❀ Moon's Embrace : บทที่ 16 ... ครบ ❀
เสียงคลื่นซัดสาดกระทบฝั่งดังคลอเคลียไปพร้อมกับเสียงฝีเท้าของอาชาตัวใหญ่ ซึ่งกำลังวิ่งเรียบๆ ไปบนหาดทรายขาวละเอียด
อู่ลี่จินนั่งอยู่บนหลังม้า เพราะขี่เร็วเกินไป มือเรียวจึงต้องเกาะไว้ที่ข้างเอวของคนด้านหน้าด้วยความกลัวจะพลัดตก ซึ่งสัมผัสเกร็งๆ จากคนที่ซ้อนทำให้ใบหน้าคมสันแอบยกมุมปากขึ้นอย่างเงียบๆ แต่กระนั้นก็ยังคงเร่งฝีเท้าให้ม้าวิ่งไปในจังหวะเดิม
พอนานเข้า ในที่สุดลี่จินก็เริ่มชิน...นัยน์ตางดงามเป็นประกายจึงกวาดมองไปรอบๆ
อย่างที่เคยได้ยินว่าทางทิศใต้ของเมืองหู่นั้นติดกับมหาสมุทร ซึ่งหมอหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางป่าเขาก็เพิ่งจะเคยเห็นน่านน้ำสีฟ้าครามอันกว้างใหญ่ตระการตาเช่นนี้เป็นครั้งแรก
ทั้งงดงามและลึกลับ แต่กลับชวนให้ค้นหาว่าปลายขอบสมุทรนั้น จะมีสิ่งใดซ่อนอยู่
ลมสมุทรพัดกลิ่นอายเค็มๆ ของสายน้ำสีฟ้าขึ้นมาเจือจาง ขณะที่เงาของพระอาทิตย์ซึ่งสะท้อนอยู่บนผืนน้ำกลับเปล่งประกายอย่างสวยสด รู้สึกตัวอีกทีก็เผลอมองจนเพลิน จนกระทั่งน้ำเสียงนุ่มทุ้มจากคนด้านหน้าเอ่ยทักขึ้นมา
“เพิ่งเคยเห็นทะเลครั้งแรกหรือ”
“ตั้งแต่เด็กข้าเติบโตขึ้นท่ามกลางป่า พอโตมาก็สอบแพทย์หลวงเข้าเมือง ข้าจะมีโอกาสเห็นมันได้อย่างไร” หมอหนุ่มกล่าวเสียงอ่อน ไป่หานแอบเหล่สายตามองคนด้านหลังเล็กน้อย นับได้ว่านี่เป็นครั้งแรกเช่นกันที่หมอคนงามยอมปริปากเล่าเรื่องของตนเอง
“ที่ป้อมปราการนั่น สร้างไว้ตั้งแต่เมื่อใด”
อยู่ๆ ลี่จินก็เอ่ยถามเรื่องที่ไม่คาดคิด ดวงตาคมกริบแอบปรายมองคนด้านหลังคล้ายกับลังเล แต่สุดท้ายก็ให้คำตอบ
“ตั้งแต่เมื่อห้าเดือนที่แล้ว”
“ท่านควรผลัดเปลี่ยนทหารที่นั่นบ้าง” ลี่จินเสนอขึ้น ไป่หานกระตุกให้ม้าเริ่มชะลอความเร็วลงก่อนจะเอ่ย
“ข้าพูดแล้ว แต่หวงเหวินเป็นคนจำพวกดื้อเงียบ ใช่ว่าจะยอมฟังคำสั่งใครง่ายๆ และคำตอบที่ข้าได้รับคือพวกเขาส่วนมากยินดีที่จะอยู่ที่นั่นเอง เพื่อปกป้องเมืองหู่”
คำตอบนั่นทำให้อู่ลี่จินไม่เอ่ยถามเรื่องอันใดขึ้นมาอีก เขานั่งเงียบๆ จนกระทั่งคนด้านหลังดึงบังเหียนบังคับให้ม้าหยุด
ไป่หานกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ‘ถึงแล้ว’ จากนั้นก็บังคับให้เขาลง แล้วเดินไปผูกม้ากับต้นไม้ใหญ่บริเวณนั้น ส่วนคนที่ก้าวเดินตามแผ่นหลังกว้างก็ได้แต่มองไปรอบๆ อย่างสงสัย
“นี่คือ...”
