บทที่39 หัวใจกิเลน
ตอนที่13 เล่ม 2 (P.12วันที่ 6/10/58)
จิวชงหยวนได้พาหย่งเจิ้นมายังหุบเขามังกรขดซึ่งเป็นที่พักของหอกิเลน เพื่อมาดูอาการของไป๋เสวี่ยซึ่งตอนนี้นอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียงน้ำแข็งแทนที่อวิ้นเซียนไปแล้ว ใบหน้าไม่ได้ซีดเผือดเพราะไม่ได้มีพิษอย่างอื่นผสมเนื่องจากรักษาไปก่อนที่เจ้าตัวจะหลับ เขาพาหย่งเจิ้นมาแนะนำให้รู้จักกับอวิ้นเซียน ทว่าเหมือนจะทักทายรู้จักกันก็จริงแต่อวิ้นเซียนกลับไม่สนใจคนที่เขาอยากแนะนำสักนิดทำให้หย่งเจิ้นรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย เขาเองก็ได้แต่ยิ้มแหยเพราะรู้ว่าอวิ้นเซียนกำลังแกล้งหย่งเจิ้น
“อาจารย์ท่านช่างงดงามยิ่ง”
อวิ้นเซียนเอ่ยชมพร้อมเดินมากอดจิวชงหยวนอย่างออดอ้อนทุกครั้งเมื่อเห็นหน้า โดยไม่ได้สนใจสายตาแปลกๆ ของใครบางคนที่มองตาม รอยยิ้มอ่อนโยนและอบอุ่นของอวิ้นเซียนทำให้รู้สึกสบายใจ หากไม่ใช่คำพูดที่ชวนให้คิ้วกระตุก
“ปล่อยข้าได้แล้วเดี๋ยวเจียนเจียนก็ไปนั่งร้องไห้อีกหรอก” จิวชงหยวนบอกเสียงเรียบพร้อมแกะมือตุ๊กแกของอีกฝ่ายออก
“ใครจะร้องไห้ อย่าใส่ความข้าสิขอรับ” เจียนเจียนตอบกลับด้วยใบหน้าบึดบึ้งแต่ยังคงไว้ความนับถือ หลังจากรู้ว่าเป็นอาจารย์ของอวิ้นเซียนคำพูดจึงนอบน้อมมากขึ้น จิวชงหยวนหันไปมองแล้วอมยิ้มกับคนปากแข็ง น่าแกล้งจริงๆ
“อะแฮ่ม!” หย่งเจิ้นส่งเสียงเรียกความสนใจทำให้จิวชงหยวนหันมายิ้มให้บาง
“หืม เจ้าอยากกอดอาจารย์ด้วยคนหรอกหรือ” อวิ้นเซียนหันไปส่งยิ้มบางเอ่ยถามด้วยหน้าตาใสซื่อ หย่งเจิ้นที่ได้ยินคำตอบก็หน้าแดงหูแดงไปหมดจนทำให้ทุกคนอดขำไม่ได้
“ท่านอย่าแกล้งประมุขหย่งเจิ้นสิขอรับ” เจียนเจียนเอ่ยปรามเสียงเรียบ ซึ่งอวิ้นเซียนเองก็ส่งยิ้มบางให้แล้วผละจากเขาไปลูบหัวเจียนเจียนอย่างรักใคร่ บรรยากาศสีชมพูวิ้งๆ ที่แผ่ออกมาทำให้เขามองอย่างเอือมๆ
“เดี๋ยวข้าพาไปหาไป๋เสวี่ย ปล่อยให้สองคนนี้หวานกันต่อไปเถอะ” จิวชงหยวนบอกพร้อมลากหย่งเจิ้นไปข้างในปากถ้ำซึ่งแยกออกไป
“พวกเขาเหมือนจะรักและซื่อสัตย์ต่อเจ้าดี” หย่งเจิ้นที่เดินตามแรงลากของร่างโปร่งบางกล่าวออกมาอย่างจริงใจ
“อืม”
จิวชงหยวนตอบรับสั้นๆ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอวิ้นเซียนนั้นถือว่าพูดยากเหมือนกันเพราะคนเป็นอาจารย์ที่แท้จริงของอวิ้นเซียนนั้นเป็นเทพโอสถ แต่หากทำให้อวิ้นเซียนเสียใจเมื่อรับรู้ความจริงเขาก็จะปิดเป็นความลับต่อไป อีกอย่างเทพโอสถต้องการให้ผลออกมาเช่นนี้อยู่แล้ว กอปรกับระหว่างหนึ่งปีที่ผ่านมาอวิ้นเซียนก็ทำให้ผูกพันธ์และคุ้นเคยเหมือนตัวเองมีลูกศิษย์จริงๆ เสียแล้ว
จิวชงหยวนปล่อยมือคนที่เขาลากมาเมื่อถึงทางเข้าเดินไปกดปุ่มเปิดประตูหินอย่างคุ้นเคย แม้จะเดินห่างมาแต่อวิ้นเซียนกับเจียนเจียนก็เดินตามมาเช่นกันเพียงแต่ไม่ได้เร่งรีบเหมือนเขาเท่านั้น
ครืดดด
ประตูหินถูกเปิดออกพร้อมไอเย็นของน้ำแข็งแผ่ออกมาข้างนอก จิวชงหยวนเดินไปหาร่างที่นอนอยู่ใบหน้าที่หลับตาพริ้มไม่ได้ซีดไปกว่าเดิมและที่เขามาไว้ที่ห้องเย็นนี้เพื่อป้องกันให้ลมปราณของไป๋เสวี่ยยังคงใช้ได้เช่นเดิม เพราะกลัวว่าพิษนี้จะกัดกินพลังภายในไปด้วย หย่งเจิ้นเดินเข้าไปใกล้พร้อมจับชีพจรที่ยังคงที่ของอีกฝ่ายนิ่งๆ แล้วหันมามองพวกเขาที่ยืนห่างออกมา
“เขาเหมือนหลับไปจริงๆ เจ้ารักษาเขาได้จริงใช่ไหมชงหยวน”
“ข้าคิดว่าเจ้าเชื่อใจอาจารย์ข้ามากกว่าคำถามของเจ้านะหย่งเจิ้น”
อวิ้นเซียนกล่าวเสียงเรียบ ใบหน้ายิ้มบางๆ จิวชงหยวนมองทั้งคู่แล้วตอบกลับอย่างเข้าใจ แม้หย่งเจิ้นจะเชื่อใจว่าเขารักษาไป๋เสวี่ยหายแต่ภาพตรงหน้าก็ทำให้หวาดกลัวเช่นกัน
“เจ้าวางใจเถอะเพียงแค่ได้หัวใจกิเลนมาก็ปรุงยาได้แล้ว” จิวชงหยวนตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น หย่งเจิ้นมองสบดวงตาเรียวด้วยความซาบซึ้งใจ
“ขอบใจเจ้ามาก แผ่นดินแคว้นหางโจวเป็นหนี้บุญคุณเจ้าแล้ว”
“อย่าได้คิดมาก ข้ามิได้หวังให้ใครมาติดหนี้บุญคุณข้า และไป๋เสวี่ยก็เป็นสหายข้าเจ้าโปรดวางใจเถอะ” “ข้ามิคิดว่าพรรคหมื่นพิษจะปรุงยาพิษร้ายแรงเช่นนี้ได้ สมุนไพรที่ใช้ปรุงนั้นมีมากกว่าสามร้อยหกสิบชนิดอีกทั้งต้องใช้เวลาเคี่ยวยาสี่สิบเก้าราตรี และต้องนำมาอาบพระจันทร์อีกสิบสองราตรี”
เจียนเจียนกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเพราะคนที่มีความรู้สมุนไพรพิษนิทราหมื่นเทวานั้นไม่ใช่มีมากนัก และที่เขาจำได้เพราะต้องท่องตำราหายามาแก้ให้อวิ้นเซียนแต่กลับใช้ไม่ได้ผลหากไม่เจอหมอเทวดาจิวชงหยวนทุกวันนี้เขาคงไม่ได้สมหวังในรัก แม้จะเป็นรักที่มีทั้งทุกข์และสุขก็ตาม
“หากการปรุงนานขนาดนั้นและยังมากวิธีแล้ววิธีทำยารักษาต้องใช้วิธีเดียวกันหรือเปล่า” หย่งเจิ้นหันมาถามจิวชงหยวนด้วยความกังวล จิวชงหยวนเหลือบตาไปมองคนถามเล็กน้อยก่อนจะเดินไปจับชีพจรลมปราณของคนที่หลับตานิ่งดูอาการไปด้วยและตอบไปด้วย
