the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: the Second Chance :: ความหมายของหัวใจ (ตอนที่ 18 - 27 July)  (อ่าน 70497 ครั้ง)

ออฟไลน์ ROCKLOBSTER

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +141/-4
ไปลากไอ้พี่บอลมันมาเข้าเล้ากันพวกเรา :laugh3:

ออฟไลน์ cinquain

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-0
รอดูว่าเรื่องจะไปในทิศทางไหนต่อไปค่ะ

อยากได้หมอกมาเป็นน้องนะคะ เวลามีปัญหาอะไร
ถ้าได้คุยกันคงจะสบายใจขึ้นแน่ๆ

ออฟไลน์ 9nawKIHAE

  • ♥BJYX~
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
เย้ หนึ่งเลือกที่จะเดินหน้าต่อแล้ว
จะเป็นยังไงต่อน้า  :z2:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 15

วันอาทิตย์ ผมขับรถไปยังคอนโดด้วยความรู้สึกเบิกบานแบบที่ไม่ได้รู้สึกมาสักพักใหญ่แล้ว ที่จริงผมควรจะรู้สึกกังวลด้วยซ้ำ แต่หลังจากที่ผมได้เจอและคุยกับธีเมื่อวันศุกร์ ผมก็คิดได้ว่าผมไม่มีอะไรที่ต้องกังวลเลย อย่างน้อยๆ บรรยากาศระหว่างเราก็ยังเหมือนเดิม แถมเขายังเป็นคนเอ่ยปากชวนผมให้ไปที่คอนโดเพื่อทำอาหารกินด้วยตัวเองอีกต่างหาก นอกจากนั้นผมยังรู้สึกดีที่จะได้อยู่กับเขาตามลำพังอีกสักครั้งด้วย ผมหมายถึงการได้อยู่กันเงียบๆ ไม่มีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาและไม่ต้องอยู่ในสายตาใครน่ะนะ ผมว่าแบบนี้ดีกว่าการที่เราไปนั่งคุยกันในร้านอาหารที่คนพลุกพล่าน หรือตะโกนคุยกันในผับตั้งเยอะ แถมผมยังไม่ต้องห่วงว่าเราจะไปบังเอิญเจอคนที่เราไม่อยากเจอ จนต้องเผลอแสดงโชว์อะไรแบบครั้งที่แล้วอีกต่างหาก

แต่คิดๆ ดูอีกที การที่เราได้อยู่กันสองต่อสองแบบนี้ จะทำให้มีโอกาสเกิดเรื่องแบบเมื่อคืนวันเสาร์นั้นมากขึ้นหรือเปล่า

เมื่อไปถึงที่คอนโด ธีก็ลงมารอรับผมอยู่หน้าตึก หัวใจของผมเต้นแรงขึ้นทันทีที่เจอหน้าเขา เขาแต่งตัวด้วยเสื้อยืดสีขาวล้วนและกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลอ่อน ผมเผ้ายุ่งเหยิงเล็กน้อย ทำให้เขาดูหน้าเด็กและน่ารักยิ่งกว่าปกติเสียอีก ด้วยความที่เขาเป็นคนขาวอยู่แล้ว เสื้อยืดสีขาวบางๆ พอดีตัวก็ยิ่งทำให้เขาดูโดดเด่นมากขึ้นอีกเป็นกอง

“หิวมั้ย” เขาถามขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้างเป็นคำถามแรก

“นิดหน่อยครับ ทำเสร็จก็คงหิวพอดี”

“เยี่ยม แบบนี้ต้องแกล้งให้ทำช้าๆ จะได้หิวจัดๆ กินอะไรก็จะได้อร่อย” เขาหัวเราะ

“โห พี่ธีทำอะไรก็อร่อยเหอะ ผมมั่นใจ”

เขาหันมาเลิกคิ้วให้ผม “แน่ใจเหรอ แต่วันนี้ผมไม่ได้เป็นคนทำนะ หนึ่งนั่นแหละต้องเป็นคนทำ”

“อ้าว!”

“ไม่ต้องอ้าว ผมเตรียมของไว้หมดแล้ว แต่จะเป็นแค่คนสอนและให้หนึ่งลงมือทำทุกอย่างเองหมดเลย”

“เอ่ออ แล้วพี่จะไม่ช่วยผมหน่อยเหรอ มันจะกินได้มั้ยล่ะครับเนี่ย”

“กินได้สิ! ผมเชื่อมือหนึ่งอยู่แล้ว” เขาหันมายักคิ้วให้ผม

เมื่อขึ้นไปถึงบนห้อง เขาก็หยิบผ้ากันเปื้อนออกมาสองผืน แล้วจึงยื่นผืนหนึ่งให้ผม

“ผมไม่เคยใส่ผ้ากันเปื้อนมาก่อนเลยนะเนี่ย นี่ครั้งแรกในชีวิตเลย” ผมบอกเขาพลางผูกสายผ้ากันเปื้อนรอบเอว

“แล้วเป็นไง ความรู้สึก ตื่นเต้นมั้ย หรือว่ายังไง” เขาหัวเราะ

“มันเขินๆ อะครับ ผมดูเป็นไงมั่ง” ผมหันไปหาเขา

เขาชูนิ้วโป้งขึ้น “เหมาะมากครับ ไม่ต้องเขินหรอก น่ารักจะตาย”

คำชมของเขาทำให้ผมเขินจนพูดอะไรตอบกลับไปไม่ถูก ส่วนคนพูดเองเมื่อรู้สึกตัวก็ดันเขินจนหน้าแดงขึ้นมาด้วยอีกคน เขารีบหันหน้าไปทางอื่นและอธิบายให้ผมฟังว่าเขาเตรียมอะไรไว้ให้บ้าง

สรุปว่าเราจะทำสตูว์เนื้อสูตรพิเศษของเขาเอง ซึ่งกว่าจะเสร็จก็น่าจะใช้เวลาร่วมๆ สองชั่วโมง แปลว่าที่เขาบอกว่าจะทำให้ผมหิวจัดจริงๆ มันไม่ใช่แค่เรื่องล้อเล่นสินะ

“อ้าว ก็เมื่อวานผมถามหนึ่งแล้วว่าอยากกินอะไร หนึ่งบอกอะไรก็ได้ ผมก็เลยอยากให้ลองทำอันนี้ดูไง” เขาหัวเราะขึ้นมาเมื่อผมโวยถึงเรื่องเวลาที่ใช้ในการทำอาหารมื้อนี้ “ทำจริงๆ น่ะ ไม่นานหรอกครับ แต่มันต้องตุ๋นสักพักนึงแค่นั้นเอง และที่สำคัญทำไม่ยากด้วยนะ เพราะผมประยุกต์สูตรขึ้นเอง มา เดี๋ยวผมสอนให้ เริ่มกันเลยมั้ย”

เขาเริ่มสอนผมตั้งแต่เทคนิคการจับมีด การหั่นหัวหอม การเลือกเนื้อสัตว์ และอื่นๆ อีกหลายอย่าง นอกจากนั้นเขายังปล่อยให้ผมทำทุกอย่างด้วยตัวเองอย่างที่บอกไว้แต่แรกจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้สึกอุ่นใจ เพราะเขาไม่เคยยืนอยู่ห่างจากผมเกินสองหรือสามก้าวเลย เขาอธิบายและสอนผมอย่างใจเย็น โชคดีที่ผมพอทำอาหารเป็นนิดหน่อยอยู่แล้ว จึงไม่ทำให้ผมเป็นนักเรียนที่เลวร้ายมากจนเกินไปนัก... หรือเปล่า

“จะกินได้มั้ยครับเนี่ย” ผมพูดขึ้นพลางส่ายหน้าเบาๆ “ผมว่าผมคงทำพี่เหนื่อยแย่แล้วมั้งเนี่ย แถมไม่รู้ออกมาอร่อยรึเปล่าอีกต่างหาก พี่ก็ไม่ยอมช่วยผมปรุงเลย”

“เฮ้ย พูดอะไรน่ะ หนึ่งเก่งนา ทะมัดทะแมง แถมยังหัวไวด้วย” เขาใช้ช้อนตักน้ำซุปขึ้นชิม “เฮ้ยย อร่อยนาาา เยี่ยม!!”

“พูดเอาใจผมเฉยๆ ล่ะสิ”

“เอาใจอะไรล่ะ ไม่เชื่อก็ลองชิมฝีมือตัวเองดู เอ้า!” เขาตักซุปแล้วยื่นปลายช้อนหันมาป้อนให้ผม

ผมชะโงกหน้าเข้าไปเป่าแล้วจึงค่อยๆ ซดน้ำซุป

“เป็นไง อร่อยใช่มั้ยล่ะ”

“อืมมม... มันก็อร่อยอยู่หรอกครับ แต่ผมว่ามันยังขาดๆ อะไรอยู่นะ เหมือนยังไม่สุดอะ”

“ถ้าหนึ่งชอบรสเข้มๆ ก็ใส่เครื่องเทศกับซอสนั่นเพิ่มก็ได้ครับ”

“ใส่เยอะมั้ย”

“กะเอาเองสิ” เขาหัวเราะ

“งั้นไม่ใส่แล้วดีกว่า เดี๋ยวกินไม่ได้”

“แค่นี้ก็อร่อยแล้ว เดี๋ยวเราปล่อยมันไว้แบบนี้แหละ เคี่ยวอีกสักพักให้เนื้อมันเปื่อย และรสชาติน้ำซุปมันก็จะเข้มขึ้นข้นอีก แต่ถ้าอยากได้รสเข้มแบบไทยๆ ก็หั่นพริกชีฟาใส่ไปสัก 2-3 เม็ดก็ได้นะ”

“โอเคครับ พี่กุ๊ก แต่ผมว่าผมแค่รอเนื้อมันเปื่อยดีกว่า” ผมถอดผ้ากันเปื้อนออก จากนั้นเราสองคนก็เดินไปนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว

“เอ้อ จริงด้วย ผมว่าจะถามหนึ่งเรื่องนึงตั้งนานแล้ว”

“อะไรครับ”

“เรื่องไปอบรมที่โรงพยาบาลน่ะ เป็นยังไงบ้าง”

“ผมเลิกไปตั้งนานแล้วไงครับ ผมยังไม่ได้บอกพี่เหรอ ไม่สิ ผมว่าผมบอกไปแล้วนี่ ที่ว่ามันน่าเบื่อมากๆ แถมพวกพ่อแม่คนอื่นๆ ส่วนมากก็เอาแต่อะไรไม่รู้ มันไม่ใช่แนวผมเลยน่ะ”

“ใช่ๆ หนึ่งบอกผมแล้ว แต่ที่ผมถามคือผมอยากรู้เรื่องพ่อแม่คนอื่นๆ นั่นแหละ จำได้ว่าหนึ่งอยากไปที่นั่นเพื่อได้พบปะกับพ่อแม่เด็กคนอื่นๆ ไม่ใช่เหรอ แล้วนี่ยังมีได้ติดต่อกับใครอยู่บ้างรึเปล่าครับ”

ผมส่ายหน้า “ไม่มีเลยครับ ตอนแรกๆ ก็มีครอบครัวนึงที่เค้าโทรมาหาผมนะ ว่าทำไมหายไปเลย ผมก็บอกเค้าว่าผมยุ่งๆ เหนื่อยๆ เลยไม่ได้ไปอีกน่ะครับ และอีกอย่างคือผมขี้เกียจตอบคำถามคนอื่นเรื่องผมกับก้อยด้วย”

“เดี๋ยวก่อนนะ พอพูดเรื่องนี้แล้วก็นึกถึงอีกอย่างขึ้นมาได้ แต่ก่อนอื่น ขอถามเรื่องนี้ก่อนว่าถ้าแบบนั้นมันจะไม่เป็นไรแล้วเหรอ”

“เรื่องอะไรครับ”

“ที่หนึ่งไม่ได้ไปอบรมแล้วก็ไม่ได้รู้จักเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นเลยน่ะสิ จะโอเคเหรอ แล้วพ่อแม่ว่าไงบ้าง เห็นตอนแรกบอกว่าอยากมีคนคุยเรื่องลูกอะไรแบบนี้ไง”

“อ้าว ผมก็มีพี่แล้วไง”

เขาดูอึ้งๆ ไปเล็กน้อย “ผมเหรอ”

“ก็แล้วจะใครล่ะครับ อย่างไอ้น้องหมอกที่ผมเพิ่งรู้จัก ถึงจะสนิทกัน แต่น้องมันก็ไม่มีลูกสักหน่อย อย่าว่าแต่มีลูกเลย อุ้มเด็กน้องมันยังอุ้มไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ ผมก็ได้พี่ธีนี่แหละ ให้คำแนะนำเรื่องลูกหลายๆ อย่าง แถมพอพ่อกับแม่ผมเค้าเห็นผมได้ออกมาข้างนอกกับพี่บ้าง เค้าก็โอเคแล้วครับ”

“เอ่ออ ขอบคุณนะครับ เขินๆ ยังไงชอบกลไม่รู้แฮะ” เขาหัวเราะแหะๆ

“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณพี่น่ะ ถ้ายังไม่เจอพี่ ป่านนี้ผมจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้...” ผมพูดเองก็เขินเอง แต่ผมอยากให้เขารู้ความรู้สึกของผมจริงๆ

“อย่าพูดขนาดนั้นเลยครับ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย แค่มีประสบการณ์เลี้ยงลูกมาก่อนเท่านั้นเอง” เขาก้มหน้าเล็กน้อย “แล้วว่าแต่เรื่องของน้องที่ชื่อก้อยล่ะ เป็นไงบ้าง ตกลงว่ามีอะไรพิเศษๆ บ้างรึยัง”

ผมส่ายหน้า “ยังไงผมก็คิดกับเค้าแค่น้องสาวคนนึงน่ะครับ”

“ไม่มีความรู้สึกพิเศษอะไรเลยเหรอ สักนิดก็ไม่มี”

ผมกำลังจะอ้าปากปฏิเสธ แต่ถ้าหากพูดไปแบบนั้นก็คงเหมือนโกหก “คือ... จะว่าพิเศษมั้ย มันก็พิเศษแหละครับ แต่ไม่ได้มากพอที่จะทำให้ผมคิดกับเค้ามากไปกว่าที่เป็นอยู่ได้น่ะ”

“แล้วอีกฝ่ายล่ะ เค้าไม่เคยพูดอะไรเลยเหรอ จริงๆ ถ้าเดาจากที่หนึ่งเคยเล่าให้ผมฟังมา ผมว่าเค้าก็คงมีความรู้สึกพิเศษๆ ให้หนึ่ง
บ้างล่ะมั้ง”

“เรื่องนั้น...” ผมนึกถึงคำพูดที่ก้อยเพิ่งบอกกับผมมาเมื่อครั้งก่อนที่เราเจอกันขึ้นมา “ผมก็ไม่แน่ใจนะครับ เพราะก้อยเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเป็นพิเศษเลย หรืออาจจะมีแต่ผมที่ไม่เคยสังเกตเองก็ได้ จนกระทั่งเมื่อวันก่อนนี่แหละ...”

“วันก่อนทำไมเหรอ” เขาถามด้วยความสงสัย

ผมเล่าสิ่งที่ก้อยพูดพร้อมทั้งท่าทางและน้ำเสียงของเธอในตอนนั้นให้เขาฟัง

“แล้วหนึ่งคิดว่าไงล่ะ ผมว่าที่ก้อยพูดมันก็ถูกน่ะ ผมเองก็เห็นกรณีแบบนั้นมาหลายคนแล้วล่ะ หรือแม้แต่กับยัยอายเอง ถ้าหากผมไม่ได้ชอบผู้ชาย ผมก็อาจจะรักมันแบบคนรักไปแล้วก็ได้”

“ผมรู้ครับว่าสิ่งที่ก้อยพูดมันเป็นความจริง ผมเห็นด้วย... ที่จริงผมคิดว่าผมเองก็อาจจะรู้สึกแบบเดียวกันนั้นอยู่ด้วยซ้ำไป”

“แปลว่าหนึ่งเองก็อยากจะลองขยับความสัมพันธ์กับก้อยไปอีกขั้นแล้วเหรอ หรือยังไง”

คำพูดของเขาทำผมอึ้งไปเลย นี่เขาเข้าใจผมผิดไปกันใหญ่แล้ว สำหรับผม การที่จะพูดเรื่องพวกนี้ขึ้นมามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ แต่นี่เขากลับคิดไปกันคนละอย่าง เขาเข้าใจประเด็นผมผิดไปกันคนละเรื่องเลย

“ไม่ใช่แล้ว พี่ธี ผมไม่ได้กำลังพูดถึงเรื่องของผมกับก้อย ก็จริงที่คำพูดของก้อยมันทำให้ผมคิดบางอย่างขึ้นมาได้ แต่สิ่งๆ นั้นคือเรื่องของผม... กับพี่ต่างหาก”

คราวนี้เป็นคราวของเขาที่ต้องตะลึงบ้างแล้ว “ต... แต่หนึ่ง... หนึ่งหมายความว่ายังไงครับ”

“ผมหมายความอย่างที่พี่เข้าใจนั่นแหละครับ...” ผมตอบ รู้สึกร้อนไปทั้งหน้า “ตั้งแต่ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องใน เอ่อ... ในคืนนั้น ผมก็รู้สึกมาตลอดนะครับ แต่มันไม่เคยชัดเจนจนกระทั่งหลังจากที่เรา... เอ่ออ...” ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “ผม... ผมก็ไม่แน่ใจหรอกครับว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร แต่ผมว่าผมอยากจะพิสูจน์ให้รู้แน่สักที”

“แต่หนึ่งไม่ได้เป็นเกย์นะ หนึ่งไม่ได้ชอบผู้ชายนะครับ”

“ผมเคยพูดเหรอครับว่าผมไม่ได้ชอบผู้ชายหรือผมเป็นผู้ชายแท้...” ผมส่ายหน้าเบาๆ “เรื่องนี้ถ้าจะให้พูดมันก็คงยาวครับ แต่... แต่ผมแค่อยากจะระบายความรู้สึกนี้ให้พี่รู้เฉยๆ ผมทนเก็บมันไว้คนเดียวมาสักพักแล้ว ผมอึดอัดมากๆ เพราะผมอยากจะรู้ว่าจริงๆ ตัวเองคิดกับพี่ยังไง และพี่คิดยังไงกับผมกันแน่”

“แล้ว... เอ่อ ผมขอโทษนะครับหนึ่ง ที่พูดแบบนี้ แต่... แต่ฟ้าล่ะ...”

“ผมรักฟ้าครับ รักมาก เรื่องนั้นไม่ต้องสงสัยเลย แต่ฟ้าเป็นผู้หญิงคนเดียว และคนๆ เดียวที่ผมเคยรัก ดังนั้นผมจึงฟันธงไม่ได้ว่าผมจะไม่รู้สึกรักผู้ชายได้เลย คือ ผมเองก็ชอบผู้ชายหน้าตาดีๆ หุ่นดีๆ เหมือนกัน ถึงจะไม่เหมือนกับที่ผมรู้สึกกับฟ้า แต่ผมก็ปฏิเสธว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นเลยไม่ได้ เพราะถ้าผมพูดแบบนั้นผมก็คงโกหก” ผมถอนหายใจเบาๆ “ก็อย่างที่บอกแหละครับ ถ้าให้พูดถึงสิ่งที่ผมคิดเรื่องพวกนั้นตอนนี้ก็คงจะยาว”

“หนึ่งเคย... เอ่ออ... เคยพูดเรื่องนี้กับใครคนอื่นรึเปล่า”

“ไม่เคยครับ” ผมส่ายหน้า “แค่พูดกับพี่นี่ ผมก็ต้องรวบรวมความกล้าขนาดไหนแล้ว รู้รึเปล่า”

“หนึ่งชอบผมเหรอ... จริงๆ เหรอ”

ผมพยักหน้า รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัวแล้วตอนนี้ แถมลำคอก็ยังแห้งผากอีกด้วย “ผมรู้สึกมันมีอะไรบางอย่างที่พิเศษระหว่างเราน่ะครับ ถ้าหากมันคือความเป็นเพื่อน มันก็พิเศษกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ที่ผมเคยมี... แล้วที่ผ่านมาพี่ไม่คิดว่ามันมีอะไรบางอย่างที่พิเศษระหว่างเราบ้างเลยเหรอ”

เขาอึ้งไปอีกครั้ง หน้าของเขาแดงก่ำจนผมไม่รู้แล้วว่าระหว่างเราสองคนตอนนี้ ใครหน้าแดงยิ่งกว่ากัน

“ผม... ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมคิดยังไง ผมไม่รู้ว่าต้องคิดยังไงนะ หนึ่ง”

คำตอบของเขาทำเอาผมใจแป้ว ผมต้องรวบรวมความกล้ามหาศาลเพื่อพูดกับเขาแบบนั้น แถมยังต้องเผชิญกับความสับสนวุ่นวายใจอยู่คนเดียวมาเป็นสัปดาห์ แต่สุดท้ายแล้วทั้งหมดนั้นมันจะกลายเป็นแค่การคิดไปเองคนเดียวของผมอย่างนั้นหรือ และที่สำคัญ ผมไม่อยากจะทำลายมิตรภาพของเราที่ได้กลายเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในชีวิตของผมไปแล้วด้วย

“เพราะผมไม่ใช่สเป๊กพี่ด้วยสินะครับ...” ผมเริ่มรู้สึกว่าผมไม่น่าพูดเรื่องนั้นออกไปเลย

“ไม่ใช่แบบนั้นครับ หนึ่ง” เขารีบตอบพลางเงยหน้าขึ้นสบตากับผม “ผมแค่... ไม่รู้สิ ผมแค่กลัวน่ะ กลัวว่าสิ่งที่หนึ่งพูดจะเป็นแค่ความสับสนชั่วคราว แล้วถ้าเกิดมันมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา หลังจากนี้เราจะมองหน้ากันไม่ติดเปล่าๆ”

ทั้งผมและเขาต่างก็นิ่งเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกครู่หนึ่ง เราต่างก็คงใช้ความคิดและกำลังต่อสู้กับความสับสนในใจอยู่ทั้งคู่ ถึงจุดๆ หนึ่งผมก็เริ่มรู้สึกอยากจะลุกเดินหนีออกจากห้องนี้ หนีไปจากเขาให้รู้แล้วรู้รอด แต่อีกใจก็บอกว่าผมไม่ควรจะหนีอีกต่อไปแล้ว และผมก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้วด้วยที่จะทำตัวแบบนั้น

“หนึ่งรู้ใช่มั้ยครับ ว่าสิ่งที่หนึ่งเพิ่งพูดออกมา มันเป็นเรื่องใหญ่มากเลยนะ ทั้งกับตัวหนึ่งเอง ครอบครัว และคนรอบข้างคนอื่นๆ ด้วย...”

“ผมรู้ครับ” ผมพยักหน้า “แต่ก่อนหน้านี้ผมใช้ชีวิตโดยผูกอยู่แต่กับอดีตมานานแล้ว ตอนนี้ผมอยากจะมองไปยังอนาคตบ้าง ไม่ว่ามันจะเป็นยังไงก็ตาม”

“แล้วหนึ่งคิดเหรอว่าอนาคตของเส้นทางที่หนึ่งกำลังจะเลือกเดินมันจะออกมาสวยงาม มันจะ...”

“พี่ธีครับ” ผมขัดเขา “พี่แค่ตอบคำถามผมมาได้มั้ย พี่แค่บอกผมว่าพี่คิดยังไงกับผม พี่ก็รู้สึกถึงบางอย่างที่พิเศษระหว่างเราเหมือนกับที่ผมรู้สึกใช่รึเปล่า”

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง “เมื่อก่อนหน้านี้ ผมยังเคยพูดกับอายอยู่เลยว่า ถ้าหากหนึ่งชอบผู้ชายและเป็นสเป๊กของผม ผมก็คงตกหลุมรักหนึ่งจนโงหัวไม่ขึ้นไปแล้ว”

“แต่ผมไม่ใช่สเป๊กพี่...”

“ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีกับหนึ่งน้อยลงไปเลย”

คำพูดของเขาทำให้ผมมีความหวังขึ้นอีกครั้ง หัวใจของผมที่เต้นแรงอยู่แล้วกลับเต้นแรงขึ้นมากกว่าเดิมเสียอีก

“แต่...” เขาก้มหน้าอีกครั้ง “ผมว่าเอาไว้เราคุยเรื่องนี้กันอีกทีวันหลังดีมั้ยครับ ผมขอเวลาคิดอะไรอีกหน่อยดีกว่า และผมว่าหนึ่งเองก็ต้องคิดอะไรๆ มากกว่านี้เหมือนกัน ผมอยากให้หนึ่งแน่ใจในตัวเองแน่ๆ ก่อนนะ เรื่องนี้มันสำคัญสำหรับหนึ่งมากกว่าผมนะครับ”

ถึงนี่จะไม่ใช่การปฏิเสธ แต่ผมกลับรู้สึกเจ็บปวดแทบไม่ต่างกัน ธีที่คงเห็นความผิดหวังในแววตาของผม ดึงมือซ้ายของผมไปกุมเอาไว้แล้วยกมันขึ้นจุ๊บเบาๆ คงเพื่อเป็นการปลอบโยนผมหรือบอกผมว่ามันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ผมคิด

แววตาอ่อนโยนของเขาทำให้ผมสั่นไหวอยู่ข้างในอก

“ผมต้องรอนานขนาดไหนครับ” ผมถาม

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่... ผมเองก็หวังว่ามันคงไม่นานนักหรอก”




temp.jr

  • บุคคลทั่วไป
ซึ้งมากเลยตอนนี้ TwT

ออฟไลน์ Redz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
สุดท้ายจะหนึ่งจะได้ใครนะ มาต่อไวๆนะลุงต้น รอเรื่องใหม่อยู่ด้วย จัมโบ้ๆๆๆ  :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ vivalasvegus

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
มันคงไม่นานนักหรอก..

หวังว่าคำตอบของธี จะไม่ทำให้ FC ธี ผิดหวัง

ออฟไลน์ cinquain

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-0
ช้าๆหน่อยก็ดีค่ะเพราะเหมือนแต่ละคนจะยังไม่แน่ใจเท่าไหร่
ธีน่าจะยังคิดถึงแฟนเก่าอยู่ ส่วนหนึ่งน่าจะทำความเข้าใจกับ
ความรู้สึกของตัวเองมากขึ้นอีกนิดก่อนจะตัดสินใจอะไรต่อไป

รอคุณต้นมาต่อตอนต่อไป

ป๋อหลอ -- คุณต้นกลับสวีเดนแล้วหรือยังอยู่เมืองไทยล่ะนี่
ถ้ายังไม่กลับก็ตุนกินอาหารไทยให้หายอยากนะคะ ^^

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

งืมมม

อ่านแรกๆ ก็รู้สึกว่า

หนึ่งต้องถูกชะตากับธีแน่

แต่...

ยังไม่เข้าใจว่า

เจ้าหมอก...

จะมีบทบาทอย่างไร ในเรื่องนี้

ออฟไลน์ nunnuns

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1972
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-3
พัฒนาขึ้นมาอีกระดับแล้ว อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนนี้กลับไทยแล้วคร้าบบบ กินจนพุงจะแตก 555555

เกเร

  • บุคคลทั่วไป
 :katai1: มันหน่วงๆหวานอมขมเเกมเขิล แล้วมันรู้สึกยังไงฟ่ะ แต่ก็พัฒนาขึ้นไปอีกขั้น  :z2:

ออฟไลน์ cinquain

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +247/-0
555 ระวังน้ำหนักขึ้นพรวดแบบไม่รู้ตัวค่ะ

มาดูอีกที ไอย่า! และน้ำหนักไม่ลงเลยจนถึงปัจจุบัน  :serius2:  ^^

ออฟไลน์ Monkey D lufy

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +245/-4
อยากรู้คำตอบของทั้ง2คนเร็วๆแล้วสิ  หวังว่าคงไม่นานจริงๆนะจ๊ะ

ออฟไลน์ iammz

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2681
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +292/-6
เปิดอกคุยกันแล้ว

พี่ธีเปิดใจให้หนึ่งไว ๆ น๊าา

โจ๊กกุ้ง

  • บุคคลทั่วไป
แอบสงสารหนึ่งแต่ก็หวังว่าทะเลจะให้คำตอบเร็วๆนะอย่าไปยึดติดกับสเปกมาก อย่างอีพี่ก้องไงไม่เวิคๆ

ออฟไลน์ Magis

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
ค่อยทำความเข้าใจไปแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ เพราะการตัดสินใจเรื่องแบบนี้ น่าจะคิดให้ถี่ถ้วนด้วยสมองและใจเลยทีเดียวครับ

Ramika

  • บุคคลทั่วไป
จิ้นไปไกลแล้วอ่ะ

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
เข้ามาอ่านรวดเดียวเลย ชอบมากๆ

ออฟไลน์ xeruoh

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 491
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ดีใจอ้ะ พี่ต้นมาอัพแล้ววว
.
.
ค่อยๆคิดค่อยๆเปิดใจ ค่อยๆสัมผัสความรู้สึก
รักกันแบบค่อยๆนะพี่
พี่ธีติดสินใจดีๆนะเห้ยย
ตอนนี้อ่านแล้วแอบน้ำตาคลอนิดๆนะ
สงสารพี่หนึ่งอะ คงจะทั้งสับสนแล้วก็หวาดกลัวคำตอบ
สู้ๆนะคะ

รอติดตามตอนต่อไปเสมอ
ขอบคุณที่มาอัพนะคะ
 o13 o13 o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ พลอยสวย

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1622
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-5
 :mew2: น้องหมอกเค้าอ่าา

TimelessOne

  • บุคคลทั่วไป
วันหนึ่งกับทะเล คุยกันเปิดๆนี่ดีจังเลยน้า  :really2:

หมอกล่ะ ม่ายยยยยยยยยยยยยยย  o22

ออฟไลน์ whynotme

  • ♥ 09-07-2012 ♥
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
เวลา อยู่ในสถานะ คนรู้จักกัน เป็นเพื่อน พี่ น้องกัน
มันมีแต่ความสุข สนุก ตื่นเต้น ที่ได้เจอกันทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์
แต่พอจะตัดสินใจว่า ... จะคบกัน กลับมีเรื่องมากมายให้ต้องคิด ... เฮ้อ!! ชีวิต
แล้ว คุณวันหนึ่ง จะทำไงต่อไปน๊า~~ เอาใจช่วยละกันนะคะ ^^

 :mc4:  :mc4:

ยินดีกับนักเขียนด้วยนะคะ กับความสำเร็จในเรื่องเรียน และได้กลับมาทานอาหารอร่อย ๆ ที่เมืองไทย ^_^
จริง ๆ ว่าไปแล้ว นักเขียนไปเรียนจนจบแล้ว ซึ่งก็ใช้เวลานานอยู่เนอะ
แต่เราคนอ่านนี่สิ ก็ยังคง ทำงาน อ่านนิยาย ทำงาน อ่านนิยาย ไม่ได้เดินไปข้างหน้าสักนิดเลย~~~ :( :(

ไงก็ขอให้ คุณวันหนึ่งเดินไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจและมีความสุขนะคะ  :L2:  ( กลับเข้าสู่นิยาย จะได้ไม่ผิดกฏ ^^ )

ออฟไลน์ ~ณิมมานรฎี~

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1070
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-2
ไปแบบช้าๆ แต่ดูมั่นคงดีกว่าน้ออออ ค่อยๆตัดสินใจไปปปปป  :katai2-1:

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ธีคงห่วงผลกระทบที่จะเกิดกับหนึ่งมากกว่า
ครอบครัวของหนึ่งนี่น่าจะเป็นปัญหาสุด ๆ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 16

“พี่หนึ่ง!” เสียงเรียกชื่อของผมดังขึ้น

ผมหันไปมองยังที่มาของเสียง แล้วจึงเห็นเด็กหนุ่มสองคนกำลังเดินตรงเข้ามาหาผม

“อ้าว อาร์ม ต้า”

“หวัดดีครับพี่” พวกเขายกมือไหว้ผมพร้อมๆ กัน

“สวัสดีครับ เป็นยังไงกันบ้าง”

“สบายดีครับ ไม่ได้เจอพี่ตั้งนาน พี่ล่ะเป็นไงบ้าง” อาร์มถามกลับ

“พี่ก็สบายดีครับ เรื่อยๆ ไม่มีอะไร” ผมรู้สึกเหมือนกำลังโกหกเขาชอบกล

“แล้วนี่พี่มาหาไอ้พี่หมอกเหรอครับ รึมาธุระเรื่องคอนโด” ต้าถามผมบ้าง

“อ๋อ เปล่าครับ พี่มาหา... เพื่อนน่ะ ไม่ได้มาหาหมอกหรือมาธุระอะไรหรอก” ผมตอบพลางนึกถึงคำพูดของธีที่เขาเพิ่งบอกผมมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้

หลังจากที่คุยเรื่องนั้นกันจบไปแล้ว ผมกับธีก็นั่งกินข้าวด้วยกัน และต่างคนต่างพยายามที่จะปฏิบัติตัวให้เป็นปกติที่สุด เราต่างหาเรื่องมาคุยกันมากมาย แต่ไม่ว่าอย่างไรผมก็ไม่สามารถรู้สึกสบายใจเหมือนเดิมได้อีกเลย สุดท้ายผมจึงต้องขอตัวกลับก่อน โดยที่หลังจากนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะได้เจอหรือคุยกับเขาอีกครั้งเมื่อไหร่

“เพื่อนพี่นี่คนที่พี่ไปเที่ยวด้วยกันรึเปล่าครับ” อาร์มถามขึ้น

“เฮ้ย!” ต้ากระทุ้งศอกใส่สีข้างแฟนของเขา

“ไปเที่ยวเหรอครับ” ผมสงสัยว่าเขาหมายถึงอะไร “อ๋อ ที่ไปกินข้าวเย็นด้วยกันน่ะเหรอ”

ทั้งสองคนมองหน้ากันเลิกลั่ก โดยเฉพาะต้าที่ดูกระอักกระอ่วนอย่างเห็นได้ชัด ผมชักเริ่มรู้สึกแปลกๆ แล้วสิ เขาสองคนอาจจะเคยเจอผมกับธีกินข้าวเย็นด้วยกันมาบ้าง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หรือว่าบางทีอาร์มอาจจะหมายถึง...

อาร์มหันไปจิ๊ปากใส่ต้า “ไรเล่ามึง ไม่เห็นเป็นไรเลย” จากนั้นเขาก็หันมาหาผม “คือเมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมกับไอ้ต้าไปเที่ยวกับเพื่อนที่ อตก. มาน่ะครับ แล้วก็เจอพี่กับเพื่อนอีกสองคนเดินออกมาจากที่ร้าน... นั่นแหละครับ ผมก็เลยถามดูว่าใช่พี่คนนั้นรึเปล่า เพราะพี่อาร์มมันก็เคยบอกว่าพี่รู้จักกับพี่คนนึงที่นี่ ที่ตัวเล็กๆ หน่อย ขาวๆ”

“อ... อ๋อ... เอ่ออ... ใช่ครับ พี่คนนั้นแหละ” ผมเริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที ถ้าหากเขาสองคนเห็นผมเดินออกมาจากบาร์เกย์แห่งนั้น แปลว่าเขาก็คงคิดแล้วว่าผมเป็น...

“เฮ้ย! พี่อย่าคิดมากนะ ผมกับไอ้ต้าไม่ได้คิดอะไรหรอก จริงๆ” อาร์มพูดขึ้นราวกับอ่านใจผมออก

“เอ่ออ... คือ...” ผมกำลังจะออกตัวปฏิเสธหรืออธิบายว่าทำไมผมถึงได้ไปที่นั่น แต่พอคิดดูอีกที ผมยังจำเป็นต้องทำอย่างนั้นอยู่อีกหรือ “ครับ ใช่ พี่ไปกับเพื่อนมา เค้าก็ เอ่ออ ชอบผู้ชายเหมือนพวกเรานี่แหละ”

“แต่พี่คนนั้นเค้ามีลูกแล้วไม่ใช่เหรอครับ” ต้าถามด้วยความแปลกใจ

“อืมมม... เรื่องนี้มันก็ซับซ้อนนะครับ แต่เอาเป็นว่า ใช่ครับ พี่เค้ามีลูกแล้ว แต่ไม่ใช่ลูกแท้ๆ น่ะ”

“อ้ออออ” ทั้งสองคนร้องออกมาพร้อมกัน

“แล้วพี่ไม่อึดอัดเหรอ ไปเที่ยวที่แบบนั้นอะ คือผมจะบอกว่าตอนแรกที่ผมไปนะ ผมโคตรอึดอัดเลย ผมว่ามันน่ากลัวๆ ยังไงชอบกล” อาร์มถามพลางหัวเราะเบาๆ

“ไม่หรอกครับ พี่ไม่ได้คิดอะไรน่ะ แค่ไปเปิดหูเปิดตาบ้างเท่านั้นเอง”

“ว่าแต่วันนี้น้องไม่ได้มาด้วยเหรอครับ ไม่ได้เจอตั้งนานแล้วเนี่ย สบายดีรึเปล่า” อาร์มถาม

“สบายดีครับ ก็ยังร่าเริงเหมือนเดิมนั่นแหละ ก่อนนี้ป่วยไปพักนึงแต่ตอนนี้หายดีแล้วครับ” คำพูดของเขาทำให้ผมคิดขึ้นมาได้ว่าเดี๋ยวนี้ผมแทบไม่ค่อยได้พาน้ำไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนเมื่อก่อนจริงๆ นั่นแหละ

“ให้พี่หนึ่งเค้ากลับบ้านเหอะมึง รบกวนเวลาพี่เค้ามาสักพักแล้ว” ต้าพูดพลางสะกิดแขนอาร์มเบาๆ

“ไม่เป็นไรครับ พี่ไม่ได้รีบหรือมีธุระอะไรหรอก” ผมมองดูนาฬิกาข้อมือ “แล้วเราสองคนล่ะ ต้องทำอะไรรึเปล่า ไปหาร้านอะไรนั่งคุยกันหน่อยมั้ย อุตส่าห์ได้เจอกันทั้งที”

เด็กหนุ่มสองคนหันไปมองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมาตอบตกลงกับผม

“พี่จะให้ผมชวนไอ้พี่หมอกมันไปด้วยมั้ย” อาร์มถาม

“ได้สิ พี่ก็จะบอกเราอยู่พอดี แต่เอ้อ อาร์ม... คือ... เรื่องที่เราเจอพี่กับเพื่อนที่นั่นน่ะ เราได้บอกใครไปรึเปล่า”

“ถ้าพี่หมายถึงไอ้เอล่ะก็ ผมไม่ได้บอกครับ ไม่ต้องห่วง” เขาตอบ

“แล้วหมอกล่ะ”

“เอ่ออ...” เขาสองคนหันไปมองหน้ากันอีกครั้ง

“ผมขอโทษจริงๆ ครับพี่ คือพอผมเจอพี่ตอนนั้นแล้วด้วยความตกใจ ก็เลยรีบโทรไปถามพี่หมอกว่ามันพอรู้รึเปล่าว่าเพื่อนคนที่พี่ไปด้วยจะใช่คนที่พวกผมคิดมั้ย” ต้าอธิบายด้วยสีหน้าเจื่อนๆ “ผมขอโทษจริงๆ นะครับพี่”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ พี่ไม่ว่าอะไรเลย แค่ถามเฉยๆ” ผมโบกมือ พลางคิดในใจว่าถ้าหากหมอกรู้แบบนี้แล้วมันก็อาจจะยิ่งทำให้ผมคุยกับเขาได้ง่ายขึ้นด้วยซ้ำ “โทรไปชวนหมอกมันลงมาเถอะ ไปนั่งกินไอติมกันก็ได้ พี่เลี้ยงเอง”

ผมใช้เวลาอยู่กับเด็กหนุ่มทั้งสามคนอยู่อีกราวๆ หนึ่งชั่วโมงที่ร้านสเวนเซนส์ พวกเรานั่งคุยเรื่องคอนโด เรื่องเรียนของพวกเขา และเรื่องอื่นๆ หลายอย่าง ระหว่างนั้น บางครั้งผมกับหมอกก็จะสบตากันบ้าง เขามักจะลอบส่งยิ้มให้ผม ซึ่งผมก็จะยิ้มตอบให้เขากลับไปทุกครั้ง ถึงแม้จะไม่แน่ใจเท่าไหร่นักว่ามันหมายความว่าอย่างไรก็ตาม

หลังจากที่อาร์มกับต้าขอตัวกลับบ้านไป ผมก็ชวนหมอกให้เดินเล่นกับผมต่ออีกครู่หนึ่ง ทั้งผมและเขาต่างก็ไม่มีใครยกเรื่องวันนั้นที่เราเคยคุย และ เอ่อ... ทำแบบนั้นกันขึ้นมาพูดเลย แต่หลังจากที่เราเดินเรื่อยเปื่อยกันได้แค่ไม่ถึง 15 นาที เขาก็เป็นฝ่ายถามขึ้น

“มีอะไรไม่สบายใจครับพี่ อยากพูดกับผมรึเปล่า”

“ทำไมถึงคิดว่าพี่มีอะไรไม่สบายใจอีกแล้วล่ะ” ผมถามกลับ

เขาเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มตลกๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเขามาให้ผม

“โอเคๆ” ผมยอมแพ้ “พี่คงดูออกง่ายจริงๆ ใช่มั้ย”

เขายักไหล่ “เรื่องเดิมรึเปล่าครับ”

“ก็... ไม่รู้สิครับ พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันคืออะไร แต่...” ผมถอนหายใจและพยายามรวบรวมความกล้า “ถ้าพี่บอกว่าพี่ชอบผู้ชายขึ้นมา มันจะฟังดูแปลกมั้ย”

เขาเงียบไปพักหนึ่ง “แล้วถ้าผมบอกว่าผมก็เอะใจอยู่แล้วล่ะครับ มันจะฟังดูแปลกปะ”

ผมรู้สึกอายจนหน้าร้อนผ่าวไปหมด “พ... พี่ว่า...”

“คืองี้ พี่” หมอกหยุดเดินและหันมาหาผม “พี่ไม่ได้ดูเป็นเกย์หรืออะไรหรอก อย่าเข้าใจผิด แต่จากเรื่องที่เราคุยกันวันนั้น ผมก็พอจะจับความรู้สึกอะไรบางอย่างได้แล้ว แค่นั้นเอง” เขาพูดพร้อมกับมองตาผมไม่กะพริบ “เพราะงั้นพอพี่บอกผมแบบนี้แล้วผมก็เลยไม่แปลกใจท่าไหร่น่ะ คือที่จริงมันก็ควรจะน่าตกใจอะนะ แต่สำหรับผมตอนนี้คงไม่แล้วล่ะ”

“พี่... พี่ดูออกขนาดนั้นเลยเหรอว่าชอบผู้ชายน่ะ” ผมชักเริ่มรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง

“เอ้า เวร ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่แบบนั้นเลยครับ พี่เป็นผู้ชายอบอุ่น อ่อนโยน และใจดี แต่พี่ไม่ได้มีลักษณะที่ดูออกว่าจะชอบผู้ชายหรืออะไรแบบนั้น อย่าเข้าใจผิดดิ” เขายิ้มพร้อมกับตบบ่าผมเบาๆ “แต่มันเป็นเพราะเรื่องที่เราเคยคุยกันต่างหาก เอาน่า มีอะไรก็คุยกับผมได้ครับ อย่าคิดมาก!”

“หมอกรู้ใช่มั้ยว่าพี่ชอบใครอยู่”

“คนที่ผมเคยเจอใช่มั้ยฮะ”

ผมพยักหน้าเขินๆ

“แต่พี่แน่ใจแล้วเหรอว่าพี่ชอบเค้าจริงๆ น่ะ”

“พี่... พี่เคย... เอ่ออ จูบเค้าแล้ว” ผมพูดเบาจนแทบจะเป็นการกระซิบ

หมอกแลดูตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาแค่พยักหน้าเบาๆ และเริ่มออกเดินต่อ “พี่อยากคุยเรื่องนี้มั้ย”

ที่จริงผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน บางทีผมอาจจะแค่อยากระบายออกไปให้ใครสักคนฟังโดยไม่ต้องลงลึกถึงรายละเอียดก็ได้ แต่อีกใจหนึ่งผมก็อยากจะเล่าทุกอย่างรวมทั้งความไม่สบายใจที่ผมสั่งสมไว้ทั้งหมดออกไปด้วยเหมือนกัน

“พี่แค่ไม่แน่ใจว่าเค้าจะคิดแบบเดียวกับพี่รึเปล่าน่ะ” ผมตอบ

“อ้าว ถ้าพี่สองคนทำแบบนั้นไปแล้ว มันก็น่าจะแปลว่า...”

“ไม่หรอกครับ เรื่องนั้นมันเป็นอะไรคล้ายๆ อุบัติเหตุน่ะ ด้วยเหตุจำเป็นและสถานการณ์มันพาไปมากกว่า ทั้งพี่และเค้าต่างก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้นหรอก”

เขามองหน้าผมพร้อมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ก็อีกครั้งที่เขาไม่ได้ถามอะไรออกมา

“การที่ผู้ชายจูบกันเนี่ย มันแปลว่าต้องเป็นเกย์อย่างเดียวเลยรึเปล่า”

“ผมเคยบอกพี่แล้วไงครับว่ามันขึ้นอยู่กับความรู้สึกมากกว่า” เขายักไหล่ “อย่างน้อยผมก็คิดแบบนั้นนะ”

ผมพยักหน้าเบาๆ “โทษทีนะครับ พี่รู้ว่าหมอกคงมีคำถามเต็มไปหมด แต่อีกใจพี่กลับไม่รู้สึกเหมือนอยากพูดมันออกไปเท่าไหร่ พี่รู้สึกงงๆ และสับสนชอบกล”

“ไม่เป็นไรเลยพี่ ผมเข้าใจว่าพี่คงอยากระบายมันออกมาบ้าง แต่พี่ยังไม่ต้องเล่าอะไรให้ผมฟังในตอนที่พี่ยังไม่พร้อมหรอก แล้วก็ไม่ต้องห่วงด้วย ผมไม่เอาไปบอกใครแน่นอน และผมก็จะไม่ตัดสินพี่ด้วยว่าพี่เป็นอะไรยังไง ผมเคยบอกพี่ไปแล้วนี่ เพราะงั้นสบายใจได้ พร้อมอยากพูดเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละครับ” เขายิ้ม

ยิ่งรู้จักกับเขามากขึ้นเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งคิดว่าเขาดูจะเป็นผู้ใหญ่ยิ่งกว่าผมเสียอีก

“ขอบคุณนะครับที่เข้าใจ” ผมถอนหายใจเบาๆ

“คิดมากน่าพี่ ยิ้มหน่อยเร็ว เครียดมากเดี๋ยวแก่ไวนะเว้ย!” เขากอดคอผม

ผมหันไปยิ้มให้เขา “กอดคอเลยเหรอ”

“พี่ถือเหรอ ขอโทษๆ” เขาหน้าเสียและรีบชักมือออก

“หึๆ ไม่ถือหรอก อย่าคิดมากสิ เดี๋ยวแก่ไวนะเว้ย” ผมลูบหลังหัวเขาเบาๆ เขาจึงกลับมามีรอยยิ้มได้อีกครั้ง “จะทำอะไรต่อมั้ยครับ กลับกันเลยมั้ย นี่ก็เริ่มเย็นแล้ว”

“แล้วแต่พี่เลยครับ กลับเลยก็ได้”

เราสองคนเดินออกจากห้างเพื่อกลับไปยังคอนโดด้วยกัน ระหว่างคอนโดของเรากับห้างแห่งนี้จะถูกคั่นด้วยถนนเส้นเล็กๆ ที่พาไปสู่หมู่บ้านอีกสองหรือสามหมู่บ้านด้านใน และมันยังเป็นถนนที่นำไปสู่ลานจอดรถของห้างแห่งนี้อีกด้วย ซึ่งในขณะที่เรากำลังจะข้ามถนนกันอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีรถคันหนึ่งพุ่งลงมาจากทางออกของลานจอดรถอย่างเร็ว ผมมองเห็นรถคันนั้นและหยุดฝีเท้าของตัวเองได้ทัน แต่หมอกที่กำลังพูดอยู่กลับไม่ทันมอง และผมก็ไม่สามารถร้องเตือนหรือดึงตัวเขาไว้ได้ทัน เสียงจากการกระแทกและเสียงเบรคดังเอี๊ยดดังก้องไปทั่วบริเวณพร้อมกับร่างของหมอกที่ล้มกระแทกลงบนพื้น

“หมอก!!” ผมรีบวิ่งไปดูอาการของเขาด้วยความตกใจ “เป็นอะไรรึเปล่า!”

เขาค่อยๆ ชันตัวขึ้นก่อนจะจับแขนซ้ายของตัวเอง “ไม่เป็นไรครับพี่ ไม่ได้ชนหรอก แค่เฉี่ยวนิดหน่อย”

“ไหนให้พี่ดูซิ อย่าเพิ่งขยับตัวมากนะ เจ็บตรงไหนรึเปล่า” ผมสำรวจร่างกายของเขา “เจ็บที่แขนซ้ายเหรอ”

“นิดหน่อยครับ แต่ไม่เป็นไรมากหรอก ผมชินแล้ว” เขาหัวเราะแหะๆ

“ไม่ต้องมาหัวเราะเลย! ของแบบนี้จะมาชินได้ยังไง!” ผมจับแขนซ้ายของเขาเบาๆ เขานิ่วหน้าและสะดุ้งทันที ทั้งที่ไม่มีบาดแผลอะไรแท้ๆ “ขยับแขนได้รึเปล่า”

เขาส่ายหน้า

“สงสัยกระดูกแน่ๆ เลย... แล้วเลือดที่แขนเสื้อนี่มาจากไหน” ผมจับมือขวาของเขาพลิกขึ้นดูถึงเห็นรอยแผลฉีกเป็นทางยาวบนฝ่ามือ

เขาสะดุ้งอีกครั้ง

“เจ็บเหรอ”

เขาพยักหน้าเบาๆ “นิดนึงครับ”

ผมหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกงและกดลงบนปากแผล การเป็นพ่อคนทำให้ผมต้องเริ่มพกผ้าเช็ดหน้าและทิชชู่ติดตัวไว้จนเป็นนิสัยไปแล้ว

“เจ็บนิดนึงนะ แต่กดปากแผลเอาไว้” ผมบอกเขา

ในตอนนั้นเอง เจ้าของรถที่ขับรถเฉี่ยวหมอกก็เปิดประตูรถออกและรีบเดินตรงเข้ามาหาพวกเรา “ขอโทษนะครับ! เป็นอะไรรึเปล่า!”

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองดูเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขายังดูเด็กอยู่เลย ท่าทางจะอายุพอๆ กับหมอกนี่แหละ สีหน้าของเขาซีดเผือดและแลดูหวาดหวั่น

“ไปโรงพยาบาลมั้ยครับ ไปรถผมนี่แหละ ผมรับผิดชอบทุกอย่างเอง ผมขอโทษจริงๆ นะครับ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมแค่ล้มเฉยๆ เอง” หมอกตอบพลางพยายามจะลุกขึ้นยืน แต่แล้วจู่ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขานิ่วหน้าและร้องโอ๊ยออกมาเบาๆ พร้อมกับล้มตัวลงนั่งบนพื้นอีกครั้ง

“เจ็บขาด้วยเหรอ หมอก” ผมถามพลางเลื่อนสายตาไปมองหาบาดแผลที่ขาของเขา

“ผมว่าผมเริ่มเจ็บข้อเท้าน่ะครับ ข้อเท้าขวา”

“ไปโรงพยาบาลเถอะครับ เดี๋ยวผมช่วยพยุง” เด็กหนุ่มเจ้าของรถนั่งยองๆ พร้อมกับค่อยๆ พยุงตัวของหมอกขึ้น
ตอนนี้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเริ่มให้ความสนใจและมามุงดูพวกเรามากขึ้นแล้ว รวมทั้งพนักงานรักษาความปลอดภัยของห้างแห่งนี้ก็เดินเข้ามาถามผมด้วยแล้วเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นพร้อมกับเสนอความช่วยเหลือ

“ต้องตามตำรวจหรือรถพยาบาลมั้ยครับ” เขาถาม

“คิดว่าไม่เป็นไรหรอกครับ พวกผมจัดการได้ ขอบคุณมากนะครับ” ผมตอบเขา ก่อนจะช่วยเด็กหนุ่มพยุงหมอกไปเอนตัวลงบนเบาะหลัง “นอนลงไปเลยครับ แล้วอย่าเคลื่อนไหวตัวมาก ถ้าเจ็บหรืออะไรก็รีบบอก เข้าใจรึเปล่า”

“คร้าบบบ พ่อ” เขายังมีอารมณ์จะล้อเล่นอีกนะ

ผมหันไปหาเจ้าของรถ “น้องรู้จักโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดแถวนี้รึเปล่าครับ”

“เดี๋ยวผมเปิดจีพีเอสดูก็ได้ครับ” เขาตอบ

“ไม่ต้องหรอกครับ พี่รู้ เดี๋ยวพี่บอกทางให้ หรือจะให้พี่ขับแทนดี ถ้าหากน้องยังตกใจอยู่ พี่ขับแทนให้ก็ได้นะ”

เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “พี่ขับก็ได้ครับ”

ระหว่างทางไปโรงพยาบาล เด็กหนุ่มคนนี้ก็แนะนำตัวว่าเขาชื่อวายุ และเอ่ยปากขอโทษเป็นครั้งที่หนึ่งร้อยได้แล้วมั้ง เขาบอกว่าก่อนจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นนั้น เขากำลังควานหาบัตรจอดรถที่หล่นลงไปใต้เบาะอยู่ จึงไม่ทันได้มองว่ามีคนกำลังจะข้ามถนน และเท้าของเขาดันไปเหยียบคันเร่งเข้าพอดี เขายอมรับว่ามันเป็นความผิดของเขาเองล้วนๆ และยืนยันว่าจะออกค่ารักษาพยาบาลทุกอย่างให้ ถ้าหากว่าหมอกจำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลก็ขอให้นอนไปเลย เขาไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น

ผมหันไปถามอาการของหมอกว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง ในที่สุดเขาก็เริ่มตลกไม่ออกและยอมรับว่าแขนกับข้อเท้าของมันเริ่มเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วจริงๆ


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
เมื่อผมจอดรถที่หน้าแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาล หมอกก็ถูกหามขึ้นนอนบนเตียงและพาตัวเข้าสู่ห้องฉุกเฉินทันที วายุโทรศัพท์ไปบอกพ่อกับแม่ของเขาในขณะที่ผมจัดการเรื่องเอกสารต่างๆ ซึ่งผมก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เพราะผมเองก็รู้แค่ชื่อจริงกับอายุของเขาเท่านั้น ผมจึงบอกพยาบาลไปแค่ว่าผมเป็นเพื่อนของคนไข้ และถ้าหากมีอะไรร้ายแรง ผมก็จะเป็นผู้ปกครองของเขาจนกว่าทางโรงพยาบาลจะติดต่อแม่หรือพ่อของเขาได้

หลังจากที่หมอกถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินไปได้ราวๆ 20 นาที พยาบาลคนหนึ่งก็เดินออกมาหาผม

“คนไข้บอกว่าไม่มีผู้ปกครองให้ติดต่อน่ะค่ะ และต้องการให้คุณวันหนึ่งเป็นผู้ดูแล ตอนนี้คนไข้กำลังเอ็กซ์เรย์อยู่ อีกไม่นานคงทราบว่ากระดูกมีปัญหารึเปล่า”

ผมรู้สึกสงสัยเล็กน้อยที่นางพยาบาลบอกผมแบบนั้น เพราะหากผมจำไม่ผิด หมอกเคยบอกผมว่าแม่ของเขาก็ยังอยู่บ้านที่กรุงเทพฯ นี่นา และผมก็ไม่คิดว่าจะติดต่อได้ยากด้วย

“ต้องรออีกนานมั้ยครับ แล้วผมจะได้คุยกับน้องเค้าเมื่อไหร่”

“น่าจะอีกราวๆ ครึ่งชั่วโมงนะคะ” นางพยาบาลตอบก่อนจะเดินกลับไป

“พี่หนึ่งครับ” วายุเรียกผม

ผมหันไปหาเขา “ครับ”

“ผมคุยกับที่บ้านแล้ว อีกเดี๋ยวบรรดาพ่อๆ และแม่ของผมคงมา พวกเค้าบอกให้หมอกนอนโรงพยาบาลได้เลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม จะขาแพลง ขาหัก กระดูกร้าว หรือเป็นอะไรก็นอนพักไปเลย... เอ้ย แต่ผมไม่ได้แช่งนะครับพี่ พวกเค้าบอกผมมาแบบนั้นจริงๆ” เขารีบออกตัว “ผมโดนด่าจนหูชาเลยเนี่ย”

“ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ เราต่างก็โชคดีแล้วล่ะที่หมอกมันไม่ได้เจ็บหนักอะไรมากกว่านี้ และพี่เองก็ต้องขอบคุณเราด้วยที่ยอมรับผิดและมีความรับผิดชอบ” ผมวางมือลงบนบ่าของเขา “จริงสิ พี่เองก็ต้องโทรบอกที่บ้านพี่เหมือนกัน พี่ขอตัวไปโทรศัพท์แป๊บนึงนะครับ”

ผมเดินห่างออกจากเขาเล็กน้อยและโทรไปเล่าให้แม่ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมบอกแม่ว่าคงจะกลับบ้านช้าหน่อยขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่ก็ไม่ลืมที่จะย้ำอีกครั้งก่อนวางสายว่าหมอกปลอดภัยดี ไม่ได้เจ็บหนักมากมายอะไร

หลังจากนั้นไม่นานพวกเราก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปพบกับคนไข้ในห้องฉุกเฉินได้ สรุปว่ากระดูกไหล่ซ้ายของเขาหลุด แล้วก็ข้อเท้าขวาพลิก นอกนั้นก็มีแผลฟกช้ำที่ต้นแขนและแผลที่ฝ่ามือขวาอย่างที่ผมรู้อยู่แล้ว หมอจึงเสนอให้เขานอนรักษาตัวสักพักจนกว่าจะเห็นว่าควรกลับบ้านได้

“ต้องนอนนานมั้ยครับแบบนี้” ผมถามหมอ

“ก็คงสักพักน่ะครับ จริงๆ ก็ขึ้นอยู่กับคนไข้ด้วยว่าอยากจะไปพักรักษาตัวที่บ้านหรืออยู่ที่โรงพยาบาล เพราะหัวไหล่หลุดมันไม่ต้องนอนโรงพยาบาลหรอก หมอดันกระดูกเข้าที่ให้แล้ว แต่ถ้านอนโรงพยาบาลมันก็จะหลีกเลี่ยงการระทบกระเทือนได้ดีกว่า และมีพยาบาลคอยช่วยดูแล เพราะพูดก็พูด หมอว่าตอนนี้คนไข้ก็เดี้ยงอยู่พอสมควร ถ้าหากอยากกลับบ้าน หมอก็ไม่แนะนำให้เดินทางหรือทำกิจกรรมอะไรที่เสี่ยงกับการกระเทือนหรอกนะครับ”

“นอนเถอะครับ นานแค่ไหนก็นอนรักษาตัวไปเลย ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย” วายุพูดขึ้น

“พี่ไม่ได้เป็นห่วงเรื่องนั้นครับ พี่เองก็อยากให้หมอกนอนพักที่โรงพยาบาลจนกว่าจะหายดีเหมือนกัน แต่พี่ไม่รู้ว่าแม่เราเค้าจะว่ายังไงน่ะสิ พี่ไม่รู้เค้าอยากจะให้เรากลับไปรักษาตัวที่บ้านรึเปล่า” ผมมองหน้าหมอก แต่เขากลับหลบสายตาผม

“ต่อให้ออกจากโรงพยาบาลไป ผมก็คงไม่กลับไปนอนบ้านหรอกครับ คงนอนตีพุงอยู่ที่คอนโดนั่นแหละ”

ผมชักเริ่มเอะใจแล้วว่าน่าจะมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล อะไรบางอย่างที่เขายังไม่ได้บอกผม

“มันจะเป็นไปได้ยังไงครับ แบบนั้นใครจะดูแลเรา เดี้ยงทั้งขาทั้งแขนแบบนี้” ผมถอนหายใจ

สรุปว่าเราเลือกห้องเดี่ยวพิเศษให้เขา และหลังจากที่เราขึ้นไปบนห้องแล้ว วายุก็ได้รับโทรศัพท์และขอตัวลงไปรับครอบครัวของเขาขึ้นมา เมื่อพยาบาลที่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อให้หมอกเสร็จเดินออกจากห้องไป เขาก็บ่นอุบอิบเบาๆ ว่าเขาไม่ได้พิการหรือเป็นอะไรหนักขนาดต้องถูกเข็นมาทั้งเตียงสักหน่อย

“เดี้ยงแล้วยังทำปากดีอีก” ผมนิ่วหน้าใส่เขา “ไม่นอนเตียงขึ้นมาแล้วจะเดินขึ้นมาเองรึไงครับ”

“จริงๆ เมื่อกี้นั่งรถเข็นมาก็ได้เหอะ ไม่เห็นต้องถึงกับนอนเตียงมาเลย น่าอายจะตาย”

“อายอะไร ไร้สาระน่า แขนเป็นแบบนี้จะนั่งรถเข็นได้ยังไง”

“ก็ไม่ชอบอะ แถมหมอก็ดันมันกลับเข้าที่แล้วเหอะ”

“พูดยังกับกับไม่รู้สึกอะไรแล้วย่างนั้นน่ะ” ผมเดินเข้าไปหาเขาพร้อมกับกางเกงผู้ป่วยสีฟ้าเข้มในมือ “แล้วเมื่อกี้ทำไมไม่ให้เค้าเปลี่ยนกางเกงให้ด้วยล่ะ เหลือไว้ทำไม”

“พูดเป็นเล่นไปพี่ จะให้พยาบาลผู้หญิงมาถอดกางเกงผมเนี่ยนะ ไม่มีทาง”

“อ้าว หรือจะให้พี่ไปตามบุรุษพยาบาลมาทำให้”

“ไม่ต้องอะครับ ผมทำเองได้”

ผมส่ายหน้า “อย่าเสี่ยงเลยครับ ถ้าอย่างนั้นพี่ช่วยเราเองก็แล้วกัน”

“ฮะ” เขาเลิกคิ้วขึ้น “พี่จะเปลี่ยนกางเกงให้ผมเหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิครับ ทำไม อายเหรอ”

“เปล่า ไม่อายหรอก จะอายทำไม” เขาปฏิเสธทั้งที่หน้าแดงก่ำ

ผมหัวเราะในลำคอเบาๆ “จะเปลี่ยนตรงนี้เลยมั้ย หรือไปในห้องน้ำ”

“ห้องน้ำดีกว่า” เขาตอบอุบอิบเบาๆ ก่อนจะค่อยๆ พยุงตัวลงจากเตียงและเดินกะเผลกๆ นำผมไปยังห้องน้ำโดยที่ผมคอยเดินตามเขาไปติดๆ

ผมวางกางเกงลงบนเคาน์เตอร์และปิดประตูห้องน้ำลงพร้อมกับล็อคกลอนเพื่อให้เขาสบายใจ จากนั้นก็นั่งยองๆ ลงบนพื้นเพื่อปลดหัวเข็มขัดของเขาออก

“สรุปมีอะไรอยากจะบอกพี่รึเปล่าครับ สายหมอก”

“เรื่องอะไรครับ” เขาถามกลับโดยไม่มองหน้าผม

“พี่ว่าเราควรจะต้องโทรบอกแม่นะ” ผมพูดพลางดึงกางเกงของเขาลง จากนั้นก็ยืนขึ้นและช่วยพยุงตัวเขาให้ยกขาออกจากกางเกงที่ใส่อยู่ ถึงแม้ว่าขากางเกงของเขาจะถูกตัดจนขาดรุ่งริ่งไปหมดแล้วก็ตาม

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องแค่นี้เอง เมื่อสองปีก่อนผมก็ข้อเท้าแพลงมาหนนึง”

“แต่หนนี้เรากระดูกหัวไหล่หลุดนะ ไม่ใช่แค่ข้อเท้าแพลง แถมต้องนอนโรงพยาบาลอีกหลายวัน ยังไงแม่เราเค้าก็ควรจะต้องรู้นะครับ และเผื่อเค้าจะมาดูแลเราตอนกลางคืนด้วยไง”

“เค้าไม่มาหรอกครับ...” เขาตอบเบาๆ โดยไม่สบตาผม

ผมใช้ปลายนิ้วจับที่ขอบกางเกงในของเขา “พี่จะถอดละนะ”

“ถอดไปเหอะครับ ผมไม่อายหรอก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ที่จริงผมโคตรง่วงจนจะยืนไม่อยู่แล้วเนี่ย”

ผมดึงกางเกงในของเขาลงไปให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาพยายามพยุงตัวและยกขาเพื่อถอดกางเกงในออกอย่างทุลักทุเล จากนั้นผมก็ย่อตัวลงเล็กน้อยพร้อมกับจับกางเกงของโรงพยาบาลให้เขาสวม

ถึงแม้ผมจะไม่ตั้งใจหรือพยายามที่จะมอง แต่สายตาของผมมันก็เหลือบไปเห็นไอ้น้องชายของเขาที่ห้องโตงเตงอยู่ต่ำกว่าชายเสื้อสีฟ้าเข้าจนได้

เมื่อเขาสอดขาทั้งสองข้างเข้าในกางเกงเรียบร้อยแล้วผมก็ดึงมันขึ้นและจัดการผูกเชือกให้เรียบร้อย

“เอาล่ะ เรียบร้อย ทุลักทุเลนิดหน่อย แต่ไม่เจ็บตรงไหนใช่มั้ย”

“ไม่ครับ ขอบคุณนะครับพี่”

“ไม่เป็นไรหรอก แต่เมื่อกี้ที่พูดค้างไว้ ทำไมเราถึงไม่อยากจะบอกแม่ครับ พี่ว่าเรื่องนี้มันเรื่องใหญ่นะหมอก พี่ยืนยันว่ายังไงๆ เราก็ควรจะต้องบอกเค้านะ” ผมพูดพลางเปิดประตูห้องน้ำออก เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นพอดี

ทั้งผมและหมอกที่กำลังจะเดินกลับไปที่เตียงหันไปมองยังประตูห้องพร้อมๆ กัน เมื่อประตูถูกเปิดออก วายุก็เดินเข้ามาโดยมีผู้หญิงและผู้ชายอีกสองคนเดินตามเข้ามาติดๆ

“พี่หนึ่งฮะ พี่หมอก นี่แม่ผม ส่วนนี่ป๊ากับพ่อเล็กครับ” เขาแนะนำ

ผมมือขึ้นไหว้ทั้งสามคนที่ดูน่าจะอายุราวๆ 30 ปลายๆ โดยที่หมอกทำได้แค่พูดคำว่า ‘สวัสดีครับ’ พวกเขาต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด และเริ่มสอบถามถึงอาการของหมอกในทันที โดยเฉพาะแม่ของวายุที่ดูจะเป็นห่วงและว้าวุ่นใจมาก ผมคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่งเลยทีเดียว ถึงจะเจ้าเนื้อนิดๆ แต่ก็ดูเป็นผู้หญิงที่อบอุ่นและห่วงใย ซึ่งผมรู้สึกได้ทั้งจากแววตาและคำพูดการกระทำทุกๆ อย่างตั้งแต่พวกเขาเดินเข้ามาในห้อง ในขณะที่คนที่วายุแนะนำว่าเป็นป๊าของเขา ดูเป็นคนใจดีและค่อนข้างสุขุม เขามีแววตาที่เป็นมิตรและยิ้มให้ผมตลอดเวลาที่เราคุยกัน ส่วนอีกคนที่วายุเรียกว่าพ่อเล็กนั้นมีโครงหน้าและดวงตาที่คมกริบ แน่นอนว่าเขาเองก็แสดงความเป็นมิตรให้แก่ผมและหมอก เพียงแต่ตรงกับข้ามกับอีกคนที่แลดูจะใจดีกว่า เพราะเขาคนนี้ให้ความรู้สึกของการเป็นคนที่ค่อนข้างเข้มงวดและเป็นผู้นำกว่าอย่างเห็นได้ชัด

แต่ประเด็นเรื่องหน้าตาบุคลิกของเขาสองคนยังไม่ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจเท่าการที่วายุเรียกพวกเขาว่าป๊ากับพ่อเล็กเลย แถมไปๆ มาๆ ผมยังได้ยินวายุพูดถึง ‘พ่อกอล์ฟ’ ออกมาอีกต่างหาก นี่ตกลงเขามีพ่อกี่คนและความสัมพันธ์ของคนครอบครัวนี้มันยังไงกันแน่

“ขอโทษทีครับ ผมลืมแนะนำตัว” ป๊าของวายุพูดขึ้นราวกับจะอ่านสีหน้าแปลกใจของผมออก “ผมเมฆนะครับ ส่วนนั่นซัน และแม่ของวายุชื่ออีฟ ผมสองคนเป็นผู้ปกครองของวายุน่ะครับ พอได้รับโทรศัพท์ก็เลยอาสาขับรถพาอีฟมาแทนพ่อแท้ๆ ของวายุที่มาไม่ได้ และพวกผมก็อยากมาดูอาการของน้องเค้าด้วย”

“อ๋อ ครับ” ผมเริ่มพอเห็นภาพมากขึ้นแล้ว พวกเขาสองคนก็คงเป็นเพื่อนสนิทของครอบครัวคล้ายๆ ไอ้ยุทธกับมะปรางที่สนิทกับผมที่สุดแบบนั้นล่ะมั้ง

“แล้วหนึ่งล่ะครับ เป็นญาติของหมอกรึเปล่า”

“เปล่าครับ เปล่า ผมเป็นแค่ผู้ปกครองของหมอกน่ะครับ... จะว่าแบบนั้นก็คงได้มั้ง เพราะจะเรียกว่าเป็นเพื่อนก็แลดูจะอายุต่างกันไปหน่อย คงต้องบอกว่าเป็นน้องที่รู้จักกันน่ะครับ” ผมหันไปมองหมอกที่นั่งเอนหลังคุยอยู่กับพี่อีฟ เขามองเหลือบมามองหน้าผมและยิ้มแหยๆ ผมทำหน้าดุใส่เขาเป็นเชิงว่าอีกสักพักเราต้องกลับไปคุยเรื่องที่ยังค้างคากันอยู่อีกแน่ ก่อนจะหันกลับไปหาพี่เมฆ “ผมเดาว่าพวกพี่คงอายุมากกว่าผมมั้งครับ งั้นผมเรียกพี่ว่าพี่เมฆ พี่ซัน แล้วก็พี่อีฟ คงไม่เป็นไรนะครับ”

“ตามสบายเลยครับ” พี่เมฆหัวเราะเบาๆ

“นี่ไอ้แสบ” ผมได้ยินเสียงพี่ซันที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดขึ้น “เราต้องโดนลงโทษนะ รู้ตัวใช่มั้ย”

“ยุรู้ครับ...” วายุก้มหน้า “ขอโทษครับ พ่อเล็ก”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ต้องลงโทษอะไรเด็กมันหรอก ฝ่ายผมเองก็เดินไม่ระวังด้วยแหละครับ มัวแต่คุยจนไม่มองรถให้ดีๆ ยังดีที่ไม่ได้เจ็บมากไปกว่านี้นะครับ ดูสิ เจ้าตัวมันยังยิ้มหน้าระรื่นได้อยู่เลย” ผมพูดพร้อมกับหันไปมองยังผู้ป่วย

“เจ็บนะ แต่ไม่แสดงออก...” เขาพึมพำเบาๆ

ผมหัวเราะพลางเดินเข้าไปที่เตียงและวางมือลงบนบ่าข้างที่ดีของเขา “พี่รู้ว่ามันต้องเจ็บแน่ล่ะ ถ้ายังไงเดี๋ยวคืนนี้พี่มานอนเป็นเพื่อนแล้วกัน”

“เฮ้ย! ไม่เป็นไรหรอก พี่กลับบ้านเหอะ” เขารีบปฏิเสธ “ไปดูแลลูกตัวเองนู่นไป๊ ผมอยู่ได้ สบายมาก”

“พี่จะมานอนเป็นเพื่อน ถ้าหากเราไม่ยอมโทรไปบอกแม่”

เขาอ้าปากเหมือนจะต่อรอง แต่สุดท้ายก็เงียบลง

“ดี นานๆ ที เชื่อฟังกันบ้าง” ผมตบบ่าเขาเบาๆ

“หนึ่งคะ นี่พ่อแม่ของน้องยังไม่รู้เหรอคะเนี่ย” พี่อีฟถามผม

“ยังครับ” ผมส่ายหน้า

“อ้าว”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมหาทางจัดการเอง ยังไงผมก็ต้องได้โทรไปบอกเค้าแน่ๆ”

“พี่หนึ่ง ผมง่วงอะ จะไม่ไหวแล้วเนี่ย ผมขอนอนก่อนนะ...” เขาตาปรือ

“ยาคงทำให้ง่วงมั้ง ฝืนมาตั้งนานแล้ว นอนไปเถอะครับ ตื่นมาแล้วค่อยว่ากัน”

เขาพยักหน้าให้ผมเบาๆ ก่อนจะหลับลงไป


ออฟไลน์ Redz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
กรี๊ดดดด เชี่ย วายุมาไงละ  :hao7: :hao7: เอ่อพี่ต้น ตอนที่16ไม่ใช่หรอ หรือจะลง รวด2ตอน  :hao3:

โจ๊กกุ้ง

  • บุคคลทั่วไป
หมอกพูดเหมือนว่าหนึ่งไม่ได้ชอบทะเลจริงๆ หรือว่าไม่เหมาะกับทะเลอ่ะเพราะเป็นเคะเหมือนกันรึเปล่า
แบบนี้หมอกก็ได้ใกล้ชิดกับหนึ่งนานเลยดิ หรือว่าหมอกเป็นพระเอก หรือจะคู่กับวายุ เหอๆ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
โอ้ ดารารับเชิญจากเรื่องโน้นมาเพียบ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด