ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะครับ และขอบคุณที่กด +1 ให้คนละจึกๆ นะครับ ระบมไปหมดแล้ว
บทที่ 9
เสาร์ 6 กุมภาพันธ์ - 01.41 น.
แทนเดินโผเผออกมานอกผับที่เปิดเพลงดังสนั่น ชายหนุ่มยกมือขึ้นดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาสีทองเรือนหรูที่อุตส่าห์เก็บเงินเกือบสามเดือนซื้อมาจากฮ่องกงตอนไปเที่ยวปีใหม่กับสงคราม แทนเบ้ปาก ถึงเวลากลับบ้านแล้ว สงครามยังอยู่ข้างใน และท่าทางคงไม่กลับบ้านง่ายๆ เพราะมีคนเข้ามาจีบ
สายๆ วันเสาร์เขาต้องเข้าบริษัทไปเอาแฟ้มงานที่ลืมไว้ หลังจากนั้นตอนบ่ายต้องเดินทางไปปราณบุรีเพื่อตรวจงาน วิศวกรนัดให้เขาไปเจอกันตอนบ่ายสามโมงเพื่อคุยกันเรื่องเปลี่ยนแปลงวัสดุ
...นึกไปก็ฉุน...จนป่านนี้ คุณภูวนัยยังเปลี่ยนแปลงอีก...ชายหนุ่มนึกหน้าชายวัยกลางคน ท่าทางเรื่องมาก เจ้าบงการเหมือนประธานบริษัทหลายบริษัทที่เขาเคยเห็น
แทนสูดอากาศภายนอกผับอยู่ชั่วครู่แล้วหันหลัง ตั้งใจว่าจะกลับเข้าไปบอกสงครามว่าเขาต้องกลับบ้านแล้ว ตอนนี้เขาเริ่มมึน ทั้งๆ ที่ดื่มเหล้าไปไม่กี่แก้ว จะดื่มมากกว่านั้นก็กลัวเมา ทุกครั้งที่ยกแก้วขึ้นดื่ม ใบหน้าดุๆ ของใครคนหนึ่งก็ลอยเด่นอยู่ พร้อมกับคำสั่งห้ามเมาจนไม่ได้สติ
แทนอดฉุนไม่ได้ มาเที่ยวผับ ใบหน้าของโปรกอล์ฟฟังตามมาหลอกหลอน...
ผับนี้เสียงเพลงดังแสบแก้วหูเหลือเกิน แต่ก่อนเคยรู้สึกคึกคับเวลาได้ยินเสียงเพลงดังๆ แต่คราวนี้รู้เหมือนแก้วหูจะแตก บางทีเขาอาจเกิดอาการ 'แพ้' ความอึกทึกครึกโครมของผับแล้วก็ได้
ชายหนุ่มชะงัก ผู้ชายตัวโตเดินสวนทางออกมาเกือบจะชนกัน แทนเงยหน้าขึ้น พบว่าเป็นคนหนึ่งที่เขารู้จัก...กฤษณะ...
"คุณแทน...ไม่นึกว่าจะเจอ"
"แปลกใจมากเหรอครับ"
"ดีใจต่างหาก" กฤษณะยิ้ม นัยย์ตาพราวระยับ "ผมจะกลับแล้ว คุณแทนจะเข้าไปต่อเหรอครับ"
"เปล่า ผมก็จะกลับเหมือนกัน แต่จะเข้าไปบอกเพื่อน"
"เอารถมาหรือเปล่าครับ" กฤษณะถาม กลั้นหายใจ...ขออย่าให้แทนเอารถมาเลย...
ชายหนุ่มส่ายหน้า กฤษณะจึงเสนอตัว "ผมไปส่งนะครับ"
"เอ่อ ไม่อยากรบกวนคุณกฤษณะครับ ผมกลับแท๊กซี่ก้ได้ ทุกทีก็นั่งแท๊กซี่กลับบ้าน"
"เถอะครับ ผมไปส่ง ไม่รบกวนหรอก ผมจะยืนรอตรงนี้ล่ะ...นะครับ"
ท่าทางกฤษณะไม่ยอม แทนจึงพยักหน้า แล้วรีบผลุบเข้าไปในผับ
แสงไฟวูบวาบในผับทำให้มองไม่เห็นอะไรชัดเจน ยิ่งดึกคนยิ่งเต้นกันอย่างสนุกสนาน บางคนปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ ชูแก้วเหล้า โยกย้ายส่ายเอวเข้ากับจังหวะดนตรี สงครามเคยชวนเขาขึ้นไปเต้นบนเวที ไม่ก็บนเก้าอี้ แทนปฏิเสธทุกครั้ง ให้เหตุผลว่าไม่อยากดูเหมือนเป็นเจดีย์อยู่กลางผับ
สถาปนิกหนุ่มพยายามสอดส่ายสายตาหาเพื่อนสนิทจนอ่อนใจ ชายหนุ่มหน้าตาดีท่าทางห้าวๆ คนหนึ่งจับตามองเขาอยู่ ส่งยิ้มมาให้ แต่แทนทำเมิน
...บ้าจริง...ยืนอยู่กับแฟนสาวยังมีหน้ามาส่งสายตาเจ้าชู้ให้ผู้ชายคนอื่น...แบบนี้ก็มีด้วย...
แทนแหวกว่ายหนุ่มสาวที่กำลังขยับตัวตามจังหวะเพลงเพื่อเดินลึกเข้าไปยังมุมด้านในของผับที่คาดว่าสงครามจะแอบไปจู๋จี๋กับหนุ่มหน้าใหม่ ชายหนุ่มคนนั้นเดินตามเขาและยื่นหน้าเข้ามาใกล้...ยิ้มหวานให้
แทนกรอกตา โคลงศรีษะ ทำเป็นไม่สนใจ แต่เขายังตามมา เหมือนตั้งใจจะจีบเต็มที่
แทนเริ่มเดินหนี เปลี่ยนจุดหมายจากการตามหาสงครามมาเป็นเดินหนีผู้ชายคนนั้นที่ตอนนี้ทิ้งแฟนสาวพยายามตามเขามา
ชายหนุ่มเปลี่ยนใจ แหวกผู้คนกลับออกไปยังประตูทางออก เพราะคิดว่าคงใช้เวลาอีกนานกว่าจะหาสงครามเจอ ซ้ำยังทีคนตาม ตั้งใจว่าเมื่อหากันไม่เจอก็จะใช้วิธีส่งข้อความบอกทางโทรศัพท์ สงครามออกมาจากผับ ควักโทรศัพท์มาดูก็จะเห็นว่าเขากลับไปแล้ว...เวลาได้ผู้ชายหล่อๆ สงครามมักจะทิ้งเพื่อนเสมอ...
แทนโผล่หน้าออกมาจากประตูผับ สูดหายใจเข้าไปเต็มปอด รู้สึกโล่ง...แต่ผู้ชายห้าวๆ คนนั้นตามมาติดๆ
"จะหนีผมไปไหน" เสียงห้าวดังขึ้นใกล้ๆ
"ตามมาทำไม" แทนหันไปพูดเสียงเข้ม
"ถ้าไม่ชอบจะตามมาเหรอ ผมชอบคุณ"
"พูดกันง่ายๆ ยังงี้เลยเหรอ"
"ครับผม ชอบก็บอก...ไม่ดีเหรอ" ชายหนุ่มทำหน้ากวน เลิกคิ้ว
เห็นหน้าชัดๆ ท่าทางยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ อายุไม่น่าจะเกินยี่สิบปี...ยังเด็กอยู่แท้ๆ
"กลับไปหาแฟนดีกว่าไป มีแฟนเป็นผู้หญิงยังซิ่งมาตามจีบผู้ชาย"
"ผมกำลังจะเลิกกับเขาแล้ว ผมชอบพี่มากเลยนะ แอบมองตั้งนานแล้ว"
แทนหันไปมองหากฤษณะ เขายืนตัวตรง มือสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกงมองเขาอยู่ แทนจึงตัดบทสนทนากับหนุ่มเจ้าชู้คนนั้น
"ขอเบอร์หน่อยสิครับ" หนุ่มหน้าอ่อนถาม
"ซอรี่ แปลว่าเสียใจ แฟนมารอรับแล้ว อีกอย่างพี่ไม่นิยมเด็กน้อย" แทนยักไหล่ หันขวับ รีบเดินตรงลิ่วไปหากฤษณะ ทิ้งให้ชายหนุ่มรุ่นต้องมองตาละห้อย
กฤษณะรู้สึกหน้าตึง เขาเห็นวาแทนโผล่หน้าออกมาจากประตูผับแล้วมีชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งตามมาติดๆ และทั้งสองคุยกันสั้นๆ ครู่หนึ่งแล้วแทนก็รีบเดินตรงมาที่เขา เหมือนกำลังหนีผู้ชายคนนั้น เขาไม่รู้สึกตัวว่าตัวเองกำมือแน่น กล้ามเนื้อเขม็งเกลียว เหมือนรู้สึกหึง...
"มีอะไรหรือเปล่าครับคุณแทน" กฤษณะถามแล้วปรายตาหันไปมองชายหนุ่มนักตื้อที่ยืนมองอยู่ ตาสบตา...ไม่เป็นมิตร
"เปล่าครับ ใครก็ไม่รู้ จู่ๆ ก็เข้ามาทัก" แทนยักไหล่ แล้วเดินตรงไปยังลานจอดรถ
"เสน่ห์แรง"
แทนชะงัก หันหน้ากลับไปยังต้นเสียง
"อะไรนะ"
"เปล่า" กฤษณะยักไหล่ มือยังล้วงกระเป๋ากางเกง เดินตามชายหนุ่มช้าๆ
"เมื่อกี้คุณพูดว่าเสน่ห์แรง"
"อ้าว ก็ได้ยิน มาถามผมอีกทำไม" กฤษณะหน้ายิ้มๆ นัยน์ตาวิบวับ
"ช่วยไม่ได้" แทนหันหลังกลับ เดินต่อไปยังลานจอดรถ
"แล้วที่คุณกฤษณะจะไปส่งนี่ รถจอดอยู่ไหนเหรอครับ" ชายหนุ่มหันกลับมาถาม กฤษณะเดินช้ามาก เหมือนเดินเล่น
"แต่ก่อนไปส่ง เราแวะหาอะไรดื่มกันก่อนนะ" กฤษณะเร่งฝีเท้าให้ทันชายหนุ่ม
"ดื่มไปจนท้องป่องแล้ว ตั้งหลายแก้ว คุณยังอยากดื่มอะไรอีก"
"ดื่มอะไรร้อนๆ กันซักหน่อย"
"สตาร์บั๊คปิดหมดแล้ว" แทนพยายามหาทางออก
"ใครว่าจะดื่มสตาร์บั๊ค คนอื่นเขาก็ขายกาแฟกัน มาเถอะ รถผมจอดอยู่ทางนี้ คุณจะเดินไปไหน" กฤษณะเอียงคอ ชี้หัวไปอีกทางหนึ่ง
กฤษณะหัวเราะที่เห็นว่าอีกฝ่ายไปได้น้ำขุ่นๆ
...สตาร์บั๊ค...จะตีสองแล้วนี่นะ...คุณแทนครับ...หาทางออกที่ดีกว่านี้หน่อยสิ...
"ก็คุณไม่เดินนำผมไปซะที" แทนประท้วง เดินเข้ามาใกล้กฤษณะแล้วเอ่ยขึ้นว่า "จะดีเหรอ ดึกแล้วนะครับ อีกอย่าง คุณกฤษณะไปส่งผมแล้วต้องเสียเวลาย้อนกลับ กว่าจะถึงบ้านตัวเองก็ดึก"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ ไหนๆ คืนนี้ก็ออกมาเที่ยวแล้ว นอนดึกซักวันไม่เป็นไร"
"เป็นผู้บริหารระดับสูง เที่ยวดึกๆ เดี๋ยวก็เสียงานเสียการ"
แทนเดินตามกฤษณะตรงไปยังรถ เบนซ์รุ่นล่าสุดสีดำคันใหญ่จอดอยู่ใกล้ๆ เสาไฟฟ้าตรงลาดจอดรถกลางแจ้ง พนักงานลานจอดรถวิ่งเข้ามาอำนวยความสะดวก กฤษณะหยิบธนบัตรหนึ่งใบส่งให้ ชายหนุ่มโค้งคำนับแล้วรีบวิ่งไปด้านหลังเพื่อเตรียมตัวโบกรถ
“ขึ้นรถเถอะครับ ผมรับรองความปลอดภัย”
“ผมว่ารับรองความปลอดภัยตัวเองเถอะ” แทนพึมพำเบาๆ ไม่ให้อีกฝ่ายได้ยิน...ตอนนี้เขามั่นใจลัวว่ากฤษณะกำลังเริ่มจีบเขา
ผู้บริหารหนุ่มออกรถช้าๆ กลิ่นหอมในรถผสมกับกับกลิ่นบุหรี่จางๆ ที่ติดเสื้อผ้าของชายหนุ่มทั้งสอง แทนไม่สูบบุหรี่และไม่ค่อยชอบกลิ่นบุหรี่เท่าใดนัก แต่การมาเที่ยวผับก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะได้กลิ่นบุหรี่ติดตัวกลับไปเป็นของแถม
“เปิดกระจกหน่อยได้ไม๊ครับ เหม็นบุหรี่”
กฤษณะเลิกคิ้ว “มาเที่ยวผับ แต่เหม็นบุหรี่”
“ฮื่อ ทำไงได้ ผมมันประเภทเกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง”
“ผมก็ไม่สูบบุหรี่เหมือนกัน แสดงว่าคุณแทนชอบคนไม่สูบบุหรี่ใช่ไม๊ครับ” กฤษณะพูดยิ้มๆ
แทนหันไปมองใบหน้ายิ้มๆ นั้นที่กำลังมองตรงไปข้างหน้า เขายอมรับว่ากฤษณะเป็นคนมีเสน่ห์ หน้าตาคมเข้มหล่อเหลานั้นสะดุดตาทุกคน บุคลิกท่าทางนิ่งๆ มีแรงดึงดูดใจอย่างร้ายกาจ ถ้าไม่ติดว่าเขาเป็นลูกค้า บางทีเขาอาจจะ...
“มองผมทำไม” กฤษณะรู้สึกตัวว่าถูกลอบมอง
“เปล่าครับ มองไม่ได้หรือไง กลัวสึกหรอหรือครับ”
กฤษณะหัวเราะ หันหน้ามาทำตาวิบวับ “มองได้ ผมไม่หวงตัวขนาดนั้นหรอกครับ” ...ไม่อยากให้มองเพียงอย่างเดียว อยากให้จับต้องด้วย...กฤษณะเติมประโยคในใจ
“แล้วนี่จะได้ดื่มอะไรร้อนๆ หรือยังครับ จะไปถึงไหน” แทนเฉไฉ เริ่มรู้สึกตัวว่ากฤษณะทำตาเจ้าชู้
“ใจร้อนจัง อีกไม่นานครับ ข้างหน้านี่เอง ใกล้จะถึงแล้ว”
กฤษณะเลี้ยวรถจอดหน้าร้านกาแฟเล็กๆ ริมทางที่เปิดไฟสว่างไสว ร้านสีขาวตกแต่งน่ารัก บุกระจกรอบร้าน ด้านหน้าเป็นระเบียงกว้าง มีซุ้มไม้เลื้อยดูสวยงาม โต๊ะสีขาวประมาณห้าตัวมีลูกค้านั่งอยู่สองคู่ ตามจำนวนรถสองคันที่จอดอยู่หน้าร้าน
“กาแฟอร่อยครับ ผมมาดื่มบ่อยๆ”
“เวลาท่องราตรี” แทนเติมประโยค
กฤษณะไม่ตอบ เอาแต่ยิ้มๆ เดินนำเข้าไปในร้าน เมื่อหยุดยืนหน้าเคาท์เตอร์ พนักงานสาวต้อนรับเสียงใส กฤษณะหันมาทางชายหนุ่มที่เดิมตามเข้ามาติดๆ แล้วเลิกคิ้วถามคำถาม
แวบหนึ่ง แทนนึกถึงใบหน้าเคร่งขรึมของใครคนหนึ่งที่ชอบเลิกคิ้วถามคำถามโดยไม่เอ่ยปาก มีอะไรบางอย่างในตัวของชายหนุ่มสองคนนนี้ที่เหมือนกัน...บุคลิกนิ่งๆ เหมือนกัน หากต่างกันตรงที่คนหนึ่งดูร่าเริง สบายๆ มากกว่า ส่วนอีกคนชอบทำหน้าขรึม ไม่แสดงอารมณ์
แทนสั่งโกโก้ร้อน ส่วนกฤษณะสั่งแบล๊คคอฟฟี่ แล้วทั้งสองหนุ่มก็เดินออกมานั่งที่โต๊ะสีขาวเล็กๆ หน้าร้าน สายลมเย็นๆ พัดเอื่อย อากาศเย็นสบาย หน้าหนาวในกรุงเทพฯ ไม่เคยหนาวเลย แต่อาทิตย์นี้แปลกที่ความหนามปกคลุมเมืองกรุงมาได้กว่าสี่วันแล้ว
“หนาวไม๊ครับ” กฤษณะถามเหมือนอ่านใจแทนได้
ชายหนุ่มส่ายหน้า ขัดกับท่าทางห่อไหล่ของตัวเอง กฤษณะส่ายหน้าขำๆ ในใจอยากจะลุกขึ้นไปนั่งข้างๆ แล้วโอบไหล่ชายหนุ่มเอาไว้ให้หายหนาว
“หนาวก็บอกมาเถอะ ปากคุณสั่นแล้ว”
ปากเรียวแดงระเรื่อเป็นธรรมชาติของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าทำให้กฤษณะรู้สึกหวั่นไหว แปลกใจตัวเองที่มีความสุขกับการได้เห็นหน้าใสๆ สถาปนิกหนุ่ม
“สั่นสู้” ชายหนุ่มตอบแล้วหัวเราะเบาๆ
บทสนทนาถูกขัดจังหวะเมื่อเจ้าของร้านกาแฟนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ ทั้งสองกล่าวขอบคุณเบาๆ แทนยกโกโก้ร้อนขึ้มมาดมกลิ่น ใช้มือทั้งสองข้างกุมรอบถ้วยเครื่องดื่มร้อนๆ ก่อนจะจิบช้าๆ
“อืมม...อุ่นดีจัง”
“ไหนว่าไม่หนาว” กฤษณะมองบุคลิกที่เป็นธรรมชาตินั้นด้วยแววตาขบขัน
“ไม่หนาว เย็นต่างหาก”
“มันต่างกันตรงไหนนี่”
“ต่างกันสิครับ หนาวก็หนาว เย็นก็เย็น หนาวกับเย็นนี่ มันมีความเข้มข้นและผลกระทบต่างกัน”
กฤษณะเลิกคิ้ว ไม่ค่อยจะเข้าใจเหตุผลของชายหนุ่มเท่าใดนัก
...เลิกคิ้วถามคำถาม...เหมือนผู้ชายคนนั้น...
“คุณเคยจนคำพูดไหมนี่” กฤษณะถามขำๆ
“ไม่เคย” แทนตอบหน้าตาเฉย
“ท่าจะจริง”
ทั้งสองใช้เวลากว่าสิบนาทีนั่งคุยกันพร้อมจิบเครื่องดื่มช้าๆ แทนอดบ่นเรื่องคอนโดปราณบุรีของภูวนัยไม่ได้
“คุณภูวนัยท่านเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างนี้เหรอครับ”
“เปล่านี่ครับ ปรกติเคยเห็นพูดคำไหนคำนั้น”
“คุณกฤษณะได้คุยกับท่านบ้างเรื่องคอนโดบ้างหรือเปล่า ผมนัดกับท่านวันพฤหัส ท่านเกิดติดธุระกระทันหัน เลยไม่ได้พบ กลัวว่าท่านจะไม่ปลื้มคอนโดที่ทำๆ ไป เกิดมีปัญชาให้รื้อทำอีกรอบ คงแย่”
กฤษณะอดขันใบหน้าของสถาปนิกหนุ่มไม่ได้ ไหนจะคำพูดที่จงใจเรียกภูวนัยว่าท่าน และคำศัพท์ “บัญชา”
ที่จริงก็พอจะเข้ากับลักษณะของภูวนัยที่ชอบบัญชาจนติดเป็นนิสัย น้องชายของภูวนัยบ่นให้เขาฟังบ่อยๆ ว่า “คุณพ่อนัมเบอร์ทูบัญชาให้ผมทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ กระดิกตัวแทบไม่ได้”
กฤษณะอดดีใจลึกๆ ไม่ได้ว่าแทนยังไม่มีโอกาสได้พบภูวนัย...เขากลัวว่าความสดใสร่าเริงเป็นธรรมชาติของชายหนุ่มตรงหน้าจะไปจุดประกายบางอย่างให้ภูวนัยมาหลงเสน่ห์สถาปนิกของตัวเอง เขาไม่อยากมีเพื่อนรักเป็นคู่แข่ง...
...คู่แข่งหรือ...นี่จะจีบแทนแล้วหรือ...เขาเริ่มชอบแทนแล้วหรืออย่างไร...กฤษณะถามตัวเอง
“ผมจะคุยกับท่านให้ คุณแทนไม่ต้องเป็นห่วง”
“จริงนะครับ ยังไงเรียนรายงานท่านด้วยว่า ถ้าเกิดเปลี่ยนแปลงอะไรอีก ผมจะเลิกทำ ให้ท่านไปแสวงหาสถาปนิกคนอื่น” แทนแกล้งทำหน้าบึ้ง
“เอาจริงเหรอ” กฤษณะหัวเราะเบาๆ นึกภาพภูวนัยแก้ไขเปลี่ยนแปลง แล้วแทนก็โวยวายลาออกจากการเป็นสถาปนิก...
เขารู้สึกแปลกๆ ในใจ...ใจหนึ่งไม่อยากให้ภูวนัยเปลี่ยนแปลง เพราะไม่อยากให้แทนหงุดหงิด อีกใจหนึ่งอยากให้ภูวนัยแผงฤทธิ์ ทำทีไม่ชอบใจผลงานแล้วสั่งรื้อทำใหม่จนแทนโกรธ เลิกทำงานให้ จะได้ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับภูวนัย ถึงตอนนั้นเขาจะขอจ้างสถาปนิกหนุ่มมาทำงานบ้านพักตากอากาศให้เขา...
ถึงตอนนั้น เขาจะตามไปดูแลตรวจงานบ่อยๆ จะได้ใกล้ชิดกะบสถาปนิกหนุ่มผู้น่ารัก
ความคิดแวบหนึ่งโผล่ขึ้นมาในหัว...ความคิดเจ้าเล่ห์ของเพื่อนผู้ไม่อยากให้คนที่เขาชอบไปพบกับเพื่อน...
...ภูวนัยหน้าตาหล่อเหลาไม่ใช่ย่อย บุคลิกลักษณะมีเสน่ห์ดึงดูดใจ หากเขากลัวว่าใครจะมาหันเหความสนใจของแทนไปจากเขา ก็มีภูวนัยนี่ล่ะที่น่ากลัวที่สุด...
9999999999999999999