บริเวณนี้เป็นเนินเตี้ยๆ ที่ราดลงไปยังหาดทรายขาวละเอียด ด้านขวามือติดกันนั้นมีโขดหินโสโครกขึ้นเป็นแนวตะปุ่มตะป่ำราวกับกำแพงหิน ขณะที่สุดสายตาเขาเห็นควันไฟจางๆ ค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนฟ้า พอหรี่ตาลงสังเกตก็เห็นกระท่อมไม้หลังเล็กๆ ริมชายหาด
“พี่ใหญ่!! พี่ใหญ่!!”
ยังไม่ทันที่ไป่หานจะได้ตอบสิ่งใด เสียงเจื้อยแจ้วก็พลันตะโกนออกมาจากทางด้านหลัง ลี่จินรีบหันไป เด็กน้อยชายหญิงสองคนกำลังวิ่งพุ่งเข้ามา พร้อมรอยยิ้มแย้มอย่างน่ารักน่าชัง ซึ่งดูเหมือนจะส่งต่อให้คนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
ซุนไป่หานรีบย่อตัวลง ไม่ช้าเด็กหญิงก็โผเข้าสู่อ้อมอกแกร่ง
“ว่าไงเจ้าตัวน้อย...ชิงลี่ ชิงเทียน พวกเจ้าเป็นอย่างไรกันบ้าง”
ไม่ว่าเปล่าไป่หานอุ้มชิงลี่ขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนพลางลูบศีรษะด้วยความเอ็นดู หากแต่เจ้าตัวเล็กกลับมุ่ยหน้าใส่
“หึ...พี่ใหญ่ไม่ต้องมาถามข้าเลยนะ หมู่นี้พี่ใหญ่ไม่มาเล่นกับข้าเลย คิดว่าจะทิ้งชิงลี่ไปซะแล้ว”
“ข้าขอโทษนะชิงลี่ แต่ตอนนี้พี่ใหญ่กลับมาแล้ว จะมาเล่นกับเจ้าทุกวันเลยดีหรือไม่”
“แค่เล่นไม่พอต้องให้ชิงลี่เป็นฮูหยินบ้านพี่ใหญ่ด้วย”
“แน่นอน!”
“ว่าแต่...ท่านเป็นใครน่ะ”
กำลังมององค์รักหนุ่มกับเด็กน้อยคุยกันเพลินๆ เสียงหนึ่งก็เรียกนัยน์ตาคู่สวยให้มาสนใจ
ชิงเทียนมองคนในชุดสีเขียวครามตาปริบๆ ถึงใบหน้าและท่าทางดูจะไม่ใช่คนเลว แต่น้อยครั้งนักที่พี่ใหญ่อย่างใต้เท้าซุนจะพาใครมาที่นี่ด้วย เด็กชายจึงเอียงคอถามอย่างสงสัย
“ข้าแซ่อู่ชื่อว่าลี่จิน เป็นหมอน่ะ”
“หมอหรือ เช่นนั้นท่านจะมาดูอาการป่วยของแม่ข้าใช่ไหม”
ไม่รู้ว่าเผลอตอบอะไรเข้า ท่าทางของเด็กชายถึงได้ดูตื่นตกใจที่รู้เขาเป็นแพทย์ แต่สุดท้ายก็ได้แต่พยักใบหน้า ชิงเทียนตาโต ก่อนจะชะเง้อคอตะโกนบอกน้องสาวตัวน้อยที่ถูกอุ้มอยู่ด้านหลัง
“ข้าจะรีบไปบอกท่านแม่ว่าพี่ใหญ่พาหมอมา ชิงลี่ไปกันเร็ว”
ได้ยินกระนั้นไป่หานจึงปล่อยเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนลง ชิงลี่ยิ้มร่าก่อนจะรีบวิ่งตามพี่ชายของตนเองไปที่กระท่อมริมหาด
อู่ลี่จินมองตามพวกเขาพลางอมยิ้ม ถึงจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้เจ้าตัวน้อยพวกนั้นดีใจเมื่อรู้ว่าเขาเป็นหมอ แต่ภาพสองพี่น้องที่รักกัน ดูแลซึ่งกันเช่นนี้ช่างอบอุ่นในหัวใจของลี่จินนัก จะว่าไป...เขาก็แอบได้ยินชิงลี่เรียกคนแถวนี้เหมือนครอบครัวด้วย
“พวกเขาเป็นญาติของท่านหรือ เห็นเรียกท่านว่าพี่ใหญ่”
ปรายสายตามองคนตัวโตที่ยืนอยู่ด้านหลังเล็กน้อยอย่างขันๆ ใบหน้าหล่อเหลารีบเบือนหนี ก่อนจะกระแอมเสียงไอกลบเกลื่อน
“เรื่องนั้นสำคัญด้วยหรือ”
ว่าจบก็ย่ำเท้าพรวดพราดนำหน้าไป หนำซ้ำไม่ถามสักคำว่าต้องการให้เขาไปด้วยหรือไม่ แต่ลี่จินรู้คำตอบดี หมอคนงามจึงได้แต่อมยิ้มขำขันเดินตามองครักษ์มาดขรึมไปเงียบๆ
♦♦♦♦♦
“ท่านหมอแม่ข้าอาการเป็นอย่างไรบ้าง”
หลังจากที่ตามซุนไป่หานมายังกระท่อมริมหาด อู่ลี่จินก็เข้าใจความหมายว่าเหตุใดสองพี่น้องผู้นี้ถึงได้ดูดีใจนักที่มีหมอมาเยี่ยมเยือน
บนฟูกเก่าๆ สตรีนางหนึ่งกำลังนอนจับไข้ ใบหน้าที่มีริ้วรอยซึ่งน่าจะผ่านช่วงชีวิตมามากกว่าครึ่งซูบโทรมเสียจนน่าประหวั่นในอก แต่กระนั้นนางก็ยังคงฝืนยิ้มเพื่อให้ลูกชายและลูกสาวที่เฝ้าดูข้างๆ ไม่ต้องเป็นห่วง
ทว่าหลังจากตรวจชีพจรพร้อมกับสังเกตอาการของหญิงตรงหน้าแล้ว…
หมอแซ่อู่กลับยิ่งรู้สึกแย่ และเมื่อได้สอบถามนางสองสามประโยคก็พอจะสรุปได้ว่าแม่นางชิงเหม่ยป่วยเป็นโรคปอดชื้นเรื้อรัง ซึ่งยิ่งอยู่ใกล้ทะเลด้วยเช่นนี้ ยิ่งทำให้อาการทรุดหนักจนยากจะเยียวยา เขามองใบหน้าของเด็กหญิงตัวน้อยที่โพล่งถามเข้ามาอย่างไร้เดียงสา นัยน์ตากลมโตนั้นเป็นประกาย คงใจร้ายนักหากเขาทำลายความหวังในดวงตาคู่นั้นทิ้งไป
“แม่ของเจ้าแข็งแรงดี”
“จริงหรือท่านหมอ จริงๆ นะ”
“ใช่...ถ้าบำรุงสักหน่อย แม่เจ้าต้องดีขึ้นกว่าเก่าเป็นแน่”
ได้ยินกระนั้นเด็กหญิงถึงกับยิ้มเริงร่าด้วยความดีใจ จังหวะนั้นลี่จินจึงหันใบหน้าไปสบกับมารดาของชิงลี่ จากสายตาแล้วดูเหมือนนางจะเข้าใจว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องโกหก แต่นางก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เอาแต่อมยิ้มเศร้าๆ
เว้นเพียงเด็กน้อยชิงลี่ที่ไม่รู้เรื่องอันใด นางกลับวิ่งเข้าไปหาผู้เป็นมารดา พูดคุยเสียงเจื้อยแจ้ว
“ท่านแม่ได้ยินหรือไม่ ท่านหมอบอกว่าท่านจะดีขึ้น ท่านแม่จะหายแล้ว”
ประโยคนั่นยิ่งสร้างความสะท้านสะเทือนในอกของอู่ลี่จิน...หมอคนงามแอบก้มหน้าเล็กน้อย มือแอบกำหมัดเอาไว้ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร รู้แต่เพียงว่าภาพเช่นนี้ทำให้เขาปวดร้าวเข้าไปถึงทรวงราวกับความทรงจำในอดีตที่เคยลืมเลือนไปแล้วกำลังฉายย้ำเป็นข้อเตือนใจอยู่ในหัว
ทว่า...สุดท้ายกับเอ่ยระบายออกมาไม่ได้ เขาได้แต่นั่งตีสีหน้าราบเรียบมองภาพมารดากำลังโกหกลูกสาวอย่างเจ็บปวด
♦♦♦♦♦
กว่าจะก้าวเท้าออกมาอีกทีพระอาทิตย์ก็ใกล้ตกดิน จากตรงนี้ทอดมองยาวลงไปถึงทะเล จะเห็นน้ำทะเลกลายเป็นสีส้มทองดูงดงามนัก
หากแต่ความสวยงามของธรรมชาติเหล่านั้นกลับไม่ได้อยู่ในหัวของอู่ลี่จินเลยสักนิด ภายใต้นัยน์ตาเรียวงามยังคงเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยที่เก็บซ่อนเอาไว้ในส่วนลึก
เมื่อครู่...ทั้งๆ ที่รู้ดีแก่ใจว่าชิงเหม่ยมารดาของชิงลี่และชิงเทียนจะอยู่ได้อีกไม่นาน แต่ปากก็ยังพร่ำและย้ำถึงยาบำรุงด้วยรอยยิ้มที่ฝืดเคือง…จนเผลอคิดอคติกับตัวเองในแง่ลบว่าทำเช่นนี้ถูกต้องแล้วใช่หรือไม่…
ไม่...เป็นคำตอบที่ดังก้องอยู่ในใจ แต่ปากกลับหนักเกินกว่าที่จะพูดความจริง กลัวว่าจะทำให้เด็กน้อยทั้งสองเสียน้ำตา…
หมอแซ่อู่เดินหลบมานั่งพักที่ด้านหลัง มีต้นไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่น แต่เอนพิงตัวไปพักเดียวมือข้างซ้ายก็ถูกสะกิดเบาๆ ลี่จินหันไป ชิงเทียนคนพี่กำลังมองเขาด้วยสายตาก่ำกึ่งเหมือนจะร่ำไห้
“ท่านหมอ...ท่านไม่ได้พูดความจริงใช่หรือไม่”
พอถูกถามเข้าจริงๆ ก็เหมือนหัวใจหล่นตุบลงไปกองกับพื้น ลี่จินชะงักงัน เขาเม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างอัดอั้น ก่อนจะย่อตัวลงนั่งให้ความสูงอยู่ในระดับเดียวกันกับเด็กชาย เอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน
“เจ้าชื่อ...ชิงเทียนใช่หรือไม่”
เด็กชายพยักหน้า
“อายุกี่ขวบปีแล้ว”
“ปีนี้ย่างสิบขวบปีแล้ว”
ชิงเทียงตอบเขาอย่างฉะฉาน แต่ลี่จินกลับทำได้แค่ส่งรอยยิ้มเผื่อนๆ กลับไปอย่างกล้ำกลืน ดวงตาคู่สวยหลุบลงเล็กน้อย ลังเลที่กล่าวความจริงกับเด็กชายตรงหน้า แต่พอนึกดูดีๆ เมื่อเห็นใบหน้าของชิงเทียนแล้ว คงเป็นคนเลวนักหากยังกล่าวปดอยู่ ในที่สุดก็ตัดสินใจได้
“เช่นนั้นข้าจะเห็นว่าเจ้าโตพอที่จะฟังความจริง ข้าขอโทษที่โกหกน้องเจ้า...”
ทั้งที่คิดว่าเมื่อความจริงหลุดออกจากปาก ชิงเทียนจะมีท่าทีตกใจมากกว่านี้ แต่ไม่เลย...เด็กชายเพียงแค่ตีหน้าเศร้า ราวกับล่วงรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว
“ท่านแม่อยู่ได้อีกนานเท่าไร”
“อย่างช้าหนึ่งเดือน”
ความจริงบางครั้งก็เป็นสิ่งเจ็บปวด สีหน้าของเด็กชายเหมือนแทบจะกัดกั้นความเสียใจไว้แทบไม่ไหว จนสุดท้ายน้ำใสๆ ก็เริ่มรื้นขึ้นที่ขอบตา แต่น้ำเสียงก็ยังคงมีความหวัง ถึงรู้ว่าอีกไม่ช้าจะต้องพังทลาย
“แต่...ท่านเป็นหมอ อย่างไรก็ต้องมีวิธีรักษาท่านแม่ใช่หรือไม่”
ใบหน้างามส่ายเบาๆ แต่มันกลับชัดเจนพอที่เรียกน้ำตาของเด็กชายให้ไหลพรากลงมาจากดวงตา ขณะที่ลี่จินก็กลับปวดใจไม่แพ้กัน
“ข้าขอโทษที่ไม่เก่งกล้าและสามารถพอที่จะช่วยชีวิตท่านแม่ของเจ้าได้ ถ้าเจ้าจะโทษใคร ก็จงโทษข้าทุกเรื่องเถิด”
เขากัดริมฝีปากตัวเองจนเริ่มเจ็บ ถ้าเด็กน้อยตรงหน้าจะเกิดความเกลียดชังขึ้นมา คนที่สมควรจะรับความเกลียดนั้นไว้ก็ควรเป็นเขา อย่างน้อยก็ถือว่าได้ชดใช้ความผิดที่ตนไร้ความสามารถ
ทว่า...ชิงเทียนกลับส่ายใบหน้าทั้งน้ำตา
“ตะ...แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดท่านสักหน่อย...ที่จริง ข้ารู้อยู่แก่ใจดี ท่านแม่ป่วยเรื้อรังมาเป็นปีๆ ก่อนที่พวกเราจะอพยพมา นี่เป็นเพียงไม่กี่ครั้งที่มีหมอมารักษาแม่ข้าอย่างเต็มใจ พวกเขาล้วนรังเกียจพวกข้า เพราะข้าไม่มีสิ่งใดจะตอบแทน แต่ท่านช่วยเหลือท่านแม่ ข้าจะโทษท่านได้อย่างไร”
“...”
“ถึงท่านหมอจะช่วยไม่ได้ แต่..อึก อย่างน้อย แค่อยากให้ท่านหมอช่วยยื้อเวลาให้เราได้หรือไม่”
ได้ยินเด็กน้อยกล่าวถึงเช่นนี้แล้วใครไหนเลยจะกล้าใจร้ายปฏิเสธได้ลงคอ ขณะที่ภาพของเด็กชายที่กำลังร่ำไห้ร้องขอพร้อมกับเสียงสะอื้นและรอยน้ำตา นั่นก็ทำให้ริมขอบตาของอู่ลี่จินร้อนผะผ่าวไปด้วย
”ข้าสัญญา ข้าจะพยายามช่วยแม่เจ้าให้ได้”
‘เป็นหมอสำคัญที่สุดคือรักษาชีวิตคน’ เขาจะเป็นหมอได้อย่างไรหากแค่ยื้อชีวิตคนไข้เขายังทำไม่ได้
“ขอบพระคุณท่านหมอ ขอบพระคุณ” ชิงเทียนกล่าวอย่างดีใจทั้งคราบน้ำตา ลี่จินคลี่รอยยิ้ม พลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาให้เด็กน้อยอย่างอแผ่วเบา นี่คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่พอจะทำให้เด็กทั้งสองคนนี้ได้
สายลมยามเย็นโบกพัด กลิ่นอายของทะเลพัดโชยกรุ่น ขณะที่คลื่นน้ำกำลังม้วนวนเป็นเกลียวกลับคลายตัวราบเรียบก่อนกระทบฝั่งอย่างละมุน
เพราะซุนไป่ห่านชักชวนเขาให้มาเดินชมทะเลเพื่อผ่อนคลายก่อนกลับปราสาทเฮ่ยเซ่อ อู่ลี่จินจึงได้แต่เอามือไพล่หลังเดินเลียบๆ ริมชายหาดโดยไม่เอ่ยวาจาใดมานานกว่าครึ่งก้านธูป
ดวงตาคู่สวยหลุบลง เดินๆ มองเจ้าปูตัวน้อยที่กำลังวิ่งเฉียงๆ บนพรมทรายสีขาว ทว่าบรรยากาศอันแสนเพลิดใจเช่นนี้ กลับพลันให้เผลอนึกถึงตนเองในอดีต
ลี่จินมิอาจลบลืมภาพของชิงเทียนผู้พี่ซึ่งกำลังคุกเข่าร้องขอตนทั้งน้ำตานองหน้าได้ ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งเห็นใบหน้าที่ทับซ้อนกันระหว่างเขากับชิงเทียน
ทว่ากลับแตกต่างกันตรงที่เด็กน้อยอู่ลี่จินในตอนนั้น ไม่มีโอกาสแม้กระทั่งจะเอ่ยปากร้องความช่วยเหลือจากผู้ใด
กระทั่งเติบโต ถึงถานเซียงจะพูดกับเขาหลายครั้งว่าเป็นแค่เด็กแท้ๆ อย่าริอาจมาแบกความผิดเกินตัวไว้บนบ่า แต่ท้ายสุดก็หาได้ฟังไม่ จนเวลาผ่านเลยไปนานกว่าสิบปีก็ยังมิอาจยกโทษให้ตนเองได้ ราวกับในหัวถูกจองจำด้วยคำพูดของตนเองซ้ำๆ ว่า หากเขาเก่งกว่านี้ หากเขามีความสามารถมากกว่านี้คงช่วยชีวิตใครหลายคนได้
แต่แล้วเป็นอย่างไรเล่า เขามันคนไร้ความสามารถ สุดท้ายก็กลับไปจมปลักภาพเดิมๆ แค่เด็กตัวน้อยที่ทำอะไรไม่ได้
ลี่จินถอนหายใจ...แหงนใบหน้ามองฟากฟ้ายามเย็น เขาเบื่อตนเองที่เป็นเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าไม่มีประโยชน์อันใดนอกจากจะทำให้จิตใจหดหู่เสียเปล่า แต่ก็มิอาจหักห้ามให้รำพันได้
“ท่านน่าจะบอกเรื่องพวกเขากับข้าตั้งแต่วันแรก”
ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเป็นคนชวนมาแท้ๆ แต่ซุนไป่หานเอาแต่เดินตามเงียบๆ อยู่ด้านหลังมาตั้งนานแล้ว
พอเห็นเสี้ยวใบหน้างดงามหันกลับมาเอ่ยถาม องครักษ์หนุ่มก็สาวเท้าขึ้นมายืนอยู่ข้างๆ
“ต่อให้ข้าบอกเจ้าไป ก็ใช่ว่าข้าจะสามารถพาเจ้ามาที่นี่ได้เลย”
ลี่จินยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะก่อนหน้านั้น พวกเขาก็แทบเอาชีวิตไม่รอดเช่นกัน เพียงแต่...
“พวกเขาล้วนมีความสำคัญกับท่าน” นัยน์ตาคู่สวยหลุบลงอย่างเศร้าสร้อย “น่าเสียดายหากคนที่มาเมืองหู่ไม่ใช่ข้าแต่เป็นหมอเหลียงน่าจะช่วยอะไรได้มากกว่านี้”
รอยยิ้มฝืนๆ ยกขึ้นที่มุมปาก ไป่หานชะงัก เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสีหน้าของอู่ลี่จินโศกเศร้าเช่นนี้ ดวงตาเรียวงามเป็นประกายแต่กลับเก็บซ่อนความรู้สึกจนดูน่าอึดอัด ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายต้องเอ่ยเหมือนแบกความผิดไว้บนบ่าด้วย แต่หากเขาละเลยไปคงไม่ใช่เรื่องดี
“ลี่จิน...ที่ข้าพาเจ้ามาไม่ได้พามาเพื่อให้เจ้ารู้สึกผิดที่ช่วยพวกเขาไม่ได้” ลี่จินเม้มริมฝีปากลง กลั้นใจพูด
“ข้าแค่พูดตามจริง ว่าแท้จริงข้าไม่ใช่หมอที่เก่งกาจหรือมีความสามารถอย่างที่ท่านคาดหวัง ตัวข้าเป็นเพียงเด็กโง่เขลาและแข็งกระด้าง ไม่ได้เก่งกาจใดๆ”
“เจ้าไม่ใช่คนโง่เขลาอย่างที่เจ้าอ้าง”
ประโยคเพียงสั้นๆ แต่กลับเหมือนหัวใจได้รับดวงไฟเล็กๆ มาผิงให้อุ่นละมุนขึ้น ไป่หานเดินเข้าไปใกล้ เวลานี้มีเพียงภาพของหมอในชุดสีเขียวครามสะท้อนออกมาในแววตาขององครักษ์หนุ่ม
เขากล่าวด้วยเสียงจริงใจ
“ที่ข้าเห็นเมื่อครู่...มีเพียงหมอที่อ่อนโยนคนหนึ่งกำลังหาวิธีรักษาใจของเด็กน้อย”
“ด้วยคำโกหกน่ะหรือ”
ไป่หานส่ายหน้า
“คำโกหกบางครั้งก็เป็นยาที่ดีกว่าการเฉลยความจริง”
“...”
“สำหรับชิงลี่เด็กน้อยห้าขวบปี ย่อมชอบขนมมากกว่ายาที่มีรสขมจริง แต่ชิงเทียนเขาเป็นเด็กที่เข้มแข็งกว่าที่ตาเห็นนักถึงจะอายุแค่สิบขวบปี เจ้าถึงได้ยอมพูดความจริง”
“ท่านได้ยินหรือ...”
ซุนไป่หานไม่ตอบคำถามนั้น เขาทำเพียงมองใบหน้าอันงดงามของคนตรงหน้านิ่ง สบกับดวงตาแวววาวของอีกฝ่าย เอ่ยเสียงนุ่มทุ้มที่ฟังแล้วชวนอบอุ่นใจนัก
“เจ้า...ไม่ได้ทำสิ่งใดผิด เรื่องนี้ต้องโทษที่ข้าเองปล่อยปละละเลยพวกเขา จนมาช้าเกินไป”
วินาทีนี้มีเพียงดวงตาสองคู่ที่ประสานกัน คู่หนึ่งเป็นประกายวาววับ เต็มไปด้วยความรู้สึกอ่อนโยนและอบอุ่น ดึงดูดให้แววตาอีกคู่หนึ่งทั้งไหวระริก ทั้งร้อนผะผ่าว เหมือนจะรื้นออกมาเป็นหยาดน้ำตา ไม่เคย...ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะรับความปลอมประโลมดั่งใจหวัง
หัวใจของอู่ลี่จิรกำลังสั่นไหว
ความรู้สึกนี้เขาควรปิดบังมันไว้หรือไม่ หากเปิดเผยออกมาจะกลายเป็นคนอ่อนแอ เป็นแค่เด็กน้อยที่ทำสิ่งใดไม่ได้หรือไม่ ยามนี้อู่ลี่จินเป็นประดุจกิ่งไม้เปราะบางซึ่งกำลังค้ำหินก้อนใหญ่ไม่ให้โหมทับลงมา ทั้งๆ ที่มันยากจะทนไหว
“เจ้าไม่ควรต้องมาแบกรับแทนข้า” ทว่า...ทันทีที่มือคู่นั้นวางไว้บนบ่า...หินก้อนใหญ่กลับถล่มลงมาอย่างง่ายดาย มิอาจกัดกลั้นความอ่อนแอของตนเองให้กลั้นรื้อมาที่ริมขอบตาได้
เขาลืมไปแล้วว่าเคยร้องไห้...สิ่งนี้คือน้ำตาไหลที่อาบลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน ราวกับเกรงกลัวจะไม่มีโอกาสได้ไหลลงมาอีก
“ข้า….ข้าแค่อยากช่วยพวกเขา อึก ยิ่งเห็นภาพเช่นนี้มันก็ยิ่งทำให้ข้านึกถึงตัวเอง ข้าไม่อยากหันหลังให้ใครโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่าง ข้ามันไม่เอาไหน”
เสียงสะอึกสะอื้นยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ถึงจะไม่ทราบอดีตของคนตรงหน้าว่าเป็นเช่นไร แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าเรื่องนี้จะทำให้อู่ลี่จินที่มักเก็บซ่อนความรู้สึกของตนเองประดุจน้ำแข็ง กลับพังทลายและไหลทะลักออกมาอย่างฟูมฟาย
น้ำตาหยดแล้วหยดเล่ากลืนไปกับผืนทราย ขณะที่เสียงสะอื้นหายกลืนไปกับเสียงคลื่น เขาบีบไหล่คนตรงหน้าเบาๆ
“ลี่จิน...ถึงเจ้าจะเป็นหมอ แต่ใช่ว่าเจ้าจะดึงชีวิตทุกคนมากจากความตายได้ เจ้าไม่ควรแบกความรู้สึกเช่นนั้นไว้กับตนเอง...”
สิ้นเสียง ซุนไป่หานก็ค่อยๆ ช้อนปลายคางคนร่ำไห้ให้มาสบดวงตาตนเองชัดๆ เขาคลี่ยิ้ม มืออันอบอุ่นยกขึ้นปาดน้ำตาที่กำลังเปรอะเปื้อนออกจากใบหน้าสวยงามนั่นอย่างทะนุถนอม
“อย่าร้องอีกเลย เจ้าเป็นน้ำแข็งพันปีอู่ลี่จินมิใช่หรือ...”
สุดท้ายก็พ่ายแพ้แล้ว...พ่ายแพ้หมดทุกอย่าง แม้จะเป็นคำปลอบประโลมอันน่าขัน แต่กลับเป็นประดุจเวทมนตร์ที่เสกสรรให้น้ำตาที่กำลังกลั่นรื้อนั่นหยุดไหลลงได้
อู่ลี่จินมองซุนไป่หานที่กำลังคลี่ยิ้มอ่อนโยน ปล่อยให้มือที่เช็ดคราบน้ำตานั่นยังคงคลอเคลียอยู่ที่ข้างแก้มนุ่ม
ช่วงเวลานั้นเหมือนทุกสรรพสิ่งปิดเสียงให้ไร้ซึ่งการคัดค้านใดๆ
มีเพียงสองสายตาที่สบกัน…
จังหวะสุดท้ายที่รู้สึกตัว คือสายลมที่พัดวูบเข้ามาจนหมวกแพทย์ปลิวออกไปจากศีรษะ พานให้เส้นผมสีดำสยายลงมา ทว่ากลับเป็นอีกครั้งที่ผู้รับนั้นเป็นบุรุษตรงหน้า
“หมวกเจ้าปลิวอีกแล้ว...”
หมวกแพทย์อยู่ในอุ้งมือของบุรุษอันกล้าแกร่ง แต่ไม่ทันจะได้รับมา มันก็ถูกชักกลับออกไป
“เก็บไว้ที่ข้าเถิดประเดี๋ยวจะปลิวอีก”
น่าแปลกที่ทั้งน้ำเสียงและแววตากลับทำให้เขาปฏิเสธคนตรงหน้าไม่ได้เลยสักนิด ทั้งๆ ที่หมวกแพทย์ก็เป็นของสำคัญที่คนเป็นหมอแห่งราชสำนักจะขาดไม่ได้ ราวกับว่าเขาอุ่นใจถ้าคนตรงหน้าเป็นคนรักษามันไว้
“เย็นแล้วกลับกันเถิด”
เสียงนกร้องบ่งบอกเวลา เส้นผมยาวสลวยที่ซึ่งการปกคลุมพลิ้วสลายไปตามลมทะเล อู่ลี่จินรีบพลิกตัวหันหลังพลางแอบสูดหายใจเข้าลึก ไม่เข้าใจว่าทำไมก้อนเนื้อใต้แผ่นอกนี้ถึงได้เต้นรัวเร็วจนเกินไปนักยามสบสายตาอบอุ่นคู่นั้น
ซุนไป่หานมองภาพแผ่นหลังค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ ทว่าท้ายที่สุดก็กลับกรีดร้าวหัวใจตนเอง อดกลั้นไว้ไม่ได้อีกต่อไป...
“ลี่จิน...”
เสียงเรียกครั้งสุดท้ายดึงดูดพร้อมกับเรี่ยวแรงซึ่งตรงเข้ามาฉุดรั้งเอวคอดบางไว้ในวงแขน…
อู่ลี่จินชะงักงัน หัวใจเต้นระรัวราวกับจะคลุ้มคลั่ง ทั้งภาพที่ตาเห็น และสัมผัสทุกอย่างที่ได้รับ...ช่างพร่าเบลอและคุกรุ่นในเวลาเดียวกัน วินาทีนี้….มีเพียงริมฝีปากที่ประทับลงมา พร้อมกับรสสัมผัสของจุมพิตอันอุ่นร้อนที่ประเคนเข้ามาอย่างชัดเจน แต่น่าแปลก...ที่มันกลับหวานกล่อม...และค่อยๆ คลอเคลียไปตามจังหวะเดียวกันกับเกลียวคลื่นและผืนทราย
ทั้งอ้อมกอด
ทั้งจุมพิต
เสียงคลื่นลม
แสงอาทิตย์
และน้ำทะเล ราวกับทุกสรรพสิ่งกำลังหลอมรวมให้ร่างกายของคนที่หัวใจกำลังร่ำไห้นี้หลงลืมตัวตนอย่างหอมหวาน กระทั่งกลมกลืนกลายเป็นทรายที่เคียงคู่ทะเล
ภายใต้อ้อมแขนและจุมพิตแนบแน่นแทบกลืนกิน มีเพียงความรู้สึกหวาบหวามตรงขึ้นมาจากท้องน้อยไล่ขึ้นผ่านหัวใจที่เต้นระรัว ข้ามไปถึงสีหน้าที่แดงระเรื่อ
กว่ารู้ตัวว่าตกอยู่ในห้วงความหอมหวานจนเพ้อภพ ก็เมื่อสัมผัสหวานนุ่มอุ่นร้อนจากปลายลิ้นสอดแทรกเข้ามามากขึ้น นัยน์ตาคู่สวยเบิกโต มือเรียวยกขึ้นผลักคนที่เริ่มถล้ำลึก แต่กริยาที่ตอบสนองกลับตรงกันข้าม เมื่อซุนไป่หานกลับใช้มือรั้งต้นคอของเขาเอาไว้ พลางใช้อีกข้างประคองท้ายทอยไม่ให้หลีกหนี ก่อนมอบรสจูบที่อุ่นระอุจนแทบหลอมละลายได้ทุกสิ่งยิ่งกว่าเดิม...
รสจูบอุ่นหวาน…
อู่ลี่จินหลงลืมตัวตนไปแล้ว จากนี้มีเพียงภาพเงาของบุรุษเกี้ยวกายในอ้อมกอดของกันและกัน ภายใต้แสงอรุณสีส้มทองบนผืนธารา
♦♦♦♦♦♦♦♦♦