ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11  (อ่าน 186039 ครั้ง)

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
โอ๊ยยยยยยย ตายๆๆๆ ณรงค์ หล่อมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ที่คิดไว้ไม่หล่อขนาดนี้นะเนี่ย กรี๊ดดดดดดดดด น้ำลายไหล  :z1:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ถ้าเป็นเรื่องของคุณริน
กว่าบทเข้าพระเข้านายจะมา
ต้องรอจนถึงจุดพีคค่ะ
พอมาแล้วก็ต้องบอกว่าของเขาดีจริงๆ หุหุหุ


คุณ yeyong คุณค่าของการรอคอยมันให้ผลหอมหวานและเต็มอิ่มยังงี้ละ (ป๊าดดดดด) ว่าแต่ทางบ้านหายน้ำท่วม + ได้หนังสือหรือยังเอ่ย? ส่งไปแล้วก็เป็นห่วงเหมือนกัน ยังไงถ้าได้รับหรือได้อ่านต้นกับไผ่แบบรวมเล่มแล้วมาเล่าสู่ให้ฟังกันบ้างนะคะ จุ๊บๆ  o13
ได้รับหนังสือแล้วค่ะ
แต่รู้สึกว่า boxset มันฟิตมากเลยค่ะ พอเปิดอ่าน หนังสือมันจะฟูขึ้นกว่าเดิม เอาใส่กลับกล่องยากมาก ทีนี้เราเอาหนังสือไปเคลือบปก เลยใส่กลับกล่องไม่ได้ ก็เลยต้องแยกกันอยู่ไปโดยปริยาย




งืม โรงพิมพ์เขาทำกล่องมาค่อนข้างพอดีน่ะค่ะ จริงๆ ของเราก็เคลือบปกแต่ยัดเข้ากล่องได้ (แต่ตอนจะดันออกยากหน่อย) มันต้องใช้วิธีตั้งตรงๆ ดันตรงๆ แต่หวังว่าคงอ่านบ่อยๆ จนไม่ต้องเอาใส่กล่องก็ได้เนาะ ^^

โอ๊ยยยยยยย ตายๆๆๆ ณรงค์ หล่อมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ที่คิดไว้ไม่หล่อขนาดนี้นะเนี่ย กรี๊ดดดดดดดดด น้ำลายไหล  :z1:

ตอนเห็นครั้งแรกก็น้ำลายไหลเหมือนกันค่ะคุณผึ้ง เห็นแล้วมีกำลังใจอยากเขียนเรื่องคู่นี้อีกเยอะๆ 5555

anajulia

  • บุคคลทั่วไป
^
^
^
จิ้มๆพี่ริน

อยากเขียน นุ่นก็รออ่านค่ะ


แล้ว........คุณเชษฐ์กะคุณภัทรล่ะคะ
(วิ่งหนี ฟริ้วววววววววววววววววว)

Bella

  • บุคคลทั่วไป
อยากกดบวกให้จังค่ะ แต่เสียดายที่ยังกดไม่ได้
ภาพสวยมากเลย อยากจะได้มาครอบครอง อิอิ



ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ช่วงนี้เหนื่อยๆ เพลียๆ จากการเรียนกับงาน เลยยังไม่กล้าต่อคุณเชษฐ์กับภัทรเพราะกลัวอารมณ์จะออกมามึนเหมือนคนเขียน แต่พอไม่เขียนนิยายเลยก็รู้สึกห่อเหี่ยว ชีวิตอับเฉาพิกล สุดท้ายเลยต้องขอสักหน่อย (ทั้งที่อาเจ๊คนนึงแนะนำว่า ช่วงนี้แกทิ้งนิยายสักพักดีกว่านะ เดี๋ยวเรียนไม่จบ แว้กกกกก มันไม่ได้ทิ้งกันง่ายขนาดน้านนนน)  :z3:

เอาล่ะ บ่นเสร็จแล้วก็คืนสติกลับมาเป็นคนเดิม ไม่รู้ทิ้งช่วงนานขนาดนี้คนอ่านจะลืมณรงค์กับไรอันหรือยัง แต่ที่แน่ๆ คนเขียนคิดถึงคู่นี้สุดๆ จนต้องขอแบ่งเวลาที่มีอันน้อยนิดมาเขียนค่ะ สำหรับตอนนี้มาลงครึ่งแรกให้ก่อน เดี๋ยวครึ่งหลังเสร็จเมื่อไหร่จะรีบตามมาแปะต่อให้นะ ส่วนแฟนๆ คุณเชษฐ์กับภัทร เรามาลุ้นให้จบในปีนี้กันค่ะ ฮ่าๆๆ  :z2:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอน One step closer (ครึ่งแรก)

ในช่วงบ่ายของวันพฤหัสบดี แสงจากดวงอาทิตย์สาดจ้าโดยไร้เมฆบดบัง
แต่ถึงแม้ไอร้อนภายนอกจะแผดเผารุนแรงสักเพียงใด ภายในอาคารสำนักงานกลับเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำเสียจนพนักงานแทบทุกคนต้องสวมแจ็คเก็ตหรือห่มผ้าคลุมไหล่กันหนาวให้วุ่น ณรงค์ก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องหยิบแจ็คเก็ตซึ่งปกติวางพาดบนพนักเก้าอี้ขึ้นมาสวม แต่เมื่อเหลือบเห็นรุ่นน้องสาวที่นั่งเยื้องไปฝั่งตรงข้ามก็อดจะแซวไม่ได้

“หนาวเว่อร์ไปรึเปล่าผึ้ง? ทำยังกับอยู่ขั้วโลกเหนือ”

ยุพดีเหล่มองคนถาม เพราะนอกจากเธอจะสวมแจ๊คเก็ตแบบหนาฟูซึ่งรูดซิปขึ้นจนสุดแล้ว ยังดึงฮู้ดคลุมศีรษะราวกับพวกชนเผ่าเอสกิโมอีกต่างหาก “ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงล่ะพี่รงค์ ก็รู้หรอกว่าอากาศข้างนอกมันร้อน แต่ทำไมจะต้องเร่งแอร์ขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้ เดี๋ยวพนักงานป่วยยกบริษัทกันพอดี”

อิสราซึ่งสวมแจ็คเก็ตเหมือนกันและนั่งถัดไปจากณรงค์หัวเราะ “ช่วยไม่ได้นี่นา แอร์ที่นี่ดันเป็นแอร์กลาง ถ้าบริษัทเราขอให้ลดอุณหภูมิ เดี๋ยวบริษัทอื่นก็บ่นร้อนอีก ทางอาคารก็เลยช่วยอะไรไม่ได้น่ะสิ”

ยุพดีตวัดสายตามองเพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นจูเนียร์ดีไซเนอร์เหมือนกัน จากนั้นก็บ่นอุบอิบแล้วทำงานต่อ ณรงค์หัวเราะพลางหยิบกระบอกน้ำพลาสติกขึ้นเปิดดื่ม แต่พอเห็นว่าไม่มีน้ำสักหยดจึงลุกเข้าไปในครัวเพื่อเติมน้ำ

โชคดีว่าหลังจากผ่านเทศกาลสงกรานต์มาได้สองเดือน งานที่ชุกจนมือเป็นระวิงเมื่อตอนต้นปีก็ค่อยๆ ลดลง โดยลูกค้ารายล่าสุดที่เพิ่งส่งแบบให้พิจารณาก็ยังไม่ตอบกลับมา ช่วงนี้งานของเขาจึงไม่มีอะไรเร่งด่วนมากนัก

ขณะที่กำลังรองน้ำโดยกดจากคูลเลอร์ในห้องครัว เสียงเลื่อนประตูเปิดก็ดึงความสนใจให้เหลือบตาขึ้นมอง และเมื่อเห็นว่าคนที่กำลังเดินเข้ามาคือหนุ่มลูกครึ่ง หนึ่งในผู้บริหารและยังอยู่ในสถานะเป็น ‘คนพิเศษ’ ของเขา ใบหน้าของณรงค์ก็สดใสขึ้นทันที

“กลับจากประชุมข้างนอกแล้วเหรอ?”

ณรงค์ถามเนื่องจากวันนี้พวกเขายังไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่เช้า ไรอันพยักหน้าแทนคำตอบแล้วก็เลื่อนประตูปิดตามหลัง ผิวแก้มสีงาช้างของหนุ่มลูกครึ่งมีสีเลือดฝาดเรื่อๆ เนื่องจากเพิ่งเข้ามาในอาคาร

“อืม แต่เดี๋ยวอีกสักพักก็จะมีประชุมผู้บริหารอีก ผมเลยแวะมากินน้ำก่อน”

ไรอันตอบพลางเปิดตู้แพนทรี่ด้านบนเพื่อหยิบแก้วน้ำ ณรงค์ที่ยังรองน้ำไม่เต็มกระบอกจึงหยุดกดและถอยให้ก่อน ไรอันเหลือบตามองเขาแล้วก็ขยับตัวเข้าไปกดน้ำแทน “ขอบคุณ”

นับตั้งแต่กลับจากไปเยี่ยมบ้านของณรงค์ที่กาญจนบุรีเมื่อสองเดือนก่อนและยอมรับว่าเขาเป็นแฟน ไรอันก็พูดภาษาไทยด้วยบ่อยขึ้น เว้นแต่บางทีที่ขี้เกียจก็อาจจะพูดภาษาอังกฤษเหมือนเดิม

ความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มขึ้นแบบที่ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครคาดคิด เพราะแม้จะทำงานในบริษัทเดียวกันนับตั้งแต่ไรอันมารับตำแหน่งเป็นหนึ่งในผู้บริหารที่เมืองไทย แต่พวกเขาก็แทบจะไม่เคยได้แลกเปลี่ยนคำพูดกันสักครั้ง ถึงแม้ณรงค์จะสนใจมองอีกฝ่ายบ้างเพราะรู้สึกว่าบุคลิกน่าสนใจดี แต่เขาก็ไม่เคยคิดไกลไปถึงขั้นอยากจีบหรือสานสัมพันธ์มากไปกว่าการเป็นเพื่อนร่วมงานเลยสักนิด

ซึ่งทั้งหมดนั้นเปลี่ยนไปตั้งแต่วันคริสต์มาสที่ผ่านมา...

ไรอันยืนหันหลังให้ณรงค์และก้มศีรษะเล็กน้อยขณะรองน้ำจากคูลเลอร์ เสื้อเชิ้ตบริเวณแผ่นหลังมีเหงื่อซึมบางๆ และต่อให้ไม่ได้ตั้งใจจะคิดลามก แต่ณรงค์ก็อดมองภาพตรงหน้าแล้วคิดไปถึงวันที่ทั้งสองอาบน้ำด้วยกันที่บ้านสวนไม่ได้

ทั้งแผ่นหลังและช่วงบ่ากว้างโปร่งซึ่งเนียนลื่นไร้ไฝฝ้า ลำแขนเพรียวแต่มีกล้ามเนื้อกำลังพอดี ท่อนเอวสอบที่นำสายตาลงสู่สะโพกเกร็งเครียด และท่อนขาแข็งแรงอย่างคนที่ออกกำลังสม่ำเสมอ ทุกส่วนสัดที่ถูกบดบังด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงแสล็คล้วนเคยผ่านสายตาและการสัมผัสของเขามาแล้วทั้งสิ้น

ราวกับรู้ตัวว่าโดนจ้อง ไรอันเลยเอี้ยวคอมามองเขานิดหนึ่งทั้งที่ยังยืนท่าเดิม หนุ่มลูกครึ่งกระตุกมุมปากขึ้นแล้วหันกลับไปกดน้ำต่อ ณรงค์เลยหัวเราะในคอเพราะรู้ว่าถูกจับได้

อย่างน้อยก็ไม่เดินหนีหรือหันมาแยกเขี้ยวใส่ล่ะน่า...

ณรงค์ยืนมองไรอันยกแก้วน้ำขึ้นดื่มรวดเดียวเกลี้ยงอย่างเงียบๆ พอหนุ่มลูกครึ่งก้มลงเติมน้ำใส่แก้วอีกครั้งก็ถามขึ้น

“ว่าแต่เย็นนี้ผมเลิกงานเร็ว ไปกินข้าวเย็นด้วยกันมั้ย?”

ปกติแล้วทั้งสองเลิกงานไม่ค่อยจะตรงกัน ดังนั้นการทานมื้อเย็นร่วมกันในวันธรรมดาจึงเป็นเรื่องที่นานทีปีหนจะเกิดขึ้นสักที

ไรอันส่ายหน้าพลางใช้หลังมือปาดคราบน้ำบนริมฝีปาก “Sorry เย็นนี้ผมมีนัดกินข้าวกับลูกค้า คุณกลับก่อนได้เลย”

หนุ่มลูกครึ่งหันไปวางแก้วเปล่าลงในอ่างล้างจาน แต่พอหันมาเห็นแววตาผิดหวังของณรงค์ หนุ่มลูกครึ่งก็ยกมือตบไหล่เขาเบาๆ

“Don’t make a face like that. ยังไงวันเสาร์ก็ได้กินข้าวด้วยกันอยู่แล้วนี่คุณ อุตส่าห์ได้เลิกเร็วก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะน่า”

ไรอันพูดจบก็เดินออกจากครัว ณรงค์จึงถอนหายใจเบาๆ แล้วกดน้ำจากคูลเลอร์ใส่กระบอกพลาสติกที่รองค้างไว้ ถึงแม้ใจหนึ่งจะรู้สึกดีที่ไรอันยังพูดเอาใจเขาบ้าง แต่ขณะเดียวกัน เขาก็เริ่มรู้สึกว่าความสัมพันธ์เท่าที่ดำเนินอยู่ไม่เพียงพอกับความรู้สึกในใจมากขึ้นเรื่อยๆ

อยากทำอะไรให้ไรอันรู้ว่าเขาแคร์มากกว่าการพาไปกินข้าวในวันหยุดบ้าง...


++------++


ในวันศุกร์ต่อมา ณรงค์มาถึงออฟฟิศสายกว่าเวลาเข้างานเล็กน้อย เนื่องจากบริษัทของเขาไม่ค่อยเคร่งครัดเรื่องเวลาเข้าออกงานของพนักงานสักเท่าไหร่ อีกอย่างเขาก็ไม่ได้มีงานที่ต้องรีบเข้ามาเคลียร์ให้เสร็จอยู่ดี

วันนี้งานเดียวของณรงค์คือออกไปประชุมกับลูกค้าเพื่อรับบรีฟโครงการปรับปรุงคอมมิวนิตี้มอลล์ย่านชานเมือง ซึ่งกว่าจะถึงเวลานัดก็บ่ายโมง ตอนกลางวันเขาจึงกินข้าวแถวๆ สำนักงานกับพวกรุ่นน้องในทีมก่อน พอใกล้ถึงเวลาจึงค่อยขับรถออกไป

เนื่องจากสถานที่อยู่ไกลออกไปนอกตัวเมืองมาก กว่าการประชุมจะจบและณรงค์ได้กลับเข้าบริษัทอีกครั้งก็เกือบสี่โมงเย็นแล้ว ชายหนุ่มเรียกประชุมรุ่นน้องทั้งสองในทีมเพื่อบรีฟงาน หลังจากอธิบายธีมจนเข้าใจและแบ่งงานกันเรียบร้อยก็พากันกลับไปที่โต๊ะ แต่แล้วณรงค์ก็เหลือบไปเห็นว่าห้องทำงานของไรอันยังปิดไฟมืดเหมือนเมื่อเช้าไม่มีผิด

วันนี้ประชุมข้างนอกทั้งวันหรือไงนะ...

ชายหนุ่มร่างสูงขมวดคิ้ว ก่อนจะตัดสินใจเดินไปถามจากเลขาของไรอันดู ถึงแม้ในทางปฏิบัติแล้วเขาจะไม่มีงานที่ต้องติดต่อกับฝ่ายนั้นโดยตรงในระยะนี้ แต่ถ้าแค่แกล้งถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็คงไม่ผิดปกตินัก

“อ้าวเหมย วันนี้นายเราไม่เข้าออฟฟิศเหรอ?”

ณรงค์ทำทีเป็นหยุดแวะถามระหว่างทางที่จะเดินไปห้องน้ำ เมธาวีซึ่งนั่งมีโต๊ะทำงานอยู่หน้าห้องของไรอันจึงเงยหน้าขึ้นพลางขยับแว่นที่สวม หญิงสาวอายุไล่เลี่ยกับณรงค์ แต่อายุงานที่บริษัทน้อยกว่าเพราะเพิ่งเข้ามาทำที่นี่เมื่อกลางปีที่แล้ว

“อื้อ โทรมาลาป่วยตั้งแต่เช้าแล้วแหละ รงค์มีอะไรกับเขาหรือเปล่า?”

คำตอบที่ได้ทำให้คิ้วของชายหนุ่มมุ่นขึ้นเล็กน้อย แต่ก็พยายามไม่แสดงอาการไม่พอใจแล้วทำทีเป็นถามต่อ

“อ๋อเปล่า แค่ถามดูเพราะเห็นทุกวันเขาต้องเข้าออฟฟิศไง นึกว่าลาพักร้อนกลับไปออสเตรเลียซะอีก”

เลขาสาวหัวเราะ “จะไปได้ยังไงล่ะจ๊ะ ยังไม่ใช่ช่วงวันหยุดซักหน่อย จะว่าไปเขาก็บ่นว่าเวียนหัวตั้งแต่เย็นวานแล้วนะ แต่วันนี้คงไม่ไหวจริงๆ เลยโทรมาบอกเราเมื่อเช้าว่าให้แคนเซิลนัดลูกค้าของวันนี้ทั้งหมดเลย”

ณรงค์รู้สึกว่ามือที่ล้วงกระเป๋าอยู่กำแน่นขึ้น ทว่าใบหน้ายังคงยิ้มแย้มเหมือนเดิม “วันนี้นายไม่อยู่ทั้งวัน เหมยก็สบายเลยสิ”

“ไม่มีหรอกย่ะ นายไม่อยู่แต่ฝากงานให้เต็มเลยเนี่ย ถ้ารงค์ว่างจะแบ่งไปทำก็ได้นะ”

คนโดนชวนรีบส่ายหน้า “ไม่เอาล่ะ ขอกลับไปทำงานตัวเองดีกว่า”

ณรงค์ตอบแล้วก็เดินสาวเท้าเร็วๆ กลับไปที่โต๊ะทำงาน รอยยิ้มเมื่อครู่ก่อนถูกความไม่พอใจพัดให้หายไปโดยสิ้นเชิง และนอกจากความหงุดหงิดที่รู้สึกได้อย่างชัดเจนแล้ว เขายังสัมผัสได้ถึงกระแสของความน้อยใจที่แทรกประสมอยู่ด้วย

ไม่สบายทำไมไม่บอกกันสักคำ...

ชายหนุ่มกลับมาถึงโต๊ะปุ๊บก็ปิดคอมพิวเตอร์แล้วเดินออกจากบริษัทโดยไม่ลาใคร พอลงลิฟต์ไปถึงที่รถก็หยิบมือถือมากดโทรออก แต่ทั้งที่โทรซ้ำถึงสามครั้ง ไรอันก็ไม่รับสายเลยสักครั้ง สุดท้ายณรงค์จึงตัดสายทิ้งแล้วรีบขับรถออกสู่ถนนใหญ่อย่างเร่งรีบ เพราะดูเหมือนทางเดียวที่จะรู้ได้ว่าไรอันป่วยมากน้อยแค่ไหนคือไปดูให้เห็นกับตาที่คอนโดเท่านั้น

โชคไม่ค่อยเข้าข้างคนที่กำลังร้อนใจสักเท่าไหร่ เพราะนอกจากตอนนี้จะเป็นเย็นวันศุกร์ ช่วงเวลาที่ณรงค์ขับรถออกมายังคาบเกี่ยวระหว่างเวลาเลิกงานและเลิกเรียนอีกด้วย การจราจรบนถนนจึงติดขัดเป็นพิเศษโดยเฉพาะย่านออฟฟิศของเขาเอง กว่าจะพารถหลบหลีกการจราจรเข้าในซอยและลัดเลาะไปจนถึงคอนโดของไรอันได้ เวลาก็ผ่านไปเกือบชั่วโมงและตะวันเริ่มลับขอบฟ้าแล้ว ทั้งที่ระยะทางไม่ได้ห่างไกลกันมากเลยแท้ๆ

ณรงค์จอดรถบริเวณที่ว่างด้านหน้าใกล้กับรั้วของคอนโด ฝ่ายพนักงานรักษาความปลอดภัยนั้นคุ้นเคยกับเขาดีเพราะมาส่งไรอันบ่อย จึงยิ้มทักทายและเปิดประตูอาคารให้โดยไม่ขอดูบัตรหรือถามว่ามาหาใคร พอขึ้นลิฟต์ถึงชั้นที่ยี่สิบ ณรงค์ก็แทบจะวิ่งไปที่ห้องซึ่งติดหมายเลขที่คุ้นเคยทันที

ชายหนุ่มกดกริ่งที่หน้าห้องรัวๆ แล้วก็ให้นึกขึ้นได้ว่าตัวเองรีบจัดจนไม่ได้แวะซื้อของติดมือมาเยี่ยมคนป่วยเลย แต่หลังจากรอครู่หนึ่งก็ยังไม่มีใครออกมาเปิดประตูสักที ชายหนุ่มจึงยกนิ้วขึ้นเพื่อจะกดกริ่งอีกครั้ง แต่นิ้วที่กำลังยื่นออกไปก็ชะงักเมื่อประตูถูกเปิดจากด้านในเสียก่อน

“ไร...ขอโทษครับ”

คนที่เปิดประตูออกมาและมองหน้าเขาด้วยแววตาแปลกใจไม่แพ้กันคือชายหนุ่มที่น่าจะอายุมากกว่าเล็กน้อย แต่ด้านรูปร่างแล้วสูงใหญ่ใกล้เคียงกัน ตอนแรกณรงค์นึกว่าตัวเองไม่ดูตาม้าตาเรือจนกดกริ่งผิดห้อง แต่พอชำเลืองมองเลขห้องอีกครั้งก็พบว่าตัวเองมาถูกที่แล้ว คราวนี้เขาจึงหันกลับไปขมวดคิ้วใส่คนที่ออกมาเปิดประตูแทน

หมอนี่เป็นใคร?

ดูเหมือนความไม่เป็นมิตรในแววตาของเขาจะเข้มข้นพอใช้ เพราะคนถูกมองยิ้มบางๆ ให้ก่อนจะเอ่ยเชื้อเชิญ

“เพื่อนของไรอันเหรอ? เข้ามาสิ เขานอนอยู่ข้างในน่ะครับ”

ชายหนุ่มแปลกหน้าเปิดประตูกว้างขึ้นและเบี่ยงตัวให้ เมื่อมั่นใจแล้วว่ามาถูกที่ ณรงค์จึงก้าวเข้าไปข้างในทันทีโดยไม่ต้องรอให้เชิญซ้ำ หลังจากถอดรองเท้าแล้วเขาก็หยุดยืนมองคนที่กำลังปิดประตูด้วยแววตาคลางแคลงไม่หาย

ชายหนุ่มที่เป็นคนเปิดประตูให้หันกลับมา และดูเหมือนจะอ่านแววตาของณรงค์ออก จึงกระตุกยิ้มบนมุมปากเล็กน้อยและผายมือไปทางประตูห้องนอน “อยู่ในห้องนอนครับ พอดีวันนี้เขาหลับๆ ตื่นๆ ทั้งวัน ไม่แน่ตอนนี้อาจจะตื่นแล้วเพราะเสียงกริ่งของคุณเมื่อกี้ก็ได้”

พอพูดยาวขึ้น ณรงค์ก็จับได้ถึงสำเนียงที่แปร่งเล็กน้อยเหมือนคนพูดไม่ค่อยชินกับการใช้ภาษาไทย และเมื่อมองดีๆ เขาก็เห็นว่านัยน์ตาของคนพูดเป็นสีน้ำตาลอมเทาจางๆ แต่ตอนนี้เขาไม่คิดจะสนใจหนุ่มแปลกหน้าคนนี้มากไปกว่าคนที่นอนอยู่ในห้องอีกแล้ว

เมื่อเปิดประตูห้องนอนออก ณรงค์ก็พบว่าคนที่เขาอยากเจอทั้งวันและทำให้เป็นห่วงแทบบ้ากำลังค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียง ผิวหน้าที่ปกติเป็นสีงาช้างแดงเรื่อและนัยน์ตาฉ่ำปรอย ส่วนผมสีน้ำตาลอ่อนหยักศกก็ยุ่งเหยิงเพราะนอนมาทั้งวัน

“James? Who was it? ...คุณมาทำไม?”


++---tbc---++


เนื่องจากเขียนระหว่างที่ยังมึนๆ เล็กน้อย ถ้าอ่านตรงไหนแล้วแปร่ง แหม่ง สะกดผิด ฯลฯ วานชี้บอกกันตามสะดวกค่า  :z13:

ออฟไลน์ badcow

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-10
ค้างงงงงงงงงง...งงง
.
ความสัมพันธ์จะคืบหน้ากว่าตอนกลับบ้านบางป่าวเนี่ย?

ออฟไลน์ maemod06

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
 :z13: หวังว่าจะได้อ่านต่อเร็วๆนะ รอมานานนะเนี่ย

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
อุตส่าห์เป็นห่วง ตั้งใจมาเยี่ยม
เจอคำถามแบบนี้คงอึ้ง
แต่ก็เข้าใจฝรั่งน่ะนะ ความเป็นส่วนตัวสูง

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ครึ่งหลังมาแล้วค่า อย่างยาว + ใช้เวลาเขียนนานค่อด (กระเบียดกระเสียรจากเวลางานกับเวลานอนมา)


++------++


ตอน One Step Closer ครึ่งหลัง

ตอนแรกหนุ่มลูกครึ่งถามด้วยภาษาอังกฤษ แต่พอเห็นว่าใครคือคนที่เดินเข้ามาในห้อง ใบหน้าของคนป่วยก็ดูจะตึงขึ้นมาทันที และทำเอาคนที่ได้เห็นพาลหางคิ้วกระตุกไปด้วย

“ทำไมเหรอ? นี่คุณเห็นผมเป็นหัวหลักหัวตอหรือไงถึงไม่คิดจะบอกสักคำว่าป่วยน่ะ!?”

ชายหนุ่มก้าวเร็วๆ เข้าไปนั่งลงบนเตียงแล้วยื่นมือแตะหน้าผากของไรอันโดยไม่สนใจคนอีกคนที่เดินตามเข้ามาในห้อง พอหลังมือสัมผัสกับอุณหภูมิที่สูงจนน่าตกใจ พลันความห่วงหาที่ผสานกับความไม่พอใจก็ยิ่งทวีขึ้นจนเป็นความโกรธ และนั่นทำให้เขาสะบัดหน้าขวับไปทางคนที่ยืนอยู่ตรงประตูทันทีอย่างหาเรื่อง ทำเอาคนถูกจ้องต้องยกมือสองข้างขึ้นพลางทำหน้าไร้เดียงสาว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นกับอาการของคนบนเตียง

ไรอันรีบดึงแขนเสื้อณรงค์ไว้ก่อนจะทันลุกแล้วหันไปเค้นเสียงถามผู้ชายตัวสูงตรงประตู “You moron! why the hell did you let him in!?”

คนถูกถามยักไหล่โดยไม่ลดมือทั้งสองข้างลง “How would I know? Besides, you were too sick to answer the door yourself anyway.”

ทั้งสองเถียงกันต่ออีก แต่ณรงค์ไม่ได้สนใจแล้วว่าไรอันกับชายแปลกหน้าพูดอะไรกัน เพราะตอนนี้เขามีคำถามที่จำเป็นต้องได้รับการชี้แจงอย่างเร่งด่วน

“ไรอัน หมอนี่เป็นใคร?”

คำถามที่แทรกขึ้นช่วยยับยั้งการถกเถียงได้เป็นอย่างดี ไรอันสบนัยน์ตาที่เป็นประกายวาวของณรงค์แล้วก็หลบตาไปทางอื่น “....เขาชื่อเจมส์ เป็นลูกพี่ลูกน้องผม เจมส์ นี่ณรงค์”

ไรอันแนะนำทั้งสองให้รู้จักกันแบบส่งๆ พลางทรุดตัวลงนอนตะแคงหันหลัง หนุ่มลูกครึ่งไอโขลกก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นคลุมถึงไหล่ ณรงค์จึงรีบก้มลงถามอย่างเป็นห่วง

“คุณเจ็บคอเหรอ? เป็นอะไรมากหรือเปล่า?”

คนป่วยนิ่งไปครู่หนึ่ง “...ผมหิวน้ำ”

เสียงตอบกลับเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่ณรงค์ก็รีบลุกพรวดเข้าไปในครัวแล้วเทน้ำอุ่นใส่แก้วมาให้ ชายหนุ่มช่วยประคองไรอันขึ้นนั่งแล้วเอาแก้วน้ำค่อยๆ จ่อริมฝีปาก ฝ่ายคนป่วยเหลือบมองเขาสลับกับชายแปลกหน้านิดหนึ่งก่อนจะยอมให้ป้อนน้ำแต่โดยดี พอดื่มน้ำหมดแก้วแล้วก็กระถดตัวลงใต้ผ้าห่มอีกครั้งและหลับตาลง

ณรงค์มองท่าทางอ่อนเพลียของคนบนเตียงแล้วก็ใช้นิ้วเสยผมสีน้ำตาลอ่อนที่ยุ่งเหยิงให้ ความไม่พอใจเริ่มลดเลือนเพราะภาพที่ได้เห็น แต่แล้วเสียงกระแอมก็เรียกความสนใจเขาไปยังคนที่ยืนกอดอกอยู่ตรงมุมห้อง

พอเห็นสายตาของณรงค์ที่บ่งบอกชัดเจนว่ายังไม่คลายความระแวง เจมส์ก็ยิ้มแล้วค่อยๆ ลดมือลงล้วงกระเป๋ากางเกงไว้

“ไม่ต้องทำสายตาแบบนั้นหรอกน่า ผมกับไรอันเป็นญาติกันจริงๆ แม่ผมเป็นลูกพี่ลูกน้องกับแม่เขา แล้วตอนเด็กเราก็ไปโรงเรียนประจำที่เดียวกันด้วย”

“โรงเรียนประจำ?”

คำอธิบายนั้นทำให้ณรงค์เลิกคิ้ว ชายหนุ่มเหลือบตาลงมองคนบนเตียงราวจะขอคำยืนยัน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะหลับไปเสียแล้ว

จะว่าไป...ไรอันแทบไม่เคยเล่าเรื่องสมัยเด็กให้ฟังด้วยซ้ำ...

เจมส์จับความประหลาดใจจากน้ำเสียงและแววตาของณรงค์ได้ และแม้ว่าเมื่อครู่นี้ญาติผู้น้องของเขาจะไม่ได้อธิบายละเอียดว่าณรงค์เป็นใครมาจากไหน แต่จากท่าทางที่ทั้งสองแสดงออก เขาก็สรุปเองได้โดยไม่ต้องถาม

โดยเฉพาะเหตุผลว่าทำไมไรอันถึงไม่บอกว่าตัวเองไม่สบายให้ฝ่ายนั้นฟัง...

“นอกจากแม่ของพวกเราจะเป็นญาติกัน พ่อของไรอันกับพ่อผมก็เป็นหุ้นส่วนธุรกิจกันด้วย ตอนพวกเรายังเด็กพวกเขาต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ ก็เลยส่งพวกเราไปโรงเรียนประจำจะได้ไม่ต้องกังวล จะว่าไปผมก็เหมือนเป็นพี่ชายสำหรับเขา เพราะตอนเด็กไรอันได้ใช้เวลากับผมมากกว่ากับพ่อแม่อีก”

เป็นครั้งแรกที่ณรงค์ได้รับฟังเรื่องราวที่ไรอันไม่เคยเล่าให้ฟังจากปากคนอื่น ดูเหมือนการที่หนุ่มลูกครึ่งมุ่งมั่นกับหน้าที่ที่เมืองไทยมาก ส่วนหนึ่งก็เพราะผูกตัวเองไว้กับความคาดหวังของครอบครัวนี่เอง

เขาค่อยรู้สึกวางใจญาติผู้พี่ของไรอันขึ้นมาเล็กน้อย แม้จะยังไม่สนิทใจด้วยเสียทีเดียว

“แล้วทำไมผมถึงเพิ่งได้เจอคุณวันนี้ล่ะ? หรือปกติคุณไม่ได้อยู่เมืองไทย?”

ณรงค์หันไปถามต่อโดยที่ยังไม่ยอมลุกห่างจากคนป่วย ส่วนมือข้างที่เพิ่งสางผมให้ไรอันก็ยังวางแปะอยู่บนหมอนไม่ห่างจากเจ้าตัว ราวกับถ้ารู้สึกตัวอีกเมื่อไหร่ก็พร้อมจะช่วยประคองทันที

“ปกติผมอยู่ช่วยงานพ่อที่เมลเบิร์น แต่อาทิตย์นี้มีงานต้องมาติดต่อที่กรุงเทพก็เลยแวะมาเยี่ยมหมอนี่ซะหน่อย ดูเหมือนจะไม่สบายตั้งแต่ก่อนเจอผมแล้ว เมื่อเช้าก็เลยพาไปหาหมอจนได้ แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่ยอมกินยาเลย”

“James, shut your fucking mouth already.”

เสียงของคนพูดแหบแห้ง แต่ก็ดังพอจะดึงความสนใจของผู้ชายสองคนที่กำลังคุยกัน ณรงค์จึงก้มลงถาม “คุณยังไม่หลับเหรอ?”

ไรอันหรี่ตาขึ้นมองคนถาม หัวคิ้วมุ่นเข้าหากันจนณรงค์อยากจะช่วยเอานิ้วคลายออกให้เสียเหลือเกิน “How could I when you guys keep chatting? If you two wanna talk, go do it outside.”

หนุ่มลูกครึ่งตอบแล้วก็หลับตาลงอย่างเดิม ณรงค์จึงหันไปสบตากับเจมส์ พอเห็นหนุ่มรุ่นพี่ขยิบตาแล้วใช้นิ้วโป้งชี้ไปทางประตู เขาจึงต้องยอมผละจากเตียงโดยไม่มีทางเลือก

หลังจากทั้งคู่ออกมาจากห้องนอน เจมส์ก็เดินตรงเข้าไปในครัวแล้วหยิบขวดไวน์แดงออกจากตู้เย็น ชายหนุ่มหันมาทำท่าชูขวดเหมือนจะถามณรงค์ว่าจะดื่มด้วยไหม คนถูกชวนจึงส่ายหน้า

ณรงค์มองดูหนุ่มรุ่นพี่เปิดลิ้นชักหาที่เปิดขวดไวน์อย่างคุ้นเคยราวกับมาที่นี่จนชิน แล้วก็ได้แต่ระงับความหึงหวงเอาที่ค่อยๆ ผุดพลุ่งขึ้นมาเอาไว้

ใจเย็นน่ะ เขาก็บอกแล้วนี่ว่าเป็นญาติกับไรอัน ที่เจ้าตัวเคยบอกว่าไม่เคยให้ใครเข้ามาในห้องคงจะหมายถึงคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนมากกว่า...

ถึงแม้จะพยายามปลอบตัวเองเช่นนั้น แต่ณรงค์ก็ยังพบว่าตัวเองใจไม่สงบอยู่ดี จึงต้องหาทางเบนความสนใจด้วยการชวนญาติผู้พี่ของไรอันคุย “คุณก็เป็นลูกครึ่งเหมือนไรอันเหรอ? ดูหน้าตาคุณออกไปทางเอเชียมากกว่านะ”

เจมส์ได้ยินคำถามก็กลอกตา ชายหนุ่มยกแก้วไวน์ขึ้นจิบก่อนจะอมไว้ในกระพุ้งแก้มพลางพินิจรสชาติครู่หนึ่ง หลังจากกลืนไวน์ลงคอแล้วจึงค่อยหันมาตอบ

“แม่ผมน่ะคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่พ่อผมเป็นลูกครึ่งไต้หวันออสเตรเลีย เชื้อเอเชียผมก็เลยค่อนข้างแรง ไม่เหมือนไรอันที่ฝั่งพ่อเขาจะผมสีทองตาสีอำพัน เพราะงั้นก็เลยได้เชื้อทางโน้นมาเยอะอย่างที่เห็น”

ณรงค์ฟังอย่างสนใจ เพราะจะว่าไปเขาก็ยังไม่เคยเห็นแม้แต่รูปพ่อกับแม่ของไรอันด้วยซ้ำ

“ไรอันเขาเป็นคนไม่ค่อยชอบแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น ใช่ไหมครับ?”

ชายหนุ่มถามหลังจากครุ่นคิดวนเวียนไปมา เขาพยายามจะหาเหตุผลมาอธิบายการกระทำของไรอันเพื่อให้ตัวเองโกรธน้อยลง และหากพิจารณาจากนิสัยแล้ว นี่ก็เป็นเพียงคำอธิบายเดียวที่น่าจะเข้าเค้าที่สุด

เจมส์ซึ่งเพิ่งจิบไวน์ไปอีกอึกพยักหน้า “โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนใกล้ชิด สำหรับผมถือเป็นข้อยกเว้นเพราะว่าเคยไปโรงเรียนประจำด้วยกัน เวลาเขาไม่สบายทีไรผมก็ต้องคอยดูแล แต่ไรอันจะกำชับผมทุกครั้งว่าห้ามบอกพ่อกับแม่ว่าเจ้าตัวไม่สบายเด็ดขาด ถ้าระหว่างที่ป่วยแล้วพ่อหรือแม่โทรหา หมอนั่นก็จะฝืนทำเสียงร่าเริงใส่ตลอด ดังนั้นก็มองในแง่ดีไว้เถอะ การที่ไรอันไม่อยากให้คุณรู้ว่าป่วยก็เท่ากับยกให้คุณเป็นคนสำคัญนะ”

เจมส์พูดยาวเหยียดก่อนจะกระดกไวน์ที่เหลือขึ้นดื่มจนหมดแก้ว แต่ณรงค์กลับไม่แน่ใจนักว่าไรอันแคร์เขามากขนาดนั้นจริงๆ แต่ที่รู้แน่ๆ โดยไม่ต้องให้ใครบอก ก็คือเขาไม่ชอบการถูกปิดบังแบบนี้เลย

“ผมไม่อยากมารู้ความจริงเอาทีหลังว่าเขาไม่สบายหลังจากที่หายแล้วหรอกนะ”

ในที่สุดณรงค์ก็พูดออกมาพลางใช้มือหนึ่งเสยผมด้วยความอัดอั้นตันใจ พาลก็ให้ขัดเคืองกับนิสัยของไรอันที่ปกปิดเรื่องสำคัญแบบนี้ต่อให้เพราะมีเจตนาดีก็ตาม และที่ก่อนหน้านี้เขาเคยรู้สึกเหมือนความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยังขาดบางสิ่งบางอย่างไป ตอนนี้ณรงค์ก็รู้แล้วว่าสิ่งที่ขาดหายนั้นคืออะไร

พวกเขายังไม่เคยได้อยู่ด้วยกันในเวลาที่อีกฝ่ายลำบากนี่เอง

เจมส์มองสีหน้าท่าทางของหนุ่มรุ่นน้องแล้วก็ส่ายหน้า ชายหนุ่มหันไปล้างแก้วไวน์แล้วคว่ำลงบนตะแกรงก่อนจะหันกลับมาหา

“หมอนั่นก็มีนิสัยเสียที่แก้ยากแบบนี้แหละ ไหนๆ คุณมาแล้วก็ช่วยดูแลให้หน่อยก็แล้วกัน ผมละเบื่อจะจู้จี้ให้กินยาเต็มที แล้วก็ขอเบอร์คุณด้วย เผื่อมีเรื่องอะไรผมจะได้ติดต่อได้ เพราะเดี๋ยวผมต้องไปทำธุระต่อ”

ณรงค์ไม่ปฏิเสธและยอมแลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์แต่โดยดี ขณะที่เดินไปที่หน้าประตูห้องด้วยกัน จู่ๆ เจมส์ก็หัวเราะหึๆ เหมือนนึกอะไรขึ้นได้

“จริงสิ ผมเพิ่งนึกได้ว่าคนอย่างไรอันคงไม่ค่อยเล่าเรื่องตัวเองให้ใครฟังหรอก แต่วีรกรรมสมัยเด็กของหมอนั่นมีเยอะนะ ลองขอให้เล่าให้ฟังดูสิ แล้วคุณจะรู้จักหมอนั่นเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย”

เจมส์พูดก่อนจะตบบ่าณรงค์แล้วเดินออกจากห้อง ส่วนณรงค์ได้แต่ยืนทำหน้างงๆ อยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็รีบเดินกลับเข้าไปดูอาการคนป่วยในห้องนอน ดูเหมือนไรอันจะหลับสนิทแล้วเพราะไม่แม้แต่จะเหลือบตาขึ้นมาดูตอนที่เขาเปิดประตูเข้าไป

เนื่องจากไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาเปลี่ยนเพราะขับรถตรงมาจากออฟฟิศ ณรงค์จึงตัดสินใจว่าจะอาศัยช่วงที่ไรอันหลับรีบกลับไปจัดเสื้อผ้า เพราะอีกฝ่ายไข้ขึ้นสูงเสียขนาดนี้ วันหยุดเสาร์อาทิตย์เขาก็คงไม่ได้พาไปไหนนอกจากคอยดูแลให้หายไข้อยู่ดี

โชคดีที่การจราจรตอนค่ำคลายความหนาแน่นลงจากเมื่อเย็นพอสมควร หลังกลับถึงห้องและจัดเสื้อผ้าสำหรับไปเฝ้าไข้เสร็จ ณรงค์ก็แวะที่ร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ระหว่างทางเพื่อซื้ออาหาร นม ผลไม้ รวมทั้งขนมที่คิดว่าคนป่วยน่าจะพอกินได้อย่างเยลลี่หรือโยเกิร์ตไปด้วย หลังจากเตรียมการครบแล้วก็รีบขับรถไปที่คอนโดของไรอันทันทีโดยไม่แวะที่ไหนอีก

เมื่อณรงค์กลับมาถึงคอนโดของไรอันอีกทีก็ค่อนข้างดึกมากแล้ว เขารีบเอาของที่ซื้อมาจัดใส่ตู้เย็นซึ่งว่างเปล่า จากนั้นก็เข้าไปดูไรอันในห้องนอนว่าตื่นหรือยัง พอลองแตะมือลงบนต้นคอคนป่วยที่ยังหลับสนิท ณรงค์ก็แทบจะชักมือหนีเพราะความร้อนที่ได้สัมผัส

“ไรอัน ไรอัน! รู้สึกตัวหรือเปล่า? คุณตัวร้อนมากเลยนะ เดี๋ยวผมเช็ดตัวให้ก่อนค่อยนอนต่อดีกว่า”

หนุ่มลูกครึ่งปรือตาขึ้นอย่างงัวเงียเมื่อถูกปลุก เนื่องจากในห้องถูกปิดไฟมืดยกเว้นโคมไฟบนหัวเตียง แถมยังเป็นด้านที่พอเขาลืมตาแล้วจะส่องเข้าตาพอดี เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจึงหยีตามองณรงค์เหมือนยังไม่ค่อยรู้สึกตัว

“หือม์? …What?”

คนป่วยถามเสียงแห้งเหมือนได้ยินไม่ถนัด ณรงค์จึงพูดช้าๆ ชัดๆ อีกที “เช็ดตัวไง เช็ด.ตัว. รอผมแป๊บนึงนะ”

ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นหาผ้าขนหนูผืนเล็กแล้วเอาไปรองน้ำก๊อกในห้องน้ำ โชคดีว่าห้องนี้มีแม่บ้านมาคอยทำความสะอาดเป็นประจำ สิ่งของต่างๆ จึงถูกจัดวางไว้ค่อนข้างเป็นระเบียบและหาง่าย พอเดินกลับไปที่เตียง ณรงค์ก็พยุงไรอันให้ลุกนั่งก่อนจะถอดเสื้อกับกางเกงออกให้ จากนั้นก็เริ่มเช็ดตัวโดยเอาผ้าห่มคลุมร่างกายส่วนที่ยังไม่เช็ดเอาไว้

เนื่องจากอุณหภูมิร่างกายของไรอันสูงจัดมาก ณรงค์จึงต้องเอาผ้าไปชุบน้ำและช่วยเช็ดตัวให้หลายครั้งอยู่เป็นชั่วโมง จนกระทั่งไข้เริ่มจะลดลงบ้างแล้ว เขาจึงค่อยเอาเสื้อผ้าชุดใหม่ให้หนุ่มลูกครึ่งใส่เปลี่ยน

“....ขอบคุณ...”

ไรอันเอ่ยเสียงเบาหวิวขณะที่เอนหลังลงนอน ณรงค์ที่กำลังดึงผ้าห่มขึ้นให้จึงยิ้มตอบ แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเจมส์บอกไว้เมื่อเย็นว่าไรอันยังไม่ได้กินยาเลย

“เดี๋ยวผมมานะ”

ณรงค์รีบไปที่ห้องครัวเพราะจำได้ว่าเห็นถุงใส่ยาของโรงพยาบาลวางอยู่บนโต๊ะ พอเห็นยาลดไข้ เขาก็หยิบออกมาพร้อมกับเทน้ำอุ่นใส่แก้วใบใหญ่และกลับเข้าไปในห้องนอน

“ถึงจะเช็ดตัวก็แค่ช่วยลดไข้ได้ระดับนึง ยังไงกินยาที่หมอให้มาด้วยดีกว่า ผมเอามาให้แล้ว”

ณรงค์นั่งลงบนเตียงแล้วยื่นยากับแก้วน้ำให้ แต่ปฏิกิริยาที่เขาไม่คาดคิดคือไรอันเบ้ปากแล้วก็ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมจนมิดหัว

“ผมไม่กิน”

คราวนี้คนเฝ้าไข้งงเป็นไก่ตาแตก พลันก็นึกถึงคำพูดของเจมส์เมื่อตอนเย็นขึ้นมา

“...ผมละเบื่อจะจู้จี้ให้กินยาเต็มที”

หมายความว่าเป็นคนกินยายากล่ะสิ แต่เขาไม่ยอมให้ไรอันนอนทั้งที่ไม่กินยาหรอกนะ “รัก คุณอย่าดื้อสิ อุตส่าห์ไปหาหมอมาแล้วทั้งที กินยาแล้วคุณจะได้นอนสบายขึ้นไง”

ณรงค์พยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ รวมทั้งเรียกชื่อเล่นที่ไม่ค่อยได้ใช้ด้วย เพราะพอจะเข้าใจว่าคนป่วยมักจะโยเยไม่ว่าจะวัยไหน แต่ไรอันกลับตอบอย่างหงุดหงิดโดยไม่ดึงผ้าห่มลง “ผมบอกว่าไม่กินก็คือไม่กิน! เอากลับไปเก็บไว้ที่เดิมนั่นแหละ!!”

คนเฝ้าไข้ได้ฟังก็ชักจะโมโหขึ้นมาบ้าง ถ้าหากเป็นเจ้าน้องๆ ฝาแฝดที่บ้านเขายังพอจะขู่ได้ แต่กับไรอันที่ไม่ได้กลัวเขาสักนิด เขาไม่มีวิธีไหนจะบังคับให้ยอมกินยาได้เลย

“ถ้าไม่กินยาเดี๋ยวคุณก็ไม่หายสิ” ณรงค์เริ่มเปลี่ยนมาใช้เสียงแข็ง

“เป็นแค่นี้เดี๋ยวก็หาย แค่ไข้ไม่ใช่มะเร็งสักหน่อย!!” แต่ไรอันก็ยังเถียงไม่เลิก

อาการดื้อแพ่งของหนุ่มลูกครึ่งอาจน่าเอ็นดูในสถานการณ์อื่น แต่ตอนนี้ณรงค์ไม่ชอบใจนักที่คนป่วยไม่ยอมกินยาลูกเดียว และความอัดอั้นที่ก่อตัวมาตั้งแต่เมื่อเย็นก็ดูจะพุ่งเกินขีดเอาตอนนี้เอง

“นี่ผมพูดยังไงคุณก็จะไม่ยอมกินยาดีๆ ใช่มั้ย?”

“ก็บอกแล้วว่าไงว่า...อื้อ!!!!”

ยังเถียงไม่ทันจบประโยค หนุ่มลูกครึ่งก็เบิกตากว้างเมื่อจู่ๆ ณรงค์ก็กระชากผ้าห่มที่เขาดึงขึ้นคลุมศีรษะไว้แล้วก้มลงมาปิดปาก และที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือในปากณรงค์มีเม็ดยาที่เขาแสนเกลียดอยู่ด้วย!!

“อึ๊ก!! อื้อ!! อื้อ!!!”

ไรอันทั้งเตะทั้งผลักคนที่ดึงดันใช้กำลังให้กินยาเป็นพัลวัน แต่ความที่ร่างกายอ่อนแอจนแทบไม่มีเรี่ยวแรง ประกอบกับไม่ทันได้ปิดปากไว้แต่แรก เม็ดยาในปากณรงค์จึงถูกส่งต่อให้เขาโดยไม่ยากเย็น ถึงแม้ดูเหมือนคนป้อนเองก็จะได้ลิ้มรสยาไปด้วยเกือบครึ่งก็ตาม

“แค่ก! แค่กๆๆ!!”

พอริมฝีปากเป็นอิสระ ไรอันก็ไอโขลกเพราะหายใจไม่ทันจนหน้าแดง ณรงค์จึงรีบหยิบแก้วน้ำส่งให้ดื่ม กระนั้นคนป่วยก็ยังไออีกหลายครั้งกว่าจะล้มลงนอนในที่สุดด้วยความเหนื่อยอ่อน เม็ดเหงื่อบางๆ ผุดพรายตามไรผมและซอกคอที่โผล่พ้นคอเสื้อ

ณรงค์ดื่มน้ำที่เหลืออยู่ก้นแก้วเพื่อล้างรสขมออกจากลิ้น แต่พอเอื้อมมือไปวางแก้วน้ำบนหัวเตียงและเหลือบตาลงอีกที ก็พบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่ตัดพ้ออย่างรุนแรง แถมยังฉ่ำเพราะน้ำตาที่เอ่อคลอจนทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ร้ายที่เพิ่งรังแกคนไม่มีทางสู้

แถมดันเป็นแฟนของเขาเองเสียด้วย

“รัก...ผม เอ่อ....”

“Go fuck yourself! I hate you!!”

หนุ่มลูกครึ่งตะแคงหนีเขาแล้วก็ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมจนถึงไหล่ เสียงสูดน้ำมูกกับไหล่ที่สั่นยิ่งทำให้ณรงค์รู้สึกผิดมากเข้าไปอีก ชายหนุ่มเอื้อมมือไปแตะบ่าไรอันแต่ก็ถูกเบี่ยงตัวหนี สุดท้ายเลยต้องขยับเข้าไปนอนตะแคงแล้วโอบอีกฝ่ายไว้จากด้านหลัง

“ขอโทษ ผมขอโทษ จะให้พูดขอโทษสักกี่ครั้งก็ได้ แต่ผมอยากให้คุณหายเร็วๆ นี่นา ยกโทษให้ผมเถอะนะ”

ณรงค์พูดพลางใช้มือถูต้นแขนของไรอันผ่านผ้าห่มแรงๆ เพื่อให้ความอบอุ่น ก่อนจะจูบลงบนเรือนผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อนที่ยุ่งเหยิง ผมที่ชื้นนิดๆ ทำให้เขารู้ว่าไรอันเริ่มเหงื่อออกแล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีเพราะแปลว่าไข้เริ่มลดลง

“I hate you.”

ไรอันยังยืนยันด้วยน้ำเสียงที่ตอกย้ำให้คนฟังรู้สึกผิดได้เท่าครั้งแรก ณรงค์จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เพราะเขาก็ทำตัวให้น่ารังเกียจจริงๆ

อยากเป็นพระเอกดีนัก...เป็นไงล่ะทีนี้...

“…แต่ผมรักคุณนะ”

เสียงสูดน้ำมูกจากคนที่นอนหันหลังให้ยังดังอยู่ แต่ไรอันไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากดึงผ้าห่มให้กระชับรอบตัวมากขึ้น และณรงค์ก็รู้สึกได้ว่าไหล่ที่แข็งเกร็งของคนในอ้อมกอดเริ่มคลายลงนิดหน่อย

ซึ่งก็ยังดีกว่าขยับหนีเขาออกไปอีก...

รอยยิ้มบนริมฝีปากของณรงค์หยักลึกมากขึ้น “ผมรักคุณนะ ไรอัน เด็กดี เมื่อกี้ผมขอโทษ เราดีกันเถอะนะ”

ณรงค์พูดปลอบอีก เขารออย่างอดทนให้ไรอันยอมยกโทษให้ และครู่หนึ่งก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายใช้ปลายเท้าสะกิดเท้าเขา แต่นอกจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย

แม้จะไม่ได้ยินเป็นคำพูด แต่การแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ณรงค์รู้ว่านั่นคือการตอบรับของไรอันแล้ว ชายหนุ่มจึงผ่อนลมหายใจยาวอย่างโล่งอก จากนั้นก็รั้งเอวอีกฝ่ายให้เอนมาใกล้มากขึ้นแล้วหลับตาลง

ไม่ยอมพูด แต่นี่คือวิธีตอบรับของคุณสินะ ก็ได้...ให้นี่เป็นโค้ดลับของเราสองคนก็แล้วกัน...

“ผมรักคุณนะ”


++------++



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
เช้าวันต่อมา เมื่อณรงค์รู้สึกตัวตื่นอีกครั้ง แสงอาทิตย์ภายนอกที่สาดฉายเข้ามาทางหน้าต่างก็บอกให้รู้ว่าเป็นเวลาสายแล้ว แต่ที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าก็คือคนที่นอนกอดมาทั้งคืนหายไปจากเตียง!

“ไรอัน? คุณอยู่ไหนน่ะ!?”

ชายหนุ่มรีบลุกออกมาจากห้องนอน และพบว่าเจ้าของห้องกำลังทำอาหารอยู่หน้าเตาไฟฟ้าในครัว กลิ่นไข่กับแฮมที่อยู่ในกระทะคนละใบหอมฉุยไปทั้งครัว

พอได้เห็นกับตาว่าไรอันไม่ได้หายไปไหน ณรงค์ก็ค่อยโล่งอก แต่ยังไม่ทันจะเดินเข้าไปหา เจ้าของห้องก็พูดโดยไม่หันกลับมามอง

“ผมกำลังทำบรันช์ให้เพราะสายแล้ว คุณไปล้างหน้าแปรงฟันให้เสร็จก่อนค่อยมากินด้วยกัน”

หลังจากตักแฮมปิ้งกับไข่ลวกขึ้นจากกระทะคนละใบ เจ้าของห้องก็หันไปเปิดตู้ไมโครเวฟที่ส่งเสียงร้องหลังครบเวลา ณรงค์เห็นว่าหากเสนอตัวช่วยอาจจะเกะกะจึงถอยกลับไปล้างหน้าแปรงฟันในห้องตามที่ถูกบอก เมื่อเดินออกมาอีกครั้ง เขาก็พบอาหารเช้าสองชุดวางอยู่บนโต๊ะแล้ว แต่เพราะหน้าตาที่ประหลาดไม่เคยเห็น เนื่องจากในจานมีขนมปังปิ้งที่โปะด้วยแฮมและไข่ลวก รวมทั้งมีน้ำซอสสีเหลืองอ่อนราดอยู่ ณรงค์จึงถามอย่างสงสัย

“นี่อะไรน่ะ?”

พอรู้ว่าณรงค์ไม่รู้จักมื้อเช้าที่เขาทำให้ ไรอันก็ยิ้มอย่างภูมิใจนิดๆ “เอ้ก เบเนดิคท์ เป็นมื้อเช้าที่ผมทำกินเองบ่อยเพราะอิ่มแล้วก็ง่ายดี ของคุณผมเพิ่มแฮมกับไข่ให้เพราะคงหิวมากกว่าผม ยังไงอร่อยไม่อร่อยก็บอกด้วยล่ะ”

ไรอันหันไปหยิบหม้อกาแฟมาเทลงในถ้วยสองใบบนโต๊ะ จากนั้นก็นั่งลงทานมื้อเช้าพร้อมกับเขา และถึงแม้ณรงค์จะรู้สึกว่าซอสที่ราดไข่กับแฮมจะรสชาติแปลกๆ เพราะเปรี้ยวๆ เค็มๆ มันๆ ไม่คุ้นลิ้น แต่เมื่อตักทุกอย่างกินพร้อมกันแล้วกลับรสชาติกลมกล่อมอย่างประหลาด

“อร่อยดีนะ ผมชอบ”

ณรงค์ชมอย่างจริงใจ และเห็นคนตรงหน้ายิ้มก่อนจะตักของตัวเองขึ้นกินบ้าง ใบหน้าของหนุ่มลูกครึ่งยังเรื่อสีเลือดฝาดเล็กน้อยอย่างคนไม่สบาย แต่ดูท่าทางมีเรี่ยวมีแรงมากขึ้น ไม่ระโหยโรงแรงเหมือนเมื่อวานนี้แล้ว

“คุณกินยาแล้วไปนอนต่อเถอะ เดี๋ยวตรงนี้ผมล้างให้เอง”

ณรงค์บอกเมื่อเห็นว่าไรอันกินมื้อเช้าหมดแล้ว และคนฟังก็ทำหน้าเบ้ทันที ชายหนุ่มจึงหัวเราะแล้วใช้เท้าเขี่ยเท้าอีกฝ่ายใต้โต๊ะเบาๆ เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบตาขึ้นสบตากับเขา จากนั้นก็หันไปทางอื่นโดยที่ริมฝีปากยังยื่นนิดๆ อยู่

อย่างน้อยก็ไม่ได้เถียงเสียงแข็งว่า ‘จะไม่กิน’ อีกแล้วแหละนะ...สงสัยคงไม่อยากโดนป้อนยาแบบเมื่อคืนล่ะสิ

ชายหนุ่มยิ้มพลางลุกไปหยิบยาจากในตู้เย็นมาเทออกนับและส่งให้คนป่วย จากนั้นก็ยืนดูไรอันฝืนกินยาทั้งหมดและดื่มน้ำตามจนพอใจ

“เก่งมาก จริงๆ คุณก็กินยาได้นี่นา ไม่เห็นต้องเกเรเหมือนเมื่อคืนนี้สักหน่อย”

ณรงค์ชมพลางตบบ่าไรอันเบาๆ ส่วนคนถูกชมเพียงยกหลังมือขึ้นปาดคราบน้ำจากริมฝีปากโดยไม่ตอบหรือสบตากลับ แต่พอณรงค์จะหันไปล้างจานในอ่างก็ได้ยินเสียงจากคนที่กำลังลุกขึ้น

“ล้างจานเสร็จเมื่อไหร่มานอนเป็นเพื่อนผมด้วย”

ณรงค์หันกลับไปด้านหลัง ทันเห็นเพียงแผ่นหลังของไรอันแว้บๆ เพราะเจ้าตัวเดินเข้าห้องนอนไปเสียก่อน ทว่าคำสั่งนั่นก็ทำให้เขายิ้มแก้มแทบปริ พอล้างจานเสร็จแล้วเลยรีบไปบ้วนปากในห้องน้ำก่อนจะเดินกลับไปที่เตียง

ไรอันขยับนิดหนึ่งเพื่อให้ณรงค์สามารถนอนบนเตียงด้วยได้สบายขึ้น จากนั้นก็ตะแคงมาหาแล้วเอาแขนข้างหนึ่งมาพาดไปบนอกเขา ณรงค์จึงหันไปจูบหน้าผากอีกฝ่ายเบาๆ แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาจนถึงไหล่ให้

ตอนที่ไข้ขึ้นสูงมากๆ จะงอแงจนน่าตี แต่พอไข้ลดแล้วก็อ้อนเป็นเหมือนกัน...ถ้าอ้อนแบบนี้ได้ตลอดก็ดีสิ...

ณรงค์คิดในใจ แต่ก็รู้ดีว่าคงเป็นไปได้ยากเพราะไรอันเป็นคนรักอิสระและไม่พึ่งใคร แค่การที่ยอมอ่อนให้บ้างตอนป่วยนี่ก็ดีถมถืดแล้ว ดังนั้นเขาก็ควรจะทำใจยอมรับว่านี่เป็นนิสัยที่เขาขอให้เปลี่ยนไม่ได้

"ไข้คุณลดลงจากเมื่อคืนเยอะเหมือนกันนะ”

ณรงค์เอ่ยทัก ไรอันจึงถอนหายใจแล้วหลับตาลง "เวลาผมไม่สบายจะเป็นแบบนี้แหละ วันแรกจะมีไข้สูงมากจนใครๆ ตกใจ แต่พอวันถัดมาจะค่อยๆ ลด พอวันที่สามหรือสี่ก็หายแล้ว”

คนฟังส่งเสียงรับรู้ในคอ ก่อนจะถามต่อด้วยความสงสัย "จะว่าไป ทำไมคุณถึงไม่ชอบกินยาขนาดนั้นด้วยล่ะ?”

ไรอันยักไหล่ "เจมส์บอกคุณแล้วล่ะสิ มันก็เริ่มจากตอนผมเข้าโรงเรียนประจำนั่นแหละ"

"ตอนนั้นทำไมเหรอ?"

ณรงค์ถามอย่างสนใจ ไรอันจึงหดคอนิดหนึ่งเมื่อนึกถึงประสบการณ์วัยเยาว์

"ตอนอยู่โรงเรียนประจำ เวลาไม่สบายผมจะไม่ยอมบอกที่บ้านเพราะไม่อยากให้พ่อกับแม่เป็นห่วง เจมส์เลยเป็นคนเดียวที่คอยดูแล แต่เพราะผมไม่ชอบกินยา พอโดนคะยั้นคะยอมากๆ ก็อาละวาดจนหมอนั่นต้องตามครูมาบังคับ แต่ครูกลับเอาผมไปขังในโรงเก็บของเก่าๆ ที่ทั้งชื้นทั้งมืด แล้วก็ขู่ว่าจะให้นอนในนั้นทั้งคืนถ้ายังไม่เลิกดื้อ จากนั้นมาผมก็เลยยิ่งเกลียดการกินยามากเข้าไปอีกต่อให้มันผ่านมานานแล้ว เรื่องก็มีแค่นี้แหละ”

หนุ่มลูกครึ่งตอบยาวเหยียดก่อนจะเงียบ ณรงค์ฟังแล้วคิดตาม ทำให้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับนิสัยของไรอันเพิ่มขึ้นอีกอย่าง

ถึงแม้จะรักความเป็นส่วนตัวสูง แต่นั่นเป็นเพราะถูกฟูมฟักจากโรงเรียนประจำให้ต้องพึ่งพาตัวเองตั้งแต่เด็ก นอกจากนี้การที่ไม่ชอบทำให้คนสำคัญในครอบครัวเป็นห่วง ก็เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องกังวลและทุ่มเทให้งานได้เต็มที่ หากจะเรียกว่าเป็นความเห็นแก่ตัว เขาก็คิดว่าพอจะยอมรับความเห็นแก่ตัวแบบนี้ได้

แต่ต้องไม่เอามาใช้กับเขา

“ไรอัน ผมพอจะเข้าใจที่ตอนเด็กคุณไม่อยากให้พ่อกับแม่เป็นห่วงเลยปิดเรื่องที่ไม่สบายนะ แต่กับผมคุณไม่ต้องปิดก็ได้นี่”

ไรอันเงียบไปครู่หนึ่ง "ผมไม่ชอบประกาศว่าตัวเองไม่สบายให้ใครฟัง"

"ผมก็ไม่ได้บอกนี่ว่าให้เที่ยวป่าวประกาศบอกคนอื่น ผมหมายถึงกับผมคนเดียวต่างหาก เมื่อวานคุณโชคดีที่เจมส์พาไปหาหมอ แต่ถ้าเขาไม่อยู่แล้วผมก็ไม่รู้ล่ะ? คุณอาจอาการหนักจนช่วยตัวเองไม่ไหวก็ได้นะ"

หนุ่มลูกครึ่งยักไหล่ "Never happened to me before."

"คุณนี่มันน่า..."

พอโดนตีรวนมากเข้า แม้แต่คนใจเย็นอย่างณรงค์ก็ชักจะมีน้ำโห แต่ยังไม่ทันพูดให้จบประโยค คนป่วยก็ขยับตัวเข้าใกล้แล้วใช้วิธีเดียวกับเขาเมื่อคืนเพื่อให้เงียบ

"อื้อ..."

คราวนี้คนเฝ้าไข้ลืมหมดว่าจะพูดอะไร เพราะริมฝีปากอุ่นที่แนบลงอย่างเหมาะเจาะได้ดูดซับทุกคำพูดและความตั้งใจของเขาไปจนหมด ยิ่งเมื่อปลายลิ้นอุ่นจัดของคนมีไข้แลบออกไล้ปลายลิ้นของณรงค์ เขาก็ได้แต่ยิ่งบดริมฝีปากลงตอบรับและดึงเอวของไรอันเข้าหามากขึ้น

"คุณกำลังป่วย..."

ณรงค์กระซิบเสียงต่ำหลังจากริมฝีปากของทั้งสองผละจากกันอย่างอ้อยอิ่ง แต่มือทั้งสองกลับสอดใต้ชายเสื้อของคนป่วยและลูบไล้ไปบนผิวกายซึ่งทั้งลื่นและอุ่นอย่างเพลินมือ ยิ่งเมื่อได้สบตากับนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่ค่อยๆ ปรือขึ้นมองเขา ชายหนุ่มก็ยิ่งนึกถึงครั้งที่ร่างกายของทั้งสองใกล้ชิดกันใต้สายน้ำ รวมทั้งความเร่าร้อนของการแลกเปลี่ยนความเสน่หาให้กันที่บ้านสวนเมื่อสองเดือนก่อนมากยิ่งขึ้น

หนุ่มลูกครึ่งกระตุกมุมปากยิ้มขณะที่มือสองข้างทาบอยู่บนบ่าณรงค์ แก้มที่เรื่อสีเลือดฝาดด้วยยังไม่หายไข้ยิ่งดูแล้วเชิญชวนให้น่าฝังจมูกลงไปสูดกลิ่นหอมหวานสักหลายๆ ที

“ถูกต้อง ผมกำลังป่วย ดังนั้นคุณก็ควรจะปล่อยให้ผมนอนพักได้แล้ว”

ไรอันเอ่ยก่อนจะพลิกตัวหันหลังและดึงผ้าห่มขึ้น ปล่อยให้ณรงค์ที่ยังไม่หลุดจากห้วงอารมณ์หวามไหวรู้สึกเหมือนโดนทิ้งค้างกลางสะพานสูงอยู่คนเดียว ชายหนุ่มรีบยันตัวขึ้นนั่งแล้วก้มลงมองหนุ่มลูกครึ่งอย่างไม่อยากเชื่อหู

“ตกลงเมื่อกี้คุณแกล้งหยอกผมเล่นเหรอ!?”

“เปล่า แค่รู้สึกว่าคุณชักจะพูดมากจนน่ารำคาญ อีกอย่างคุณก็มองผมเหมือนอยากจูบมาตั้งแต่เช้าแล้วนี่ ผมเลยยอมให้จะได้เลิกจู้จี้กับผมซักที”

ถ้าจะมีใครที่กล้าพูดตรงๆ กับเขาโดยไม่สนใจว่าจะทำร้ายจิตใจหรือเปล่า ไรอันก็คงจะเป็นหนึ่งในอันดับแรกๆ แน่ แต่น่าแปลกที่ขณะทอดสายตามองเสี้ยวหน้าของหนุ่มลูกครึ่งซึ่งหลับตาไปแล้ว ณรงค์กลับไม่รู้สึกโกรธสักนิด แถมยังนึกขำจนต้องหัวเราะออกมาด้วย

ดูท่าต่อให้ทำยังไงผมก็ไม่มีทางชนะคุณจริงๆ สิน่า...

ณรงค์ยกมือขึ้นสางผมที่ยุ่งเหยิงของไรอันออกจากหน้าผากให้ แต่ขณะที่จะชักมือกลับ หนุ่มลูกครึ่งกลับดึงมือเขาไปจับไว้แนบอกทั้งที่ไม่หันกลับมา

“Don’t go anywhere.”

คนถูกสั่งยิ้ม “ผมไม่ไปไหนหรอก คุณนอนพักเถอะ”

ไรอันระบายลมหายใจยาวก่อนจะขยับตัวให้นอนสบายขึ้น ไม่นานเสียงหายใจสม่ำเสมอที่ขึ้นจมูกเบาๆ ก็บอกใหห้รู้ว่าคนป่วยหลับไปแล้ว ณรงค์เลยต้องหาท่านั่งที่ไม่เมื่อยโดยไม่ทำให้ไรอันตื่น

รอให้หลับอีกหน่อยค่อยลุกไปทำข้าวกลางวันก็แล้วกัน...

ณรงค์ยิ้มพลางนั่งมองคนป่วยที่กำลังหลับสนิท ดูเหมือนไรอันจะไม่แยแสสักนิดว่าการเอาแต่ใจตัวเองจะทำให้เขาไม่สบายตัวแค่ไหน แต่ถ้านี่ช่วยตอกย้ำให้เขาได้รู้สึกถึงการเป็นคนสำคัญของหนุ่มลูกครึ่ง ณรงค์ก็คิดว่าคุ้ม

อย่างน้อยที่สุด...วันนี้เขาก็รู้สึกว่าได้เข้าใกล้รักไปอีกก้าวแล้ว...


++---End One Step Closer---++


A/N: ตอนนี้หลุดออกมาโดยไม่อิงเทศกาลใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากมุกตัน (กร๊ากกก) อ่า...ถ้าพูดให้ดูดีขึ้นหน่อย ก็คืออยากดำเนินเรื่องด้วยโมเม้นท์ที่เน้นถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งคู่น่ะค่ะ เดี๋ยวมาดูกันอีกทีว่าตอนหน้าจะกลับมาตามเทศกาลหรือตามอารมณ์คนเขียนนะ อิอิ

ปล. สำหรับอาหารเช้าที่ไรอันทำในตอนนี้คือ Egg Benedict เผื่อใครไม่เคยทานหรือไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน ไปคลิกดูได้ที่นี่ค่ะ จริงๆ มันทำได้หลายแบบนะ แล้วแต่ขนมปังที่ใช้ แล้วก็บางคนใช้แซลมอนรมควันแทนแฮมก็มีค่ะ




Cacao

  • บุคคลทั่วไป
คิดถึงพี่รงค์กับไรอันมากกกกกกกกกก เปิดมาเห็นนี่  o22 เป้นแบบนี้เลยคุณริน ฮ่าๆๆๆ
แล้วมาเป็นอะไรที่ one step closer ระหว่างสองหนุ่ม มันช่างเป็นอะไรที่น่ารักสุดๆ
เจอโมเม้นท์แบบนี้ของไรอัน ที่ไม่นึกมาก่อนว่าจะได้เห็น
เป็นความสัมพันธ์ที่ก้าวหน้าจริงจัง น่ารักอะ ดูอ่อนลงเยอะมากหรือจะเป็นเพราะป่วย(?)
ป่วยแล้วขี้อ้อนได้น่าเอาใจมาก ถ้าเจอแบบนี้จะสั่งเท่าไหร่พี่รงค์ก็ไม่ขัดแน่ๆอ่ะ
มันอบอวลสุดๆ Don't go anywhere อ่านแล้วยิ้มมมมมมมแก้มฉีกเลย น่ารักโคตรรร
อ่านฉากตอนพี่รงค์แอบมองไรอันจากด้านหลังแล้วมันแลดูหื่นจริงๆนะคุณริน ฮ่าๆ
หรือจะเพราะว่าเป็นพี่รงค์ก็ไม่รู้ แล้วไรอันยังแอบยิ้มกรุ้มกริ่มอีก น่ารักง่าาาาาา
ให้ความรู้สึกเหมือนรู้นะมอง แล้วคิดอะไร ฮ่าๆ ชอบพี่รงค์ในอารมณ์หึงและโกรธแบบนี้
พี่เค้าแมนอะ แลดูรักไรอันมากมาย อิจฉาไรอัน น่ารัก  :impress2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-09-2011 02:39:38 โดย Cacao »

kakuro

  • บุคคลทั่วไป
ขอบคุณคุณริน :L2:
รงค์ใกล้รักขึ้นมาอีกขั้นแล้วสิ
แต่ก็นะพระเอกคุณรินค้างอีกจนได้
คุณรงค์คะเรื่องค้างนี่พี่แนะนำให้ไปปรึกษาน้องภัทรนะคะ :-[

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
โค้ดลับระหว่างสองหนุ่ม
"ตีนสะกิด" :o8:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16

ออฟไลน์ aeecd

  • :: 8018 ::
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-0


เห็นรูปแล้ว :-[อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยส์
หล่มมากกกกกกกกก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-09-2011 21:19:43 โดย aeecd »

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ถูกใจให้เป็ดไป ฮิๆๆๆๆ 
คู่นี้เขาค่อยๆ ขยับความสัมพันธ์เข้าใกล้กันทีละนิดทีละหน่อย แอร๊ยยย รอเวลาที่ความสัมพันธ์แนบแน่น กรี๊ดดดด  :z1:  :haun4:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ห่างหายจากณรงค์กับไรอันไปนานมากกกกกกกกกกก จึงต้องขอเข็นตอนต่อมาให้เสียหน่อย คราวนี้ไม่เชิงจบในตอนเพราะต้องติดตามความคืบหน้ากันต่อไปค่ะ หุหุหุ

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ Square One [ภาคต้น]

ดวงจันทร์สีขาวนวลเริ่มลอยสูงขึ้นบนฟ้า เปล่งแสงสีซีดเป็นวงเล็กๆ ตัดกับความเวิ้งว้างสีน้ำเงินเข้มเบื้องหลัง สวนทางกับดวงอาทิตย์ที่แผ่แสงอัสดงสุดท้ายอันอ่อนแรงเมื่อสิ้นสุดวัน และภายในห้องทานอาหารขนาดย่อมบนชั้นยี่สิบของคอนโดหรูกลางเมือง ชายหนุ่มสามคนก็เพิ่งจะเสร็จสิ้นจากการทานอาหารมื้อเย็นเช่นเดียวกัน

“เดี๋ยวจานชามพวกนี้ผมล้างให้ คุณกินยาแล้วก็ไปนอนพักได้แล้วล่ะ”

 “ผมล้างเองได้”

“ผมบอกให้กินยาแล้วไปนอนไง คุณยังไม่หายดีนะ”

ณรงค์ยืนยันคำเดิมและแย่งจานชามในมือไรอันมาถือ หนุ่มลูกครึ่งเม้มปากและทำหน้าไม่พอใจ แต่สุดท้ายก็เดินลงเท้าหนักๆ ไปที่ห้องนอนและปิดประตูอย่างแรง

เสียงหัวเราะจากสมาชิกอีกคนในห้องดังขึ้น พอณรงค์หันไปมอง เจมส์ก็หลิ่วตาให้พลางยกแก้วไวน์แดงขึ้นจิบ “Good job, mate. I’ve never seen him so speechless before.”

ณรงค์ส่ายหน้ายิ้มๆ พลางหันไปล้างจานในอ่าง ตั้งแต่ไรอันไข้ขึ้นสูงเมื่อคืนวันศุกร์ เขาก็มาคอยขลุกอยู่ที่ห้องเพื่อเฝ้าไข้ให้ตลอด และทำให้ได้เจอเจมส์ซึ่งแวะมาเยี่ยมและทานอาหารเย็นด้วยทุกคืน ณรงค์จึงเริ่มคุ้นเคยกับญาติผู้พี่ของไรอันมากขึ้น

“กว่าจะทำให้ยอมฟังผมได้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ หรอก คุณก็รู้ว่าเขาดื้อแค่ไหน”

ช่วงระหว่างที่ไรอันไม่สบาย ณรงค์ถือโอกาสดูแลอย่างใกล้ชิดชนิดที่แทบจะไม่ปล่อยให้ทำอะไรเองเลย ซึ่งบางครั้งผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งก็จะแสดงอาการฮึดฮัดเพราะรำคาญ กระทั่งบ่นด้วยถ้อยคำแรงๆ เป็นภาษาอังกฤษยาวเหยียดที่ณรงค์ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่เขาก็ทำเป็นไขหูเพราะถือว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องอำนวยความสะดวกให้คนป่วยมากที่สุด และเขาก็ประสบความสำเร็จพอสมควรที่สามารถเกลี้ยกล่อมจนไรอันยอมหยุดอยู่บ้านในวันจันทร์นี้ได้ทั้งที่เจ้าตัวอยากไปออฟฟิศมาก

“อืม...ก็ใช่ว่าผมจะไม่เข้าใจความรู้สึกคุณหรอกนะ แต่กับหมอนั่นน่ะอย่าคอยโอ๋ให้มากเกินไปนักก็ดี”

เจมส์พูดพลางลุกขึ้นเก็บขวดไวน์ใส่ในตู้เย็น จากนั้นก็เดินออกจากครัวไปเคาะประตูห้องนอนไรอันเบาๆ

“Hey mate, I’m leaving. Be good to your boyfriend eh?”

“Get lost asshole!”

ไรอันตะโกนตอบพร้อมกับเสียงปาหมอนกระทบประตูดัง ‘ปุ’ เจมส์จึงหัวเราะเสียงดังแล้วตบประตูคืนไปครั้งหนึ่ง ณรงค์เริ่มชินกับวิธีแสดงความสนิทสนมของลูกพี่ลูกน้องคู่นี้ เขาถือโอกาสที่ล้างจานเสร็จพอดีเช็ดมือให้แห้งและเดินตามเจมส์ไปที่หน้าห้อง

“เดี๋ยวผมลงไปส่ง ว่าจะซื้อของมาใส่ตู้เย็นเพิ่มด้วย”

“หือม์? เอาสิ”

ชายหนุ่มทั้งสองลงลิฟต์จากชั้นยี่สิบด้วยกัน พอประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้นหนึ่ง เจมส์ก็ก้าวออกก่อนพร้อมกับพูดเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

“อ้อ ผมลืมบอกไป คืนนี้ผมจะบินกลับเมลเบิร์นแล้วนะ ยังไม่รู้เหมือนกันว่าคราวหน้าจะมาเมื่อไหร่”

ณรงค์เลิกคิ้ว “อ้าว? คุณจะกลับแล้วเหรอ? แล้วไรอันรู้แล้วหรือยัง?”

ชายหนุ่มแปลกใจเพราะเมื่อตอนค่ำอีกฝ่ายไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลย เจมส์โบกมือปฏิเสธขณะเดินไปยังรถสปอร์ตสีแดงที่จอดอยู่หน้าคอนโด

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวถึงที่โน่นค่อยโทรบอกก็ได้ ทุกทีผมก็ทำแบบนี้แหละ หมอนั่นชินกับการที่จู่ๆ ผมจะโผล่มาหรือหายไปอยู่แล้วล่ะ”

ครอบครัวนี้ดูสนิทกันแบบแปลกๆ....ณรงค์คิดพลางยื่นมือออกไปหาคนที่กำลังสตาร์ทรถ

“งั้นก็ขอบคุณมากที่มาเยี่ยมไรอันทุกวันระหว่างนี้ ถ้าหากคุณจะมาเมืองไทยอีกก็โทรบอกผมหน่อยก็แล้วกัน”

เจมส์หัวเราะพลางยกมือขึ้นเชคแฮนด์ตอบ นัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทายิ้มพราวอย่างรู้ทันว่าณรงค์ไม่ต้องการให้เขามาหาไรอันโดยที่ไม่บอกกล่าวกันล่วงหน้า “No worries. อย่างน้อยต่อจากนี้ผมก็บอกคาร์ลหรือน้ารุ้งให้เลิกเป็นห่วงว่าไรอันจะไม่มีเพื่อนที่นี่ได้แล้วล่ะนะ”

ชื่อที่ไม่คุ้นเคยทำให้ณรงค์ขมวดคิ้ว เจมส์เห็นจึงอธิบาย “พ่อกับแม่ของไรอันน่ะ ก็อย่างที่รู้ว่ารายนั้นไม่ค่อยชอบเล่าเรื่องไม่ดีให้ที่บ้านฟัง สองคนนั้นก็เลยต้องอาศัยถามเอาจากผม แต่ผมก็ไม่ได้เล่าความลับทุกเรื่องของไรอันหรอกนะ ถึงยังไงผมก็เคารพความเป็นส่วนตัวของหมอนั่นอยู่”

“อ้อ...”

หนุ่มลูกครึ่งเหลือบดูนาฬิกาข้อมือก่อนจะบอกลาอีกครั้ง “ผมต้องไปละ ระหว่างนี้ก็พยายามทำคะแนนให้มากๆ แล้วกัน ไรอันน่ะเหมือนจะดูง่ายแต่จริงๆ แล้วเข้าใจยากเอาเรื่อง Just don’t give up on him, ok?”

ณรงค์พยักหน้ารับอย่างไม่ค่อยเข้าใจความหมาย และเจมส์ก็เพียงยิ้มโดยไม่อธิบายต่อก่อนจะขับรถออกไป ชายหนุ่มยืนมองจนกระทั่งรถสปอร์ตสีแดงเลี้ยวไปจนลับสายตาแล้วจึงค่อยเดินข้ามถนนไปซื้อน้ำผลไม้กับนมที่ร้านสะดวกซื้อ ไม่นานเขาก็ได้ของที่ต้องการและกลับขึ้นไปบนห้อง แต่แล้วก็แปลกใจเมื่อพบว่าคนที่น่าจะนอนหลับกลับกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่น

“คุณยังไม่นอนอีกเหรอ?”

ณรงค์ถามพลางปิดประตูใหญ่และถอดรองเท้าออก ไรอันส่ายหน้าพลางกดรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ

“I’m not sleepy.”

คนตัวใหญ่กว่าเดินเอาของที่ซื้อเข้าไปเก็บในตู้เย็น จากนั้นก็เดินออกมานั่งลงบนโซฟาและยกหลังมือขึ้นแตะหน้าผากคนป่วย

“ดูเหมือนจะไม่มีไข้แล้วนะ งั้นเดี๋ยวผมอุ่นนมให้คุณดื่มสักแก้วแล้วค่อยเข้านอนดีกว่า”

ไรอันหลุบตาขณะที่ณรงค์เลื่อนหลังมือลงสัมผัสอุณหภูมิตรงซอกคอเพื่อให้แน่ใจ ครู่หนึ่งก็เหลือบตากลับขึ้นมองเขาอีกครั้ง

“ผมคิดว่าผมดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ ตั้งแต่พรุ่งนี้ผมจะกลับไปทำงาน ส่วนคุณก็ไม่ต้องมาเฝ้าผมแล้วก็ได้”

ณรงค์ชะงักมือที่กำลังตรวจเช็คไข้ นัยน์ตาของทั้งสองประสานกัน และอะไรบางอย่างในแววตาสีน้ำตาลอ่อนทำให้ณรงค์ใจกระตุก

“...ผมไม่ได้ลำบากที่มาเฝ้าคุณเลยนะ”

ความจริงเขาอยากจะพูดเสริมว่า ‘ก็เราเป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอ?’ ด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่านั่นไม่มีน้ำหนักเพียงพอสำหรับคนอย่างไรอันแน่ๆ และดูเหมือนเจ้าตัวก็จะอ่านความคิดเขาออกด้วย

“ผมรู้ว่าสภาพร่างกายตัวเองเป็นยังไง ตอนนี้ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว ต่อให้คนที่อยู่ตรงนี้ไม่ใช่คุณผมก็จะพูดแบบนี้อยู่ดี เชื่อผมเถอะ คุณกลับไปนอนห้องตัวเองดีกว่า”

ไรอันพูดพลางลุกขึ้นราวจะแสดงออกกลายๆ ว่าไม่ต้องการฟังคำปฏิเสธ แต่หนุ่มลูกครึ่งก็ก้าวไปไหนไม่ได้ไกลเพราะถูกณรงค์ที่ยังนั่งอยู่กับที่รั้งข้อมือข้างหนึ่งไว้

“ที่ผมมาคอยดูแลตลอดเวลาที่คุณป่วย...มันน่ารำคาญมากเหรอ?”

ทั้งช่วงเวลาที่เขาคอยเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า ป้อนยาและทำสิ่งต่างๆ ให้...ที่เขาคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สมควรทำ...เขาตั้งใจมากเกินไปหรือไง...

ความเงียบอันน่าอึดอัดลอยแขวนในอากาศรอบตัวทั้งสอง ครู่หนึ่งไรอันก็สะบัดแขนออกแล้วเดินตรงไปยังประตูห้องนอน

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”

น้ำเสียงเรียบนิ่งที่ตอบไม่ต่างอะไรกับลิ่มที่ตอกลงมาบนหัวใจ ณรงค์ได้แต่ทอดสายตามองที่ว่างบนโซฟาซึ่งหนุ่มลูกครึ่งเพิ่งจะลุกไปด้วยสมองที่มึนตื้อ เขาไม่เข้าใจเลยว่าตนทำอะไรผิดตรงไหน และทำไมถึงต้องได้รับการขับไล่ไสส่งเป็นการตอบแทนจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนกันด้วย

“ระหว่างนี้ก็พยายามทำคะแนนให้มากๆ แล้วกัน”

ณรงค์นึกถึงคำพูดของเจมส์ก่อนจะจากกันแล้วก็แค่นหัวเราะ เพราะราวกับฝ่ายนั้นรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดเรื่องนี้เลยเตือนไว้ก่อนอย่างไรอย่างนั้น แต่จะให้เขาทำคะแนนอีท่าไหน...ในเมื่อกลายเป็นว่าทุกสิ่งที่ทำไปไม่ถูกเห็นคุณค่าเลยด้วยซ้ำ...

ความรู้สึกห่อเหี่ยวเริ่มคืบคลานเข้าเกาะกุมจิตใจที่เมื่อหัวค่ำยังแจ่มใส ดูเหมือนความเชื่อมั่นของเขาที่ว่าไรอันเริ่มมีใจให้หลังจากยอมรับว่าเป็นแฟนกันกำลังถูกกัดกร่อนด้วยบทสนทนาสั้นๆ เมื่อครู่ เพราะสุดท้ายแล้วก็ไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่าเขาจะได้รับการปฏิบัติด้วยเป็นพิเศษ ในเมื่อท้ายที่สุดแล้วฝ่ายนั้นก็ยังรักชีวิตอิสระที่มีแต่ตัวเองและโลกของตัวเองเท่านั้นอยู่ดี

ความคิดมากและน้อยใจทำให้ณรงค์ตัดสินใจคว้ากุญแจรถและเดินออกจากห้อง เขามั่นใจว่าต่อให้คืนนี้จะพยายามคุยปรับความเข้าใจกับไรอันก็คงไม่ได้เรื่อง เพราะกำแพงที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็ตั้งขึ้นมารอบตัวเองดูจะไม่เปิดช่องให้เขากะเทาะมันออกได้เลย และหากจะทนหน้าด้านอยู่ทั้งที่โดนไล่ก็มีแต่จะสำเหนียกถึงความไร้ค่าของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น

ชายหนุ่มหยิบเสื้อแจ็คเก็ตตัวเก่งซึ่งพาดอยู่บนโซฟาขึ้นสวม จากนั้นก็ก้าวออกจากห้องและปิดประตูอย่างแรงกว่าที่ตั้งใจ ความรู้สึกเดียวที่เขารับรู้ในเวลานี้คืออยากออกจากห้องนี้ไปให้ไกลๆ ให้สมกับความปวดใจจากการถูกบอกว่า ‘น่ารำคาญ’ โดยที่ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะไปไหน แต่ที่แน่ๆ คือยังไม่ใช่การกลับไปอยู่คนเดียวที่ห้องอย่างแน่นอน

ในอีกด้านหนึ่งหลังประตูห้องนอน ร่างสูงสมส่วนของหนุ่มลูกครึ่งยืนมองพระจันทร์ที่ลอยสูงผ่านกระจกหน้าต่างเงียบๆ เขาได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวด้านนอกรวมทั้งเสียงปิดประตูใหญ่อย่างชัดเจน แต่ก็ไม่ได้คิดอยากออกไปรั้งตัวณรงค์ไว้ ครู่หนึ่งชายหนุ่มก็รูดปิดม่านและเดินกลับไปสอดตัวลงใต้ผ้านวมบนเตียง แต่กว่าจะหลับตาลงและเข้าสู่ห้วงนิทราได้ ผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งก็ลืมตามองเพดานอยู่เป็นชั่วโมง และนาฬิกาบนผนังก็ชี้บอกว่าเวลาได้ล่วงผ่านเข้าสู่วันใหม่แล้ว


 ++------++


เช้าวันถัดมา ณรงค์หยีตาขึ้นเมื่อรู้สึกถึงไอร้อนบนหน้า และแสงสว่างของพระอาทิตย์ยามสายที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบตาเต็มๆ ก็ทำให้ร่างสูงใหญ่ต้องพลิกตัวหนีพร้อมกับควานหารีโมทแอร์มาเร่งอุณหภูมิในห้องให้เย็นขึ้น

“...ชิบ”

ชายหนุ่มสบถเบาๆ เมื่อเห็นหน้าปัดนาฬิกาชี้บอกว่าเป็นเวลาสิบโมงครึ่ง จิตสำนึกส่วนหนึ่งเตือนเขาให้รีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปทำงาน แต่จิตสำนึกอีกด้านก็ฉุดรั้งให้ทิ้งตัวอยู่บนฟูกหนานุ่มเช่นเดิม ทั้งที่ปกติณรงค์จะไม่เคยรู้สึกขี้เกียจช่วงต้นสัปดาห์แบบนี้เลยหากไม่ใช่เพราะไม่สบาย

จะว่าไป...สงสัยเมื่อคืนคงกินเหล้ามากไปหน่อย...ไม่ได้เมาค้างแบบนี้มานานแล้วสิ...

ชายหนุ่มใช้นิ้วนวดขมับด้วยหวังว่าจะช่วยคลายอาการปวดหัวราวสมองโป่งพองลงได้บ้าง เขาจำได้เลือนลางว่าเมื่อคืนตนแวะไปดื่มเหล้าที่ผับเพื่อระบายอารมณ์จนดึกดื่นเพราะยังไม่อยากกลับห้อง แต่เพราะผับที่ไปคือสถานที่แห่งความหลังที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับไรอันเริ่มต้น เลยกลายเป็นว่าสุดท้ายเขาก็ได้แต่มอมเหล้าตัวเองไปโดยที่นึกถึงไรอันไปตลอดเวลาอยู่ดี

ป่านนี้คงอยู่ที่ออฟฟิศแล้วล่ะมั้ง...

ณรงค์คิดอย่างเบลอๆ หลังจากใช้ความพยายามครู่ใหญ่ในการยันตัวขึ้นนั่ง ร่างสูงใหญ่ก็ลุกชึ้นช้าๆ แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ แต่ยังไม่ทันจะได้ล้างหน้าแปรงฟันก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขัดจังหวะ

ชายหนุ่มคำรามเสียงต่ำพลางเดินกลับเข้ามาในห้องนอนเพื่อควานหาโทรศัพท์ ดูเหมือนเมื่อคืนนี้พอกลับถึงห้องเขาก็ถอดเสื้อและกางเกงแล้วขึ้นเตียงเลยโดยไม่เปลี่ยนชุด กว่าจะพบว่ามือถืออยู่ในกางเกงที่โยนไว้มุมห้องก็เสียเวลาพอสมควร

“ฮัลโหล?”

เมื่อเห็นว่าคนที่โทรมาคือประวิตรซึ่งเป็นเจ้านาย ณรงค์ก็กระแอมก่อนจะกดรับสายเพื่อไม่ให้เสียงฟังเหมือนคนเพิ่งตื่นเกินไปนัก แต่ดูเหมือนปลายสายจะฟังออกได้โดยไม่ยากเย็น

“รงค์เหรอ เพิ่งตื่นหรือไงน่ะเรา? หรือว่าไม่สบาย?”

“สบายดีครับพี่วิตร พอดีลืมตั้งนาฬิกาปลุกเลยตื่นสาย ไหนๆ แล้วผมขอลาครึ่งวันเลยก็แล้วกัน แล้วเดี๋ยวผมจะเข้าไปตอนบ่าย”

ชายสูงวัยเดาะลิ้นขณะที่ณรงค์เดินเข้าไปในครัวเพื่อชงกาแฟ “เอ้า ก็ยังดี พอดีวันนี้พี่จะเรียกประชุมทีมหน่อย กะว่าถ้ารงค์ไม่มาจะเลื่อนเป็นพรุ่งนี้ ถ้างั้นพี่ขอนัดสักบ่ายสองได้มั้ย?”

“ได้ครับพี่วิตร ขอโทษด้วยที่ทำให้ไม่สะดวก เดี๋ยวเจอกันครับ”

ณรงค์กดวางสายพลางเสียบปลั๊กกระติกน้ำร้อน แล้วก็พบว่ามีมิสคอลสายหนึ่งตอนราวๆ ตีสองครึ่ง แถมเป็นหมายเลขที่ไม่อยู่ในรายชื่อคนรู้จักเสียด้วย ชายหนุ่มจึงเลิกคิ้วด้วยความงุนงง

เบอร์ใครกันโทรมามิสคอลตอนดึกป่านนั้น...สงสัยคงจะโทรผิด...

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ชายหนุ่มตัดสินใจไม่โทรกลับและวางมือถือไว้บนโต๊ะ หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็ชงกาแฟดื่มแก้วหนึ่งก่อนจะออกไปหาข้าวกลางวันกินแถวๆ ออฟฟิศ พอใกล้ได้เวลาประชุมจึงค่อยขึ้นไปที่บริษัทเพราะเขายังรู้สึกไม่พร้อมจะรีบทำงาน

ประวิตรนำการประชุมในช่วงบ่ายเพื่อติดตามความคืบหน้าของโปรเจ็กต์ที่เริ่มไปแล้ว รวมถึงการแบ่งงานใหม่ที่เพิ่งรับบรีฟมาให้กับลูกทีม กว่าการประชุมจะแล้วเสร็จก็บ่ายสามโมงครึ่ง ขณะที่ทุกคนทยอยเดินกลับไปที่โต๊ะ ณรงค์ก็เลี้ยวออกไปที่ลิฟต์เพราะอยากลงไปซื้อยาแก้ปวดหัว แต่พอประตูลิฟต์เปิดออกก็เกือบจะชนเข้ากับคนที่เดินสวนออกมาอย่างจัง

“ขอโทษครับ...อะ”

ร่างสูงใหญ่ชะงักเมื่อพบว่าคนในลิฟต์คือต้นเหตุที่ทำให้เขาหงุดหงิดจนออกไปกินเหล้าเมามายเมื่อคืน ฝ่ายไรอันเองก็ชะงักไปนิดหนึ่งเช่นกัน หนุ่มลูกครึ่งอยู่ในชุดทำงานปกติคือเสื้อเชิ้ตสีอ่อนผูกเนคไทกับกางเกงแสล็ค ในมือข้างหนึ่งมีเสื้อสูทพาดอยู่ ใบหน้ามีสีเลือดฝาดเล็กน้อยอย่างคนที่เพิ่งออกไปอยู่กลางแจ้ง ขณะที่ณรงค์มัวแต่อ้ำอึ้งจนนึกคำทักทายไม่ทัน ไรอันก็เบนสายตาหนีและเดินผ่านเขาเข้าไปในบริษัทเสียก่อน

ณรงค์ได้แต่มองตามแผ่นหลังของคนที่หายลับไปหลังประตูกระจก และทำให้ต้องกดรอลิฟต์ใหม่อีกครั้งเพราะประตูปิดลงก่อนจะก้าวเข้าไปด้านใน พลันความเจ็บแปลบในอกเพราะความหมางเมินที่เพิ่งได้รับก็ทำให้เผลอยกกำปั้นขึ้นทุบกำแพงอย่างแรง

บ้าเอ๊ย...จะนับเป็นแฟนประสาอะไรกันถ้าแค่จะมองหน้ายังกระอักกระอ่วนขนาดนี้...

ตลอดเวลาที่เหลือก่อนจะเลิกงาน ณรงค์เข้าโหมดไม่ปฏิสัมพันธ์กับใครทั้งสิ้น ทั้งเพราะอาการปวดหัวที่ยังตกค้างแม้จะกินยาแล้ว และเพราะสีหน้าไม่สบอารมณ์ของเขาที่พานทำให้ใครต่อใครไม่กล้าเข้ามาคุยด้วย โชคดีที่เพราะการประชุมเมื่อบ่ายเพิ่งเสร็จสิ้น หลายคนจึงเข้าใจว่าเขาคงกำลังเครียดกับงานและหลีกเลี่ยงที่จะเข้ามารบกวนให้เสียสมาธิ

เวลาผ่านไปจนเกือบจะสองทุ่ม เพื่อนร่วมงานหลายคนต่างทยอยกลับบ้านไปตั้งแต่หกโมงเย็น กระทั่งไฟในห้องทำงานของไรอันก็ดับสนิท แต่ณรงค์ก็ยังนั่งออกแบบนั่นนี่เรื่อยเปื่อย กระทั่งเขารู้สึกว่าทั้งแขนและสายตาล้าเต็มทนแล้วจึงค่อยปิดคอมพิวเตอร์และเดินออกจากบริษัท แต่สถานที่ที่ชายหนุ่มขับรถไปกลับเป็นคนละเส้นทางกับที่ตั้งของคอนโดโดยสิ้นเชิง

แสงไฟเหนือทางเข้าและผู้คนที่เดินเข้าออกในผับขนาดใหญ่กลางใจเมืองคือภาพที่รอรับขณะณรงค์เลี้ยวรถเข้าจอดในลาน ปกติแล้วเขาจะมาดื่มที่นี่เพียงนานๆ ครั้ง แต่ตั้งแต่ถูกท่าทางห่างเหินของไรอันทำให้หงุดหงิดเมื่อคืนที่ผ่านมา นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขามาที่ผับแห่งนี้สองคืนติดกันอย่างผิดวิสัยที่ไม่เคยทำมาก่อน ความจริงแล้วเขาจะเลือกไปที่อื่นเสียก็ได้ แต่ความคุ้นเคยกับบรรยากาศก็ทำให้ณรงค์นึกถึงร้านนี้ก่อนตัวเลือกอื่น

หลังหยิบบัตรประชาชนให้เจ้าหน้าที่หน้าทางเข้าตรวจ ณรงค์ก็ยื่นแขนให้ปั๊มก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน ดูเหมือนแม้จะเป็นวันอังคาร แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ลูกค้าทั้งขาประจำและขาจรมาร้านน้อยลง ตามโต๊ะและฟลอร์ตรงกลางล้วนถูกจับจองจนแน่นขนัด และที่ว่างตามมุมต่างๆ ที่ยังเหลืออยู่ก็คงจะหายไปเมื่อเวลาล่วงสู่ยามดึกมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

ร่างสูงใหญ่เดินตรงเข้าไปที่เคาน์เตอร์ด้านในสุดและสั่งเบียร์หนึ่งขวด เขาตั้งใจว่าวันนี้จะขอเมาให้สุดๆ อีกสักทีเผื่อว่าจะลืมความหมองมัวจากการถูกคนที่ชอบทำเหมือนไม่แยแสได้บ้าง ณรงค์จัดการเบียร์ขวดแรกเสร็จในเวลาอันรวดเร็วโดยไม่ได้หันไปสนใจบรรยากาศในร้านเลย กระทั่งเขาสั่งเบียร์ขวดที่สองมาและดื่มไปได้ครึ่งขวด ชายหนุ่มก็เลิกคิ้วเมื่อมีคนมายืนเบียดข้างๆ

“ขอสเมอร์นอฟไอซ์ขวดนึงครับ”

เสียงที่ค่อนไปทางแหบและเล็กสำหรับผู้ชายเอ่ยสั่งพนักงานที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ เมื่อได้เครื่องดื่มที่ต้องการก็หันมาเอาขวดชนกับขวดเบียร์ของณรงค์แล้วยิ้มให้

“เอ้า เชียร์”

ณรงค์เลิกคิ้วพลางหันไปมองคนข้างตัวอย่างเต็มตา หลังจากดื่มเครื่องดื่มที่สั่งเข้าไปอึกใหญ่ หนุ่มน้อยที่ดูแล้วน่าจะอายุพ้นวัยนักศึกษามาไม่นานก็ส่งยิ้มหวานให้เขา ซึ่งไม่ใช่การแสดงออกที่แปลกนักในเมื่อผับแห่งนี้ค่อนข้างจะมีชื่อในหมู่ลูกค้าที่มีรสนิยมเฉพาะทางอยู่แล้ว

ผิวใสเชียว อายุถึงยี่สิบเหรอหน้าแบบนี้...

ณรงค์ประเมินในใจ และคิดว่าอีกฝ่ายคงแค่มนุษยสัมพันธ์ดีและเห็นเขามาคนเดียวเหมือนกันจึงเข้ามาทัก เขาจึงยกขวดเบียร์ในมือขึ้นและดื่มบ้าง แต่แล้วชายหนุ่มก็เบิกตาโตเมื่อคนที่ยืนข้างๆ ยืดตัวขึ้นหอมแก้มเขาเต็มรัก

“ผมมานั่งรอคุณตั้งแต่หัวค่ำเลยนะ นึกว่าวันนี้จะไม่ได้เจอกันซะแล้วสิ”

ไม่เพียงแต่พูดเท่านั้น อีกฝ่ายยังวางขวดเครื่องดื่มของตัวเองลงแล้วยกแขนสองข้างขึ้นมาคล้องคอเขาและโน้มลงหาตัวเองด้วย ณรงค์ยิ่งเบิกตากว้างกว่าเดิมเมื่อริมฝีปากของทั้งคู่สัมผัสกันอย่างแนบแน่นจนต้องรีบดันไหล่อีกฝ่ายออกห่าง

“เดี๋ยวก่อน ผมว่าคุณเมาหรือไม่ก็จำคนผิดแล้วนะ ผมไม่เคยเจอคุณมาก่อนเลยจนกระทั่งตะกี้นี้เอง”

ชายหนุ่มรีบออกตัวเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอะไรเกินเลย เพราะต่อให้เขาไม่ได้มีคนอื่นในใจ ณรงค์ก็ไม่ใช่คนที่ชอบมีความสัมพันธ์ฉาบฉวยกับคนแปลกหน้า และจุดประสงค์ในการมาที่นี่ของเขาก็เพียงเพื่อดื่มเหล้าให้ลืมเรื่องรำคาญใจเท่านั้น หาใช่เพื่อหาเศษหาเลยกับใครก็ได้เพื่อให้ลืมคนที่คบอยู่แล้วสักนิด

และต่อให้ไรอันไม่ได้อยู่ตรงนี้...ณรงค์ก็ยังรู้สึกผิดที่เขาทำเหมือนนอกใจแม้จะโดยไม่ตั้งใจอยู่ดี

หนุ่มน้อยมองตาเขาแล้วทำปากยื่นอย่างกระเง้ากระงอด “ผมเพิ่งจะสั่งไอ้นี่เป็นขวดที่สองจะเมาได้ยังไง อีกอย่างผมจำไม่ผิดหรอก เมื่อคืนวานคุณก็ใส่แจ็คเกตตัวนี้เหมือนกัน ผมยังทักคุณเลยว่าลายปักบนกระเป๋าเท่ดี”

คนพูดใช้ปลายนิ้วลูบบนกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตของณรงค์ไปมาจนเขาขนลุกซู่ ทว่านัยน์ตาของณรงค์ก็ยังแสดงออกว่าไม่เชื่อ หนุ่มน้อยคนนั้นจึงถอนหายใจแล้วหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมากดโทรออก และคราวนี้คนที่ตกใจก็คือณรงค์เองเพราะมือถือในกระเป๋ากางเกงส่งเสียงว่ามีสายเข้า

“ทีนี้เชื่อหรือยังล่ะ เมื่อคืนคุณกำชับผมหลังแยกกันเองนะว่ากลับถึงบ้านเมื่อไหร่ให้โทรบอกด้วย แต่ผมก็รู้หรอกว่าคุณคงเมาหลับไปเลยไม่ได้รับสาย นี่คงลืมแล้วล่ะสิว่าพวกเราทำอะไรกันเมื่อคืนนี้บ้าง”

“ทำอะไร...หมายความว่ายังไง”

เสียงของณรงค์เริ่มเครียด เขาค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองเป็นคนควบคุมสติได้เก่ง แต่เนื่องจากความทรงจำหลายช่วงเมื่อคืนก่อนช่างแสนจะลางเลือน เขาจึงไม่สามารถจะมั่นใจได้เต็มร้อยว่าตัวเองทำหรือไม่ทำอะไรไปบ้าง แถมร่างกายของคนที่พยายามเบียดตัวเข้าหาเขามากขึ้นก็ไม่ได้ช่วยให้ความกระจ่างเลยแม้แต่น้อย

เด็กหนุ่มหรี่ตาลงพลางหยักยิ้มมากขึ้น ขณะเดียวกันก็โน้มคอณรงค์เข้าหาอีกครั้งจนต่างสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่ายที่รดลงบนปลายจมูก “อยากจำได้จริงๆ เหรอ...ถ้างั้นเราคงต้องย้ายไปคุยกันที่ห้องคุณแล้วล่ะ...หวา!!”

เสียงซ่าโครมใหญ่และสัมผัสของน้ำผสมน้ำแข็งเย็นๆ สาดเข้าใส่คนทั้งคู่พร้อมๆ กับที่ณรงค์ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายร้องอย่างตกใจ ชายหนุ่มขมวดคิ้วและหันขวับอย่างไม่พอใจเพื่อหาตัวต้นเหตุแม้ว่าจะช่วยขัดจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็มได้อย่างเหมาะเหม็ง แต่เมื่อหันไปสบตากับเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน ณรงค์ก็ชะงักตัวแข็งกับแววตาของคนที่กำลังมองตรงมาที่เขาในระยะห่างไม่ถึงหนึ่งเมตร

แถมในมือขวายังถือแก้วเปล่าที่เพิ่งใช้สาดน้ำไปหมาดๆ ด้วย

“Sorry, my hand just slipped.”

ไรอันพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบพอๆ กับใบหน้าที่ไม่ระบุอารมณ์ หนุ่มลูกครึ่งดูจะไม่ยี่หระกับฝูงไทยมุงที่กำลังให้ความสนอกสนใจพวกเขาแม้แต่น้อย ทว่าแววตาดูเย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำที่ชุ่มอยู่บนผมกับเสื้อของณรงค์เสียอีก

หนุ่มลูกครึ่งวางแก้วลงบนเคาน์เตอร์ก่อนจะเดินฝ่าผู้คนในร้านตรงไปยังทางเข้าด้วยฝีเท้ามั่นคง และเมื่อตั้งสติได้ ณรงค์ก็รีบปล่อยมือจากเด็กหนุ่มแปลกหน้าและก้าวตามไปทันที

“ไรอัน...ไรอัน!! เดี๋ยวสิ! เมื่อกี้มันไม่ใช่อย่างที่คุณเห็นนะ!!”

ณรงค์สาวเท้าเร็วๆ ตามหนุ่มลูกครึ่งออกมายังลานจอดรถด้านหลัง แต่พอเอื้อมมือไปคว้าแขน อีกฝ่ายกลับชักแขนหนีโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง

“I had seen enough. No need for you to make up excuses.”

ไรอันเดินไปจนถึงรถสีขาวของตัวเองที่จอดอยู่ริมสุดของลาน แต่พอจะเปิดประตูรถ ณรงค์ก็ปิดประตูกลับเข้าไปแล้วจับไหล่อีกฝ่ายให้หันมามองเขาตรงๆ

“ผมบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่สิ! เมื่อกี้มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด ผมกับเขาไม่รู้จักกันมาก่อนเลยนะ!”

“Then go and get to know him. He seems willing to please you more than I do.”

ไรอันไม่ยอมหลุดภาษาไทยสักคำ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนฉายแสงวาวโรจน์ แต่ดูเหมือนสาเหตุของความโกรธจะไม่ได้มาจากความหึงหวงมากเท่ากับความรู้สึกเสียศักดิ์ศรี และณรงค์ก็แทบอยากเอาหัวตัวเองโขกอะไรสักอย่างเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงแหบเล็กที่ดังขึ้นข้างหลัง

“นี่! เมื่อกี้เพื่อนคุณเสียมารยาทมากเลยนะ! ไม่มีใครสอนหรือไงว่าสาดน้ำใส่คนอื่นแล้วต้องขอโทษไม่ใช่เดินหนี!”

หนุ่มลูกครึ่งหรี่ตามองคนพูดผ่านไหล่ณรงค์โดยไม่โต้ตอบ แต่แววตาไม่สะท้อนความสำนึกผิดแม้แต่นิด และตอนนี้ณรงค์ก็ไม่ต้องการจะขัดใจคนที่อารมณ์กำลังคุกรุ่นด้วย

“แฟนผมไม่ได้ทำอะไรผิด ผมยอมรับว่าเมื่อคืนเมามากเลยไม่รู้ว่าทำอะไรไปบ้างและก็ขอโทษสำหรับเรื่องนั้น แต่กับเรื่องเมื่อกี้ เขาไม่จำเป็นจะต้องขอโทษคุณเลยสักคำเดียว”

ประโยคนั้นดึงสายตาสองคู่ให้จ้องที่ณรงค์เป็นตาเดียว แต่ด้วยความไม่พอใจเหมือนกันแม้จะมาจากต่างสาเหตุ

“Stop being such a prick! I’m not your goddamn boyfriend anymore!!”

ไรอันตะโกนใส่หน้าเขาและพยายามจะปัดมือของณรงค์ที่ยึดบนไหล่ออก ท่าทางดื้อดึงอย่างไม่ประนีประนอมทำให้ความฉุนเฉียวของณรงค์ชักจะทะลักขึ้นมาบ้าง

“ใช่สิทำไมจะไม่ใช่! จะบอกให้นะว่าต่อให้คุณพยายามแค่ไหนก็สลัดผมทิ้งไม่ได้ง่ายๆ หรอก!”

ยังพูดไม่ทันจะขาดคำ ณรงค์ก็รวบตัวไรอันเข้ามากอดแน่น สิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นก่อนจะก้มลงปิดเสียงบริภาษของอีกฝ่ายก็คือนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่เบิกกว้างเหมือนไม่อยากจะเชื่อหู

“อึ้ม!! อื้อ!!!!”

ไรอันดิ้นขลุกขลักเมื่อณรงค์สอดปลายลิ้นเข้าในริมฝีปากที่เผยอค้างอย่างเอาแต่ใจ หนุ่มลูกครึ่งทำอะไรไม่ได้มากนักเพราะร่างกายถูกกดอยู่ระหว่างรถของตัวเองกับร่างของณรงค์ และดูเหมือนยิ่งพยายามจะทุบและผลักไสอีกฝ่ายมากเท่าไหร่ ณรงค์ก็ยิ่งออกแรงรัดมากขึ้นและจูบหนักหน่วงขึ้นเท่านั้น ร่างกายที่อุ่นจัดของคนในอ้อมแขนและรสชาติที่คล้ายกับมะนาวโซดาบนปลายลิ้นทำให้ณรงค์ลืมสนใจคนที่เบิกตากว้างมองพวกเขาสองคนอย่างตกตะลึง และพานลืมกระทั่งว่าพวกเขากำลังยืนอยู่ในลานจอดรถที่เปิดโล่งไปเสียสนิทด้วย

ครู่ใหญ่กว่าที่ณรงค์จะยอมถอนริมฝีปากออกจากรสชาติหวานหอมที่แสนเย้ายวน ไรอันปรือตาขึ้นมองเขาพร้อมกับหายใจหอบอย่างคนที่ขาดอากาศมานาน แขนสองข้างที่เมื่อกี้ยังทุบไหล่เป็นพัลวันเปลี่ยนเป็นจับยึดแขนเสื้อเขาไว้แน่นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ท่าทางอ่อนแรงและนัยน์ตาเยิ้มปรอยดึงดูดให้ณรงค์ก้มลงจูบเร็วๆ อีกครั้งจนไรอันครางประท้วง

“ทีนี้คงเข้าใจแล้วนะ ต่อให้เขาทำอะไรผมก็ไม่มีวันบอกว่าผิดเด็ดขาด คุณก็ลบเบอร์ผมทิ้งซะเถอะเพราะเราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ลาก่อน”

ณรงค์หันไปบอกคนที่ยืนอึ้งอยู่โดยไม่ปล่อยคนในอ้อมแขนให้เป็นอิสระ เมื่อหนุ่มน้อยได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าบิดเบ้ และณรงค์ก็คิดว่าได้เห็นฝ้าน้ำตาที่รื้นขึ้นในหน่วยตาของอีกฝ่ายก่อนที่จะผลุนผลันวิ่งหนีไป แต่เขาก็เพียงมองตามโดยไม่รู้สึกอยากจะเข้าไปปลอบเลยแม้แต่น้อย

หวังว่าเขาคงไม่ได้ฝากแผลระยะยาวในใจให้เด็กคนนั้นนะ...

“You idiot…let go of me.”

ไรอันเอ่ยเสียงแผ่วขณะใช้มือหนึ่งทุบไหล่ณรงค์ เขาจึงรู้ตัวว่ากอดหนุ่มลูกครึ่งแน่นเกินไป แต่พอปล่อยมือไรอันก็ทำท่าเหมือนต้องอาศัยรถของตัวเองเป็นหลักให้ยืนพิง ความเอะใจทำให้เขาลองยื่นหลังมือออกไปแตะหน้าผาก
แล้วก็ได้คำตอบว่าลางสังหรณ์ถูกต้อง
“บ้าเอ๊ย! คุณยังไม่หายไข้เลยนี่นา มานี่ผมจะรีบพากลับห้อง”

ณรงค์ฉุดแขนไรอันให้เข้าไปนั่งฝั่งผู้โดยสารก่อนจะเดินวนมาขึ้นด้านคนขับ จากนั้นก็ยื่นมือออกรับกุญแจและรีบขับรถออกจากผับแห่งนั้นอย่างไม่รีรอ

“...แล้วรถของคุณล่ะ?”

ไรอันถามด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลียหลังจากออกมาสู่ถนนใหญ่ ณรงค์จึงส่ายหน้าพลางมองหาช่องสำหรับแซงรถคันหน้าไปด้วย โชคดีที่เขาดื่มเบียร์ไปแค่หนึ่งขวดครึ่ง ประกอบกับเรื่องที่เพิ่งเกิดเมื่อครู่จึงทำให้ไม่รู้สึกมึนเมาเลยสักนิด

“พรุ่งนี้ค่อยมาเอาก็ได้ ผมไม่ยอมให้คุณขับรถทั้งที่กำลังไข้กลับแบบนี้หรอก”

ณรงค์ยิ่งพูดก็ยิ่งเจ็บใจตัวเองที่ไม่ดูแลไรอันให้ดี แทนที่จะปล่อยวางเรื่องอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของอีกฝ่ายเมื่อคืนเสีย กลายเป็นว่ามัวแต่น้อยใจที่ถูกไล่จนทำให้ไม่ทันสังเกตว่าจริงๆ แล้วหนุ่มลูกครึ่งไม่ได้รู้สภาพร่างกายตัวเองดีอย่างที่เคยพูดสักนิด แถมเขายังโง่บัดซบถึงขั้นออกไปกินเหล้าเมามายและเผลอมีสัมพันธ์กับคนอื่นโดยไม่ตั้งใจด้วย

คนขับบึ่งรถด้วยความเร็วเท่าที่สภาพการจราจรใจกลางเมืองจะอำนวย และพาไรอันกลับมาถึงคอนโดภายในเวลาไม่ถึงสิบห้านาที พอจะพยุงอีกฝ่ายขึ้นไปบนห้อง ณรงค์ก็ยิ่งหงุดหงิดที่พบว่าไรอันตัวร้อนขึ้นกว่าตอนอยู่ที่ผับเสียอีก

“คุณยังไม่หายดีแล้วออกไปกินเหล้าคนเดียวทำไม?”

“อย่างน้อยผมก็ไม่ได้ไปหาคนมานอนด้วยก็แล้วกัน”

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ประโยคตอกกลับที่แสบถึงใจทำเอาณรงค์เถียงไม่ออก เขาได้แต่พยุงไรอันขึ้นไปนอนบนเตียงก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ

“คุณเหงื่อออก ผมจะเช็ดตัวให้ก่อนจะได้นอนสบายหน่อย”

ณรงค์สั่งราวอีกฝ่ายเป็นเด็กสิบขวบแทนที่จะเป็นผู้บริหารอายุยี่สิบหก หลังจากเอาผ้าขนหนูผืนเล็กกับอ่างใส่น้ำใบย่อมวางลงบนหัวเตียง ชายหนุ่มก็เริ่มลงมือปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตให้ทีละเม็ด

“...You really like to undress me, don’t you?”

ไรอันพูดขึ้นลอยๆ ขณะถูกดึงเสื้อออกจนพ้นตัว พอณรงค์เหลือบตาขึ้นก็เห็นว่าคนป่วยกำลังมองเขาตาปรอยเพราะพิษไข้ที่กลับมาอีกครั้ง จึงละมือที่กำลังคลายเข็มขัดให้แล้วเท้าแขนทั้งสองคร่อมตัวหนุ่มลูกครึ่งไว้แทน

“ใช่ และคงจะดีกว่านี้ถ้าหากผมได้ถอดเสื้อผ้าคุณเพื่อจะทำอย่างอื่น ไม่ใช่เพราะต้องมาเช็ดตัวให้เพราะคุณเอาแต่เป็นไข้”

นัยน์ตาสองคู่สบกันแน่วนิ่ง และโดยไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก ณรงค์ก็ค่อยๆ ลดศีรษะลงและปัดริมฝีปากบนกลีบปากอุ่นที่แดงเรื่อเพราะพิษไข้แผ่วๆ เมื่อพบว่าไรอันไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้าน ณรงค์ก็ก้มลงเพื่อจะจูบหนุ่มลูกครึ่งอีกครั้ง แต่แล้วคนบนเตียงก็ผวาลุกขึ้นนั่งและเอามือปิดปากก่อนที่ริมฝีปากของทั้งสองจะได้สัมผัสกัน

“I feel sick…”

ณรงค์ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำตาโตขึ้นและขยับลำคอเหมือนมีอะไรกำลังขย้อนขึ้นมา เขาก็เข้าใจและรีบพยุงเข้าไปในห้องน้ำทันที ไรอันรีบโน้มตัวลงเหนือโถชักโครกแล้วโก่งคออาเจียนอย่างแรงจนณรงค์ต้องคอยรั้งไหล่ไว้ ขณะเดียวกันก็ช่วยลูบหลังเพื่อไล่สิ่งที่ตกค้างในกระเพาะให้ด้วย

“คุณไม่เป็นไรนะ? ยังไม่หายดีแท้ๆ ทำไมถึงไม่พักผ่อนอยู่ที่ห้อง?”

ชายหนุ่มเอ็ดด้วยน้ำเสียงร้อนรน ความจริงแค่เรื่องที่ไรอันไปกินเหล้าคนเดียวก็ทำให้เขาไม่พอใจมากแล้ว แต่นี่ไปทั้งที่ร่างกายยังไม่แข็งแรงอีก ความเป็นห่วงผสมกับความรู้สึกผิดจึงยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดเพิ่มเป็นทวีคูณ

“ผมจะไปไหนก็เรื่องของผม You’re not my dad so stop acting like one.”

ไรอันตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลียขณะลุกขึ้นบ้วนปากที่อ่างล้างหน้า หนุ่มลูกครึ่งปัดมือของณรงค์ที่ยื่นออกไปหมายจะช่วยพยุงและเดินโซซัดโซเซไปล้มลงบนเตียงด้วยตัวเอง ร่างกายท่อนบนยังคงเปลือยเปล่าเพราะถูกถอดเสื้อให้เมื่อครู่ ส่วนท่อนล่างมีกางเกงยีนส์กับหัวเข็มขัดที่ถูกคลายออกจนเห็นขอบกางเกงในสีขาวรำไร ณรงค์จึงได้แต่เบือนสายตาหนีและเดินไปหยิบชุดนอนออกจากตู้เสื้อผ้ามาส่งให้

“คุณจะนอนทั้งที่ใส่กางเกงยีนส์ตัวเดียวแบบนี้ไม่ได้ เดี๋ยวผมจะเช็ดตัวให้ก่อนค่อยเปลี่ยนชุด”

ณรงค์พูดพลางวางชุดนอนลงบนเตียงแต่ไม่ได้เข้าไปช่วยถอดเสื้อผ้าที่เหลือ ไรอันเลิกคิ้วเมื่อเห็นเขาเพียงแต่ยืนกอดอกเฉยๆ พลันมุมปากบางก็เหยียดยิ้มหยันเมื่อเข้าใจว่าณรงค์กำลังคิดอะไร หนุ่มลูกครึ่งขยับตัวขึ้นนั่งพิงหมอนและเลื่อนมือลงรูดซิปกางเกงยีนส์อย่างช้าๆ จากนั้นก็ยกสะโพกและรูดกางเกงออกจากขาทีละข้างด้วยตัวเอง

ณรงค์ลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อเห็นรูปร่างที่มีกล้ามเนื้อสมส่วนซึ่งมีเพียงกางเกงในสีขาวปกปิด และแทบหายใจไม่ออกเมื่อไรอันใช้สองมือเกี่ยวขอบกางเกงในลงจนผิวกายสีงาช้างเปิดเปลือยต่อสายตาของเขาทุกสัดส่วน หนุ่มลูกครึ่งหย่อนอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายลงทับกางเกงยีนส์ที่กองอยู่ข้างเตียงก่อนจะช้อนสายตาขึ้น

“ตกลงคุณจะเช็ดตัวให้หรือให้ผมเช็ดเอง?”

ไรอันถามพลางยกมือขึ้นกอดอก ส่วนขาข้างหนึ่งยกขึ้นไขว้บนขาอีกข้างอย่างไม่สนใจจะปิดบังความเปลือยเปล่าของตัวเองสักนิด ณรงค์จึงได้แต่ระบายลมหายใจยาวและขยับเข้าไปนั่งบนขอบเตียงพลางหยิบผ้าชุบน้ำขึ้นมาบิดน้ำออกพอหมาด

ยั่วกันเข้าไป...ทั้งที่คุณก็ไม่พร้อมจะให้สิ่งที่ผมอยากได้เลยสักนิด…

ณรงค์เริ่มจะเข้าใจความคิดของไรอันมากขึ้นหลังจากปะติดปะต่อทุกเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเข้าด้วยกัน ก่อนนี้เขาเคยมองข้ามจุดนี้ไปเพราะถูกเบี่ยงความสนใจ ไม่ว่าจะตอนที่ไรอันยอมรับว่าเขาเป็นแฟนหรือตอนที่จูบเขาก่อนเมื่อตอนมาเฝ้าไข้คราวที่แล้ว แต่ทุกครั้งที่เขาคิดว่าเข้าใกล้ไรอันมากขึ้น ไม่ช้าอีกฝ่ายก็จะทำให้เขาเหนื่อยและท้อก่อนจะกลับมาทำให้รู้สึกดีขึ้นใหม่ วนเวียนเป็นวงจรซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น

แต่ดูเหมือนวงจรนั้นกำลังขมวดเกลียวเล็กลงทุกทีในคืนนี้ เช่นเดียวกับความตึงเครียดที่ก่อตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ

“เอาผ้าห่มท่อนล่างคุณไว้ก่อนเถอะ เดี๋ยวก็ได้ไข้ขึ้นมากกว่าเดิมหรอก”

ณรงค์พูดพลางหยิบผ้าห่มขึ้นคลุมให้หนุ่มลูกครึ่งและเริ่มเช็ดตัวให้ ภายในห้องมีแต่ความเงียบและเสียงลมหายใจเพราะไม่มีใครพูดอะไรก่อนอยู่เป็นนาน พอณรงค์เช็ดแขนข้างหนึ่งให้ไรอันเสร็จก็เลื่อนไปเช็ดแขนให้อีกข้าง

“คุณตั้งใจจะทดสอบผมไปถึงเมื่อไหร่?”

จู่ๆ ชายหนุ่มก็ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ไรอันมองเสี้ยวหน้าของคนที่กำลังขะมักเขม้นกับการเช็ดตัวให้แล้วก็ตอบเสียงเรียบ

“จนกว่าคุณจะทนผมไม่ได้ล่ะมั้ง”

คำตอบที่ได้ทำให้มือที่กำลังจุ่มผ้าขนหนูลงในอ่างอีกครั้งหยุดชะงัก ชายหนุ่มละสายตาขึ้นสบตากับผู้บริหารหนุ่มที่มองเขาอยู่แล้วอย่างต้องการคำอธิบาย ไรอันจึงหลุบตาลงมองมือตัวเองที่ประสานกันอยู่บนตัก

“ตั้งแต่ที่เราคบกันมาก็หลายเดือนพอสมควรแล้ว ผมผิดเองที่ก่อนหน้านี้ให้ความหวังคุณไปด้วยการยอมรับเป็นแฟน แต่พักนี้ผมเริ่มรู้แล้วว่าตัวเองไม่เหมาะจะคบกับใคร และผมก็เริ่มอึดอัดกับการอยู่ใกล้คุณมากขึ้นทุกที”

ไรอันเอ่ยขณะที่หยิบเสื้อกับกางเกงนอนขึ้นสวม ฝ่ายณรงค์ได้แต่ขมวดคิ้ว ถ้าหากข้อสรุปของเขาถูกต้อง ก็หมายความว่าทุกสิ่งที่ไรอันพยายามจะสื่อสารกับเขานั้นก็เพื่อจุดประสงค์เดียว

“นี่คุณกำลังบอกเลิกผมเหรอ?”

“In a single word, yes.”

หนุ่มลูกครึ่งตอบรับโดยไม่หันมาสบตา ณรงค์จึงได้แต่นั่งนิ่งอยู่กับที่ ความไม่อยากเชื่อว่าเพิ่งได้ยินอะไรทำให้สมองของเขาลัดวงจรจนนึกคำที่ควรพูดไม่ออก

ทำไมกัน...แล้วสิ่งที่พวกเราเคยมีร่วมกันมา ทั้งวันหยุดที่เคยไปกินข้าวด้วยกัน หรือวันหยุดยาวที่ได้ใช้เวลากับครอบครัวของเขาที่ต่างจังหวัด ทุกอย่างนั่นไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของไรอันพัฒนาขึ้นบ้างเลยหรือไง...

“คุณกำลังไม่สบายเลยไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกมา เอาเป็นว่าคืนนี้ผมจะกลับก่อน แล้วพรุ่งนี้เราค่อยคุยกันใหม่จะดีกว่า”

ณรงค์ตัดบททั้งที่ไม่แน่ใจว่ากำลังบอกไรอันหรือปลอบตัวเอง แต่คำตอบของคนบนเตียงก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาความหนึบหน่วงในใจให้น้อยลงเลยสักนิด

“ไม่จำเป็นต้องรอถึงพรุ่งนี้หรอก ผมคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่กลับจากบ้านคุณที่ต่างจังหวัดได้ไม่นานแล้ว”

ร่างสูงใหญ่หันขวับอย่างไม่ยอมจำนน “ผมอธิบายได้นะ ถ้าหากคุณหึงเรื่องของเด็กที่เราเจอที่ผับเมื่อกี้”

“ผมไม่ได้หึง!”

ไรอันสวนกลับทันควัน หางเสียงสะบัดอย่างไม่พอใจ ซึ่งณรงค์ไม่รู้ว่ามาจากความรำคาญที่เขาเซ้าซี้หรือเพราะเขาพูดจี้ใจดำกันแน่ แต่น้ำเสียงเอาจริงเอาจังก็ทำให้หัวใจณรงค์ยิ่งห่อตัวเล็กลงมากขึ้น

“...เจมส์พูดอะไรกับคุณหรือเปล่า?”

ณรงค์ยังไม่อาจยอมรับเหตุผลของไรอัน เขาไม่เชื่อว่าทุกอย่างมาจากการตัดสินใจของอีกฝ่ายล้วนๆ โดยไม่มีอิทธิพลจากคนอื่นมาข้องเกี่ยว แต่ไรอันก็เพียงส่ายหน้าและมองเขาด้วยนัยน์ตาปราศจากความรู้สึก

“อย่าพยายามลากคนอื่นเข้ามาเกี่ยวเลย ทั้งหมดเป็นความคิดของผมคนเดียว จริงๆ แล้วเจมส์ชอบคุณมากและยังพูดเชียร์คุณกับผมบ่อยๆ ด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาไม่มีทางยุให้ผมทำแบบนี้เด็ดขาด”

ณรงค์อึกอักด้วยไม่รู้จะหาเหตุผลใดมาคัดง้างอีก และยิ่งพยายามดิ้นรนกับสถานการณ์ตรงหน้ามากเท่าไหร่ ดูเหมือนเขากลับยิ่งตีวงแคบลงให้กับทางออกของตัวเองเท่านั้น

"เราเพิ่งคบกันได้ไม่กี่เดือนเองนะ"

เขาเอ่ยอย่างอ่อนแรงแม้จะรู้ว่านั่นเป็นข้ออ้างที่ไร้น้ำหนักที่สุด และคราวนี้ไรอันก็ลุกขึ้นจากเตียงและเดินตรงไปเปิดประตูห้องนอนออก เมื่อณรงค์มองตามไปก็พบว่าเจ้าของห้องยืนกางประตูรอเขาอยู่โดยไม่แสดงท่าทางเร่งเร้าเลยสักนิด

แต่นัยน์ตาที่ไม่เหลือบมามองเลยกลับได้ผลยิ่งกว่าการตะโกนไล่ดังๆ เสียอีก

ณรงค์กำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าในเนื้อ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปที่ประตู กระทั่งตอนที่เขาเดินผ่านหน้า ไรอันก็ยังคงทอดสายตาลงต่ำราวไม่ต้องการจะสบตา จนเมื่อเขาเดินออกมาพ้นประตูแล้วและหันกลับไปช้าๆ ณรงค์จึงทันได้เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่กำลังมองส่งเขาอยู่หลังประตูที่กำลังปิดลง

"ลาก่อน ณรงค์"

นี่อาจเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่ณรงค์ได้ยินไรอันเรียกชื่อเขาตั้งแต่คบกันเป็นต้นมา ชายหนุ่มเบิกตาโตและหันกลับไปพยายามจะผลักประตูห้องนอนออก แต่ก็ช้ากว่าคนในห้องที่ลงกลอนจนเขาไม่สามารถเปิดเข้าไปได้

ไม่ต่างกับใจของอีกฝ่ายที่ปิดกั้นไม่ให้เขาแทรกเข้าไปเลยสักนิด

"บัดซบเอ๊ย..."

ณรงค์ยืนกัดฟันแน่นอยู่หน้าประตู เขาอยากเรียกเวลาให้ย้อนคืนมาตั้งแต่ทั้งคู่เริ่มใกล้ชิดกัน เขาจะได้พยายามเรียนรู้ให้มากขึ้นว่าไรอันชอบหรือไม่ชอบให้ทำอะไร แล้วจะได้ไม่บังคับหรือคอยแสดงความเอาใจใส่เกินไปจนทำให้รำคาญอีก

และไม่ทำตัวงี่เง่าจนปล่อยให้เห็นตอนเขาจูบกับคนอื่นเหมือนวันนี้ด้วย...

แต่ไม่ว่าใจจะต้องการแค่ไหน ความจริงตรงหน้าก็คือสิ่งที่สูญเสียไปไม่อาจเรียกกลับมาได้ เช่นเดียวกับความรู้สึกของคนที่เขาหลงรักซึ่งได้ออกปากชัดเจนว่าไม่ต้องการเขาแล้วเช่นกัน ณรงค์ไม่อยากเชื่อว่าคำว่ารักที่เคยบอกจะไม่ได้แทรกซึมเข้าในหัวใจของอีกฝ่ายเลย แต่ดูเหมือนมันคงไม่มากพอที่จะทำให้ไรอันฝืนทนอยู่ใกล้เขาอีก ไม่เช่นนั้นบทสนทนาในห้องเมื่อครู่ก็คงไม่เกิดขึ้น และเขาก็คงไม่ต้องออกมายืนอยู่หน้าประตูห้องนอนที่ปิดล็อคของไรอันด้วยหัวใจที่ปวดร้าวแบบนี้

ณรงค์ไม่รู้ว่าตัวเองยืนอยู่หน้าห้องนานแค่ไหน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแสงไฟจากด้านในห้องนอนที่ลอดใต้ประตูดับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ในที่สุดเขาก็ค่อยๆ รวบรวมสติและลากขาตัวเองออกมาจากประตูห้องนอนบานนั้น และสวมรองเท้าก่อนจะเดินออกจากประตูใหญ่โดยไม่ลืมกดล็อคให้

ประตูห้องที่เขาคงได้มาเยือนเป็นครั้งสุดท้าย...

ชายหนุ่มเคลื่อนกายออกจากห้องที่คุ้นเคยตลอดช่วงเวลาเกือบครึ่งปีอย่างเชื่องช้า เขารู้สึกเหมือนทุกฝีก้าวที่กำลังเดินไปที่ลิฟต์หนักอึ้งราวกับมีอะไรถ่วงขาเอาไว้ จนกระทั่งถึงหน้าลิฟต์แล้วก็ไม่วายมองกลับไปยังทางเดินด้วยหวังจะได้ยินเสียงเปิดประตูและใบหน้าของใครคนหนึ่งที่เดินตามออกมาขอโทษเขาและบอกว่าเมื่อครู่พลั้งปากไป

แต่จนแล้วจนรอดก็ได้ยินเพียงความเงียบอันว่างเปล่าเท่านั้นเอง...

ณรงค์กดลิฟต์ลงไปยังชั้นล่างในที่สุด ตอนที่เขาเดินออกมานั้นยามรักษาความปลอดภัยยังเอ่ยทักทายอย่างคุ้นเคย แต่แล้วก็ทำหน้าตางุนงงเมื่อเขาบอกว่าคงไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว และณรงค์ก็ไม่ได้ขยายความใดๆ อีกขณะเดินไปเรียกแท็กซี่เพื่อกลับไปเอารถที่จอดทิ้งไว้ที่ผับ

เมื่อถึงที่หมาย ณรงค์ก็จ่ายค่าแท็กซี่แล้วเดินไปยังรถในลานจอดซึ่งเหลือเพียงไม่กี่คันเพราะผับกำลังจะปิด นัยน์ตาของเขาพร่ามัวไปครู่หนึ่งเมื่อปลดล็อคประตูแล้วเข้าไปนั่งจนต้องเอนพิงพนักและสูดหายใจเข้ายาวๆ

ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่าลมหายใจปลอดโปร่งขึ้น แต่กระนั้นความรู้สึกเสียดยอกในอกก็ไม่หายไป และเขาไม่แน่ใจนักว่ามันจะหายไปในอนาคตอันใกล้นี้ได้ ในเมื่อความรู้สึกของเขาที่มีให้ไรอันใช้เวลาก่อร่างมานานหลายเดือน และบางทีเขาก็อาจจะต้องใช้เวลาที่นานพอกันในการพยายามจะลบล้างความรู้สึกนั้นออกจากใจ

ครู่ใหญ่ณรงค์ก็บิดกุญแจเพื่อสตาร์ทรถ สภาพจิตใจของเขาตอนนี้แตกสลายจนไม่ต้องการเจอหน้าใครหรือกลับเข้าผับไปดื่มเหล้าอีกแล้ว แต่ขณะที่กำลังจะถอยรถออกจากที่จอด สายตาของเขาก็ปะทะเข้ากับเด็กหนุ่มสามคนที่กำลังเดินออกมาจากหน้าทางเข้าผับ หนึ่งในนั้นซึ่งมีใบหน้าอ่อนเยาว์ ผิวหน้าขาวใสและร่างผอมบาง ซึ่งเป็นคนละขั้วกับไรอันที่รูปร่างสง่าสมชายและใบหน้าหล่อเหลาสะดุดตาเขาเข้าอย่างจัง เพราะนั่นคือคนที่เพิ่งเป็นสาเหตุให้เขาได้ปะทะคารมกับหนุ่มลูกครึ่งเมื่อตอนค่ำ แล้วยังเป็นคนที่ถูกเขาทำให้ร้องไห้ด้วยสาเหตุเดียวกันด้วย

ชายหนุ่มไม่รู้อีกแล้วว่าตัวเองกำลังคิดอะไร ไม่สามารถใช้วิจารณญานตัดสินได้อีกว่าอะไรควรหรือไม่ควร แต่เมื่อณรงค์รู้ตัวอีกครั้ง เขาก็หยิบมือถือออกมากดโทรหาหมายเลขในรายการมิสคอลมื่อตอนตีสองครึ่งของคืนก่อนแล้ว เขารออย่างอดทนกระทั่งเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นหยุดเดินและหยิบโทรศัพท์ขึ้นดูหน้าจอด้วยสีหน้าตื่นตะลึง ก่อนจะสูดหายใจลึกและกรอกคำถามเสียงแผ่วเมื่ออีกฝ่ายกดรับโดยไม่รู้ว่าเขามองอยู่

“นี่ผมเองนะ เมื่อตอนเย็นผมขอโทษ คืนนี้รีบกลับไปไหนหรือเปล่า?”

แม้ว่าเขาจะต้องเสียใจภายหลังหรือไม่...ณรงค์ก็ให้คำตอบกับคำถามนั้นในนาทีนี้ไม่ได้จริงๆ


++---TBC---++


ออฟไลน์ maio2000

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 203
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
เข้ามาเม้นในนี้ด้วยว่าพี่รินทำลายจิตใจ  :z3: พี่รงค์ของหนู :fire: ไรอันแล้ว
 :angry2: มาคุยกันให้จบเข้าใจกันไปเลย หรือตลอดมานี้ให้ความหวัง แล้วมาปฎิเสธเขาแบบนี้
หนูรับไม่ได้ โอ๊ยพี่รินอ่ะทำหนูไปไม่เป็นเลย  :o12: ขอตัวไปทำใจก่อน

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
อ่าาาาาาา
อึ้งค่ะ ไหงมันเป็นแบบนี้ไปได้
ว่าแต่ชื่อตอนมันหมายถึงอะไรคะ

ออฟไลน์ love2y

  • (′~‵)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2059
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-11
อ่านใกล้จบแอบสงสารณรงค์ แต่พออ่านจบแล้ว ไม่สงสารละ
ถ้าณรงค์ทำร้ายตัวเองด้วยวิธีก็ไม่สงสารละ
TT^TT แอบสงสารตัวเอง(เกี่ยวไรด้วยเนี่ย)



ปล. เป็นอีกคนนึงที่ยังเฝ้ารอคุณเชษฐ์กะภัทรอยู่นะคะ >_<

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
อ่าาาาาาา
อึ้งค่ะ ไหงมันเป็นแบบนี้ไปได้
ว่าแต่ชื่อตอนมันหมายถึงอะไรคะ

โอ๊ะ เพิ่งเห็นว่าไม่ได้อธิบายค่ะโทษที Square One เป็นสำนวนหมายถึงจุดเริ่มต้น คือเทียบได้กับความสัมพันธ์ของณรงค์กับไรอันที่ย้อนไปนับหนึ่งใหม่น่ะค่ะ

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
 :z3: :z3: :z3: :z3:

ทำไมช่วงนี้มีแต่มาม่า หรือเพราะน้ำท่วมคะ

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
เครียดเลยครับ ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย

ออฟไลน์ badcow

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-10
มาลงอย่างนี้ ก็ให้มันเลิกกันไปเลยเหอะ จะได้ไม่ต้องมีมาม่าแบบนี้อีก!!!

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
มาลงอย่างนี้ ก็ให้มันเลิกกันไปเลยเหอะ จะได้ไม่ต้องมีมาม่าแบบนี้อีก!!!

จว๋าย มาม่ายังอืดไม่ได้ที่เลย ^^

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด