18
~ เดินต่อหรือหันหลังกลับ? ~
ROME’s PARTว่ากันว่า คลื่นลมทะเลมักจะสงบเป็นพิเศษก่อนที่พายุครั้งใหญ่จะโหมกระหน่ำ
ผมควรจะเอะใจสักนิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันดูราบรื่นสวยงามเกินไป ควรจะฉุกคิดให้มากๆ ว่าเรื่องระหว่างผมกับทิชาไม่มีทางจบลงอย่างมีความสุขสมหวังง่ายๆ เหมือนในละคร.... และผมก็ควรจะเรียกน้องเอาไว้ ไม่ปล่อยให้กลับออกไปตัวคนเดียว หรืออย่างน้อยก็ควรเป็นฝ่ายโทรหาน้องทุกชั่วโมง
ผมผิดเองที่วางใจจนเกินไป
ผมผิดเองที่มัวแต่นอนไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ในห้องพักผู้ป่วย ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมากมายสักหน่อย
ผมผิดเองที่ไม่ได้ดูแลทิชาให้ดีเหมือนเช่นที่ปากพูด
ผมผิดเองที่คิดว่าแค่ห่างกันไม่กี่ชั่วโมงก็ไม่เห็นเป็นไร อีกประเดี๋ยวทิชาก็กลับมาแล้ว ไม่มีสักเสี้ยวหนึ่งในสมองเลยที่คิดว่าบางทีน้องอาจจะไม่กลับมาก็ได้
แล้วตอนนี้ ทิชาก็ไม่ได้กลับมาหาผมจริงๆ
ทั้งหมด.... เป็นความผิดของผมเอง
เส้นเลือดตรงหลังมือซ้ายเต้นตุบจนปวดไปหมดหลังจากที่สายน้ำเกลือถูกกระชากออก แม้เลือดจะไหลโกรกหรือใครจะพยายามพูดกรอกหูเรื่องแผลเน่าติดเชื้อ ผมก็ไม่สน เพราะสิ่งเดียวที่ผมสนใจในเวลานี้ก็คือทำยังไงก็ได้เพื่อไปให้ถึงโรงพยาบาลที่ทิชาถูกส่งตัวไปรักษาโดยเร็วที่สุด
แน่นอนว่าป๊ากับม๊าไม่มีทางยอม แต่พอเห็นผมสติแตกโวยวายจะออกไปหาทิชาให้ได้ พวกท่านก็มีทีท่าอ่อนลงและอนุญาตให้ผมออกจากโรงพยาบาล โดยที่ท่านจะนั่งรถไปด้วยเพราะเกรงว่าถ้าปล่อยให้ผมอยู่ตัวคนเดียวแล้วจะยิ่งหุนหันพลันแล่นจนเกิดอุบัติเหตุซ้ำขึ้นอีกคน.... ผมร้อนใจมาก กว่าจะเดินเรื่องเอกสารเสร็จก็กินเวลาไปเป็นชั่วโมง ข่าวออนไลน์แทบทุกสำนักพาดหัวอัพเดทถึงทิชาว่าสาหัสหรือไม่ก็ปางตายยิ่งทำให้ผมจวนเจียนจะคลุ้มคลั่ง ข้างในอกมันยิ่งกว่ามีไฟสุม ไม่รู้ว่าทิชาไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไง ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าน้ำตาไหลออกมาตั้งแต่เมื่อไร ในหัวมีแต่คำถามว่านี่มันเรื่องเหี้ยอะไรกัน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อยากเชื่อว่าข่าวที่เห็น สิ่งที่ได้ยินได้ฟังนั้นเป็นความจริง
ทุกอย่างรอบตัวมันเบลอ เลือนรางและแตกละเอียดประหนึ่งเศษแก้ว เลวร้ายยิ่งกว่าตอนที่ตัวผมถูกยิงเสียอีก เพราะตอนนั้นผมก็แค่เจ็บ แต่ตอนนี้ผมทั้งเจ็บแล้วก็ทรมาน.... แค่คิดว่าในวันพรุ่งนี้หรือวันต่อๆ ไปจะไม่ได้ยินเสียงทิชา จะไม่ได้เห็นน้อง จะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างที่ฝันไว้ ผมก็แทบหายใจไม่ออกแล้ว
กว่าผมจะรู้ใจตัวเองว่ารักใคร ทิชาก็เจ็บจนกระอัก
แล้วพอผมกับทิชาอุตส่าห์ผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหลายแหล่ไปได้ ก็ยังจะมีความเหวห่าบ้าบอของคนอื่นมาทำให้เราต้องแยกจากกัน
มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง....?
ทำไมกับอีแค่การที่คนสองคนจะรักกันมันถึงได้ยากขนาดนี้....?
ปี๊นนนนนนนน!!!!!!“ขวางทางกูอยู่ได้ ไอ้สัตว์เอ๊ย!!”
ผมตบแตรเสียงดังลั่นถนนพร้อมกับตะโกนด่ารถกระป๋องเฮงซวยซึ่งขับช้าขวางหน้าจะไปไหนก็ไม่ไปสักที.... ก็ไม่รู้หรอกว่าฝ่ายนั้นช้าเองจริงๆ หรือผมนั่นแหละที่ใจร้อนมากเสียจนแทบจะจุดไฟเผาถนนไล่ไอ้พวกเต่าคลานไปตายห่าให้หมด
“โรม ใจเย็นๆ ก่อน.........”
ป๊าเอ่ยเตือนหลังจากได้ยินผมสบถด่ารถทุกคันในบริเวณนั้น ถึงแม้จะเป็นสายใต้เส้นออกต่างจังหวัดแต่เวลาคล้อยบ่ายเกือบเย็นเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะสามารถเร่งความเร็วได้ตามใจ และผมก็หงุดหงิดไล่ปาดไล่แซงชาวบ้านเขาไปทั่วจนน่ากลัวว่าจะไปชนท้ายใครเข้า
“ขับรถไหวหรือเปล่า.... ถ้าไม่ไหว เปลี่ยนให้ป๊าขับแทนดีกว่านะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมโอเค”
แม้ไม่ได้ถูกว่าตรงๆ แต่คำถามของป๊าก็ทำให้ผมรู้สึกตัวว่ากำลังจะขาดสติ ผมยังคงยืนกรานว่าจะขับรถเอง พยายามสูดลมหายใจลึกๆ ทำให้ใจเย็นขึ้น หากพอคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับทิชาในตอนที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน อกข้างซ้ายของผมก็ทำท่าจะระเบิดเป็นเศษเนื้อแหลกเหลวเละเทะเสียให้ได้
“โรมคบกับทิชามานานแค่ไหนแล้ว? เขาสำคัญกับโรมมากถึงขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ป๊าถามแต่ผมไม่ยอมตอบในทันที กลัวว่าผู้ใหญ่จะตำหนิที่ผมให้ความสำคัญกับคนรักมากพอๆ กับชีวิตของตัวเอง จนกระทั่งท่านต้องออกตัวว่าจะไม่มีการดุด่าว่ากล่าว ผมถึงวางใจที่จะเล่าอะไรหลายๆ อย่างให้ฟัง
“ป๊าก็ไม่ได้จะว่าอะไรเราหรอก คิดเสียว่าผู้ใหญ่ชวนคุยเพราะอยากรู้ก็แล้วกันนะ”
“ถ้าให้บอกเป็นระยะเวลา มันอาจจะฟังดูเหมือนไม่นานครับ.... ผมกับน้องเพิ่งคบกันจริงจังได้แค่ประมาณสามเดือนเอง”
ผมตอบพลางนึกทบทวนถึงเรื่องราวที่อาจจะกลายเป็นเพียงความทรงจำสีจางในอีกไม่ช้า บางช่วงก็หวานจนเผลออมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว บางคราวก็ขมขื่นเฝื่อนคอจนต้องกลืนให้หายไปเร็วๆ แต่เพราะแบบนี้แหละ ผมถึงได้ยิ่งตระหนักรับรู้ว่าการมีทิชาอยู่เคียงข้างนั้นคือสิ่งที่ดีที่สุด และเป็นความรักที่สวยงามที่สุดเท่าที่ผมเคยมีมา
“ถึงจะเป็นแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ แต่มันก็เป็นสามเดือนที่มีอะไรเกิดขึ้นเยอะแยะจนแทบนับไม่ถ้วนเลยครับ.... ทีแรก ผมคิดว่าทิชาก็แค่หน้าตาน่ารักดี แต่ไม่ได้อยากคบด้วย ไม่ได้มองว่าเขาคือคนที่จะมาเป็นแฟนผมเลยแม้แต่นิดเดียว ตอนที่คบกันใหม่ๆ ผมก็ยังไม่แน่ใจมากนักว่าเราจะไปกันรอดหรือเปล่า หลายๆ อย่างในตัวน้องทำให้ผมกังวลว่าจะดูแลเขาไม่ได้ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าผมต่างหากที่ควรจะกลัวว่าถ้าวันใดวันหนึ่งทิชาเป็นฝ่ายทิ้งผมไป แล้วผมจะอยู่คนเดียวต่อไปได้ยังไง.............”
ความรักที่ผมได้รับจากทิชา มันทำให้ผมเคยชินกับการมีที่พึ่งทางใจ.... ทิชาทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้ผมจนเรียกได้ว่าหมดหน้าตัก ผมก็ให้น้องกลับคืนไปจนไม่เหลือเผื่อใจไว้สำหรับวันข้างหน้า เรามีความสุขกับการได้อยู่ร่วมกันในคอนโดฯ ห้องเล็กๆ กลับมาเหนื่อยๆ ก็ได้เห็นหน้ากัน กินข้าวด้วยกัน นอนกอดกัน ซึมซับตัวตนของอีกฝ่ายเข้าไปในหัวใจจนกระทั่งสามารถเรียกได้ว่าเป็นอีกครึ่งชีวิตของกันและกัน
และถ้าจะต้องเสียทิชาไปในตอนนี้ ผมคงทำใจไม่ได้จริงๆ....
“เมื่อก่อน ผมไม่เคยคิดอะไรไกลเกินกว่าเรื่องของตัวเองเลย.... พรุ่งนี้จะไปไหน จะกินอะไร สอบเมื่อไร จะหาใครมาติวหนังสือให้ แต่พอคบกับทิชา ผมก็เริ่มคิดถึงอนาคตมากกว่าเดิม.... เรียนจบแล้วจะทำยังไงต่อ จะกลับไปเปิดอู่ซ่อมรถในตัวเมืองแล้วก็ช่วยป๊าม๊าดูแลกิจการรีสอร์ทบ้านเราไปด้วย หรือจะหางานทำอยู่กรุงเทพฯ ดี ทิชาจะยอมย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดกับผมหรือเปล่า จะต้องทำแบบไหนถึงจะมีฐานะมั่นคงมากพอที่จะเลี้ยงน้องได้.... ผมอยากมีบ้านเป็นของตัวเองเร็วๆ อยากพาทิชาไปปีนเขาเที่ยวรอบโลก ทุกอย่างที่แพลนเอาไว้หลังจากนี้ไม่ใช่เพื่อตัวผมเพียงคนเดียวอีกแล้ว แต่มันมีทิชาอยู่ในนั้นด้วยครับ.........”
น้ำตาคล้ายจะทะลักออกมาเมื่อห้วงความคิดมาหยุดอยู่ตรงที่ว่าทิชาอาจจะไม่กลับมาอีก ผมรู้สึกละอายใจที่จะแสดงความอ่อนแอให้คนใกล้ตัวเห็น ทว่า ความหวาดหวั่นซึ่งแขวนอยู่กับอนาคตที่มองไม่เห็นก็มีมากเหลือเกิน
“ป๊าจะว่าผมก็ได้นะครับ..........แต่ถ้าทิชาไม่อยู่แล้ว ชีวิตผมก็คงว่างเปล่า.......ไม่รู้เลยว่าจะไปทางไหนต่อ.........”
“คนรักกันก็แบบนี้แหละ ไอ้ลูกชาย”
นอกจากป๊าจะไม่ว่าอะไรแล้ว ท่านยังเข้าอกเข้าใจผมเป็นอย่างดี คงเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ลูกชายคนโตอย่างผมแสดงออกถึงความต้องการของตัวเอง ไม่รอให้พ่อแม่หรือใครก็ตามมาขีดเส้นเลือกทางเดินให้ว่าต้องไปทางนั้นทางนี้ และเป็นครั้งแรกที่ผมกล้ายอมรับว่าชอบใครสักคนแบบจริงจัง
“ถ้าทิชาได้ยินที่โรมพูดเมื่อกี้ เขาก็คงไม่อยากไปไหนหรอก แต่โรมก็ต้องเข้มแข็งเผื่อในส่วนของเขาด้วยนะ”
“ครับป๊า............”
คำพูดที่ได้ยินช่วยให้ผมฮึดแข็งใจไม่คิดถึงอะไรร้ายๆ หากก็ได้แค่เพียงชั่วครู่แล้วก็กลับมาเครียดเหมือนเดิม.... ผมรู้ว่าทิชาไม่อยากไปไหนหรอก เด็กขี้เหงาคนนั้นรักผมพอๆ กับที่ผมรักเขานั่นแหละ แต่จะให้วางเฉยนิ่งนอนใจว่าน้องจะอยู่กับผมจนกระทั่งเราแก่ไปด้วยกัน ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ผมคงทำใจให้คิดแบบนั้นไม่ไหว
ผมบอกได้แค่ว่ากลัว....
กลัวมากจริงๆ...........
‘คุณนิดารู้เรื่องลูกชายหรือยังเนี่ย?’
‘รู้แล้ว.... เห็นว่ากำลังออกกองละครอยู่โรงถ่ายแถวๆ ลาดหลุมแก้ว พอมีคนไปบอกว่าน้องทิชารถฟาดกับเสาไฟฟ้า อาการโคม่า นางก็เป็นลมไปเลย’
‘เมื่อกี้พีอาร์กองโทรบอกนักข่าวว่านางฟื้นแล้ว กำลังรีบมาที่นี่’
‘ก็ขอให้ทันดูใจลูกชายแล้วกัน.... ได้ยินข้างในคุยกันว่าอาการน่าเป็นห่วง กระดูกหักแทบทั้งตัวเลย เข้าห้องผ่าตัดไปหลายชั่วโมงแล้ว หน้าก็มีแผลโดนกระจกแตกใส่ ไม่รู้จะเสียโฉมหรือเปล่า แต่ถึงรอดก็คงถ่ายซีรีส์ช่องเอ็มต่อไม่ได้แล้วล่ะ’
‘น่าสงสารนะ ทั้งแม่ทั้งลูกเลย ชื่อเสียงกำลังดีขึ้นอยู่แล้วแท้ๆ.........’หน้าโรงพยาบาลมีรถนักข่าวจอดเรียงกันเป็นพรืด พ่วงด้วยกองทัพแฟนคลับและขามุงที่ตามมาดูเหตุการณ์หลังรู้ข่าวจากสื่อโซเชียลว่ามีดาราหน้าใหม่ซึ่งเป็นลูกชายของอดีตนางเอกชื่อดังประสบอุบัติเหตุ.... ผมเดินฝ่าคนพวกนั้นเข้าไปจนถึงประตูห้องฉุกเฉิน ทุกประโยคที่ลอยมากระทบหูยิ่งพาลให้หัวใจดำดิ่งไม่ต่างจากซากเรือซึ่งจะต้องนอนจมอยู่ข้างใต้มหาสมุทรไปตลอดกาล มันดูสิ้นหวังและมืดมนจนเกินกว่าจะกู้ขึ้นมา คำถามที่ว่าเรื่องราวทั้งหมดกลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรยังคงไร้ซึ่งคำตอบ ทว่า เมื่อผ่านเข้าไปด้านในตัวอาคารได้ ผมก็พอจะจับต้นชนปลายได้แล้วว่าใครคือคนที่ควรต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ไอ้เฮียรุจชาติหมา...!!
“ขอโทษนะคะ.... ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับคุณทิชาหรือเปล่าคะ ทางเราไม่อนุญาตให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามา...........”
นางพยาบาลคนหนึ่งพุ่งมาขวางทันทีที่เห็นผมแทรกเข้าผ่านกองทัพนักข่าวเข้ามาในอาคารห้องฉุกเฉิน แต่ผมไม่สนใจหรอกว่าเจ้าหล่อนจะร้องห้ามหรือพูดพล่ามอะไร เพราะสิ่งเดียวที่ผมต้องการในเวลานี้ก็คือจัดการกับไอ้สารเลวที่ทำให้ทิชาเจ็บ.... เอาให้มันเจ็บยิ่งกว่าที่น้องกำลังเผชิญเป็นร้อยเท่าพันเท่า และถ้าผมฆ่าแม่งให้ตายห่าไปได้เสียเดี๋ยวนี้ ผมก็จะทำ!
“ไอ้เหี้ยรุจ มึงทำอะไรเมียกู!!??”
กำปั้นลุ่นๆ เหวี่ยงกระแทกใส่สันกรามคนที่ผมเคยนับถือเป็นพี่ชาย ตามติดด้วยแรงหมัดอีกไม่ยั้ง เสียงตะโกนถามดังลั่นท่ามกลางความแตกตื่นตกใจของทุกคน
“ทิชาไปทำอะไรให้พวกมึงนักหนา ห๊ะ!!?? มึงมาทำเมียกูทำไม!!??”
เฮียรุจไม่โต้ตอบเลย เขายืนนิ่งให้ผมชกเหมือนกระสอบทราย เลือดไหลออกจมูกหากก็ไม่คิดจะหลบหลีกปัดป้อง แต่สายตาแข็งกร้าวที่จ้องกลับมาก็ห่างไกลจากคำว่าสำนึกผิดหรือขอโทษอยู่หลายปีแสง
“ถ้าแค้นที่กูลาออกจากระบบเกียร์ส้นตีนของมึงนักก็มาลงที่กูสิวะ.... มาลงที่กูคนเดียวนี่!! ทิชาไม่เกี่ยว!!”
“รุ่นน้องหน้าโง่อย่างมึง กูตัดหางปล่อยวัดไปนานแล้ว”
เฮียรุจแสยะยิ้มสมเพชใส่ผมทั้งที่เลือดกบปาก
“กูเตือนทิชาแล้วว่าอย่าหาเรื่องใส่ตัว แต่เมียมึงมันก็โง่เหมือนมึงนั่นแหละ เสือกอยากทำตัวเป็นคนดีนัก ก็สมควรแล้วที่จะตายห่าเป็นผีเฝ้าถนน!!”
“ไอ้สัตว์นรก กูจะฆ่ามึง!!!”
ผมกระซวกหมัดใส่รุ่นพี่อีกครั้งแบบไม่คิดชีวิต ถึงจะยังไม่เข้าใจความหมายว่าทิชาหาเรื่องใส่ตัวยังไงแต่ผมก็ทั้งโกรธทั้งแค้นคนตรงหน้าที่มีส่วนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น.... รอบข้างมีเสียงตะโกนเอะอะโหวกเหวกดังจนฟังไม่ได้ศัพท์ มือของใครต่อใครพยายามแยกผมออกจากห่างไอ้เฮียรุจ หากเพราะแรงโมโหนั้นมีมากจนเกินกว่าจะข่มใจได้ลง จนกระทั่งบุรุษพยาบาลสามคนต้องจับตัวผมล็อคแล้วดึงให้ถอยห่างออกมา แต่ก็ใช่ว่าสถานการณ์ความวุ่นวายภายในห้องฉุกเฉินจะคลี่คลาย ผมยังคงจ้องเฮียรุจเขม็งและพร้อมจะตวัดแขนขาฟาดหน้าเขาได้ทุกเมื่อ
“อะไรกันครับคุณ.... ใจเย็นๆ ค่อยพูดค่อยจากันสิครับ!”
“ก็ไอ้เลวนี่มันทำทิชา ผมจะฆ่ามัน.....!!”
“คุณเข้าใจผิดแล้ว คุณคนนี้เขาเป็นคนเรียกรถพยาบาลกับกู้ภัยให้ไปรับตัวคุณทิชา.... แล้วรถเขาก็ไม่ได้ชนรถคุณทิชาด้วย เขาเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ต่างหาก”
“ไม่จริง ผมไม่เชื่อ!!”
“ที่นี่โรงพยาบาลนะคะ กรุณาเคารพสถานที่ด้วย!”
นางพยาบาลคนแรกซึ่งโดนผมชนกระเด็นตามมาต่อว่าเสียยกใหญ่โทษฐานที่ผมก่อเรื่องทะเลาะวิวาท ผมอยากจะบอกเหลือเกินว่าไอ้คนที่เป็นฆาตกรทำร้ายทิชามันยืนอยู่โน่น ถ้าจะมีใครสักคนที่ต้องถูกไล่ออกไปจากที่ตรงนี้ก็ควรจะเป็นเฮียรุจ ไม่ใช่ผม
“แล้วถ้าคุณไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคนเจ็บก็เชิญออกไปรอข้างนอกค่ะ จะได้ไม่รบกวนการทำงานของเจ้าหน้าที่.... ไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ อย่าให้ต้องเรียกรปภ.มาเชิญตัว!”
“คือ......ลูกชายผมเป็นเพื่อนสนิทของเด็กที่ชื่อทิชาน่ะครับ”
ป๊าออกหน้าอธิบายแกมขอร้องแทนผม ถึงขั้นต้องยกมือไหว้คนแปลกหน้าเพื่อช่วยให้ผมไม่ถูกไล่ออกไป
“ต้องขอโทษด้วยที่เมื่อครู่ทำให้ตกใจกัน แต่ให้เขาอยู่รอเพื่อนในนี้เถอะนะครับ ถือว่าผมขอร้องก็แล้วกัน”
“ถ้าอย่างนั้นคุณพ่อช่วยดูแลอย่าให้น้องคนนี้ก่อเรื่องอีกนะคะ แค่พวกนักข่าวข้างนอกก็ทำเราปวดหัวมากพออยู่แล้ว”
คงเพราะเห็นว่าผู้ใหญ่รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบเมื่อครู่ขึ้นอีก หญิงสูงวัยในชุดขาวถึงได้ยอมปล่อยผมให้นั่งลงตรงเก้าอี้หน้าห้องผ่าตัด.... ผมทึ้งหัวตัวเองอย่างหมดอาลัยตายอยาก ไม่คิดเลยว่าการที่ตัดสินใจตัดขาดจากเบอร์ลิค ทรยศรุ่นพี่และเพื่อนร่วมคณะจะส่งผลร้ายต่อคนที่ผมรักได้มากขนาดนี้ นอกจากโกรธไอ้เฮียรุจแล้วผมยังเกลียดตัวเองไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน บางทีถ้าในตอนนั้นผมทวงเกียร์คืนมาจากทิชา ผลักไสเขาออกไปให้พ้นจากอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเบอร์ลิค น้องก็คงไม่เจ็บ
ถึงแม้ว่ามันจะต้องแลกกับการที่เราสองคนจะไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ตาม....
“โรม.... ป๊าบอกให้ใจเย็นๆ ไง ดีนะที่เขาไม่เอาเรื่องเราน่ะ”
“แต่ป๊าครับ........ไอ้หมอนั่น มันเป็นคนทำให้ทิชาเป็นแบบนี้!”
ผมหมายถึงเฮียรุจที่เพิ่งโดนกระหน่ำชกจนหน้าแหก ด้วยความที่ปักใจเชื่อว่าฝ่ายนั้นเจตนาจะเอาทิชาถึงตายเพื่อแก้แค้นรุ่นน้องนอกคอกอย่างผม
“มันไม่พอใจที่ผมตีตัวออกห่างจากเพื่อนในคณะเพื่อมาคบกับทิชา.........มันคงแค้นที่เด็กต่างคณะอย่างทิชาเป็นต้นเหตุทำให้ผมเลิกยุ่งเกี่ยวกับเรื่องชั่วๆ ทุกอย่างที่พวกมันทำ........มันก็เลยหาทางทำร้ายน้องจนเป็นแบบนี้.............”
“เฮียโรม..........”
น้ำเสียงคุ้นหูดังขึ้นจากไม่ไกล เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นอดีตแฟนที่คบกันได้เพียงไม่กี่วันใช้ไม้ยันรักแร้เดินกระเผลกเข้ามาหา ผ้าพันแผลรอบศีรษะบ่งบอกให้รู้ว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้นจากครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน หากนั่นก็ไม่ทำให้แปลกใจได้มากเท่ากับการที่บีบี๋ย้ายร่างจากโรงพยาบาลใกล้เบอร์ลิคมาอยู่กับทิชาที่นี่
“บีบี๋?”
ผมต้องการจะถามว่าบีบี๋ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ยังไม่ทันได้อ้าปาก เจ้าตัวก็ชิงแก้ต่างแทนใครบางคนและสารภาพทุกสิ่งที่เกิดขึ้นออกมาก่อน
“เฮียโรมกำลังเข้าใจผิดนะ......เฮียรุจไม่ใช่คนที่ทำให้ไอ้ชาเจ็บ......แล้วเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับการที่เฮียลาออกจากเบอร์ลิคด้วย...........”
ร่างเล็กวางไม้ค้ำลงแล้วจึงพยายามนั่งลงบนพื้นต่อหน้าผมอย่างทุลักทุเล ร่องรอยของความรู้สึกผิดและเสียใจฉาบเคลือบอยู่บนใบหน้าก่อนจะกลั่นตัวลงมาเป็นหยดน้ำกระทบลงบนต้นขาของผม แต่ก็อย่างที่เห็นว่าสุดท้ายมันก็แค่ซึมหายไปในเนื้อผ้าสีทึบ
“คนที่ทำให้ไอ้ชาโคม่าก็คือบี๋เอง.......ฮึก..........เรื่องร้ายๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับมันเป็นเพราะบี๋คนเดียว...........”
“งั้นก็อธิบายมาสิ...........”
กับเฮียรุจ ผมสามารถพูดได้เต็มปากว่าโกรธเขา แต่กับเด็กคนนี้ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี แต่ที่แน่ๆ ก็คือความสงสารเห็นใจที่เคยมีให้นั้นไม่น่าจะหลงเหลืออยู่อีกแล้ว
“พูดมาว่าเราทำอะไรลงไปบ้าง ทำไมทิชาถึงได้ต้องมาเจอเรื่องพรรค์นี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะมีเพื่อนอย่างบีบี๋.... พูดมาให้หมดก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้พูดอีก!”
“โรม ป๊าบอกให้ใจเย็นๆ ไง”
ถ้าไม่ได้มือพ่อบังเกิดเกล้าคอยรั้งเอาไว้ ต่อให้บาดเจ็บเข้าเฝือกอยู่ บีบี๋ก็คงได้โดนผมเตะม้ามแตกตายตรงนี้แน่
“บี๋ก็แค่อยากจะหนีไปให้พ้นจากเฮียรุจ........ทีแรกบี๋ไปหาไอ้ชาที่บ้าน กะว่าจะขออาศัยอยู่กับมันสักพัก แต่เฮียรุจตามมาเจอ ไอ้ชาก็เลยช่วยหาบ้านพักที่ปราณบุรีให้เป็นที่หลบชั่วคราว.........ระหว่างทางฝนตกหนัก เฮียรุจก็ขับตามมาทันพอดี ไอ้ชาเร่งความเร็วไปถึงร้อยห้าสิบได้มั้ง........ฮึก.........ตอนนั้นพวกเราคุยโทรศัพท์กับเฮียรุจไปด้วย บี๋บอกมันว่าจะกลับไปอยู่กับเฮียรุจเพราะไม่อยากให้มันเดือดร้อนมากไปกว่านี้ มันก็กำลังจะจอดรถอยู่แล้ว..........ฮือ........อยู่ดีๆ รถพ่วงโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ ไอ้ชาหักหลบเข้าข้างทาง แต่ถนนลื่น รถก็เลยเหวี่ยงไปชนกับเสาไฟฟ้า............”
“ถ้าบี๋ไม่เปลี่ยนใจกลางคัน.......ไม่สิ ถ้าบี๋กลับไปอยู่เบอร์ลิคแต่โดยดี ไม่หนีออกจากโรงพยาบาลมาขอร้องให้ไอ้ชาช่วย......ฮึก.......มันก็คงไม่ต้องเจ็บตัว..............”
มือเล็กสั่นระริกเกาะต้นขาผมเอาไว้แน่น น้ำตายังคงร่วงเผาะเป็นทางยาว มาถึงจุดนี้ผมไม่แปลกใจแล้วว่าเพราะอะไรทิชาที่ขับรถไม่คล่องถึงได้กล้าบ้าบิ่นเอารถออกมาไกลถึงจังหวัดเพชรบุรี.... คำขอร้องจากเพื่อนสนิทคนแรกในชีวิต ต่อให้ทะเลาะผิดใจกันหนักแค่ไหนก็ไม่มีทางที่ทิชาจะนิ่งดูดาย ที่ทำลงไปทั้งหมดก็คงเพราะอยากช่วยบีบี๋ตามประสาคนรักเพื่อนนั่นแหละ
ทิชาของผมก็เป็นเสียอย่างนี้.... ชอบปั้นหน้าหยิ่ง ปากแข็ง ทำเป็นไม่แคร์คนที่คิดร้ายกับตัวเอง แต่ข้างในหัวใจกลับบอบบางอ่อนไหวง่ายที่สุด
“เฮียโรม........ฮึก.....บี๋ขอโทษ..........”
“คำขอโทษของบีบี๋มันไม่มีค่าอะไรสำหรับเฮียแล้วล่ะ.... แล้วถ้าทิชาไม่ได้กลับมา คำพูดพล่อยๆ พวกนั้นก็ไม่ต่างจากขยะดีๆ นี่เอง”
แต่ผมไม่เหมือนกับทิชาหรอกนะ.... ทิชาเริ่มต้นมิตรภาพจากศูนย์ขึ้นไปถึงร้อย ต่อให้ความรู้สึกลดลงจากร้อยแต่ก็อาจจะไม่แย่ถึงขนาดกลับมาเหลือศูนย์ตามเดิม ในขณะที่ผมเริ่มต้นด้วยการให้ทุกคนเต็มร้อยก่อนที่จะลดลงเรื่อยๆ ตามความเหี้ยของคนๆ นั้น.... ซึ่งสำหรับบีบี๋ เวลานี้มันมาอยู่ในจุดติดลบที่ไม่เหลืออะไรดีงามให้ระลึกถึงอีกแล้ว
“มึงจะว่าบีบี๋ฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกนะ ไอ้โรม”
เฮียรุจดึงตัวบีบี๋ให้ลุกขึ้น คล้ายกับจะตอกย้ำว่าไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ลูกหนี้ของเขาจะต้องมาร้องห่มร้องไห้ให้กับคนที่นอนเจ็บเป็นตายเท่ากันอยู่ข้างในห้องผ่าตัด เพราะทิชาโง่เอง ดีเกินไปเอง ถึงได้ต้องมาซวยซ้ำซวยซ้อนเพราะความรักบัดซบของสองคนนี้
“กูเตือนทิชาแล้วว่าอย่ายุ่งกับบีบี๋ เขาเป็นของกูและจะต้องกลับไปอยู่กับกูที่เบอร์ลิคเท่านั้น แต่เมียมึงน่ะไม่ยอมฟังเอง..........”
“พอเถอะ เฮียรุจ..........”
บีบี๋ว่าเสียงเครือพลางหันไปมองผู้ชายซึ่งเป็นทั้งเจ้าหนี้และเจ้าของชีวิตที่เหลืออยู่
“บี๋บอกแล้วไงว่าบี๋ผิดเอง......ฮึก........ถ้าเฮียโรมจะด่าบี๋ก็สมควรแล้ว..........”
ผมแค่นเสียงในลำคอให้กับความทุเรศของเฮียรุจกับบีบี๋ คนหนึ่งโทษว่าทิชาหาเรื่องใส่ตัวเพื่อให้คนของตัวเองไม่ต้องรู้สึกแย่ อีกคนหนึ่งก็พร่ำพูดว่าตัวเองเลวแสนเลวเพื่อที่จะได้รู้สึกผิดน้อยลง นอกจากคำว่า ‘ผีเน่ากับโลงผุ’ ผมก็ไม่รู้แล้วว่ายังจะมีคำไหนที่เหมาะกับคนคู่นี้อีก
“พวกมึงทุกคนแม่งก็ดีแต่ปาก ทำมาพูดว่าคนนั้นผิดคนนี้ผิด.... ใครผิดแล้วยังไงวะ? ทิชาฟื้นขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยได้ไหมล่ะ?”
“บี๋เสียใจ..........ถ้าบี๋เปลี่ยนตัวกับไอ้ชาได้ล่ะก็ บี๋ก็ยอมเจ็บแทนมัน.........”
“เงียบเหอะ หุบปากไปเลย!”
ผมด่าเมื่อเริ่มจะทนฟังถ้อยคำเสแสร้งตอแหลต่อไปไม่ไหว ผมน่าจะเชื่อทิชาตั้งแต่แรกว่าบีบี๋ก็แค่โกหกเพื่อเอาตัวรอด โกหกเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการโดยไม่เคยสนใจว่าใครจะรู้สึกยังไง เรื่องคราวนี้มันก็คงไม่ต่างกันนักหรอก
“ที่ทิชาทำพลาดน่ะไม่ใช่เรื่องที่เขายอมช่วยบีบี๋ พากันขับรถออกมาจนเกิดอุบัติเหตุหรอก.... แต่เขาพลาดที่เลือกคบบีบี๋เป็นเพื่อนตั้งแต่แรกต่างหาก!”
“ใช่.......ฮึก......เฮียโรมพูดถูกแล้ว........”
ร่างเล็กสะอื้นปาดน้ำตายอมรับผิด แต่ก็อย่างที่ผมบอกไปเมื่อกี้ว่ามันสายเกินไปแล้ว ผมไม่คิดจะรับคำขอโทษแล้วก็ไม่คิดที่จะให้อภัยด้วย
“งั้นก็ไปซะ.... อย่ามายุ่งกับทิชา ไม่ว่าทิชาจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่ก็ตาม.... ในฐานะที่เฮียเป็นคนรักของเขา เฮียไม่ต้องการให้มีคนอย่างบีบี๋อยู่ในชีวิตของทิชาอีก!”
ผมพูดแค่นั้นก่อนที่เฮียรุจจะพาบีบี๋พ้นไปจากสายตา ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าพวกนั้นจะพากันไปตายโหงตายห่าที่ไหน ห้วงความคิดย้อนกลับไปวนเวียนอยู่กับลมหายใจรวยระรินของคนที่ผมรักที่สุด.... รู้ดีว่าถึงจะหัวฟัดหัวเหวี่ยงพาลใส่ใครก็ไม่ช่วยให้มีอะไรดีขึ้น แต่มันก็เป็นสิ่งเดียวที่ผมพอจะทำเพื่อระบายความโกรธแค้นโมโหได้ในเวลานี้ ไม่อย่างนั้น ผมคงต้องเป็นบ้าหรือไม่ก็ต้องวิ่งออกไปให้รถชนเพื่อยุติความอึดอัดทรมานข้างในอกแน่
“ม๊าโทรมา คุยกับม๊าหน่อยไหม?”
“ป๊าคุยเถอะครับ ฝากบอกม๊าด้วยว่าผมไม่เป็นไร”
น้ำเสียงของผมคล้ายคนเหม่อลอย ได้ยินป๊าพูดใส่โทรศัพท์อีกสองสามคำแล้วก็กลับมานั่งลงข้างผมตามเดิม.... รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกทรพีที่ทำให้พ่อแม่เป็นห่วงทุกข์ใจไปด้วย ทว่า ตอนนี้ผมฝืนทำเป็นเข้มแข็งต่อไปไม่ไหวจริงๆ
“แผลที่แขนเราเหมือนจะมีเลือดซึมนะ สงสัยแผลจะฉีกตอนที่โรมไปต่อยรุ่นพี่คนนั้น.... เดี๋ยวป๊าเรียกพยาบาลมาดูให้ดีกว่า”
“ปล่อยไว้แบบนี้แหละครับ”
ผมหลับตาลงอย่างอ่อนแรง ไม่มีกะจิตจะใจจะคิดถึงอย่างอื่น แม้กระทั่งความเจ็บปวดทางกายของตัวเอง
“เอาไว้ทิชาปลอดภัยแล้วผมค่อยทำ.... แต่ถ้าไม่ก็ช่างมัน ผมจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น”
“โรมเอ๊ย............”
หยาดน้ำอุ่นไหลรินออกมาทางหางตา แม้ว่าผมจะพยายามเก็บกลั้นมันเอาไว้แล้วก็ตาม.... ถ้าหากผมจะสามารถขอพรได้สักข้อล่ะก็ ผมขอแค่ให้ทิชาฟื้นกลับมาอยู่กับผม ไม่ว่าจะด้วยสภาพไหน จะจำผมและเรื่องราวที่ผ่านมาระหว่างเราได้หรือไม่ก็ไม่เป็นไร ผมพร้อมที่จะดูแลน้องอย่างไม่มีเงื่อนไข ขอให้ผมได้กอดเขา ได้บอกรักให้เขาได้ฟังและรับรู้อีกสักครั้งก็พอ
......ขอแค่ให้ทิชากลับมา ผมก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว......