรียบ ดันแม่มะลิออกไปให้ห่าง หญิงสาวที่ได้ยินคำตอบนั้นก็โวยวายขึ้นมาอีกรอบ “แกมาสาระแนอะไร ลูกตัวเองก็ไม่ใช่! มันเป็นลูกฉัน ฉันจะทำอะไรกับมันก็ได้! เอามันมา!”
“คุณญี่ปุ่น...ผมว่าตอนนี้สิ่งที่คุณทำคือการพบจิตแพทย์”
“กูไม่ได้บ้านะ! ไอ้พวกเหี้ย กูไม่ได้เป็นอะไร! ปล่อยกู ปล่อยสิ กรี๊ดดดด”
เดือนอาศัยจังหวะชุลมุนกดปุ่มฉุกเฉิน จังหวะนั้นเองที่ญี่ปุ่นสะบัดตัวหลุดออกจากการจับกุมของลูกน้องไว้ได้ ร่างเล็กถลาเข้ามาหาเดือนแต่ถูกดินขวางไว้ก่อน ชายหนุ่มคว้าข้อมือหญิงสาวกระชากเธอให้เซถลาจนล้มคว่ำก่อนบิดข้อมือบางอย่างแรงจนมีดเล่มเล็กหลุดจากมือ ชายหนุ่มเตะมีดออกไปไกลๆ เขากับลูกน้องชินกรช่วยกันจับหญิงสาวที่เริ่มดีดดิ้นและโวยวายอีกรอบ
ดินมองดูความบิดเบี้ยวของหญิงสาวผ่านดวงตาที่คลอด้วยหยดน้ำใส
เหมือนจริงๆด้วย...
เหมือนแม่ของเขาเลย
นาทีต่อมาบุรุษพยาบาลกับนางพยาบาลก็กรูกันเข้ามา ยิ่งคนเยอะญี่ปุ่นยิ่งโวยวาย ด่าทอ สบถ และดีดดิ้นจะไปหาลูกให้ได้ ต้องใช้บุรุษพยาบาลถึงสามคนกว่าจะกำราบให้ร่างเล็กยอมอยู่นิ่งๆได้
ยากล่อมประสาทถูกฉีดเข้าไปทำให้ร่างบางค่อยๆสิ้นฤทธิ์ลงในที่สุด เมื่อบุรุษพยาบาลจับหญิงสาวขึ้นไปนอนบนเตียงดีๆได้ เดือนก็เดินไปหาแม่มะลิ เขาตรวจสองความปลอดภัยของพ่อแม่จากนั้นก็เด็กน้อยที่ดูเหมือนจะไม่มีรอยขีดข่วนใดๆ
“แล้วเราจะเอายังไงต่อ” อัลเฟรดถามขึ้น มองเด็กทารกในอ้อมแขนคนรักนิ่ง “คงต้องเอาไปคืนตาเขาแล้วล่ะมั้ง”
“ทางนั้นก็คงไม่อยากได้หรอกค่ะ ตั้งแต่มานั่งรออยู่นี่ฉันยังไม่เห็นเขาจะแตะต้องเด็กคนนี้เลย”
ดินก้มมองทารกน้อย เขารับเด็กมาจากคุณแม่มะลิ โยกกล่อมเจ้าตัวน้อยที่ปรือตาขึ้นมาให้หลับต่อ เดือนมองคนรัก คล้ายจะเข้าใจบางสิ่ง
และตอนที่นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหันมาประสานเข้ากับดวงตาของเขา ชายหนุ่มก็รับรู้ความต้องการของคนรักได้ทันที พอสบประกายตาเว้าวอนนั้นเดือนก็พยักหน้า ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา
*************************************************************
ตัดค้างอีกแล้ววว 55555 อย่าเพิ่งตีคนเขียนน้า ในที่สุดก็พ้นดราม่าแล้วค่ะ จุดพลุฉลองกันเถอะ! 55555
ขอโทษที่มาอัพช้านะคะ ไปอัญเชิญเรื่องใหม่มาลงในบอร์ดค่า >w< ตอนนี้คาดว่าหลายคนคงสะใจน่าดู
กรรมตามสนองแล้วในที่สุด จากที่ทุกคนอ่านคงจะเห็นได้ว่าญี่ปุ่นไม่เคยโทษตัวเองเลย เธอปัดความรับผิดชอบให้คนอื่น
ไม่ว่าจะเป็นเดือน ดิน หรือแม้แต่ลูก ทั้งๆที่ทุกอย่างเริ่มจากตัวเองแท้ๆ
การไม่ยอมรับความจริง โกหก และใส่ร้ายคนอื่น ทำให้เธอมีสภาพแบบตอนนี้ค่ะ
สารภาพเลยว่าตอนเขียนที่สนุกที่สุดคือตอนเขียนคอมเม้นท์ในกระทู้ ลื่นไหลและเป็นธรรมชาติมากกก 55555
ตอนนี้อ่านแล้วรู้สึกยังไง ติชมได้ตามสบายนะคะ ตอนหน้าน่าจะเอามาลงให้วันพรุ่งนี้ตอนเย็นๆค่ะ
จะว่าไป นี่ถามจากใจจริงๆเลยนะคะ...มีใครอยู่ #ทีมกวินฝน บ้างคะ เขียนไปเขียนมารู้สึกเคมีคู่นี้ช่างเข้ากั๊นเข้ากัน
เรื่องแบล็กเมล์นี่ที่หนึ่งทั้งคู่แต่จะ #รันฝน หรือ #กวินฝน ก็ติดตามได้ในตอนต่อๆๆๆไปค่ะ (ตอนไหนไม่รู้ 555)
เอาล่ะค่ะ ในส่วนของทอล์คนี้น้านนนนน จะเป็นการแนะนำลูกชายคนใหม่ของเราให้ทุกคนรู้จักค่ะ
เนื่องจากเดือนดินใกล้จะจบแล้ว(อุ๊บส์) เราเลยพาลูกชายคนใหม่มาแนะนำตัวค่ะ โดยลูกชายคนใหม่ชื่อว่า
เพราะหลงรักคุณ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=52873.0#lastPost
บอกเลยว่านายเอกอยู่มัธยมค่ะ เป็นเด็กดีมากกกค่ะ (เขี่ยพี่เดือนที่เกาะจออยู่ออกไป)
ระยะเวลาการอัพก็ทุกวันเสาร์เย็นๆเหมือนเรื่องเดือนดินเลยค่ะ
ขอฝากนิยายเรื่องใหม่และน้องหลงผู้น่ารักไว้ในอ้อมใจทุกคนด้วยนะคะ
(แอบเห็นคุณ BlueCherries ไปปูเสื่อรอแล้วอ่ะ ไวมากค่ะ)
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและติดตามนะคะ พบกันตอนหน้าค่า จุ๊บ