My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk  (อ่าน 194879 ครั้ง)

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
ตัวอย่างตอนต่อไปตามคำขออีก 2 บรรทัด


“คืองี้ค่ะ คุณเรียว มันมีอุบัติเหตุนิดหน่อย น้อยไม่อยากเป็นคนแจ้งข่าวนี้เลย แต่ทำไงได้ เจ้าตัวเขาไม่อยู่จะพูด น้อยเลยต้องทำหน้าที่นี้แทน”

อย่านะ ห้ามพูดอะไรที่จะทำให้ผมหัวใจวายออกมาเชียวนะ ต้องเป็นข่าวดีเท่านั้น ได้ยินไหมน้อย ผมภาวนาในใจ แต่ปากกลับถามไปอีกอย่าง

ออฟไลน์ the_pooh9

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-3
เจ็บที่ไม่เเตกต่าง  :monkeysad:

 :z6: :beat: ให้ไอ้คุณสักดิ์ชาย

ออฟไลน์ sasa

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1008
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-2
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่49 10/3/09
«ตอบ #452 เมื่อ13-03-2009 23:00:51 »

โหย!! ใจร้ายอ่ะ ทำเราร้องไห้ ให้สมหวังบ้างเถอะ 
หดหู่ จนอะไรๆ มันหดตามไปหมดแหละ

va_yu

  • บุคคลทั่วไป
 :a5: ทำไมมันค้างแบบนี้ล่ะค่ะเนี่ย....

ขอแบบตัวอย่างซักตอนสองตอนดีกว่าค่ะ..
บรรทัดสองบรรทัดไม่เอาค่ะ มันไม่ต่อเนื่อง... :L2:


สงสารเรียวจังเลย...อยากจับศักดิ์ชัยมาตบซักที
แบบนี้หรือเปล่าค่ะ..ที่เขาเรียกหวังดีประสงค์ร้ายอ่ะ

ปล.ขอโทษที่เม้นท์แรง..ตอนนี้อินจัดไปหน่อยค่ะ
กดบวกให้คนโพสแล้วนะคะ  o13

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
«ตอบ #454 เมื่อ14-03-2009 16:32:24 »

บทที่ 51

“คืองี้ค่ะ คุณเรียว มันมีอุบัติเหตุนิดหน่อย น้อยไม่อยากเป็นคนแจ้งข่าวนี้เลย แต่ทำไงได้ เจ้าตัวเขาไม่อยู่จะพูด น้อยเลยต้องทำหน้าที่นี้แทน”

อย่านะ ห้ามพูดอะไรที่จะทำให้ผมหัวใจวายออกมาเชียวนะ ต้องเป็นข่าวดีเท่านั้น ได้ยินไหมน้อย ผมภาวนาในใจ แต่ปากกลับถามไปอีกอย่าง

“มีอะไรหรือครับน้อย เกิดอะไรขึ้นหรือ แล้วนี่เดียร์ยังไม่ได้มาที่บ้านผมเหรอ”

“นั่นแหละค่ะ คือสิ่งที่น้อยกำลังจะบอกคุณล่ะ คือว่าวันนี้เดียร์คงไม่ได้ไปที่บ้านคุณแล้วล่ะค่ะ เขาโทรมาบอกว่า เขาต้องขึ้นไปเชียงใหม่ เพื่อไปสมทบกับแดนเซอร์อีกทีมหนึ่งที่เต้นให้กับนักร้องของค่ายที่นั่นอ่ะค่ะ

พอดีว่าแดนเซอร์เกิดอุบัติเหตุคนหนึ่ง เขาขาดคน และเดียร์ก็เคยเต้นในมิวสิควิดิโอให้ด้วย เลยจำท่าได้ไม่ต้องสอนใหม่ เห็นว่าจะไปอาทิตย์หนึ่งน่ะค่ะ โดยจะบินไปคืนนี้ เขาแวะมาเอาเสื้อผ้าตอนที่น้อยมาหาคุณ แล้วก็ไปสนามบิน ตอนรอขึ้นเครื่องเขาก็โทรมาหาน้อยจะได้ไม่เป็นห่วง เพิ่งวางสายกันเมื่อครู่นี้เอง”

สวรรค์ล่มต่อหน้าต่อตา ความหวังที่จะได้เจอกับเดียร์พังทะลาย ทำไมชีวิตรักของผมและเขาต้องเจออุปสรรคด้วย แค่นี้ยังพิสูจน์ไม่พอหรือว่าเราสองคนรักกันมากแค่ไหน

“แล้วคุณน้อย..เอ้อ.. ได้บอกเรื่อง..ที่เราคุยกันให้เขาฟังหรือเปล่าครับ”

อยากฟังคำตอบที่ทำให้ผมสดชื่น แต่มันไม่มีอะไรที่ราบรื่นตามที่เราคิด น้อยร้องวี๊ดว๊ายมาตามสาย บอกว่าเดียร์โทรมาแป๊บเดียว จากนั้นก็วางสาย

เขายังไม่ทันได้เล่าเรื่องอะไรให้เดียร์ฟังเลย แล้วก็ขอโทษขอโพยผม รับปากแข็งขันว่า ถ้าคราวหน้าเดียร์โทรเข้ามา เขาจะเล่าให้เดียร์ฟังทุกอย่าง ที่จริงเธออยากจะเป็นฝ่ายโทรไปเล่าด้วยตัวเอง จะได้เม้าท์กันนานๆ แต่เดียร์ดันทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่บ้านผมก็เลยไม่รู้จะติดต่อกันอย่างไรดี

“ไม่เป็นไรครับ ถ้าเขาโทรมาหาน้อย ก็ฝากบอกเขาด้วยนะครับ ว่าผมคิดถึง อยากให้เขากลับมาหาผมที่บ้าน แต่ถ้ายังไม่อยากจะมา ก็โทรมาหาผมก็ได้ เอาเบอร์พวกนี้ไปนะครับ เผื่อเดียร์เขาจะเมมเอาไว้ที่เครื่องอย่างเดียวไม่ได้จดในสมุดจดเบอร์โทรศัพท์...”

ผมบอกน้อยทุกเบอร์ ทั้งเบอร์ตรงที่ทำงานผม เบอร์บ้าน และเบอร์มือถือ กะว่าจะไม่พลาดการติดต่อกับเดียร์อย่างเด็ดขาด เขาโทรมาเบอร์ใดเบอร์หนึ่งก็ต้องเจอผม

รู้สึกเหงาขึ้นมาจับใจ ไม่อยากเดินลงไปข้างล่างอีกแล้ว เดียร์ไม่อยู่ ไม่รู้จะฉลองวันวาเลนไทน์กับใคร ปีนี้คงต้องอยู่อย่างเดียวดาย ไม่มีใครมาให้กอด อีกตั้งอาทิตย์หนึ่งกว่าเดียร์จะกลับมา ไม่รู้ว่าน้อยจะทำสำเร็จไหม ใจอยากจะไปหาเสียเอง แต่ผมก็มีเรื่องวุ่นวายที่จะต้องจัดการงานของตัว และจัดการกับเจ้าเพื่อนตัวแสบให้เสร็จก่อน บางทีผมอาจจะลากมันไปขอโทษเดียร์ที่ทำให้เขาคิดมากถึงขนาดที่เดินออกไปจากชีวิตของผม

................................................................

เจ้าสันต์กลับมาพร้อมของฝากมากมาย ทั้งไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม มีไม้แกะสลักเป็นของแต่งบ้านมาให้ด้วย มันล้อเลียนผม เมื่อเห็นบ้านที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีขาวนั่น มันเริ่มมีกลีบช้ำ และร่วงบ้างแล้ว ผมเก็บเฉพาะส่วนที่ร่วงทิ้งไป ที่เหลือยังเก็บไว้ตามสภาพเดิม อยากชื่นชมมันนานๆเวลาที่นึกถึงเดียร์

พอรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับผม เจ้าสันต์ก็ทั้งสมน้ำหน้าและเห็นใจ มันปลอบประโลมผมว่าไม่ต้องคิดมาก เดียร์คงไม่ไปไหนไกล

เขารักผมมากขนาดนั้น คงจะงอนสักพักหนึ่งเดี๋ยวก็หาย ตอนนี้ต่างคนต่างมีงาน ก็ทำหน้าที่ของตัวให้เสร็จสิ้น แล้วค่อยไปจัดการเกี่ยวกับหัวใจตัวเอง

กระวนกระวายไปก็ไม่เกิดประโยชน์ เพราะเดียร์คงจะไปทัวร์คอนเสิร์ตที่จังหวัดโน้นจังหวัดนี้ ติดต่อไม่ได้ และคงจะยุ่งมากๆ ไม่มีเวลามาเคลียร์ปัญหาหัวใจกับใคร กลับมาเมื่อไหร่ ค่อยว่ากันอีกที

ได้ฟังแบบนี้แล้วผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นมานิดหนึ่ง เลิกกังวลใจและรอเวลาที่เดียร์กลับมา ดีเหมือนกัน การที่ไม่ได้เจอหน้าสักหนึ่งอาทิตย์ อาจจะทำให้ต่างคนต่างอารมณ์เย็นลง มีเวลาไตร่ตรองมากขึ้น เวลาเจอหน้ากันจะได้พูดคุยกันอย่างมีเหตุผล ผมเชื่อว่าความจริงใจที่ผมมีให้กับเดียร์จะทำให้เราสามารถกลับมาอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขอีกครั้ง

ผมเล่าเรื่องที่ศักดิ์ชายไปหาเดียร์แล้วก่อเรื่องขึ้นมาให้สันต์ฟังด้วย สันต์ตบเข่าผาง บอกกับผมว่า นึกแล้วว่าสักวันเจ้านั่นต้องก่อเรื่อง ดูท่าทางศักดิ์ชายไม่ค่อยจะพอใจเดียร์สักเท่าไหร่ เห็นมองด้วยแววตาหึงหวงหลายต่อหลายครั้ง

มันด่าเพื่อนเก่าของผมไปหลายคำสุดท้ายมันก็ได้คำเรียกแทนชื่อศักดิ์ชายว่าอีแอบสารพัดพิษ ผมหัวเราะจนตัวงอ ที่มันว่าศักดิ์ชายแบบนั้น รู้สึกสงสารเพื่อนเก่า และขำเพื่อนใหม่ที่อินกับเรื่องของผม เจ็บแค้นแทน ราวกับว่าเป็นเรื่องของมันเสียเอง

“ไอ้ศักดิ์ชายนี่ ดวงมันคงจะถึงฆาตในเร็ววัน หนอยทำตัวเป็นหมาหวงก้าง ตัวเองไม่ได้ใครก็อย่าหวัง คนแบบนี้ ต้องจัดการให้เจ็บแสบเลย เกลียดนัก พวกไม่ยอมรับตัวเองแบบนี้

ฉันว่ามันหลงรักนายมาตั้งนานแล้ว แต่มันไม่กล้า ห่วงศักดิ์ศรีบ้าบออะไรของมันนั่นแหละ กลัวคนจะไม่ยอมรับ กลัวจะสูญเสียตำแหน่งหน้าที่การงานที่มั่นคง เลยหลอกตัวเองด้วยการไปแต่งงานกับผู้หญิงซะ

พอคนที่ตัวชอบมีคนอื่นก็รับไม่ได้ ทำมาเป็นหวังดี ยื่นมือเข้ามาเจ้ากี้เจ้าการ ทำให้คู่รักเขาต้องพรากจากกัน อย่างนี้จะไม่ให้เรียกมันว่าอีแอบสารพัดพิษได้ไงวะ”

มันด่าเจ้าศักดิ์ชาย แล้วทำไมมันต้องหันมามองผมด้วย ตีวัวกระทบคราดนี่หว่า เออ ไม่ต้องมาว่าผมหรอก ผมรู้ดีว่ามันหมายถึงผมด้วยเหมือนกัน ก็กว่าที่ผมจะผ่านมาถึงจุดนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายดาย ผมจึงไม่อยากสูญเสียมันไป อยากได้ทั้งตัวเดียร์ และยังอยากทำตัวเป็นปกติเหมือนเดิม แต่เมื่อมันต้องเลือก ผมก็มีคำตอบให้ตัวเองแล้ว นั่นคือผมเลือกที่จะทำตามหัวใจของตัวเองยังไงล่ะ

“เฮ้ยยยยย แม่......ง พูดแล้วโมโหแทน เอางี้นายไม่ต้องลงมืออะไรเลย อยู่เฉยๆ ทำตัวเป็นพ่อพระก็พอ เดี๋ยวป๋าจัดการให้ ถนัดนักเรื่องการกำราบไอ้พวกชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านนี่ วันจันทร์เว้ยเพื่อน รับรองมีเฮ ....ว่าแต่ตอนนี้ นายจะนั่งเหงาอยู่กับบ้านทำไมวะ ไปเที่ยวกันดีกว่า อยู่ในบ้านที่มีกลิ่นไอคนรักที่จากไป เดี๋ยวก็ได้ฟุ้งซ่านจะเป็นจะตายกันพอดี ไปสนุกกันดีกว่า”

..............................................................

“เออก็ได้...กำลังเซ็งอยู่พอดี แต่ไม่กลับดึกนะโว้ย”

รับปากอย่างไม่รู้จะทำอะไรดี เบื่อบ้านที่ไม่มีเดียร์ มันเหงาอย่างบอกไม่ถูก

“จ้า ....พ่อคนอนามัยจัด งั้นฉันจะสั่งนมมาเลี้ยงแกแทนเหล้านะโว้ย แกคงกินไม่ได้ เดี๋ยวผิดศีล ฉันอาสาเป็นคนบาป ให้เอง หุหุหุ”

แดกดันผมเสร็จ ก็หัวเราะชอบใจ ผมเลยยกเท้ายันโครมเข้าให้ หนอยแน่ะ คนกำลังเฮิร์ท ดันมาล้อเล่นอยู่ได้ ใครจะอารมณ์ดีแบบมัน แฟนเก่าจากไปไม่กี่วัน มันก็มีแฟนใหม่ ระริกระรี้สวีทกันหวานชื่น ราวกับว่าไม่เคยเจอปัญหาหนักใจมาก่อน ผมอยากเป็นอย่างเจ้าสันต์จัง ไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรกับใคร ร้องไห้ แล้วก็หัวเราะ ไม่เคยเห็นมันเศร้านานๆเลย

เช้าวันจันทร์เจ้าสันต์มาทำงานหลังไก่โห่ไปนิดหน่อย มันตั้งใจที่จะเอาเรื่องศักดิ์ชายเต็มที่ แต่เพื่อนเก่าของผมก็เหมือนนกรู้ มันชิงลาพักร้อนตัดหน้าไปหนึ่งอาทิตย์เหมือนจะหนีอะไรบางอย่าง

เจ้าสันต์เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโมโหโกรธาที่ศักดิ์ชายหลุดเงื้อมือไปได้ มันสบถสาบานกับผมว่า หากมันไม่สามารถเอาเรื่องกับอีแอบสารพัดพิษได้ ก็ไม่ต้องมาเรียกมันว่าเพื่อนอีกต่อไป คำพูดของมันดูแรงไปหน่อย ทว่าจริงใจดี ผมเลยปล่อยหน้าที่ให้กับสันต์ไป ไม่อยากจะมีเรื่องปวดหัวเพิ่มขึ้น แค่คิดว่าทำอย่างไรจึงจะได้เจอตัวเดียร์ก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว

หลังจากเหตุการณ์ที่เดียร์ข่มขืนผมจนนับจำนวนครั้งไม่ถ้วนผ่านไป เด็กหนุ่มก็หายหน้า ไม่มาให้เห็น ไม่มีแม้กระทั่งส่งเสียงตามสายมาให้ได้ยิน ข้าวของเครื่องใช้ของเด็กหนุ่มอันตรธานหายจากบ้านไปจนเกลี้ยง ไม่เหลือร่องรอยใดๆให้ผมไว้ดูต่างหน้า นอกจากข้าวของที่เขาให้ไว้กับผม อย่างเช่นตุ๊กตาหมูเรียวจัง ปลอกหมอนและสัญญา

วันแล้ววันเล่าผ่านไปโดยไม่มีแม้แต่เงาของเดียร์ แรกๆผมก็ยังทำเฉยอยู่ เพราะรู้จากปากน้อยว่าเดียร์ไปทัวร์คอนเสิร์ต อีกไม่กี่วันก็กลับมาแล้ว แต่ก็เริ่มเหงาบ้าง กลับมาบ้านไม่มีใครรอผมอยู่เหมือนเคย ผมพยายามคิดว่าดีแล้วที่เป็นแบบนี้ การที่เดียร์จากไปน่าจะทำให้ผมสามารถใช้ชีวิตได้มีความสุขมากกว่าเดิม เพราะผมสามารถกลับไปเป็นตัวของตัวเองได้

ทว่าไม่เป็นความจริงเลย ผมกลับแย่ลงทุกวันด้วยความคิดถึงที่มีต่อตัวเดียร์ เฝ้าโทรไปถามน้อยว่าเด็กหนุ่มโทรมาหาบ้างหรือเปล่า คำตอบของน้อยคือไม่ ตั้งแต่วันที่น้อยมาหาผมที่บ้าน เดียร์ก็ไม่ได้โทรมาหาเขาอีกเลย

จนล่วงเข้าอาทิตย์ที่สอง ผมก็เริ่มจะทนไม่ไหว รู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างในชีวิตมันขาดหายไป ทำให้ผมสดชื่นเหมือนเดิม เดียร์ยังไม่ได้กลับบ้าน ยังคงเต้นให้กับศิลปินต่อเนื่อง แต่คราวนี้เป็นนักร้องอีกคนหนึ่ง ผมรู้สึกโมโหบริษัทที่เดียร์สังกัดอยู่ที่ไม่ปล่อยตัวเดียร์สักที ป่านนี้เจ้าเด็กนั่นจะเป็นอย่างไรกันนะ เวทีคอนเสิร์ตอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่อยากให้เขาอยู่ต่อ อยากให้กลับมาบ้านมากกว่า

ไหนบอกว่าหนึ่งอาทิตย์จะกลับมายังไงล่ะ ทำไมต้องขยายเวลาในการเดินสายโชว์ด้วย บริษัทจะงกไปถึงไหนกัน ทำแบบนี้ศิลปินเหนื่อย แดนเซอร์ก็เหนื่อย เพราะแสดงยาวโดยไม่หยุดพัก อาจจะทำให้เกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็ได้

เจ้าหนูของผมเพิ่งหายจากการบาดเจ็บที่ขา กระโดดโลดเต้นแรงๆอาจจะทำให้เขาเจ็บขึ้นมาอีกก็ได้ คอยดูนะ ถ้าเดียร์เป็นอะไรผมจะไม่ให้อภัยบริษัทนั้นอีกเลย จะเลิกอุดหนุนเทปหรือซีดีจากนักร้องในสังกัดค่ายนี้ จะบอกเพื่อนจะบอกคนอื่นๆด้วย ให้เจ๊งกันไปเลย

...................................................................

ไหนบอกว่าหนึ่งอาทิตย์จะกลับมายังไงล่ะ ทำไมต้องขยายเวลาในการเดินสายโชว์ด้วย บริษัทจะงกไปถึงไหนกัน ทำแบบนี้ศิลปินเหนื่อย แดนเซอร์ก็เหนื่อย เพราะแสดงยาวโดยไม่หยุดพัก อาจจะทำให้เกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็ได้

เจ้าหนูของผมเพิ่งหายจากการบาดเจ็บที่ขา กระโดดโลดเต้นแรงๆไปมามันไม่ดี อาจจะพลาดพลั้งทำให้เขาเจ็บขึ้นมาอีกก็ได้ คอยดูนะ ถ้าเดียร์เป็นอะไรผมจะไม่ให้อภัยบริษัทนั้นอีกเลย จะเลิกอุดหนุนเทปหรือซีดีจากนักร้องในสังกัดค่ายนี้ จะบอกเพื่อนจะบอกคนอื่นๆให้เลิกซื้อด้วย จะได้เจ๊งกันไปเลย

เดียร์อยู่ต่อที่โน่น แต่ศักดิ์ชายกลับมาจากพักร้อนแล้ว ทันที่ทิ่เจอหน้ากันกับเจ้าสันต์ ก็เหมือนเป็นคราวเคราะห์ของมัน เพราะสันต์บีบบังคับ ขู่เข็ญ จนมันยอมมาเจอเราสองคน พอลากตัวมันมาได้เจ้าสันต์ก็ทั้งปลอบทั้งด่า จนกระทั่งศักดิ์ชายกลัวหงอ เปิดปากพูดความจริงที่เกิดขึ้น

“แกไปพูดกับเจ้าหนูนั่นว่าไง ทำไมเขาถึงได้งอนเจ้าเรียวป่องๆไปแบบนั้นวะ”

“จริงเหรอ เด็กนั่นมันไปจากชีวิตของเรียวแล้วเหรอ”


anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
«ตอบ #455 เมื่อ14-03-2009 16:33:08 »

ศักดิ์ชายทำหน้าดีใจอย่างเห็นได้ชัด เลยโดนเจ้าสันต์ตบกระโหลกพลั๊วะ ผมยังตกใจที่มันทำกับเพื่อนร่วมงานขนาดนั้น มาดของมันยังกับนักเลง น่าแปลกที่ศักดิ์ชายกลัวหงอ ไม่กล้าโต้ตอบ คงกลัวจะเจ็บตัวไปมากกว่าเดิม

“เล่าให้ฟังแทนที่จะสลด กลับมาทำหน้าระรื่นอีก หน้าด้านจริงนะนายน่ะ รู้สึกดีนักหรือวะ ที่คนเขาเลิกกัน ถ้าเป็นนายมาโดนทำแบบนี้บ้าง จะรู้สึกยังไงวะ”

“ทำไมล่ะ เลิกกันแล้วก็ดีสำหรับเรียวไม่ใช่เหรอ งานการก็ไม่เสีย คนก็จะได้ไม่นินทา สามารถใช้ชีวิตแบบเดิมได้อย่างปกติสุข”

ศักดิ์ชายเถียงเสียงอ่อย เจ้าสันต์เลยว๊ากใส่

“เฮ้ย ศักดิ์ สำคัญตัวผิดไปหรือเปล่าวะ ใครยกหน้าที่ในการตัดสินใจแทนคนอื่นให้นายกัน เป็นแค่เพื่อนไอ้เรียว ไม่ใช่ตัวมันสักหน่อย จะรู้ได้ไงว่ามันรัก หรือชอบอะไร สิ่งไหนที่ทำให้มันมีความสุข เรื่องแบบนี้เรียวมันต้องตัดสินใจของมันเอง เราทำได้แค่มองดู และให้คำปรึกษา ไม่ใช่เสนอหน้าไปทำสิ่งที่ไม่ควร อย่างที่นายทำอยู่ทุกวันนี้”

“ก็ ฉันเป็นห่วงเรียวนี่ ไม่อยากให้มันเดือดร้อนเพราะไปรักเจ้าเด็กนั่นน่ะ”

เพื่อนเก่าอธิบายถึงเหตุผลที่ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว

“ห่วงเรียวหรือห่วงความรู้สึกของตัวเองกันแน่วะ เคยถามเรียวมันบ้างหรือเปล่า ว่ามันอยากให้นายช่วยไหม นี่นายโง่ หรือ แกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่ว่าเรียวรักเจ้าหนูนั่นมากแค่ไหน แล้วเรียวก็ไม่ต้องการจะเลิกกับเดียร์ด้วย”

สันต์เสียงดังใส่ เพื่อนเก่าของผมส่ายหน้าเหมือนไม่เชื่อ

“ไม่จริงหรอก เรียวไม่ได้รักไอ้เด็กคนนั้น เรียวถูกมันบังคับ มันแบล็คเมล์เรียว จนต้องตกกระไดพลอยโจนยอมเป็นแฟนมัน แล้วนี่ยังจะมาทำให้เรียวต้องออกจากงานเพื่อมันอีก ไอ้เด็กนั่นไปได้ก็ดีแล้ว แสดงว่าที่ฉันพูดให้มันฟัง มันยังพอสำนึกอยู่บ้าง มันไปซะคน เรียวจะได้ไม่ต้องทนอึดอัดใจ กับสัญญาบ้าบอนั่น กลับมาเป็นเรียวคนเดิมที่มีความสุข เหมือนเมื่อตอนที่ไม่มีเดียร์เข้ามาในชีวิต”

“แกไปเอาเรื่องอะไรมาพูดวะ ใครบอกแก เรื่องแบล็คเมล์ เรื่องสัญญาบ้าบออะไรนั่น”


เสียงของสันต์เกือบเป็นตะคอก ศักดิ์ชายยิ้มปากสั่น เหมือนมันพยายามข่มความรู้สึกทั้งโกรธ และ กลัว เจ้าสันต์

“นายสองคนอย่ามาโกหกเลย ฉันรู้เรื่องทุกอย่างหมดแล้ว”

“นี่นายแอบฟังเราสองคนพูดกันใช่ไหม”

ผมถามศักดิ์ชาย รู้สึกแย่ที่เพื่อนเก่าของผม ทำตัวสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่นแบบนี้

“ฉันขอโทษทีนะเรียว ฉันไม่ได้ตั้งใจ มันบังเอิญน่ะ วันนั้นฉันตั้งใจมาหานาย แต่เห็นเจ้าสันต์อยู่ในห้องด้วย พอจะเข้าไป ก็ได้ยินเรื่องที่นายสองคนคุยกัน

ฉันเลยเสียมารยาทแอบฟัง มันทำให้ฉันเข้าใจเลยว่า ทำไมเจ้าเด็กนั่นถึงได้ตามติดนายนักหนา แล้วตอนหลัง ฉันก็ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับตัวนายว่ามีความสัมพันธ์กับเด็กแดนเซอร์นั่น

แถมซ้ำยังรู้มาอีกว่า ห้วหน้าของนายไม่พอใจ ตักเตือนเรื่องนี้หลายครั้ง แต่นายเองคงไม่กล้าพูดกับเดียร์ ฉันก็เลยยื่นมือมาช่วยทำให้เรื่องมันง่ายขึ้นน่ะเพื่อน”

ศักดิ์ชายร้องขอความเห็นใจจากผม

“ช่วยมากเลยนะ ช่างเป็นเพื่อนรักจริงๆ อย่างนี้เขาเรียกว่า เสือ......ไม่เข้าเรื่อง รู้ไหมเหตุการณ์มันวุ่นวายเลวร้ายไปหมดแล้ว เลิกเถอะวะกับการทำตัวเป็นผู้หวังดีแต่ประสงค์ร้าย มันแย่แค่ไหนที่ทำให้เพื่อนกับคนรักแตกคอกัน

นายหวังอะไรจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เหรียญตราความกล้าหาญที่เสี่ยงเข้าไปบอกให้เดียร์เลิกกับไอ้เรียวมันโดยไม่โดนต่อยหน้าแหกเสียก่อนงั้นหรือวะ หรือแค่คำขอบคุณจากเรียว

รู้ไหม นายน่ะอาจจะโดนเพื่อนเกลียดโดยไม่รู้ตัว โทษฐานที่แสดงความหวังดีกับเพื่อนเกินความจำเป็น จะบอกอะไรให้นะ เหตุการณ์ครั้งนี้มันจะจบลงได้ด้วยดี หากนายจะไปขอโทษเดียร์แล้วพูดให้เขากลับมา ถ้าทำได้นายได้เพื่อนคืน แต่ถ้าทำไม่ได้ ฉันว่านายโดนเลิกคบแน่”

เจ้าสันต์ขู่หน้าตาขึงขัง

“ไม่ ทำไมฉันต้องไปด้วย ฉันไม่ได้หวังร้ายกับเรียว ฉันทำเพื่อมัน ถ้าเรียวจะโกรธฉันก็เสียใจ แต่สักวันหนึ่งเรียวมันจะต้องขอบคุณฉันที่ช่วยทำให้มันได้มีชีวิตแบบเดิม อีกหน่อยเรียวก็คงจะลืมเจ้าเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้านั่น แล้วก็แต่งงานกับใครสักคนที่เขารักมัน มีครอบครัวที่มีความสุข ไม่ต้องถูกนินทาว่าเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน”

ศักดิ์ชายทำท่าดื้อดึงไม่ยอมแพ้ เพื่อนรักของผมยิ้มเหี้ยมเกรียมมันถามศักดิ์ชายอีกครั้งว่าจะไปหรือไม่ เพื่อนเก่าเพื่อนแก่บอกไม่ไป เจ้าสันต์ก็เลยงัดไม้เด็ดขึ้นมา ทำให้เจ้าสันต์ถึงกับตาเหลือกเมื่อเห็นสิ่งที่สันต์วางตรงหน้า

“นี่ใช่ไหมที่แกเรียกว่าการมีครอบครัวที่มีความสุข ไม่ต้องถูกนินทาว่าเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน แล้วไอ้ที่ซบกันดูดปากกันดูดดื่มแบบนี้เนี่ย เขาเรียกว่าอะไร สัมมนารอบดึกเหรอ”

หน้าของศักดิ์ชายถอดสี เมื่อมองเห็นภาพที่เขากำลังโอบกอดชายหนุ่ม และจูบกันนัวเนียท่ามกลางชายหนุ่มมากมายซึ่งดูก็รู้ว่าสถานที่ต้องเป็นในบาร์เกย์ที่ใดที่หนึ่ง


“นี่มันบ้าแล้วสันต์ รูปอะไรฉันไม่เห็นจะรู้เรื่อง”

ศักดิ์ชายปฎิเสธตะกุกตะกัก หน้าซีดสลับแดง เนื้อตัวสั่นระริก ไม่รู้ว่าโกรธจัด หรือกำลังกลัวอะไรกันแน่ สันต์ยิ้มเยาะเย้ยศักดิ์ชาย ท่าทางเหมือนคนที่ถือไพ่เหนือกว่า มันรวบภาพที่อยู่บนโต๊ะ นับ 10 กว่าภาพไปถือไว้ในมือแล้วยักไหล่

“อื้ม บางที เมียนายอาจจะช่วยตอบอะไรได้บ้าง ว่าคนในภาพพวกนี้เป็นใคร”

“เฮ้ย....อย่านะสันต์”


anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
«ตอบ #456 เมื่อ14-03-2009 16:33:49 »

เพื่อนเก่าของผมร้องห้ามเสียงหลง เมื่อเห็นเจ้าสันต์ทำท่าจะเก็บภาพพวกนั้นลงกระเป๋าเอกสารของมัน ศักดิ์ชายยื่นมือออกมา แบขอภาพพวกนั้น ท่าทางยอมจำนนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

“ก็ได้ จะให้ฉันทำอะไรก็ได้ ฉันยอมทั้งนั้น แต่ขอภาพพวกนั้นคืนมาเถอะ”

สันต์หัวเราะอย่างสะใจ มันยื่นซองเอกสารให้ศักดิ์ชายปึกหนึ่ง ศักดิ์ชายหยิบออกมาเท มันเป็นภาพชุดเดิมที่สันต์เอาออกมาแสดงเมื่อครู่ และมีเอกสารชุดหนึ่งอยู่ในซองนั้นด้วย

“นี่มันอะไรกันวะ”

“หนังสือรับสารภาพว่า สิ่งที่นายพูดออกไปทั้งหมดมันไม่เป็นความจริง และขอโทษต่อสิ่งที่เกิดขึ้น”

เพื่อนรักของผมยักคิ้ว ทำหน้ายียวนกวนประสาท ศักดิ์ชายหน้าบึ้งตึงท่าทางโกรธจัดที่สันต์ทำราวกับจะแบล็คเมล์มัน เพื่อนผู้หวังดีของผม รีบเก็บภาพพวกนั้น และปฏิเสธที่จะเซ็นต์ยินยอมรับสิ่งที่ตัวเองทำ

สันต์ถอนหายใจ ส่ายหน้า สายตาที่มองมายังศักดิ์ชายเหมือนกำลังมองคนโง่คนหนึ่งที่คิดว่าตัวเองฉลาด

สันต์หยิบของที่อยู่ในกระเป๋าออกมาอีก เป็นภาพชุดเดิมแต่อีกหนึ่งก็อปปี้ มันถือโบกไปมา พร้อมกับโชว์โทรศัพท์มือถือที่มีแฟ้มภาพศักดิ์ชายที่กำลังจูบกับใครบางคน ให้เพื่อนเก่าของผมดู

“ต้องขอขอบคุณเทคโนโลยี่สมัยใหม่ ที่ทำให้เราสามารถใช้มือถือถ่ายภาพได้ แถมซ้ำยังถ่ายลงคอม และเซฟลงแผ่นได้ด้วย ร้านถ่ายรูปก็อัดออกมาได้อย่างชัดเจนมาก จะเอากี่ก๊อปปี้ก็ได้ ฉันว่าลองลงอินเตอร์เนต แล้วส่งให้คนดูทั่วทั้งบริษัทดีกว่า แล้วตั้งชื่อหัวข้อว่า ตามหาจเด็ด นักรักแห่งบริษัทประกันชีวิต แบบนี้ดีไหมวะสันต์”

การข่มขู่ของเจ้าสันต์ ทำให้ศักดิ์ชายพูดไม่ออก มันกระชากจดหมายสารภาพบาปนั้น มาเซ็นต์ชื่อ แล้วยื่นให้สันต์เกือบจะถึงหน้า

ไอ้เพื่อนเจ้าเล่ห์หัวเราะลั่นอย่างชอบอกชอบใจ ตบหลังตบไหล่ศักดิ์ชายบอกว่าคิดถูกแล้ว ที่ทำแบบนี้ และบอกว่ามันจะทำลายภาพพวกนี้ทิ้งถ้าภารกิจนำคนรักกลับคืนให้ผมประสบความสำเร็จ

จากนั้นมันก็ให้ศักดิ์ชายกลับไปได้ เพื่อนเก่าหันมาทางผม ดวงตาของมันเศร้าสร้อย เหมือนว่ามันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากจะพูด ท่าทางมันคงอยากจะอธิบายเกี่ยวกับเรื่องภาพนั้นให้ผมฟัง แต่เจ้าสันต์ไล่ให้มันกลับไป เพราะมีเรื่องจะคุยกับผมสองคน

ศักดิ์ชายทำท่าดื้อดึงจะอยู่ต่อแต่เมื่อเห็นสันต์เอารูปมาทำเป็นพัดขับไล่ความร้อนให้กับตัวเอง เพื่อนเก่าผมก็ทำหน้าหงิกงอไม่พอใจ แต่ก็ยอมจากไปโดยดี
“โอ๊ย ขำว่ะ ไอ้ศักดิ์แม่ง........ขี้ขลาดชะมัดเลย”

พอศักดิ์ชายไปแล้ว เจ้าสันต์ก็หัวเราะท้องคัดท้องแข็ง ท่าทางมันสะใจที่ได้แกล้งศักดิ์ชายได้ แต่ผมกลับรู้สึกตรงกันข้าม รู้สึกสงสารเพื่อนเก่าสมัยเรียนอย่างจับใจ

“นายทำเกินไปหรือเปล่าวะ”

“อะไรวะ เกินไปตรงไหน ก็แค่เลียนแบบมันไง มันเอาเรื่องที่มันรู้แบล็คเมล์เดียร์ ฉันก็เอาเรื่องที่ฉันรู้แบล็คเมล์เจ้าศักดิ์ชายกลับบ้าง ที่มันเอ๋อ เพราะไม่คิดว่ามันจะโดนเล่นงานไงล่ะ

สมน้ำหน้าแล้ว อีแอบจอมสร้างภาพต้องเจอแบบนี้ หนอยแน่ะ รักครอบครัว ไม่ทำตัวเหลวไหล ปิดบังความรู้สึกของตัวเอง แล้วเป็นไง หมาเวลาเห็นขี้ยังไงมันก็อดกินไม่ได้ แถมกินแบบตะกละมูมมามอีกด้วย สะใจนักเชียว”

พูดจบเจ้าตัวแสบก็หงายหน้าหัวเราะเสียงดังลั่นอีกครั้ง

“แล้วนายไปได้รูปพวกนี้มาจากไหนวะ”

“จะไปยากอะไรวะ แค่จัดฉากนิดหน่อย”

“จัดฉาก............”

ผมทวนคำอย่างงงๆ เจ้าสันต์ก็เลยแก้ความกังขาให้ผม มันเล่าให้ฟังว่า มันสงสัยมานานแล้ว ว่าคนที่เป็นเกย์อย่างศักดิ์ชาย จะปิดบังความรู้สึกของตัวเองไว้ได้จริงๆ หรือแอบไปปลดปล่อยอารมณ์โดยไม่ให้คนอื่นรู้ มันเลยให้คนไปติดตาม จนกระทั่งทราบว่า ศักดิ์ชายจะไปเที่ยวที่บาร์เกย์แห่งหนึ่งเดือนละครั้ง แล้วก็จะหิ้วคนที่เจอในบาร์ไปมีอะไรด้วยเป็นความสัมพันธ์ชั่วคืน กันการผูกมัด

เจ้าสันต์เลยจัดฉากโดยให้เพื่อนเกย์หน้าตาดีๆทำทีไปตีสนิทแบบถึงเนื้อถึงตัว แล้วก็ให้เพื่อนอีกคนช่วยถ่ายภาพมาให้ ไม่นึกเลยว่าสันต์จะติดกับง่ายดายแบบนี้ สงสัยอดยากมานาน เห็นคนหล่อเข้าหน่อยเลยรีบคว้า ไม่ทันระวังตัว

“ศักดิ์มันต่างจากเดียร์ตรงที่ เจ้าหนูนั่น ยอมวางมือจากนาย เพราะไม่อยากดึงมาให้ตกต่ำ เขารักนายจริงๆ มากกว่าความเห็นแก่ตัวของตัวเอง เลยไม่อยากให้นายต้องสูญเสียอะไรไป แต่ไอ้ศักดิ์มันแค่คนขี้ขลาด ไม่กล้ายอมรับความจริง เพราะกลัวสูญเสียสถานภาพที่ตัวเองมีอยู่ จึงไม่กล้าเปิดหัวใจตัวเอง

ต้องลักกินขโมยกิน มีความสุขแค่ชั่วคราว แต่นั่นคงไม่ใช่สิ่งที่มันอยากเป็น แต่ทำไงได้ มันเลือกที่จะเป็นแบบนี้เอง ฉันรู้ว่ามันมีจุดอ่อนตรงนี้ จึงเอารูป มาแบล็คเมล์มันต่อไง ฉันเดาเอาว่าต่อให้รูปมันถูกประจานจริงๆ มันก็คงไม่เลิกที่จะหาเศษหาเลยกินแบบนี้ เพราะมันเป็นรสนิยมของมัน ห้ามกันไม่ได้”

สันต์จ้องหน้าผม ยิ้มในหน้า เหมือนว่าสิ่งที่มันทำลงไปนั้นเป็นเรื่องที่สมควรยิ่ง


anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
«ตอบ #457 เมื่อ14-03-2009 16:34:38 »


สันต์จ้องหน้าผม ยิ้มในหน้า เหมือนว่าสิ่งที่มันทำลงไปนั้นเป็นเรื่องที่สมควรยิ่ง

“ศักดิ์ชายมันคงแค้นฉันน่าดู แต่ช่างปะไร ถ้ามันพิจารณาดูดีๆ มันจะรู้ว่าฉันบอกให้มันทางอ้อมว่า คนเราถ้าลองได้รักชอบสิ่งใดแล้ว ต่อให้มีอุปสรรคขัดขวาง ก็ไม่อาจจะห้ามปรามไม่ให้คิดไม่ให้รู้สึกได้

เหมือนที่นายรักเจ้าหนูเดียร์ ถึงมีคนรู้มากมายแค่ไหน ก็ไม่เป็นสิ่งขวางกั้นความรักที่มีอยู่ หวังว่ามันคงได้รับบทเรียนอะไรบ้าง มันคงเข้าใจนายมากขึ้นว่ารู้สึกอย่างไร รวมถึงเข้าใจตัวเองได้ชัดเจนขึ้น

คนเราไม่ควรจะดูถูกตนเอง ในเมื่อเราเกิดมาไม่เหมือนคนอื่น ก็จงภาคภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น และอยู่กับมันให้ได้ ใช้ชีวิตให้คุ้ม แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว ลาภยศ ความมั่งคั่งมันเป็นแค่เปลือกนอก มันไม่ได้ทำให้คนเรามีสบายใจได้หรอกว่ะ”

ที่สันต์พูดมันคงจะจริง กรณีของศักดิ์ชายก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของคนที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาถึงความสมบูรณ์พูนสุขในชีวิต แต่ต้องปกปิดความรู้สึก เขาทำให้ตัวเองได้รับทุกข์ไม่พอ ยังทำให้คนที่เกี่ยวข้องในชีวิตเขาพลอยไม่มีความสุขไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังคงรู้สึกสงสารและเห็นใจศักดิ์ชาย มันคงได้รับความทุกขเวทนาที่ต้องทำตรงข้ามกับที่ใจปรารถนา หวังว่าสักวันมันคงจะยอมรับตัวเอง และเลือกหนทางที่ทำให้ชีวิตมีความสุขได้อย่างถูกต้อง สำหรับตัวผมเองได้คำตอบแล้วว่าชื่อเสียง เงินทอง ไม่ได้สำคัญกว่าหัวใจ สิ่งที่ได้มามันจะมีความหมายอะไร ถ้าไร้ซึ่งคนเคียงข้าง คอยสนับสนุน ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน

หลังจากวันที่ลากศักดิ์ชายมาคุยด้วยกับพวกเราสองคนแล้ว มันก็หายหน้าไปเลย ผมรู้ว่าศักดิ์ชายยังคงมาทำงานตามปกติ แต่เลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับพวกผม ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากศักดิ์ชายถูกหักหน้าขนาดนั้น แถมซ้ำยังโดนเปิดโปงเรื่องพฤติกรรมส่วนตัว มันคงอายขายหน้าเป็นธรรมดา

กลางสัปดาห์ ประมาณวันพุธ ผมก็ได้รับข่าวดีจากน้อย ซึ่งโทรมาหาผม เขาบอกว่าเดียร์จะกลับมากรุงเทพในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ พอเดียร์มาถึงน้อยจะนัดแนะผมให้ไปเจอกับเดียร์

ผมถามหาเบอร์โทรศัพท์เด็กหนุ่ม แต่น้อยก็บอกว่า เดียร์ใช้โทรศัพท์สาธารณะโทรมา เพราะเขาไม่มีมือถือ แล้วเขาก็ยุ่งมากๆด้วย เพราะเต้นเสร็จก็ต้องเดินทางต่อ ตลอดเวลาต้องนั่งอยู่แต่ในรถ ไปจังหวัดโน้นจังหวัดนี้ แทบจะไม่มีเวลาพัก

ผมห่อเหี่ยวเล็กน้อย เพราะอยากจะโทรหาเขา อยากฟังเสียง แต่เมื่อติดต่อไม่ได้ ผมก็ต้องทำใจอย่างเดียว และรอเวลาที่จะได้เจอกันในวันอาทิตย์

คุณแคทลียา เข้ามาหาผมในวันศุกร์ตอนเย็นเพื่อรายงานเรื่องเธอกับพี่สมชาย ผมเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว เพราะมัวแต่ยุ่ง และคุณแคทก็ลาพักร้อนไปแบบเดียวกับศักดิ์ชาย ต่างกันตรงที่คุณแคทเธอหนีความวุ่นวายไปเมืองนอกกับครอบครัว


anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
«ตอบ #458 เมื่อ14-03-2009 16:35:17 »

เธอไม่อยากจะรับรู้เรื่องของสองผัวเมียเพื่อนบ้านผม และไม่ต้องการให้พี่สมชายมายุ่งวุ่นวายกับเธออีก เธอตัดสินใจเดินทางไปทันทีในเช้าวันเสาร์ของวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ไปโดยไม่ได้ร่ำลาใคร แม้แต่ผมซึ่งไปเผชิญกับปัญหาร่วมกับเธอ ทว่าพอเธอกลับมา ปัญหาก็ยังรอท่าอยู่ การหนีไป ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น


พี่สมชายยังคงรังควาญเธออย่างต่อเนื่อง แถมซ้ำพี่วิภาก็ไปแอบได้เบอร์เธอมาจากมือถือของพี่สมชาย แล้วก็โทรมาด่าหาว่าคุณแคททำให้สามีของเธอต้องเปลี่ยนไป

ในที่สุดคุณแคทก็เหลืออด เธอนัดคนทั้งสองมาเจอกันกับเธอ แล้วพูดคุยกันอย่างเปิดอก เธอเล่าให้ผมฟังว่า พี่วิภาถึงกับช็อค เมื่อคุณแคทบอกว่าเธอเป็นผู้ชาย และคบกันกับพี่สมชายมานานแล้ว ก่อนจะแปลงเพศเป็นผู้หญิง

พี่สมชายเองก็อึ้งไม่คิดว่าเธอจะกล้าพูดแบบนั้น กลายเป็นว่าพี่วิภาขอหย่ากับพี่สมชาย และหอบลูกหนีไปอยู่กับพ่อแม่ พี่สมชายก็เลยหันมาขอคืนดีกับคุณแคท แต่เธอไม่อยากเป็นตัวสำรองยืนกรานปฏิเสธความสัมพันธ์ และบอกว่าเธอจะไม่อยู่เมืองไทยแล้ว จะกลับไปทำงานเมืองนอกตามเดิม ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์อันใดที่จะคบกันต่อ

ฟังเธอเล่าแล้ว ผมก็รู้สึกสงสารพี่สมชาย รู้สึกหดหู่ใจกับความรักที่ไม่สมหวังของเพื่อนบ้าน ที่จริงเขาก็ทำตัวของเขาเอง หากเขาหนักแน่นมั่นคง ทำตัวเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี ไม่ว่อกแว่กวาบไหวไปกับคนรักเก่า เขาก็ไม่ต้องเสียใครไปเลย

คุณแคทมาบอกลาผม สิ้นเดือนนี้เธอก็จะไม่อยู่ในเมืองไทยแล้ว เป็นการปิดฉากยุติปัญหาทั้งมวล ผมรู้สึกใจหายเมื่อได้ยิน ภายในเดือนเดียวกัน ผมต้องสูญเสียเพื่อนร่วมงานไปสองคน คืออรจิรา กับ แคทลียา สองคนไปนอกเหมือนกัน และด้วยเหตุผลใกล้เคียงกันคือ รักเป็นพิษ ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์จริงๆ

เธอถามผมเรื่องเดียร์ว่าเคลียร์กันได้ไหม ผมเล่าให้เธอฟังว่า เดียร์หนีผมไปแล้ว เธอแสดงความเสียใจกับผม และบอกว่ามันเป็นความผิดของเธอที่ลากผมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เธอบอกกับผมว่า ก่อนที่เธอจะไปเมืองนอก เธอจะต้องหาทางตอบแทนผมสักครั้งด้วยการพาเดียร์กลับคืนมาให้ผมให้ได้

ผมกล่าวขอบคุณเธอบอกว่า ผมไม่อยากรบกวนเธอขนาดนั้น แต่เธอก็ยืนยันว่าเธอมีส่วนทำให้เดียร์เข้าใจผิด และเธอไม่สบายใจเลยหากผมกับเด็กหนุ่มจะเลิกกัน เมื่อเห็นเธอตั้งใจจะช่วยผมขนาดนั้น ผมก็เลยยอมตกลง

ได้เวลาเลิกงานแล้ว แต่ผมยังไม่กลับบ้าน นั่งสะสางงานที่คั่งค้างไม่ให้มีเหลือ เพราะบางทีผมอาจจะลาพักร้อนในวันจันทร์ก็ได้ หากว่าผมได้เจอกับเดียร์และเราปรับความเข้าใจกันได้แล้ว ผมอาจจะพาเขาไปที่ไหนสักแห่งที่จะมีเพียงเราแค่สองคนเท่านั้น เพื่อใช้เวลาอยู่ร่วมกันโดยปราศจากการรบกวนของบรรดาเพื่อนฝูงและคนสนิท

ทว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะได้อะไรตามที่ใจเราต้องการ ขณะที่ผมกำลังจะเก็บของกลับบ้าน หัวหน้าซึ่งยังไม่กลับ ได้เรียกผมไปพบ และโยนตั๋วเครื่องบินมาตรงหน้า บอกว่าผมต้องบินด่วนไปภูเก็ต เพื่อจัดการเรื่องการอบรมให้ความรู้กับตัวแทนประกันชีวิตเกี่ยวกับการพิจารณารับประกัน

เนื่องจากมีทีมงานตัวแทน ซึ่งแตกทัพมาจากบริษัทประกันชีวิตอื่น เข้ามาทำงานที่บริษัทเป็นทั้งผู้บริหารและตัวแทนร่วม 500 กว่าคน ซึ่งเป็นทีมงานที่ใหญ่พอสมควร และเพื่อให้เขาสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องจัดอบรมความรู้เกี่ยวกับการประกันชีวิตให้เขา


anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
«ตอบ #459 เมื่อ14-03-2009 16:35:36 »

โดยจะยกกันไปเป็นทีมใหญ่ มีฝ่ายฝึกอบรมตัวแทน ฝ่ายพิจารณารับประกัน ฝ่ายสินไหม และฝ่ายสถิติตัวแทน มีกำหนดการไปอบรม 3 วัน เริ่มตั้งแต่วันเสาร์ จนถึง วันจันทร์ ตั๋วกลับ วันอังคารหน้า ส่วนตั๋วไปคือวันนี้ เวลา สามทุ่ม จะมีคนมารอรับที่สนามบินพาไปส่งที่โรงแรม เพราะจะมีการอบรมในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น

“ผมรู้เรื่องการอบรมเมื่อเย็นนี้เอง จากฝ่ายการตลาด ที่จริงทีมนี้ยังไม่ได้มาแบบเต็มตัวนะ เพราะยังติดเรื่องสัญญากับบริษัทเดิม แต่เขาจะศึกษาของเราเพื่อออกขาย รอเวลาได้ใบอนุญาติมา”
เหมือนหัวหน้าจะรู้ว่าผมต้องถาม เขาเลยชิงบอกออกมาเสียก่อน ผมถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม ไม่อยากจะไปเลย เพราะเดียร์จะมาวันอาทิตย์นี้แล้ว

ผมต้องคลาดกับเขาอีกแน่ แต่จะไม่ไปก็ไม่ได้ นี่มันคืองานในความรับผิดชอบ รู้สึกโมโหนิดหน่อยที่เพิ่งจะมารู้ตัวเอาตอนนี้ แต่ผมก็โทษใครไม่ได้ มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ

เป็นที่รู้กันอยู่ว่า บริษัทประกัน แต่ละที่ มีการแข่งขันกันสูง และเพื่อเพิ่มยอดการขายให้มีปริมาณมาก จำเป็นต้องได้กองทัพนักขายที่แข็งแกร่ง บริษัทใหญ่ๆจะไม่มัวมานั่งปั้นดินให้เป็นดาว แต่จะหามืออาชีพมาร่วมงาน

โดยการดึงคนเก่งๆมาจากบริษัทประกันอื่น ที่เรียกว่าการซื้อตัว โดยให้ผลตอบแทนที่เหนือกว่าบริษัทอื่น โดยจะไปเจรจากับผู้บริหารฝ่ายขายที่เก่งๆ เพื่อให้ดึงทีมงานของตัวเองมาร่วมงานกับบริษัทใหม่

เรื่องแบบนี้จะทำกันแบบลับๆไม่ออกข่าวเอิกเกริกให้บริษัทเดิมรู้เพราะอาจจะถูกระงับผลประโยชน์ได้ และเพื่อให้สามารถทานได้ทันที จึงต้องมีการอบรมความรู้ให้ก่อน พอทำสัญญากันเรียบร้อย ก็ขายได้ทันที

รับตั๋วจากหัวหน้าแล้ว ผมก็รีบบึ่งรถกลับบ้าน กลับไปอาบน้ำ เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า ผมเอาเอกสารและโน้ตบุคส์มาจากที่ทำงานด้วย เพื่อเตรียมไปพรีเซ็นต์ให้ฝ่ายขายจำนวนครึ่งร้อยฟัง ความรีบร้อนเพื่อไปเช็คอินให้ทันเวลา เลยทำให้ผมไม่มีโอกาสจะบอกให้น้อยรู้ถึงข้อขัดข้องที่เกิดขึ้น

ตลอดสามวันที่อยู่ภูเก็ต มันเหมือนกับผมตกอยู่ในนรกย่อยๆ ทันทีที่ล้อเครื่องบินแตะพื้นรันเวย์ และมีคนมารับผมไปพักผ่อนที่โรงแรมเรียบร้อยแล้ว วันรุ่งขึ้น งานหนักก็เข้ามาทันที เริ่มจาก การอบรมตั้งแต่เช้า เวลา 8.00 และเลิก 4 ทุ่ม

ช่วงเวลาที่ผมบรรยาย อยู่ในช่วงเช้า แต่ผมก็ต้องอยู่ทั้งวันเพื่อที่จะคอยตอบข้อซักถามของตัวแทนที่เข้ามาถามปัญหาเกี่ยวกับพิจารณารับประกัน หลังเลิกอบรมก็ต้องไปตามคำเชิญของผู้บริหารตัวแทน ที่พาพวกเราไปทานข้าว

ไม่ไปก็ไม่ได้ เพราะพวกสต๊าฟอย่างผมต้องไปทำหน้าที่เสมือนตัวแทนของบริษัท ให้การความเป็นกันเองกับพวกเขาเพื่อผูกใจกันไว้ เหนื่อยสายตัวแทบจะขาดแค่ไหน ก็ต้องทน

สองวันที่เหลือ แบ่งเป็นการตอบข้อข้องใจ และรับสมัครผู้ที่จะทำประกัน โดยบริษัทมีโปรโมชั่นให้สำหรับผู้ที่ทำประกันเข้ามาในช่วงที่พวกผมลงไป จะมีบริการตรวจสุขภาพให้ฟรี และมีของที่ระลึกแจกให้ด้วย

โดยเราเชิญแพทย์แต่งตั้งจากโรงพยาบาลไปเปิดบูทกันในห้องสัมมนากันเลย วุ่นวายพอสมควร แต่ก็ได้ผลคุ้ม ผมและลูกน้องที่ดูแลพิจารณารับประกันลูกค้าทางภาคใต้ หอบใบคำขอกลับมาปึกใหญ่ มีคนสนใจสมัครทำเข้ามาร่วม 200 คน ส่วนเงินนั้นให้ทางพนักงานสาขา โอนเข้าบัญชีให้ กว่าจะครบสามวัน พวกผมก็แทบหมดแรง

คืนวันสุดท้ายก่อนกลับ ผมรีบโทรไปหาน้อยทันที ผมบอกน้อยว่าผมอยู่ที่ไหน และขอโทษที่ไม่ได้แจ้งให้รู้ น้อยพูดด้วยน้ำเสียงโกรธนิดๆ บอกว่า เจ้าหนูเดียร์ของผมงอนไปแล้ว และเขาก็กลายเป็นคนพูดจาเชื่อถือไม่ได้

น้อยบอกว่าผมมีเรื่องบางอย่างจะบอกเดียร์ในวันที่เขากลับมา เขาก็อุตส่าห์รอ ผมก็ไม่มาตามนัด แถมติดต่อก็ไม่ได้ ไม่โทรมา ไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไร เดียร์ก็เลยเข้าใจว่าเป็นแผนการของน้อยที่อยากให้เราคืนดีกัน ไม่ใช่ความประสงค์ของผม เลยงอนน้อย หาว่าโกหก

ตอนนี้ เดียร์ไปเช่าห้องใหม่ใกล้ที่ทำงาน ไม่ได้อยู่บ้านเช่าเดิม และยังไม่ได้ติดต่อน้อยมา เพราะยังยุ่งอยู่กับการซ้อมเต้นให้กับนักร้องหญิงคนเดิมที่กำลังจะออกอัลบั้มใหม่

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
« ตอบ #459 เมื่อ: 14-03-2009 16:35:36 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ anawas

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
«ตอบ #460 เมื่อ14-03-2009 17:19:30 »

โห...คนแรก   :laugh:
แงะ...เดียร์งอนซะแล้ว  อุปสรรคช่างเยอะเหลือเกิน   :serius2:   

zheeiiz*

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
«ตอบ #461 เมื่อ14-03-2009 17:25:27 »


อุปสรรคมากมาย ~
เอาใจช่วยทั้งคู่เลยนะค๊าบ


รอตอนต่อไปด้วย ^^,


ออฟไลน์ sasa

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1008
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-2
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่49 10/3/09
«ตอบ #462 เมื่อ14-03-2009 20:00:13 »

แทบขาดใจ...
แก้เผ็ดเรียวหรือไงเนี๊ยะ

va_yu

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
«ตอบ #463 เมื่อ14-03-2009 21:33:36 »

ลุ้นแทบขาดใจด้วยคน :เฮ้อ:

เมื่อไรจะดีกันค่ะ สงสารเรียวอ่ะ

ltahset

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
«ตอบ #464 เมื่อ14-03-2009 22:30:15 »

อุปสรรคเยอะมากมาย

><

เอาใจช่วยสุดฤทธิเลย

มาต่อเร็วนะคะ

^^

ออฟไลน์ the_pooh9

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-3
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
«ตอบ #465 เมื่อ14-03-2009 23:37:17 »

เมื่อไหร่ ที่นู๋เดียร์ ของเค้า จะสมหวังสักทีนะ  :monkeysad:
+1 ขอบคุณสำหรับความขยัน นะคะพี่แอน

b_hihi

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
«ตอบ #466 เมื่อ15-03-2009 09:30:26 »

รออยู่กรุณามาอย่างรวดเร็ว ครับผม

อย่าให้รอนานกะลังสนุก



คิคิคิ  คิดถึงคนแต่งจ้า

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
«ตอบ #467 เมื่อ15-03-2009 12:19:08 »

สู้ ๆๆน่ะ คุนเรียว



อย่างอลลลล นานน่ะ หนูเดียร์



เด๋ว จะ เลยเถิด ไปมากกว่านี้

ออฟไลน์ the_pooh9

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-3
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
«ตอบ #468 เมื่อ15-03-2009 23:52:41 »

วันนี้ไม่อีพหรือคะ พี่สาวคนสวย

va_yu

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
«ตอบ #469 เมื่อ17-03-2009 08:28:19 »

แวะมารอค่ะ  :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
« ตอบ #469 เมื่อ: 17-03-2009 08:28:19 »





ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
«ตอบ #470 เมื่อ17-03-2009 11:10:37 »

 :z3: :z3: :z3:

ทำไมอุปสรรคมันชั่งเยอะอย่างงี้


คืนดีกันเร็วๆนะ   อยากอ่านตอนหวานๆของเรียว กับ น้องเดียร์

B_O_M

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
«ตอบ #471 เมื่อ18-03-2009 13:50:39 »

เค้ารอมานานแร้วนะ

 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:

katesnk

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่51 14/3/09
«ตอบ #472 เมื่อ19-03-2009 06:41:12 »

แวะมาให้กำลังใจน้องไต๋ค่ะ อิอิอิ

แล้วมาถามหาทางไปหานิยายตัวเองด้วย ใครเห็น รักนาย มายบอดี้การ์ดบ้างคะ หาไม่เจออ่ะ

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่52 19/3/09
«ตอบ #473 เมื่อ19-03-2009 06:50:31 »

บทที่ 52

คืนวันสุดท้ายก่อนกลับ ผมรีบโทรไปหาน้อยทันที ผมบอกน้อยว่าผมอยู่ที่ไหน และขอโทษที่ไม่ได้แจ้งให้รู้ น้อยพูดด้วยน้ำเสียงโกรธนิดๆ บอกว่า เจ้าหนูเดียร์ของผมงอนไปแล้ว และเขาก็กลายเป็นคนพูดจาเชื่อถือไม่ได้

น้อยบอกว่าผมมีเรื่องบางอย่างจะบอกเดียร์ในวันที่เขากลับมา เขาก็อุตส่าห์รอ ผมก็ไม่มาตามนัด แถมติดต่อก็ไม่ได้ ไม่โทรมา ไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไร เดียร์ก็เลยเข้าใจว่าเป็นแผนการของน้อยที่อยากให้เราคืนดีกัน ไม่ใช่ความประสงค์ของผม เลยงอนน้อย หาว่าโกหก

ตอนนี้ เดียร์ไปเช่าห้องใหม่ใกล้ที่ทำงาน ไม่ได้อยู่บ้านเช่าเดิม และยังไม่ได้ติดต่อน้อยมา เพราะยังยุ่งอยู่กับการซ้อมเต้นให้กับนักร้องหญิงคนเดิมที่กำลังจะออกอัลบั้มใหม่

ผมรู้สึกเหมือนโลกถล่มฟ้าทะลายให้เห็นต่อหน้าต่อตา เดียร์ของผมงอนไปเสียแล้ว ผมนี่แย่จริง มัวแต่ยุ่งอยู่กับงาน จนลืมที่จะดูแลหัวใจตัวเอง การอบรมตลอดทั้งวัน ทำให้ผมปิดมือถือ เพราะไม่อยากให้มันดังรบกวนผู้เข้าอบรม

และก็ปิดมันตลอดทั้งสามวัน ด้วยคิดว่าคงไม่มีใครมีธุระติดต่อกลับมา อันที่จริงมันก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะอาจจะมีลูกน้อง หรือตัวแทนโทรเข้ามาถาม ขอคำปรึกษาก็ได้

แต่เพราะผมถูกถามตลอดทั้งวัน ทำให้ผมไม่อยากถูกรบกวนด้วยโทรศัพท์จึงปิดตลอด พอกลับขึ้นห้องก็เข้านอนทันที ไม่ได้เช็คว่ามีใครโทรมาหาหรือเปล่า เลยทำให้พลาดการติดต่อกับน้อยไป

กลับมาเริ่มต้นทำงานใหม่ ในสัปดาห์ที่สามอย่างเซ็งๆ ผมเบื่อเหลือเกินกับการต้องนั่งรอความหวังว่าเดียร์จะกลับมาหา ครั้นจะออกตามก็ไม่รู้จะไปหาเจอเขาจากที่ไหน

ผมไม่ค่อยคุ้นเคยกับโลกของเดียร์มากนัก เป็นเพราะแต่ก่อนไม่เคยนึกจะใส่ใจในตัวเขา เวลาที่เดียร์หายไป ผมก็เลยไม่รู้จะไปหาเบาะแสจากใคร คนที่รู้จักก็มีไม่กี่คน นอกจากน้อยแล้วก็มีเพียงโสภิตนภา และสมฤทัยเท่านั้นที่ผมรู้จัก

แต่ถ้าจะไปเจอพวกเขาก็ต้องไปหาถึงสีลม ซึ่งถ้าไม่จำเป็นผมก็ไม่ค่อยอยากไปสักเท่าไหร่ ด้วยเกรงสายตาของนักเที่ยวแถวนั้นที่มองมายังผม จนทำให้วางตัวไม่ถูก แต่ในเมื่อการรอคอยน้อยมันเป็นความหวังที่เลือนลาง เลยทำให้ผมตัดสินใจไปหาสองคนนั่นเพื่อถามข้อมูล

ทั้งคู่แสดงสีหน้าประหลาดใจเมื่อเจอผมอีกครั้ง พอบอกเหตุผลว่ามาตามหาเดียร์ พวกเขาก็พากันหัวเราะ ราวกับฟังเรื่องขำเสียเต็มประดา

พอผมทำเป็นโกรธพวกเขา สองคนนั่นก็ขอโทษและบอกว่าที่หัวเราะเพราะเมื่อหลายเดือนก่อน ผมก็มาหาพวกเขาแบบนี้ แล้วบอกว่ามาตามหาเดียร์ จนป่านนี้ยังตามหากันไม่เจออีกเหรอ แล้วไอ้ที่ไม่เจอน่ะ มันตัว หรือว่าหัวใจกันแน่

คำแซวนั่นเล่นเอาผมหัวเราะออกมาเมื่อเข้าใจความหมาย จริงสินะ ก่อนหน้านั้นผมก็ตามหาเดียร์ที่นี่ ขอร้องให้เขาสองคนช่วย

หากผมค้นพบว่าใจของตัวเองอยู่ที่ไหนตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ไม่ต้องมาตามหาตัวเดียร์ให้วุ่นวายอย่างนี้หรอก เพราะใจของผมมันอยู่ที่เดียร์ เขาอยู่ไหน ใจผมก็อยู่นั่น เมื่อใจเราตรงกัน เราก็จะไม่มีวันพลัดพรากให้เป็นทุกข์แบบนี้



สองคนนั่นไม่ได้ช่วยให้ความกระจ่างในเรื่องของเดียร์เลย เขาไม่รู้ว่าเด็กนั่นไปพักอยู่ที่ไหน กับใคร และไม่มีเบอร์โทรศัพท์ที่จะติดต่อได้

การมาหาทำให้ผมเสียเวลาเปล่า แต่ก็ใช่จะไร้ประโยชน์เสียทีเดียว เพราะสมฤทัยได้ให้เบอร์โทรของผู้จัดการที่ดูแลทีมเต้นของค่ายเพลงไว้ให้ลองติดต่อ แต่จะโทรยากสักหน่อย เพราะงานเขาเยอะ ผมเมมเบอร์นั้นไว้ในโทรศัพท์ ตั้งใจจะติดต่อไปในวันหลัง

ตอนที่เจ้าสันต์โผล่หน้าเข้ามาหาผมในห้องทำงาน ตอนนั้นผมกำลังห่อเหี่ยวเต็มที่ เพื่อนรักของผม ยืนพิงกรอบประตู แล้วส่ายหน้า มันด่าว่าผมว่าสารรูปแบบนี้ใครปล่อยให้เข้ามาทำงาน

หน้าตาอิดโรยเหมือนคนไม่ได้หลับได้นอน หนวดเคราก็ขึ้นหรอมแหรม ราวกับว่าไม่ได้สัมผัสกับใบมีดโกนมาเป็นอาทิตย์ ดูไร้ชีวิตชีวาและโทรมสุดๆ ไม่เหมือนเรียวคนเก่าที่สดใส และป๊อบปูล่าร์ในหมู่พนักงาน ตอนนี้ใครมาเห็นเข้าคงอยากวิ่งหนีไปใกลๆมากกว่าจะวิ่งเข้าใส่

ผมยิ้มเนือยๆให้มัน ไม่โกรธที่มันด่าว่าเพราะผมเป็นแบบนั้นจริงๆ ไม่ใช่แค่ตัวผมที่ดูโทรม ทั้งบ้านก็พลอยโทรมไปด้วย ไม่มีใครคอยช่วยทำความสะอาดให้ ฝุ่นจึงจับเขรอะไปทั่วบ้าน เสื้อผ้ากองอยู่เต็มตะกร้า ยังไม่มีเวลาซัก

อาหารการกินก็ต้องฝากท้องไว้กับร้าน เพราะผมทำกินเองไม่เป็น ผมพยายามนึกภาพตัวเองสมัยก่อนตอนอยู่คนเดียว ว่าจัดการชีวิตอย่างไรหนอ ทำไมตอนนี้ เมื่อผมกลับไปสู่รูปแบบการดำเนินชีวิตอย่างที่เคยเป็นมันกลับไม่ง่ายเหมือนเก่า เดียร์ทำให้ผมเคยตัวกับการถูกเอาใจไปเสียแล้ว

มือที่ได้รับบาดเจ็บหายนานแล้ว ผมไม่ได้พันแผลอีกต่อไป แต่อาการบาดเจ็บทางใจมันยังไม่ทุเลา ผมเฝ้าแต่ครุ่นคิดถึงเดียร์ทั้งวันและคืน จนทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ

ป่านนี้เดียร์จะอยู่ที่ไหน ทำอะไร หรือเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ จะยังคงร้องไห้เสียอกเสียใจอยู่หรือเปล่า เขาไม่มาหาผมหลายวันแล้ว ไม่โทรมาอีกด้วย ตามปกติ ไม่เจอหน้ากันแค่วันเดียร์ก็จะโทรมาหา ไม่ก็มารออยู่บ้าน ทำอ้อนประจบเอาใจ

หรือว่ายังงอนผมไม่เลิก ถึงได้ไม่มาหา ไม่ถามไถ่ เขาตั้งใจจะไปจากผมจริงๆหรือเปล่านะ นี่ก็ยังเหลือเวลาอีกถึงสองเดือนตามสัญญา เขาจะล้มเลิกไปเลยหรือเปล่า ผมครุ่นคิดไปต่างๆนานา จนแทบไม่เป็นอันทำอะไร

“ดูแลตัวเองหน่อยสิวะเพื่อน นี่นะเหรอ ผู้บริหารระดับสูงของบริษัท โทรมจนดูไม่ได้ ทำไมปล่อยตัวอย่างนี้วะ ถ้าความรักมันทำร้ายนายนักละก้อ ทำไมไม่แก้ที่ต้นเหตุแห่งทุกข์ล่ะ ไปตามหาหัวใจตัวเองสิ จะนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ทำไมกัน”

มันโวยวายใส่ ผมไม่ตอบอะไรมัน ทำท่าเหมือนจะตายจริงๆ มันด่าผมว่าไอ้บ้า ไอ้ทึ่ม อย่างฉุนๆ จากนั้นก็หิ้วตัวผมออกไปจากกองงานตรงหน้า จับใส่รถ ไล่ผมกลับบ้าน แล้วนัดให้มาเจอกันในสถานที่เที่ยวแห่งใหม่ เป็น บาร์ผู้ชาย ที่มี อาหารขายด้วย ตอนแรกผมปฏิเสธไม่อยากไปกับมัน แต่เจ้าสันต์บอกว่าจะเลี้ยงส่งคุณแคทก่อนไปนอก ผมก็เลยตอบตกลง

กว่าจะอาบน้ำแต่งตัว แล้วออกไปหาเจ้าสันต์ ก็ถูกมันเร่งเป็นระยะ ดูเหมือนมันโมโหผมเป็นพิเศษ ที่มาหามันล่าช้า ราวกับว่าถ้าผมไปไม่ทันจะพลาดโอกาสในการเจอสิ่งดีๆงั้นแหละ คุณแคทก็พลอยเป็นไปกับมันด้วย เธอสลับกับเจ้าสันต์โทรมาหาผม ท่าทางตื่นเต้นจนน่าแปลกใจ พอถามว่ามีอะไรก็ไม่พูด อยากให้มาดูด้วยตัวเอง ผมจึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้

พอไปถึงก็พบเจ้าสันต์รออยู่ก่อนแล้วที่หน้าบาร์ มันฉุดแขนผมแล้วออกเดินราวกับวิ่งเข้าไปข้างใน ลากไปตรงเวที ซึ่งมีการแสดงโชว์อยู่บนนั้น มันชี้ให้ผมมองขึ้นไปบนเวที ที่จำลองบ้านเรือนสมัยโรมันมาไว้ ผมมองตามมือชี้ แล้วต้องตกตลึง อ้าปากค้าง
หนุ่มลูกครึ่งรูปร่างสูงใหญ่ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสไตล์นักรบโรมัน เคลื่อนไหวไปตามจังหวะเพลงที่เนิบช้า โดยโอบประคองชายหนุ่มร่างบอบบางหน้าสวยไว้ในวงแขน ทั้งคู่แสดงท่าว่ามีจิตพิศวาสต่อกัน การแสดงที่ร้อนแรงของคนทั้งคู่เรียกเสียงฮือฮา จากเ กย์กระเทยหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ ที่นั่งจ้องมองบนเวทีตาไม่กระพริบ

ความงดงามของโครงสร้างร่างกายของเดียร์ และใบหน้าที่หล่อเหลาชวนมอง ทำให้เขาต้องตาใครต่อใคร ยิ่งเดียร์โชว์ลีลาการเต้นที่ยั่วเย้าวาบหวามใจ ก็เรียกน้ำลายให้มาไหลอยู่ที่มุมปากคนดูจนต้องซี๊ดปากไปตามๆกัน

ดวงตาของผมจ้องมองเดียร์โดยไม่เปลี่ยนจุดโฟกัสไปที่ไหน ความรักความอาลัย ถูกทดแทนที่ด้วยความยินดีปรีดาที่ได้เห็นหน้าคนรักของตัวเองอีกครั้ง

การเจอกันโดยบังเอิญแบบนี้ ทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก นอกจากยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน ผมอยากให้เดียร์เห็นผมเหลือเกิน อยากให้เขารู้ว่าผมคิดถึงเขามาก อยากจะยื่นมือขึ้นไปบนเวที และรั้งตัวเขาลงมากอดและจูบให้สมกับความห่วงหาที่ต้องรอเวลาเกือบสามอาทิตย์ จึงจะได้เจอเขา

นักแสดงทั้งคู่หมุนตัวเคลื่อนจากมุมด้านหนึ่งมาอยู่ตรงหน้าเวทีพอดี ผมยืนลุ้นใจระทึกภาวนาให้เขาเห็นผม ดูเหมือนจะได้ผล เพลงหยุดลง นักแสดงทั้งคู่โค้งให้กับผู้ชมโดยรอบ กวาดตามองไปทั่ว

เด็กหนุ่มกำลังหันหน้ามาทางผม และแล้ว สายตาของเราก็ประสานกัน เดียร์มองผม ดวงตาของเขาเบิกกว้าง คิ้วขมวดมุ่น

เพียงชั่วแว่บเดียวที่เขามองผม แล้วเขาก็สะบัดหน้ากลับ แล้วเดินเข้าไปยังด้านหลังเวที ผมยิ้มค้าง เกิดคำถามขึ้นมาในใจ หมายความว่าอะไรเนี่ย ทำไมเดียร์มองผมแบบนั้น แปลว่าเขายังโกรธและไม่ให้อภัยผมใช่ไหม

ไม่รู้ว่าตัวเองยืนตลึงอยู่นานแค่ไหน รู้ตัวอีกทีก็เมื่อเจ้าสันต์สะกิดผมให้นั่งลง เพราะยืนบังคนอื่นอยู่นานแล้ว ผมทรุดลงนั่งที่เก้าอี้ ท่าทางยังไม่หายงง จนสันต์ต้องถามว่าเป็นอะไร

ผมก็เลยเล่าให้ฟังว่าเดียร์สะบัดหน้าใส่ผม มันก็เลยหัวเราะก๊าก บอกว่าเรื่องแค่นี้เอง ทำเป็นน้อยใจไปได้ เดียร์อาจจะไม่คิดอะไรเลยก็ได้ คงเป็นแค่ลีลาหนึ่งของการเต้นโชว์เท่านั้น ซึ่งผมก็ขอให้มันเป็นอย่างที่เจ้าสันต์พูด เพราะผมคงจะทนไม่ได้ ถ้าเดียร์จะไม่รักผมอีกแล้ว ผมคงขาดใจ


...............................................................

ผมก็เลยถามมันว่ารู้ได้ไงว่าเดียร์เต้นอยู่ที่นี่ มันก็บอกว่ารู้จากคุณแคท เพื่อนร่วมงานของผมตาเป็นประกาย เธอบอกว่าหลังจากที่รับปากผมไปแล้ว คุณแคทก็ดำเนินการใช้เส้นทันที

เธอรู้จักหุ้นส่วนทำบาร์นี้ และรู้ว่า ทางร้านต้องการให้มีการแสดงโชว์ เพื่อดึงดูดลูกค้า เธอจึงแนะนำให้ลองติดต่อกับผู้จัดการทีมแดนเซอร์ของค่ายเพลงนี้ดู แต่ทางค่ายกลัวเสียภาพพจน์ที่แดนเซอร์ตัวเองมาเต้นในบาร์แบบนี้ เลยไม่ส่งคนมา

แต่คุณแคทก็ไปตีซี้จนแอบเอาเดียร์มาเต้นโชว์ได้ แต่ก็แค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น พอรู้ข่าวปุ๊บเธอก็บอกกับเจ้าสันต์ให้ชวนผมมาทันที เดียร์ยังเหลือการเต้นโชว์อีก 1 ชุด

ก่อนที่จะเดินทางไปอเมริกาในวันพรุ่งนี้ตอนเช้า เพื่อตามนักร้องสาวที่ไปถ่ายมิวสิควิดิโอเมืองนอก และเปิดคอนเสิร์ตให้คนไทยที่นั่นได้ดู ซึ่งจะอยู่ที่นั่นสองสัปดาห์ ผมจึงมีเวลาแค่คืนนี้คืนเดียวเท่านั้น ในการที่จะบอกความในใจของผมให้เดียร์ได้รับรู้ ดังนั้นห้ามพลาด

รู้สึกตื่นเต้นยังไงไม่รู้ เวลาแต่ละนาทีที่ผ่านไปทำไมมันช่างเชื่องช้าเหลือเกิน กว่าที่เดียร์จะออกมาเต้นอีกรอบ ใจผมเต้นตึ๊กตั๊กรัวแรงราวกับจะโลดออกมานอกอก

เมื่อหนุ่มหล่อของผมปรากฏตัวอยู่บนเวทีอีกครั้ง โดยท่อนบนเปลือยเปล่า และนุ่งกางเกงผ้ายืดสีดำรัดรูป มีปีกขนนกสีดำอยู่ข้างหลัง และมีเขาสองข้าง กับหางยาวปลายลูกศรสีแดงบ่งบอกให้รู้ว่าเป็นการแต่งตัวเลียนแบบพวกซาตาน เรือนร่างของเด็กหนุ่มสมบูรณ์แข็งแรง

ผมได้ยินเสียงเป่าปากวิ๊วว้าวจากคนดูรอบข้าง สายตาของทุกคนมองไปบนเวทีตามการเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่ม และดูเหมือนทุกคนจะไม่ค่อยได้สนการแสดงสักเท่าไหร่ แต่สนใจเดียร์ที่อยู่ในชุดสุดยั่วยวนนั้นมากกว่า โดยเฉพาะตรงกลางลำตัวที่แสดงความแข็งแกร่งออกมาให้เห็นแม้จะสงบอยู่ก็ตาม

ขนาดเจ้าสันต์ยังจ้องเดียร์ของผมไม่วางตา มันหันมายิ้ม ทำตาเจ้าเล่ห์กับผม และแอบมากระซิบให้ได้ยินกันสองคนว่า มันรู้แล้วว่าทำไมผมถึงได้หลงรักเดียร์นักหนา เป็นมันก็คงจะติดใจ และไม่ยอมให้เดียร์จากไปไหนแน่

เจ้าสันต์ร้องจ๊าก ออกมา เสียงค่อนข้างดัง จนคนหันมามองพวกเราทั้งกลุ่มเป็นตาเดียว มันรีบหุบปาก และขึงตาใส่ผม ที่กระทืบเท้ามันอย่างแรง เรื่องที่มันแซวผมแบบนั้น

ผมก็รู้สึกอายเป็นเหมือนกันนะ ที่จริงน่ะ ผมเคยแอบนึกอิจฉาเดียร์เหมือนกันที่มีสิ่งที่ผู้ชายทั่วไปอิจฉาอยากจะมีบ้าง แต่เมื่อเดียร์มอบมันให้ผมได้ครอบครอง ผมและเดียร์เป็นเจ้าของเรือนร่างของเขาส่วนนั้นร่วมกัน ผมก็ไม่ได้รู้สึกอิจฉาอีกต่อไป

จะมีก็แต่ความวาบไหวทุกครั้งที่นึกถึงเวลาที่เดียร์ฝากน้องชายไว้ในกายของผม ทว่านั่นไม่ได้เป็นประเด็นหลักที่ทำให้ผมรักเด็กหนุ่ม หัวใจของเดียร์ต่างหากที่สำคัญกว่าขนาดร่างกายของเขา

เสียงฮือฮาเพิ่มขึ้นเมื่อเทวาหน้าหวานในชุดขาว มีปีกขนาดใหญ่อยู่ด้านหลัง ก้าวออกมายืนเคียงข้างซาตานหนุ่ม ทั้งสองทำท่าเหมือนเกลียดกัน สู้กัน แข่งขันกันด้วยการเต้นรำ เทวาเต้นเพลงจังหวะแจ๊ส นุ่มๆนวลอ่อนหวาน ทว่าซาตานกลับกระโดดโลดเต้นอย่างเมามันด้วยเพลงฮิบฮอบ

คนจัดโชว์ และคนทำเพลงเก่งมากที่นำเสนอการเต้นรำประกอบเพลงออกมาเป็นเรื่องราวที่น่าสนุกสนาน หลังจากสู้กันสักพัก เพลงก็เปลี่ยนเป็นท่วงทำนองโรแมนติก ร่าเริงสดใส เมื่อเทวาและซาตานตกหลุมรักกันและกัน

แรกๆผมตื่นเต้นที่เห็นเดียร์ออกมาอีกครั้ง แต่พอนานไป ผมก็เริ่มเบื่อหน่ายไม่พอใจกับการแสดงชุดนี้ รู้สึกไม่ชอบที่เดียร์นัวเนียกับนักเต้นคู่ของตัวเองมากเกินไป

มือไม้ของเขาลูบไล้เนื้อตัวของผู้แสดงเป็นเทวา ด้วยลีลาที่ดูแล้วอดคิดไม่ได้ว่าคนทั้งคู่กำลังเล้าโลมกันจริงๆ นึกหวงเดียร์ขึ้นมาทันทีทำไมต้องทำแสดงแบบนี้ด้วย เต้นอย่างอื่นไม่ได้หรือไงนะ


.................................................................................

หน้าของผมคงจะบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด เพราะเจ้าสันต์สะกิดเตือนให้รู้และบอกว่าระวังเดียร์จะเข้าใจผิดที่เห็นหน้าผมนะให้พยายามยิ้มเข้าไว้ ผมรีบปรับเปลี่ยนสีหน้าทันที ผมเห็นเดียร์มองผมลงมาจากเวที ใบหน้าเรียบเฉยปราศจากรอยยิ้มจนผมนึกหวั่นใจ

เมื่อการแสดงจบลง นักเต้นทั้งคู่โค้งคำนับให้ผู้ชม และเกี่ยวก้อยก้นเข้าไปด้านหลังเวที สันต์บุ้ยหน้าให้ผมตามไป ผมไม่รอช้า เดินลิ่วไปยังส่วนที่เป็นด้านหลังของเวที มีชายคนหนึ่งสงสัยจะเป็นเจ้าหน้าที่จัดการดูแลเกี่ยวกับเรื่องการแสดงกันผมไว้ไม่ให้เข้า บอกเป็นที่ส่วนบุคคล

ผมขอร้องว่าผมจะเข้าไปเพื่อหาเพื่อน เขาเป็นนักเต้นที่เพิ่งเข้าไปเมื่อสักครู่ แต่ชายคนนั้นไม่ยอมให้เข้า พอดีมีนักแสดงสองสามคนเดินสวนออกมา และทักทายผู้ชายคนนั้น ผมก็เลยฉวยโอกาสแอบเข้าไป

ด้านหลังเวทีเป็นห้องขนาดใหญ่ที่มีกระจกยาวติดผนังมุมหนึ่ง ซึ่งนักเต้นกลุ่มหนึ่งกำลังแต่งหน้ากันอยู่ตรงนั้น ถัดไปเป็นราวแขวนเสื้อผ้า ที่มีชุดสำหรับนักแสดงแขวน และกองสุมๆกันอยู่

อีกด้านเป็นตู้เก็บอุปกรณ์ประกอบฉาก ห้องนั้นค่อนข้างพลุกพล่านเต็มไปด้วยนักเต้นที่กำลังเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวอยู่ ทุกคนทำหน้าแปลกใจที่เห็นผมเดินเข้ามา ต่างมองมาที่ผมอย่างสงสัย แต่ผมไม่ได้สนใจใคร สอดส่ายสายตาหาเดียร์อย่างเดียว พลันสายตาของผมก็ไปสะดุด ที่มุมหนึ่งของห้อง


anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่52 19/3/09
«ตอบ #474 เมื่อ19-03-2009 06:51:01 »

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ผมหยิกเป็นลอนสวย หน้าตาคมเข้มกำลังยืนถอดปีกสีดำขนาดใหญ่ออกจากทางด้านหลัง โดยมีหนุ่มหน้าหวานในชุดสีขาวคอยช่วยเหลือ ทั้งคู่หัวร่อต่อกระซิกกันท่าทางสนิทสนม สักพักหนึ่ง หนุ่มชุดขาวก็โอบกอดเดียร์อย่างแนบแน่น ซึ่งหนุ่มน้อยของผมก็กอดตอบด้วย ผมยืนอึ้ง มองภาพที่ทั้งคู่กอดกัน น้ำตาซึมตา

รู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจ ถามตัวเองว่าทำไมเดียร์ต้องทำแบบนี้ด้วย แค่จากกันไม่กี่สัปดาห์ เขาเปลี่ยนไปไม่รักผมแล้วหรือ ผมอุตส่าห์ตามเขาเข้ามา เพื่อจะง้อขอคืนดี แต่ตอนนี้เดียร์คงไม่อยากจะกลับมาอยู่กับผมแล้วกระมัง

เด็กหนุ่มหน้าหวานคนนั้น หน้าตาผิวพรรณดี อายุน้อยกว่าผม เดียร์คงเจอคนที่สมกัน ส่วนผมนั้นกลายเป็นส่วนเกินในชีวิตของเขาไปแล้ว ยิ่งคิดยิ่งเศร้าใจ ผมไม่น่าเดินเข้ามาในนี้เลย

น่าขำที่ทำตัวเหมือนเด็กวัยรุ่น ทั้งที่ผมอายุเฉียดใกล้จะสามสิบเข้าไปแล้ว ยังจะมาหลงรักคนที่เด็กกว่าตัวเอง ถึงอย่างไรผมก็ไม่เหมาะกับเขา ก่อนหน้านั้นเดียร์คงจะแค่หลงไหลผมไปชั่วครู่ชั่วยาม

พอห่างกันไปเขาก็คงจะคิดได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงติดต่อผมกลับมาแล้ว นี่ปล่อยเวลาออกไปถึงสามอาทิตย์ทั้งๆที่เมื่อก่อนนี้แทบจะห่างผมไม่ได้ ข้ออ้างที่บอกว่าปล่อยให้ผมได้ใช้ชีวิตของตัวเอง คงจะมีไว้เพื่อให้เหตุผลของการตีจากมันดูดีเท่านั้นเอง

ผมเชิดหน้าขึ้น พยายามให้น้ำตาที่ซึมออกมา ไหลย้อนกลับไป ไม่ให้แสดงความอ่อนแอให้เห็น จะมาฟูมฟายให้คนหัวเราะอยู่ตรงนี้ทำไม เดินออกไปเสียยังจะดีกว่า

ทว่าขาของผมเหมือนถูกตรึงไว้กับที่ มันก้าวไม่ออก เหมือนว่าผมไม่อยากเดินออกไป เพราะรู้ดีว่าเมื่อผมหันหลังกลับเมื่อไหร่ เราสองคนก็จะไม่มีวันได้กลับมาคืนดีกันอีก ผมจึงได้แต่ยืนมองภาพที่คนสองคนหยอกล้อกันด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวดรวดร้าว

เหมือนว่าคนทั้งคู่จะรู้ว่าถูกมองอยู่ เดียร์กับเด็กหนุ่มคนนั้นหันมาเห็นผมพอดี เทวาชุดขาวก้าวเอาแขนเกี่ยวรอบเอวเดียร์โดยอัตโนมัติเหมือนเขาจะพอเดาออกถึงการเข้ามาปรากฏกายที่นี่ของผม เนื่องจากเห็นเดียร์มองจ้องผมอยู่ ผมตัดสินใจหันหลังเดินออกไปจากตรงนั้นทันที ไม่อยากทนเห็นภาพบาดตาใจอีกต่อไปแล้ว

ไม่มีการกล่าวลาเพื่อนทั้งสองที่นั่งรอคอยผลอย่างตื่นเต้นกันอยู่ที่โต๊ะ ผมเดินออกจากบาร์แห่งนั้นไปขึ้นรถที่จอดอยู่ และขับกลับบ้านทันที โดยไม่แวะไปหาพวกเขา ปล่อยให้สองคนนั่งรออยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเจ้าสันต์นึกผิดสังเกตจึงโทรเข้ามือถือผม

ตอนแรกมันแซวว่าปรับความเข้าใจอะไรกันนานจัง มันกับคุณแคทรอไม่ไหว จะกลับบ้านแล้ว พอได้ยินเสียงห่อเหี่ยวของผม มันก็รู้ได้ทันทีว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดแผนเกิดขึ้น แต่เพราะผมบอกกับมันว่าอย่าเพิ่งซักตอนนี้ มันก็เลยไม่คาดคั้นถามอะไร บอกให้ผมกลับไปพักผ่อนที่บ้าน เดี๋ยวมันจะมาหาในวันรุ่งขึ้น

คืนนั้นทั้งคืนผมเอาแต่ฝันร้าย ว่าเดียร์ทิ้งผมไปอยู่กับคนอื่น เด็กนั่นคือคนที่เขาเลือก สองคนพากันหัวเราะเยาะเย้ยผมในความฝัน ยิ่งเห็นผมเสียน้ำตามากเท่าไหร่ พวกเขายิ่งแสดงท่าดีอกดีใจ และกอดจูบลูบไล้กันให้เห็น จากนั้นก็เดินควงแขนกันจากไป ผมสะดุ้งตื่น แล้วไม่หลับอีกเลย

เจ้าสันต์มาหาผมแต่เช้า มันไม่ได้มาคนเดียว แต่พาคุณแคทและแขกรับเชิญมาด้วย ผมตกใจที่เห็นหน้าเด็กคนนั้น นายเทวา ที่เต้นคู่กับซาตานยอดรักของผมบนเวที สงสัยเจ้าสันต์กับคุณแคทเจ้ากี้เจ้าการพามาแน่ๆ

“พี่คร้าบ ผมขอโทษนะ ไม่คิดว่าพี่จะขี้ใจน้อยขนาดนี้ ผมแค่อยากแกล้งพี่เล่นเท่านั้นเอง”

เด็กหนุ่มยกมือไหว้ท่วมหัว จากนั้นก็เล่าให้ผมฟังว่า เขากับเดียร์เป็นพี่น้องกันในสายงานอาชีพเท่านั้น ไม่ได้เป็นคู่รักกัน เขาค่อนข้างสนิทสนมกับเดียร์ เพราะมาจากพัทยา และเป็นลูกเมียเช่า พ่อแม่ทิ้งเหมือนกัน มีอะไรเขาก็จะปรึกษาเดียร์เสมอ

เดียร์มักจะเล่าให้ฟังถึงแฟนตัวเองซึ่งก็คือผมว่าเขารักแฟนของเขามาก และอยากจะอยู่ด้วยกัน แต่แล้วเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เดียร์ก็ทำท่าเหมือนคนอกหัก เอาแต่นั่งซึม ไม่ร่าเริงเหมือนเดิม เอาแต่ซ้อมเต้นเหมือนพยายามจะทำตัวให้ยุ่งเข้าไว้จะได้ไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่เจ็บปวด

จนกระทั่งเมื่อวานนี้ เดียร์เห็นผม และบอกกับเขาว่าแฟนของเขามาที่นี่ด้วย พอผมเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวของนักแสดง เด็กหนุ่มซึ่งจำผมได้จากรูปถ่ายที่เดียร์เอามาโชว์บ่อยๆ ก็เลยแกล้งลองใจผมว่าจะรักเดียร์จริงหรือเปล่า ไม่คิดว่าผมจะหนีไปก่อนทั้งที่ยังไม่ได้คุยอะไรกันเลย

“ถ้าพี่เดินเข้ามาวีนพวกผมนะ ป่านนี้พี่ก็คงคืนดีกับพี่เดียร์ไปแล้ว ขานั้นอ่ะ เป็นเอามากเลยนะพี่ ทำท่าเหมือนเป็นคนป่วยอยู่ตลอดเวลา เอาแต่ดูรูปพี่แล้วก็ทำตาแดงๆ ถามอะไรก็ไม่พูด ผมน่ะสงสารพี่เขาจะตาย นี่ถ้าผมไม่มีแฟนอยู่แล้ว และพี่เขาชายตามองผมบ้าง ผมก็จะอาสาดามหัวใจให้พี่เขาทันทีเลย จะไม่ปล่อยให้เขาหลุดมือไปหรอกครับ”

สิ่งที่นายเทวาชุดขาว พูดทำให้ผมหายหงุดหงิดขึ้นมาทันที


“แล้วนี่เดียร์เขาอยู่ไหนล่ะ”

“ไปอเมริกาเมื่อเช้านี้ค่ะ แคทบอกคุณเมื่อวานแล้วนี่คะ ว่าไปร่วมแสดงคอนเสิร์ตให้คนไทยที่อเมริกาดู กว่าจะกลับก็อีกสองอาทิตย์น่ะค่ะ”

“ใช่ครับ เห็นพี่เขาบอกว่าจะไปตามหาพ่อด้วย ไม่รู้จะได้เจอกันหรือเปล่า เขาไปสืบจนได้ชื่อทหารอเมริกันมา 5 คนที่แม่เขาเคยยุ่งด้วย แต่ผมว่าคงไม่ได้เจอหรอกครับ เพราะเมืองออกกว้างใหญ่ขนาดนั้น และถึงเจอก็ใช่ว่าจะยอมรับกันเป็นลูกง่ายๆ บอกเขาแล้ว แต่พี่เดียร์เขาก็บอกว่าจะลองพยายามครับ”

เด็กหนุ่มเสริมคำพูดของคุณแคท

“แย่แล้ว นายเรียวเอ๊ย ถ้าเขาเจอพ่อแล้วไม่กลับมา นายจะทำไงวะ สงสัยหัวใจแตกสลายอยู่ที่เมืองไทยนี่แหละ สมน้ำหน้านักไอ้พวกไม่รู้ใจตัวเอง กว่าจะคิดได้ก็สายไป อกหักมาพ่อจะนั่งหัวเราะให้สะใจเลย”

เจ้าสันต์ได้ทีพูดจาทับถมผมใหญ่

“พี่ไม่ไปตามพี่เดียร์ที่โน่นหรือครับ”

เด็กหนุ่มถามผม เจ้าสันต์เห็นดีเห็นงามด้วย ยุส่ง แต่ผมบอกกับพวกมันว่า ผมอยากไป แต่ผมคงจะทำอย่างนั้นไม่ได้ง่ายๆ เพราะผมต้องดูแลรับผิดชอบเรื่องงานที่ทำ ถ้าผมเห็นแก่ความสุขส่วนตัว ทิ้งงานทิ้งงานไปไม่มีความรับผิดชอบ งานก็จะล่าช้าไม่มีคนดูแล บริษัทก็จะเสียหายไปด้วย

เจ้าสันต์ก็ค่อนขอดผมว่ามัวแต่ห่วงใยเรื่องงานอยู่ได้ ตัวเองจะขาดใจตายเพราะความรักอยู่แล้ว ยังมาห่วงใยคนอื่นอีก ถ้าเป็นมัน ไม่มัวมานั่งทำงานอยู่หรอก แล่นไปหาหัวใจตัวเองแล้ว แต่คุณแคทไม่เห็นด้วย เธอกล่าวแย้งสันต์อย่างคนที่เข้าใจผม

“สันต์คะ ว่าเรียวแบบนั้นก็ไม่ถูกนะคะ คนแต่ละคนมีภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย และเราจะต้องปฏิบัติให้ลุล่วงไป หากทุกคนไม่สนใจที่จะรับผิดชอบในงานการ เอาแต่เรื่องของตัวเองเป็นใหญ่ สังคมมันก็จะวุ่นวาย เพราะไม่มีใครทำเรื่องส่วนรวม มีแต่ทำตามใจตัวเอง

เราทำงาน กินเงินเดือนของบริษัท เจ้านายของเราไม่ใช่ผู้ถือหุ้น หรือหัวหน้าที่ดูแลเรา แต่เป็นลูกค้าที่ถือกรมธรรม์ ถ้าหากว่าเรียวไม่ทำงานของตัวเอง ลูกค้าทำประกันไม่ได้ เขาตายขึ้นมา แต่กรมธรรม์ไม่อนุมัติ ครอบครัวเขาเดือดร้อนไม่มีเงินค่าทำศพ ไม่มีค่าเลี้ยงดูบุตร คิดว่าเรียวซึ่งได้หัวใจกลับคืนมาจะมีความสุขเหรอคะ ที่ละทิ้งหน้าที่ของตัวเอง”

“มันก็ถูกนะคุณแคท แต่แหม ไอ้เรียวไม่ทำสักคน คนอื่นก็ทำได้น่า”

ถึงจะเห็นด้วย แต่เจ้าสันต์ก็ยังอยากเถียงอยู่ดี สำหรับสันต์แล้ว มันคิดว่าการทำเพื่อตัวเองบ้าง ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร

..................................................................


“ถ้าทุกคนสามารถแทนที่งานของคนอื่นได้หมดก็ดีสิคะ แต่สันต์เคยเห็นเหรอ ว่าพลทหารสามารถตัดสินใจสั่งการรบแทนนายพลได้ คุณอาจจะเถียงว่าเคยมี แต่มันก็ไม่ใช่ทุกรายที่จะประสบความสำเร็จ มีผลเสียมากกว่า เพราะประสบการณ์ความเชี่ยวชาญต่างกัน

เรียวอยากไปหาเดียร์แค่ไหน ก็คงเห็นแก่ตัวไม่ได้ แต่ช่างเถอะ แคทไม่อยากเถียงกับสันต์หรอกนะคะ เราต่างคนต่างอยากช่วยเรียว เลยมีมุมมองที่ต่างกันไป

เอางี้ เพื่อชดเชยความผิดที่แคทลากเรียวมาเกี่ยวข้องจนเดียร์เข้าใจผิด เดี๋ยวแคทช่วยเองค่ะ แคทพอจะรู้จักคนไทยที่โน่นอยู่หลายคนเหมือนกัน จะลองให้เขาช่วยตามหาเดียร์แล้วช่วยส่งข่าวให้นะคะ ว่ามีคนทางนี้คิดถึงคอยเป็นห่วงอยู่ให้รีบกลับมา อย่างนี้ดีไหมคะ”

ข้อสรุปของคุณแคทได้รับการเห็นด้วยจากทุกฝ่าย คุณแคทช่างน่ารักเหลือเกินที่ช่วยเป็นธุระให้ วิธีนี้มันเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะทำให้เดียร์ได้รับรู้ว่าผมรอการกลับมาของเขา แต่ผมก็ไม่นิ่งนอนใจ พยายามที่จะติดต่อกับเดียร์ด้วยวิธีอื่นอีก

ผมนึกวิธีนี้ได้ออกในวันหนึ่งขณะที่นั่งทำงานอยู่ที่บ้านในวันหยุด มีอีเมล์ภายในบริษัทส่งข้อความเข้ามาจำพวกประกาศและคำสั่งใหม่ๆ ในขณะที่ผมเลื่อนเม้าส์อ่านข้อความไปเรื่อยๆ พลันผมก็ระลึกถึงสิ่งที่เดียร์เคยบอกผมไว้ ผมรีบเข้าอินเตอร์เนตทันที

เดียร์เคยสอนให้ผมใช้โปรแกรมแชตที่คนนิยมเล่นกัน และสมัครให้ผมเรียบร้อย ผมใส่ชื่อและรหัสผ่านเข้าไปในเมล์ของตัวเอง โดยดูจากที่เดียร์จดไว้ให้ในสมุดโน้ตของผมที่วางไว้บนโต๊ะ หน้าต่างสนทนาเด้งขึ้นมาโดยอัตโนมัต ในลิสต์ของผมมีชื่อของเดียร์เพียงแค่คนเดียว เพราะผมไม่เคยให้อีเมล์นี้กับใคร

สถานะตอนนี้ของเดียร์คือ ออฟไลน์ ติดต่อเขาไม่ได้ ผมเลยย้อนกลับเข้าไปในอีเมล์อีกครั้ง แล้วส่งข้อความถึงเขา

“รีบกลับมานะเดียร์ ฉันคิดถึงนายมาก ที่ผ่านมาฉันขอโทษ ฉันผิดเอง กลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมนะ”

ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรดี เลยส่งข้อความไปสั้นๆแบบนั้น หวังว่าเขาจะมีเวลาเปิดอ่านมัน แล้วตอบกลับมา ส่งอีเมล์ถึงเดียร์ไปแล้ว ผมก็โทรหาน้อย ถามข่าวคราวว่าเดียร์ติดต่อมาบ้างหรือไม่ น้อยปฏิเสธบอกไม่ได้ติดต่อมาเลย คงจะยุ่งอยู่กับการซ้อมและการแสดงโชว์อยู่ ผมรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย แต่ยังไม่หมดกำลังใจ คิดว่าถึงอย่างไรผมก็ต้องตามเดียร์ให้ได้

หัวหน้าเรียกผมเข้าไปเมื่อวันก่อน ไม่ได้ตำหนิเรื่องงานของผม แต่ชมเชยที่ผมปฏิบัติงานที่ภาคใต้ได้เป็นที่น่าพอใจ ผู้บริหารใหม่กลุ่มนั้นชื่นชมในตัวผม และจะจัดสัมมนาอีกครั้งให้ผมลงไปอบรมให้อีก แต่ผมขอส่งลูกน้องไปแทน เพราะผมไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะบรรยาย แต่ผมสัญญาว่าจะฝึกอบรมลูกน้องให้สามารถขึ้นบรรยายได้แทนผมก่อนที่จะมีการสัมมนาอีกครั้ง
แม้จะไม่ได้อธิบายเหตุผลของการปฏิเสธการรับงานครั้งนี้ แต่หัวหน้าของผมก็พอจะเดาได้ว่ามีอะไรบางอย่างรบกวนจิตใจของผม หลายวันมานี้ผมเห็นเขาเดินมาเยี่ยมๆมองๆที่ห้องของผมบ่อยครั้ง

บางทีก็เข้ามาชวนทานกาแฟ ถ้าเห็นผมตั้งท่าจะอยู่ทำงานต่อตอนเย็น เขาก็มาไล่ให้ผมกลับไปพักผ่อน เขาเคยพูดกับผมว่าเขาเข้าใจดีถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับผม

เขาผ่านโลกมาเยอะและรู้ว่าการพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ แต่อยากให้ผมมีสติมากกว่านี้ การทำงานแบบบ้าคลั่งเพื่อให้ลืมความทุกข์ทรมานไม่ใช่ทางออกในการแก้ปัญหา ถ้าหากมันล้าแล้วก็อนุญาตให้ผมหยุดได้บ้าง ซึ่งผมก็ไม่เคยใช้สิทธินั้น

จนกระทั่งวันที่เขาขอให้ผมไปบรรยาย ผมจึงได้ร้องขอ ซึ่งเขาก็ไม่ถามไถ่ อนุญาตให้ผมหยุดงานได้ อาทิตย์หนึ่ง แต่มีข้อแม้ว่าต้องเคลียร์งานทุกอย่างให้ลงตัว จะเหลือทิ้งไว้ให้ลูกน้องทำ จะต้องเป็นงานที่อยู่ในอำนาจการตัดสินใจของพวกน้องๆในฝ่ายได้ โดยไม่ต้องผ่านผม และจะต้องจัดการสอนคนให้ขึ้นบรรยายแทนผมได้โดยไม่มีข้อผิดพลาด หากผมไม่สามารถทำทุกอย่างได้ ผมจะต้องเป็นฝ่ายไปบรรยายเอง

นั่นเป็นโจทย์ที่ผมจะต้องแก้ให้ได้ ผมจึงต้องหอบงานกลับมาทำที่บ้านในวันหยุด ร่างแผนงานที่จะสอนลูกน้องของผม หากเขาทำได้ ผมจะได้หยุด แล้วไปหาเดียร์ทันทีที่กลับมาถึงเมืองไทย

นี่ก็ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้ว ตั้งแต่เขาไปอเมริกา ยังไม่มีข่าวคราวส่งมาทั้งจากทางน้อยและคุณแคท แต่ผมก็ยังไม่ละความพยายาม ตอนนี้ทำงานของตัวเองก่อน เดียร์ทำในส่วนของเขา และผมทำในส่วนของผม พอผมหาเวลาว่างได้เมื่อไหร่ ผมจะไปตามหาหัวใจของผมทันที

อาทิตย์ต่อมา ผมจัดคอร์สอบรมความรู้ให้กับพนักงานของผม โดยเลือกคนที่พอจะมีวี่แววที่จะบรรยายได้ มาติวเข้มเป็นพิเศษ เรื่องความรู้ทางด้านหลักการ และวิธีการตอบคำถาม

เพราะผมรู้ว่าผู้บริหารแต่ละคนจะเขี้ยวลากดิน หากผู้ให้ความรู้ทำท่าลังเลไม่มั่นใจในการบรรยาย มีหวังถูกต้อนจนมุมตายคาเวที ผมให้พนักงานของผมทดลองขึ้นบรรยายด้วย เพื่อทดสอบความพร้อมของเขา ฝึกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนพวกเขาหายประหม่า และบรรยายได้อย่างรู้เรื่อง

ระหว่างนั้น ผมก็จะติดตามข่าวคราวของเดียร์จากคุณแคทและน้อยเป็นระยะ รวมถึงโทรไปตามเบอร์ที่สมฤทัยให้ด้วย แม้ว่าจะยังไม่ได้ข่าวสารของเดียร์ที่ช่วยให้ใจชื้นขึ้นมา แต่ผมก็ยังเดินหน้าทำงานของตัวเอง และรอคอยอย่างมีความหวังต่อไป

ผมส่งอีเมล์หาเดียร์วันละฉบับช่วงหลังๆ ผมจะเล่าภาระกิจประจำของผมให้เขาฟัง ว่าทำอะไรบ้าง เหมือนเป็นรายงานให้เขารู้กลายๆ และลงท้ายด้วยการอ้อนวอนให้เดียร์รีบกลับมาเร็วๆทุกครั้ง แต่ยังไม่มีการตอบกลับจากเด็กหนุ่ม เขาคงยุ่งมากจนไม่มีเวลาเช็คอีเมล์ของตัวเอง

และแล้ววันที่หัวหน้ากำหนดเส้นตายไว้ก็มาถึง ผมส่งมอบงานให้เขาได้ตามที่ต้องการ หัวหน้ายอมให้ผมลาพักร้อนได้ตั้งแต่วันจันทร์เป็นต้นไป เป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์หลังจากที่ได้ฟังการบรรยายของลูกน้องที่ผมคัดเลือกมา 3 คน

ทั้งหมดไม่ทำให้ผมผิดหวัง แม้จะยังมีประหม่าอยู่บ้างที่ต้องบรรยายต่อหน้าเจ้านายที่เหนือผมขึ้นไปอีก แต่พวกเขาก็พยายามทำมันจนสำเร็จ ผมรู้ว่าหัวหน้าไม่ได้พอใจร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เขายอมรับในศักยภาพของลูกน้องของผม และคาดหวังว่าคนเหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญของบริษัทสืบไป

“พวกเธอแบ่งเบาภาระคุณเรียวได้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะเป็นผลดีกับพวกเธอเท่านั้น ที่จะเติบโตก้าวหน้าในอาชีพ ส่วนคุณเรียวก็คงจะขยับต่อไปอีก บางทีเขาอาจจะอยากเป็นเจ้าของธุรกิจเองก็ได้”

เจ้านายผมพูดยิ้มๆเป็นเชิงหยอกล้อ ผมยิ้มตอบ และกล่าวขอบคุณเขาที่ให้โอกาสผม

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่52 19/3/09
«ตอบ #475 เมื่อ19-03-2009 10:16:47 »

^
^
จิ้มพี่ไต๋

อูยยยยยยยยยยยยยยยย



อุปสรรคช่างมากมายจริงๆ

เมื่อไหร่จะได้อยู่ด้วยกันซักที

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่52 19/3/09
«ตอบ #476 เมื่อ19-03-2009 13:51:40 »

โอ้ยยยยยยย


จะบ้าตาย  ทำไม รักครั้ง มาร ผจญ


มัน ช่างมากเหลือ หลายยย


สู้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ สู้ ตาย ขาดใจ ดิ้น ไป เรยย






nanalonely

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่52 19/3/09
«ตอบ #477 เมื่อ19-03-2009 18:50:37 »

:sad4:

เมื่อไหร่จะแฮปปี้สักที

va_yu

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่52 19/3/09
«ตอบ #478 เมื่อ19-03-2009 21:56:47 »

ยังคงต้องลุ้นกันต่อไป  :a5:

ออฟไลน์ the_pooh9

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-3
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่52 19/3/09
«ตอบ #479 เมื่อ20-03-2009 00:08:20 »

:sad4:

เมื่อไหร่จะแฮปปี้สักที


คิดเหมือน แนนเลยอ่คร้าบ   :sad4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด