ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ยามจันทร์เจ้าจูบดิน ☪ บทพิเศษ ๕ วันปีใหม่ {๓๑.๑๒.๕๙} จบ  (อ่าน 99879 ครั้ง)

ออฟไลน์ psyche

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
อ่านจบตแบบรวดเดียว เรื่องนี้คนคอมเมนท์​น้อยนะ
แต่เนื้อเรื่องเราว่าดีเลยแหละ เราไม่มองที่คนอ่านเยอะ หรือน้อย
แต่เราชอบที่เนื้อเรื่อง ไม่เน้น NC เนื้อเรื่องน่าติดตามค่ะ อ่านไม่เบื่อ
ที่ไหนมีพี่เดือน ที่นั้นไม่มีดราม่าจริงๆ น้องดินมีพัฒนาตัวละคร
ที่ชอบสุดๆ คือ นักเขียนไม่ทิ้งผลงาน เขียนผลงานดีๆ มาให้อ่านอีกนะคะ

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทพิเศษที่ ๒
วันสงกรานต์


        วันนี้เป็นวันสงกรานต์...

   “วันนอนอยู่บ้าน สนุกสุขใจจริงเอยยย” เสียงตะโกนดังขึ้นมาดังลั่นห้อง ตะโกนออกมาแบบไม่ต้องกลัวข้างห้องมาด่าเพราะผนังที่นี่เก็บเสียง

   ฝนกลิ้งตัวไปมาอยู่บนเตียง พยายามร้องเพลงให้ตัวเองอารมณ์ดีแต่มันก็อารมณ์ดีไม่ลงจริงๆเมื่อนึกถึงใครอีกคน

   ใครอีกคนที่ทำให้เขาบอกปัดไม่รับงานสัปดาห์นี้ทั้งสัปดาห์เพื่อใช้วันหยุดในช่วงเทศกาลด้วยกัน แต่ไอ้พี่โง่นั่นดันทะลึ่งรับงานแล้วก็ทิ้งเขาให้นอนเหี่ยวแห้งอยู่ที่คอนโด!

   เกลียดโว้ย นายวสันต์เกลียดไอ้พี่โง่อารัณย์ที่สุด!

   คนตัวเล็กทิ้งตัวนอนลงบนเตียงแรงๆ เสื้อยืดสีเขียวเปิดร่นเผยให้เห็นหน้าท้องแบนราบที่มีกล้ามเนื้อสมส่วน  ริมฝีปากบางเบ้คว่ำเป็นสระอิ ดวงตากลมเหลือบไปมองโพสอิทหัวเตียง เป็นแผนที่เขาอยากทำกับอารัณย์ในช่วงสัปดาห์นี้
     
       ไปเล่นน้ำกันที่ถนนข้าวสาร

   ทำอาหารกินกันเองที่ห้อง

   เช่าหนังมาดูกันในวันหยุด

   แล้วก็เป่าเค้ก...


   ปลายนิ้วเรียวไล่มาถึงโพสอิทสีเหลืองอ่อนใบสุดท้ายแล้วก็ได้แต่ทำหน้าบึ้ง  วางแผนไว้เสียดิบดีแต่กลับล่มเพราะอีกคนเอาแต่ทำงาน มันน่าน้อยใจไหม!

   วันที่ 13 นอกจากเป็นวันสงกรานต์แล้วยังเป็นวันเกิดฝนอีกด้วย เกิดกลางเดือนเมษา ช่วงเวลาที่ร้อนชิบหายที่สุดของปีแต่กลับชื่อฝน ชื่อจริงก็แปลว่าฤดูฝนไม่รู้เหมือนกันว่าแม่คิดอะไรอยู่

   สงสัยไม่อยากให้ซ้ำกับพี่สาว...พี่สาวเขาชื่อ ‘คิมหันต์’ ที่แปลว่าฤดูร้อนไปแล้วนี่นา

   ฝนถอนหายใจ  สายตาหยุดลงที่กรอบรูปหัวเตียง เป็นรูปที่เขากับพี่คิมยืนกอดคอถ่ายรูปคู่กัน คนที่ถ่ายรูปนี้จะเป็นใครนอกจากอารัณย์...แฟนหนุ่มของคิมหันต์ในเวลานั้น

   “พี่คิม พี่รันแม่งโคตรใจร้ายเลยว่ะ วันเกิดฝนก็ทำแต่งาน” ฝนพูดกับพี่สาวในรูปภาพ  เขายิ้มออกมานิดๆ ไม่ว่าเมื่อไหร่ฝนก็ยังคิดถึงรอยยิ้มของพี่สาวเสมอ

   หลังจากที่พ่อแม่จากไป ฝนในวัยเด็กก็เหลือแค่พี่สาวที่เป็นเสาหลักทางใจเพียงหนึ่งเดียว  ตอนนี้พี่สาวเรียนมัธยมแล้วเขาก็อยู่ชั้นประถม   ในตอนนั้นผู้ใหญ่หลายคนก็อยากจะรับอุปการะพวกเขาแต่ไม่สามารถเลี้ยงเด็กสองคนไว้ได้ เพราะญาติส่วนใหญ่ของพ่อแม่ก็มีลูกมีหลานกันแล้วทั้งนั้น

   เพราะงั้นพวกเขาเลยตกลงกันว่าจะแยกฝนกับคิม  แล้วก็ให้สองครอบครัวรับเด็กไปอุปการะกันคนละคน

   ฝนที่ทั้งตกใจที่พ่อกับแม่ไม่อยู่แล้วก็กลัวว่าจะถูกแยกกับพี่สาวได้ร้องไห้ไม่หยุด พี่สาวก็ร้องไห้เหมือนกัน แต่พี่เข้มแข็งกว่าเขา  พี่กอดเขาเอาไว้แน่นแล้วก็บอกว่าอย่าแยกพวกเราออกจากกัน พูดไปร้องไห้ไปจนผู้ใหญ่ใจอ่อน จากนั้นพวกเขาก็ได้อยู่ด้วยกัน

   ในช่วงเวลานั้นฝนจำได้ว่ามันเหมือนทุกอย่างถาโถมใส่เขาเหมือนคลื่นยักษ์ ตั้งตัวไม่ทัน ทำให้เขาจมดิ่งลงไปใต้ท้องทะเล

   หลังพ่อแม่เสียไม่นานฝนก็เริ่มได้ยินเสียงในใจ ตอนแรกเขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมใครๆถึงมองเขาแปลกๆในเวลาที่เด็กชายเผลอตอบอะไรบางอย่างออกมาทั้งที่ไม่มีใครพูดหรือบางครั้งเมื่อเขาทนเสียงในใจที่ถาโถมมาไม่ไหว...ฝนมักจะปวดหัวแล้วก็ร้องตะโกน ทำท่าเหมือนกับว่ากำลังต่อสู้กับความเจ็บปวดแสนสาหัสทั้งที่ก่อนหน้านั้นยังเป็นปกติดี

        ใครๆเลยชอบพูดกันว่าเด็กชายวสันต์เป็นเด็กมีปัญหา ชอบเรียกร้องความสนใจ

        การสัมผัสกับคนอื่นก็เป็นเรื่องยากเหมือนกัน เขามักจะเลี่ยงการสัมผัสมือ สัมผัสตัวกับคนอื่นๆ เพราะมันจะทำให้เขาเห็นภาพวูบวาบไปมาไม่หยุด

   เมื่อถึงจุดที่ทนไม่ไหวฝนก็เอาเรื่องนี้ไปบอกกับผู้ปกครองที่รับเลี้ยงเขา...และสิ่งแรกที่คนพวกนั้นทำก็คือ...พาฝนไปพบจิตแพทย์

   เขารู้ว่าถ้าเป็นเขาแล้วมีเด็กในปกครองทำตัวแบบนี้ฝนก็คงทำแบบเดียวกัน

   แต่เขาในตอนนั้นรู้สึกเหมือนตัวเองถูกหักหลัง ถูกทรยศ ทุกคนมองเขาเหมือนเป็นตัวประหลาดและจับเขายัดเข้าโรงพยาบาลบ้า หมอวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะเขาช็อกจากการสูญเสียพ่อกับแม่  ทำให้สร้างเสียงและภาพหลอนขึ้นมา

   เขาถูกส่งตัวเขารับการบำบัด ฝนพยายามทำตัวเป็นปกติ แสร้งทำเป็นว่าเขาหายดี จากนั้นก็ไม่มีใครพูดเรื่องนี้อีกเลย

   หลังจากการบำบัดสองปี ฝนเริ่มปรับตัวเข้ากับพลังพิเศษของตัวเองได้ ผลการเรียนเขาดีที่สุดในห้อง เป็นที่หนึ่งในทุกวิชา หน้าตาก็โดดเด่นจนมีคนมาทาบทามให้ไปถ่ายแบบลงนิตยสารบ่อยครั้ง และในตอนนั้นเองที่ฝนได้รู้จักกับอารัณย์ แฟนหนุ่มของคิมหันต์

   คนที่สะกดสายตาฝนไว้ได้ตั้งแต่แรกเจอ

   คนที่เป็นเหมือนครอบครัวอีกคนของเขา

   คนที่เป็นที่ปรึกษาให้เขาได้ทุกเรื่อง

   คนที่บอกว่าจะปกป้องเขา

   คนที่ในเวลาต่อมาก็เอาหัวใจของเขาไปดวง...

   และในเวลาต่อมาฝนก็รู้ว่าทุกสิ่งที่อารัณย์ทำ...มันเป็นเพราะว่าเขาคือน้องชายของคิมหันต์

   ฝนยอมรับว่าในส่วนลึกของใจ เขาทั้งรักทั้งอิจฉาพี่สาว...พี่สาวที่น่ารักและเป็นทุกอย่างของฝน ในขณะเดียวกันก็โดดเด่น
กว่าฝนทุกอย่าง

   ไม่สิ บางทีที่ฝนอิจฉาพี่คิมคงเป็นเพราะพี่มีบางสิ่งที่ฝนไม่มี

   พี่มีคนรักที่ดี

   คนรักของพี่สาว...ที่ฝนเองก็รัก

   ฝนทำใจเรื่องนี้ไว้นานแล้ว เขาเป็นฝ่ายมาที่หลังและเป็นฝ่ายผิด เพราะงั้นเขาก็จะทำใจ...ไม่ได้ตัดใจ แต่จะอยู่ตรงนี้ ในมุมของเขา เป็นน้องชายที่น่ารักของทั้งคู่ คอยมองคนที่เขารักมีความสุข

   แต่แล้ว...ในตอนที่เขาตัดสินใจจะไม่ยื้อแย่งความรักของพี่สาว ตัดสินใจจะช่วยให้คนทั้งคู่มีความสุข

   ในช่วงเวลานั้น ความตายก็มาพรากพี่สาวเขาไป พาเอาตัวตนอีกครึ่งหนึ่งของเขาจากไปตลอดกาล

   เขาไม่เหลือใครแล้วจริงๆ...

   ฝนได้ญาติๆเป็นธุระช่วยจัดงานศพ ภาพเด็กหนุ่มที่เพิ่งขึ้นมัธยมไม่นานนั่งพับเพียบอยู่กลางศาลาด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตาแฝงแววเศร้าโศกลึกซึ่งทำให้ผู้คนที่มาร่วมงานอดสะเทือนใจไม่ได้

   ฝนพยายามบอกตัวเองว่าอย่าร้องไห้...เขาร้องไห้ไม่ได้ เพราะถ้าเขาเผยความอ่อนแอออกมาในตอนนี้เขาก็จะยิ่งโดดเดี่ยว

   ไม่มีอ้อมแขนของพี่คอยประคอง ไม่มีมือบางคอยเช็ดน้ำตา และไม่มีรอยยิ้มที่นำความสุขใจกลับมาอีกแล้ว

   ฝนในตอนนั้นเหมือนแก้ว ทำเป็นแข็งแกร่งแต่จริงๆแล้วข้างในของเด็กหนุ่มกำลังแตกสลาย

   และในตอนที่เขากำลังจะพังลงมานั้นเอง อารัณย์ก็เข้ามา โอบกอดเขาไว้แล้วบอกว่าไม่เป็นไร  ยืนอยู่ข้างหลังและเป็นผู้ประคองเขาไว้

   ในช่วงเวลาที่อ่อนแอ  ฝนก็ตกหลุมรักอารัณย์อีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้

   และเขาก็ฉวยโอกาสจากความอ่อนแอของอีกฝ่ายเช่นกัน

   ในตอนนั้นฝนทำใจไว้แล้วว่าจะต้องเสียอีกฝ่ายไปตลอดกาล...

   แต่พอลืมตาขึ้นในตอนเช้า อารัณย์ก็ไม่อยู่ข้างกายแล้ว คนคนนั้นทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอเห็นดังนั้นฝนเองก็ทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน พวกเขายิ้มให้กัน ทำตัวเหมือนปกติ กลบฝังความร้าวรานและความรู้สึกผิดเอาไว้ ไม่แตะต้องกันและกันอีก   

   ฝนไม่เคยรื้อฟื้นเรื่องคืนนั้นเพราะเขารู้ดีว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะแตะต้อง

        เขาเข้าใจว่าที่อารัณย์อยู่ตรงนี้รวมถึงที่ยอมมีอะไรกับเขาในวันนั้นเป็นเพราะอารัณย์คิดถึงพี่คิม และฝนก็หน้าตาเหมือนพี่คิม...

   ส่วนเรื่องที่ผันตัวเองมาเป็นนายแบบทั้งที่เขาไม่ได้นึกรักในอาชีพนี้เลยแม้แต่น้อยก็เป็นเพราะพี่อีกนั่นแหละ  พี่คิมอยากเป็นนางแบบ สมัยก่อนก็ชอบให้พี่รันถ่ายรูปให้บ่อยๆ พี่รันบอกเสมอว่าพี่คิมดูสวยและเป็นธรรมชาติที่สุดก็ตอนที่พี่รันถ่ายรูปให้  อัลบั้มรูปของพี่สาวเขายังอยู่บนชั้นในห้องรับแขกอยู่เลย ฝนกับอารัณย์ดูแลมันเป็นอย่างดี

   เท่านี้ก็คงพอจะรู้แล้วสินะ...ว่าตัวเขาเป็นได้แค่เงาของพี่คิมเท่านั้น

   

   มือบางคว้าโทรศัพท์มาเลื่อนดูเป็นรอบที่ร้อย มีแต่ข้อความอวยพรเขา ของขวัญจากแฟนๆก็อยู่กับพี่ผู้จัดการ สงสัยต้องบอกให้พี่รันแวะไปเอามาด้วย

   แต่...ในแจ้งเตือนนับร้อยนับพันข้อความกลับไม่มีข้อความจากคนที่เขาคิดถึง

   ฝนโยนโทรศัพท์ลงบนเตียง ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย  ก่อนจะลากสภาพอืดๆของตัวเองไปที่หน้ากระจก โคนผมของ
เขาเริ่มเป็นสีดำแล้ว มือเรียวจับปอยผมสีฟ้าด้านหน้าขึ้นมาดู  หนต่อไปจะย้อมเป็นสีอะไรดีนะ...

   ฝนเปลี่ยนสีผมอยู่เกือบตลอด ไม่ใช่เพราะอยากเด่นหรืออะไร แต่เพราะเขาไม่ชอบที่ตัวเองผมดำ เวลาเห็นหน้าตัวเองตอนผมดำในกระจกทีไรเหมือนเห็นหน้าพี่คิมเวอร์ชั่นผู้ชายทุกที...

   ถ้าเขาผมดำอารัณย์ก็จะยิ่งมองเขาเป็นตัวแทนของพี่คิม เขาไม่อยากให้เป็นแบบนั้น เมื่อก่อนฝนอาจจะทำใจว่าเขาเป็นได้แค่ตัวแทนพี่สาว แต่ตอนนี้เขาก็เริ่มอยากให้อารัณย์มองเขาในแบบที่เป็นเขา ไม่ใช่มองเขาเป็นตัวแทนของคิมหันต์

   เสียงแจ้งเตือนจากโปรแกรมแชทดังขึ้น ฝนรีบถลาไปคว้ามาดูแล้วก็ต้องสลดลงไปวูบหนึ่งเมื่อพบว่ามันเป็นข้อความจากดินไม่ใช่จากอารัณย์

   ฝ่ายนั้นส่งรูปภาพครอบครัวมาให้พร้อมกับคำอวยพรยาวเหยียด ฝนอมยิ้มขณะมองภาพครอบครัวสุขสันต์ เจ้าหมูน้อยตรงกลางตัวกลมขึ้นแล้ว แก้มยุ้ยน่ารักเชียว เขามองภาพดินกับเดือนที่ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข

   เป็นครอบครัวที่น่ารักและน่าอิจฉาจริงๆ

   ชายหนุ่มถอนหายใจ เผลอจินตนาการว่าเขากับอารัณย์จะมีช่วงเวลาแบบนี้ด้วยกันไหม คิดแล้วก็ขำตัวเองที่เผลอ
จินตนาการอะไรแบบนั้นออกมา มันก็ต้องเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง

   ตอนนี้รูปถ่ายคู่กันก็มีนับรูปได้

   แต่ถ้าเป็นรูปถ่ายของพี่คิมกับพี่รันน่ะเหรอ มีเป็นสิบเป็นร้อย

   ฝนถอนหายใจ  การคิดถึงอดีตทำให้เขาหดหู่ เหมือนเขากำลังแปลงร่างเป็นเด็กขี้อิจฉาอยู่เลย  ชายหนุ่มร่างเล็กบิดขี้เกียจก่อนจะปรือตามองโทรศัพท์ก่อนวางมันลงข้างหมอน เหม่อมองเพดาน ความรู้สึกตอนนี้คือทั้งเบื่อทั้งเหงา

   หรือจะออกไปเดินเล่นข้างนอกดี ไหนๆพี่รันก็จะไม่กลับมาแล้ว

   ครืด ครืด ครืด

   เสียงโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ข้างหมอนทำให้คนตัวเล็กต้องผงกหัวขึ้นมาดู พอเห็นชื่อคนโทรเข้าก็ต้องกดรับสาย

   “ว่าไง”

   [เห อะไรทำให้คุณอารมณ์เสียได้ในวันดีๆแบบนี้ล่ะเนี่ย]

   น้ำเสียงยียวนเป็นเอกลักษณ์ทำให้นายแบบหนุ่มกลอกตามองเพดานก่อนตอบเสียงห้วน “ก็นายไง”

   กวินหัวเราะร่วนหลังได้ฟังคำตอบ ฝนถอนหายใจ เออ เอาเข้าไป เขาหงุดหงิดแต่กลับทำให้คนอื่นอารมณ์ดีแทนซะอย่างนั้น

   “ว่าแต่โทรมามีอะไร”

   [ผมรู้มาว่าวันนี้วันเกิดคุณ]

   ฝนเลิกคิ้วนิดๆแต่ก็ไม่ได้สงสัยว่าอีกฝ่ายรู้วันเกิดเขาได้ยังไง เพราะเขาไม่เคยบอก แต่กวินก็เป็นถึงนักสืบ ช่วงนี้อีกฝ่ายก็ค่อนข้างสนิทกับเขาพอสมควร เรื่องแค่นี้คงรู้ได้ไม่ยาก...อันที่จริงแค่เข้าไปดูในเพจของเขาที่แฟนคลับตั้งขึ้นมาก็รู้แล้ว

   “อืม แล้วไงต่อ จะร้องแฮปปี้เบิร์ดเดย์ให้ตอนนี้เลยว่างั้น?”

   [เปล่า อยากร้องให้ฟังตอนคุณมาบ้านผมต่างหาก]

   “ขอเหตุผลดีๆที่ทำให้ผมต้องฝ่าแดดร้อน เสี่ยงกับการโดนสาดน้ำและประแป้งไปบ้านคุณหน่อยสิ”

   [หวา พูดแบบนี้ก็แย่สิ ผมไม่มีเหตุผลดีๆหรอกนะนอกจากว่าวีอบเค้กไว้ให้คุณแล้ว น้องอยากให้ของขวัญคุณด้วยตัวเองน่ะ]

   ถ้ากวินมายืนอยู่หน้าเขาตอนนี้มันโดนถีบขาคู่แน่!

   ฝนแยกเขี้ยวใส่โทรศัพท์ก่อนจะนึกได้ว่าไอ้คนปลายสายมันไม่รู้ไม่เห็นนี่หว่า คนตัวขาวถอนหายใจ เล่นเอาน้องสาวตัวเอง
มาอ้างแบบนี้ก็แย่สิ กวินรู้ว่าเขาไม่เคยปฏิเสธเด็กสาวตัวเล็กคนนั้นได้สักที

   “เอางั้นก็ได้”

   [อือหึ รีบมานะ]

   ฝนรับคำก่อนจะเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พักหลังมานี้เขาค่อนข้างสนิทกับกวินอยู่พอสมควร ไม่รู้อีกฝ่ายถูกชะตาอะไรกับเขามากมาย ตอนแรกก็คุยไลน์ ไปๆมาๆก็แลกเบอร์ พอสนิทกันมากขึ้นกวินก็พาเขาไปเยี่ยมกานดาหรือน้องวี น้องสาวของกวิน

   ด้วยความช่วยเหลือจากเดือน ดิน และเงินสมทบของเขา แม้ไม่มากพอจะส่งสาวน้อยไปรักษาต่างประเทศแต่ก็มากพอจะ
ช่วยให้เธอได้ไปรักษาตัวในโรงพยาบาลที่อุปกรณ์ทางการแพทย์ครบครันและมีหมอที่สามารถดูแลเธอได้อย่างดี

   ฝนไปเยี่ยมวีบ่อยครั้ง ไปเล่านิทานให้ฟังบ้าง เอารูปสวยๆไปให้ดูบ้าง จนตอนนี้น้องกลับมาพักรักษาตัวที่บ้านหลังการผ่าตัดใหญ่ก็ยังคงเป็นแบบนั้น  ฝนชอบเด็กคนนั้นและหวังว่าเธอจะหายจากโรคและมีอนาคตที่สดใส

   เพื่อป้องกันการถูกสาดน้ำฝนเลยเลือกที่จะขับรถส่วนตัวไป  โชคดีที่บ้านของกวินอยู่ไม่ไกลนักและช่วงนี้คนก็ออกต่างจังหวัดกันหมด ท้องถนนจึงค่อนข้างโล่ง

   เมื่อเขามาถึงบ้านของอีกฝ่าย คนตัวเล็กก็เดินเข้าไปอย่างคุ้นเคย คิดแล้วก็ขำ เข้าๆออกๆบ้านนี้จนจำได้หมดแล้วว่าอะไรอยู่ตรงไหน เดินไปเดินมาได้เหมือนเป็นบ้านของตัวเอง  ชายหนุ่มร่างเล็กเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นก่อนที่ดวงตากลมโตจะเบิกกว้างเมื่อสาวน้อยกับพี่ชายของหล่อนมาดักรอเขาที่ประตูแล้วก็ร้องว่าแฮปปี้เบิร์ดเดย์เสียงดัง

   ฝนยิ้มก้มลงไปมองเค้กก้อนใหญ่ในมือของกานดา เด็กสาวมองเขาตาเป็นประกาย

   “นี่ทำเองเหรอครับ น้องวี”

   “ค่ะ! มีพี่กวินเป็นลูกมือล่ะ อร่อยนะ รับรองเลยค่ะ ฝีมือวีซะอย่าง”

   วสันต์หัวเราะกับท่าทางอวดอย่างน่ารักนั้น เขาลูบผมเด็กสาวบนรถเข็นและยิ้มสดใสส่งให้ ก่อนจะเหลือบมองชายหนุ่มอีกคนที่ถือกล่องของขวัญเอาไว้สองกล่อง  กวินยื่นกล่องสีฟ้าสองใบให้เขา กล่องใบหนึ่งผูกริบบิ้นสีขาว อีกกล่องผูกสีเหลือง

   “ริบบิ้นขาวของผม ริมบิ้นเหลืองของวี สุขสันต์วันเกิดนะครับ ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรง คิดอะไรก็ขอให้สมหวัง หน้าตาน่ารักใช้เป็นเครื่องมืทำมาหากินได้ไปนานๆ ขอให้ดังคับฟ้าคับจักรวาลนะครับ”

   “ขอให้พี่ฝนมีวความสุขมากๆนะคะ แล้วก็มาหาวีบ่อยๆน้า”

   “ฮ่าๆครับๆ”

   ฝนหัวเราะก่อนจะกล่าวขอบคุณ  หลังจากนั้นกวินก็หยิบเทียนวันเกิดมาปักให้เขา ฝนมองเทียนที่ลุกไหม้ไปช้าๆ เขาไม่ค่อยได้เป่าเค้กวันเกิดนัก ส่วนใหญ่ก็จะซื้อเค้กชิ้นเล็กๆมานั่งกินกับอารัณย์สองคนมากกว่า แต่หนนี้พอได้เป่าเค้กก็ไม่รู้จะอธิษฐานอะไร

   “พี่ฝน เป่าเทียนสิคะ” กานดาเอ่ยเร่งเมื่อเห็นว่าเทียนหดสั้นลงไปทุกที ฝนจึงได้แต่อธิษฐานถึงสิ่งแรกที่คิดแล้วก็เป่าเทียน ยิ้มขำกับคำอธิษฐานง่ายๆของคนอย่าง...

   ขอให้ทุกคนมีความสุข

   เค้กที่กานดาทำอร่อยจนฝนชมเด็กสาวไม่หยุดปาก เป็นเค้กช็อกโกแลตที่ไม่หวานจนเกินไปและโปะครีมไม่หนา ฝนไม่ชอบกินอะไรที่โปะครีมหนาๆ เขารู้สึกว่ามันเลี่ยนและชวนอ้วกมาก  หลังกินเค้กกันจนอิ่มก็เหลืออีกตั้งครึ่งก้อนสองพี่น้องเลยเอาเค้กใส่กล่องแล้วยกให้เขาเอากลับไปบ้าน ยังไงเจ้าของวันเกิดก็เขาอยู่แล้ว

   ฝนอยู่ที่บ้านกวิน ช่วยทำความสะอาดเล็กๆน้อยๆซึ่งนักสืบหนุ่มก็ไม่ได้ขัดศรัทธาในการช่วยเหลือ จากนั้นพวกเขาก็นอนเรียงกันดูการ์ตูน ดูหนัง และเล่นเกมกันจนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปจนถึงหกโมงเย็นฝนก็ขอตัวกลับบ้าน  กวินจึงอาสามาส่งเขาที่ประตู

   “วันนี้ขอบคุณมากนะ” นายแบบหนุ่มเอ่ยคำขอบคุณจากใจ  กวินยิ้มให้เขา “ไม่เป็นไรหรอก บางทีคนที่คุณควรขอบคุณอาจจะไม่ใช่แค่พวกผม” ท้ายประโยคพึมพำแผ่วเบา แต่เพราะนักสืบหนุ่มนึกประโยคนั้นในใจด้วยฝนเลยได้ยินเข้าไปเต็มๆ  คิ้วเรียวขมวดนิดๆแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาแค่ขับรถกลับบ้านแล้วพอมาถึงบ้านก็ต้องพลกับห้องว่างเปล่า

   อารัณย์ยังไม่กลับ  เหอะ ป่านนี้คงจะลืมไปแล้วมั้งว่านี่วันเกิดเขา

   ถ้านี่เป็นวันเกิดพี่คิม พี่รันคงรีบเคลียร์งานให้เสร็จแล้วมาอยู่ด้วยแล้ว

   ฝนถอนหายใจ ความเศร้าแผ่ปกคลุมตัวเขาอีกครั้ง นี่เขาอุตส่าห์ไม่กินข้าวเย็นกับพวกกวินเพระแอบหวังว่าจะได้กลับมาทำ
อาหารเย็นกินกับพี่รัน

   คนตัวเล็กเปิดตู้เย็นออกแรงๆแล้วก็ยิ่งหงุดหงิดเมื่อไม่เห็นของสดในตู้เย็นเลย ไม่มีขนมหวาน ไม่มีเค้กด้วย...

   ปึง

   ฝนเอาเค้กที่ได้จากกวินใส่ไว้ในตู้เย็น เอาให้แม่งกระแทกลูกตาไอ้พี่บ้านั่นไปเลย เหอะ เขาไม่สนเค้กกับของขวัญ        จากอารัณย์แล้วก็ได้ แล้วสุดท้ายฝนก็ต้องมาต้มมาม่าใส่ไข่แล้วก็นั่งกินไปพลางดูหนังซีรีส์คนเดียวไปพลางก่อนจะเก็บล้างแล้วอาบน้ำ นั่งอ่านนิยายรออารัณย์แต่หลังอ่านนิยายจบไปครึ่งเล่ม เงยหน้ามาอีกทีก็พบว่าเป็นเวลาห้าทุ่มครึ่งแล้ว ฝนที่ทนรอคนใจร้ายคนนั้นไม่ไหวแล้วก็เลยปิดไฟล้มตัวลงนอน ก่อนนอนยังส่งข้อความไปโวยวายกับกวินอีกชุดใหญ่

       RainWason : ไอ้พี่รันแม่งงง น้อยใจว่ะแต่ทำไรไม่ได้ ถ้าเป็นพี่คิมเขาคงไม่ทำแบบนี้
   
        RainWason : อยู่ด้วยกันมาหลายปี วันเกิดผมเขาก็จำไม่ได้ ไม่เคยมีของขวัญ สงสัยแม้แต่ของที่ผมชอบหรือไม่ชอบเขาก็คงไม่รู้ น่าเสียใจว่ะ

         หลังระบายความอัดอั้นไปจนพอใจฝนก็หลับไป

        หลับไปทั้งที่ยังน้อยใจอยู่แบบนั้น


   1.30 AM

   ประตูห้องนอนใหญ่ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบาก่อนร่างสูงของช่างภาพหนุ่มผมยาวในสภาพอยู่ในชุดนอนที่เปียกเป็นจุดๆเพราะเขาไม่ใส่ใจจะเช็ดตัวให้แห้งก็ปรากฏขึ้น ร่างสูงเดินแผ่วเบาไปที่เตียง  ไม่อยากให้คนที่กำลังหลับสบายต้องตื่น

   ชายหนุ่มเพิ่งเคลียร์งานด่วนที่บอสส่งมาให้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเสร็จไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้คิดจะลากยาวมาถึงตอนนี้เลยด้วยซ้ำ จริงๆอารัณย์ลาหัวหน้าเอาไว้แล้วแต่เพราะลูกค้าที่ติดต่องานมาหนนี้เป็นคนมีชื่อเสียง ผลงานที่เขาอยากได้คืองานที่สมบูรณ์แบบ หัวหน้าจึงเลือกให้เขารับผิดชอบงานครั้งนี้

   และผลของมันน่ะเหรอ? ก็คือเด็กน้อยที่งอนตุ๊บป่องไปแล้วนี่ไง

   ชายหนุ่มเม้มริมฝีปาก คงน้อยใจนึกว่าเขาลืมวันเกิดล่ะสิ แหงล่ะเพราะเขายังไม่ได้อวยพรอีกฝ่ายเลยนี่นา

   ที่ไม่อวยพรไม่ใช่เพราะลืม ใครมันจะไปลืมวันสำคัญแบบนี้ได้ลง แต่อารัณย์ไม่อยากอวยพรให้ฝนโดยไม่เห็นหน้า เขาอยากบอกกับตัวเป็นๆมากกว่า เลยอดทนรอจะเป็นคนบอกสุขสันต์วันเกิดเป็นคนสุดท้าย

   ครืด

   เสียงโทรศัพท์สั่นทำให้อารัณย์รีบหยิบมาเปิดดูก่อนที่คนข้างกายจะตื่น รหัสผ่านโทรศัพท์ของเด็กคนนั้นเขารู้  เด็กคนนั้นก็รู้รหัสมือถือเขาเหมือนกัน

   ข้อความที่ส่งมามาจากกวิน อีกฝ่ายฝากความคิดถึงจากกานดามาให้  อ่านไปก็ได้แต่เบ้หน้านิดๆ อารัณย์เลื่อนข้อความขึ้นไปเรื่อยๆก่อนจะไปสะดุดกับข้อความล่าสุดที่ฝนส่ง  พออ่านก็รู้สึกแย่อยู่เหมือนกัน อารัณย์ไม่ใช่คนพูดเก่ง เขาดูเป็นคนก้าวร้าวและโลกส่วนตัวสูงด้วยในบางครั้ง ทำให้หลายการกระทำก็ไม่ได้คิดถึงในคนถูกกระทำ

   วันนี้ก็เช่นกัน

   แต่นายอารัณย์ก็ไม่ใช่ผู้ชายใจร้ายขนาดนั้นสักหน่อย

   ฝนบอกว่าถ้าเป็นคิมหันต์เขาจะแคร์เธอมากกว่านี้  มันก็ถูกส่วนหนึ่ง เพราะเขารักคิมหันต์ แต่เขาก็แคร์ฝนเหมือนกัน เพียงแค่คนตัวเล็กไม่ได้รับรู้

   หลายปีที่อยู่ด้วยกันเขาค่อยๆซึมซับตัวตนของฝนไปทีล่ะน้อยจนกลายเป็นเขาเองที่ถูกกลืนกิน

   ความรู้สึกที่ไม่ควรเกิดกับน้องชายอดีตคนรักก็เกิด เขาเคยคิดจะห้ามมันแต่ก็ห้ามไม่ได้เลยได้แต่ปล่อยให้มันกระจายตัวอยู่ในหัวใจเขา แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะพูดมันออกไป

   เพราะเขารู้ดีว่ามันไม่ถูกไม่ควร

   หากถามว่าเขาลืมคิมหันต์ได้หรือยังอารัณย์ก็ตอบได้ว่ายังและไม่คิดจะลืม เขาจะไม่ปล่อยให้เธอเลือนหายไป มันคงเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวหากเขาเลือกที่จะลืมเธอเพื่อไปมีความสุขกับคนอื่น หลอกลวงตัวเองด้วยคำว่าเธอคงหวังให้เป็นแบบนี้

   คนเรารู้ได้ยังไงว่าคนรักที่จากไปหวังให้เราไปมีความสุขกับคนอื่น นั่นมันก็แค่ข้อแก้ตัวของคนที่อยากเริ่มต้นรักครั้งใหม่เม่านั้นแหละ

   เขาจะไม่ลืมคิม ไม่ลืมรักแรกที่ประทับแน่นอยู่ในใจ เธอจะเป็นฤดูร้อนที่สวยงามอยู่ในใจของเขาตลอดไป ถึงวันนี้ความรู้สึกที่เรียกว่า ‘รัก’ จะไม่ได้เกิดกับเธออีกแล้ว...แต่กลับไปเกิดกับคนที่ไม่ควรเกิดมากที่สุดอย่างน้องชายของเธอก้ตาม

   อารัณย์รักฝน แต่พื้นที่ในใจส่วนที่เป็นของคิมหันต์เขาก็ไม่ลบเลือนมันไป

   เขาไม่เคยบอกความรู้สึกนี้ให้ฝนรู้ บางทีอาจเพราะความกลัวก็ได้...ช่างภาพหนุ่มไม่รู้ว่าความรักของเขาเกิดจากตรงไหน อาจจะเป็นความผูกพันก็ได้ เคยมีคนบอกเขาว่าความผูกพันไม่ใช่ความรัก แต่สำหรับเขาความผูกพันทำให้เกิดความรัก และบางทีสองสิ่งนี้อาจจะเป็นอย่างเดียวกัน

   เขาก็ไม่รู้หรอก ไม่แน่ใจ แต่รู้ตัวว่ามีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่กับฝน เป็นความรู้สึกที่อยู่ในใจและไม่เคยได้พูดออกไปสักที

   เขาไม่เคยพูดฝนก็เลยคิดว่าตัวเองไม่มีความสำคัญกับเขา อยู่ที่นี่ในฐานะตัวแทนของคิมหันต์แต่มันไม่ใช่แบบนั้น

   ฝนชอบคิดว่าเขาไม่ใส่ใจรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของตน คิดว่าเขาไม่เคยรู้อะไรเลย

   อืม...เขาไม่เคยรู้เลยจริงๆ

   ไม่รู้เลยจริงๆว่าฝนไม่ชอบกินต้นหอมกับกระเทียมเจียวเพราะบอกว่ากลิ่นมันฉุน

   ไม่รู้เลยจริงๆว่าฝนชอบใส่เสื้อสีฟ้าในวันที่อารมณ์ดี

   ไม่รู้เลยจริงๆว่าฝนไม่ชอบเดินห้างและไม่ชอบที่ที่คนเยอะๆแต่ชอบไปสถานที่ที่ได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากกว่า

   ไม่รู้เลยจริงๆว่าฝนชอบเค้กใบเตยมากที่สุด รองลงมาคือช็อกโกแลตแล้วก็วานิลลา

   ไม่รู้เลยจริงๆว่าฝนชอบกินมัสมั่นกับยำวุ้นเส้น เป็นอาหารโปรดเลยล่ะ

   ไม่รู้เลยจริงๆว่าฝนชอบ สีม่วง สีฟ้า แล้วก็สีเขียว

   ไม่รู้เลยจริงๆว่าฝนติดนิสัยนอนคว่ำหน้า

   ไม่รู้เลยจริงๆว่าเวลาโกหกอีกฝ่ายจะชอบยกมือขึ้นมาเกาแก้มแล้วก็ถูมือไปมา

   ไม่รู้เลยจริงๆว่าอีกคนน่ะห่วยงานเย็บปักที่สุดแต่ก็พยายามเย็บเสื้อที่ขาดให้เขา

   ไม่รู้เลยจริงๆว่าฝนชอบดอกมะลิมากที่สุดในบรรดาดอกไม้ทั้งหมด

   ไม่รู้เลยจริงๆว่าฝนชอบดูหนังแฟนตาซี เป็นแฟนพันธ์แท้แฮรี่ พอตเตอร์กับเพอร์ซีย์ แจ็กสัน


   ไม่รู้เลยจริงๆ...เขาไม่รู้อะไรเลยจริงๆน่ะเหรอ

   แค่ไม่พูดไม่ได้หมายความอารัณย์ไม่รู้ และแค่ไม่พูดไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้สึก

   มันแค่ยังไม่ถึงเวลา

       วันนี้เขาไม่ได้ตั้งใจจะทิ้งให้อีกคนนอนอยู่ที่คอนโดแต่มันมีงานด่วนเข้ามา จริงๆอารัณย์ตั้งใจเคลียร์ตารางตัวเองให้ว่างเอาไว้แล้ว  ส่วนเรื่องรูปถ่ายคู่...ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากถ่าย แต่เขาอยากถ่ายรูปคู่กับฝนในช่วงเวลาพิเศษ อยากให้ทุกครั้งที่พอมองรูปภาพจะนึกถึงเรื่องราวในวันที่ถ่ายได้ ‘ทุกรูป’  อยากให้ทุกความทรงจำติดแน่นในใจ

   เห็นไหมว่านายอารัณย์น่ะรู้ทุกอย่าง คนที่ไม่รู้อะไรเลยน่ะ ฝนต่างหาก...

   ร่างสูงวางกล่องของขวัญลงบนหัวเตียง สอดตัวลงไปใต้ผ้าห่ม มองคนที่หลับไปแล้วก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มอีกฝ่ายเบาๆ

   คำอวยพรน่ะ...เอาไว้พูดวันพรุ่งนี้ตอนอีกฝ่ายตื่นก็แล้วกัน

   เพราะเขารู้ว่ารอยยิ้มกับท่าทางของดีใจของเด็กคนนี้มันน่ารักมากที่สุดเลยล่ะ

**************************************************************

เนื่องจากเห็นคนอ่านบอกคาใจเรื่องรัน-ฝนก็เลยจัดตอนพิเศษมาให้ค่ะ//ยิ้มหวาน
แฮปปี้เบิร์ดเดย์ย้อนหลังน้าน้องฝนคนงาม 5555
ตอนแรกที่เขียนเกือบกลายเป็นกวิน-ฝนแล้ววว รู้สึกว่าเคมีช่างเข้ากั๊นเข้ากัน
แต่เราก็วนกลับลำทัน  รัน - ฝนก็เคมีเข้ากันน้า สำหรับกวินสิ่งที่มีให้ฝนคือมิตรภาพและความรู้สึกดีๆค่ะ
เพราะฝนก็จัดว่าเป็นผู้มีพระคุณสำหรับกวินคนหนึ่งเลยทีเดียว
สำหรับอารัณย์ เขาเป็นครนที่โลกส่วนตัวสูง ดูลั้ลลา ปากหมา ลอยลม แต่จริงๆก็คิดเยอะและเซนซิทีฟพอควร
ดังนั้นเลยไม่ค่อยแสดงออกให้เห็น สำหรับรันความรู้สึกที่เกิดขึ้นอาจจะเกิดจากความผูกพัน
แล้วค่อยๆพัฒนาไปเรื่อยๆ เขาเลยมองว่าความรู้สึกที่มีให้ฝนคือความรักที่เกิดจากความผูกพัน
เพราะก็รู้สึกดีๆต่อกันและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาหลายปี แต่พี่แกอาร์ท ชีวิตเข้าใจยากนิดนึง 55555
ตอนพิเศษที่ตั้งใจจะเขียนก็เหลืออยู่อีกประมาณสองสามตอน
(ไม่แน่ใจว่าจะมีเฟิงปราณไหมแต่ก็อยากเขียนเหมือนกันค่ะ 555)

ขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านและให้กำลังใจนะคะ อ่านคอมเม้นท์วนไปมาหลายรอบมาก 5555
พบกันใหม่ในเรื่อง 'เพราะหลงรักคุณ' (อัพทุกวันเสาร์หรือบางทีก็เสาร์-อาทิตย์ค่ะ)หรือตอนพิเศษตอนหน้านะคะ
 :กอด1: :L2: :-[

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เคลียร์ที่อย่างน้อยเราก็ได้รู้ว่า อย่างน้อยพี่รันก็ยังมีใจรักฝนอยู่บ้าง  :pig4:

ออฟไลน์ มนุษย์บิน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
อยากให้มีตอนพิเศษสักตอนของคู่อีพี่ปากแข็งกับน้องฝนที่แบบให้พระเอกรองของเราเผยความรู้สึกชัดเจนสักทีแบบมันค่อยนู้สึกเหมือนหวานเลี่ยนหน่อยเรารู้สึกตอนนี้มันปนขมหน่อยๆนะอ่านแล้วแอบน้ำตาคลอเลยอ่ะ เหตุการณ์ให้ฝนนางตัดใจมีคนใหม่ให้อีพี่สำนึกนี่ยิ่งสนุกไปใหญ่ จะยังไงเรื่องราวแบบไหนเราก็รออ่านนะ เป็นกำลังใจให้นะ ขอบคุณมำหรับเรื่องราวดีๆจ้า  :impress2:

ออฟไลน์ phrase

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
อ่านจบแล้วก็ยังรู้สึกอึนๆงงๆกับคู่พี่รันน้องฝนอยู่ แต่ก็คงจัเป็นสไตล์ของคู่นี้ รออ่านคู่เฟิงปราณนะคะ

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทพิเศษที่ ๒.๕ (แถมน้ำตาลนิดหน่อย)
วันสงกรานต์ของพี่เดือน น้องดิน และชบาแดง


        น้อยครั้งที่เดือนกับดินจะความเห็นไม่ตรงกัน แต่ไม่มีครั้งไหนที่มันขัดแย้งกันมากเท่านี้มาก่อน...

        “พี่เดือน ดินบอกว่าไม่ใส่ไง”

        “ทำไมอ่ะ นี่เสื้อลายดอกครอบครัวเลยนะ!” คนตัวสูงว่าพลางสะบัดเสื้อใส่หน้าดิน ซึ่งชายหนุ่มผมดำก็ได้แต่กุมขมับ

        กูไม่ใส่เพราะมันเป็นลายดอกไงครับ!

         คนผมดำเบะปากนิดๆ เบือนหน้าหนีไปทางอื่น ไม่มองสีหน้าน้อยอกน้อยใจของคนรักตัวโตที่ยืนถือเสื้อลายดอกสีม่วง มี ดอกชบากับดอกอะไรไม่รู้หลากสีบานเต็มตัวไปหมด แถมไม่ยอมใส่อยู่คนเดียว ยังลากน้องข้าวให้ใส่ไปด้วยอีกคนแถมมันกำลังจะลากเข้าไปใส่ด้วย!

         ให้ตายก็ไม่มีวันใส่!

         ถ้ามันจะทะเลาะกันเพราะเสื้อม่วงลายดอกชบาแดงนี่ก็เอาสิ!

         
         จุดเริ่มต้นของความลำบากใจนี้มันเริ่มจากเดือนที่รีบเคลียร์งานจนเสร็จเพราะอยากเล่นสงกรานต์พร้อมลูกเมีย ลางานมาเต็มๆหนึ่งอาทิตย์ แถมตื่นเต้นมากอยากออกไปเล่นน้ำใจจะขาดเพราะ ‘ไอเท็ม’ ใหม่ที่สั่งมา

         เซ็ทเสื้อลายดอกครอบครัว

         เจ้าตัวดูภูมิใจกับมันมาก พอได้ของก็เอามาอวดสมาชิกในครอบครัวใหญ่ ดินแอบเห็นพ่ออัลเฟรดส่งยิ้มให้กำลังใจมาให้ด้วยล่ะตอนพี่เดือนบอกว่าใส่กันเป็นครอบครัว ตอนนั้นในหัวดินนึกถึงแต่ภาพตัวเองใส่แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

         ชบาแดงแม่งทิ่มตำใจกูมากครับ

         พอตอนเช้าหลังจากทำบุญ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่เสร็จเดือนก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ตัวเองกับลูกอย่างรวดเร็วแล้วก็มาอ้อนกึ่งบังคับให้เขาใส่เสื้อลายดอกนี่แหละ

         “น้องดิน...”

         จะเสียงอ่อนเสียงเชื่อมยังไงเขาก็ไม่ใจอ่อนเด็ดขาด

         ดินเบือนหน้าหนีก่อนจะหยิบปืนฉีดน้ำลายมิกกี้เม้าส์มาส่งให้ลูกชาย พร้อมกับส่งปืนฉีดน้ำลายมินเนี่ยน...แบบกางร่มได้ให้เดือน

         พอมองสภาพอีกฝ่ายที่ใส่เสื้อลายดอกสีม่วงมีดอกชบาแดง ถือปืนฉีดน้ำมินเนี่ยนแบบกางร่มได้ ด้านหน้าก็สะพายเป้อุ้มเด็กแบบมีอานที่นั่ง ซึ่งมีลูกชายนั่งหน้าขาวผ่องใส่เสื้อลายดอกแบบเดียวกันแถมมีปืนฉีดน้ำมิกกี้เม้าส์อันเล็กอยู่ในมือ

         หืม น่ารักแฮะ

         ถ้าคนอื่นอยู่อาจจะขำก๊ากกับท่าทางของคุณพ่อลูกอ่อนที่อยากเล่นสงกรานต์จนกระเตงลูกออกไปเล่นด้วยแต่สำหรับดิน จะว่าอวยแฟนก็ได้นะ แต่มันน่ารักมากนี่นา น่ารักจนเขาถ่ายรูปอัพลงไลน์กลุ่มรัวๆแข่งกับกฤตที่ส่งรูปคู่แฝดมาอวดเช่นกัน

         “ดิน...ไม่ใส่จริงๆเหรอ”

         “ไม่ครับ ไปกันได้แล้วครับตอนนี้คนน่าจะเริ่มเยอะแล้ว”

         หลังจากพูดตัดบทเรียบร้อยดินในสภาพที่อยู่ในชุดเสื้อยืดสีฟ้ากับกางเกงยีนส์ธรรมดาก็เดินนำไปที่รถ พากันขับไปยังสถานที่เล่นน้ำที่เป็นเป้าหมาย

          และตอนนี้แหละที่ดินเชื่อแล้วว่าคนหล่อใส่เสื้อมอซอมันก็ยังออร่าทะลุความมอซออยู่ดี

          ขนาดไอ้พี่เดือนใส่เสื้อชบาแดงมีมินเนี่ยนแถมกระเตงลูกมาเล่นน้ำดูปัญญาอ่อนสุดติ่งผู้หญิงยังกรี๊ดกันไม่หยุด ดินกระพริบตาปริบมองคุณพ่อลูกอ่อนถูกสาวน้อยสาวใหญ่รวมถึงกระเทยและหนุ่มร่างบางลูบไล้ทั่วทั้งตัว มือใครต่อมือใครลูบไล้ใบหน้าหล่อเหลานั่นจนขาวไปทั้งหน้า

           ส่วนดินก็ถูกดีดมาอยู่วงนอกจนได้

           ไม่รู้จะหึง ขำ หรือสงสารดี

            “พี่เดือน โอ๊ย ซิงเกิ้ลฟาเธอร์เหรอคะ กรี๊ดดด อยากได้คนเลี้ยงลูกไหมเอ่ย”

            “ไม่อยากครับ แฟนมาด้วย อยู่นู่นๆ”

            “โอ๊ย แฟนมา ใจสลาย แต่ไม่เป็นไร หนูเป็นแฟนพี่ในมโนก็ได้ค่ะ”

            “พี่เดือน วี๊ด หล่อละลาย”

             “โอ๊ย ถือมินเนี่ยนแล้วก็ยังน่ารัก”

              ดินยิ้มจนตาปิด ตลกจนหลุดขำออกมาตอนที่เดือนพยายามฝ่าวงล้อมสาวๆมาหาเขา ปากก็พูดไปด้วยว่า “อย่าสาดแรงครับ ผมพาลูกมาด้วย” เพราะแบบนั้นชายหนุ่มเลยโดนแต่ประแป้งแล้วก็ค่อยๆรดน้ำ ไม่โดนสาดน้ำแบบหฤโหด ส่วนดินน่ะเหรอ...

             “คนสวย มาคนเดียวเหรอครับ”

             “น่ารักจังครับขอไลน์หน่อย”

             “คุณครับ แป้งผมหมด ขอหอมแก้มแทนได้ไหมครับ”

             “ไม่ได้ครับ” ไม่ต้องเดาเนอะว่าเสียงใคร ตัวมาไม่ได้แต่เสียงนี่ดังจนวงแตกไปรอบหนึ่งเลย

              ดินโดนคนนู้นสาดน้ำใส่ แป้งดินสอพองก็ปาดเข้ามาเต็มหน้าจนแทบลืมตาไม่ขึ้นสำลักน้ำจนแสบตาแสบจมูกไปหมด

              “พ..พี่เดือน”

              เพราะดินสอพองไหลเข้าตาทำให้คนตัวเล็กลืมตาไม่ขึ้น ควานมือเปะปะไปข้างหน้า ไม่รู้ว่าคนรักได้ยินเสียงตัวเองหรือเปล่า

              หมับ

             มือของใครบางคนจับเอวดินก่อนจะดึงให้เดินไปทางหนึ่ง ดินขืนตัวไม่เดินตามปากก็เอ่ยถาม “พี่เดือนเหรอครับ?”คนที่จับเอวเขาอยู่ไม่ตอบแต่ออกแรงเพิ่มมากกว่าเดิม  ดินพยายามปาดแป้งออกจากใบหน้า ฝืนลืมตามองแล้วก็ต้องตกใจคนที่จับเอวเขาอยู่ไม่ใช่เดือน!  แต่กลับเป็นชายร่างสูงที่หน้าตาดูไม่น่าไว้ใจคนหนึ่ง ดินผงะถอยหลังแต่อีกฝ่ายก็อุดปากเขาอย่างรวดเร็ว

              “เอ้ย อ่อย!”

              คนผมดำดิ้นอย่างแรงจนคนข้างๆเริ่มหันมามอง ชายคนนั้นเลยจำต้องปล่อยมือเป็นเวลาเดียวกับที่ร่างของดินถูกดึงอย่างแรงจนเซไปข้างหลัง พอหันไปมองก็พบใบหน้าถมึงทึงของเดือน นายแบบหนุ่มถูกประแป้งจนขาววอกไปทั้งหน้าเหลือแต่ลูกตาดำๆแต่ก็ดูออกว่าใบหน้าหล่อเหลากำลังบึ้งตึง

              ฝ่ามือใหญ่ดึงตัวดินมาไว้ด้านหลังตน พูดเสียงห้วน “ขอโทษครับแต่นี่แฟนผม” ว่าจบก็ดึงตัวคนรักออกไปอีกทางทันที 

             ทั้งคู่เดินฝ่าสายน้ำมาจนถึงใต้ร้านค้าแห่งหนึ่ง เดือนก็ก้มลงสำรวจร่างบางทันที

             “เป็นอะไรหรือเปล่า”

             “ไม่ครับ”

              “มันทำน้องเจ็บหรือเปล่า”

              “ไม่ครับ” ดินยิ้มให้เดือน บอกว่าเขาไม่เป็นอะไร อีกฝ่ายไม่ได้จับต้องอะไรมากไปกว่าแขน เดือนเลยพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก

              “พอเลย ไม่ให้ออกไปเดินคนเดียวแล้ว” ว่าพลางจับมือเล็กขึ้นมาเกาะกุมแน่น ดินยิ้ม เขาไม่ได้คิดมากเรื่องที่ว่าจะต้องตัวติดกับอีกฝ่ายตลอดเวลา  เลยไม่ได้เดินด้วยกันในทีแรกแต่เป็นเดือนเดินนำแล้วดินเดินตาม  แต่ดูเหมือนหลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อครู่ เดือนก็คงไม่ยอมปล่อยให้ร่างเล็กเดินตามต้อยๆอยู่ด้านหลังแล้วล่ะ

              “แล้วนี่เสื้อมันจะบางไปไหน” ดินก้มมองเสื้อยืดที่เปียกน้ำจนแนบติดกับร่าง คือมันก็เป็นร่างของผู้ชายปกตินั่นแหละ แต่คนขี้หวงคงไม่อยากให้คนอื่นเห็น  ฝ่ามือใหญ่หยิบเอาเสื้อลายดอกครอบครัวมาคลุมตัวดินทันที ซึ่งชายหนุ่มผมดำก็ตามใจด้วยการใส่เสื้อลายดอกทับเสื้อยืดไป

              ไม่ใช่ว่าอยากใส่แต่ว่าถ้าเขาใส่เสื้อครอบครัวไปแบบนี้คนอื่นเห็นจะได้เกรงใจกันบ้าง ไม่ใช่นึกอยากจะลูบแฟนเขาตรงไหนก็ลูบ

              ไม่ได้หึงนะ แค่ไม่ชอบเท่านั้นเอง

               “เอาล่ะ ไปเล่นน้ำกันเถอะ!”

               ดินยิ้มให้คนตัวโตที่อารมณ์บูดก่อนจะสอดประสานนิ้วมือเข้ากับร่างสูงแล้วก็พากันไปเล่นน้ำต่อ


               และในค่ำคืนนั้นดินก็เห็นรูปครอบครัวของพวกเขาถูกโพสท์ลงในหน้าเฟซบุ๊คเดือน

               Levi Raveekarn Taylor ได้เพิ่มสามรูปภาพใหม่กับ ปฐพี  สกุลกังสดาล

               ครอบครัวนี้มีเสื้อทีมนะครับ :  )

               349,768 คนถูกใจสิ่งนี้     5,476 ความคิดเห็น    150 แชร์

              “เสื้อลายดอกครอบครัวก็ไม่ได้เลวร้ายใช่ไหมล่ะ” เสียงทุ้มกระซิบข้างหู ดินหัวเราะคิก กลิ้งตัวไปนอนทับอกคนรัก ดวงตาสีน้ำตาลใสแจ๋วเปล่งประกายสบกับดวงตาสีอ่อนที่มองมาด้วยความอ่อนโยน  ฝ่ามือใหญ่ลูบศีรษะคนรักที่เอียงหัวซุกเข้าหา ออดอ้อน

             ดินตอบรับเสียงใส “ก็ว่างั้นแหละครับ”

             แต่ว่าถ้าไม่มีชบาแดงจะดีมาก!

*****************************************************************

ตอนพิเศษจุดห้าค่ะ เลยมาแบบสั้นๆ ตอนแรกว่าจะไม่เขียนคู่นี้ เพราะลงคู่รันฝนไปแล้ว
แต่พอหันไปเห็นเสื้อลายดอกก็นึกถึงพี่เดือนเลยค่ะ 55555 เฮียแกเป็นดาราพ่อลูกอ่อน
ที่ชอบหิ้วลูก(บางทีก็มีดินไปด้วย) กระเตงๆไปนู่นไปนี่ เลยแบบ อืม สักหน่อยก็ดีได้กระชุ่มกระชวย :really2:
 
ส่วนตรงนี้ขออธิบายเรื่องรันฝนนิดนึงสำหรับคนที่อ่านตอนพิเศษที่สองแล้วงงๆ
คือคอนเซ็ปต์ของรันฝนที่เราวางเอาไว้แต่แรกคือ 'ความคลุมเครือ' และ 'Bittersweet' ค่ะ
ตอนแรกคาแรคเตอร์พี่รันไม่ได้แสดงความรู้สึกชัดขนาดนี้ด้วย สองคนนี้มีความรักที่เกิดขึ้น
โดยปนกับความรู้สึกผิดต่อพี่สาวและคนรักเก่า แต่กระนั้นก็ยังยอมรับว่าหลงรักอีกคนไปแล้ว แต่เพราะรู้สึกผิด
และเริ่มต้นกันแบบผิดที่ผิดทาง มันก็เลยทำให้ทั้งคู่ไม่กล้าแสดงออก ไม่บอกว่ารักแต่ก็ไม่ไปไหน
เป็นอารมณ์หวานๆขมๆปนกันไปค่ะ ตอนพิเศษคู่นี้น่าจะมีอีกแต่ยังไม่แน่นอน(เอ๊ะ)
เพราะอย่างนั้นขอเชิญทุกท่านเชยชมเฟิงปราณกันไปก่อนนะคะ  :mew1:

พบกันตอนพิเศษหน้าค่ะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและให้กำลังใจกันนะคะ จุ๊บ :กอด1:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-04-2016 20:22:01 โดย snowrabbit »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ในที่สุดคี่นี้ก็มา รออยู่เลย พี่เดือนเนี่ยน่ารักเสมอเลยเนอะ อิจฉาดินเบาๆอย่างแอบๆ

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
สวัสดีวันปีใหม่ไทยนะคะ   ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษที่ทำให้อบอุ่นหัวใจ ครอบครัวดิน เดือน น้องข้าว สุขสันต์จังค่ะ  เสื้อทีมลายดอกอะไรจะมาน่ารักเป็นทีมขนาดนี้

ออฟไลน์ rada96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เพิ่งมาตามอ่านเรื่องนี้ น่ารักมากๆเลยค่ะ ฮือออออ
น้องดินขี้อ้อนมากเลย ถึงตอนแรกจะรั้นๆไปหน่อย
ชอบมากเลยค่ะ +เป็ด รัวววว
  :impress2: :impress2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
 :ling1:

ใจละลายกับครอบครัวเน้!!!! น่ารักไปไหนเนี่ย

ปอลิง แอบดีใจกับน้องฝนนะ จุ้บๆ หวังว่าพี่รันจะไม่ปล่อยให้น้องรอนานไปกว่านี้แล้ว

ออฟไลน์ jing_sng

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 761
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
สนุกมากเลยค่ะ การเขียนดูเป็นผู้ใหญ่ดี
ตอนเดือนโดนใส่ร้าย แล้วมีกระทู้ต่างๆ นี่พันทิปชัดๆ
ด่าไม่ดูหน้าดูหลังยันไปถึงคนที่ไม่เกี่ยวข้อง เป็นสตรีถูกหมด
คดีนี้คุ้นๆนะ ฮา
ตินิด ความสามารถของน้องดินนี่น่าจะต่อยอดเรื่องย่อยๆ ได้เยอะนะ ส่วนด้ายดำของคู่นี้คืออะไร สงสัยอ่านข้ามไปเลยไม่รู้ความหมาย
โดยรวมถือว่าโครงเรื่อง ภาษา เหตุผลดี อ่านได้ราบรื่น คำผิดมีประปราย  ขอให้เรื่องหน้าพัฒนาดียิ่งๆ ขึ้น

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทพิเศษที่ ๓
หนุ่มดอกไม้กับนายข้าวแกง


       คบกับเฟิงแล้วดีตรงไหน?
 
       คบกันแล้วมันต่างกับตอนที่ยังไม่ได้คบกันยังไง?

       นี่คือสิ่งที่หนุ่มน้อยผิวแทนเฝ้าถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาตลอดระยะเวลากว่าสามเดือนที่คบกัน แล้วก็ได้คำตอบออกมาเป็นแบบเดิมคือ
 
      แม่งแทบไม่แตกต่างกันเลยเหอะ

      เฟิงก็ยังเป็นเฟิง เป็นหนุ่มตี๋ร้านขายข้าวแกงที่ไม่ได้หล่อมากแต่สาวก็ขยันเข้าหาแบบสม่ำเสมอ

      เป็นไอ้เฟิงที่แจกยิ้มจนตาหยีเรี่ยราด

      เป็นไอ้เฟิงที่พูดจาดีกับเด็กเล็ก เด็กผู้หญิง  สตรีมีครรภ์และคนชรา

      เป็นไอ้เฟิงคนเดิม...

      “แหม พี่เฟิงเนี่ย ยิ้มน่ารักจังเลยนะคะ นั่งมองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อเลย โสดแบบนี้จีจี้ขอให้พี่เฟิงมาเป็นคู่ซ้อมรำให้หน่อยได้ไหมคะ”

       “ทำไมต้องเป็นคู่ซ้อมรำเหรอครับ”

        “ก็...จีจี้จะได้จีบ” ว่าจบสาวเจ้าก็ยกมือขึ้นมาจับจีบก่อนจะขยิบตาให้ด้วยท่าทางที่คิดว่าน่ารัก น่าหยิก น่าเอ็นดู โอ๊ยยย แม่นางงามตลาดสด 

          ไอ้เด็กหนุ่มผิวขาวยิ้มจนตาตี่ๆปิดกลายเป็นขีดเดียว ส่งยิ้มให้สาวเจ้าวี้ดว้ายเล่นอีกรอบทำเอาคนที่กำลังนั่งเท้าคางมองถึงกับคิ้วกระตุก

         คือ...น้องปราณก็ไม่ได้อยากจะขี้หึงแต่มึงอาจจะลืมไปนะไอ้เฟิง มึงก็เป็นไอ้เฟิงคนเดิม...ที่เพิ่มเติมคือมีแฟนแล้ว แล้วจะไปอ่อยชาวบ้านเขาไปทั่วทำไมวะ!

         ปราณขมวดคิ้วก่อนจะก้มหน้าก้มตาจ้วงพะแนงหมูกับข้าวเปล่าลงคออย่างรวดเร็ว ชิ ไอ้เรารึก็อุตส่าห์รีบวิ่งมากินข้าวเที่ยงถึงนี่ทั้งที่ปกติจะสั่งข้าวไปกินที่ร้าน แต่ช่วงวันเสาร์แบบนี้ไอ้เฟิงคงไม่ได้มานั่งกินด้วยกันแน่ๆเพราะคนเยอะอย่างกับปลวก น้องปราณเลยเป็นฝ่ายเดินไปกินข้าวที่ร้าน รอคิวตั้งนานกว่าจะได้เข้าไปนั่งไม่รู้ลูกค้าคนอื่นแม่งจะกินอะไรนักหนา  แล้วลูกค้าส่วนมากก็ผู้หญิงทั้งนั้น นี่หล่อนไม่กลัวอ้วนกันแล้วเรอะ

          พอมาถึงแล้วได้เข้าไปนั่งก็ได้รับการบริการที่แสนดีจากแฟน ไอ้เฟิงที่วิ่งเสิร์ฟอาหารไปมาจนหัวหมุนพอเห็นน้องปราณเข้ามานั่งก็รีบเดินเข้ามาหาพร้อมกับแก้วน้ำ เซอร์วิสประทับใจจนอยากจะโดดหอมแก้ม...

          กึก

         “เอ้า อยากกินไรเดินไปตัก บริการตัวเองนะมึง” พูดจบก็เดินไปรับออเดอร์สาวๆต่อ พอก้มมองฝนแก้วก็อยากจะสบถออกมาเป็นภาษาเกาหลีผสมรัซเซีย “ไอ้เหี้ยเฟิง!” มึงเอาแก้วเปล่ามาให้กูทำไม อย่างน้อยตักน้ำแข็งใส่มาให้บ้างก็ไม่ได้ ไอ้ตาเม็ดก๋วยจี๋!

         ว่าแต่ที่น้องปราณสบถออกไปเมื่อกี้มันไม่ใช่ภาษาเกาหลีนี่นา อุ๊บส์

         หลังจากที่นั่งกินข้าวไปดูคนอื่นเต๊าะแฟนตัวเองไป ในที่สุดปราณก็ได้ฤกษ์วางช้อน ไม่รู้จะถ่วงเวลากินข้าวยังไงให้นานกว่านี้แล้ว เคี้ยวช้ากว่านี้คือเคี้ยวเอื้องละ

        “อิ่มแล้วเหรอมึง” เสียงทุ้มของหนุ่มตี๋ลูกชายร้านขายข้าวแกงดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงที่เดินมาเก็บจานไปอย่างรวดเร็ว นี่ล่ะ ไม่มีหรอกจะมาพูดคงพูดครับกับเขา โน่น คำสุภาพของมันมีไว้ให้สาวๆนู่น กับแฟนนี่พูดกันทีนึกว่าท้าต่อย  เฟิงมองหน้าปราณนิ่งๆจนคนถูกมองชักใจไม่ดี รีบก้มหน้างุด แก้มนิ่มๆก็ซับสีแดงระเรื่อ “ม...มองหน้ากูทำไม”

         พอได้ยินแบบนี้เฟิงก็ยกยิ้มมุมปากขึ้น “ทำไมเขินเหรอ หึ เขินซะหน้าดำเชียวมึง”

        โอ๊ย เกลียดดด เกลียดมากเวลามีใครมาล้อว่าดำเนี่ย

        “ผิวแทน ตัวเล็ก สเป็คฝรั่ง”

        “หึ ที่ว่ามานั่นมันผู้หญิงเหอะว่ะ อย่างมึงอ่ะ เตี้ยแถมยังแบน ไม่ใช่สเป็คฝรั่งหรอก”

         ปราณแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย นึกอยากโดดถีบขาคู่มันยิ่งนักแต่นี่เป็นในร้านอาหารที่ลูกค้า(สาวๆซึ่งเป็นแม่ยกไอ้เฟิง)เยอะ  มันคงจะไม่ดีหากน้องปราณจะมาฟ้อนเล็บตรงนี้

         ชิ วันนี้แพ้ไป กูถอยทัพก่อนก็ได้วะ

        น้องปราณ ณ ร้านขายดอกไม้งอนจนปากเล็กๆเบะคว่ำ ยิ่งเจ้าตัวโกรธมากเท่าไหร่ไอ้คนแกล้งก็ดูจะอารมณ์ดีมากเท่านั้น คนตัวเล็กที่ปราชัยไปในครั้งนี้เลยได้แต่กระทืบเท้าออกจากร้าน

       “ไอ้ปราณ”

       “อะไร”

        บอกไว้ก่อนว่าถ้าจะง้อกูต้องมาพร้อมของเซ่นไหว้  ขนมห้าชนิดเป็นอย่างต่ำ

       “อย่ามาเนียนแดกฟรี จ่ายตังค์มา”

        ไอ้ตี่เต่าถุย!

        ลูกค้าในร้านที่ได้ยินพากันหัวเราะคิกคักมองตามปราณที่เดินหน้างอมาจ่ายเงิน อายก็อาย  น้อยใจก็น้อยใจ ทำไมไอ้เฟิงทำเหมือนเขาเป็นตัวตลกแบบนี้วะ

         “เอ้านี่ เอาไปเลย” ยัดค่าข้าวใส่มืออีกฝ่ายด้วยอารมณ์หงุดหงิดขั้นสุด  นี่แหละ ถึงได้บอกว่ามันไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ถึงจะบอกว่าคบกันแล้ว เป็นแฟนกันแล้ว แต่ปราณก็แทบจะไม่เคยได้ยินคำบอกรักจากเฟิงอีกเลย ทุกอย่างก็เป็นเหมือนเดิม  เจอหน้ากันก็กัดกันแทบจะไม่เว้น  แถมเดี๋ยวนี้มันยิ่งผยอง รู้ว่าเขารักก็ชักเอาใหญ่ แหย่ได้แหย่ดี แถมยังทำตัวเหมือนโสดอีก ไปยิ้มให้คนอื่นทำไม  ไปทำตัวน่ารักใส่คนอื่นทำไม แล้วทีพอเขายิ้มให้ลูกค้าบ้าง พูดจ๊ะๆจ๋าๆกับคนอื่นบ้างก็มาทำเป็นหึง

          คิดว่าหึงเป็นอยู่คนเดียวหรือไงวะ

          ทำแบบนี้มันเหมือนกับว่าเขาเป็นของมันแค่คนเดียวไม่ใช่หรือไง  ในขณะที่เฟิง...เหมือนไม่ใช่ของเขาเลย

          “ไอ้ปราณ” เสียงเฟิงทำให้คนที่กำลังจะก้าวพ้นประตูร้านออกไปชะงักอีกครั้ง หันมาพร้อมกับขมวดคิ้ว คราวนี้อะไรอีกล่ะ
ร่างสูงของเด็กหนุ่มเชื้อจีนก้าวมาประชิดก่อนคนตัวสูงจะโน้มตัวลงมากระซิบข้างหู
 
         “ถึงมึงจะไม่ใช่สเป็คฝรั่งแต่มึงก็สเป็คกูนะ”

         “พ่อมึงสิ”

         ด่าจบก็เดินหนีออกมา หน้าร้อนวูบๆไม่หยุด อยากจะโกรธมันให้นานอยู่หรอกแต่ไม่รู้ทำไมถึงกลายเป็นว่าตัวเองมากลั้นยิ้มจนปวดแก้มแบบนี้

         เพราะมันเป็นคนแบบนี้ไงถึงไม่เคยโกรธมันได้นานเลย

         พอเดินกลับมาถึงที่ร้านขายดอกไม้ปราณก็เห็นพี่ชายสุดหล่อของตัวเองยืนคุยกับแม่อยู่ เด็กหนุ่มยิ้มกว้างจนแก้มแทบปริ ถลาไปหาพี่ชายที่เป็นนายแบบสุดหล่อ

         “พี่เดือนจ๊ะ”

         “อ้าวน้องปราณ มาพอดีเลย” พี่เดือนหันมายิ้มให้เขาก่อนจะพูดว่า “ใกล้งานประจำปีอีกแล้ว พี่เลยมาขอให้วงน้องปราณขึ้นแสดงอีกได้ไหม”

         “ได้แน่นอนจ้ะ”

        “แต่ปีนี้ไม่ต้องสั้นมากก็ได้นะ”

         พี่เดือนส่งยิ้มเจื่อนๆมาให้  หน้าซีดๆเหมือนคนกลัวอะไรสักอย่าง  ปราณที่ไม่รู้ว่าตัวเองเกือบทำพี่ชายสุดหล่อโดนปังตอเฉาะหัวขยิบตาให้แบบน่ารัก “ไม่สั้นแต่น้องแซ่บนะจ๊ะ”

         เดือนหัวเราะฝืดๆ

         ปีนี้ก็มีแววปังตอลอยอีกแล้วเหรอวะ

         หลังจากคุยธุระกับพี่เดือนเสร็จปราณก็ส่งไลน์ไปบอกเฟิงว่าตัวเองตอบรับงานร้องเพลงวันงานตลาดอีกแล้ว และแน่นอนว่าเฟิงก็รีบส่งไลน์มาคัดค้าน แต่ก็นั่นแหละ ช้าไปอยู่ดี  แต่มีหรือว่าไอ้เฟิงจะยอมหยุดแค่ส่งไลน์มาห้าม  ช่วงประมาณบ่ายสองที่ร้านไม่ค่อยมีคนแล้วหนุ่มตี๋ก็ปลีกตัวจากร้านมาหาถึงถิ่น

         แถมมาเจอตอนแฟนตัวเล็กของตัวเองกำลังยิ้มหวานให้ลูกค้าอีกด้วย

         เฟิงขมวดคิ้วฉับมองลูกค้าหนุ่มที่ยืนยิ้มโง่อยู่หน้าร้านดอกไม้ มองพ่อค้าตัวเล็กพูดเสียงหวานตอบคำ เห็นแล้วก็อยากจะควงปังตอใส่  หลังจากลูกค้าออกไปแล้วเฟิงก็เดินหน้ายุ่งเข้าไปหา

         “อ้าว ว่างแล้วเหรอ”

        “มึงยิ้มให้ลูกค้าทำไม”

        “อะไรวะ?”

         ใบหน้าหวานฉายแววงุนงงสุดขีด เฟิงถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด ไม่ชอบเลยเวลาปราณไปจ๊ะๆจ๋าๆกับคนอื่น ไม่รู้หรือไงว่าแบบนั้นมันน่ารักมาก...ทำให้หวงมาก

         ทั้งหวงทั้งห่วงแล้วก็หึงด้วยเวลาไปยิ้มให้คนอื่น
   
         “ทีมึงยังยิ้มให้ผู้หญิงได้เลย”

         “ก็นั่นลูกค้า”

         “นี่ก็ลูกค้า”

        “ไม่เหมือนกันสักหน่อย”

        “ตรงไหน”

        พอเสียงใสเริ่มแข็งก็เป็นสัญญาณว่าอาจจะมีการวางมวยอีกรอบ   เฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆบอกตัวเองให้ใจเย็นๆ เขาไม่ได้จะมาทะเลาะกับอีกฝ่ายสักหน่อย

        “เรื่องที่จะขึ้นร้องเพลง ปฏิเสธได้ไหม”

        “ไม่ได้”

        “ทำไม” เสียงเขาก็เริ่มห้วนบ้างแล้ว

        “กูอยากทำ”

        แค่คำนั้นแหละที่ทำให้ความอดทนเฟิงสิ้นสุด

       “อ้อ มึงชอบเหรอ ออกไปยืนส่ายสะโพก ร่อนเอวให้ผู้ชายดูนี่ชอบนักใช่ไหม”

        “ไอ้เฟิง!”

         “ทำไมมึงไมเข้าใจกูบ้างวะ ว่ากูหวง กูไม่อยากให้มึงทำ” ไม่อยากให้ออกไปยิ้มให้ใคร ไม่อยากให้ออกไปทำตัวน่ารักกับคนอื่น ปราณไปรู้หรอกว่างานตลาดสดปีที่แล้วเขาร้อนใจและก็อึดอัดมากแค่ไหน  เห็นใครต่อใครมองที่มัน ได้ยินใครต่อใครพูดถึงมันในแง่ลามกก็โกรธจนแทบจะชกคนพูดให้ปากแตกกันไปข้าง

          ไม่ชอบ

         หวง ห่วง หึง

         อยากให้มันยิ้มให้เขา...ทำตัวน่ารักกับเขา...เป็นของเขาคนเดียว

         เขารักมันมากเกินกว่าที่มันจะรู้ รักมากก็ห่วงมาก...แต่ไอ้ปราณก็ไม่รู้

         “แต่กูอยากทำ...กูไม่ได้นอกใจมึงสักหน่อย ก็แค่ขึ้นไปร้องเพลงเอง”

         เฟิงจ้องตาปราณนิ่งซึ่งอีกฝ่ายก็จ้องกลับอย่างไม่ยอมแพ้ สุดท้ายเขาก็เบือนหน้าหนี แล้วเดินกลับร้าน ไม่ได้พูดอะไรแต่รู้อยู่แล้วว่าการเจรจาวันนี้ล้มเหลว

         พอมาถึงร้านเด็กหนุ่มก็ขยี้หัวตัวเองอย่างหงุดหงิด ทะเลาะกันอีกแล้ว ไม่ชอบเลย...เขาไม่ได้อยากจะให้เรื่องมันออกมาเป็นแบบนี้เสียหน่อย


         คบกับเฟิงแล้วต่างจากก่อนหน้านี้ตรงไหน...มันไม่มีอะไรเปลี่ยน

          พวกเขาก็ยังเป็นแบบเดิม  ทะเลาะกันทุกวัน แล้วก็ดีกัน ทะเลาะกันใหม่ วนไปวนมา

          แต่ก็มีความสุข...

          ปราณไม่เคยสงสัยในความรู้สึกตัวเอง แต่ที่เขาสงสัยคือความรู้สึกของเฟิง

         มันรักเขาจริงหรือเปล่านะ...

         “อ้าวปราณ มาแล้วเหรอ เข้ามาสิๆ อยากกินไรบอก เดี๋ยวเฮียทำให้” ปราณยิ้มให้ชายหนุ่มร่างสูงที่สวมเสื้อกล้ามอวดมัดกล้ามกับผิวขาวตามประสาลูกเชื้อจีน  ดวงตาตี่และโครงหน้าที่คล้ายกับเฟิงทำให้ปราณรู้สึกสนิทใจกับพี่ชายของเฟิงได้ง่ายมาก พี่ฟาก็ใจดีกับปราณมากๆด้วย

         “อยากกินมัสหมั่นไก่ ไข่เจียว แล้วก็แกงจืดจ้ะเฮีย”

        “ได้เลย นั่งก่อนๆ เอ้าโค้กไหม”

        “เอาจ้ะ”

        พี่ชายตัวโตจัดแจงหยิบขวดน้ำอัดลมกับแก้วใส่น้ำแข็งมาวางให้เสร็จสรรพ ผิดกับหนก่อนที่คนน้องมันวางมาให้แค่แก้วเปล่า คิดแล้วก็โมโหไม่หาย

         “แล้วนี่เฟิงไปไหนอ่ะจ๊ะ”

        “อ้อ สอนพิเศษเด็กม.ต้นอยู่แน่ะ”
       
        ว่าพลางบุ้ยใบ้ไปยังด้านหลังร้านที่มีโต๊ะกลมวางอยู่  ปราณชะเง้อมองก็เห็นเด็กผู้หญิงผมสั้นคนหนึ่งนั่งก้มหน้าก้มตาเขียนหนังสืออยู่ โดยมีเฟิงคอยชี้แล้วก็อธิบายเนื้อหาไปด้วย

          “ทำไมมาให้เฟิงสอนล่ะจ๊ะ”

         “อ้อ เป็นลูกสาวคนรู้จักป๊าน่ะ  เขาฝากมา ไอ้เฟิงมันเก่งคณิตไงเขาเลยขอให้ช่วยสอน”

          “จ้ะ”

          ปราณรับคำ ทั้งที่ในอกมันวูบโหวงไปหมด  ไม่ได้อยากตีตนไปก่อนไข้แต่มันก็อดคิดไม่ได้  เด็กผู้หญิงคนนั้นก็ดูน่ารักมากด้วย  ผิวขาว  ตากลม จมูกโด่ง ตัวเล็ก สเป็คไอ้เฟิงมันเลยล่ะ ก่อนหน้านั้นปราณก็เห็นมันคบแต่กับผู้หญิงแบบนี้  เขาแค่รู้สึกหวั่นใจ  สอนพิเศษ เจอหน้ากันสองต่อสอง ไอ้เฟิงมันจะหวั่นไหวหรือเปล่านะ

         ดวงตากลมจับจ้องมองร่างคนสองคนที่หัวร่อต่อกระซิกกันอย่างสนุกสนาน

         อ่า...ไม่เอาสิ อย่าหงุดหงิดสิปราณ อย่ากลายเป็นคนขี้หึงไม่มีเหตุผล

         อย่า...

        ไอ้โง่เฟิง...มาบอกว่าไม่ให้กูยิ้มกับลูกค้า แต่ตัวมึงก็ยิ้มเรี่ยราดไปทั่ว

        มึงห้ามกูทุกอย่าง แต่มึงก็ทำทุกอย่างที่มึงห้ามกู

        กูอยู่ในกรง มึงมีอิสระ ไม่เห็นจะยุติธรรมเลย

        “เชี่ย” ปราณพึมพำ ปาดหยดน้ำใสๆที่คลอตรงหัวตาออก

        ทำไมถึงได้อยากร้องไห้มากขนาดนี้นะ

        วันต่อมาปราณที่เมินคำบอกของเฟิงก็หอบเอารายการเพลงมาหาพี่เดือนแล้วก็แจกแจงว่าจะแสดงเพลงอะไรบ้าง 

        “ก็มีประมาณนี้แหะจ้ะพี่เดือน ส่วนชุดปราณเลือกแล้ว ไม่สั้นมากรับรอบ ใสๆจ้ะ”

        “คร้าบ ปีนี้ก็ฝากด้วยนะ”

        “น้องปราณ พี่เดือน กินผลไม้ก่อนสิ”

        เสียงนุ่มของพี่ดินดังขึ้นก่อนที่ชายหนุ่มผมดำจะเดินถือจานใส่ผลไม้เข้ามาข้างๆมีเด็กน้อยต้นข้าวเดินเตาะแตะมาด้วย  “อาปานนน”

        “ว่าไงน้องข้าว ไหน มาให้อาปราณหอมหน่อยเร็ว”

       ปราณอมยิ้มระหว่างอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมาฟัดแก้มนุ่มสายคว้า ตอนแรกที่เห็นเจ้าตัวเล็กนี่ครั้งแรกปราณยังตกใจแทบตายนึกว่าพี่เดือนไปทำดาราสาวท้องจริงอย่างข่าวว่าแต่พอรู้ความจริงก็รู้สึกนับถือน้ำใจคนคู่นี้ขึ้นอีกมากโข  จะมีสักกี่คนที่ยอมรับลูกของคนที่ทำร้ายเรามาดูแล้วก็รักประหนึ่งลูกแท้ๆของตัวเองแบบนี้

       พอมองภาพคนสองคนที่ยิ้มให้กัน  รักกันและมีครอบครัวเป็นของตัวเองแบบนี้ก็ทำให้เด็กหนุ่มอดคิดไพล่ไปถึงตัวเองกับคนรักไม่ได้

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
       ในอนาคตเขากับเฟิงจะมีโอกาสได้เป็นแบบนี้บ้างไหมนะ

       “เอ้อ ปราณแล้วเรื่องขอให้ขึ้นร้องเพลงนี่โอเคนะ ไม่มีปัญหาใช่ไหม”

       “ใช่จ้ะ  ขอโทษนะจ๊ะทีสองปีที่ผ่านมาไม่ได้ช่วยเลย” เพราะเขาอยู่ในช่วงม.หก ต้องอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบก็เลยเว้นไป
จากนั้นพอเข้าปีหนึ่งก็มัวแต่วุ่นวายกับชีวิตเฟรชชี่ ช่วงแรกๆเลยทุลักทุเลอยู่บ้าง พอมาตอนนี้อะไรๆเริ่มเข้าที่เข้าทางก็เลยพร้อมรับงานอีกครั้ง

        “แล้วไหนชุด มีรูปไหม พี่ขอดูได้หรือเปล่า”

        “ได้จ้ะ รอแป็ปนะจ๊ะ”

        ปราณวางเจ้าตัวเล็กลงบนโซฟาก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาจะเปิดรูปที่เซฟไว้ให้พี่ๆดู แต่แล้วดวงตากลมโตก็ต้องเบิกกว้างเมื่อเห็นข้อความไลน์เพื่อนคนสนิทส่งมาให้ดู  มันเป็นรูปเสื้อผ้าของเขา...ทั้งชุดกางเกงขาสั้นตัวโปรด เสื้อยืดสกรีนลายที่เซ็กซี่นิดๆ ทั้งหมดนั่น...ถูกเผาจนแทบไม่เหลือสภาพเดิม!

        แต่เจ็บใดก็ไม่เท่าประโยคสั้นๆที่เพื่อนพิมพ์ตบท้ายมา

        ‘ไอ้เฟิงทำ กูไปเจอตอนมันเผาพอดีเลย ขอโทษที่กู้ชีพชุดมึงมาได้เท่านี้’

       “แม่งงงง”

      “เฮ้ย เป็นอะไร”

      เดือนสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆน้องชายคนน่ารักหวีดร้องสุดเสียงประหนึ่งโดนพี่เข้า “พี่เดือน พี่ดิน ปราณกลับบ้านก่อนนะจ๊ะ” ร่างเล็กที่สั่นระริกด้วยความโกรธลุกขึ้นยืนหน้าตาถมึงทึง ก่อนจะไหว้ลาพี่ๆแล้วรีบเดินออกไปทันที

      ไอ้เฟิง มึงกับกูได้เห็นดีกัน กร๊าซซซ!

      ทางด้านเดือนที่ยังคงนั่งงงกับท่าทางแปลกๆของเด็กหนุ่มผิวแทนก็ขมวดคิ้ว จิ้มแอปเปิ้ลเข้าปากระหว่างเปรยให้คนรักที่นั่งพิงไหล่เขาอยู่ได้ยิน

       “เอายันต์มาติดในบ้านดีไหม”

       “ฮะ? เป็นอะไรครับพี่เดือน ร้อนจนประสาทกลับเหรอ”

       “เปล่า ช่างเถอะ แล้วตะกี้ปราณเป็นอะไรน่ะ”
   
      ดินอมยิ้ม หัวเราะคิกออกมา ตอบทีเล่นทีจริง “ปางพิฆาตปังตอกำลังลงน่ะครับ”
   
       ทันทีที่ที่ออกจากบ้านสวนของเดือนกับดินปราณก็ไม่ได้มุ่งตรงกลับบ้านแต่เขาตรงไปที่ร้านอาหารของเฟิงทันที บ่ายๆแบบนี้ไม่ค่อยมีคน ดีเลย จะได้อาละวาดได้เต็มที่ หลังสอบถามกับเฮียฟาปราณก็ยิ่งหงุดหงิดหนักกว่าเดิม
   
       ไอ้ตาขีดเดียวนั่น...มันเผาเสื้อผ้าเขาแล้วก็กลับมาสอนพิเศษเด็กม.ต้นแบบสบายใจเฉิบเนี่ยนะ!
   
       ยิ่งพอเปิดประตูออกไปเจอหนุ่มตี๋ร้านข้าวแกงกำลังหยอกล้ออยู่กับแม่สาวน้อยผมติ่งก็ยิ่งโมโหจนอยากจะหาอะไรมาแหกตาตี่ๆนั่นจริงๆ
   
        ความสำนึกเสียใจมึงอยู่ไหนฮะ!
   
        “อ้าว ว่าไงมึง”
   
       “ว่าไงพ่อมึงสิ!”
   
        พอเห็นเขาเสียงดังเด็กหญิงคนนั้นก็สะดุ้ง มองเขากับเฟิงสลับกันก่อนจะหันไปขมวดคิ้วใส่เฟิง ดูไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะ “นี่ใครคะพี่เฟิง”
   
        “แฟน”
   
        “อะไรนะคะ”
   
        “บอกว่ากูเป็นแฟนมันไง หูตึงเหรอ” ปราณเดินเข้าไปดึงมือเด็กหญิงคนนั้นออกจากแขนเฟิงแบบไม่เบามือนัก “ปราณ เบามือหน่อย นั่นเด็กผู้หญิงนะ”

        “กูก็ไม่ได้จับแรง”

       “ช่างเถอะ”  พอเห็นสถานการณ์ชักไม่สู้ดีเฟิงก็หันไปบอกให้เด็กหญิงเก็บของกลับบ้านไปก่อนซึ่งเธอก็ปฏิบัติตามแต่โดยดี  พอคนนอกออกไปแล้วปราณที่ทั้งโกรธทังน้องใจก็หันไปทำปากคว่ำใส่เฟิง

       “มึงเผาเสื้อกู”

       “ก็กูไม่อยากให้มึงใส่”

       “กูเป็นผู้ชาย มันก็ไม่ได้เสียหาย”

       “เพราะเป็นมึงไงมันถึงเสียหาย!”

       “ตรงไหนวะ มันเสียหายตรงไหน  ตรงที่กูขาใหญ่เป็นขาหมูแบบที่มึงชอบล้อ หรือเพราะกูไม่มีหน้าอก หรือเพราะตัวกูเตี้ยแถมยังอ้วนเป็นโอ่ง ใส่ไปก็ไม่น่ารัก ไม่เหมือนพวกผู้หญิงที่มึงชอบ!”

        “ไม่ใช่แล้ว มึงพาลโยงนู่นโยงนี่มั่วแล้วนะ”

        ปราณรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาจุกที่คอหอย รู้สึกตื้อๆเหมือนกำลังจะร้องไห้ พวกเขาทะเลาะกันบ่อยก็จริงแต่ส่วนมากก็แค่กัดกันเบาๆ มีไม่กี่ครั้งที่ทะเลาะกันรุนแรงจนเขาร้องไห้

        แต่ครั้งนี้เฟิงทำเกินไปจริงๆ

        “ทำไมวะเฟิง” เขาพูด น้ำเสียงสั่นเครือ

        “ทำไมพอเราคบกันแล้วอะไรมันถึงไม่เปลี่ยนไปเลย มึงก็ยังเป็นมึง ใจดีกับทุกคน ทำเหมือนคนที่ยังไม่มีแฟน ในขณะที่กูกลับหัวหมุน โมโห หึง รู้สึกงี่เง่าทุกครั้งที่น้อยใจแล้วก็โกรธที่เห็นมึงยิ้มให้คนอื่น มึงใจดีกับทุกคนยกเว้นกู มึงพูดดีกับทุกคนยกเว้นกู มึงทำดีกับทุกคนยกเว้นกู มึงห้ามนู่นห้ามนี่กูเต็มไปหมดแต่กูกลับไปเคยห้ามมึงได้เลย...มึงหึง กูก็หึง มึงหวง กูก็หวงมึงมากเหมือนกัน แต่มีแต่กูที่ถูกทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของในขณะที่กูรู้สึก...ว่ามึงไม่ใช่ของกู”

         “ตกลงมึงรักกูจริงๆใช่ไหมวะ...ทำไมกูรู้สึกว่าคำว่ารักของมึงเบายิ่งกว่าอากาศเสียอีก”

         ความทรมานใจที่กัดกินคือความไม่ชัดเจน เฟิงไม่เคยทำให้ปราณแน่ใจเลยว่าพวกเขาเป็นแฟนกันจริงๆ เขาไม่เคยรู้เลยว่าอีกฝ่ายรู้สึกกับเขามากแค่ไหน

         “ปราณ...กู...ขอโทษ”

        “ไอ้โง่ กูไม่ได้ต้องการคำขอโทษ”

        เด็กหนุ่มตัวเล็กสะอื้นฮัก  น้ำตาไหลนองหน้า เขาใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาแบบลวกๆก่อนจะเดินหนีออกไป ก่อนไปยังหันมาชูนิ้วกลางใส่แฟนเฮงซวยอีกหนึ่งที

        “ถ้ากูไม่รักมึง...มันก็คงจะดีหรอก”


        “เอาล่ะ  วันนี้เราจะแสดงทั้งหมดห้าเพลงนะ  มีปราณร้องนำสามเพลง  เราซ้อมกันมาเยอะแล้ว ทำให้เต็มที่นะทุกคน”  เสียงรับคำดังมาจากแดนเซอร์ที่เป็นรุ่นน้อง ตอนนี้ทุกคนแต่งหน้าทำผมกันเรียบร้อยพร้อมขึ้นแสดง

         “ไอ้ปราณ” เด็กหนุ่มนักร้องนำเงยหน้าขึ้นอย่างซึมๆตามเสียงเรียกของเพื่อนสาวที่มายืนเท้าเอวค้ำหัวอยู่ “เป็นอะไรมึง ทำหน้าเหมือนคนอกหัก”

         “อืม”

        “เฮ้ย เอาจริงดิ!? เลิกกับเฟิงแล้ว?”

        “ยัง...แต่ทะเลาะกัน”

        พอมองใบหน้าของเพื่อนสนิทที่ดูไม่สดใสเหมือนเคยเธอก็ได้แต่ถอนหายใจ  ลูบเส้นผมนิ่มเบาๆ “โอ๋ๆนะ นี่ไง วันนี้มึงก็ปล่อยให้เต็มที่เลย ร้องให้มันสุด!”

        “ได้เลย”

        ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เสียงนี้เหี่ยวเป็นผักชีเฉาเชียวไอ้ปราณเอ๊ย

        “เอาเถอะ มึงรีบเรียกสติกลับมาไวๆแล้วกัน ฮึบ!”

        ตบหลังตบไหล่ปลอบใจก่อนเดินไปรุ่นน้อง ปราณที่นั่งอยู่คนเดียวก็ได้แต่ทอดถอนใจ  ครั้งนี้พวกเขาทะเลาะกันหนักมาก หลังจากทะเลาะกันก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย  มีแต่เฟิงที่ยังให้เฮียฟาเอาข้าวเอาน้ำมาให้ปราณกินตอนกลางวันเหมือนเดิม

        พอไม่มีคนมาเถียงด้วยแล้วก็เหงาหูเหงาปากพิกล...

        อยากเจอ...คิดถึง...ทำยังไงดี

        แปะ

       คนตัวเล็กใช้สองมือตบหน้าตัวเองเบาๆเรียกสติ วันนี้เขาต้องทำให้เต็มที่สิ ทะเลาะกันแค่นี้เอง...จบงานนี้แล้วเขาจะไปเคลียร์กับมัน

        เด็กหนุ่มเดินขึ้นไปบนเวที ยิ้มกว้างให้กับผู้ชมด้านล่างพลางกวาดสายตาไปทั่ว จนไปสะดุดกับคนคู่หนึ่งที่ยืนอยู่ด้วยกัน...
เฟิงกับเด็กม.ต้นคนนั้นยืนอยู่ด้วยกัน โดยที่เด็กคนนั้นคล้องแขนของมันไว้ ส่วนมันยืนล้วงกระเป๋ากางเกงจ้องมองมาที่เขาด้วยสีหน้านิ่งเฉย เดาไม่ออกมาว่าคิดอะไรอยู่

        หมายความว่ายังไง ที่ทำแบบนี้หมายความว่ายังไง

       เสียงดนตรีจังหวะสนุกสนานดังขึ้นมาหากแต่ตอนนี้ใจของนักร้องนำกลับไปสนุกตาม กลับกันมันกลับรู้สึกหน่วงๆชาๆ

       นี่คือคำตอบของมึงใช่ไหมไอ้เฟิง...

       ปราณกล้ำกลืนความเสียใจ ก่อนจะยกไมโครโฟนขึ้นร้องเพลง


       สุริยา เลื่อนลาลับสุด คณานับ เนิ่นนานปี

       ณ ริมฝั่ง มหานที พระรถเมรี ร่ำรี้ร่ำไร

       สำเนียงน้อง ร่ำร้องว่า โอ้โอ๋กรรมมา แต่ปางไหน

       อยู่หลัดหลัดล่ะก็มาพลัดพรากไป



       เดี๋ยวนะ! ใครเลือกเพลงนี้ ทำไมมันตรงกับชีวิตกู นี่กูโคฟเวอร์เป็นเมรีแล้วไอ้เฟิงเป็นพระรถอยู่หรือเปล่าวะ


       แม่พวงมาลัย กลุ้มอุรา เคยถนอม หอมระรื่น จากไปเป็นอื่น เสียแล้วหนา

       เมรีหมดหวังล่ะก็มานั่งโศกา ฟูมฟายน้ำตา หลั่งไหลนอง โฉมยุพิน

      ปิ่นนารี ทุบอกชกตี ปากร่ำร้อง ว่าภัสดาไม่หันหน้ามามอง รักหลุดลอยละล่อง

      ลอยไป....



      เออ ลอยไปแล้วนั่นไง โดนเด็กม.ต้นคาบไปกินแล้วนั่นไง แม่งเอ๊ย

      เมื่อวานยังรักกันดีอยู่แท้ๆ...หรือมีแค่เขากันนะที่รักมัน

      ให้ตาย ทำไมความรักมันเข้าใจยากแบบนี้วะ


      พระรถตอบถ้อย เจ้าอย่าน้อยใจนัก เมรีเป็นยักษ์ จักอยู่ไฉน

      พี่เป็นมนุษย์ หรือจะมาฉุดดวงใจ น้องจงกลับไป เสียเถิดนาง

      แม่ขวัญตา แทบอาสัญ ใจรักมั่น ไม่จืดจาง เศร้าโศกโศกา ไม่วายวาง หมดหนทาง จะติดตาม

      ด้วยทะเล กั้นขวางหน้า หมดปัญญา แม่นงราม กู่ตะโกน จนก้องน้ำ บาปเวรหรือกรรม เล่าจอมใจ

      แม้นพี่ไม่กลับ...

   
      “แม้นพี่ไม่กลับ...ฮึก...”
 
     แย่แล้ว จะร้องไห้ไม่ได้นะ...
   
      ถึงจะพูดแบบนั้นแต่หยดน้ำใสก็เอ่อคลอมาบังทุกสิ่ง ปราณรีบก้มหน้าแต่น้ำเสียงสั่นเครือก็แย่จนไม่อาจร้องเพลงต่อได้


      มารับขวัญ ขอถวายชีวัน ไม่หวั่นไหว นางก็พลัน กลั้นใจตาย น่าเห็นใจ แม่นงเยาว์

      รักเขาข้างเดียว ข้าวเหนียวนึ่ง  น้ำท่วมไม่ถึง อับอายเขา

 
      ใช่...กูรักมึงข้างเดียวมาตลอด

      ไม่ส่องกระจกล่ะชะโงกดูเงา ว่าตัวของเรา ต้องเจียมตน

      แล้วกูก็ต้องเจียมตัวใช่ไหม...ว่ากู...
     
      “ร้องไห้ทำไม” น้ำเสียงทุ้มดังขึ้นข้างหู น้ำเสียงจากคนที่ไม่คิดว่าจะมายืนตรงนี้ ปราณเงยหน้าขึ้นก่อนจะพบว่าทั้งแดนเซอร์และนักดนตรีก็หยุดแสดงไปหมดแล้ว  เฟิงถอนหายใจก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยน เด็กหนุ่มหยิบไมโครโฟนมาจากมือบางก่อนจะพูดว่า

       “วันนี้นักร้องนำของเราไม่สบาย จิตใจไม่ปรกติ ขอตัวพาไปรักษาก่อนนะครับ แต่ทุกท่านจะยังรับชมความสนุกต่อได้นะครับ” ว่าจบก็ส่งไมค์ให้เพื่อนของปราณที่รีบวิ่งออกมารับช่วงต่อ จากนั้นการแสดงดำเนินต่อไป

       ทางด้านคนตัวเล็กพอถูกดึงลงจากเวทีน้ำตาที่กลั้นไว้ก็ไหลทะลักราวกับทำนบพัง  ทำเอาหนุ่มตี๋ควานหาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดแทบไม่ทัน

       “ใจเย็น อย่าร้องไห้เยอะสิ เดี๋ยวหายใจไม่ออกนะ”

       “ฮึก...มัน...มันเพราะ..ใคร..อึก...ไอ้เหี้ย!”

       “โอเค เพราะกูเอง กูขอโทษ”

       “กูไม่ยกโทษให้ จะมาบอกเลิกกูใช่ไหมล่ะ ฮึก..ถ้าจะไป..อึก..ก็ไม่ต้องมาบอกลา!”

         อย่ามาทำเหมือนกูเป็นคนน่าสมเพช

         ตุบ

        ร่างเล็กที่กำลังร้องไห้ถูกผลักให้นั่งลงบนพื้นก่อนที่เฟิงจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ “ใครว่ากูจะมาเลิกกับมึง”

        “ก็มึงมากับเด็กนั่น”

        “บังเอิญเจอกันต่างหาก”

       “มึงปล่อยให้เขาเกาะแขน!”

        “ขอโทษ...แต่ตอนนั้นกูไม่ได้สนใจ...กูมัวแต่มองมึง กูมัวแต่คิดว่ากูจะขอโทษมึงยังไงดี ทั้งหมดนี่ ที่เราทะเลาะกัน มันเป็นความผิดกูเอง กูขอโทษนะปราณ”

       “ไม่..ต้อง..ฮือ...ไม่ต้องมาเรียก”

        ปลายนิ้วปาดหยดน้ำตาออกให้ ไม่ได้นุ่มนวลเหมือนในละครแต่ก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน เฟิงดึงร่างเล็กให้ซบลงมาที่อก ปราณร้องไห้ไม่หยุด ขดตัวจนเป็นก้อนกลมๆไม่มองหน้าเขาแต่ก็ปล่อยให้เขาลูบหลังลูบไหล่

        “กูขอโทษที่ไม่คิดถึงใจมึง ขอโทษที่งี่เง่า ขอโทษที่เผาเสื้อมึง เดี๋ยวซื้อคืนให้หมดเลย...แต่ไม่เอาสั้นแบบนั้นแหละนะ กูหวง กูขอโทษที่ยิ้มให้คนอื่นไปทั่วแต่มันก็เป็นงาน กูจะไม่ห้ามมึงยิ้มให้คนอื่นแล้ว แต่สัญญานะว่ายิ้มที่น่ารักที่สุดของมึงต้องเป็นของกู” เขาพูดไปเรื่อยๆ ไม่มีบทพูด ไม่มีของขวัญ ไอ้เฟิงคิดวิธีง้อจนหัวแทบแตกสุดท้ายก็จบลงแบบนี้

        ไม่ชอบเลยเวลาเห็นปราณร้องไห้ ใจมันเจ็บหนึบๆเหมือนจะร้องตามทุกที  ตัวจริงของไอ้เฟิงก็เป็นผู้ชายห่ามๆ ไม่ได้ละเอียดอ่อนหรือน่ารัก ไม่รู้ว่าทะเลาะกันแล้วจะง้อยังไง กังวลไปหมด ทำแบบนี้มันชอบไหม ทำแบบนั้นมันจะโกรธหนักกว่าเดิมหรือเปล่า คิดมากไปหมด

        รักมาก กังวลมาก

        “กูรักมึง...กูรักมึงมากๆ กูหวงมึง ห่วงมึง กูบอกว่ามึงใส่ขาสั้นแล้วเหมือนขาหมูแต่จริงๆแล้วกุไม่อยากให้ใครมองขาอ่อนมึง กูบอกว่ามึงเหมือนโอ่งเพราะกูไม่อยากให้มึงใส่เสื้อรัดๆ  ถึงกูจะบอกว่ามึงอ้วนแต่กูก็อยากให้มึงกินข้าวเยอะๆ กูแถมกับแถมข้าวให้เป็นพิเศษตลอดเลยนะเวลามึงมา  อยากให้กินเยอะๆเพราะมึงผอมจะแย่แล้ว ชอบหน้าตามึงเวลากินข้าวที่ร้านกูด้วย กินตุ้ยๆจนแก้มป่องน่ารักจะตาย  มึงไม่ได้ดำเลยสักนิด กูชอบผิวมึง  กูชอบเวลามึงยิ้ม อยากแกล้งให้มึงงอนเพราะหน้าตาตอนมึงงอนมันน่ารักมากที่สุด กู...กูไม่อยากให้มึงไปจ๊ะๆจ๋าๆกับคนอื่นแต่อยากให้พูดกับกูแค่คนเดียว กูอาจจะไม่ใช่ผู้ชายละเอียดอ่อน กูเป็นคนห่ามๆแล้วก็เผลอแสดงด้านห่ามๆใส่มึงตลอด ขอโทษ...มึงอาจจะเกลียดกู แต่กูจะไม่เลิกกับมึง...กู...”

         “มึงบ่นอะไร”

         เฟิงชะงัก กระพริบตาปริบมองคนรักตัวเล็กค่อยๆยันตัวลุกขึ้นมา ขยี้ตาแล้วมองหน้าเขา ดวงตากลมยังคลอไปด้วยน้ำตา จมูกรั้นแดงเรื่อ

         “พูดอะไรตั้งยืดยาวฟังไม่ทัน” ปราณสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะขยับไปนั่งตักอีกฝ่าย ยกแขนคล้องรอบคอคนรัก ก้มหน้าลงไปจนหน้าผากชิดกัน จ้องลึกลงไปในดวงตาคู่นั้น

         “บอกมาคำเดียวว่ารักกูมั้ย”

         เฟิงยิ้มยกแขนโอบรอบเอวคนรัก รั้งให้เข้ามาชิดกันมากขึ้น

         “รักสิ รักมาก...ไม่เลิกหรอก ไล่ก็ไม่ไปด้วย กูหน้าด้าน”

         “เออรู้ตัวนี่”

         เด็กหนุ่มเชื้อจีนหัวเราะจะยืดตัวไปจูบปากช่างเจรจานั่นแต่อีกคนก็เอนตัวหนี ปราณซุกจมูกลงกับลำคอคนรัก กดจูบเบาๆก่อนจะ

         งั่ม

         “โอ๊ย มึงเป็นหมาเหรอ กัดกูทำไมเนี่ย!”

          ลูกชายเจ้าของร้านขายดอกไม้ไม่ตอบคำแต่ดึงคอเสื้ออีกฝ่ายให้เปิดกว้างเผยให้เห็นรอยฟันสีแดง พอเห็นแบบนั้นเด็กหนุ่มก็ยิ้มอย่างพึงใจ

         “มึงเป็นของกู”

         พอได้ยินดังนั้นเฟิงก็หัวเราะออกมา รั้งคอคนตัวเล็กลงมา คราวนี้ปราณไม่ได้เอนตัวหนี  ยินยอมให้ริมฝีปากร้อนทาบทับลงมา บดเบียด อ่อนหวาน ดื้อดึง

          “อื้อ” ปราณครางประท้วงออกมาเมื่อหายใจไม่ทัน คนตัวโตเลยยอมปล่อยให้ร่างเล็กอ้าปากกอบโกยอากาศหายใจ  เฟิงซุกจมูกลงกับลำคอก่อนจะงับเบาๆเช่นกัน “มึงก็เป็นของกู”

          “ก็เป็นอยู่ตลอดนั่นแหละ”

          “รักมึงนะ”

          “รักมึงเหมือนกัน”

         ความรักของพวกเขาก็เป็นแบบนี้ ตีกันทุกวัน ดีกัน  แล้วก็กลับไปกัดกันใหม่ แต่ที่พวกเขาทั้งคู่รู้คือไม่ว่าจะทะเลาะกันมากแค่ไหนแต่พวกเขาก็ยังคงเป็นของอีกฝ่าย...ยังคงกลับมาบอกรักกันทุกครั้ง เป็นความรักเรียบง่ายที่ไม่ได้อ่อนหวานแต่ก็อบอุ่น และในตอนที่จูบกันอยู่นั้นปราณก็ค้นหาคำตอบให้ตัวเองได้แล้วในที่สุด คบกับเฟิงแล้วต่างจากก่อนหน้านี้ตรงไหน มีอะไรเปลี่ยนไป...จริงๆแล้วก็มีนะ ความรักของพวกเขาไง มันเพิ่มมากขึ้นในทุกๆวัน

********************************************

มาแล้วค่าาา คู่ที่ทุกคนรอคอยยย (รึเปล่านะ?) 55555
เป็นคู่รองของคู่รองอีกที บทหายบ่อยมาก โดนคู่เดือนดินกับรันฝนขโมยซีนตลอดดด
แต่พอเขียนคู่นี้เราก็พยายามไม่ให้ดราม่ามากแล้วนะคะ คู่นี้เป็นเด็ก ออกแนวรักใสๆ  :hao7:
เป็นสายฮาด้วย แต่อารมณ์ครึ่งแรกกับครึ่งหลังค่อนข้างขัดกันอยู่ อภัยให้เราด้วยยย แงง
ตอนพิเศษยังเหลืออีกสองตอนนะคะ  คนอ่านคิดถึงเราสามารถตามไปเม้าท์ได้ที่เพจค่ะ
 (เงียบเหงานิดนึงแต่ส่องตลอดนะ 5555) พบกันใหม่ตอนพิเศษหน้านะคะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่า จุ๊บ :mew1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
น่ารักทุกคู่เลย แบบว่ามีความน่ารักในแบบของตัวเอง

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ rada96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เฟิงขี้แกล้งอ่ะ ทำน้องปราณร้องไห้ด้วย นิสัยไม่ดี นี่แอบร้องไห้ไปกับปราณ
แต่น้องปราณน่ารักมากๆเลยยย คิดถึงพี่เดือน น้องดินจังเลย ฮืลล

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Mitnai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
น่ารักมุ้งมิ้งทุกคู่ จบสวยงามปาดน้ำตา
อ่านชื่อเรื่องนึกว่าจะเป็นพวกพีเรียด ชอบชื่อเรื่องมาก ให้ความรู้สึกฟุ้งเฟ้อ55555555555
ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ ♥
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-05-2016 15:18:48 โดย Mitnai »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5

ออฟไลน์ happy-jigsaw

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0

ออฟไลน์ КίmY

  • BJYX♥
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1715
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-3
รวดเดียวจบ อิ่มจุใจเลยย  o13
โฮ่ อ่านไปลุ้นไปกับความรักของสองคนพี่น้องเขา ในที่สุดก็แฮปปี้  :katai2-1:
 :L2: :L2: :pig4: :pig4: :pig4: :L2: :L2:

ออฟไลน์ Raina

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
เขียนสนุกดีค่ะ วางพล็อตได้ดี

เรื่องนี้คนใจร้ายเยอะจัง พี่ทะเล...จับปลาสองมือ วสันต์(น้องฝนของพี่รันนั่นแหละ)...ตอนแรกที่เจอกันก็บีบดินจนเสียขวัญ พี่กัณฐ์...ฮึ่ม นอกใจแล้วยังหน้าด้านมาขอให้ช่วยอีก ชินกร...ตามรอยพ่อดิน ญี่ปุ่น...ตามรอยแม่ดิน

ดีใจที่มีตอนพิเศษของดิน-เดือน ขอกินน้ำตาลแทนมาม่าบ้าง 555

สงสัยๆ เรน่าน่าจะอ่านข้ามไปสักที่ ตอนที่แฟนเก่าดูด้ายแดงให้ดินแล้วบอกว่าเป็นสีดำ ทำไมมันดำอ่ะคะ?

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ยามจันทร์เจ้าจูบดิน
บทพิเศษที่ ๔
ความรักสีดำ



            แสงแดดยามสี่โมงเย็นของกลางเดือนเมษาทำให้ดินต้องถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อแดดจ้าแทงทะลุปีกหมวกที่กดต่ำบดบังสายตาเอาไว้  ชายหนุ่มนึกโทษตัวเองที่ไม่ยอมบอกเดือนให้เอารถออกมาส่งทำให้ต้องนั่งรถเมล์แถมยังต้องลงเดินฝ่าแดดตั้งไกลเพราะรถเมล์ดันยางแตกกลางทาง  ชายหนุ่มไม่ได้โบกรถแท็กซี่หรือขึ้นรถเมล์คันใหม่เพราะเห็นว่าใกล้กับสถานที่นัดหมายแล้ว

          วันนี้ชายหนุ่มมีนัด  เป็นนัดที่เขาไม่อยากให้เดือนรู้เลยไม่ได้บอกอะไรไป  ไม่อย่างนั้นเขาคงได้นั่งบีเอ็มตากแอร์เย็นฉ่ำมาแทนรถเมล์ยางแตกแล้ว 

         เพราะว่าเดือนมีงานถ่ายแบบทำให้ชายหนุ่มต้องมาค้างที่คอนโดในกรุงเทพฯอาทิตย์นึง ด้วยความที่ไม่อยากทิ้งลูกเมียไว้ที่บ้านเพราะกลัวคนรักกับลูกชายจะเหงา(ซึ่งนั่นดินยืนยันได้ว่าเดือนคิดไปเอง) นายแบบหนุ่มเลยกระเตงดินกับต้นข้าวมากรุงเทพฯด้วย 
   
          และในวันที่สองดินก็ได้รับโทรศัพท์เรียกให้เขาออกมาพบ
   
         เป็นการนัดหมายแบบ ‘ลับๆ’ ที่ดินตั้งใจว่าเดือนจะไม่มีทางรู้
   
          สถานที่นัดหมายคือร้านอาหารขนาดเล็กที่เขาคนนั้นเป็นเจ้าของร่วมกับคนรัก  ดินเดินเข้าไปในร้านก่อนจะชื่นชมสไตล์การตกแต่งร้านอยู่ในใจ  ผนังปูนเปลือยมีกรอบรูปหลากหลายขนาดแขวนอยู่  ภายในร้านมีทั้งทั้งแบบเป็นนั่งพื้นและเป็นแบบนั่งเก้าอี้ ดนตรีเบาๆเปิดให้บรรยากาศในร้านผ่อนคลาย  ภายในร้านไม่มีคน ก็แหงสิ มันยังไม่ถึงเวลาเปิดเลยนี่นาแต่เพราะคนคนนั้นบอกให้เขาเดินเข้ามาเลยไม่ต้องใส่ใจป้าย ‘close’ ที่หน้าร้าน
   
          “ดิน ทางนี้”
   
           ดินหันไปมองตามเสียงก็พบชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งยิ้มกว้างอยู่ที่โต๊ะด้านในสุด ชายหนุ่มถอนหายใจ  ส่วนจะถามว่าทำไมคนคนนี้ถึงมานั่งเสนอหน้าในนี้ได้ทั้งที่ร้านยังไม่เปิดก็ต้องบอกว่า...เพราะคนคนนี้เป็นเจ้าของร้านน่ะสิ  ดินกัดริมฝีปาก ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่ง  เลิกคิ้ว
   
          “เรียกผมมามีอะไรครับ”

         “ใจร้ายจริง  เรียกมาคุยแบบไม่ต้องมีอะไรไม่ได้เหรอ”

         ชายหนุ่มผมดำเลิกคิ้วมองร่างสูงที่นั่งยิ้มแบบผ่อนคลายอยู่ฝั่งตรงข้าม ไม่ได้ตอบอะไรไปจนคนหยอกต้องทำท่ายอมแพ้

         “โอเคๆไม่ล้อเล่นแล้ว เฮ้อ ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลยนะ”

         ดินเหยียดยิ้มออกมา ไม่ใส่ใจจะรักษามารยาทกับคนคนนี้อยู่แล้ว

         “ผมว่าเราไม่ได้สนิทกันมากพอจะมาล้อเล่นอะไรแบบนี้ได้นะครับ คุณกัณฐ์”

         กัณฐพันธ์ถอนหายใจออกมา  รู้อยู่หรอกว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยากจะมาเจอหน้าเขานักแต่เป็นเขาเองที่อยากเจอ  จะว่ายังไงดี  มันเหมือนเขาตัดดินไม่ขาดล่ะมั้ง  ทั้งที่เป็นฝ่ายสะบั้นด้ายแดงด้วยตัวเองแต่พอได้พบหน้า ในอกมันก็เกิดความรู้สึกบางเบาขึ้นมา...คล้ายความโหยหาที่สลัดไม่หลุด  เป็นความรู้สึกที่ประทับแน่นในใจและคงไม่มีวันลืมเลือน

         แต่ชายหนุ่มไม่เคยบอกใคร ไม่เคยบอกแม้แต่กับปิ่นฟ้าผู้เป็นหญิงสาวที่เขาตกลงร่วมชีวิต

         เพราะกัณฐพันธ์รู้ว่าความรู้สึกของเขามันเป็นความรู้สึกของคนโลเลหลายใจ

         รักคนหนึ่งแต่ก็ไม่ลืมอีกคนหนึ่ง

         ชายหนุ่มตัดสินใจยิ้มบางให้ดินก่อนจะถามว่าอยากกินข้าวเย็นอะไรไหม ร้านนี้มีกำหนดการเปิดค่อนข้างแปลก ในตอนกลางวันที่นี่จะเป็นร้านอาหารปกติ  เปิดตั้งแต่แปดโมงเช้าจนถึงบ่ายสามก่อนจะปิดเพื่อเตรียมของแล้วเปิดใหม่ให้เป็นร้านอาหารกึ่งผับในตอนกลางคืน

         “ไม่ล่ะครับ” ดินส่ายหน้าตอนที่เขาถาม ชายหนุ่มผมดำดูหงุดหงิดแต่ก็พยายามซ่อนความหงุดหงิดเอาไว้ตามประสาคนมารยาทดี  “ผมจะกลับไปกินข้าวพร้อมพี่เดือนกับลูกน่ะครับ” อีกฝ่ายพูดพลางมองที่นาฬิกาข้อมือ “รีบพูดธุระของคุณมาดีกว่า  เขาใกล้เสร็จงานแล้ว เดี๋ยวผมต้องกลับไปทำอาหารอีก”

          “หืม ครอบครัวสุขสันต์จังนะ”

         ไม่ได้ตั้งใจจะรวนแต่คิดแล้วก็อยากแกล้ง  กัณฐ์ไม่ชอบคนรักใหม่ของดินแน่ล่ะว่าอีกฝ่ายก็เกลียดขี้หน้าเขาจะแย่  แต่เหตุผลที่ไม่ชอบหน้ากันน่ะมันต่างกัน  เดือนไม่ชอบเขาเพราะเขาทำดินเสียใจ ส่วนเขาไม่ชอบเดือนเพราะ...อืม...นั่นสินะ

          เพราะ ‘หวงก้าง’ ล่ะมั้ง

          เหมือนกับเห็นว่าของเล่นชิ้นโปรดที่เคยชอบมากตกไปอยู่ในมือคนอื่นที่เห็นค่ากว่าแล้วมันก็อดหงุดหงิดอยากจะแสดงความเป็นเจ้าของไม่ได้

          แต่เขารู้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์นั้นแม้แต่น้อย

          ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิด...

          ดินเคยบอกกับเขาว่าอย่ามายุ่งกันอีก อย่ามาให้เห็นหน้า ไม่ต้องมาพบกันเลยจะดีที่สุด เขาเองก็ตกลง แต่สุดท้ายก็อดเป็นห่วงอดีตรุ่นน้องและอดีตคนรักไม่ได้ ดินอยู่ในโลกที่เดือนไม่มีทางเข้าใจ โลกที่มีแต่เขาเท่านั้นที่เข้าใจ...

         ในระหว่างที่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่นั้นแสงแดดก็กระทบเข้ากับแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายของอีกฝ่าย

         “แหวน...ที่นิ้วนางข้างซ้าย?”

         “ครับ แต่งงานแล้ว ถึงจะไม่ได้จดทะเบียนก็เถอะ” ไม่รู้ว่าที่พูดมาประชดหรือเรื่องจริงเพราะน้ำเสียงห้วนตลอดเวลา

         “แต่งกับใคร”

         หลุดปากถามออกไปก็อยากจะตบปากตัวเอง สีหน้าและแววตาของอีกฝ่ายบ่งบอกว่าคำถามของเขามันโง่มากๆ ดินมองเขาด้วยสายตาราวกับมองคนถามว่าถ้าไม่หายใจเราจะตายไหมหรือถามว่าเปิดขวดน้ำต้องหมุนฝาขวดไปทางไหน  คือมันเป็นคำถามที่ไม่น่าถาม

         “ก็ต้องแต่งกับพี่เดือนสิครับ” ถามอะไรโง่ๆ...แน่ล่ะว่าประโยคนี้ดินไม่ได้พูดออกไป เขาไม่ได้มาเพื่อชวนทะเลาะนี่นะ
“เหรอ”

         ชายหนุ่มมองอดีตคนรัก ดินไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองทำสีหน้าแบบไหนเวลาพูดถึงเดือน

         สีหน้าอ่อนโยนและรักใคร่...รอยยิ้มที่ผุดขึ้นที่ริมฝีปากยามเอ่ยชื่อคนรักชวนให้คิดว่าไอ้หมอนั่นคือผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก

         “ดิน...น้อง...มีความสุขไหม”

         นัยน์ตาสีน้ำตาลหลังกรอบแว่นฉายแววงุนงงก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา  เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้ส่งให้เขา...แต่ส่งถึงใครอีกคนที่เป็นเจ้าของหัวใจของดิน

         “ครับ มีความสุขมาก”

          “งั้นเหรอ...ก็ดีแล้ว”

          เขาไม่รู้จะพูดอะไรตอบ ความเงียบโรยตัวปกคลุมระหว่างพวกเขาสองคน  สุดท้ายก็เป็นดินที่อึดอัดจนทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายพูดขึ้น

          “แล้วคุณล่ะครับ สบายดีไหม”

          “หืม อ้อ ก็สบายดี ปิ่นไม่ท้องสักที พี่อยากมีเจ้าตัวเล็กจะแย่แล้ว นายชิงมีลูกก่อนพี่ได้ยังไงเนี่ย”

          ดินหัวเราะออกมาเบาๆ รอยยิ้มของเด็กตรงหน้าทำให้บรรยากาศอึดอัดสลายไป เหมือนกับว่าพวกเขากลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน เป็นพี่กัณฐ์กับน้องรหัสสุดน่ารัก นั่งอยู่ที่ม้านั่งหน้าตึกคณะ  หัวเราะแล้วก็หยอกล้อกัน
แต่นั่นมันก็แค่อดีตอันแสนไกล...

         “แล้ว...เรื่องด้ายแดงเป็นยังไงบ้าง” เขาถามขึ้น  ดินดูงุนงงเล็กน้อยแต่ก็พยักหน้าพลางตอบ “ก็กลับมามองเห็นแล้วครับ”

         “ไม่ พี่หมายถึงด้ายของดินที่เป็นสีดำน่ะ”

         ชายหนุ่มสวมแว่นร้องอ๋อ เมื่อหลายปีก่อนกัณฐพันธ์เคยมองเห็นด้ายแดงของดิน  เส้นด้ายแห่งความรักที่ควรเป็นสีแดงกลับกลายเป็นสีดำจนชายหนุ่มอดรู้สึกกังวลไม่ได้   เขาคอยตามข่าวเด็กคนนี้กับคนรักก็เห็นว่าทั้งคู่ประสบปัญหาใหญ่จนกลายเป็นข่าวครึกโครม ในตอนแรกเขานึกว่าทั้งคู่จะเลิกกันแล้วด้วยซ้ำ แต่ทั้งคู่ก็ฝ่าฟันอุปสรรคนั้นมาจนได้  จนทุกวันนี้เป็นครอบครัวที่มีความสุขดีดูไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขาไม่แน่ใจว่าอุปสรรคที่ทั้งคู่เผชิญเป็นผลมาจากด้ายสีดำหรือเปล่าหรือมันจะส่งผลกับชีวิตของดินไหม

         แต่คงจะไม่...เพราะเด็กคนนั้นดูไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย

         ด้วยความสงสัยกัณฐพันธ์เลยใช้ดวงตาของตนมองเส้นด้ายความรักของอีกฝ่าย  มันยังคงเป็นสีดำอยู่แบบเดิม 

         “ทำไมน้องไม่ลองไปปรึกษาพวกที่มีพลังดูสักคนล่ะ ปล่อยไว้นานๆมันอาจส่งผลกับชะตาความรักก็ได้นะ”

          ดินส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่มีปัญหาหรอกครับ  นี่น่ะ...” ชายหนุ่มก้มมองที่นิ้วก้อยของตัวเอง  กัณฐ์คิดว่าตอนนี้ดินก็คงใช้พลังพิเศษอยู่เหมือนกัน

          “เป็นผลมาจากการกระทำของผมเอง”

          “หืม?”

          “คงเป็นเพราะผมเข้าไปยุ่งกับความรักของคนอื่นมากเกินไปล่ะมั้งครับ  แล้วก็เป็นเพราะตัวดินด้วยส่วนหนึ่ง จิตของดินคงส่งผลกับด้ายน่ะครับ”

         คิ้วเข้มขมวดมุ่น คล้ายว่าจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ

          “มันไม่ส่งผลกับความรักหรืออะไรใช่ไหม”

          “ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

          เขาถอนหายใจ “ถ้าแบบนั้นก็ดีไป แต่น้องหมายความว่ายังไงที่บอกว่าเป็นผลมาจากการกระทำของน้อง”

          ดินมีท่าทีครุ่นคิด อีกฝ่ายชอบกัดริมฝีปาก เป็นท่าทีที่น่ามองเสมอ

          “คงเป็นเพราะทุกครั้งที่ตัดด้ายแดงหรือผูกด้ายดินจะรับเอาความรู้สึกด้านลบและความทรงจำเกี่ยวกับความรักของคนคนนั้นมาด้วยทำให้ดินค่อยๆยอมรับและเรียนรู้ในความรักไปพร้อมกัน เพราะหากไม่ทำแบบนั้นดินคงกลายเป็นบ้าเพราะอารมณ์ด้านลบที่มากเกินไปของใครก็ไม่รู้แน่ๆ  พอยอมรับได้ดินก็ค่อยๆเรียนรู้ว่าความรักไม่ได้มีแต่ความสุข มันมีทั้งความเศร้า ความผิดหวัง ความเจ็บปวดและความโกรธแค้น  ดินว่าที่เงื่อนไขในการตัดด้ายแดงของเราเป็นแบบนี้เพราะต้องการให้เราเรียนรู้ล่ะมั้งครับว่าเราไม่ใช่กามเทพที่จะนำความสุขไปให้ทุกคน....แต่เป็นเพียงผู้ที่เข้าใจและรู้ถึงความเป็นไปของความรักดีที่สุด”

           ตอนแรกดินก็ไม่เข้าใจ แต่หลังจากที่เขาได้พบกับเดือนชายหนุ่มก็เข้าใจ  และการยอมรับและเข้าใจในความรักระหว่างตนกับเดือนทำให้ด้ายความรักระหว่างพวกเขาแปรเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีดำ

           “พี่กัณฐ์ว่าสีของความรักคือสีอะไรครับ”
   
            จู่ๆก็ถูกตั้งคำถามแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้เขาไม่ได้คิดอะไรให้ถี่ถ้วนแต่ตอบออกไปตามความเคยชิน  “สีแดงล่ะมั้ง”
   
             “แล้วสีของรักแท้ล่ะ”
   
           “เอ่อ...สีขาว?” หมายถึงความรักที่บริสุทธิ์ยืนนานอะไรแบบนั้นหรือเปล่านะ  ที่พวกผู้หญิงชอบเอามาพูดกันถึความหมายของสีดอกไม้ก่อนซื้อให้ผู้ชายในวันวาเลนไทน์น่ะ
   
           ดินพยักหน้าแล้วเฉลย “นิยามความรักของแต่ละคนแตกต่างกันไป แต่ใจความคิดของผม ผมว่าความรักที่แท้จริงเป็นสีดำครับ”
   
           “สีดำ?” อัปมงคลขั้นสุดเลยนะนั่น  “ทำไมล่ะ”
   
          “เพราะหากเปรียบความรักเป็นสี  เราก็จะรู้ว่ามันไม่ได้มีแค่สีเดียวถูกไหมครับ  มันไม่ได้มีแค่สีชมพูของความอ่อนหวาน สีแดงของความร้อนแรง สีขาวของความบริสุทธิ์แต่ความรักผสมปนเปไปหลากหลายอารมณ์ รักแล้วก็สุข รักแล้วอิจฉา รักแล้วเศร้า รักแล้วหึงหวง  ผสมปนเปกันออกมา  บางคนทนรับกับสีที่แท้จริงของความรักไม่ได้ก็ต้องเลิกรากันไป เพราะไม่รู้ว่าจริงๆแล้วความรักไม่ได้มีแค่สีเดียว ความรักคือสีที่ถูกละเลงมาหลากหลาย ผสมกันออกมาจนกลายเป็นสีดำ...และที่ดินบอกว่าสีดำคือสีของรักแท้ เพราะมันไม่อาจปนเปื้อนสีอื่นมากไปกว่านี้ได้แล้ว คนที่ยอมรับสีดำของความรักคือคนที่ยอมรับและเข้าใจว่าความรักมีทั้งสุขและเศร้าปนกัน และการยอมรับนั้นทำให้เขาอดทนและก้าวผ่านอุปสรรคไปพร้อมกันกับคนรักได้ครับ”
   
           “ฟังดูลึกล้ำจังนะ”

          “นั่นสินะครับ”

          ดินยอมรับ  ในตอนนั้นเองที่เดือนส่งข้อความมางอแงกับเขาว่าอยากกลับบ้านแล้ว อยากกลับไปกอดลูกกอดเขา เหนื่อนใจจะขาดและบลาๆ ชนิดที่ว่าถ้าพี่กุ๊กมาเห็นได้ขบหัวอีกฝ่ายหลุดแน่ๆ  คนรักของเขาลิสต์รายการของกินมายาวเหยียดทำให้ดินต้องรีบส่งข้อความไปดักทางว่างั้นพอกลับมาก็ออกไปซื้อของด้วยกันก่อนแล้วค่อยวนไปรับเจ้าตัวเล็กที่บ้านแม่แก้ว

           “น้องไปจำประโยคแบบนั้นมาจากไหนน่ะ ไอ้เรื่องสีของความรักอะไรนั่น” ดินเหลือบตามองร่างสูงแวบหนึ่งก่อนพูดสั้นๆ “พี่เดือนเป็นคนสอนผมเอง”

          คนคนนั้นสอนให้เขาเข้าใจว่าความรักคือการยอมรับ

          คนคนนั้นสอนให้เขารู้ว่าความรักอาจจะไม่ใช่การเสียสละทุกสิ่งอย่างโง่งมแต่คือการเสียสละที่ไม่เบียดเบียนทั้งตัวเองและคนอื่น

          ทั้งความสุข การหัวเราะ ความเศร้า การซื่อตรงต่อหัวใจ....ทั้งหมดนั่น เดือนเป็นคนสอนให้กับเขา

          “เพราะความรักของฉันจะเปรียบด้วยสีดอกไม้ไรๆไม่ได้ เพราะฉันได้ยินเขากล่าวกันว่าความรักที่แท้จริงไม่ใช่สีแดง ย่อมมีสีดำดังนิล เหมือนดั่งสีศอพระศิวะเมื่อทรงดื่มพิษร้ายเพื่อรักษาโลกไว้ให้พ้นภัย ความรักแท้จริงต้องสามารถต้านทานพิษแห่งชีวิตและต้องเต็มใจยอมลิ้มรสที่ขมขื่นที่สุด เพื่อเสียสละให้ผู้ที่เรารักคงชีพอยู่”
 
         สิ้นเสียงใสที่เอื้อนเอ่ยบนในวรรณคดีออกมา กัณฐพันธ์ก็นึกออกทันทีว่าบทพูดนี้คืออะไร  เป็นบทพูดจากเรื่อง            กามนิต  ในตอนที่วาสิฎฐีกล่าวกับโสมทัตต์  เป็นวรรคทองในวรรณคดีที่ดินชอบมากที่สุด

         “เมื่อก่อนดินไม่ค่อยเข้าใจแต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว...ความรักที่แท้จริงไม่ใช่การหาความสุขใส่ตัวเพียงอย่างเดียวแต่คือการที่เราต้องยอมรับความข่มขื่นจากความรักและการเสียสละเพื่อผู้เป็นที่รักของเรา  ดินทำความเข้าใจกับมันได้...ด้ายแดงของดินก็เลยเปลี่ยนเป็นสีนี้  เพราะดินยอมรับความขมขื่นจากรักและความสุขจากรักไงครับ”

          ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างก่อนที่ประกายแห่งความยินดีจะฉายในดวงตาคู่นั้น กัณฐพันธ์ยิ้มออกมาบางๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว...ถ้าน้องมีความสุขก็ดีแล้วล่ะ”

          สิ่งที่เขาอยากรู้มีเพียงเท่านี้ เขาจะได้ลบภาพและความรู้สึกที่ไม่ควรออกจากใจได้เสียที

         และดินเองก็ดูเหมือนจะรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่  ชายหนุ่มผมดำจึงพูดออกมาว่า “ที่คุณเรียกผมออกมาในวันนี้เป็นเพราะสงสัยว่าผมสบายดีตามประสาคนรู้จักหรือเพราะต้องการรู้ว่าคนรักของผมดูแลผมดีหรือเปล่ากันแน่ครับ  ถ้าเป็นแบบแรกก็ขอบคุณ แต่ถ้าเป็นแบบหลังดินก็ต้องขอตอบว่าพี่เดือนดูแลดินได้ดีที่สุด...และดินมีความสุขมาก ...มากจริงๆ  หรือต่อให้พี่เดือนดูแลดินไม่ดี ดินก็ไม่คิดจะกลับมาหาพี่หรอกครับ  ระหว่างเรามันจบไปแล้ว ดินให้อภัย...แต่ก็ไม่ได้หมายความดินจะต้องอยากมาเจอพี่  และดินขอร้องนะครับพี่กัณฐ์ ให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะมาพบกันเถอะครับ  อย่ามาหาดินด้วยความรู้สึกแบบที่พี่เป็น มันทำให้ดินอึดอัดและมันผิดต่อผู้หญิงของพี่”

         ดินไม่อยากออกมาพบชายหนุ่มอีกแล้ว  เขาให้อภัยแต่ก็ไม่ได้อยากจะข้องเกี่ยวกันอีก สิ่งที่กัณฐพันธ์ทำ...ไม่อาจทำให้ดินยอมให้ความสัมพันธ์ของพวกเขากลับมาดีดังเดิม

         ชายหนุ่มหักหลังเขา ดังนั้นแม้แต่ความเป็นพี่น้องดินก็ไม่มีให้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความรัก

         ตอนนี้พื้นที่ในหัวใจของเขาไม่เหลือที่ให้ใครนอกจากคนรักและครอบครัว

         ดูเหมือนว่าถึงเวลาที่อีกฝ่ายจะต้องไปแล้ว กันฐพันธ์มองดินลุกขึ้นยืน ยิ้มลาเขาเป็นครั้งสุดท้าย “ไปล่ะนะครับพี่กัณฐ์ ลาก่อน”

          เสียงกริ่งประตูดังขึ้นอีกครั้ง แผ่นหลังบอบบางหายไปท่ามกลางฝูงชน 

          ลาก่อน....คำพูดนั้นติดอยู่ที่ริมฝีปาก

          แต่แล้วความลังเลและความสับสนทั้งหมดก็เลือนหายไปเมื่ออ้อมแขนนุ่มนิ่มโอบกอดเขาจากด้านหลัง กลิ่นหอมอ่อนๆของปิ่นฟ้ากลบกลิ่นหอมจางคล้ายกลิ่นดอกไม้จากดินเสียสิ้น

          เขายิ้มแล้วหันไปจูบแก้มคนรัก  ทิ้งความรู้สึกสุดท้ายจากอดีตคนรักให้หายไป การได้พูดคุยกับดินในวันนี้ทำให้เขาได้รู้
ลาก่อน...และไม่พบกันใหม่

           ตลอดกาล

******************************************************

สวัสดีค่ะ มาอัพตอนพิเศษที่สี่ให้แล้วน้า   :katai5:
ตอนพิเศษนี้เป็นความตั้งใจแต่แรกของเราเองค่ะที่จะเขียนเรื่องด้ายดำของน้องให้มาอยู่ในตอนพิเศษ
เลยไม่ได้อธิบายให้ละเอียดไว้ในเนื้อเรื่อง แหะๆ จริงๆแล้วของวาสิฎฐีนั่นเป็นบทที่เราชอบมากค่ะ
ตอนแรกไม่เข้าใจหลังๆมาเริ่มเข้าใขเลยกลับไปหามาอ่านจนท่องได้เลย 5555

มุมนี้ขอเม้าท์หน่อย
มีหลายคนบอกว่านิยายของเราคอมเม้นท์น้อยคนอ่านน้อยซึ่งมันก็จริง เราอยากจะบอกว่า
'ขอบคุณ' นะคะ ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านนิยายของเราแม้ว่าคอมเม้นท์และยอดวิวจะน้อยจนไม่น่าเข้ามา
เรายอมรับว่าตอนแรกเราน้อยใจมากๆแล้วก็เคยคิดจะทิ้งนิยายเรื่องนี้ แต่เราก็พยายามมาอัพสม่ำเสมอเพื่อให้มันติดเป็นนิสัย
เป็นว่าทุกวันเสาร์เราต้องมาเขียนมาอัพนิยาย จนมันจบได้  จนตอนนี้เราไม่น้อยใจแล้วล่ะค่ะ กลับกันเราให้ความสำคัญ
กับคนที่เข้ามาตามอ่านมากขึ้น  เราสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทิ้งนิยายเรื่องนี้ ต่อให้มันเหลือคนคอมเม้นท์แค่คนเดียวก็ตาม

นิยายเรื่องนี้ไม่ใช่นิยายแนวรักวัยรุ่น การบรรยายก็เรื่อยๆ ไม่ได้เกาะกระแสหรือหวือหวาโดนใจใครหลายคน
มันอาจจะไม่ดีพอในสายตาใครๆ เรายอมรับค่ะว่านิยายเรื่องนี้คงไม่ใช่นิยายขึ้นท๊อปในใจของคนอ่าน
แต่เราก็อยากจะขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านเรื่องนี้ เข้ามาติดตามจนจบ ขอบคุณที่บอกว่ามันสนุก และชอบ
เรารักนิยายของเรา เรารักตัวละครของเรา และเราก็อยากให้คนที่เข้ามาได้บางสิ่งไปจากนิยายของเรา
ที่นอกเหนือไปจากความสนุก เราตั้งใจเขียนมันมากๆๆจริงๆ ขอบคุณคนที่เอานิยายเราไปแนะนำ คนที่เข้ามากดบวก
คนที่ตามอ่านแม้ไม่ได้แสดงตัว ทุกคอมเม้นท์ ทุกยอดวิวที่เพิ่มเตือนเราเสมอว่าทิ้งไปไม่ได้

เราส่งนิยายไปให้สำนักพิมพ์และไม่ผ่านการพิจารณา มันอาจจะดีไม่พอ ดังนั้นเราจะนำคำวิจารณ์จากสำนักพิมพ์มาปรับปรุง
ให้ดียิ่งขึ้นค่ะ

รักคนอ่านทุกคนมากๆๆๆๆๆๆๆ และเราอยากจะบอกสิ่งที่สำคัญที่สุด 

'เราไม่ใช่นักเขียนที่โด่งดัง ยิ่งใหญ่ เราเป็นแค่นักเขียนตัวเล็กๆคนหนึ่งท่ามกลางนักเขียนอีกมากมาย
นิยายเราไม่ใช่นิยายที่ดีที่สุด ประทับใจที่สุด  แต่มันมีค่าที่สุดสำหรับเรา
และพวกคุณทุกคนคือคนที่ทำให้นิยายเรื่องนี้มีค่ายิ่งขึ้น 
เราเขียนนิยายเพื่อตัวเองและเพื่อคนอ่าน พวกคุณคือคนที่พาเรามาถึงจุดนี้'


ด้วยรักและขอบคุณจากใจจริงค่ะ :  )
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-05-2016 17:07:20 โดย snowrabbit »

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
 :กอด1:

กอดคุณ snowrabbit

มวฟๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

****

ตอนนี้แอบหดหู่ดีจัง แต่ยังไงมันก็ต้องเคลียร์ ไม่งั้นจะมีคนคาใจอยู่แบบนั้น

แต่ดินมีความสุขมากเมื่อมีพี่เดือน ซึ้ง ปลื้มใจ น้ำตาเล็ดเบาๆ


:D ตามอ่านต่อเรื่อยๆนะคะ ชุ้บๆ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ชอบคุณจากใจจริงๆสำหรับนิยายเรื่องนี้ บอกตามตรงตอนแรกๆที่อ่านคืออ่านไปอย่างนั้นแหละเพราะไม่มีเรื่องอะไรให้อ่านแล้ว และไม่ได้รู้สึกชอบอะไรมากมาย แต่มันไม่ใช่ ในขณะที่เริ่มอ่านตอนลึกขึ้นเรื่อยๆ จำนวนตอนมากขึ้นเรื่อยๆ กลับวางเรื่องนี้ไม่ลงเลย มันสนุกมากและแฝงไปด้ายสาระอย่างที่นิยายเรื่องอื่นๆไม่มี ถึงแม้มันไม่ใช่เรืรองที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับอีกหลายเรื่องแต่เรื่องนี้ก็เข้ามาอยู่ในลิตส์เรื่องน่าอ่านและต้องอ่านสำหรับเราแล้ว

ออฟไลน์ rada96

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบมากๆ น้องดินเข้มแข็งมากๆค่ะ รัก
บางทีก็เกลียดความโลเลของกัณฐ์เหมือนกัน
ไม่รู้จะหวงก้างเค้าทำไม ตอนนั้นใครที่เป็นคนทิ้ง ชิ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ เราชอบเรื่องนี้มากๆ
อ่านแล้วไม่อึดอัด มันเรื่อยๆ สบายๆดี มีมุม มีปมให้คิด
เป็นนิยายที่น่าติดตามเรื่องนึงเลยค่ะ

ปล.อยากอ่านพี่เดือนน้องดินอี้กกกก ฮือออออออ
 :sad4: :sad4:
ปล.อีกนิด อยากให้มีเพจหรือทวิตเตอร์ให้ติดตามจังเลยค่ะ เราไม่ค่อยได้เข้ามาเช็คในเว็บเท่าไหร่
รักคนเขียนนะคะ
 :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-05-2016 00:27:45 โดย rada96 »

ออฟไลน์ reverofjs

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ขอกอดให้กำลังใจคุณsnowrabbitแน่นๆทีนะคะ
ส่วนตัวแล้วชอบนิยายเรื่องนี้มากๆเลยนะคะ
อาจจะไม่หวือหวาอะไรมากมาย แต่ก็ได้ข้อคิดดีๆกลับไปเยอะมากๆเลยค่ะ
อ่านแล้วรู้เลยว่าคุณsnowrabbitตั้งใจเขียนมากๆ ขอบคุณที่เขียนสิ่งดีๆมาให้อ่านนะคะ
จะเป็นกำลังใจให้นะคะ และก็จะตามอ่านเรื่องต่อๆไปของคุณด้วยค่ะ สู้ๆนะคะ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษนี้ค่ะ ตอนที่อ่านเจอว่าพี่กัณฐ์เห็นด้ายแดงของดินเป็นสีดำ แล้วดินก็ดูเหมือนจะเข้าใจและยอมรับได้ ก็นึกถึงเรื่องนี้เหมือนกันค่ะ โดยส่วนตัวไม่เคยอ่านกามนิต วาสิฏฐี แต่เคยได้ยินประโยคแบบนี้มาคร่าว ๆ พอได้อ่านตอนนี้เลยยิ่งเข้าใจชัดเจนมากขึ้น
ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ และให้กำลังใจคนเขียนค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด