ตอนที่ 46
เมื่อเราออกมาจากเคบินของพีก็เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว บรรยากาศภายนอกโดยรวมถ้าไม่นับตรงบริเวณแมสวิค คาเฟทีเรียที่พวกเราไปทานอาหารกันมาสองมื้อแล้วล่ะก็ ส่วนอื่นๆก็เรียกได้ว่ามืดสนิทเลยทีเดียว รวมไปถึงบริเวณทางเดินเท้าเลียบถนนที่เราใช้เดินไปยังป้ายรถเฮอร์มิทเมื่อวานอีกด้วย ทั้งๆที่ในตอนกลางวันมันก็ดูสวยและไม่มีอันตรายอะไรดีอยู่หรอก แต่พอตกกลางคืนแบบนี้ปุ๊บ มันกลับดูมืดและน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมามากจริงๆ ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนกลัวผีหรือกลัวความมืดหรอกนะ แต่พอเห็นแบบนี้แล้ว ถ้าจะให้ผมเดินไปที่นั่นคนเดียวมืดๆอย่างนี้ล่ะก็ ผมเองยังไม่แน่ใจเลยว่าผมจะอยากทำรึเปล่า
“ไปเดินดูวิวตอนกลางคืนกันมั๊ย” ผมถามไอ้ซันขณะที่เรากำลังยืนอยู่หน้าประตูเคบินของพี
“มึงคิดยังไงของมึงเนี่ย” มันถามแล้วมองออกไปรอบๆตัว “ทั้งมืดทั้งหนาวขนาดนี้เนี่ยนะ”
“ทำไมวะ มึงกลัวรึไง” ผมแกล้งแหย่ เพราะผมรู้ว่าจริงๆแล้วมันกลัวผี
“ใครบอกมึงว่ากูกลัว ก็แล้วแต่ดิ่ ไปก็ไป จะไปไหนล่ะ”
“กูอยากเดินไปตามทางเดินที่เราเคยเดินเมื่อวานน่ะ” ผมชี้ไปยังทิศของเฮอร์มิทบัสสต็อป “เดินไปขึ้นรถที่ป้ายนั้นก็ได้ กูอยากเห็นแกรนด์ แคนยอนตอนกลางคืนน่ะ แถมอยากเดินดูดาวไปเรื่อยๆด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นพวกพี่รอผมแป๊บนึงนะครับ” พีพูดแล้วเดินหายกลับเข้าไปในห้อง ผมชะโงกข้ามไหล่ของไคล์ไปดูก็เห็นเขากำลังเปิดลิ้นชักหาอะไรอยู่สักอย่าง และไม่กี่วินาทีถัดมาเขาก็เดินกลับมาพร้อมกับไฟฉายกระบอกสีเหลืองกระบอกหนึ่ง “พกนี่ไปด้วยก็แล้วกันนะครับ เพราะมันจะมืดมาก”
“ขอบคุณมากครับ” ผมรับไฟฉายมาถือไว้ในมือ “งั้นเราก็ไปกันเถอะซัน”
ไอ้ซันพยักหน้าเงียบๆ จากนั้นก็หันไปหาไคล์ “อย่าซนล่ะ”
พวกเราสี่คนหัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน และแม้แต่พีเองก็ยังหัวเราะเขินๆไปด้วย
“มึงไม่ต้องไปยุ่งกับเขา ถ้างั้นพี่ไปแล้วนะทั้งสองคน แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกันที่นี่ตอนเช้าตามที่นัดไว้”
“เดี๋ยวครับ.......” ไคล์พูดขึ้นจากนั้นก็หันไปหาพี “พี ผมว่าเราสองคนเดินไปส่งพวกเขาที่นั่นด้วยเลยดีกว่านะ ผมเองก็อยากเดินเล่นเหมือนกัน อยู่เคบินเฉยๆก็ไม่มีอะไรทำอยู่ดีนี่”
“แน่ใจเหรอว่าไม่มีอะไรทำน่ะ” ไอ้ซันขัดขึ้น
“แน่ใจนะครับว่าจะเอาอย่างนั้นน่ะ เพราะเดี๋ยวขากลับก็ต้องเดินกลับกันมาแค่สองคนนะ” ผมถามย้ำ
พีสบตากับไคล์แล้วก็พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มก่อนที่จะเดินกลับเข้าห้องไปแล้วก็หยิบเสื้อแจ๊กเก็ตของทั้งคู่พร้อมไฟฉายอีกกระบอกออกมา
“ไปกันเถอะครับ” พียื่นเสื้อของไคล์คืนให้เจ้าของ ส่วนเขาก็เหวี่ยงเสื้อของตัวเองคลุมตัวก่อนจะปิดประตูตามหลังไป
พวกเราสี่คนข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามแล้วก็เดินคุยเรื่องแผนการของวันพรุ่งนี้ไปเรื่อยๆ ที่นี่ตอนกลางคืนนี้มืดสนิทจริงๆ ขนาดที่ว่าถึงจะมีไฟถนนที่ตั้งกันอยู่ห่างๆแล้ว ผมก็ยังคงแทบจะมองไม่เห็นทางเดินข้างหน้าได้ไกลเกินไปกว่าห้าเมตรเลย และถึงแม้จะมีไฟฉายแล้วก็ยังไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเท่าไหร่เลยด้วยซ้ำ
พวกเราคุยกันว่าพรุ่งนี้จะตื่นมาแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวจะออกไปไฮค์กันตั้งแต่เจ็ดโมงไม่เกินเจ็ดโมงครึ่งเพื่อหนีแสงแดด แต่ไอ้ซันกลับเรียกร้องว่ามันไม่อยากจะตื่นเช้าเกินไป เพราะถ้าอยากให้ร่างกายมีสภาพพร้อมเต็มที่แล้วล่ะก็ การตื่นเช้าเพื่อแหกขี้ตาไปไฮค์ล่ะก็คงไม่ใช่ความคิดที่ดีสำหรับมันแน่ๆ ดังนั้นเราจึงตัดสินใจเลื่อนเวลาออกไปเป็นสิบโมงเช้าแทน
“แต่แบบนั้นกว่าจะเริ่มเดินทางแดดมันจะแรงหน่อยนะครับ” พีพูดขึ้นเมื่อไอ้ซันเสนอเวลาที่มันอยากได้ “เพราะผมคิดว่าเราควรจะกินข้าวเช้ากันก่อน ไม่งั้นคงไม่มีแรงแน่ๆ”
“เรื่องแดดพี่ไม่กังวลอยู่แล้วว่ะ ทาครีมกันแดดเอาก็ได้ ใส่หมวก ใส่เสื้อแขนยาวอะไรเอาก็ได้ พี่ไม่ซีเรียสนะ พีกับไคล์ล่ะ อยากจะเลี่ยงแดดรึเปล่า กลัวดำ รึแพ้แดดอะไรมั๊ย” ไอ้ซันพูด ส่วนทั้งสองคนก็ส่ายหน้า “ก็นั่นน่ะสิ งั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาใช่มั๊ยล่ะ”
“นี่มึงไม่คิดจะถามกูมั่งเลยรึไง” ผมถาม
“ถามทำไม ถ้ามึงกลัวแดดมึงจะมาเป็นนักบาสเหรอวะ” ไอ้ซันหัวเราะเบาๆ
“คือ ที่ผมหมายถึงนี่ไม่ใช่เรื่องโดนแดดเผาหรอกครับ นั่นมันก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่เขาว่ากันก็คือเรื่องของการสูญเสียความชื้นในร่างกาย ขาดน้ำ หรือเรื่องเป็นลมแดดอะไรแบบนั้นน่ะครับ” พีพูด
“อืม.....” ไอ้ซันหันมามองผมอย่างใช้ความคิด จากนั้นก็หันกลับไปหาพีอีกครั้ง “แต่ถ้าเดินจริงๆยังไงๆมันก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงแดดได้อยู่แล้วนี่นะ ช่างมันเถอะ มัวแต่กังวลไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะถ้านอนไม่พอแล้วไปเดินทางไกลร้อนๆอย่างนั้นมันแย่ยิ่งกว่าเรื่องจะเกิดปัญหาเพราะแดดจริงรึเปล่าก็ไม่รู้นั่นเยอะเลยว่ะ ความเสี่ยงมันต่างกันเกินไป”
“ก็แล้วแต่มึงนั่นแหละ เพราะกูเองก็ยังไงก็ได้อยู่แล้ว” ผมพูด “และอีกอย่างนะ กูว่าเราสี่คนก็นักกีฬากันทั้งนั้น มันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเรื่องการดูแลควบคุมตัวเองหรือการต้องเสียเหงื่อใต้แสงแดดมากนักมั๊ง ขอแค่เตรียมตัวตอนก่อนไปกับระวังตัวตอนเดินให้ดีๆได้ก็คงโอเคแล้วล่ะ”
เป็นอันว่าบทสนทนาในเรื่องที่ควรกังวลก็จบลงเพียงเท่านั้น นอกจากนั้นตลอดทางเดินที่เหลือเราก็คุยกันเรื่องของอาหารที่เราควรจะเตรียมไป โดยเน้นที่พวกแป้งและของเค็มๆ น้ำเปล่าและน้ำเกลือแร่ รวมทั้งอาหารกลางวันด้วย จนเมื่อเราเดินมาถึงยังป้ายรถบัส เราทั้งสี่คนก็เดินไปชะโงกดูวิวตรงจุดที่เราเคยดูเมื่อตอนกลางวันทันที แต่น่าเสียดายที่เรามองอะไรไม่เห็นเลยนอกจากความมืดและแสงจุดเล็กๆสองสามจุดข้างล่างลิบๆเท่านั้น พีบอกว่านั่นก็คงเป็นคนที่กำลังไฮค์กลับขึ้นมานั่นเอง
“ถ้าพรุ่งนี้เราเริ่มออกเดินกันเวลาประมาณนั้น เราก็ควรจะพกไฟฉายไปด้วยเหมือนกันครับ” พีย้ำ
หลังจากที่เดินเล่นรอบๆนั้นดื่มด่ำกับความหนาวเย็นของอากาศ ความเงียบสงบที่ไร้ผู้คน และความงดงามของดวงดาวดาษดื่นบนท้องฟ้ากันอยู่สักพัก ผมก็สังเกตเห็นคนสามคนกำลังเดินตรงมายังป้ายรถบัส เมื่อเขาเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงเห็นได้ชัดมากขึ้นว่าพวกเขาเป็นผู้ชายสามคน เป็นคนดำสองคน คนขาวหนึ่งคน แต่ที่น่ากังวลใจก็คือพวกเขาดูไม่ปกติอย่างที่สุด ทั้งท่าทางการเดินและบุคลิกมันดูแปลกๆจริงๆ จนเมื่อเขาเข้ามาใกล้มากขึ้นจนอยู่ตรงแสงไฟผมจึงรู้ว่าทั้งสามคนกำลังเมาอยู่นั่นเอง
คนดำหนึ่งในสองคนนั้นตัวใหญ่มาก ดูแล้วน่าจะสูงราวๆเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตรได้ ซึ่งถ้าพูดจริงๆแล้วก็ดูตัวสูงกว่าไคล์ไม่เท่าไหร่เพราะไคล์ก็สูงเกือบถึงร้อยแปดสิบห้าแล้ว แต่ว่าเขาตัวหนาและล่ำกว่าไคล์มาก หรือถ้าพูดให้ชัดก็คือหมอนี่มันก็ยักษ์ดีๆนี่เอง และนอกจากนั้นเจ้าตัวก็ยังดูท่าจะเมามากกว่าใครเพื่อนด้วยเพราะพูดจาโหวกเหวกเสียงดังมากที่สุด คนดำอีกคนตัวเล็กกว่าอีกคนเยอะ ดูๆแล้วน่าจะตัวพอๆกับผมเท่านั้น ส่วนคนขาวที่ใส่หมวกพนักงานอยู่ด้วยนั้นเป็นคนที่ดูท่าทางจะสงบกว่าอีกสองคนอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าเขาก็กลับดูมีหน้าตาน่ากลัวมากกว่าคนดำสองคนนั้นเสียอีก เขาดูอ้วนๆตัวใหญ่ๆ แต่ดูแล้วน่าจะสูงพอๆกับไคล์หรือราวๆร้อยแปดสิบต้นๆเท่านั้น
“ไอ้พวกเหี้ยนี่มันอะไรวะ” ซันพูดขึ้นหลังจากที่สามคนนั้นนั่งอยู่ตรงป้ายหยุดรถ
“มีหมวกพนักงานด้วยนะครับ พนักงานของที่นี่เหรอเนี่ย พีคุ้นหน้ารึเปล่า” ไคล์หันไปถามพี
พีมองหน้าสามคนนั้นพักหนึ่งก่อนจะหันกลับมาหาพวกเรา “คิดว่าไม่นะครับ ผมคุ้นก็แต่คนที่ตัวใหญ่ๆนั่น...... แต่ก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่” เขาก้มหน้าทำท่าเหมือนใช้ความคิด ผมจึงต้องรีบตัดบท
“อย่าไปสนใจเลย” ผมพูดขัดขึ้น “ไม่ต้องมอง ไม่ต้องไปสนใจ ไม่ใช่เรื่องของเราหรอก ไปมองมันมากๆ เดี๋ยวมันก็มาหาเรื่องเข้าให้หรอก”
“หืมมม มึงกลัวเหรออออ” ไอ้ซันทำเสียงล้อพร้อมทั้งหยิกแก้มผมเบาๆ
“เออออ กูกลัว กลัวว่ามันจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นน่ะสิ แต่ไม่ได้กลัวพวกแม่งสามคนนั่นหรอก กูแค่ไม่อยากทำตัวเองให้ไปอยู่ในเรื่องเหี้ยๆ โดยเฉพาะกูเป็นห่วงพีแล้วก็ไคล์ด้วย กูไม่อยากให้น้องสองคนต้องเจอปัญหา เข้าใจ๋”
“แล้วมึงไม่ห่วงกูมั่งเลยรึไง” ไอ้ซันถาม แกล้งทำเสียงน้อยใจอีกแล้ว
“ม่ายเลยยย ตัวยังกะควาย น่าจะดูแลตัวเองได้หรอกมึงน่ะ ทีเมื่อกี๊มึงยังไม่เห็นจะห่วงเรื่องกูโดนแดดมั่ง” ผมหยิกแก้มมันคืนบ้าง เราสี่คนหัวเราะขึ้นพร้อมๆกัน
เมื่อเราหยุดล้อเล่นกันแล้วผมก็ใช้หางตามองเห็นว่าทั้งสามคนนั้นก็กำลังมองมาที่เราอยู่เหมือนกัน แถมยังทำท่าคุยซุบซิบๆอะไรกันอีกด้วย แต่ผมก็ไม่ได้สนใจมากนัก เพราะว่ามันก็คงเป็นเรื่องปกติสำหรับเขาที่จะสงสัยหรือสนใจพวกเราที่กำลังคุยกันอยู่ในภาษาอื่นที่เขาไม่รู้จัก
“อ้าวนั่น รถมาแล้วครับ” ไคล์พูดขึ้น
เรารอให้รถเข้ามาจอดจนเกือบจะสนิทก่อนจากนั้นจึงหันไปโบกมือลาไคล์กับพี
“เดินกลับดีๆล่ะ ไคล์ดูแลพีด้วยนะ” ไอ้ซันพูดพลางหัวเราะเบาๆ
“กลับดีๆนะทั้งคู่ พีดูแลไคล์ด้วยนะครับ” ผมพูดขึ้นบ้าง แล้วก็เรียกเสียงหัวเราะออกมาได้อีกครั้ง
เมื่อรถบัสจอดสนิทและเปิดประตูรับพวกเราแล้ว ผมกับไอ้ซันจึงเดินขึ้นรถไป และรวมถึงสามคนนั่นด้วย แต่ผมกับซันนั่งอยู่ที่นั่งเบาะหน้าเกือบจะติดกับคนขับ ในขณะที่สามคนนั้นนั่งอยู่เบาะแถวหลังสุด และบนรถก็ไม่มีผู้โดยสารคนอื่นอยู่อีกเลย บอกตามตรงแล้วผมก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเกี่ยวกับสามคนนั่นเท่าไหร่นัก เพราะอะไรบางอย่างในตัวผมมันคอยเตือนเอาไว้อยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อคิดดูดีๆแล้วผมก็คงจะคิดมากเกินไปเอง พวกนั้นก็คงเป็นแค่พนักงานที่ทำงานของที่นี่และกำลังจะกลับบ้านนั่นแหละ เขาคงไม่โง่พอจะทำอะไรบ้าๆกับแขกของบริษัทที่เขาทำงานให้หรอก
“ดูท่าทางจะไม่ใช่แค่กูกับมึงซะแล้วนะ ที่ถูกลิขิตให้เกิดมาคู่กันน่ะ” ไอ้ซันพูดขึ้นขณะที่เรานั่งเงียบกันอยู่บนรถได้สักพักหนึ่ง
“ไหนมึงบอกว่ามึงไม่เชื่อเรื่องถูกลิขิตมาอะไรนั่นไง”
“ใช่ แต่กูบอกแล้วไงว่ากูเชื่อว่าคนเรามาเจอกันก็เพราะเหตุผล กูเชื่อในสิ่งที่กูลิขิตเอาเอง อย่างเช่นตอนนี้และเมื่อก่อนที่ทั้งมึงและกูต่างก็ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อแสดงออกถึงความรักและเพื่อประคับประคองความสัมพันธ์ของเราเอาไว้ให้ได้มากที่สุด แต่การที่กูกับมึงได้มาเจอกันตั้งแต่แรกนั่นแหละที่กูหมายถึงว่าเรา ‘ถูกลิขิต’ มาให้คู่กัน เพราะว่าอีกอย่างนึงนะ อย่างน้อยๆถ้าจะบอกว่ากูไม่รู้สึกอะไรเลยกับเรื่องที่ชื่อของกูกับมึงคือท้องฟ้ากับก้อนเมฆล่ะก็ กูก็คงโกหกว่ะ เพราะเรื่องนี้ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้กูรู้สึกผูกพันกับมึงมากและไม่คิดจะตัดใจไปจากมึงง่ายๆ และที่สำคัญ มันยังทำให้กูคิดว่ามึงเองก็คงต้องรู้สึกเช่นเดียวกับกูด้วยเช่นกัน ใช่มั๊ย”
ผมหันไปยิ้มให้กับมันพร้อมกับพยักหน้า “ใช่แล้ว และไม่ใช่แค่ชื่อเท่านั้นนะ สำหรับกูแล้วมันเป็นทั้งนิสัยของเราสองคนด้วยจริงๆว่ะ กูว่าเรื่องนี้มันก็แปลกดี แต่ก็อย่างที่มึงพูดนั่นแหละ กูรู้สึกว่าเราสองคนมีสายใยบางอย่างเชื่อมโยงกันเอาไว้นะ แต่ว่าแค่นั้นมันก็คงไม่พอถ้าเราไม่แสดงออกหรือไม่พยายามอะไรเลย”
“พูดดีมากกกก” ไอ้ซันหันมาหยิกแก้มผมเบาๆ “จริงๆแล้วกูเองก็กังวลเรื่องที่กูพูดไปวันนี้เหมือนกันนะ ไม่รู้ว่ะ กูรู้สึกว่าพีมันเจออะไรมาเยอะจริงๆ และกูคิดว่าถ้าเกิดคนๆนั้นกลายเป็นกูขึ้นมาล่ะ........ ถ้าเกิดกลายเป็นกูที่ต้องเจอเรื่องๆเดียวกับเขา กูยังจะทำได้อย่างที่ปากกูพูดรึเปล่า และที่สำคัญคือ กูไม่แม้แต่มั่นใจแล้วด้วยซ้ำว่าสิ่งที่กูพูดไปนั้นมันถูกต้องและเป็นความจริง” ไอ้ซันพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงกังวลและเหยียดแขนออกมาโอบบ่าของผมไว้
ผมได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากสามคนทางด้านหลังทันที แต่ผมไม่สนใจ และก็ไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าเขาหัวเราะผมสองคนรึเปล่า เพราะคนเมาก็ดูเหมือนมันจะหัวเราะไปได้เรื่อยกับทุกอย่างนั่นแหละ
“กูไม่อยากจะคิดเลย.......... ว่าถ้าสักวันหนึ่ง กูเกิดต้องสูญเสียมึงไปแบบที่พีเคยสูญเสีย กูจะเป็นยังไง” ไอ้ซันพูดออกมาด้วยความไม่สบายใจจากเบื้องลึกของจิตใจจริงๆ
“กูเองก็เหมือนกัน ซัน แต่เราก็ไม่ควรไปมองอะไรให้มันอยู่แต่ในแง่ร้ายอย่างนั้นสิ ใช่มั๊ยล่ะ มึงก็พูดเองไม่ใช่เหรอ” ผมตบบ่าของมันเบาๆ
“เออ เรื่องนั้นกูก็รู้ มันก็เป็นแค่ความกลัวน่ะนะ........ แต่ก็อย่างที่บอก ไอ้ที่กูพูดกับพีไปแบบนั้นน่ะ มันจะถูกต้องรึเปล่าก็ไม่รู้” มันถอนหายใจ
“มึงทำดีแล้วซัน เชื่อกูเถอะ........ สิ่งที่มึงพูดน่ะถูกต้องทุกอย่างแล้ว กูเองก็กังวลเหมือนๆที่มึงคิดนั่นแหละ แต่พอคิดไปคิดมาแล้ว กูว่านั่นมันก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้แล้วว่ะ เขาไม่สามารถมีชีวิตอยู่ตัวคนเดียวแบบนั้นได้อีกต่อไปแล้วหรอก.......”
“ใช่.......” ไอ้ซันเงียบไปพักหนึ่ง “แต่มึงรู้มั๊ยว่าตอนนี้กูกำลังกังวลและรู้สึกรำคาญใจเรื่องอะไรมากที่สุด”
“อะไรวะ”
“เรื่องไอ้เหี้ยสามคนข้างหลังนั่นน่ะสิ มึงเองก็ได้ยินที่มันคุยกันกับที่มันหัวเราะเมื่อกี๊แล้วนี่”
“กูได้ยินที่มันหัวเราะ แต่กูไม่ได้ยินที่มันพูดกันว่ะ มึงได้ยินเหรอวะ มันว่าไงอ่ะ”
“กูได้ยินตั้งแต่ตอนก่อนเราจะขึ้นรถแล้ว แต่กูก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่หรอกนะ ไอ้เรื่องที่พวกแม่งพูดน่ะช่างมันเหอะ แต่ที่แน่ๆคือกูไม่พอใจเลยสักนิดเดียวจริงๆ” ไอ้ซันทำท่าทางไม่พอใจ
“กูเองก็เหมือนกัน จริงๆปกติแล้วกูก็ไม่ได้ชอบคิดชอบกังวลอะไรมากเกินไปหรอกนะ แต่กูมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ค่อยดีจริงๆว่ะ” ผมหันข้ามไหล่ไปมองยังสามคนนั้น และก็เป็นอย่างที่ผมคิด ไอ้ดำเล็กกับดำใหญ่นั่นกำลังมองมาที่พวกเราและยังหัวเราะกันอยู่ด้วย ส่วนคนขาวนั่นก็กำลังมองพวกเราอยู่ด้วยหางตาด้วยเช่นกัน “เอางี้ดีมั๊ย....... กูว่าเราลงกันที่ป้ายไชรน์ ออฟ ดิ เอจเจส ดีกว่า ต้องเดินนิดหน่อย แต่มันก็จะได้สลัดไอ้พวกเหี้ยนี่ออกไปได้ด้วยไง”
ป้ายไชรน์ ออฟ ดิ เอจเจส เป็นป้ายหยุดรถที่เราสามารถลงเพื่อไปยังยาวาพาย คาเฟทีเรีย ที่ทำการไปรษณีย์ ลานจอดรถ ธนาคาร และ เจเนอรัล สโตร์ หรือที่ถูกเรียกรวมๆกันทั้งหมดว่า มาร์เก็ตพลาซ่า ได้โดยที่เราไม่ต้องนั่งรถวนไปจอดป้ายอื่นก่อนอีกสามถึงสี่ป้าย ซึ่งพีเคยบอกเราว่าส่วนมากแล้วพนักงานที่เวลารีบและไม่อยากจะเสียเวลานั่งรถอ้อม ก็จะลงที่ป้ายนี้แล้วกึ่งเดินกิ่งวิ่งเอา เพราะระยะทางมันก็แค่ประมาณครึ่งไมล์และใช้เวลาเดินแค่ประมาณสิบนาทีไม่เกินสิบห้านาทีเท่านั้น ถ้าจะว่าไปมันก็แทบไม่ต่างกับเวลาที่รถใช้ขับวนไปจอดป้ายอื่นๆเลย เพียงแต่ว่ามันรู้สึกดีกว่าถ้าเราได้ออกมาเดินหรือวิ่งเพื่อควบคุมเวลาด้วยตัวเองเท่านั้น
“หมายความว่ายังไงวะ” ไอ้ซันถาม
“ก็กูรู้มาว่าที่พักของพวกพนักงานน่ะ มันลงป้ายก่อนที่จะถึงป้ายมาร์เก็ตพลาซ่าไง หรืออาจจะลงที่ป้ายเดียวกับเราก็ได้ เพราะงั้นถ้าเราอยากจะสลัดพวกนั้น เราก็ลงที่ป้ายที่กูบอกแล้วเดินเอา อีกอย่างนะ กูรู้สึกอยากเดินด้วยว่ะ อากาศดีออก มืดๆเงียบๆ เดินดูดาวกับมึงสองคน มึงไม่สนเหรอ” ผมยิ้มกว้าง พยายามเพื่อปกปิดสิ่งที่ผมกังวลเอาไว้ให้ดีที่สุด
“ถ้ามึงว่าอย่างนั้นก็แล้วแต่มึงก็แล้วกัน......” ไอ้ซันตอบหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แต่ถ้าพวกแม่งเกิดมาลงป้ายเดียวกับเราด้วยล่ะก็........”
ใช่แล้ว นั่นล่ะคือสิ่งที่ผมกังวลอยู่ และผมก็ทั้งคิดและหวังว่ามันจะเป็นอะไรที่ผมแค่คิดมากเกินไปเองก็เท่านั้น “ก็แปลว่าพวกมันตามเรามาและก็คงต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ.......... เฮ้ย แต่มึงคิดมากไปมั๊ง คงไม่มีอะไรหรอก”