“หากเป็นคนอื่นปรุงอาจจะใช้เวลาดั่งที่กล่าวมา แต่ข้ามียาที่ยังเหลือจากหุบเขาแห่งเซียนทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเหมือนคนอื่น ขาดแค่หัวใจกิเลนที่ข้าไม่มีเท่านั้น”
“หากเป็นเช่นนั้นข้าคงต้องออกไปช่วยหมิงอี้ฟาน” หย่งเจิ้นหันมาบอกร่างโปร่งบางด้วยสีหน้ากังวลเล็กน้อยเพราะกิเลนใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ
“อาจารย์ต้องการหัวใจกิเลนหรือขอรับ”
คำถามของอวิ้นเซียนทำให้จิวชงหยวนหันมามองแล้วพยักหน้ารับเพราะก่อนหน้านี้เขาไม่ได้บอกอวิ้นเซียนว่ายังขาดหัวใจกิเลน เพียงแค่ฝากร่างของไป๋เสวี่ยไว้เท่านั้น ดวงตาคมๆ มองมาที่เขาเหมือนดุนิดๆ พร้อมคำถามที่ทำให้ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่คาดคิดว่าตัวเองจะสะเพร่าลืมเรื่องนี้ไปได้เช่นไร
“อาจารย์ลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นประมุขหอกิเลน และย่อมมีกิเลนอยู่ในหอกิเลนเช่นกันขอรับ” คำถามที่เป็นความหวังของทุกคน ดวงตาทั้งสองคู่มองอวิ้นเซียนด้วยความตื่นเต้น
“อวิ้นเซียนศิษย์รัก เจ้าน่าจะบอกข้าเร็วกว่านี้นะ” จิวชงหยวนบอกเหมือนตำหนิทว่าใบหน้ากลับยิ้มระรื่นอย่างยินดี
“อาจารย์มิได้บอกข้านี่ขอรับว่าต้องการหัวใจกิเลน บอกแค่ว่าให้หมิงอี้ฟานไปหาของสำคัญ”
จิวชงหยวนอึ้งไปเล็กน้อยเพราะเป็นจริงดังที่กล่าวมา อีกอย่างเพราะยังไม่มีใครแก้ยาพิษชนิดนี้ได้จึงไม่รู้ว่าต้องใช้สิ่งใดบ้าง แม้แต่ตำหนักหมื่นพิษที่ปรุงยาชนิดนี้ขึ้นเองก็ยังไม่มียาแก้ ตามข่าวที่แน่ชัดของอวิ้นเซียน สรุปว่าเขาเสียเวลาและเสียความรู้สึกไปกับการแต่งหญิงมาตลอดสามวัน แค่คิดก็อยากเอาหัวโขลกกับกำแพงให้กับความโง่เขลาของตัวเอง ยิ่งร้อนใจเป็นห่วงยิ่งทำให้ความรอบคอบลดลงไป
หลังจากอวิ้นเซียนนำหัวใจกิเลนมาให้จิวชงหยวนก็เริ่มลงมือปรุงยาทันที โดยมีอวิ้นเซียนและเจียนเจียนที่มีความรู้เรื่องการปรุงยามาเป็นผู้ช่วย เขาเลยถือโอกาสสอนปรุงยาแก้พิษนิทราหมื่นเทวาให้ไปด้วย เขาใช้เวลาในการปรุงยาแก้พิษนานกว่าสามชั่วยาม
ดวงตาเรียวมองเม็ดยาสีแดงใสแจ๋วอย่างพึงพอใจ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงไปรวมตัวห้องที่ไป๋เสวี่ยพักอีกครั้ง จิวชงหยวนให้หย่งเจิ้นประคองร่างที่หลับไหลมานั่งพิงบนอกแกร่งของตัวเอง จากนั้นเขาจึงป้อนยาพร้อมใช้ลมปราณช่วยให้กลืนยาลง ทุกสายตามองตามด้วยความตื่นเต้นว่าจะใช้ได้ผลหรือไม่
เพียงไม่นานร่างที่เคยหลับใหลก็ลืมตาขึ้นมามอง รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของทุกคน แม้จะมั่นใจและเชื่อมั่น ทว่าเมื่อได้มาเห็นด้วยตาเช่นนี้ยิ่งทำให้ทุกคนนับถือจิวชงหยวนมากขึ้น
“มีอะไรที่ท่านทำไม่ได้บ้าง” เจียนเจียนเอ่ยถามด้วยความทึ่ง ไม่ว่าจะรักษาอวิ้นเซียนหรือรักษาองค์รัชทายาทล้วนทำให้ประหลาดใจและยิ่งเกิดความเลื่อมใสศรัทธามากขึ้นกว่าเดิม
“หากไม่มีหัวใจกิเลนของพวกเจ้า ข้าก็ทำไม่ได้หรอก” จิวชงหยวนหันมาตอบเจียนเจียนและกลับมามองสำรวจร่างของไป๋เสวี่ยอีกครั้ง
“ข้าเป็นหนี้ชัวิตเจ้าแล้ว”
ไป๋เสวี่ยลุกขึ้นนั่งเองพร้อมพูดกับจิวชงหยวนด้วยความซาบซึ่งใจ ร่างโปร่งบางทำให้รู้สึกตกหลุมรักอีกครั้ง แต่รู้ดีว่าคนตรงหน้าอยู่สูงเกินจะเอื้อมถึง แม้ตนจะเป็นรัชทายาทก็ยังให้ความรู้สึกไม่คู่ควร ไหนจะมีน้องชายต่างมารดาที่หลงรักจิวชงหยวนที่เขาไม่อาจหักห้ามน้ำใจได้ หากไม่อยากเจ็บปวดคือต้องตัดใจ
“ตอนนี้ไป๋เสวี่ยหายดีแล้วอาจารย์จะทำเช่นไรต่อไปขอรับ” อวิ้นเซียนเอ่ยถามเสียงเรียบดวงตาคมมองมานิ่งๆ
“ข้าคงอยู่แคว้นเยี่ยสักพักเพื่อรออี้ฟานกับพรรคพวกกลับมา” จิวชงหยวนบอกความตั้งใจของตัวเอง
“หากเป็นเช่นนั้นข้าคงไม่อาจอยู่รอขอบคุณหมิงอี้ฟานได้เพราะราชสำนักในวังหลวงเริ่มกำจัดองค์ชายคนอื่นๆ บ้างแล้ว” จิวชงหยวนหันไปมองไป๋เสวี่ยที่มีสีหน้าเคร่งเครียด หย่งเจิ้นเองก็มิต่างกัน
“แล้วไป๋หู่ยังสบายดีอยู่หรือไม่” จิวชงหยวนเอ่ยถามด้วยความห่วงใยอย่างน้อยก็คนเคยรู้จักกันมาก่อน
“ไป๋หู่ยังสบายดี ตอนนี้กำลังฝึกซ้อมกำลังลับภายในพรรคเทพจันทรา” จิวชงหยวนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ และคิดว่าองค์ชายคนอื่นๆ คงไม่มีใครอยู่ในวังหลวงแล้ว และหากยังอยู่ก็คงไม่พ้นการจับกุม
“หากเป็นเช่นนั้นพวกเจ้าก็รีบกลับไปเถิดเพราะหากชักช้าเสด็จพ่อของเจ้าอาจจะไม่รอด” จิวชงหยวนบอกอย่างเป็นห่วง อวิ้นเซียนเองก็พยักหน้าเห็นด้วย แม้ทางยุทธภพจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับราชสำนักแต่ใช่ว่าเขาจะไม่สนใจเกี่ยวกับข่าวทางในวังหลวงเลย
“แล้วเจ้าล่ะ จะอยู่อย่างไร” หย่งเจิ้นเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง จิวชงหยวนส่งยิ้มบางไปให้แล้วบอกเสียงเรียบ
“ไม่ต้องห่วงข้าหรอก ข้ายังคงแต่งแบบนี้ไปสักพัก” หย่งเจิ้นมองคนบอกไม่ให้ห่วงแล้วถอนหายใจอย่างปลงๆ นี่เจ้าตัวไม่รู้บ้างหรืออย่างไรว่ายิ่งแต่งหญิงเช่นนี้ยิ่งทำให้เป็นห่วง ใบหน้างดงามสะดุดตากับรอยยิ้มบางที่ชวนให้ลุ่มหลงเช่นนี้ยิ่งทำให้ก่อเกิดศัตรูมากขึ้นเสียอีก หวังว่าภายภาคหน้าคงไม่เกิดศึกชิงนางขึ้นอีกหรอกนะ
“เจ้าได้ดูคันฉ่องตัวเองบ้างหรือไม่” จิวชงหยวนหันไปมองไป๋เสวี่ยที่เอ่ยถามพร้อมสีหน้าเคร่งเครียด ก็พอจะเข้าใจว่าพวกเขาหมายถึงสิ่งใดกัน
“ข้าดูทุกวันนั่นแหละพวกเจ้าไม่ต้องห่วงข้าหรอกถึงอย่างไรข้าก็มิได้อยู่ตัวคนเดียว”
“หากเจ้ามั่นใจเช่นนั้นข้าก็จะวางใจ แต่หากจะดี อวิ้นเซียนเจ้าสามารถอยู่คุ้มครองอาจารย์ของเจ้าได้หรือไม่” หย่งเจิ้นหันไปถามอวิ้นเซียนที่ยืนกอดออกมองมาที่พวกเขานิ่งๆ คิ้วคมเลิกขึ้นแล้วหันไปมองอาจารย์ตัวเองพร้อมตอบกลับเสียงเรียบ
“พวกเจ้าจะห่วงใยอาจารย์ข้าก็ดีใจ แต่พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าอาจารย์ไม่ใช่หญิงอ่อนแอไร้กำลังสักหน่อย” น้ำเสียงเรียบๆ และใบหน้านิ่งๆ จริงจังของลูกศิษย์กำมะลอทำให้จิวชงหยวนอึ้งไปไม่น้อย ไม่คิดว่าจะเชื่อมั่นอาจารย์มากขนาดนี้ แต่จะให้เขาบอกได้เช่นไรว่าตอนนี้เขาเป็นเพียงมนุษย์เดินดินธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ได้แต่ลอบถอนหายใจปล่อยเลยตามเลย อะไรจะเกิดค่อยไปแก้กันอีกที
“เช่นนั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วย และขอบคุณสำหรับที่พักของรัชทายาท” หย่งเจิ้นกล่าวบอกจิวชงหยวนก่อนจะหันไปขอบคุณอวิ้นเซียนที่พยักหน้ารับเบาๆ
หลังจากตกลงกันได้แล้วและไป๋เสวี่ยไม่มีอาการอื่นแทรกซ้อนจึงได้เดินทางกลับแคว้นหางโจวพร้อมกับหย่งเจิ้น ส่วนจิวชงหยวนก็กลับมากระท่อมที่พักซึ่งอวิ้นเซียนสร้างไว้ให้อีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับมีเจียนเจียนมาอยู่เป็นเพื่อนด้วยเพราะอวิ้นเซียนต้องไปฝึกสอนลูกศิษย์คนอื่นๆ ในหอกิเลน
“ท่านจะทำอย่างไรต่อไปหลังจากที่พวกหมิงอี้ฟานกลับมา” จิวชงหยวนนั่งจิบชาที่ศาลารินน้ำหันมามองเจียนเจียนที่เอ่ยถามพร้อมยื่นขนมกุ้ยฮัวมาให้ทานเล่น
“ข้าจะยังเดินทางรักษาผู้คนต่อไป แต่อาจจะใช้ร่างนี้ไปก่อน” จิวชงหยวนเอ่ยตอบเพราะหลังจากที่เขาแต่งหญิงก็ไม่มีนักฆ่ามาลอบโจมตีอีกเลย มีแต่พวกที่อยากมาติดต่อเข้าพรรคด้วยเท่านั้นแต่ก็มิได้หักหาญน้ำใจอย่างที่กลัว
“แล้วเจ้าจะปฏิเสธพวกนั้นอย่างไร”
คำถามของเจียนเจียนพร้อมดวงตาเรียวที่มองไปยังกระท่อมขนาดกลางซึ่งบัดนี้มีคนมากกว่าสิบคนยืนแบ่งพรรคแบ่งพวกกันอยู่จากนั้นทั้งสองกลุ่มก็เดินตรงดิ่งมาที่เขา จิวชงหยวนจึงนั่งยืดตัวตรงเก็บเท้าไว้ร่มผ้าอย่างระวัง
ทว่ากิริยาตอนนี้ของจิวชงหยวนกลับดึงดูดมากขึ้นเหมือนองค์หญิงจากแคว้นไหนสักแห่งที่กิริยาท่วงท่าสง่างามและชวนให้น่าเกรงขาม
“ข้าน้อยเหินหยาง ขออภัยท่านหมอที่พวกข้ามารบกวน ท่านประมุขศิลาแดงได้เชิญท่านไปร่วมรับประทานมื้อค่ำด้วยขอรับ” หนุ่มหน้ามนเดินเข้ามาทักทายพร้อมแนะนำตัว อีกกลุ่มหนึ่งก็ไม่ยอมน้อยหน้ากัน
“ข้าน้อยฉือหรง ขออภัยที่มารบกวนท่านหมอ ข้าน้อยมาจากพรรคค้ำฟ้าอยากเรียนเชิญท่านไปร่วมดื่มชาและสนทนาด้วยขอรับ”
จิวชงหยวนมองคนทั้งสองกลุ่มแล้วส่งยิ้มบางภายใต้ผ้าสีขาวผืนบางที่ปกปิดครึ่งหน้าแล้วกล่าวเสียงนุ่มหวานที่ดัดลงเล็กน้อย
“ข้าต้องขอบคุณพวกท่านที่ให้เกียรติข้าไปร่วมดื่มชาสนทนาด้วย แต่เวลานี้ข้ามิสะดวกที่จะไปด้วยเนื่องจากเจ้าหอโคมแดงไม่สบายและยังโดนพิษที่ไม่ทราบที่มาจึงต้องรอดูอาการรักษาไปก่อน”
น้ำเสียงหวานล้ำที่เอ่ยมาทำให้เจียนเจียนถึงกับสำลักน้ำชาก่อนจะแสร้งไอคอกแค่ก ทว่าดวงตาตวัดมองอาจารย์ที่เคารพรักของอวิ้นเซียนอย่างคาดโทษที่ไม่ยอมบอกอะไรล่วงหน้า
“โอ้เป็นเช่นนี้เอง มิทราบว่าอาการท่านเจ้าของหอเป็นเช่นไรบ้างขอรับ” ฉือหรงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงแววตาที่ส่งมาทำให้จิวชงหยวนรู้สึกไม่ชอบมาพากล นี่เจียนเจียนคงไม่แอบไปมีกิ๊กหรอกนะ
“อาการข้ายังมิหายดี ข้าไปเจอคนพรรคหมื่นพิษมาใช้บริการที่หอโคมแดงและเกิดโต้วาทีกันขึ้น มิคิดว่าคนพรรคหมื่นพิษจะร้ายกาจทำร้ายข้าที่อ่อนแอเช่นนี้ได้” จิวชงหยวนเหลือบตามองเจียนเจียนที่แสร้งยกมือคล้ายยกเช็ดน้ำตาอย่างเสียใจ ใบหน้างดงามเศร้าหมองไปด้วยยิ่งทำให้คนมองรู้สึกเห็นใจมากขึ้น
ร้ายกาจ! นั่นคือนิยามเดียวที่จิวชงหยวนมอบให้เจียนเจียนในเวลานี้
“หากเป็นเช่นนั้น หลังจากที่รักษาท่านเจ้าหอได้แล้ว ท่านจะให้เกียรติพวกข้าได้หรือไม่” จิวชงหยวนส่งยิ้มบางให้เหินหยางแล้วบอกเสียงแผ่วเบา
“พวกท่านอยู่ฝ่ายธรรมะ ที่มีจิตใจคุณธรรมข้าย่อมให้เกียรติท่านอยู่แล้ว” คำตอบของจิวชงหยวนทำให้พวกเขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจก่อนจะขอตัวกลับไปเพื่อรอให้หมอเทวดาผู้งดงามไปร่วมสนทนาน้ำชาด้วย
“ท่านช่างร้ายกาจ!” หลังจากที่พวกเขากลับกันหมดแล้วเจียนเจียนจึงหันไปต่อว่าจิวชงหยวนเสียงเครียด ซึ่งเจ้าตัวก็ยิ้มรับอย่างไม่สะทกสะท้าน
“มิกล้า มิกล้า ไฉนเลยข้าจะร้ายกาจเช่นท่านเจ้าหอโคมแดงได้เล่า” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างหยอกเย้าและทำให้เจียนเจียนสะบัดหน้าหนีอย่างงอนๆ จนอดขำออกมามิได้
วันนี้ทุกอย่างเหมือนจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี หากไม่เห็นหมิงอี้ฟานกลับมาด้วยสภาพสะบักสะบอม จิวชงหยวนลุกขึ้นเข้าไปประคองร่างสูงที่เดินโงนเงนกลับมาและอีกสองคนก็มีสภาพมิต่างกัน ทว่ารอยแผลตามตัวเหมือนกับพวกนี้ไปฟัดกับสุนัขที่ไหนมา
หลังจากที่ทั้งสามคนกลับมาอย่างปลอดภัยแม้เสื้อผ้าจะขาดรุ่ยไปบ้างก็ตามและยังมีรอยไหม้ตามตัวเป็นหย่อมๆ จึงทำให้พอเข้าใจว่าพวกเขาไปฟัดกับกิเลนไฟกันมา กิเลนที่เขารู้จักมีสองชนิดคือกิเลนไฟและกิเลนน้ำ ซึ่งยาที่เขาใช้ปรุงนั้นใช้ได้ทั้งสองอย่าง จิวชงหยวนกับเจียนเจียนช่วยทำแผลให้ทั้งสามคนจนมีสภาพเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น
“ข้าไม่อยู่สามวันมานี้มีคนมาจีบเจ้าหรือไม่” คำถามแรกของหมิงอี้ฟานทำให้จิวชงหยวนคิ้วขมวดขึ้น ก่อนจะเอ่ยตอบกลับเสียงเรียบ
“เจ้าต้องถามข้าสบายดีอยู่หรือไม่”
“ก็ข้าเห็นเจ้าสบายดี เพียงแต่ความงามของเจ้าในเวลานี้ข้ากลัวว่าหัวบันไดบ้านจะไม่แห้งเสียแล้ว” คำกล่าวของหมิงอี้ฟานทำให้เจียนเจียนกับเสี่ยวเหมาหัวเราะคิกๆ อย่างชอบใจ
“.....”
จิวชงหยวนปิดปากเงียบอย่างจนใจเพราะที่หมิงอี้ฟานกล่าวมาก็มีส่วนถูกไม่น้อย จึงได้แต่เทเหล้าลงแผลอย่างไม่ปราณีด้วยความเจ็บใจ
“ซี้ดดด เจ้าจะฆ่าข้าหรืออย่างไร” หมิงอี้ฟานร้องประท้วง
จุ้ยซิงและหนานจี้กงมองตามอย่างสงสารศิษย์พี่แต่ก็ไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้ แต่ที่ทำให้พวกเขาจดจำไว้คืออย่าไปยั่วโมโหจิวชงหยวนขณะทำแผลเป็นอันขาด
“ข้ามีเรื่องจะบอกพวกเจ้าอย่างหนึ่ง” จิวชงหยวนละออกจากแผลหันไปส่งยิ้มบางให้ทั้งสามคนที่หันมามองอย่างสนใจ
“คือว่าไป๋เสวี่ยตอนนี้หายดีแล้วและกลับแคว้นหางโจวไปเมื่อบ่ายนี่เอง” คำพูดของจิวชงหยวนทำให้หมิงอี้ฟานและพรรคพวกถึงกับอึ้งไป นี่พวกเขาเสียเวลาไปเพราะอะไรกัน
“แต่พวกเจ้าไม่ต้องเสียใจหรอกนะเพราะสิ่งที่เจ้านำมาข้าจะนำมาปรุงยาไปใช้ตอนฉุกเฉิน” จิวชงหยวนยิ้มแหยให้ทั้งสามคนอย่างสำนักผิด หากเขาไม่ใจร้อนคงไม่เสียเวลาไปอย่างนี้ แต่จะบอกเสียเวลาเลยทีเดียวก็คงไม่ได้เพราะยังสามารถปรุงยาจากหัวใจกิเลนได้อีกมาก
“หากเป็นเช่นนี้เจ้าก็ไม่ต้องแต่งหญิงอีกแล้วน่ะสิ”จิวชงหยวนมองหมิงอี้ฟานแล้วเลิกคิ้วมองพร้อมเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“เจ้าไม่ชอบให้ข้าแต่งหญิงหรอกหรือ”
คำถามของจิวชงหยวนทำให้หมิงอี้ฟานใบหูแดงก่ำอย่างเก้อเขิน จุ้ยซิงหันหน้าหลบภาพที่เห็นโดยมีหนานจี้กงลูบหัวอย่างปลอบโยน
เจียนเจียนมองภาพที่มีทั้งเศร้าและสุขปนอยู่ด้วยแล้วส่ายหน้า เขามั่นใจว่าจิวชงหยวนรู้ว่าใครรู้สึกอย่างไร ทว่าความน่ารักและมีเสน่ห์ของอีกฝ่ายย่อมทำให้ยากต่อการหักห้ามใจ และตนเองโชคดีแค่ไหนที่อวิ้นเซียนมีใจให้ตน มิใช่คนงามตรงหน้าที่เขาไม่มีอะไรไปสู้ได้เลย
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นหญิงหรือชายข้าก็ชอบทั้งนั้นแหละ” คำตอบของหมิงอี้ฟานเหมือนจะทำให้บรรยากาศรอบกายดูอึดอัดมากขึ้น จิวชงหยวนเองก็ยิ้มแหยไม่คิดว่าจะได้คำตอบเช่นนี้
“พวกเจ้าคงหิวเดี๋ยวข้าไปหาอะไรให้กิน” จิวชงหยวนพูดตัดบทก่อนจะแยกไปทางห้องครัว เจียนเจียนกรอกตามองหมิงอี้ฟานซึ่งไม่รู้อะไรเลยว่ากำลังทำให้ใครอีกคนร้องไห้
“ข้าเหนื่อยมากแล้ว ขอตัวไปพักก่อนน่ะขอรับ”
จุ้ยซิงบอกทุกคนด้วยรอยยิ้มบาง ทว่ารอยยิ้มกลับไม่ส่งถึงดวงตาคู่งามสักนิด หมิงอี้ฟานพยักหน้ารับโดยไม่ได้สังเกตสักนิดว่าเสียงคนที่เอ่ยขอสั่นสะท้านมากแค่ไหน เจียนเจียนมองภาพตรงหน้าแล้วอยากเอามือโบกหัวคนซื่อบื่อสักที ว่าควรรักผู้ใดมากกว่ากัน
“ข้าขอตัวไปช่วยชงหยวนในครัวพวกเจ้าก็พักผ่อนรออาหารมื้อเย็นไปก่อนแล้วกัน”
เจียนเจียนบอกกล่าวแล้วเดินตามจิวชงหยวนเข้าไปยังห้องครัว ปล่อยให้หมิงอี้ฟานคนซื่อโง่งมกับรักข้างเดียวต่อไป เพราะอย่างไรความรักก็มิอาจบังคับกันได้อยู่แล้ว หวังว่าสักวันหมิงอี้ฟานจะมองเห็นคนข้างกายบ้างนะ
ขอบคุณทุกคอมเมนท์มากจ้า ฟางลองเคาะให้แล้วนะคะ ^_^
(นึกว่าวันนี้จะลงไม่ได้แล้ว Gmail โดนบล๊อกเลยเข้าเล้าไม่ได้ ตอนแรกก็งงว่าเป็นเพราะอะไรถึงเข้าไม่ได้ ลองเข้าเมล์ไปแล้วโดนบล็อกเฉยเลย 555) ขอให้มีคววามสุขกับการอ่านจ้า