บทที่ 22
ความสูญเสีย
[/b]
หลังจากแยกย้ายกันแล้วคำน้อยก็รีบกลับไปยังคุ้มเพื่อเก็บของจำเป็น ในระหว่างเดินออกมานั้น บังเอิญเจอกับนางเขียนที่กำลังเดินสวนเข้ามาพอดี
“เอ็งจะไปที่ใดรึคำน้อย เหตุใดจึงถือห่อผ้ามาด้วย”
“ข้า...” คำน้อยอึกอัก ยังไม่มั่นใจว่าจะเชื่อใจเขียนได้มากน้อยแค่ไหน
“ตอนนี้ข้าก็ตกที่นั่งลำบากเช่นกัน มีแผนอันใดบอกข้าเถิดเราจะได้ช่วยกัน”
“ข้ากำลังจะพาเจ้าอินเหลาหนีออกไปจากที่นี่ รู้เยี่ยงนี้แล้วยังจะอยากไปเสี่ยงกับข้าอยู่อีกหรือไม่” คำน้อยกล่าวอย่างระแวดระวัง กลัวว่าใครจะเข้ามาได้เย็นเสียก่อน
“ไปสิ ขืนอยู่ที่นี่ต่อไปมีหวังข้าโดนเจ้านางเครือแก้วฆ่าตายแน่”
“ถ้าเช่นนั้นรีบไปเสียตอนนี้เลย”
“อื้ม”
สนทนากันจบแล้วทั้งสองก็รีบตรงไปที่วัดหลวง ซึ่งตอนนี้อินเหลาอยู่ในความดูแลของตนบุญนั่นเอง
..........
มาถึงแล้วคำน้อยกับเขียนก็เข้าไปกราบตนบุญ กล่าววัตถุประสงค์ที่มาในวันนี้ และถือโอกาสกล่าวลาก่อนจะหนีออกไปจากเมือง โดยไม่รู้ว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกหรือไม่
“คิดดีแล้วหรือโยมคำน้อย”
“ไม่มีหนทางอื่นแล้วเจ้า หากไม่ทำเยี่ยงนี้เจ้าอินเหลาคงไม่มีชีวิตรอดเป็นแน่”
“ถ้าเช่นนั้นก็รีบไปเสีย อาตมาคงช่วยโยมได้เพียงเท่านี้” ตนบุญกล่าวแล้วยื่นบางอย่างให้
“อันใดรึท่านตนบุญ”
“ตะกุดนี้จะช่วยให้พวกเจ้าแคล้วคลาดจากผยันตรายทั้งปวง อาตมานำมันให้เจ้าอินเหลาก่อนหน้านี้แล้ว”
“ขอบน้ำใจท่านตนบุญเจ้า หากข้าเจ้ายังไม่ตายเสียก่อน คงมีโอกาสได้กลับมากราบท่านอีกครั้ง” ว่าแล้วทั้งสองก็ก้มลงกราบคนบุญ
“อย่าลืมนะโยมคำน้อย โยมต้องใส่ตะกุดนี่ติดตัวเอาไว้ตลอด ห้ามนำมันออกจากตัวไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้นก็ตาม”
“ข้าเจ้าจะทำตามที่ท่านตนบุญกำชับเจ้า”
ท่านตนบุญพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับอินเหลาที่นั่งอยู่ข้างคำน้อย
“สักวันท่านจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้งอย่างสง่าผ่าเผย จงดูแลรักษาตัวให้ดี อาตมาจะรอท่านอยู่ที่นี่”
“เจ้า ท่านตนบุญรอข้าที่นี่อย่าไปไหนนะ สักวันข้าจะกลับมา” อินเหลากล่าวแล้วก้มลงกราบ
“อาตมาจะรอท่านที่นี่ รีบไปกันเถิดเดี๋ยวจะไม่ทันการ”
“ข้าเจ้าขอลาก่อน”
กราบตนบุญแล้วทั้งสามก็รีบออกไปจากวัดหลวงอย่างระแวดระวัง
เดินลัดเลาะตามพื้นที่อับคนมาเรื่อย ๆ ทว่ายังไม่พ้นประตูทางออกเลยด้วยซ้ำ ก็เจอกับกลุ่มทหารของเมืองผาพิงค์ นั่นทำให้ทั้งสามตกอยู่ในที่นั่งลำบากทันที ดาบที่เตรียมมาด้วยถูกนำออกมาขู่ศัตรูอย่างอาจหาญ
“พวกเอ็งจักไปที่ใดกันคำน้อย”
“หลีกทางบัดเดี๋ยวนี้! เจ้าหลวงแสงคำมีรับสั่งให้ข้า พาเจ้าเด็กนี่ออกไปฆ่าที่นอกเมือง”
“เหตุใดพวกข้าไม่รู้เรื่องนี้เลย อีกอย่างตอนนี้เอ็งทำตัวมีพิรุธ พวกข้าคงให้เอ็งออกไปนอกเมืองมิได้ดอก” ทหารทั้งสี่นายมองคำน้อยอย่างไม่ไว้ใจ
“หรือพวกเอ็งจะขัดคำบัญชาของเจ้าหลวงงั้นรึ”
“พวกข้าหาเชื่อเอ็งไม่ เอ็งอยู่ที่นี่นานจนกลายเป็นคนเมืองเชียงราชคำไปแล้ว รีบกลับเข้าไปไม่เช่นนั้นอย่างหาว่าข้าไม่เตือน”
“ข้าบอกให้หลีกไป ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าพวกเอ็งให้ตายเสีย” คำน้อยยกดาบขึ้นมาขู่ ส่วนเขียนและอินเหลายืนกอดกันอยู่ด้านหลัง
“คำน้อยข้ากลัว ฮือๆ ๆ” อินเหลาตกใจจนร้องไห้เสียงดัง เขียนจึงกอดองค์รัชทายาทไว้แน่น
“หาต้องกลัวอันใดไม่เจ้าอินเหลา ข้าเจ้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำอันตรายเจ้าอินเหลาได้แน่”
“ใครที่มันเป็นกบฏต้องจัดการให้สิ้นซาก ฆ่ามันให้หมดทุกคน” หนึ่งในกลุ่มทหารกล่าว ก่อนจะชักดาบขึ้นมา เดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ นั่นทำให้คำน้อยถอยหลังทันที
“เขียนพาเจ้าอินเหลาหนีไปก่อนเร็ว!”
“แล้วเอ็งล่ะคำน้อย”
“ไม่ต้องเป็นห่วงข้ารีบไป”
“เอ็งต้องรีบตามไปนะคำน้อย” ว่าแล้วเขียนก็รีบพาอินเหลาวิ่งหนีไปอีกทาง แต่ทว่าทหารพวกนั้นกลับแบ่งกลุ่มกัน ตามหลังไปสองนาย
คำน้อยพยายามดวลดาบกับทหารชาติเดียวกันอย่างไม่ยอมแพ้ โชคดีที่เขาเคยฝึกวิชาการต่อสู้มาพร้อมกับแสงหล้า เมื่อครั้งยังอยู่ที่เมืองผาพิงค์ ทำให้พอสู้เอาตัวรอดได้
“ยอมแพ้พวกข้าเถอะคำน้อย แล้วกลับไปรับโทษกับเจ้าหลวง”
“ไม่! ข้าไม่ยอมแพ้พวกเอ็งดอก” แม้ร่างกายจะอ่อนแรงเพราะโดนฟันเข้าที่แขน แต่ทว่าก็ยังฮึดสู้
“ถ้าเช่นนั้นก็ตายซะเถอะ!”
ฉับ! ฉึก!
“เอื้อก อ็อก” ดาบเล่มใหญ่ฟันเข้าที่แผงอกของคำน้อย จนตะกุดที่ตนบุญให้ขาดร่วงลงพื้น ก่อนจะถูกแทงเข้าที่หน้าท้องจนปลายดาบโผล่ไปที่ด้านหลัง
“คำน้อย!!”
แสงหล้าที่เพิ่งจะช่วยจักรคำและเมืองแมนออกมาได้สำเร็จ เจอภาพนั้นเข้าพอดี จึงตะโกนลั่นด้วยความตกใจอย่างสุดขีด น้ำตาไหลพรากลงมาทาง
“คำน้อยเมียพี่!” เมืองแมนเองก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน รีบวิ่งเข้าไปถีบทหารคนนั้นแล้วชักดาบแทงเข้าตรงจุดเดียวกับที่ทำกับคำน้อย และอีกคนที่เหลือถูกจักรคำสังหารไปเรียบร้อยแล้ว
“แสงหล้าเอ็งอย่าเป็นอะไรไปนะ ฮึก เอ็งต้องสู้นะคำน้อย เรากำลังจะออกไปจากที่นี่กันแล้ว” แสงหล้าเข้าไปสวมกอด จนอาภรณ์เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ร้องไห้ราวจะขาดใจเมื่อเห็นแววตาเศร้าของคำน้อย
“ระ...รีบไปช่วยเจ้าอินเหลา เฮือก” คำน้อยพยายามชี้ไปยังทิศที่คนทั้งสองหลบหนีไปก่อนหน้านั้น
“คำน้อยเมียพี่ เจ้าห้ามเป็นอันใดเด็ดขาด ฮึก” เมืองแมนลูบไล้ตามพวงแก้มขาวอย่างอาลัยอาวรณ์ ไม่นึกเลยว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น
“ข้าห้ามเลือดให้แล้ว เรารีบไปช่วยเจ้าอินเหลากันเถอะ”
“ช่วยพยุงคำน้อยขึ้นหลังข้าที” เมืองแมนเอ่ยผ่านม่านน้ำตา แสงหล้าและจักรคำจึงช่วยกันพยุงร่างที่ไร้ซึ่งพลังงานขึ้นไปบนแผ่นหลังเมืองแมน ก่อนจะรีบออกเดินทางไปช่วยอินเหลา
..........
ตอนนี้นางเขียนจูงมืออินเหลาวิ่งออกมายังทางลับ ที่เคยใช้เข้าออกเป็นประจำ แต่ทว่าทหารทั้งสองนายยังคงวิ่งตามมาติด ๆ จนเธอเริ่มอ่อนแรงและสะดุดล้มในที่สุด
“โอ้ย! เจ้าอินเหลารีบหนีไปเจ้าค่ะ”
“แต่ข้าหารู้ทางไม่”
“รีบวิ่งที่อุโมงค์ตรงนั้นเร็ว เร็วสิเจ้าคะ”
“อะ...อื้ม” อินเหลาหวาดกลัวจนร้องไห้มาตลอดทาง แม้กระทั่งตอนนี้น้ำตายังคงไม่หยุดไหล คิดถึงผู้เป็นบิดาจับใจ อยากจะเห็นหน้าเหลือเกิน เมื่อเห็นทหารกำลังจะเข้ามาอินเหลาก็รีบวิ่งหนีไปทันที
“ปล่อยเจ้าอินเหลาไปเถอะนะข้าขอร้อง” เขียนยกมือไหว้ขอร้อง แต่กลับไม่เป็นผล ทหารทั้งสองนายกำลังจะวิ่งตามไป นางเขียนรีบกอดขาเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ส่วนอีกคนได้ตามอินเหลาไป
“ปล่อยเดี๋ยวนี้” ชายฉกรรจ์พยายามสะบัดขา แต่ก็ไม่สามารถสลัดนางเขียนออกไปได้
“ไม่ปล่อย ข้าจะไม่ยอมให้พวกเอ็งมาย่ำยีเจ้านายข้าเด็ดขาด”
“ถ้างั้นก็ตายซะเถอะ”
ฉึก!
“เฮือก!”
นางเขียนโดนแทงเข้าที่แผ่นหลัง จนเลือดไหลทะลักออกมาจากปาก แต่ทว่ายังไม่ยอมปล่อยมือ
“โธ่โว้ย! ตายยากตายเย็นเหลือเกิน” กำลังจะง้างดาบแทงอีกครั้ง
ฉึก!
ดาบที่อยู่ในมือของทหารคนนั้นหล่นลงพื้น เพราะโดนจักรคำใช้ดาบแทงเข้าที่แผ่นหลัง จนล้มลงกับพื้น
“เขียน!” แสงหล้ารีบวิ่งเข้ามาดูอาการนางเขียน
“มันตามเจ้าอินเหลาไปแล้ว เฮือก!” พูดจบนางเขียนก็สิ้นใจฟลุบหน้าลงกับพื้น แสงหล้าเห็นอย่างนั้นก็น้ำตาไหล ไม่คิดว่าวันหนึ่งคนอย่างเขียนจะกลายมาเป็นมิตรได้ แถมยังช่วยชีวิตอินเหลาจนต้องมาสิ้นใจตายอย่างนี้
“เรารีบไปกันเถิดเจ้าพี่ ฮึก”
ทั้งหมดต้องจำใจทิ้งศพนางเขียนเอาไว้อย่างนั้น ก่อนจะรีบตามไปช่วยอินเหลา
...........
อินเหลาวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต แต่ทว่าเด็กคงไม่สามารถเอาชนะผู้ใหญ่ได้ จนในที่สุดทหารผู้นั้นก็สามารถคว้าตัวอินเหลาไว้ได้
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ ฮือ เจ้าพ่อช่วยลูกด้วย” เจ้าเด็กน้อยพยายามดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระ
“ปล่อยลูกข้าบัดเดี๋ยวนี้”
จักรคำเข้ามาได้ทันการจึงชักดาบขึ้นขู่ มองด้วยสายตาที่เกรี้ยวกราด
“เจ้าพ่อ ฮือ ช่วยลูกด้วย ลูกกลัวเหลือเกิน”
“หุบปาก! ไม่งั้นข้าจะปิดปากเจ้าด้วยดาบเล่มนี้”
“ปล่อยเจ้าอินเหลาบัดเดี๋ยวนี้ หากเอ็งปล่อย ข้ารับรองว่าจะไม่มีผู้ใดทำร้ายเอ็ง” ถึงยังไงก็เป็นคนชาติเดียวกัน แสงหล้าจึงพยายามเกลี้ยกล่อม เพื่อไม่ให้ต้องเสียเลือดเสียเนื้อกันอีก
“แต่เจ้าหลวงได้มีรับสั่ง ให้ฆ่าหน่อเนื้อของเจ้าหลวงพรหมาวงศ์ไม่ให้เหลือ รวมถึงผู้ที่ไม่จงรักภักดีต่อบ้านเมืองเยี่ยงเจ้าด้วย”
“ถึงอย่างไรข้าก็เป็นลูกเจ้าพ่อ มิควรมาลบหลู่ข้าเยี่ยงนี้ หากเอ็งไม่ปล่อยอินเหลา รับรองว่าข้าจะให้เจ้าพ่อจัดการเอ็งแน่ เคยได้ยินหรือไม่ว่าสายเลือดยังไงก็ตัดกันไม่ขาด”
ได้ยินอย่างนั้นทหารหนุ่มก็เริ่มลังเลใจ ก่อนจะตัดสินใจลดดาบลง ยอมปล่อยตัวอินเหลาให้เป็นอิสระ
“ข้าเจ้าขออภัยที่พูดจาล่วงเกินเจ้าแสงหล้า ได้โปรดยกโทษให้ข้าเจ้าด้วยเถิด”
“ข้ามิได้ถือสาเอ็งดอก รีบกลับไปแล้วลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเสีย”
“เจ้า”
ฉึก!
“เฮือก!”
“เจ้าพี่อย่า!”
ขณะที่ทหารผู้นั้นกำลังจะเดินไป จักรคำกลับจ้วงแทงจนล้มกองอยู่บนพื้น สิ้นลมหายใจในทันที
“หากปล่อยไปเราอาจจะไม่รอด”
“แต่ทหารผู้นี้ยอมปล่อยอินเหลา คงไม่มีทางนำเรื่องนี้ไปบอกใครแน่นอน”
“ตอนนี้เรามิควรไว้ใจใครทั้งนั้น รีบไปกันเถอะก่อนจะมีคนตามมา”
“เจ้า”
แสงหล้ายอมรับฟังแม้จะรู้สึกไม่ชอบใจอยู่บ้าง เขาไม่อยากให้มีการสูญเสีย การนองเลือดอีกแล้ว หวังว่าการออกไปจากเมืองเชียงราชคำในครั้งนี้ จะทำให้เรื่องทุกอย่างมันสงบลงได้ หากทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วเขาจะกลับมาขอโทษบิดาด้วยตัวเอง
..........
ออกเดินทางมาเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย จนท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำ จักรคำเดินสำรวจจนเจอถ้ำขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ท่ามกลางหุบเขาสูง มั่นใจว่าน่าจะปลอดภัยสำหรับการหลับนอนในค่ำคืนนี้
กองไฟน้อย ๆ ถูกจุดขึ้นมาเพื่อให้แสงสว่างและความอบอุ่น ตอนนี้ทุกคนต่างให้ความสนใจกับคำน้อย ที่กำลังนอนหายใจรวยรินอยู่บนใบตอง ที่เมืองแมนตั้งใจหามาปูรองให้
“คำน้อย ฮึก เอ็งเป็นเช่นใดบ้าง” แสงหล้ากุมมือข้าไทคนสนิทไว้แน่น จ้องมองใบหน้าอันซีดเซียว น้ำตาไหลพรากลงมาเป็นสาย บาดแผลฉกรรจ์ที่คำน้อยได้รับ มันสาหัสเกินที่จะเยียวยาได้แล้ว เจ้าตัวได้แต่ภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาผืนป่าแห่งนี้ ช่วยให้คำน้อยรอดพ้นจากวิบากกรรมในครั้งนี้
“ข้าเจ้า...มิได้เป็นอันใด เจ้านายน้อยโปรดวางใจ” เสียงอันแผ่วเบาเอ่ยออกมาจากปากคนป่วย ที่หางตามีหยดน้ำใส ๆ ไหลลงเป็นทาง
เมืองแมนได้แต่นั่งจับมืออีกข้างไว้ จ้องมองหน้าชายาปานจะขาดใจ เขาเสียใจที่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยใส่ใจคำน้อยเท่าที่ควร ห่วงแต่เรื่องการแย่งชิงราชสมบัติ จนมาถึงตอนนี้เพิ่งจะรู้ใจตัวเองว่ารักคนคนนี้มากแค่ไหน หากตายแทนได้เขาก็จะทำ
“เอ็งจะต้องไม่เป็นไร ข้าจักพาเอ็งไปรักษากับหมอที่เก่งที่สุด แต่เอ็งต้องอดทนเข้าไว้นะ เราจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน”
“เจ้า...เราจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน เฮือก...” คนป่วยพยายามฝืนยิ้ม
“คำน้อยจะต้องไม่เป็นอะไรนะ หายดีแล้วเราจะมาเล่นขี่ม้าก้านกล้วยด้วยกันอีกนะ” อินเหลาส่งยิ้มให้
“เจ้า” คำน้อยตอบรับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนจะหันไปมองคนที่จับมือไปซบแก้มตัวเองไว้ จ้องมองมาทั้งที่ยังร้องไห้ตลอดเวลา
“เจ้าพี่”
“คำน้อยเมียพี่ พี่ขอโทษที่ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้ พี่มันเลวเกินกว่าจะให้อภัย ฮือ” เมืองแมนร้องไห้อย่างไม่อายใคร เห็นสภาพของคำน้อยยิ่งตอกย้ำให้เจ้าตัวคิดว่า ตัวเองเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ทำให้ต้องสูญเสียคนที่รักไปทีละคน
“ข้าเจ้าดีใจ ที่เจ้าพี่คิดได้ สัญญาได้ไหม หากไม่มีข้าเจ้าแล้ว ขอให้เจ้าพี่จงทำแต่สิ่งดี ๆ เรื่องที่ผ่านมาแล้วขอให้มันผ่านไป” คำน้อยพยายามฝืนพูด ทั้งที่ตอนนี้เจ็บบริเวณแผลเจียนจะขาดใจ
“พี่สัญญา แต่เจ้าต้องสัญญาว่าจะไม่จากพี่ไปไหน เจ้าจะอยู่กับพี่ไปตลอดชีวิต”
“ข้าเจ้าสัญญา ว่าจะอยู่กับเจ้าพี่ตลอดไป”
“พี่ขอโทษที่เคยข่มเหงน้ำใจเจ้า แต่ขอให้รู้ไว้ว่าพี่รักเจ้ามาก หัวใจของพี่มีเพียงแค่เจ้าเท่านั้น ฮึก” เมืองแมนโน้มใบหน้าลงไปจุมพิต ที่กลางหน้าผากชายาสุดที่รักอย่างทะนุถนอม
แสงหล้าและจักรคำต่างก็มองดูภาพนั้นผ่านม่านน้ำตา คำน้อยเป็นข้าไทที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีมาโดยตลอด ยอมอุทิศทั้งกายและใจเพื่อนคนรอบข้างโดยไม่คิดถึงตัวเอง บัดนี้คงถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องพักผ่อนให้สบาย ไม่ต้องมาเจ็บปวดและทรมานอีกแล้ว
“ข้าเจ้าก็...ระ...รักเจ้าพี่” นี่เป็นคำบอกรักครั้งแรกที่เมืองแมนได้ยิน ทำให้น้ำตาไหลหลั่งออกมายิ่งกว่าเดิมเสียอีก
“ฮือ คำน้อยเมียพี่”
กล่าวจบคำน้อยก็หลับตาลง ริมฝีปากยังคงยิ้ม นอนนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่ขยับเขยื้อน ลมหายใจเริ่มแผ่วเบาลงเรื่อย ๆ จนสิ้นใจในที่สุด
“คำน้อย! เอ็งจะจากข้าไปเยี่ยงนี้ไม่ได้นะ ฮือ ฟื้นขึ้นมาสิคำน้อย” แสงหล้าปล่อยโฮออกมาอย่างหนักหน่วง กอดรัดร่างที่ไร้วิญญาณด้วยความเศร้าเสียใจ
“คำน้อย...ไหนเจ้าบอกว่าจะอยู่กับพี่ตลอดไป ลืมตาขึ้นมาสิคำน้อย ตื่นขึ้นมาพูดกับพี่ ฮือ...” เมืองแมนกอดร่างชายาไว้อย่างแนบแน่น เขย่าตัวเพื่อให้อีกฝ่ายฟื้นขึ้นมา แต่ทว่าปาฏิหาริย์กลับไม่มีจริง จึงทำได้เพียงกอดร่างไร้วิญญาณ ร้องไห้ร้องห่มไปอย่างนั้นจนถึงรุ่งเช้า
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*
เช้าวันรุ่งขึ้น...
ศพของคำน้อยถูกฝังไว้บริเวณหน้าปากถ้ำ แสงหล้าพยายามเดินเข้าป่าไปเก็บดอกไม้ป่ามาประดับตกแต่งหลุมศพให้เท่าที่จะสามารถทำได้ เมืองแมนยังคงนั่งเฝ้าหลุมศพอย่างหมดสภาพ เผ้าผมยุ่ง เนื้อตัวเต็มไปด้วยคราบดินโคลน แววตาเศร้าจ้องมองไปยังหลุมศพตลอดเวลา
“หากชาติหน้ามีจริง ขอให้เราได้เกิดมาเป็นพี่น้องกันนะคำน้อย ฮึก” แสงหล้ากลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ จักรคำได้แต่ยืนโอบไหล่ชายาเพื่อปลอบใจ
“ข้าสัญญาว่าจะดูแลเจ้านายน้อยของเอ็งให้ดีที่สุด ไม่ต้องเป็นห่วงอันใดนะคำน้อย” จักรคำเอ่ยกับคำน้อยเป็นครั้งสุดท้าย
“คำน้อยของพี่ เจ้าจะไม่กลับมาหาพี่แล้วจริง ๆ หรือ ฮือ...” เมืองแมนวางมือไว้บนหลุมฝังศพ ราวกับต้องการสื่อสารกับร่างไร้วิญญาณที่ถูกฝังอยู่ในนั้น
“ลุกขึ้นเถอะน้องพี่ เราต้องเดินทางกันต่อแล้ว”
“ไม่! ข้าจะอยู่กับคำน้อยที่นี่”
“แต่ที่นี่มันอันตราย หากเจ้าอยู่ที่นี่ต่อไป คนของแสงชัยอาจจะทำร้ายเจ้าก็เป็นได้”
“ข้าไม่กลัวอันใดแล้ว คนเยี่ยงข้าตายซะได้ก็ดี อยู่ไปก็รกโลก”
“ทำไมเจ้าพูดเยี่ยงนั้น มนุษย์ทุกคนย่อมมีค่าในตัวเอง แม้แต่สิ่งที่ไร้ชีวิตก็มีคุณค่า เรื่องมันผ่านมาแล้วเจ้าอย่าเก็บมาใส่ใจอีกเลย”
“เจ้าพี่กับแสงหน้าไปเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี่ อยู่ดูแลหลุมศพของคำน้อย หากข้าไม่ตายเสียก่อน เราอาจจะได้เจอกันอีก” เมืองแมนหันมามองหน้าพี่ชายด้วยแววตาเศร้า พวงแก้มเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา เดินเข่าเข้าไปหาพี่ชายก่อนจะก้มกราบแทบเท้า
จักรคำมองหน้าแสงหล้าอย่างหมดหนทางที่จะเกลี้ยกล่อม จึงเอื้อมมือไปลูบเรือนผมน้องชายเบา ๆ “หากเจ้าต้องการเยี่ยงนี้ ข้าก็ไม่จัด แต่ขอให้เจ้าระวังตัวให้มาก ๆ ให้รู้ไว้ว่าพี่ชายเจ้าคนนี้รักและเป็นห่วงเจ้าเสมอ”
“ข้าขอโทษที่จงเกลียดจงชังเจ้าพี่มาโดยตลอด ข้าขอโทษ ฮือ...”
จักรคำดึงตัวน้องชายมากอดไว้ แม้ว่าเมืองแมนจะเป็นคนมุทะลุ แต่ทว่าความจริงเป็นผู้ชายที่จิตใจอ่อนแอมาก โหยหาความรักอยู่ตลอดเวลา แต่ด้วยนิสัยที่แสดงออกมา ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่กับน้องไม่สนิทแนบแน่นเท่าที่ควร
“ถึงข้าจะเคยโกรธเจ้า แต่ให้รู้ไว้ว่าข้าไม่เคยเกลียดน้องชายตัวเอง ยังรักและเป็นห่วงเจ้าเสมอ ดูแลตัวเองให้ดีนะน้องพี่”
“เจ้าพี่เองก็เช่นกัน ดูแลตัวเองให้ดี ๆ” ชายหนุ่มทั้งสองยิ้มให้กันเป็นครั้งแรกในชีวิต “อินเหลามาให้น้ากอดหน่อยสิ”
ได้ยินอย่างนั้นเด็กชายก็เดินเข้าไปหาผู้เป็นน้าอย่างว่าง่าย เมืองแมนโอบกอดหลานชายเป็นครั้งแรกในชีวิต ลูบกลางกระหม่อมอย่างเอ็นดู
“เป็นเด็กดีเชื่อฟังพ่อของเจ้านะอินเหลา”
“อินเหลาจะเป็นเด็กดีเจ้า”
“ดีมาก” เมืองแมนลูบกลางกระหม่อมหลานตัวน้อยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนจะลุกขึ้นยืน หันไปส่งยิ้มให้กับแสงหล้า
“ฝากพี่ชายข้าด้วยนะเจ้าแสงหล้า”
“มิต้องห่วงอันใด ข้าจะดูคอยดูแลเจ้าพี่และอินเหลาเป็นอย่างดี ท่านเองก็ดูแลตัวเองด้วยนะ ข้าดีใจที่อย่างน้อยท่านก็รักคำน้อยจากใจจริง มิได้เพียงแค่ต้องการเอาชนะ ฝากดูแลคำน้อยด้วยนะ”
“อื้ม ข้าจะดูแลคำน้อยเองไม่ต้องห่วง หากเราไม่ตายจากกันคงได้เจอกันอีก”
ทั้งสองส่งรอยยิ้มแห่งมิตรภาพให้กันก่อนจะแยกย้าย เมืองแมนกลับไปนั่งเฝ้าที่หลุมศพของคำน้อย ส่วนสามคนที่เหลือเดินมุ่งหน้าออกไปจากเขตพื้นที่ของเมืองเชียงราชคำ รักษาชีวิตเอาไว้ก่อน หลังจากนั้นค่อยคิดหาหนทางว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตนับจากนี้ไป
................
มาแล้วคร้าบบบบ หลังจากนี้จะลงบ่อยขึ้นนะ จะพยายามเขียนให้จบเร็ว ๆ ครับผม