บทที่ 49
“หลายอย่าง ผมต้องขอบคุณเขา ที่ทำให้ผมได้รู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับคุณ ซึ่งคุณไม่เคยเล่าให้ผมฟังเลยแม้แต่น้อย ที่สำคัญเขาบอกให้ผมรู้ด้วยว่า ตอนนี้คุณกำลังมีปัญหาเรื่องงาน
ใครๆก็นินทาคุณให้เสื่อมเสียชื่อเสียง แล้วคุณก็ไม่ชอบที่ถูกคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์แบบนี้ เขาเล่าให้ฟังว่าคุณถูกหัวหน้าเรียกไปตักเตือนหลายครั้งเรื่องที่คุณมาคบกับผม
เขายังบอกด้วยว่า การที่เราเป็นแฟนกันมันมีผลเสียหายต่อเรื่องงาน ทำให้คุณลำบากใจ ที่ใครๆก็ล้อเลียนคุณเรื่องนี้ คุณต้องตอบคำถามหัวหน้าว่าจะทำงานต่อหรือทิ้งมันไป หากเลือกงาน ก็ต้องทิ้งผม ถ้าเลือกผมก็ต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและกลับไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ แน่นอนว่าคุณอุตส่าห์ฝ่าฟันมาถึงขนาดนี้แล้วจะทิ้งไปง่ายๆได้ยังไง”
นี่หรือคือสิ่งที่ศักดิ์ชายบอกกับผมว่ามันจะทำทุกอย่างเพื่อขัดขวางไม่ให้ผมกับเดียร์ได้อยู่ด้วยกัน การเอาเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมที่บริษัท มาเล่าอย่างบิดเบือนแบบนี้เนี่ยนะ
“เขาบอกว่าคุณเสียดายสถานภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่อยากทิ้งงานที่มีผลตอบแทนสูงแบบนี้ แต่ติดขัดที่ผมเป็นก้างขวางคอคุณอยู่ แต่เพราะคุณใจดีเกินไป จึงไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ ว่าต้องการให้ผมออกไปจากชีวิตของคุณ
ก็เลยวางแผนกับคุณสันต์ในการที่จะกุเรื่องคุณแคทขึ้นมาเป็นแฟนของคุณเพื่อให้ผมหลงเชื่อ และเป็นฝ่ายไปจากคุณเอง แผนมันก็ดันเข้าทาง
เพราะคุณแคทก็เล่นด้วย สวมรอยเอาช่วงที่เราสองคนกำลังมีปัญหากับนายทรงพล ถือโอกาสยื่นข้อเสนอให้คุณเป็นแฟนเขา เพื่อกำจัดแฟนเก่าอีกคนของคุณแคทด้วย”
“ไม่จริงนะเดียร์ เจ้าศักดิ์มันโกหก มันไม่ใช่แบบนั้น”
ปฏิเสธไปพัลวัน เดียร์กำลังเข้าใจผิดไปใหญ่โตแล้ว ไม่รู้ไปเชื่อคำโป้ปดมดเท็จของศักดิ์ชายได้ไง เดียร์หัวเราะเสียงขื่น กล่าวต่อไปว่า
“ตอนแรกผมไม่เชื่อในสิ่งที่เพื่อนของคุณพูดเท่าไหร่ แต่เขาก็ยกเหตุผลมาอ้างอิงจนผมคล้อยตาม ไม่ว่าจะเป็นการที่คุณไล่ผมออกไปตอนที่พวกเขามา หรือการที่คุณไม่แสดงตัวว่าเป็นอะไรกับผมตอนไปเที่ยวด้วยกัน อยู่ที่บริษัทคุณก็ไม่พยายามที่จะทัก ทำเหมือนว่าเราไม่รู้จักกัน แต่คุณสนิทสนมกับคุณแคท หัวเราะให้กันอย่างมีความสุข ไปไหนมาไหนกับคุณแคทบ่อยๆ แถมวันนี้ก็ยังมาด้วยกันอีก ผมก็เริ่มเชื่อว่าที่คุณศักดิ์ชายพูดนั้นมันเป็นเรื่องจริง”
“เราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันนะเดียร์ ฉันให้ความสนิทสนมกับเธอในฐานะเพื่อนไม่มีอะไรเกินเลย”
“แล้วคุณจะตอบผมอย่างไรล่ะครับ เรื่องการปฏิบัติตัวกับผมต่อหน้าเพื่อนของคุณ”
เด็กหนุ่มย้อนถาม ผมได้แต่อ้ำอึ้งพูดไม่ออก เพราะผมทำเฉยชากับเขาจริงๆ
“ตอบไม่ได้ใช่ไหมล่ะครับ เพราะว่ามันคือเรื่องจริง คุณไม่กล้ายอมรับว่าผมเป็นอะไรกับคุณต่อหน้าเพื่อน คุณอายที่จะบอกใครต่อใครว่าคุณอยู่กินกับผู้ชายด้วยกัน ในสภาพที่เป็นเมียด้วย
คุณกลัวว่าถ้าทุกคนรู้เขาจะรังเกียจคุณ แล้วหน้าที่การงานก็จะหลุดลอยไป มันเป็นอย่างนั้นใช่ไหมครับ คุณถึงได้ทำเหมือนกับผมไม่มีตัวตน เป็นแค่เพียงอากาศธาตุเท่านั้น ไม่ได้มีชีวิตจิตใจ ไม่มีค่าพอที่คุณจะห่วงใยความรู้สึก”
เสียงของเดียร์เริ่มดังขึ้นเมื่อพายุอารมณ์โหมใหม่อีกครั้ง เขาตัดพ้อต่อว่าผมด้วยความน้อยอกน้อยใจ แล้วผมก็เถียงเขาไม่ได้เลย นอกจากยอมรับความจริง
“ใช่....ฉันไม่เถียงนั่นว่าฉันเคยรู้สึกแบบนั้น แต่นั่นมันเมื่อก่อน เดี๋ยวนี้ฉันไม่ได้รังเกียจนายเลยนะ ฉันก็พานายไปเที่ยวด้วยแล้วไง ที่เกาะเกร็ดน่ะ เพื่อนฉันก็รับรู้การมีตัวตนของนายแล้วด้วย ฉันไม่ได้ปกปิดอะไรเลย”
“ไม่ปกปิด แต่ไม่พูดให้คนอื่นรู้มันก็มีค่าเท่ากันนั่นแหละ”
“แล้วนายจะให้ฉันทำไง นายคิดว่า คนเป็นเกย์คบกัน มันต้องเปิดเผย หรือประกาศให้ชาวโลกเขารับรู้กันทั่วไปเลยเหรอ เพื่อจะได้พิสูจน์ความรักแท้แบบที่นายว่า ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย อยู่ด้วยกัน ความลับรู้กันเพียงแค่สองคน ทำแบบนี้จะไม่มีความสุขกว่าเหรอ”
ชักฉุนขึ้นมาแล้ว ทำไมวันนี้เดียร์ถึงงอแงเข้าใจยากเข้าใจเย็นเสียจริง ปกติเป็นคนง่ายๆ ไม่โมโหอะไรนานๆ แต่วันนี้ดูแปลกไป เหมือนจะตีรวน ไม่ยอมฟังเหตุผลของผม
ไม่รู้ศักดิ์ชายเป่าหูอีท่าไหน เดียร์ถึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้ ท่าทางคงจะใส่ไคล้ปั้นน้ำเป็นตัวจนน่าเชื่อถือ คอยดูเถอะปรับความเข้าใจกับเด็กนี่ได้เมื่อไร ผมจะไปเล่นงานเพื่อนทรยศทันที
“ผมก็ไม่ได้ต้องการถึงขนาดนั้นหรอก เรียวตีความไปแบบนั้นได้ไง ผมแค่หมายความว่า ที่ผ่านมา เรียวแสดงความรังเกียจผมออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่ให้ผมเข้าไปมีส่วนร่วมในโลกของคุณเลย
ผมมันแค่คนนอกเท่านั้น ลองคิดดูสิ กี่ครั้งแล้วที่ผมกับคุณเจอหน้าเพื่อนคุณจังๆ แต่คุณแค่แนะนำผมว่าเป็นแค่เพื่อน เป็นน้อง หรือไม่ก็แค่คนรู้จักเท่านั้น ผมก็น้อยใจเป็นเหมือนกันนะ”
เขาเสียงดังโต้ตอบบ้าง ซึ่งผมก็ไม่ยอมแพ้