นี่ก็ใกล้จะครบกำหนดสัญญาแล้ว ผมพยายามลุ้นตลอดว่าขอให้ผมสมหวังในภาระกิจรักครั้งนี้ด้วยเถิด ยิ่งผมอยู่ใกล้เรียวมากเท่าไหร่ ก็รักเรียวมากขึ้นทุกที จนผมยังนึกไม่ออกเลยว่า ผมจะอยู่ได้ไง
ถ้าขาดเรียวไป ถ้าสัญญาสิ้นสุดลง คุณยังไม่รักผม แล้วก็เลือกที่จะทิ้งผมไป ผมต้องตายแน่ๆ ผมมีเรียวแค่คนเดียวเท่านั้น อยากใช้ชีวิตร่วมกับคุณ สร้างครอบครัวด้วยกัน ผมไม่เคยรู้สึกกับใครมากเท่านี้มาก่อนเลย”
เสียงของเด็กหนุ่มฟังดูน่าสงสารมาก จะว่าไป ผมก็ไม่ได้โกรธ หรืองอนเขาตั้งแต่แรก เพียงแต่ผมรู้สึกสับสนกับตัวเอง ผมรู้ตัวดีว่าผมรักเดียร์มากมายแค่ไหน แต่ผมก็พยายามจะปิดกั้นความรู้สึกไม่ให้แสดงออกมา
แต่ดันปิดไม่มิด มีคนล่วงรู้ แถมซ้ำเดียร์ก็ยังเดาออก มันทำให้ผมอับอายอย่างบอกไม่ถูก ผมยังไม่พร้อมที่จะยอมรับว่ารักเขาเข้าแล้ว อย่างน้อยๆก็วันสองวันนี้ ผมแค่อยากให้เวลากับตัวเองคิดใคร่ครวญ พอเดียร์มาอำผมเล่นแบบนี้ผมก็เลยอึ้งนิดหน่อย
“ฉันรู้เดียร์ แล้วก็ไม่ได้โกรธอะไรหรอก เพียงแต่หมั่นไส้นิดหน่อยน่ะ จะสมหวังหรือเปล่ายังไม่รู้ แต่นายก็ชอบเข้าข้างตัวเองตลอด บางทีฉันก็คิดว่า นายเป็นอย่างนี้ ก็น่ารักดีในแบบของนายนะ ดูไม่เครียด ไม่คิดมากดี
การพยายามคิดอะไรในแง่บวกมันดีตรงที่ทำให้ชีวิตมีความหวัง มีความสุขขึ้น ฉันเสียอีก ชอบคิดอะไรที่มันเป็นจริงเป็นจัง พอต้องตัดสินใจบางอย่าง ในสิ่งที่ไม่เคยคุ้นมาก่อน ก็ลังเลว่ามันจะดีหรือไม่ เมื่อเลือกไปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นตามมา มีผลกระทบต่อใครไหม คิดมากคิดมาย ปวดหัวไปหมด สงสัยต้องพยายามทำตัวแบบนายบ้างแล้ว”
ในที่สุดก็พูดออกไปแล้ว แม้จะเป็นการพูดทางอ้อมก็ตาม แต่ผมอยากบอกให้เขารู้มานานแล้วว่าผมกำลังลำบากใจแค่ไหนในการตัดสินใจเรื่องระหว่างเรา ผมกำลังยืนอยู่ตรงทางเลือกในการใช้ชีวิต
ผมจะเดินต่อไปตามเส้นทางเดิม ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยคนนิยมชมชื่น และมีความสำเร็จ ลาภยศ รออยู่ปลายทาง ทว่าผมต้องเดินไปอย่างเดียวดาย และที่ปลายทางนั้นก็ไม่มีคนที่ผมรักยืนอยู่ตรงนั้น
หรือผมจะเปลี่ยนเส้นทางใหม่ ที่มันขรุขระ เต็มไปด้วยขวากหนามคอยทิ่มแทงให้เจ็บปวด แต่มีคนที่รักผมและผมก็รักเขาเดินเคียงข้างกันไป ไม่ว่าทุกข์สุขจะไม่ทิ้งกัน ปลายทางอาจจะไม่หรูเลิศ เต็มไปด้วยความสมบูรณ์พูนสุข จะมีก็แค่เพียงครอบครัวที่อบอุ่น รอผมอยู่เท่านั้น
มันเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความใคร่ครวญอย่างมาก หากตัดสินใจพลาดแม้เพียงนิดเดียว ทุกอย่างก็จะพังทะลายลง
“ผมเข้าใจครับ เรียวผ่านอะไรมาจนถึงทุกวันนี้ มันไม่ใช่ได้มาโดยง่าย หากว่ามีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เรียวเคยมี เคยชิน ก็อาจจะทำใจลำบาก ถ้าผมตกอยู่ในที่นั่งแบบเรียว ผมก็อาจจะคิดมากกว่าคุณก็ได้
สำหรับคำแนะนำของผมก็คือ ถ้าเรียวคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ทำไปแล้วคนอื่นไม่เดือดร้อน ตัวเรียวเองก็มีความสุขด้วย เรียวก็ทำไปเถอะครับ แคร์คนอื่นได้ แต่อย่ามากจนทำให้คุณสูญเสียความเป็นตัวเอง ไม่มีใครจะรู้ดีเท่ากับเรียวนะครับ ว่าความสุขของคุณอยู่ตรงไหน”
เด็กหนุ่มกอดกระชับผมไว้ในวงแขนแล้วพูดกับผมด้วยเสียงนุ่มนวล ผมตอบเดียร์ในใจว่า าความสุขของผมคือการที่ได้อยู่ในอ้อมอกที่แสนอบอุ่นของเดียร์แบบนี้
การได้อยู่ใกล้เขาทำให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้น ชีวิตได้รับการเติมเต็ม ในส่วนลึกของหัวใจ ผมเองก็ไม่อยากจากเลิกรากับเขา อยากอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไป ไม่อยากให้ใครมาพรากเราสองคนจากกัน
“เรียวครับ ผมมีของขวัญให้เรียวด้วยล่ะ แต่เอาไว้ถึงวันวาเลนไทน์ก่อนนะ ผมจึงจะให้มันกับคุณ ของขวัญชิ้นนี้ ผมคิดอยู่นานว่าควรจะให้มันกับเรียวดีหรือไม่ แต่แล้วผมก็คิดว่าผมควรจะให้สิ่งนี้กับคนที่ผมรักมากที่สุด
ผมอยากให้เรียวได้รู้ว่า เรียวน่ะสำคัญกับผมมากกว่าสี่งใดในโลกนี้ คุณเป็นเหมือนชีวิตจิตใจของผม เป็นเหมือนลมหายใจเข้าออก คุณอยู่ในความคิดคำนึงของผมทุกเวลา ทุกนาที และผมอยากใช้ชีวิตร่วมกับคุณจริงๆ
ผมไม่รู้ว่าหลังจากนี้ไป คุณกับผมจะยังคบกันอยู่อีกหรือไม่ แล้วผมจะมีโอกาสฉลองวันวาเลนไทน์ในปีหน้ากับเรียวหรือเปล่า แม้ว่าจะไม่รู้อะไรเลย แต่ผมก็อยากทำให้วันวาเลนไทน์นี้ เป็นวันแห่งความรักระหว่างเราสองคนจริงๆครับ”
คำคาดหวังของเดียร์ก็เป็นสิ่งที่ผมตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นเช่นกัน และไม่ใช่แค่ปีนี้ แต่อยากให้เป็นทุกๆปี ที่เราจะมีช่วงเวลาที่แสนหวานด้วยกัน
แต่แล้วก็เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง ให้เราต้องเผชิญกับอุปสรรคนานับประการ เพื่อพิสูจน์ว่าเรามีรักแท้ให้กันเพียงใด จึงทำให้วันวาเลนไทน์ครั้งนั้นตราตรึงอยู่ในใจผมไปตราบนานเท่านาน มันเป็นวันแห่งความเจ็บปวด เป็นวันแห่งการพลัดพรากจากผู้เป็นที่รัก และผมไม่เคยลืมมันออกไปจากใจ
เรื่องมันเริ่มต้นในตอนเช้าของวันพฤหัสบดี ก่อนวันวาเลนไทน์สองวัน พี่วิภามาหาผมกับเดียร์ตอนเช้า ก่อนที่พวกเราจะแยกย้ายกันไปทำงาน เธอถือถาดใส่ขนมเค้กที่เธอลองทำตามวิธีที่เดียร์สอนมาให้ลองชิมกัน ตั้งแต่เธอกลับมาบ้านคืนดีกับสามีแล้ว พี่วิภาก็เอาใจใส่ต่อการเป็นแม่บ้านแม่เรือนมากขึ้น นัยว่าเพื่อผูกมัดใจสามีไม่ให้มีหญิงอื่น เธอมักจะมาขลุกที่บ้านผม หรือไม่ก็เรียกเดียร์ไปที่บ้านของเธอเพื่อช่วยสอนทำอาหารให้ ถ้าเดียร์ว่าง เขาก็จะไปทุกครั้ง
และตามประสาคนช่างเม้าท์ เธอก็มักจะเล่าเรื่องราวที่เธอได้รู้เห็นให้เด็กหนุ่มฟังเป็นประจำ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องนินทาคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย อะไรไม่ร้ายเท่ากับเธอได้เล่าให้เดียร์ฟังเกี่ยวกับเรื่องของผมกับคุณแคท ซึ่งเป็นมุมมองตามความเข้าใจของเธอเอง ตามที่เธอได้สังเกตผมกับคุณแคท และจากคำพูดของพี่สมชายที่มักจะหลุดคำพูดพาดพิงมาถึงเราสองคนเสมอ