(27.5)
ครืด… ครืด…
เสียงโทรศัพท์สั่นครืดคราดปลุกตุลย์ให้ตื่นจากภวังค์นิทราอย่างไม่เต็มใจ เขาเพิ่งงีบหลับตอนบ่ายไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจึงอยู่ในสภาพงัวเงียตื่นไม่เต็มตา คิ้วยาวขมวดมุ่นเป็นปมขณะไถลตัวหยิบโทรศัพท์ที่ชาร์ททิ้งไว้ข้างหัวเตียง กดรับโดยคร้านจะดูชื่อ
“ฮัลโหล”
“เฮ้ย มึงไปซื้อเบอร์เกอร์ที่ร้านดังๆ ตรงถนน Y ให้หน่อยดิ” เสียงปลายสายฟังดูคล้ายจะคุ้นแต่ก็ไม่คุ้น
ตุลย์ย่นคิ้ว ไม่เข้าใจว่าผู้พูดต้องการอะไร แต่คำสั่งห้วนของคนแปลกหน้าก็ทำให้เขาหงุดหงิดจนมองข้ามความงุนงงระคนสังสัย สบถด่าอีกฝ่ายไปคำใหญ่
“อยากกินก็สั่งดิวะ โทรหาคนส่งโน้น กูจะนอน”
ปลายสายหัวเราะต่ำๆ “มึงจะไปหรือไม่ไป ต้องให้กูเตือนมั้ยว่ามึงติดค้างอะไรไว้กับกู? ”
คำขู่ของกายดูจะทำให้สมองของเขาแจ่มชัดขึ้นโข ตุลย์เงียบพ่นหายใจแรง ก่อนจะยอมยันตัวลุกจากเตียงอย่างไม่มีทางเลือก
“เออๆ รู้แล้ว เดี๋ยวไปซื้อให้ จะเอาอะไร? ”
“เมนูซิกเนเจอร์ร้าน แล้วก็...”
ขณะที่ฟังกายร่ายรายการอาหาร เขาก็เดินไปคว้าเสื้อยืดกางเกงขายาวจากในตู้มาสวมอย่างขอไปทีโดยที่ตาครึ่งเปิดครึ่งปิด
“จะให้ไปส่งที่ไหน”
“คอนโด กูจะส่งโลฯ ไปในแชต รีบมาเร็วๆ กูให้สนธยาเวลาสามสิบนาทีเริ่มนับตั้งแต่ตอนนี้เลย”
“เออๆๆ ” ความง่วงงุนทำให้ตุลย์ขานรับห้วนๆ ก่อนจะวางสายอย่างหงุดหงิดระคนเร่งรีบ
เขาคว้ากระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์บนโต๊ะข้างหัวเตียงแล้วออกจากบ้านเรียกแท็กซี่มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางที่กายสั่ง ผ่านพักใหญ่ให้หลังกว่าตุลย์จะตื่นเต็มตา พอมีสตินึกย้อนได้แจ่มชัดว่าพลั้งปากพูดอะไรไป เขาชักพะวักพะวนกับปากช่างพล่อยของตัวเองขึ้นมา
โลเคชั่นที่กายส่งมาทางแชทเป็นที่ตั้งของคอนโดราคาแพงสูงตระหง่านซึ่งอยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้ากลางเมือง ตุลย์เช็กข้อมูลในมือถือซ้ำอีกหน จนแน่ใจว่าเขามาถูกถึงค่อยถามหากุญแจที่กายฝากไว้จากพนักงานประจำอินเทอร์เน็ตท์เตอร์ตรงมุมหนึ่งของล็อบบี้หรูหรา หลังจากนั้นก็ขึ้นลิฟต์มาตามชั้นที่ตกลงกัน
พูดตามตรงว่าการเดินทางมาหากายถึงรังทำให้อึดอัดใจไม่น้อย ถ้าเป็นไปได้เขายอมเจอฝ่ายนั้นในที่สาธารณะแล้วเสี่ยงให้คนมาเห็นเอายังดีกว่าเผชิญหน้ากันสองต่อสองในที่อับสายตาแบบนี้...ประตูลิฟต์เปิดออกอีกครั้งเมื่อถึงชั้นที่หมาย สัญชาตญาณย์สาวเท้าตามโถงทางยาวไล่มาหยุดตรงหน้าเลขห้องของกาย แต่แทนที่ใช้คีย์การ์ดปลดล็อกประตูเข้าไปทันที เขาเลือกจะโทรหาเจ้าของห้องผ่านโปรแกรมแชตก่อนเพื่อเลี่ยงการเผชิญหน้าโต้งๆ
ฝ่ายคู่สายกดรับแทบในทันที
“กูถึงแล้ว”
“ไหนวะ? ”
เสียงตอบดังจากหลังประตูก่อนที่บานไม้เรียบหรูตรงหน้าจะเปิดออก กายยังสวมชุดนอน หัวยุ่งดูราวกับเพิ่งตื่นผิดความคาดหมายผู้มาเยือน
“เร็วดีนี่หว่า...”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว กูกลับละ” ตุลย์ยื่นอาหารที่บรรจุในถุงกระดาษให้อีกฝ่าย แต่กายปฏิเสธที่จะรับมัน
“เดี๋ยวดิวะ จะรีบกลับไปไหน”
“อะไรอีก”
ร่างสูงไม่ตอบแต่กระดิกนิ้วเรียกเป็นเชิงให้เข้ามาข้างใน ตุลย์ขมวดคิ้วแน่น ท่าทีของกายทำให้เขาเคลือบแคลงในจุดประสงค์ แต่ด้วยแต้มไพ่ในมือที่ด้อยกว่า จึงต้องยอมตามเข้าไปอย่างไม่เต็มใจนัก
เสียงประตูปิดดังไล่หลัง พอหันกลับไปเขาก็เกือบชนเข้ากับกายจังๆ ตุลย์ผงะเล็กน้อยตามสัญชาตญาณก่อนจะเบี่ยงตัวหลบคนที่ประชิดเข้ามาในระยะใกล้เกินไปอย่างไม่ไว้ใจ ขณะที่กายเข้ามาดึงถุงเบอร์เกอร์และคีย์การ์ดไปจากมือดื้อๆ
“ระแวงอะไรของมึง? ”
เจ้าของห้องมองด้วยสายตาเหยียดหยันระคนขบขัน ก่อนเดินเฉียดไหล่เขาไป ทรุดตัวนั่งบนโซฟาแล้วหยิบเบอร์เกอร์ออกมากินลอยหน้าลอยตาขณะดูโทรทัศน์ที่เปิดไว้ ทิ้งให้ผู้มาเยือนยืนเก้ออยู่ด้านหลัง
ไม่นานตุลย์ก็เปรยถามอย่างหมดความอดทน
“ไม่มีอะไรแล้วจะให้กูอยู่ทำไม? ”
“เห็นมึงทำหน้ากล้ำกลืนแล้วมันสนุกดีไง” กายเอี้ยวตัวมามองเขาก่อนจะฉีกยิ้มหยัน ดูสะใจเล็กๆ
ไอ้หมอนี่มันตั้งใจเรียกโทรเรียกเขามาปั่นประสาทชัดๆ!“แต่มึงก็ใจกล้ากว่าที่คิดนะ… มาหากูถึงคอนโดคนเดียว ไม่กลัวโดนกูซ้อมหรือบังคับให้ทำเรื่องต่ำๆ อีกหรือไง”
“ซ้อมกูไปจะมีประโยชน์อะไรกับมึง”
“หึ ถามหาเหตุผลจากกูเนี่ยนะ? ” ร่างสูงเลิกคิ้ว เหยียดแขนยาวพาดพนักโซฟา “ทำไมวะ? กูดูเหมือนคนมีเหตุผลนักเหรอ”
สบสายตากัน นาทีนั้นความทรงจำเก่าๆ ที่เคยถูกกายทำร้ายก็ไหลเข้ามาในหัวเป็นช่องฉากราวกับเนื้อที่ในปอดถูกบีบเล็กลงจนหายใจลำบาก ความรู้สึกอึดอัดกระตุ้นให้ตุลย์เม้มปากแน่น โพล่งออกไปด้วยสัญชาตญาณการปกป้องตนเอง
“กูไม่อยู่เฉยๆ ให้มึงซ้อมแน่ และกูก็ไม่ทำเรื่องอย่างนั้นอีกเด็ดขาด ถ้ากูทำมึงก็จะใช้คลิปพวกนั้นแบล็กเมล์กูอีก กูไม่ยอมเป็นทาสมึงไปตลอดแน่! ”
ทีแรกก็หวั่นว่าผู้ฟังจะเกิดฉุนขาด แต่ต้องประหลาดใจเมื่อกายแค่กระตุกยิ้ม เมินผ่านคำพูดเมื่อครู่ แล้วหันกลับไปสนใจรายการทีวีต่อราวกับเขาเป็นอากาศ กระทั่งจัดการมื้อกลางวันเสร็จ เจ้าของห้องก็ลุกขึ้นจากโซฟา
“กูไปอาบน้ำละ”
ร่างสูงหยิบผ้าขนหนูในห้องนอน ก่อนจะหายเข้าไปทางห้องน้ำโดยไม่ใส่ใจ ปฏิกิริยานั้นยิ่งทำให้เขาสับสนไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
ลับหลังเจ้าของห้อง ร่างโปร่งก็ถอนหายใจยาวเหยียด
อยู่ใกล้หมอนี่ทีไร เขารู้เหมือนกำลังทำสงครามประสาททุกที...ว่าไปแล้ว ห้องของกายก็จัดว่ากว้างขวางพอตัวสำหรับคอนโดทำเลกลางเมืองเช่นนี้ ทั้งยังแบ่งเป็นสัดเป็นส่วน ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ครบครันกลมกลืนไปกับโทนสีของห้อง หากไม่ติดว่ามีร่องรอยชีวิตของผู้อยู่อาศัย อย่างเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้วางพาดระเกะระกะบนโต๊ะและตามที่ต่างๆ ก็คงดูเรียบหรูทันสมัยสมราคากว่านี้อยู่มากโข
ขณะที่กำลังสำรวจห้อง ตุลย์สะดุดตากับโน้ตบุ๊กสีเงินยี่ห้อดังที่มีรูปลักษณ์เหมือนของเขาเป๊ะ วางหมิ่นเหม่อยู่บนโต๊ะทานอาหารข้างถุงร้านสะดวก ความคิดหนึ่งก็ฝุดขึ้นในหัว
เขาเหลือบมองกายที่เดินหายไปทางห้องน้ำผ่านประตูห้องนอนที่แง้มอยู่ครึ่งหนึ่งของความกว้าง ก่อนจะเดินปรี่เข้าไปใกล้
...นี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่เขาจะรู้ว่ากายเก็บไฟล์ไว้ที่ไหนตุลย์เปิดดูโน้ตบุ๊กอย่างถือวิสาสะขณะที่หัวใจเต้นระส่ำ โชคดีที่คอมพิวเตอร์ของกายไม่ได้เข้ารหัสไว้ เขาจึงสามารถเข้าถึงหน้าจอและไฟล์ต่างๆ ในเครื่องได้ในทันที
แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยเป็นประโยชน์เท่าไหร่ เพราะไฟล์ส่วนมากเป็นไฟล์งาน รูปที่เซฟมาจากอินเทอร์เน็ต รูปถ่าย และเพลงซึ่งไม่เกี่ยวข้องใดๆ คลิปที่เขากำลังตามหา แถมไฟล์พวกนี้ยังมีเป็นร้อยๆ ลำพังคงไม่มีเวลาพอจะไล่เปิดดูทั้งหมดได้
ตุลย์จิ๊ปาก
ถ้ากายรู้ว่าเขายุ่งกับโน้ตบุ๊กของหมอนั่น เรื่องคงจบไม่สวยแน่แต่ยิ่งค้นนานเขาก็ยิ่งกระสับกระส่ายกลัวว่าจะถูกเห็นเข้า ขณะที่เริ่มกังวลว่าตนกำลังใช้เวลาอย่างศูนย์เปล่าไปกับการงมเข็มในมหาสมุทรที่อาจไม่มีวันเจอ หางตาของเขาก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์ของกายวางคว่ำอยู่ที่โต๊ะหน้าโซฟาพอดิบพอดี
จริงสิ... คลิปที่กายใช้แบล็กเมลเขาถูกถ่ายจากกล้องโทรศัพท์ บางทีต้นคลิปอาจจะถูกเก็บไว้ในโทรศัพท์ก็ได้คิดได้เช่นนั้น ตุลย์ก็รีบชัตดาวน์เครื่องกลบเกลื่อนร่องรอยแล้วจ้ำอ้าวไปที่โซฟาหยิบโทรศัพท์ของกายขึ้นมาทันที แต่ทว่าครั้งนี้เขาไม่โชคดีเหมือนทีแรกเพราะจอถูกเข้ารหัสไว้
ตุลย์ลองสุ่มพาสเวิร์ดอยู่สองสามครั้ง ก่อนที่คิ้วยาวจะขมวดแน่นอย่างหัวเสียเมื่อการกดพาสเวิร์ดผิดเป็นครั้งที่หกทำให้หน้าจอล็อกชั่วคราว จังหวะที่คิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อ หางตาก็เหลือบไปที่ประตูทางออก
บางทีเขาควรยึดโทรศัพท์กายไว้แล้วรีบออกจากห้องนี้ซะ จากนั้นค่อยส่งมันให้ใครสักคนปลดล็อก
ทำแบบนั้นเขาอาจได้คลิปต้นเรื่องหรือข้อมูลอะไรสำคัญๆ ที่สามารถใช้แบล็กเมลกาย
แต่ถ้ากายไม่ได้เก็บคลิปนั่นไว้แค่ในโทรศัพท์ล่ะ…?“มึงหยิบผิดเครื่องรึเปล่า”
ตุลย์สะดุ้งเมื่อเสียงของกายดังขึ้นจากด้านหลัง เขาหันกลับไปอย่างตื่นตระหนก
ร่างสูงของกายยืนอยู่ห่างจากเขาแค่เมตรเดียว โดยที่ยังสวมชุดลำลองตัวและถือผ้าขนหนูไว้ในมือ ไม่ได้อาบน้ำจริงอย่างที่เจ้าตัวอ้าง วินาทีนั้นตุลย์ก็รู้ว่าเขาเพิ่งถูกหลอกให้ตายใจ
“กูก็สงสัยอยู่ว่าถ้าปล่อยมึงเอาไว้คนเดียวจะเป็นยังไง หึ นึกแล้วว่ามึงต้องแอบค้นห้องกูแน่ อยากรู้เหรอว่ากูเก็บคลิปไว้ที่ไหน? ” กายยักคิ้ว ในมืออีกฝ่ายมีโทรศัพท์อยู่อีกเครื่อง “งั้นแลกเครื่องกันหน่อยดีมั้ยล่ะ? ”
“....! ”
ตุลย์รีบล้วงกระเป๋ากางเกง ก่อนจะเย็นสันหลังวาบเมื่อพบว่าพื้นที่สองข้างลำตัวว่างเปล่า เขาไม่รู้ว่าถูกกายฉกโทรศัพท์ไปตอนไหน บางทีอาจตั้งแต่ตอนเข้าห้องที่จู่ๆ อีกฝ่ายเดินมาประชิดแล้วกระชากถุงเบอร์เกอร์ไปจากมือ หรือไม่ก็ตอนที่แกล้งเดินเฉียดไหล่เขา
ท่าทีตกใจนั้น เรียกรอยยิ้มสะใจจากผู้ชนะ “ความรู้สึกช้านะมึง”
“เอาโทรศัพท์กูคืนมา! ”
“ส่งของกูคืนมาก่อน”
“ไม่...”
เขาจะรู้ได้ไงว่ากายจะคืนมันจริง“ก็ได๊”
กายเปิดประตูระเบียงออกไปยืนด้านนอก โดยทีมือยังถือโทรศัพท์เขา
"ถ้ามึงไม่คืน กูจะโยนไอ้นี่ลงไปข้างล่าง มึงจะเก็บโทรศัพท์กูไว้ก็ตามใจ ลองมาพนันกันสักหน่อยก็ได้ว่าคลิปอยู่ในเครื่องกูมั้ย แต่ไม่รับประกันหรอกนะ ว่าชื่อเสียงมึงจะอยู่รอดปลอดภัยหลังจากนี้”
“อย่า! ”
ไวกว่าความคิด ตุลย์ก้าวพรวดออกไปคว้าข้อมือกาย เขาแม่นพอแต่กายก็ขืนแรงยื้อเอาไว้ ตำแหน่งของโทรศัพท์ในตอนนี้จึงค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ ยื่นออกไปนอกขอบระเบียงเล็กน้อยอย่างน่าหวาดเสียว
เพราะมัวแต่มุ่งความสนใจไปที่โทรศัพท์เครื่องดังกล่าว กายจึงใช้จังหวะที่ตุลย์ไม่ทันตั้งตัวดึงโทรศัพท์ของตนจากมืออีกข้างอย่างรวดเร็ว แต่เพราะตุลย์กำมันไว้แน่นแต่แรกผนวกกับแรงดึงที่ไม่มากพอ โทรศัพท์จึงหลุดมือของทั้งคู่ ชนขอบกระถางต้นไม้ริมระเบียง ก่อนจะไถลไปตกอยู่ตรงซอกด้านหลังกระถางปูน
ตุลย์ปราดหางตามอง เค้นเสียงฮึดฮัดในคออย่างหงุดหงิดเพราะเพิ่งเสียเครื่องต่อรองไป ร่างโปร่งขืนแรงข้อมือเพิ่ม แต่มือกายก็เหนียวแน่นอย่างกับตีนตุ๊กแก
จริงอยู่ที่เขาแข็งแรงขึ้นกว่าเมื่อก่อนจนมั่นใจว่ารับมือกายได้ตามลำพัง แต่กำลังผู้ชายตัวเท่าๆ กันก็ใช่ว่าจะเอาชนะได้ง่ายๆ เสียเมื่อไหร่
“มึงได้คืนแล้วก็ปล่อยมือจากโทรศัพท์กู” ตุลย์ชักเริ่มหัวเสีย
“ก็ได้ๆ ปล่อยแล้วนี่ไง”
กายยอมรามือโดยง่าย ท่าทีเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายนั้นสร้างความเคลือบแคลงให้ตุลย์ไม่น้อย แต่เพราะได้ของของตนคืนแล้ว เขาจึงคร้านจะเก็บมาใส่ใจ ไม่คาดคิดว่าจู่ๆ ร่างสูงจะพุ่งพรวดเข้ามาฉกมันจากมือในจังหวะที่กำลังเก็บใส่กระเป๋า ผลคือโทรศัพท์ลื่นหลุดจากมือหล่นลงบนพื้น ก่อนที่ตัวเครื่องจะกระเด็นกระดอนออกไปนอกระเบียงร่วงลงด้านล่างต่อหน้าต่อตาตุลย์
ใจเขากระตุกวูบ ตุลย์ชะโงกมองซากซึ่งตอนนี้เห็นเป็นเพียงจุดดำๆ เล็กๆ บนพื้นคอนกรีต จากนั้นเส้นความอดทนก็ขาดผึง
“เอามือออกไปจากกู! ” ตุลย์ตวาดตาขวาง
แรงยื้อยุดที่ข้อแขนคลายออก ร่างโปร่งก็ผลักอกกายอย่างแรงจนผู้ถูกกระทำเสียการทรงตัวเซถอยหลังไปหลายก้าว
"กู-จะ-กลับ"
เสียงห้วนจนฟังดูเหมือนคำสั่งมากกว่าประโยคบอกกล่าว นาทีนั้นเขาไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ร่างโปร่งสบถ เดินกลับเข้าไปในห้องด้วยโทสะคุอย่างคนฟิวส์ขาด จากนั้นประตูหน้าห้องก็ปิดเสียงสนั่นดังปังใหญ่ ทิ้งให้กายยืนนิ่งเพียงลำพังอยู่ที่ริมระเบียงอย่างเดิม
ชายหนุ่มครางหึ่มในคออย่างเสียอารมณ์ ขยี้หัวด้วยความรู้สึกหงุดหงิดกึ่งผิดหวัง เขาพ่นหายใจ ก่อนล้วงซองบุหรี่ในกระเป๋าขึ้นมาจุดสูบ
“แม่งเอ้ย”
เขามัวแต่ไล่บี้เส้นความอดทนของตุลย์เพลินจนเกือบทำพลาด!
ขืนเมื่อกี้ยังยื้อไว้อีกคงได้ถูกฝ่ายนั้นชกหน้าเข้าให้จริงๆความรู้สึกของการอยู่เหนือกว่า หรืออำนาจควบคุมแบบที่สามารถบังคับฝืนใจให้ผู้คนยอมสิโรราบได้ตามต้องการ สิ่งเหล่านี้ช่างหอมหวาน เสพติดและชวนให้ถลำลึกสำหรับเขาเสมอมา
ตุลย์ก็แค่โชคร้ายที่เผอิญกระตุ้นสัญชาตญาณดิบพวกนั้นในตัวเขาได้ดีกายกระตุกยิ้ม แต่ครู่เดียวก็เลือนหายไปจากใบหน้า
[/i]
ใช่... เขาสนุกกับการได้ปั่นหัวให้ตุลย์วิ่งวนในกำมือเหมือนหนูติดจั่น แต่สิ่งที่อีกฝ่ายไม่รู้คือ เขาเองก็วางเดิมพันกับเกมนี้ไว้สูงเช่นกัน
หากครั้งหน้าไม่เล่นระวัง คนที่เสียหมดหน้าตักอาจเป็นเขาเองก็ได้...
[/i]
---------------------
ซีดานสีดำจอดรออยู่ริมฟุตบาทในจุดที่คนไม่พลุกพล่านนัก ท้องฟ้าสีครามยามสนธยาโปรยเม็ดฝนปรอยพอให้ได้ยินเสียงหยดน้ำตกกระทบกระจกหน้าเกิดเป็นฝ้ามัว ศานนท์เอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ในรถ ไล่ดูข่าวสารผ่านโลกอินเทอร์เน็ตฆ่าเวลาไปเรื่อยขณะที่รอคอยใครบางคนซึ่งยังไม่มีวี่แววว่าจะปรากฏตัว
ชายวัยกลางคนก้มมองนาฬิกาข้อมือเรือนที่ใส่ประจำเมื่อรู้สึกตัว
ดูเหมือนจะเลยเวลานัดมาราวครึ่งชั่วโมงได้…เขาลองต่อสายหาตุลย์ดู ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อปลายสายตัดเข้าเสียงตอบรับอัตโนมัติเนื่องจากไม่สามารถติดต่อเจ้าของหมายเลขได้ แม้ว่าเขาจะโทรซ้ำอีกครั้งแล้วก็ตาม
เมื่อบ่ายตุลย์บอกว่าจะออกมาทำงานกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัย ศานนท์จึงรบเร้าจะมารับอีกฝ่ายกลับในตอนเย็น ปกติแล้วตุลย์จะโทรบอกก่อนเสมอหากมาสาย แต่เย็นนี้โทรศัพท์ของเขายังเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่ข้อความ…
หรือว่าจะแบ็ตหมด?เขารู้แก่ใจดีว่าตุลย์ดูแลตัวเองได้ แต่ส่วนลึกก็ยังเป็นกังวลเล็กๆ ประกอบกับเลยเวลานัดมาพักใหญ่ ศานนท์จึงถือโอกาสค้นรายชื่อคนใกล้ชิด ตั้งใจจะไหว้วานให้ช่วยดูแลตุลย์เสียหน่อย
ทว่าจังหวะที่ปลายนิ้วจะแตะปุ่มโทรออก เสียงเคาะกระจกจากฝั่งตรงข้ามก็ดังขึ้นเรียกความสนใจให้เงยขึ้นจากหน้าจอ เงาร่างสูงโปร่งฉายชัดหลังกระจกที่ถูกละอองน้ำเกาะเลือนพร่า แต่ศานนท์จำเค้าโครงร่างนั้นได้
ปลดล็อกประตูปุ๊บ ตุลย์ก็จ้ำอ้าวขึ้นรถทันที
“ขอโทษครับ ผมมาสายหน่อย” ร่างโปร่งที่เปียกแฉะไปครึ่งตัววางกระเป๋าลงข้างๆ หายใจหอบราวกับคนรีบร้อนวิ่งมาฝ่าฝนมายังไงอย่างนั้น “คุณรอนานหรือเปล่า? ”
“ก็นิดหน่อย เมื่อกี้ฉันโทรหาเธอไม่ติด กำลังคิดว่าจะโทรหาคนอื่นอยู่เธอก็มาพอดี”
“โทรศัพท์ผมพังน่ะ”
ศานนท์ร้อง ‘อ๋อ’ เบาๆ ขณะคาดเข็มขัดแล้วปลดเบรกมือลงเพื่อให้รถเคลื่อนตัวได้
ถึงว่าล่ะ เขาโทรไม่ติดสักที“เครื่องรวนเหรอ? ”
“เปล่าครับ จอผมแตกละเอียดหมด เลยทิ้งไปแล้ว”
หนุ่มใหญ่เลิกคิ้วแปลกใจ “ไปทำอีท่าไหนเข้าล่ะ”
“ไม่ได้ทำอะไรหรอก ผมเถียงกับเพื่อนนิดหน่อย ไม่ทันระวังเลยทำมันหลุดมือตกลงมาจากชั้นบน” ตุลย์ตอบสั้นกระชับ คิ้วยาวขมวดมุ่นดูรำคาญใจเมื่อต้องย้อนนึกถึงเรื่องที่กำลังเล่า
ปฏิกิริยานั้นทำให้ศานนท์รับรู้ได้ไม่ยากว่าร่างโปร่งอยู่ในอารมณ์หงุดหงิด แต่เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรน่าเป็นห่วง เขาจึงไม่ซักไซ้ต่อเพราะไม่อยากก้าวก่ายเรื่องในสังคมเพื่อนของอีกฝ่ายจนเกินพอดี
ท่ามกลางสายฝนที่ลงเม็ดพรำ ซีดานราคาแพงแล่นออกจากรั้วมหาวิทยาลัยเข้าสู่ถนนที่การจราจรคับคั่งแน่นขนัดเป็นกิจวัตร ตุลย์เท้าคางบนที่พักแขน เหม่อมองออกไปนอกหน้าตาต่างขณะที่หัวคิ้วขมวดเล็กน้อยราวกับกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องน่ารำคาญใจ
หลังจากนั่งเงียบไปพักใหญ่ จู่ๆ ร่างโปร่งก็ถอนหายใจยาวเหยียด
“กว่าจะพ้นแยกนี้คงชาติหน้าซะมั้ง”
ดูเหมือนสภาพท้องฟ้าอากาศและการจราจรติดหนักจะทำให้เจ้าตัวหัวเสียกว่าเก่า
“หงุดหงิดเหรอ? " หนุ่มใหญ่เลียบเคียงถาม
"เปล่าหรอกครับ" ตุลย์ปฏิเสธ
ที่จริงเขายังหงุดหงิดเรื่องที่ถูกกายปั่นประสาทจวนจะฟิวส์ขาด แถมยังยื้อเวลาทำให้ต้องติดฝนจนมาสาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดจะเอาอารมณ์ไปสาดใส่ศานนท์อย่างไร้เหตุผล“ฉันรู้ว่าเธอกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่”
“ครับ ผมยังหงุดหงิดอยู่นิดหน่อย วันนี้มันวุ่นวายน่ะ” ถูกจี้มากๆ เข้า ร่างโปร่งก็ตอบอย่างขอไปที
ศานนท์เงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะเสนอ “งั้นเราไปซื้อโทรศัพท์ใหม่กันดีมั้ย”
“หือ? ตอนนี้เหรอครับ? ”
หนุ่มใหญ่รับ ‘อือฮึ’ ในคอ
เหม่อมองไฟท้ายสีแสดของรถยนต์ที่เรียงแถวเป็นแนวยาวเหยียด ตุลย์ก็ถอนใจยอมแพ้ “ไม่ต้องหรอก มันต้องยูเทิร์นกลับไม่ใช่เหรอครับ คราวหลังเถอะ เสียเวลาจะตาย”
“ไม่เสียเวลาหรอก ถ้าเธออารมณ์ดีขึ้นน่ะ”
“.......” ร่างโปร่งถอนหายใจ ก่อนจะเบนหน้าหนีไปอีกทาง
เขาไม่คิดว่าจะมีอะไรที่ทำให้อารมณ์ดีขึ้นตอนนี้ได้หรอก...“ไม่ได้จะคาดคั้นอะไรเธอหรอกนะ”
หนุ่มใหญ่เอ่ยขึ้นราวกับรู้ทันความคิดเขา
“ที่ฉันพูดแค่อยากให้เธอรู้... ว่าฉันแคร์ความรู้สึกเธอเพราะเธอพิเศษสำหรับฉัน เธอคือคนที่ฉันอยากเห็นหน้าที่สุดในวันวันนึง ดังนั้น ถ้ามีอะไรที่ฉันพอจะทำให้เธออารมณ์ดีขึ้นได้บ้าง มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะต้องเสียดายเวลาหรอก”
น้ำเสียงของศานนท์เรียบเป็นปกติราวกับกำลังอธิบายเรื่องธรรมดาทั่วไปเรื่องหนึ่ง แต่เรียกให้ผู้ฟังถอนสายตาจากความเคลื่อนไหวนอกกระจกกลับมาภายในรถ
สายตาของตุลย์เผอิญบรรจบกับศานนท์พอดีตอนที่หันกลับมา หนุ่มใหญ่ดึงเบรกมือขึ้นโดยที่มือขวาวางพาดอยู่บนพวงมาลัย เอี้ยวตัวมาด้านข้างเล็กน้อยราวกับสนใจแค่เพียงเขา
ความเอาใจใส่ที่สะท้อนผ่านแววตาและภาษากายก่อให้เกิดเป็นความอบอุ่นปลอดภัยแบบที่คุ้นเคยชิน ตุลย์ก็คล้ายจะหลงลืมความโกรธไปครู่
ชั่วอึดใจที่ไม่มีใครพูดอะไร ระหว่างพวกเขาทั้งคู่จึงมีแค่ความเงียบห้อมล้อมด้วยเสียงเพลงจากสถานีวิทยุ จังหวะดนตรีช้าๆ ฟังสบายเหลื่อมรับกับเสียงฝนจากด้านนอก
ตุลย์ยิ้มออกมาเล็กน้อย "อยู่ๆ ก็คุณพูดอะไรเยอะแยะจนผมตามไม่ทัน...”
“นั่นน่ะสิ” หนุ่มใหญ่หัวเราะเบาๆ ไม่ปฏิเสธ “สำหรับเธอ อะไรก็ได้ ถ้ามันทำให้อารมณ์ดีขึ้น ไหนลองบอกฉันมาสิ...”
ท้ายประโยคจงใจแผ่วลงจนฟังดูแสนเอาอกเอาใจ ศานนท์ช้อนมองเขาด้วยสายตาที่เปิดเผยความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาแต่แฝงด้วยการเว้าวอนซึ่งมันกระตุ้นบางอย่างที่ตุลย์ไม่รู้จักให้ก่อตัวขึ้นข้างในใจ
แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำความเข้าใจความรู้สึกนั้น ปลายนิ้วหัวแม่มือของหนุ่มใหญ่ก็เอื้อมมาแตะคางเขา ก่อนที่มือหนาเชยกรอบหน้าให้มาทางขวาเพื่อจูบ ริมฝีปากของทั้งคู่จะแตะกันเบาๆ พอเกิดเสียง สัมผัสอุ่นชื้นยามที่ริมฝีปากเบียดชิดกันนุ่มนวลอ้อยอิ่งปราศจากความรีบร้อน แต่กลับหวานละมุนชวนเสพติดจนโหยหาอยากสัมผัสอีก
“อืม…”
ตุลย์ครางเบาๆ รั้งไหล่กว้างให้โน้มเข้ามาใกล้อีกนิด ก่อนจะปรับเปลี่ยนองศาเอียงใบหน้าจูบตอบในแบบที่นิ่มนวลเชื่องช้าพอๆ กัน
เม็ดฝนโปรยลงมาจากท้องฟ้าครึ้มเมฆสีครามในเวลาย่ำค่ำ ไฟท้ายสีแดงฉาดของรถยนต์ที่จอดนิ่งสนิทอยู่เบื้องหน้าตัดกับสีท้องฟ้า โคมถนนส่องสว่างให้แสงแก่สองข้างทางในขณะที่ผู้คนถือร่มหลากสีหลากลวดลายเดินขวักไขว่สวนกันไปมาตามทางเท้าเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านหลังจากเลิกงาน เหล่านี้ล้วนเป็นภาพปกติของวิถีชีวิตชาวเมืองกรุงที่เห็นจนชินตา
เพียงแต่ครั้งนี้เขากลับรู้สึกพอใจหากว่ารถจะติดนานขึ้นอีกหน่อย...