My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk  (อ่าน 173485 ครั้ง)

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่44 23/2/09
«ตอบ #360 เมื่อ23-02-2009 18:31:41 »

นี่ก็ใกล้จะครบกำหนดสัญญาแล้ว ผมพยายามลุ้นตลอดว่าขอให้ผมสมหวังในภาระกิจรักครั้งนี้ด้วยเถิด ยิ่งผมอยู่ใกล้เรียวมากเท่าไหร่ ก็รักเรียวมากขึ้นทุกที จนผมยังนึกไม่ออกเลยว่า ผมจะอยู่ได้ไง

ถ้าขาดเรียวไป ถ้าสัญญาสิ้นสุดลง คุณยังไม่รักผม แล้วก็เลือกที่จะทิ้งผมไป ผมต้องตายแน่ๆ ผมมีเรียวแค่คนเดียวเท่านั้น อยากใช้ชีวิตร่วมกับคุณ สร้างครอบครัวด้วยกัน ผมไม่เคยรู้สึกกับใครมากเท่านี้มาก่อนเลย”

เสียงของเด็กหนุ่มฟังดูน่าสงสารมาก จะว่าไป ผมก็ไม่ได้โกรธ หรืองอนเขาตั้งแต่แรก เพียงแต่ผมรู้สึกสับสนกับตัวเอง ผมรู้ตัวดีว่าผมรักเดียร์มากมายแค่ไหน แต่ผมก็พยายามจะปิดกั้นความรู้สึกไม่ให้แสดงออกมา

แต่ดันปิดไม่มิด มีคนล่วงรู้ แถมซ้ำเดียร์ก็ยังเดาออก มันทำให้ผมอับอายอย่างบอกไม่ถูก ผมยังไม่พร้อมที่จะยอมรับว่ารักเขาเข้าแล้ว อย่างน้อยๆก็วันสองวันนี้ ผมแค่อยากให้เวลากับตัวเองคิดใคร่ครวญ พอเดียร์มาอำผมเล่นแบบนี้ผมก็เลยอึ้งนิดหน่อย

“ฉันรู้เดียร์ แล้วก็ไม่ได้โกรธอะไรหรอก เพียงแต่หมั่นไส้นิดหน่อยน่ะ จะสมหวังหรือเปล่ายังไม่รู้ แต่นายก็ชอบเข้าข้างตัวเองตลอด บางทีฉันก็คิดว่า นายเป็นอย่างนี้ ก็น่ารักดีในแบบของนายนะ ดูไม่เครียด ไม่คิดมากดี

การพยายามคิดอะไรในแง่บวกมันดีตรงที่ทำให้ชีวิตมีความหวัง มีความสุขขึ้น ฉันเสียอีก ชอบคิดอะไรที่มันเป็นจริงเป็นจัง พอต้องตัดสินใจบางอย่าง ในสิ่งที่ไม่เคยคุ้นมาก่อน ก็ลังเลว่ามันจะดีหรือไม่ เมื่อเลือกไปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นตามมา มีผลกระทบต่อใครไหม คิดมากคิดมาย ปวดหัวไปหมด สงสัยต้องพยายามทำตัวแบบนายบ้างแล้ว”

ในที่สุดก็พูดออกไปแล้ว แม้จะเป็นการพูดทางอ้อมก็ตาม แต่ผมอยากบอกให้เขารู้มานานแล้วว่าผมกำลังลำบากใจแค่ไหนในการตัดสินใจเรื่องระหว่างเรา ผมกำลังยืนอยู่ตรงทางเลือกในการใช้ชีวิต

ผมจะเดินต่อไปตามเส้นทางเดิม ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยคนนิยมชมชื่น และมีความสำเร็จ ลาภยศ รออยู่ปลายทาง ทว่าผมต้องเดินไปอย่างเดียวดาย และที่ปลายทางนั้นก็ไม่มีคนที่ผมรักยืนอยู่ตรงนั้น

หรือผมจะเปลี่ยนเส้นทางใหม่ ที่มันขรุขระ เต็มไปด้วยขวากหนามคอยทิ่มแทงให้เจ็บปวด แต่มีคนที่รักผมและผมก็รักเขาเดินเคียงข้างกันไป ไม่ว่าทุกข์สุขจะไม่ทิ้งกัน ปลายทางอาจจะไม่หรูเลิศ เต็มไปด้วยความสมบูรณ์พูนสุข จะมีก็แค่เพียงครอบครัวที่อบอุ่น รอผมอยู่เท่านั้น

มันเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความใคร่ครวญอย่างมาก หากตัดสินใจพลาดแม้เพียงนิดเดียว ทุกอย่างก็จะพังทะลายลง
“ผมเข้าใจครับ เรียวผ่านอะไรมาจนถึงทุกวันนี้ มันไม่ใช่ได้มาโดยง่าย หากว่ามีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เรียวเคยมี เคยชิน ก็อาจจะทำใจลำบาก ถ้าผมตกอยู่ในที่นั่งแบบเรียว ผมก็อาจจะคิดมากกว่าคุณก็ได้

สำหรับคำแนะนำของผมก็คือ ถ้าเรียวคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ทำไปแล้วคนอื่นไม่เดือดร้อน ตัวเรียวเองก็มีความสุขด้วย เรียวก็ทำไปเถอะครับ แคร์คนอื่นได้ แต่อย่ามากจนทำให้คุณสูญเสียความเป็นตัวเอง ไม่มีใครจะรู้ดีเท่ากับเรียวนะครับ ว่าความสุขของคุณอยู่ตรงไหน”

เด็กหนุ่มกอดกระชับผมไว้ในวงแขนแล้วพูดกับผมด้วยเสียงนุ่มนวล ผมตอบเดียร์ในใจว่า าความสุขของผมคือการที่ได้อยู่ในอ้อมอกที่แสนอบอุ่นของเดียร์แบบนี้

การได้อยู่ใกล้เขาทำให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้น ชีวิตได้รับการเติมเต็ม ในส่วนลึกของหัวใจ ผมเองก็ไม่อยากจากเลิกรากับเขา อยากอยู่ด้วยกันแบบนี้ตลอดไป ไม่อยากให้ใครมาพรากเราสองคนจากกัน

“เรียวครับ ผมมีของขวัญให้เรียวด้วยล่ะ แต่เอาไว้ถึงวันวาเลนไทน์ก่อนนะ ผมจึงจะให้มันกับคุณ ของขวัญชิ้นนี้ ผมคิดอยู่นานว่าควรจะให้มันกับเรียวดีหรือไม่ แต่แล้วผมก็คิดว่าผมควรจะให้สิ่งนี้กับคนที่ผมรักมากที่สุด

ผมอยากให้เรียวได้รู้ว่า เรียวน่ะสำคัญกับผมมากกว่าสี่งใดในโลกนี้ คุณเป็นเหมือนชีวิตจิตใจของผม เป็นเหมือนลมหายใจเข้าออก คุณอยู่ในความคิดคำนึงของผมทุกเวลา ทุกนาที และผมอยากใช้ชีวิตร่วมกับคุณจริงๆ

ผมไม่รู้ว่าหลังจากนี้ไป คุณกับผมจะยังคบกันอยู่อีกหรือไม่ แล้วผมจะมีโอกาสฉลองวันวาเลนไทน์ในปีหน้ากับเรียวหรือเปล่า แม้ว่าจะไม่รู้อะไรเลย แต่ผมก็อยากทำให้วันวาเลนไทน์นี้ เป็นวันแห่งความรักระหว่างเราสองคนจริงๆครับ”

คำคาดหวังของเดียร์ก็เป็นสิ่งที่ผมตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นเช่นกัน และไม่ใช่แค่ปีนี้ แต่อยากให้เป็นทุกๆปี ที่เราจะมีช่วงเวลาที่แสนหวานด้วยกัน

แต่แล้วก็เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง ให้เราต้องเผชิญกับอุปสรรคนานับประการ เพื่อพิสูจน์ว่าเรามีรักแท้ให้กันเพียงใด จึงทำให้วันวาเลนไทน์ครั้งนั้นตราตรึงอยู่ในใจผมไปตราบนานเท่านาน มันเป็นวันแห่งความเจ็บปวด เป็นวันแห่งการพลัดพรากจากผู้เป็นที่รัก และผมไม่เคยลืมมันออกไปจากใจ

เรื่องมันเริ่มต้นในตอนเช้าของวันพฤหัสบดี ก่อนวันวาเลนไทน์สองวัน พี่วิภามาหาผมกับเดียร์ตอนเช้า ก่อนที่พวกเราจะแยกย้ายกันไปทำงาน เธอถือถาดใส่ขนมเค้กที่เธอลองทำตามวิธีที่เดียร์สอนมาให้ลองชิมกัน ตั้งแต่เธอกลับมาบ้านคืนดีกับสามีแล้ว พี่วิภาก็เอาใจใส่ต่อการเป็นแม่บ้านแม่เรือนมากขึ้น นัยว่าเพื่อผูกมัดใจสามีไม่ให้มีหญิงอื่น เธอมักจะมาขลุกที่บ้านผม หรือไม่ก็เรียกเดียร์ไปที่บ้านของเธอเพื่อช่วยสอนทำอาหารให้ ถ้าเดียร์ว่าง เขาก็จะไปทุกครั้ง
และตามประสาคนช่างเม้าท์ เธอก็มักจะเล่าเรื่องราวที่เธอได้รู้เห็นให้เด็กหนุ่มฟังเป็นประจำ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องนินทาคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย อะไรไม่ร้ายเท่ากับเธอได้เล่าให้เดียร์ฟังเกี่ยวกับเรื่องของผมกับคุณแคท ซึ่งเป็นมุมมองตามความเข้าใจของเธอเอง ตามที่เธอได้สังเกตผมกับคุณแคท และจากคำพูดของพี่สมชายที่มักจะหลุดคำพูดพาดพิงมาถึงเราสองคนเสมอ



anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่44 23/2/09
«ตอบ #361 เมื่อ23-02-2009 18:32:18 »

โดยมากเป็นเรื่องที่เดียร์ไม่เคยรู้มาก่อน จนเดียร์ต้องแอบมาแซวผมบ่อยๆเรื่องคุณแคทว่าผมกับเธอสนิทกันมากจนเหมือนจะเป็นคู่รักกันเลย บางทีเด็กหนุ่มก็พูดเป็นเชิงน้อยใจให้ได้ยิน ทำนองว่าผมมักจะมีความลับกับเขา มีเรื่องอะไรก็ไม่บอกให้รู้ ต้องให้ได้ยินจากคนอื่น

ทว่าคำต่อว่าต่อขานนั้นไม่ได้รุนแรงมากนัก เพราะเดียร์รู้ว่าผมไม่ชอบ และเราเคยคุยกันแล้วว่าต้องไว้ใจกัน เขาจึงไม่เซ้าซี้ถามผม แต่เก็บไปคิดมากคนเดียว เนื่องจากเดียร์ไม่บอกว่าคุยอะไรกับพี่วิภากันบ้าง ผมเลยไม่รู้ จนกระทั่งพี่วิภาพูดขึ้นมา ตอนที่นั่งดูพวกเราลองชิมเค้กฝีมือเธอกับกาแฟ

“คุณเรียวเตรียมหาฤกษ์แต่งงานไว้หรือยังคะ อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้วนี่”

ผมชะงักมือที่กำลังจะตักเค้กเข้าปาก ใจหายวาบเมื่อพี่วิภาหลุดคำพูดโกหกระหว่างผมกับคุณแคทออกมา ผมรู้ว่าเธอเชื่อสิ่งที่เราสองคนบอก แต่ไม่นึกว่าเธอจะกล้าเอามาพูดต่อหน้าผมและเดียร์แบบนี้

ดูจากหน้าตาท่าทางเธอขณะเล่า ผมก็รู้ว่าเธอเองก็ไม่ได้มีเจตนาจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเด็กหนุ่มเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอไม่ได้ล่วงรู้ว่าผมกับเดียร์เป็นอะไรกัน และผมก็เชื่อว่าพี่สมชายรักษาความลับให้ผม เท่ากับที่ผมรักษาความลับให้เขา พี่วิภาคงเหมือนคนช่างพูดทั่วไป ที่ชอบให้ตัวเองเป็นคนสำคัญเวลาที่รู้เรื่องอะไรที่คนอื่นไม่รู้

ผมหันไปมองเดียร์ก็เห็นเขาทำหน้ายุ่งๆ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ตาจับจ้องมองผมอย่างสงสัย ผมหลบตาเด็กหนุ่ม รู้สึกว่าทุกอย่างมันดูยุ่งยากไปหมด แม้กระทั่งจะกลืนน้ำลายลงคอก็ยังยากเย็นกว่าทุกวัน

“อ้าว นี่คุณเรียว ยังไม่ได้บอกน้องหรือคะ สงสัยจะเก็บเอาไว้เซอร์ไพรส์ ขอโทษทีนะ พี่ไม่น่าปากโป้งเลย แต่มันก็แค่อีกสองเดือนเองนี่นา ถึงอย่างไร ก็ต้องบอกน้องให้รู้อยู่ดีใช่ไหมคะ”

“สองเดือนหรือครับ”

หูของผมได้ยินเดียร์ทวนคำถามพี่วิภาเสียงสั่น ผมหันไปมองหน้าเดียร์โดยอัตโนมัติ พยายามนึกในใจว่าคำพูดของเดียร์แฝงความนัยอะไรหรือเปล่า แล้วผมก็ต้องตกใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่า ระยะเวลาสองเดือนนั้นมันคือหลังจากที่สัญญาระหว่างเดียร์กับผมสิ้นสุดลง นี่เขาคงไม่คิดนะว่าผมจะแต่งงานจริงๆหลังจากที่เราเลิกกัน

“ใช่สิจ๊ะ เมื่อวานคุณเรียวพี่ชายเราน่ะ ก็ไปเลือกแหวนแต่งงานกับคุณแคทด้วยนะ หวานกันซะจนพี่น่ะอิจฉาเลยล่ะ แล้วตกลงคุณเรียวได้แหวนที่ต้องการไหมคะ”

พี่วิภาถามผม เดียร์เองก็จ้องหน้าผมอย่างต้องการคำตอบเหมือนกัน ผมพยักหน้าช้าๆ รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อเห็นประกายขุ่นเคืองในดวงตาคู่สวยนั่น นึกภาวนาให้พี่วิภาหยุดพูด แล้วกลับบ้านไปเพื่อที่ผมจะได้อธิบายให้เดียร์ฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

“ว้าย ดีจังเลย แล้วแหวนสวยหรือเปล่า”

“สวยครับ”
อยากจะพูดมากกว่านั้น ว่าแหวนนั้นสวยและแพงมาก เพราะผมเตรียมจะมอบให้กับคนที่ผมรักมากที่สุดก็คือเดียร์ แต่ผมไม่ต้องการพูดมันออกไปต่อหน้าพี่วิภา ไม่อยากให้เธอรู้ว่าคนที่ผมรักคือคนที่เธอกำลังเอาข่าวแต่งงานที่กุขึ้นเพื่อช่วยให้เธอกับสามีไม่ต้องบ้านแตกมาเล่าให้ฟัง

เพราะผมทนที่จะให้เรื่องของผมกับเดียร์มันฉาวโฉ่ไปทั่วหมู่บ้านไม่ได้ พี่วิภาเป็นเพื่อนบ้านที่ดี แต่ปากไม่มีหูรูด เธอสามารถพ่นทุกสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาโดยไม่กลั่นกรองก่อนว่าเรื่องจริงเท็จแค่ไหน หลายต่อหลายครั้งที่เธอวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของคนอื่นอย่างสนุกปาก ทั้งๆที่ไม่มีมูลความจริง และไม่มีการขอโทษเลยแม้แต่น้อย ผมไม่อยากเป็นเหยื่ออันโอชะให้ใครพูดถึงอย่างดูแคลน

“แหม...อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ แต่ผมไม่เห็นจะรู้เรื่องนี้เลยครับ สงสัยจะปิดข่าวเอาไว้จนถึงนาทีสุดท้าย กะจะเซอร์ไพรส์ผมจริงๆอย่างที่พี่วิภาว่า ถ้างั้นก็ขอแสดงความดีใจด้วยนะครับพี่เรียว แล้วนี่จองสถานที่อะไรไว้หรือยังครับ ให้น้องชายคนนี้ช่วยอะไรบ้าง บอกมาได้เลยนะครับ”

เด็กหนุ่มยิ้มหวานใส่ผมจนน่ากลัว เห็นแล้วยังอดขนลุกไม่ได้ เดียร์พูดเหน็บผมนิดหน่อย แต่เนื่องจากเขาทำท่าเป็นปกติ ไม่แสดงความโกรธออกมา จึงทำให้พี่วิภาไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร ทว่าผมอยู่ด้วยกันกับเดียร์มาสักระยะหนึ่งแล้ว จึงจับได้ถึงความผิดปกติในน้ำเสียงนั้น

“คงจะให้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวกระมัง พี่ว่านะ แหมงานนี้คงจะมีแต่คนหล่อๆเต็มงานไปหมด เจ้าบ่าวก็หล่อ น้องเจ้าบ่าว ก็หน้าตาดีมากๆ แถมเจ้าสาวยังสวยอีก เหมาะสมกับเจ้าบ่าวราวกิ่งทองใบหยก คุณแคทน่ะสวยมากๆเลยนะคะ ตอนแรกๆที่เห็นเธอที่บ้านนี้ พี่สมชายแฟนพี่ยังจ้องเธอจนตะลึงเลย

พี่เองก็ยังแอบหึง พอรู้ว่าเป็นแฟนคุณเรียวพี่ก็เลยเบาใจไปได้ คิดว่ากิ๊กอีกคนของพี่สมชายคงไม่ใช่คุณแคทแน่นอน เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนที่รักกันขนาดนั้น จะมาทรยศอีกฝ่าย อีกอย่างพี่สมชายก็รับปากกับพี่แล้วว่า เขาจะกลับตัวเพื่อเมียและลูก แล้วคุณแคทก็จะแต่งงานกับคุณเรียวในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า พี่ก็เลยหมดกังวลไปโดยปริยายค่ะ”

เพื่อนบ้านของผมเล่าฉอดๆ ในขณะที่ผมได้แต่นั่งนิ่งฟังอย่างอึดอัดใจ ไม่กล้าสบตากับเดียร์ แต่รับรู้ได้ว่าเขากำลังจ้องผมเขม็ง นึกในใจว่าผมน่าจะบอกให้เดียร์รู้ตั้งแต่แรก การปกปิดความจริง มันอาจจะสร้างความร้าวฉานให้เกิดขึ้น แม้ว่าเรื่องที่เราไม่ได้อยากให้เขารู้จะไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายอะไร เป็นการช่วยคนๆหนึ่งให้มีความสุข รวมถึงช่วยคนรักของผมด้วยซ้ำ

ผมพยายามนั่งนึกหาคำอธิบายดีๆที่จะไม่ให้เดียร์โกรธ ตอนที่พี่วิภากลับไปแล้ว แต่ดูเหมือนเพื่อนบ้านของผมกำลังพูดอย่างเมามันส์ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่าย เธอพล่ามถึงการจองโรงแรม การแจกการ์ด การเชิญผู้ใหญ่ พิธีหมั้น อะไรหลายต่อหลายอย่างฟังไม่หวาดไม่ไหว สิ่งที่เธอพูดมันทะลุหูซ้ายขวาของผม จับใจความไม่ได้ รู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ค่อยจะทั่วท้องนัก ด้วยเดาไม่ได้เลยว่าหลังจากพี่วิภากลับไปบ้าน อะไรจะเกิดขึ้น

“จี้อันนี้สวยไหมจ๊ะ พี่สมชายซื้อให้เป็นของขวัญเชียวนะ ทำมาจากอำพันยางไม้สนล้านปี หายากมากเลยล่ะ พี่เห็นคุณเรียวกับคุณแคทกำลังเลือกกันอยู่ แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อ ก็เลยไปฉกเอามา มันสวยมากเลย เห็นปุ๊บ ชอบปั๊บ โดยเฉพาะมันเป็นรูปหัวใจด้วย มีความหมายดี แล้วคุณแคทก็บอกว่าคนเกิดวันจันทร์ต้องใช้อัญมณีสีเหลือง พี่เกิดวันนี้เลยลองเอามาใส่ดูให้ถูกโฉลก เห็นคุณแคทกับคุณเรียวบอกว่า เหมาะกับพี่ ก็เลยอ้อนขอให้พี่สมชายซื้อเป็นของขวัญให้ล่ะ ”


anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่44 23/2/09
«ตอบ #362 เมื่อ23-02-2009 18:33:44 »

 o1 ต้องขออภัยในความล่าช้า
 :m15:ไม่ว่าเค้านะตะเอง

ออฟไลน์ thanagorn

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 117
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่44 23/2/09
«ตอบ #363 เมื่อ23-02-2009 19:04:17 »

ไม่ว่าอะไรเลยค๊าบ :bye2:

va_yu

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่44 23/2/09
«ตอบ #364 เมื่อ23-02-2009 20:04:43 »

ไม่ว่าค่ะ แต่ตอนต่อไปมันจะเศร้าหรือเปล่าค่ะนี่
สงสารเดียร์ สงสารเรียว

ออฟไลน์ nbee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 849
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-1
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่44 23/2/09
«ตอบ #365 เมื่อ23-02-2009 22:55:51 »

แย่แน่เรียว

น่าจะบอกเดียร์ไปตั้งแต่แรก

แบบนี้เดียร์คงโกรธและน้อยใจแน่ๆ

 :monkeysad:

fc_uk

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่44 23/2/09
«ตอบ #366 เมื่อ23-02-2009 23:31:29 »

 :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่44 23/2/09
«ตอบ #367 เมื่อ24-02-2009 16:05:36 »

 :-[ โหเฮียจวยมาเยี่ยมกระทู้เค้าด้วย
ดีใจจัง หุหุ :m3:

b_hihi

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่44 23/2/09
«ตอบ #368 เมื่อ24-02-2009 17:04:00 »

นานเลย

ใกล้จบแล้วเหรอ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่44 23/2/09
«ตอบ #369 เมื่อ24-02-2009 19:27:42 »

ใจ เย็น ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


น่ะ เดียร์


อย่า คืด มาก ไป น่ะ

เปน กำลัง ใจ ไห้ น่ะ จ่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่44 23/2/09
« ตอบ #369 เมื่อ: 24-02-2009 19:27:42 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
«ตอบ #370 เมื่อ25-02-2009 17:59:20 »

บทที่ 45

พี่วิภา เอาสร้อยที่ห้อยจี้รูปหัวใจสีเหลืองใสมาอวดเดียร์ เด็กหนุ่มกล่าวชมว่ามันสวยมากจริงๆ แล้วเขาก็ชอบมันด้วยเช่นกัน ผมมองจี้อันนั้นอย่างเสียดาย ในใจยังคิดว่าจี้นั้นควรจะได้อยู่ประดับคอของเดียร์เพื่อบอกความในใจของผม

แต่โชคร้ายตรงที่ผมกลับปล่อยให้มันหลุดมือไปเป็นของคนอื่น หลายต่อหลายครั้งทีเดียวที่ผมห่วงใยคนอื่นมากกว่าความรู้สึกของคนใกล้ตัว จนทำให้บางครั้งเรื่องง่ายๆกลับกลายเป็นยาก และเกินกว่าจะแก้ไขได้

“สวยจังเลยครับ ผมก็เกิดวันจันทร์เหมือนกับพี่ ไม่ยักรู้ว่าต้องใช้เครื่องประดับสีนี้ ดีจังนะที่พี่มีคนจำวันเกิดได้ แต่ผมน่ะ ไม่มีเลยครับ”

คำพูดนั่น มันเป็นคำพูดประชดประชัน หรือแสดงความน้อยใจกันแน่นะ ทำไมผมจะจำไม่ได้ล่ะ แล้วสร้อยนั่นน่ะ ผมก็อยากซื้อให้เขา แต่ต้องตัดใจเพื่อเห็นแก่ผู้หญิงและเด็กที่เพิ่งได้ครอบครัวของตัวเองกลับมาต่างหากล่ะ

“ผมไปละครับ พี่วิภา พี่เรียว วันนี้ต้องไปทำงานที่ร้านกาแฟแต่เช้าครับ เพราะตกเย็นมีซ้อมเต้นอีก คงกลับบ้านมืด แต่ผมทำกับข้าวไว้แล้ว พี่เรียวทานได้เลย แต่ไม่เป็นไรนะ ถ้าพี่เรียวไปทานข้าวกับคู่หมั้นอีก ผมก็ไม่ว่า ถ้าไม่กิน เดี๋ยวผมกลับมาจัดการเอง ...เอ้อ ผมไปก่อนนะครับพี่วิภา ขอบคุณที่มาบอก สงสัยผมคงต้องคุยกับพี่เรียวแล้วล่ะครับ ว่าจะให้ผมช่วยอะไรบ้าง”

อยู่ๆเดียร์ก็ลุกพรวดขึ้นมา กล่าวลาทุกคน และเดินออกไปจากห้อง โดยไม่แม้แต่จะมองผม จะเรียกเขาก็ไม่ทัน ผมรู้ว่าเดียร์คงโกรธ เพราะเขาเน้นเสียงเรียกผมว่าพี่ขนาดนั้น แถมซ้ำยังแดกดันผมเรื่องการกินข้าวกับแฟนอีกด้วย

เขาคงรู้แล้วว่าที่ผมกลับบ้านดึกเมื่อคืน เพราะผมไปเลือกซื้อแหวนกับคุณแคทนั่นเอง เดียร์เข้าใจผิดเข้าเต็มเปา คิดว่าผมซื้อมาเพื่อที่จะหมั้นเพื่อนร่วมงานของผม ทั้งๆที่ผมพาคุณแคทไปเลือกแหวนให้เดียร์ต่างหาก จะพูดให้เดียร์ฟังตอนนี้ก็ไม่ได้ เพราะกลัวว่าพี่วิภาจะคิดมาก

เธอเข้าใจว่าผมเป็นแฟนกับคุณแคท มันดีอยู่แล้ว เพราะทำให้เธอเลิกระแวงพี่สมชาย และกลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิม แต่ผมกับเดียร์ ยังต้องมีเรื่องที่จะปรับความเข้าใจกันอีก ขออย่าให้เขาโกรธจัดจนไม่ยอมฟังอะไรเลย

ผมไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร กลัวใจตัวเองเหมือนกันว่าจะทนไม่ได้หากเขาเกิดพูดไม่รู้เรื่อง ไม่ยอมฟังเหตุผลขึ้นมา ผมไม่อยากจะทะเลาะกับใครในช่วงเทศกาลวันแห่งความรักแบบนี้ ผมน่าจะได้บอกความในใจของตัวเองออกไป มากกว่าที่จะมาทะเลาะกัน

“สงสัยจะแอบน้อยใจคุณเรียวกระมังคะ แหม คุณเรียวน่ะ จะบอกน้องนุ่งหน่อยก็ไม่ได้ เผื่อจะช่วยกันจัดงานให้ออกมาดูดี อ้อ ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกพี่มาได้เลยนะคะ พี่ยินดีช่วยเหลือคุณเรียวเต็มที่ ก็คนบ้านใกล้เรือนเคียงกัน มีอะไรก็ต้องช่วยกันแหละค่ะ”

พี่วิภายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อาสาช่วยงานที่ผมกุกันขึ้นมา ผมยิ้มตอบเธอ ทว่าในใจกลับรุ่มร้อนอยากแก้ความเข้าใจผิดของเดียร์ใจจะขาด นึกอยากให้พี่วิภาช่วยผมอย่างแรกเลยคือ ได้โปรดกลับบ้านไปก่อนผมจะได้มีเวลาโทรไปหาที่รักของผม ไม่อยากให้เขาคิดมากจนวุ่นวายใจ ทุกอย่างกำลังจะดำเนินไปด้วยดี วาเลนไทน์นี้ผมจะบอกรักแล้วมอบแหวนให้เขาแล้ว ขออย่าได้ทะเลาะกันเลย
พี่วิภายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อาสาช่วยงานที่ผมกุกันขึ้นมา ผมยิ้มตอบเธอ ทว่าในใจกลับรุ่มร้อนอยากแก้ความเข้าใจผิดของเดียร์ใจจะขาด นึกอยากให้พี่วิภาช่วยผมอย่างแรกเลยคือ ได้โปรดกลับบ้านไปก่อนผมจะได้มีเวลาโทรไปหาที่รักของผม ไม่อยากให้เขาคิดมากจนวุ่นวายใจ ทุกอย่างกำลังจะดำเนินไปด้วยดี วาเลนไทน์นี้ผมจะบอกรักแล้วมอบแหวนให้เขาแล้ว ขออย่าได้ทะเลาะกันเลย

กว่าที่วิภาจะกลับไปยังบ้านของตัวเองก็เกือบ แปดโมงเช้า เธอคุยไม่เลิกจนผมต้องขอตัวไปทำงานก่อน เพราะมีประชุมในตอนเช้า กลัวไปไม่ทัน นั่นแหละเธอถึงได้หยุดพูด แต่ก็ยังยืนกรานที่จะช่วยเหลือ ผมรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเพื่อนบ้าน แต่คราวนี้รู้สึกว่ามันผิดกาละเทศะไปหน่อย ผมไม่ต้องการให้ใครมาช่วยเหลืองานแต่ง แต่ผมอยากให้ใครมาช่วยพูดให้เดียร์เข้าใจผมมากกว่า

ตอนที่ขับรถอยู่บนท้องถนน ผมโทรไปหาเดียร์หลายรอบ แต่สายว่างไม่มีผู้รับสาย ผมไม่แน่ใจว่าเขากำลังยุ่งอยู่ หรือจงใจไม่รับสายผมกันแน่ แต่ที่รู้ๆคือผมกังวลใจจนฟังการประชุมไม่รู้เรื่อง จนกระทั่งหัวหน้าต้องเรียกผมเข้าไปถามหลังจากเสร็จสิ้นการประชุมว่าผมเป็นอะไร ทำไมจึงดูเหมือนคนจิตใจเลื่อนลอย กลุ้มเรื่องอะไรอยู่หรือเปล่า

ผมได้แต่อ้ำอึ้งอยากจะบอกออกไป ว่าเพราะแรงกดดันที่ทุกคนอยากจะเห็นผมเป็นในสิ่งที่พวกเขาต้องการนั่นแหละที่ทำให้ผมเครียด จนดูเหมือนคนที่ไม่มีความสุข และตอนนี้ผมกำลังมีปัญหาอยู่ เนื่องจากคนที่ผมรักและแคร์เขามากที่สุดกำลังเข้าใจผิดคิดว่าผมจะทิ้งเขาไปแต่งงานกับคนอื่นทันทีที่สัญญาสิ้นสุด

“กังวลใจเรื่องนั้นอยู่หรือเปล่า ที่ผมให้คุณไปหาคำตอบมาให้ผมน่ะ”

หัวหน้าโยนคำถามเพื่อให้ผมเปิดใจพูดสิ่งถึงสิ่งที่ทำให้ผมไม่มีสมาธิในการทำงาน ผมพยักหน้าอย่างยอมรับ ไม่อยากโกหกอีกต่อไป การพูดความจริง ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น

“เฮ้อออออออ.....ผมก็ไม่ได้อยากจะเร่งรัดเอาคำตอบจากคุณนะ ค่อยๆคิดไปก็ได้คุณเรียว ถ้ามันทำให้คุณกดดัน ก็ปล่อยวางมันลงสักพัก ว่างแล้วค่อยเอามาทบทวน ที่ผมขอร้องคุณให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับเด็กนั่น เป็นเพราะเราทุกคนหวังดีกับคุณจริงๆ

อยากเห็นคุณเจริญก้าวหน้าในการงานยิ่งขึ้นไป ไม่อยากให้ใครมาฉุดรั้งคุณไว้ ถึงเราจะเคารพการตัดสินใจของคุณ แต่คำตอบที่เราอยากได้ก็ยังคงเป็นว่า ให้คุณเลิกรากับเด็กคนนั้น แล้วมาเป็นกำลังสำคัญให้บริษัทสืบไป”

หัวหน้าจบคำพูดที่เขาต้องการบอกผมแล้ว ไม่ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่เขาเรียกผมเข้าไปพูด ก็มักจะจบลงด้วยความคาดหวัง ว่าผมจะเป็นคนดีของบริษัท เป็นคนดีของสังคม ไม่ทำตัวนอกกรอบ หรือทำผิดแผกจากที่คนในสังคมทั่วไปปฏิบัติกัน

ความรักระหว่างผู้ชายด้วยกันกลายเป็นสิ่งที่ต้องห้าม ไม่ยอมรับในแวดวงทำงาน อาจจะทำให้ไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งปรับเงินเดือน ความก้าวหน้าไม่มี ศรัทธาจากผู้คนรอบข้างเสื่อมถอย

อดนึกไปถึงเจ้าสันต์ไม่ได้ ทำไมมันถึงได้สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะ ใครๆก็รู้ว่ามันเป็นเกย์ รักชอบผู้ชายด้วยกัน อยู่กินอย่างเปิดเผย ก่อนหน้านั้นมันก็เปลี่ยนคู่เป็นว่าเล่น แต่ไม่เห็นมีใครไปเอาเรื่องเอาราวกับมัน จริงอยู่ ที่ผมเคยได้ยินคนนินทามันลับหลัง พูดถึงมันในเรื่องเสียๆหายๆ แต่นั่นก็นานมาแล้ว เดี๋ยวนี้แทบไม่มีใครพูดถึงความเป็นเกย์ของมันอีก
ทำไมคนถึงยอมรับสันต์ แต่ในขณะเดียวกันกลับไม่ยอมรับเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับเดียร์ จะว่าเป็นเพราะเจ้าสันต์ปากจัดจ้าน ไม่มีใครกล้าปะทะคารมด้วย หรือเป็นเพราะมันแสดงออกให้รู้ตั้งแต่แรกว่ามันมีรสนิยมแบบไหน แล้วคนก็เลยค่อยๆยอมรับตัวตนของมัน จนทำให้ไม่รู้สึกว่ามันเป็นตัวประหลาด

เรื่องความสามารถอาจจะมีส่วนด้วย สันต์เป็นคนที่เก่งกาจ เชี่ยวชาญในงานที่ทำ ตอนที่มันอยู่ฝ่ายตรวจสอบ มันก็ช่วยบริษัทในแง่ของการพิจารณารับประกันลูกค้าได้เป็นอย่างดี ทำให้เราไม่ต้องพิจารณารับลูกค้าที่เสี่ยงสูงเข้ามา

พอมาอยู่ฝ่ายสินไหม มันก็ทำเรื่องจ่ายเคลมได้รวดเร็วทันใจ ถูกต้องและเป็นธรรมทั้งฝ่ายลูกค้า และบริษัทด้วย แม้มันจะปากหมา ด่าเก่ง วิจารณ์แบบไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม แต่ผู้ใหญ่หลายคนก็ชื่นชมมัน

ตัวผมเองก็ไม่ต่างจากสันต์เท่าไหร่นัก เริ่มต้นมาจากการเป็นพนักงานเหมือนกัน แล้วไต่เต้ามาจนได้รับความไว้วางใจให้ดูแลฝ่ายที่รับผิดชอบ มอบตำแหน่ง และมีลูกน้องให้ดูแล แต่ผมกลับไม่ได้รับในสิ่งที่คนอื่นไม่เคยคาดหวังให้สันต์ทำ นั่นคือความสามารถในการที่จะดำเนินชีวิตของตัวเองอย่างอิสระ โดยไม่มีใครยุ่งเกี่ยว

ตอนนี้ผมเองก็รักชายคนหนึ่ง เหมือนกับสันต์ที่มันก็มีแฟนเป็นผู้ชาย มันทำได้ แต่ผมกลับมีข้อห้าม พวกเขาทำราวกับว่าผมไม่มีหัวใจ ผมเป็นแค่ใครบางคนที่บังเอิญทำผลงานดีเด่นให้กับบริษัท และเขาต้องการได้ผมไว้ ให้ลาภยศ เงินทอง ความมั่งคั่ง โดยมีข้อแม้ว่า ผมจะทำตามหัวใจของตัวเองไม่ได้ ทำไมโลกนี้มันจึงไม่ยุติธรรมกับผมนะ

แล้วคำตอบก็ผุดขึ้นมาในความคิด ที่เป็นอย่างนี้ เพราะว่าสันต์แสดงให้คนรู้ว่าเป็นเกย์ตั้งแต่แรก สันต์เองก็ได้รับการต่อต้าน ซึ่งการถูกนินทา เป็นการยืนยันว่าคนในบริษัทนี้ ไม่ชอบพฤติกรรมการรักร่วมเพศซักเท่าไหร่ ที่จริงเขาคงไม่ได้ห้ามไปทั้งหมด เพราะผมก็เห็นว่าพนักงานในบริษัทเป็นเกย์ก็หลายคน

แถมในกลุ่มผู้บริหารระดับสูง หลายคนก็ส่อแววว่าจะใช่ เจ้าสันต์ต้องฝ่าฟันแล้วเอาฝีมือตัวเองพิสูจน์ จึงทำให้ทุกคนยอมรับ ส่วนตัวผมใครๆก็รู้ว่ารักชอบผู้หญิงมาโดยตลอด ภาพลักษณ์ในสายตาคนอื่นก็คือ ผมเป็นผู้ชายแท้ๆ หน้าตาดี เป็นที่หมายปองของสาวทั่วไป มีตำแหน่งหน้าที่การงานดี ทำงานไม่เคยบกพร่อง เจ้านายเอ็นดูรักใคร่

ผมกลายเป็นแบบอย่างให้พนักงานหลายคนไต่เต้าไปสู่ความสำเร็จ แม้กระทั่งลูกน้องของผมเองก็เลียนแบบการทำงานและการวางตัวของผม หากวันหนึ่งผมหันมารักชอบผู้ชายด้วยกัน มันจึงเหมือนว่าผมได้ทำลายความคาดหวังที่ทุกคนมี ภาพพจน์ดีๆที่ผมรักษาไว้จะพังทลาย ทำให้คนใกล้ชิดตัวผมจึงรับไม่ได้ที่จะเห็นผมเปลี่ยนแปลง และพยายามบังคับผมให้เดินตามทางที่พวกเขาได้ขีดเขียนเอาไว้



anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
«ตอบ #371 เมื่อ25-02-2009 18:00:04 »

......................................................................

ออกจากห้องหัวหน้า ผมก็โทรหาสันต์เพื่อขอคำปรึกษา แต่ลูกน้องในฝ่ายบอกว่า สันต์ไปต่างจังหวัดกระทันหัน เพราะลูกค้ารายใหญ่ เกิดเสียชีวิตขึ้นมา และบริษัทต้องจ่ายค่าสินไหมหลักล้าน ตัวแทนเจ้าของเคสทำเรื่องขอให้คนของบริษัทไปมอบเช็คให้ มันเลยต้องไปเอง โดยหนีบฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัทซึ่งก็คือ อรจิราไปทำข่าวด้วย

เมื่อไม่รู้จะปรึกษาใครดี ผมเลยพึ่งบริการของคุณแคท ผมเล่าให้เธอฟังเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเช้า คุณแคททำหน้าแสดงความเสียใจกับผม แล้วก็โทษตัวเองว่าเธอไม่น่าจะก่อเรื่องขึ้นมาเลย ทำให้ผมต้องเดือดร้อนไปด้วย จากนั้นก็รับอาสาที่จะมาที่บ้านผมในวันพรุ่งนี้เพื่อเล่าให้เดียร์ฟังถึงสิ่งที่มันเกิดขึ้น ยืนยันจากปากคุณแคทแบบนี้ เดียร์จะได้สบายใจ หายงอนและเลิกคิดมากเรื่องผม

พอคุณแคทรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะช่วยเหลือผม ทำให้อารมณ์เริ่มที่จะแจ่มใสขึ้น ผมกลับบ้านทันที่ที่งานเลิก ไม่ทำงานต่อเหมือนอย่างเคย อยากกลับไปนั่งรอเดียร์เพื่อจะปรับความเข้าใจกับเขา ระหว่างที่รอจะได้คิดคำพูดที่จะงอนง้อเขาด้วย

กระดาษมากมาย ถูกขยำและทิ้งลงตะกร้าผง เมื่อผมร่างคำพูดที่จะใช้บอกเดียร์ แล้วเกิดไม่พอใจถ้อยคำขึ้นมา ทำไมการง้อคนๆหนึ่ง ที่กำลังเข้าใจผิด มันจึงได้ยากเย็นอย่างนี้หนอ นึกท้อใจเสียแล้ว ถ้าไม่เห็นแก่หน้าตาของเดียร์ที่ลอยแว่บไปแว่บมาในห้วงแห่งความคิดคำนึงล่ะก็ ผมคงถอดใจไปแล้ว

อยากเห็นรอยยิ้มทะเล้นทะลึ่งนั่นอีกครั้ง คำพูดยั่วเย้าเข้าข้างตัวเอง กริยาหื่นๆที่เขาชอบทำ หรือแม้แต่การลวนลามเพื่อปลุกเร้าอารมณ์ผม ขอแค่เราคืนดีกันเท่านั้น จะทำกริยาอาการบ้าบอเพิ่มเป็นสองสามเท่าผมก็ไม่ว่า เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่ผมรักมากที่สุดในชีวิต

นาฬิกาข้างฝาผนังบอกเวลาประมาณตีสองแล้ว ผมกลับมาถึงบ้านตั้งแต่หกโมงเย็น แล้วนี้ก็รอเขาถึง 8 ชั่วโมง โดยยังไม่ได้หลับไม่ได้นอน แต่เดียร์ก็ยังไม่มีวี่แววจะกลับมา วันนิ้เขาบอกต้องซ้อมหนัก อาจจะยังต่อท่ากันไม่เสร็จ ก็เลยทำให้กลับบ้านล่าช้า

ผมเริ่มง่วง หนังตาเริ่มปิด มองอะไรแทบจะไม่เห็นแล้ว ความอ่อนล้าจากการทำงาน กับการต้องมานั่งถ่างตารอเขา และคิดข้อความขอโทษไปด้วย ทำให้ผมเผลอหลับไป วินาทีสุดท้ายก่อนที่ความรู้สึกจะดับวูบลงคือความยินดีที่ผมเขียนถ้อยคำที่จะพูดขอโทษเดียร์ได้แล้ว ผมกำกระดาษไว้ในมือแน่นด้วยกลัวว่ามันจะปลิวหายไป จากนั้นก็ปิดเปลือกตาลง

เสียงประตูเปิดออกดังปัง เสียงครางหงิงๆอย่างดีอกดีใจ จากที่ไหนสักแห่งในบ้าน ปลุกผมให้ตื่นขึ้น ผมรีบผวาลุกขึ้นนั่ง ก็พบว่าเดียร์ยืนจ้องผมอยู่ตรงหน้าโซฟาในห้องรับแขกที่ผมอาศัยเป็นที่นอน

ดวงตาของเด็กหนุ่มแดงก่ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ยืนโงนเงนนิดๆ กลิ่นเหล้าฟุ้งกระจายออกมาจากตัว คุณพระช่วย เดียร์กินเหล้าเมามา ทั้งๆที่เขาเคยพูดกับผมว่า เขาไม่แตะต้องเครื่องดื่มมืนเมาทุกชนิดนับตั้งแต่ย้ายเข้ามาในกรุงเทพ

เขาปฏิญาณตนว่าจะทำดีทุกๆอย่างเพื่อผม ทว่าวันนี้เขากลับดื่มเหล้าเข้าไป เจ้าน้ำนั่นจะเปลี่ยนนิสัยคนได้อย่างที่ใครว่าหรือเปล่านะ

“ทำไมยังไม่ไปนอนอีก นอนตรงนี้ไม่สบายหรอก”

เขาถามผมเสียงห้วน แววตาเปลี่ยนมาเป็นดุดัน แม้จะทำเหมือนยังโกรธผมอยู่ แต่ผมก็รับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่มีให้กัน ผมยิ้มให้เขา พลางลุกขึ้นเดินไปหา เอื้อมมือจะจับแขนเขาให้มานั่ง แต่เด็กหนุ่มเดินหนีไปยังห้องครัว โดยมีผมเดินตามไปด้วย

“กินเหล้ามาเหรอ ไหนบอกว่าไม่กินเหล้าไง...”
เสียงประตูเปิดออกดังปัง เสียงครางหงิงๆอย่างดีอกดีใจ จากที่ไหนสักแห่งในบ้าน ปลุกผมให้ตื่นขึ้น ผมรีบผวาลุกขึ้นนั่ง ก็พบว่าเดียร์ยืนจ้องผมอยู่ตรงหน้าโซฟาในห้องรับแขกที่ผมอาศัยเป็นที่นอน ดวงตาของเด็กหนุ่มแดงก่ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ยืนโงนเงนนิดๆ

กลิ่นเหล้าฟุ้งกระจายออกมาจากตัว คุณพระช่วย เดียร์กินเหล้าเมามา ทั้งๆที่เขาเคยพูดกับผมว่า เขาไม่แตะต้องเครื่องดื่มมืนเมาทุกชนิดนับตั้งแต่ย้ายเข้ามาในกรุงเทพ เขาปฏิญาณตนว่าจะทำดีทุกๆอย่างเพื่อผม ทว่าวันนี้เขากลับดื่มเหล้าเข้าไป เจ้าน้ำนั่นจะเปลี่ยนนิสัยคนได้อย่างที่ใครว่าหรือเปล่านะ

“ทำไมยังไม่ไปนอนอีก นอนตรงนี้ไม่สบายหรอก”

เขาถามผมเสียงห้วน แววตาเปลี่ยนมาเป็นดุดัน แม้จะทำเหมือนยังโกรธผมอยู่ แต่ผมก็รับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่มีให้กัน ผมยิ้มให้เขา พลางลุกขึ้นเดินไปหา เอื้อมมือจะจับแขนเขาให้มานั่ง แต่เด็กหนุ่มเดินหนีไปยังห้องครัว โดยมีผมเดินตามไปด้วย

“กินเหล้ามาเหรอ ไหนบอกว่าไม่กินเหล้าไง...”

อดไม่ได้ที่จะถาม รู้สึกห่วงใยเด็กหนุ่ม เลยคิดอยากจะช่วยทำให้เขาสบายตัวขึ้น เด็กหนุ่มเปิดตู้เย็นหยิบน้ำเย็นมารินใส่แก้วดื่ม น้ำกระฉอกออกจากแก้วเลอะพื้นครัว เพราะคนรินทำท่าจะยืนไม่ไหว เดียร์ต้องเอนตัวพิงตู้เย็น และมองผมด้วยดวงตาแข็งกร้าว

“คนเรามันเปลี่ยนกันได้ ....แค่นิดหน่อย... ต้องการดื่มเพื่อให้ลืมความเจ็บปวดในใจ”

เขาเอามือตบไปที่อกข้างซ้าย ผมเห็นความร้าวรานแฝงอยู่ในตาดุดันที่มองมา

“เดียร์ ฉันมีเรื่องจะพูดกับนายน่ะ”


anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
«ตอบ #372 เมื่อ25-02-2009 18:00:46 »

ดูเหมือนเดียร์จะไม่ได้ยินในสิ่งที่ผมพูดกับเขา เด็กหนุ่มเปิดตู้เย็น และก้มลงมอง อาหารที่เดียร์ทำไว้ ยังอยู่ในกล่องพลาสติกเรียบร้อย ผมมัวแต่วุ่นอยู่กับการเขียนคำขอโทษ เลยไม่ได้อุ่น แถมตัวเองก็ยังไม่ได้กินข้าวด้วย ตั้งใจจะกินพร้อมเขา ไม่นึกว่าเดียร์จะกลับดึกแบบนี้

“กับข้าวไม่มีคนกิน คุณไปทานข้าวกับคู่หมั้นของคุณมาแล้วใช่ไหม ต่อจากนี้ไปผมคงไม่จำเป็นต้องทำกับข้าวเก็บไว้ให้คุณทานอีกแล้ว คุณคงมีที่กินดีๆ อร่อยๆ หรูหราสมฐานะของคุณ”

คำพูดประชดประชันของเดียร์ทำให้ผมรู้สึกอึดอัด ไม่อยากอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เลย

“ไม่ใช่นะเดียร์ .....ฉันยังไม่ได้กินเลย”

ผมบอกเด็กหนุ่ม จะกินได้ไง ผมรอเขาทั้งคืน หิวจนเลิกหิวไปแล้ว เดียร์หัวเราะขื่นๆ

“อ้อ .....วันนี้คงไปทำอย่างอื่นแทน เช่นไป จองชุดแต่งงาน ไปถ่ายรูปในสตูดิโอ พิมพ์การ์ดงานแต่ง เชิญแขกผู้ใหญ่”

“ไม่ใช่นะ ....อย่าเดาแบบนั้นซิ ไม่ใช่อย่างที่นายเข้าใจหรอก ถ้านายพร้อมรับฟัง ฉันก็มีบางอย่างที่อยากอธิบายให้นายเข้าใจ”

“เรื่องอะไรไม่ทราบ ......”

เขาย้อนถามเสียงเข้ม ดวงตาชอกช้ำ คำพูดเยียบเย็นหลุดออกมาจากปากเขาทิ่มแทงหัวใจผมอีกครั้ง

“จะมาอธิบายถึงสถานภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้ของผมน่ะเหรอ ให้ผมเดาไหม คุณคงจะบอกว่า นี่เดียร์ อีกไม่นานก็จะถึงวันครบสัญญาแล้ว ฉันต้องการความเป็นอิสระ เพราะฉันจะแต่งงานกับคนที่ฉันรัก ฉันคิดว่าเราต่างคนต่างไป นายอยู่ส่วนนาย ฉันจะมีชีวิตของฉัน นายออกจากบ้านฉันไปได้แล้ว แบบนี้หรือเปล่าที่ต้องการจะพูด ......ใช่ไหมครับเรียว”

“นี่จะไม่พูดกันด้วยเหตุด้วยผลใช่ไหม จะประชดประชันให้ได้อะไรขึ้นมา”

“ใครประชดกัน แล้วนี่มันไม่ใช่สิ่งที่เรียวต้องการพูดกับผมเหรอ”

“ไม่ใช่.......บอกแล้วไงว่าอย่าเดา....ฉันต้องการอธิบายเรื่องที่วิภาพูดให้นายฟังเท่านั้น”

ชักฉุนขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกัน ที่เดียร์งี่เง่าไม่ยอมเข้าใจ ไหนว่าจะฟังกันทุกเรื่องไง แค่นี้ก็หึงจนหน้ามืดตามัว ไม่ให้โอกาสผมได้บอกว่าเรื่องมันเป็นไงมาไง แล้วจะเข้าใจกันได้ยังไงล่ะ

“เรื่องที่คุณจะแต่งงานกับคุณแคทนั่นเหรอ .....จะให้ผมช่วยอะไรล่ะ”
“ช่วยฟังไง เราเคยคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอว่ามีอะไรไม่เข้าใจ สงสัยให้ถามกัน ไม่ใช่คิดเองแบบนี้ แล้วก็เข้าใจอะไรผิดๆไปกันใหญ่”

“เข้าใจอะไรผิดหรือครับ แค่จะบอกให้รู้คุณยังไม่ทำเลย ไหนบอกว่าเราจะไม่มีความลับต่อกันไง นี่คุณก็จะแต่งงานอีกสองเดือนข้างหน้านี้แล้ว ถ้าพี่วิภาไม่มาบอกผมก็คงจะไม่มีทางได้รู้ว่าคุณกำลังทำอะไร มิน่าช่วงนี้ถึงได้สนิทสนมกับคุณแคทนัก เวลาถามก็บอกว่าแค่เพื่อนกัน ไอ้ผมก็ไม่กล้าถามมาก กลัวว่าคุณจะโกรธ หาว่าไม่ไว้วางใจ แต่ที่จริงแล้ว คุณไม่เคยทำให้ผมไว้ใจได้เลย”

เขากล่าวหาผมด้วยเสียงเยาะ ผมพยายามข่มใจ รู้ดีว่าเดียร์กำลังเมา เขาคงพูดออกมาด้วยฤทธิ์เหล้ามากกว่า ผมไม่อยากจะทะเลาะเบาะแว้งด้วย กลัวว่าจะระงับอารมณ์ไม่อยู่แล้วเผลอพูดแรงออกไป เราจะเข้าหน้ากันไม่ติด

“มันไม่ใช้อย่างที่นายคิดนะ .....เดียร์ฉันขอโทษ..ที่ปกปิดนาย...แต่ฉันมีความจำเป็นเลยยังไม่ได้เล่าให้นายฟัง กะว่าเอาไว้โอกาสเหมาะๆจะบอก แต่นายก็มารู้เสียก่อน ที่จริงฉันกับคุณแคทน่ะ เป็นเพื่อนกันจริงๆนะ.....”

“จนป่านนี้แล้ว ยังจะมาโกหกอะไรอีก ผมถามจริงๆเถอะ จะหลอกผมไปเพื่ออะไร ให้ผมตายใจ หลงรักคุณหัวปักหัวปำ เป็นไอ้โง่ที่คุณจะปั่นหัวยังไงเล่นก็ได้เหรอ”

เดียร์ทำเสียงดังใส่ ผมพยายามนับ 1-10 ในใจ

“ฉันไม่เคยทำอย่างนั้นกับนายนะ ....ไม่เคยหลอกนายเลยสักครั้ง อย่าคิดไปเองแบบนั้นสิ”

“หึหึหึ คิดเองงั้นเหรอ คงใช่มั๊ง ผมมันชอบคิดไปเองฝ่ายเดียว สร้างความเชื่อให้กับตัวเองว่าเมื่อผมพยายามทำดีกับคุณ มันอาจจะส่งผลให้คุณกลับมารักผมบ้าง แต่เปล่าเลย คุณไม่เคยรักผมเลย คุณเกลียดผมยังไงก็อย่างนั้น ที่ยอมให้ผมมีอะไรด้วย ก็แค่ดับเพลิงปรารถนาในกาย แต่คุณไม่เคยมีใจให้ผมเลย ใจของคุณอยู่ที่คนอื่นตลอด...ผมมัน....”

“พอเสียที....หยุดพูดได้แล้ว ถ้าเมาก็ไปนอนซะเถอะ...ตอนนี้พูดไปก็คงไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว มีแต่จะเถียงทะเลาะกัน”

ผมไม่รอให้เด็กหนุ่มพูดจบ แต่สวนขึ้นมาก่อน เพื่อตัดบท แต่เดียร์ยังไม่ยอมหยุด ยังคงประชดประชันผมต่อไป

“รับความจริงไม่ได้ใช่ไหม พอผมรู้ทันก็ทำเป็นโกรธ....แล้วมันจริงหรือเปล่าที่คุณไม่ได้รักผมเลย คุณกำลังคิดจะกำจัดผมไปให้พ้นทาง คุณถึงไม่บอกอะไรให้ผมรู้ ปล่อยให้ผมฝันละเมอลมๆแล้งๆว่าคุณน่าจะมีใจให้ผมบ้าง คิดว่าคงจะได้รับข่าวดีในไม่ช้า แต่มันไม่ใช่ ผมมันโง่เอง เฝ้ารอคอยสิ่งที่ไม่มีวันจะได้มา.....แต่คราวนี้ผมตาสว่างแล้ว”

“ทำไมไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ทำตัวเป็นเด็กๆอยู่ได้....เงียบและหยุดฟังบ้างได้ไหม ที่ฉันบอกให้ไปนอน ไม่ใช่ว่าฉันรับไม่ได้ที่นายพูด แต่ฉันเห็นว่านายกำลังเมา และกำลังโมโหอยู่ พูดหรืออธิบายอะไรไปตอนนี้ก็คงไม่เข้าหู ไว้สร่างเมาแล้วค่อยมาคุยกันดีกว่า”


ผมบอกเขาไปอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ดวงตาของเดียร์วาวโรจน์ เขาคงโกรธที่ผมว่าเขาแบบนั้น คงจี้ใจดำเหมือนงูที่ถูกตีที่ขนดหาง เลยตั้งท่าจะแว้งกัดเอาคืนบ้าง

“ใช่สิ ผมมันเป็นคนไม่มีเหตุผล เป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต เป็นไอ้ขี้เงา ก็มันกลุ้มไง ถึงได้ไปกินเหล้า อยากให้มันลืม ความบ้าของตัวเองที่รักคุณอยู่ข้างเดียวไง รักคนที่เขาไม่รักเรามันก็ได้แต่ชีช้ำแบบนี้แหละ อยากปองของสูงจนเกินเอื้อม ไม่เจียมตัว เลยต้องช้ำรัก พ่ายแพ้ให้กับคนอื่น...

ตอนแรกผมก็ลังเลใจว่าทำไมจนป่านนี้แล้ว คุณยังไม่รับรักผมเลย ทั้งที่เราก็มีอะไรกัน คุณเองก็ยอมให้ผมทำ ยอมให้ผมกกกอดทั้งคืน แถมซ้ำก็ร่วมไม้ร่วมมือกับผมอย่างดี

ผมเดาว่าคุณก็คงชอบผมบ้าง แต่ที่เรื่องเรายังไม่ลงเอยกัน เพราะนึกว่าคุณยังทำใจไม่ได้ที่จะรักผู้ชายด้วยกัน อุตส่าห์รอคอยคำว่ารักจากปากคุณ ฝันหวานว่าสักวันคงจะได้ยิน

แต่เปล่าเลยคุณกลับไปแต่งงานกับผู้หญิงซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้ชายที่ไปแปลงเพศมา ผมก็น่าจะนึกได้ตั้งนานแล้วว่าของแบบนี้ ถ้าได้ลองสักครั้งมันต้องติดใจ นี่คงอยากจะลองเปลี่ยนรสชาติใช่ไหม มีอะไรกับผู้ชายด้วยกันมาแล้วก็เลยอยากลองกับกระเทยดูบ้าง อยากรู้ใช่ไหมว่ารสชาตมันต่างกันอย่างไร.....”

“เพี้ยะ....”
เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าดังฉาดใหญ่ หน้าของเดียร์หันไปตามแรงมือของผม ร้องอุทานออกมาอย่างตกใจที่ผมทำตบหน้าเขา หยุดพูดทันที ผมยืนเม้มริมฝีปากแน่น จ้องเขาเขม็ง พยายามบังคับไม่ให้น้ำตามันไหลออกมา เจ็บทั้งมือเจ็บทั้งใจ นึกโกรธเดียร์ที่พูดจาดูถูกผมแบบนี้ รู้ว่าเด็กหนุ่มพูดออกมาเพราะความเมาและความโมโหในตัวผม แต่คำพูดนั้นมันแรงเกินไป ผมรับไม่ได้ จึงตบหน้าเขาเพื่อเรียกสติให้คืนมา

“แทงใจดำล่ะสิ ใช่ไหมล่ะ.......”

เด็กหนุ่มหันหน้ามาหาผม เขาจ้องอย่างโกรธๆ ยิ้มเยือกเย็น ผมจ้องกลับ เดียร์ที่ผมเห็นไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป แต่เป็นใครที่ผมไม่รู้จัก คนที่พกแต่ความโมโหโกรธาเอาไว้ ไม่ยอมฟังแม้เหตุผล

ผมหมุนตัวกลับ ไม่อยากเห็นหน้าไม่อยากพูดคุยกับเดียร์ในตอนนี้ รู้สึกเสียใจที่ตบหน้าเด็กหนุ่มแรงไปหน่อย รอยพื้นแดงทาบอยู่เต็มแก้มของเขา

แต่ใจหนึ่งก็บอกผมว่า เขาสมควรโดนแบบนั้นแล้ว คนเราอยู่ด้วยกัน ไม่เชื่อใจกัน แล้วยังมาทำหยามเกียรติแบบนี้อีก ผมรักเขาไม่ได้รักคุณแคท แต่ที่ผมยอมทำอะไรให้เธอก็เพื่อปกป้องเขาจากนายทรงพลต่างหาก แต่ทำไมเวลาที่ผมจะอธิบาย เขาจึงไม่ยอมฟังบ้าง

“จะไปไหน ตบหน้ากันแล้วจะหนีเหรอ”

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
«ตอบ #373 เมื่อ25-02-2009 18:01:28 »

“จะไปไหน ตบหน้ากันแล้วจะหนีเหรอ”

เขากระชากแขนผมไว้ให้เข้ามาหาตัว และพยายามจะปล้ำจูบผม แต่ตอนนี้อารมณ์วาบหวามไม่ได้ก่อตัวขึ้นอีกแล้ว มันหมดลงไปตั้งแต่เขาด่าว่าผม ความตั้งใจจะอธิบายเรื่องทุกอย่างมลายสิ้น

ผมดิ้นรนเตะถีบเดียร์ที่พยายามจะถอดเสื้อผ้าของผม นี่เขาคิดอะไรของเขากันแน่ โกรธกันแล้วจะมีเซ็กส์กันอย่างนั้นเหรอ คิดว่ามันจะช่วยอะไรได้ แล้วจะทำกันในห้องครัวนี่นะ ช่างไม่อายจริงๆ เห็นผมเป็นอะไร

อุปกรณ์ระบายความใคร่แบบเรียวจังของเขาเหรอ ไม่มีทาง ในเมื่อไม่ฟังกันบ้าง เอาแต่ใจตัวเอง ผมก็ไม่จำเป็นต้องเอาใจอีกแล้ว เอาไว้หายบ้า สติดีแล้วค่อยมาพูดกัน

คิดได้ดังนั้น ผมก็งอเข่า แล้วกระแทกลงไปที่กล่องดวงใจของเขา ไม่แรงมาก แต่เอาแค่ให้เขาหยุดการกระทำของตัวเองก็พอ แล้วก็นึกภาวนาว่า ขอให้มันยังคงใช้งานได้ด้วยเถอะ

“โอ๊ยยยยย...นี่เกลียดกันจนถึงขนาดนี้เลยเหรอ”

เดียร์กุมหว่างขาตัวเองตัวงอ ผมตกใจนิดหน่อย คิดว่าเมื่อกี้ก็ไม่ได้ทำแรงมากมายอะไร แต่ทำไมเด็กหนุ่มถึงทำท่าว่าเจ็บขนาดนั้น จึงเดินเข้าไปหา และอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มคว้าตัวผมไว้ และปล้ำผมจนเราสองคนล้มลุกคลุกคลานอยู่กับพื้น

“แคว่ก....”

เสื้อที่ผมใส่นอนขาดหลุดติดมือเขาตามแรงกระชาก ทั้งผมทั้งเขาต่างอึ้ง

“เดียร์ปล่อยฉันนะ”

“ไม่ปล่อย....จะไปมีเมียเป็นกระเทยแล้วนี่ ยังไงก็อย่าลืมรสชาติของผัวเกย์แล้วกัน ผมจะทำให้คุณไม่มีวันลืมเลย”

เหมือนถูกมีดทิ่มแทงใจ ผมรับไม่ได้อีกแล้วกับคำพูดแบบนั้นของเขา จะทำร้ายผมให้เจ็บไปเพื่ออะไรในเมื่อตัวเองก็เจ็บเหมือนกัน ผมตัวสั่นระริกด้วยความโกรธที่เขาจาบจ้วงผมอย่างไม่ให้เกียรติหลายครั้ง ผมทนอยู่กับเขาตรงนี้ไม่ได้อีกต่อไป

และอย่างไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงมันมาจากไหน ผมเงื้อฝ่ามือข้างที่ว่างจากการเกาะกุมของเขา และฟาดเปรี้ยงไปที่ใบหน้าของเดียร์อีกครั้ง จังหวะที่เด็กหนุ่มกำลังงงอยู่ ผมก็ถีบเขาออกจากตัว รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งขึ้นไปบนห้องตัวเอง ปล่อยให้เดียร์นั่งบ้าอยู่คนเดียวในห้องครัว

น้ำตาไม่รู้มาจากไหน ไหลพรากลงอาบแก้ม ความเจ็บปวดจากการทะเลาะเบาะแว้งกับเดียร์ทำให้ผมต้องร้องไห้ พยายามซบหน้าลงกับหมอน กลั้นสะอื้น และควบคุมไม่ให้น้ำตามันทะลักทะลาย แต่มันก็ยั้งไม่อยู่

ผมโกรธเดียร์ที่ว่าผมแบบนั้น และเกลียดตัวเองที่ทำร้ายเขา นี่มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรากันแน่ เมื่อวานนี้ผมพูดกับเขาแล้ว และเขาก็รับปาก ว่ามีอะไรจะถาม และผมก็ตั้งใจจะไม่ปิดบังอีกต่อไป แต่ยังไม่ทันเริ่ม เขาก็ไม่ฟังผมเสียแล้ว อย่างนี้จะอยู่กันไปได้ยังไง

ผมได้ยินเสียงตึงตังดังแว่วๆมาให้ได้ยินจากห้องครัว เดียร์คงสะดุดล้มลุกคลุกคลานอยู่แถวนั้นด้วยความเมา อยากจะลงไปดูเขาใจจะขาดว่าเขาเป็นอะไรมากไหม แต่ผมไม่อยากเจอสภาพคนเมาที่พูดจาไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวทะเลาะกันอีก คงต้องปล่อยให้เขาอยู่ข้างล่างสักพัก ถ้าเดียร์หายเมาแล้ว ผมค่อยลงไปพูดจากับเขาใหม่

เสียงเดินดังๆขึ้นบันไดมา เจ้าคนที่ผมกำลังคิดถึงอยู่ด้วยความขุ่นเคือง เดินลงส้นตึงๆขึ้นมาบนบ้าน ผมได้ยินเสียงฝีเท้าเดินวนเวียนอยู่หน้าห้องหลายรอบ จากนั้นเสียงเคาะประตูปัง ตามด้วยเสียงโวยวายก็ดังขึ้นมา เขาร้องให้ผมออกมาคุยกันให้รู้เรื่อง ผมนอนเงียบไม่พูด ไม่จา แต่เสียงเขายังคงดังขึ้นเรื่อยๆ แถมซ้ำยังขู่ว่าจะพังประตูเข้ามา หากผมไม่ออกไปพบเขา ในที่สุดผมก็เหลืออด

“ไปให้พ้น”

หลุดปากตะโกนไล่ออกไปดังๆ แล้วก็ต้องกลั้นใจรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ด้านหน้าห้องไร้ซึ่งสรรพสำเนียงใดๆให้ได้ยิน นานจนผมคิดว่าโลกมันหยุดหมุนไปแล้ว

จากนั้นหูของผมจึงแว่วได้ยินเสียงคนเดินลงบันไดไปแบบโซซัดโซเซ ผมคว่ำหน้าลงกับหมอน แล้วน้ำตาก็ไหลพรากออกมาอีกครั้งอย่างกลั้นไม่อยู่ ผมร้องไห้ จนกระทั่งหลับไปในคืนนั้น

ผมตื่นขึ้นมาในตอนสาย ด้วยอาการปวดหัว เหลือบดูนาฬิกาบนหัวเตียง เกือบจะสิบโมงแล้ว ผมกระโดดลงจากเตียง รีบอาบน้ำแต่งตัวและลงไปข้างล่าง อยากรู้ว่าเดียร์เป็นไงบ้าง หายเมาหรือยัง แล้วเป็นอะไรบ้างไหม


anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
«ตอบ #374 เมื่อ25-02-2009 18:01:57 »

ถ้าเดียร์อยู่ในอารมณ์ปกติแล้ว ผมจะอธิบายทุกอย่างให้เขาฟัง บางทีผมอาจจะบอกรักเดียร์ไปเสียเลย ไม่ต้องรอถึงวันวาเลนไทน์อีกแล้ว ผมกลัวว่ามันจะสายเกินไป

ก่อนจะนอนผมนึกโกรธเดียร์อย่างบอกไม่ถูก แต่หลังจากนอนหลับไปตื่นหนึ่ง และได้สายน้ำชำระล้างร่างกายให้สดชื่น จิตใจของผมก็ผ่องใสไปด้วย ผมยกโทษให้เด็กหนุ่ม รู้ว่าที่เขาทำร้ายผมด้วยคำพูดนั้น เขาเองก็คงจะเจ็บปวดไม่น้อย

เดียร์คงเก็บกั้นอารมณ์ความรู้สึกน้อยอกน้อยใจมานานมาก เขารักผม และคาดหวังว่าผมจะรักเขาบ้าง แต่ผมไม่เคยให้คำตอบอะไรกับเดียร์เลย คลุมเครือลับลมคมในตลอด

ผมผิดเองที่ไม่เคยบอกอะไรให้เดียร์รู้บ้าง เขาต้องอยู่กับความสงสัย ต้องเดาเอาเองว่าผมกำลังทำอะไรและคิดยังไงกับเขา

พอเห็นผมทำท่าเฉยๆเขาก็คงจะคิดว่าความหวังของตัวเองริบหรี่ลงไปทุกที ยิ่งมาได้ยินได้ฟัง คำพูดของคนอื่น ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมปิดบังเขา ก็เลยทำให้เกิดการเข้าใจผิดขึ้น ในเมื่อผมเองก็รักเดียร์มากมาย ผมก็ควรจะเป็นฝ่ายที่เข้าใจความรูสึกของเขา ไม่ควรจะโกรธตอบ คนที่กำลังเสียใจหากเรายิ่งไปโวยวายใส่ เขาก็จะยิ่งคิดมาก

ไม่มีวี่แววของเดียร์ทั้งในห้องรับแขก และห้องครัว หลังบ้าน หน้าบ้านก็ไม่มี ในห้องน้ำมีร่องรอยเปียกแฉะ เสื้อผ้าของเดียร์ที่ตากไว้ที่ราวหายไป เด็กหนุ่มคงแต่งตัวออกไปทำงานแล้ว ทิ้งไว้เพียง อาหารเช้าที่เขาทำเอาไว้ให้ และโน้ตแผ่นเล็กๆ ที่เขียนเพียงแค่คำว่า

“ผมขอโทษ”

เจ็บแปลบในอกอีกแล้ว ผมทรุดลงนั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะทานข้าว นั่งมองหม้อข้าวต้มกุ้งที่วางอยู่ตรงหน้า น้ำตารื้นขึ้นมาเต็มขอบตา ผมใช้หลังมือปาดสายธารที่มันไหลรินอาบแก้ม รู้สึกโหวงเหวงอย่างบอกไม่ถูก เสียใจที่ตบหน้าเดียร์ถึงสองครั้งเมื่อคืนนี้ พูดไม่ดีกับเขา แถมซ้ำยังไล่เขาไปอีก นี่เขาจะคิดมากกับคำพูดของผม แล้วหนีไปจริงๆหรือเปล่า ผมไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนั้นนะ

ข้าวต้มที่เดียร์ทำให้ทำไมวันนี้รสชาติมันถึงได้ดูแปลกๆไป มันเฝื่อนๆคออย่างไรชอบกล กลืนไม่ลงเลย ทั้งๆที่พยายามจะกินมันลงไปให้หมด

สุดที่รักอุตส่าห์ตื่นขึ้นมาทำให้ ทั้งที่เขากับผมเพิ่งจะทะเลาะกัน แล้วผมก็ทำร้ายเขาทั้งร่างกายและจิตใจ ผมรู้ว่าเขาเจ็บ แต่เขาก็ยังห่วงผม เขาดีเสมอต้นเสมอปลาย โกรธเพียงไรก็ไม่เคยละเลยหน้าที่ แล้วนี่จะงอนคิดมากไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้

“ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษนาย”
ผมพึมพำบอกกับหม้อข้าวต้มกุ้งตรงหน้า เหมือนจะให้เป็นตัวแทนฝากคำไปถึงคนที่ปรุงมันขึ้นมา รู้สึกผิดที่ไม่ยอมพูดอะไรให้เดียร์รู้ตั้งแต่แรก ถ้าเราเปิดเผยซึ่งกันและกัน ก็คงจะไม่วันที่จะต้องมานั่งเสียใจแบบนี้ เป็นผมเองที่ทำให้ทุกอย่างพังทลาย แล้วก็มานั่งคร่ำครวญหวนไห้ กับความขี้ขลาดของตัวเอง

เมื่อไม่อาจจะห้ามน้ำตาของตัวเองได้ ผมก็ปล่อยให้มันไหลอาบแก้ม นานเท่าไหร่แล้วนะที่ผมไม่ได้ร้องไห้แบบนี้ ตอนเลิกกับอรจิรา แซนดี้ หรือแฟนคนอื่นๆ ผมก็ไม่เคยต้องเสียน้ำตา

จำได้ว่าผมร้องไห้อย่างหนักเมื่อสูญเสียพ่อและแม่ไปจากอุบัติเหตุ และผมก็ไม่เคยร้องไห้อีกเลย คนที่รับผมไปเลี้ยงบอกว่า เป็นลูกผู้ชายควรร้องไห้เมื่อจำเป็นเท่านั้น การที่พลัดพรากจากคนรักเรียกน้ำตาจากผม และนี่ผมกำลังร้องไห้เพราะเดียร์ โดยที่ผมเองก็ไม่รู้ว่า ผมจะต้องพบกับความสูญเสียเหมือนที่เคยเกิดขึ้นหรือเปล่า เดียร์จะไปจากผมไหม


anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
«ตอบ #375 เมื่อ25-02-2009 18:02:27 »

โทรศัพท์มือถือของผมถูกนำมาใช้ในการกดหาเดียร์ถี่ยิบ แต่ผลที่ได้เหมือนเมื่อวานนี้ ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเขา ผมหงุดหงิดที่ติดต่อเด็กหนุ่มไม่ได้ จนไม่มีกระจิตกระใจจะทำงาน โชคดีที่วันนี้ไม่มีเคสใหญ่ๆที่ต้องใช้การตัดสินใจของผมเข้ามา เด็กๆในฝ่ายสามารถอนุมัติกันเองได้ โดยที่ผมแค่ตรวจสอบครั้งสุดท้ายเท่านั้น

วันนี้ผมโดนหัวหน้าเรียกไปดุอีกครั้ง เนื่องจากเขาเข้ามาเห็นผมนั่งเหม่อลอย เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ได้ยิน เขาพูดกับผมว่า ถ้าไม่สบายใจหรือยังเครียดอยู่ จะลาพักร้อนก่อนก็ได้ ผมปฏิเสธ บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก เครียดเรื่องเคสอยู่

ผมโกหกเขาไปแบบนั้น เพื่อให้เจ้านายสบายใจ ไม่อยากให้เรื่องส่วนตัวมาทำให้งานเสียหาย ผมไม่ได้รับผิดชอบตัวเอง แต่ยังต้องรับผิดชอบชื่อเสียง และหน้าตาของบริษัทด้วย ต่อให้เจ็บปวดรวดร้าวอย่างไร เราก็ทำให้ลูกค้าผิดหวังในบริษัทไม่ได้

พอได้เวลาเลิกงาน ผมไม่ตรงดิ่งกลับบ้าน แต่ตรงไปร้านกาแฟที่เดียร์ทำงานอยู่ แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวัง เดียร์เลิกงานไปตั้งแต่ตอน 4 โมงเย็นแล้ว และเขาไปซ้อมเต้นต่อ ผมไม่รู้จะไปเจอเขาได้จากที่ไหน จึงเดินเงื่องหงอยออกมาจากร้าน และเจอกับศักดิ์ชายตรงหน้าประตูทางเข้า ต่างคนต่างตกใจที่เห็นกัน ผมเริ่มระแวงในตัวเกลอเก่าทันที

“มาทำอะไรที่นี่น่ะ”

“ฉันเหรอ ....เอ้อ...คือว่า...ฉัน ...มาทานกาแฟที่นี่ก่อนกลับบ้านน่ะ”

น่าแปลกมาก ที่บริษัทไม่มีกาแฟให้กินหรือไง หรือไม่ก็กลับไปกินที่บ้านสิ ทำไมต้องมากินในร้านที่เดียร์ทำงานด้วย ชักสงสัยเสียแล้วว่าศักดิ์ชายมีแผนอะไรหรือเปล่า

“นายมาที่นี่บ่อยเหรอ”

“เปล๊า.......เพิ่งมาครั้งแรกนี่ล่ะ มีคนแนะนำมาว่า กาแฟ และอาหารที่นี่อร่อย”

ศักดิ์ชายปฏิเสธเสียงสูง ผมนึกด่ามันในใจ โธ่เอ๊ย ไอ้คนโกหก ผมรู้ว่ามันต้องมาที่นี่อย่างน้อยก็สองครั้งขึ้นไปแล้ว ที่ผมรู้เพราะเดียร์ กับอรจิราเคยบอกผม ว่าแต่มันมีจุดประสงค์อะไรหรือเปล่านะ จะมาจับผิดอะไรผมกับเดียร์อีก
“แล้วนายล่ะ มาทำอะไรที่นี่”

“ถามได้ ก็คนรักของฉันทำงานท่าร้านนี้ ถ้าไม่มาหาเขาแล้วฉันจะไปหาใครล่ะ”

พูดออกไปเต็มปากเต็มคำเลย ว่าเดียร์คือคนรักของผม ไม่อาย ไม่ปกปิดกันอีกต่อไปแล้ว ความละอาย หน้าบางของผม ทำให้ผมได้รับความทุกข์ทรมานอยู่ขณะนี้ ถึงอย่างไรทุกคนก็พูดถึงเรื่องของผมอยู่แล้ว จะเพิ่มคนนินทาคือเพื่อนรักของผม ก็จะเป็นอะไรไป


anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
«ตอบ #376 เมื่อ25-02-2009 18:02:53 »

ศักดิ์ชายหน้าเปลี่ยนสี ดูท่าทางมันไม่ค่อยจะพอใจนักที่ได้ยินคำพูดของผม แต่ช่างเถอะ ศักดิ์ชายจะชอบหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องมากังวล ตอนนี้ผมห่วงแค่ความรู้สึกของเดียร์เท่านั้น วันนี้เขาจะกลับบ้านหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่บ้านเช่าของเขา กลายเป็นที่พักของน้อยไปแล้ว ถ้าเขาไม่กลับมาหาผม แล้วเขาจะไปอยู่ที่ไหน นี่ผมคิดไปไกลหรือเปล่านะ เดียร์อาจจะกลับไปรอผมที่บ้านอยู่แล้วก็ได้

“แล้วนายเจอเดียร์แล้วเหรอ”

“เปล่าหรอก ฉันลืมไปว่า วันนี้เดียร์เลิกเร็ว ฉันว่าจะมารับเขาเสียหน่อย เลยคลาดกัน แต่ไม่เป็นไร ยังไงก็ต้องเจอกันที่บ้านอยู่ดี”

พูดปดออกไปอีกแล้ว คราวนี้ผมทำเพราะอยากรู้อะไรบางอย่าง ศักดิ์ชายทำหน้าเหมือนกับผิดหวัง ซึ่งเป็นไปตามที่ผมคาดไว้ เจ้านี่คงจะมานั่งดูเฝ้าเดียร์ของผมนั่นเอง ชักไม่ไว้ใจแล้ว เจ้านี่คงมีแผนการจะทำอะไรสักอย่าง น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ดี อย่างที่อรจิราเคยเตือนไว้ ศักดิ์ชายยิ่งไม่ค่อยจะชอบหน้าเดียร์อยู่ด้วย บางทีมันอาจจะคิดร้ายกับเขาก็ได้

“ถามจริงๆเลยนะเพื่อน นายมาหาเดียร์ของฉันหรือเปล่า ถ้ามีอะไรก็บอกฉันมานะ เดี๋ยวฉันไปเจอเขาจะได้บอกให้”

ตัดสินใจถามไปตรงๆเลย เจ้าศักดิ์ทำหน้าเหรอหรา คงไม่นึกว่าผมจะถามออกไปแบบนั้น มันโบกไม้โบกมือปฏิเสธ

“เฮ้ย .....ใครบอกแกวะว่าฉันจะมาหาเดียร์แฟนนาย เปล่านะโว้ย ฉันจะทำงั้นทำไม ก็ฉันบอกแล้วว่าจะมากินข้าว ไม่ได้มาเพื่อหาใครทั้งนั้นแหละ นายนี่คิดมากจริงๆเลย เอาล่ะเพื่อพิสูจน์ว่าฉันไม่ได้มาร้าย ฉันไปกินที่อื่นก็ได้”

แน่ล่ะสิ ก็เดียร์ไม่อยู่แล้วนี่นา มันถึงกล้าพูดแบบนี้ ทำมาเป็นพิสูจน์ความจริงใจ หาว่าผมคิดมาก ตอนนี้ ผมไม่อยากไว้ใจใครทั้งนั้น ดูสิ เรื่องไม่เป็นเรื่อง ทำให้เดียร์น้อยใจผมไปแล้ว ก็เพราะคนรอบข้างนี่แหละที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา

โยนความผิดให้คนอื่นแบบนี้ ดูใจร้ายไปหรือเปล่านะ อันที่จริงคนเหล่านี้จะทำอะไรกับเราสองคนไม่ได้เลย หากเราไม่ปล่อยโอกาสให้เขา ถ้าเพียงแต่ผมจะบอกกับเดียร์หมดสิ้นทุกอย่าง ไม่ปิดบังอำพราง ต่างไว้เนื้อเชื่อใจกันได้อย่างสนิทใจ ใครจะพูดอะไรก็คงฟังไม่ขึ้น คนที่ควรจะถูกกล่าวโทษน่าจะเป็นผมมากกว่าใครทั้งหมด

“นายหิวหรือเปล่า ไปกินด้วยกันไหม”

ltahset

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
«ตอบ #377 เมื่อ25-02-2009 22:37:10 »

เข้ามา +1

อีกรอบ

ลุ้นมากมาย

^^

ขอบคุณค่ะ

va_yu

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
«ตอบ #378 เมื่อ26-02-2009 08:14:23 »

เดียร์ก็ไม่ฟังเลย..เรียวก็ปากหนัก
คนอ่านลุ้นแทบตาย

first117

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
«ตอบ #379 เมื่อ26-02-2009 12:57:29 »

 :z13: :z13: :z13: :z13: จิ้ม ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ขอบคุณคร๊าบบบบบบบบบบ  :L1: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
« ตอบ #379 เมื่อ: 26-02-2009 12:57:29 »





ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
«ตอบ #380 เมื่อ26-02-2009 16:19:23 »

ใจ เย็น น่ะ ทั้ง คู่ เรยยยยยยย


ปัญหา ทุก อย่าง ต้อง มี ทางออก


น่ะ

 :z13: :z13: :z13:

va_yu

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
«ตอบ #381 เมื่อ27-02-2009 23:22:50 »

แวะมาดูว่าตอนใหม่มาหรือยัง  :L2:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
«ตอบ #382 เมื่อ28-02-2009 15:20:27 »

มา ทวง นิยาย



ตอน ต่อ ไป คร้าบ :z13: :z13: :z13: :z13: :z13:

nanalonely

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
«ตอบ #383 เมื่อ01-03-2009 20:58:16 »

อ่านทันแย้ววว

พี่แอนคนสวย

แนนขอตอนใหม่น๊า o11

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่45 25/2/09
«ตอบ #384 เมื่อ01-03-2009 21:28:27 »

 :-[ อายจังเป็นคนสวยให้แนนนี่ได้เสมออ่ะ อิอิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-03-2009 23:40:28 โดย ไต๋ »

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่46 1/3/09
«ตอบ #385 เมื่อ01-03-2009 21:34:31 »

บทที่ 46

ศักดิ์ชายเอ่ยปากถามผม ที่จริงผมอยากกลับบ้านไปรอเดียร์ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาหรือเปล่า ความบาดหมางใจเมื่อคืนอาจจะทำให้เดียร์ไม่อยากกลับมาหาผมก็ได้ เมื่อไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน กลับบ้านไปก็ไม่เจอใคร ผมก็เลยตัดสินใจตอบตกลงไปกับเจ้าศักดิ์ชาย เผื่อว่ามันอาจจะหลุดอะไรออกมาบ้าง ผมจะได้รู้และหาทางป้องกันได้ทัน

“ขอถามนายอีกครั้ง ว่านายรักเด็กนั่นจริงๆหรือเรียว”

อยู่ๆศักดิ์ชายก็ถามผมขึ้นมา หลังจากเรานั่งลงในร้านอาหารกันเรียบร้อย

“ทำไมต้องถามแบบนั้นด้วย สงสัยอะไรเหรอ”

“ฉันแค่อยากให้แน่ใจเท่านั้นว่านายรักเด็กนั่นแน่นอน เพราะบางที นายอาจจะแค่หลงไปชั่วครู่ชั่วยามก็ได้”
“นายจะอยากรู้ไปทำไม ....มันทำให้นายได้รับความเดือดร้อนหรือศักดิ์”

ผมย้อนถาม

“ฉันแค่ห่วงนายเท่านั้นแหละเรียว เสียดายหน้าที่การงานของแก เสียดายเงินเดือนที่ได้รับ ทำไมต้องมาแลกกับเด็กที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าแบบนั้นวะ นายไม่คิดบ้างเหรอ ถ้าหากคนเขารู้ว่านายเป็นเกย์ เขาจะนินทาว่าร้ายกันแค่ไหน พอดีพอร้ายอาจจะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง และงานการ ฉันไม่อยากให้นายถูกใครรังเกียจ หรือถูกติฉินนินทาว่ะ”

เพื่อนผมตอบไม่เต็มเสียงนัก เหมือนว่าสิ่งที่ศักดิ์ชายพูด ไม่ใช่ความจริงที่อยู่ในใจของมัน

“ขอบใจมากนะเพื่อนที่ห่วงใยฉัน แต่ฉันอยากให้นายรู้อย่างหนึ่ง เด็กที่นายว่าไม่มีหัวนอนปลายเท้านั่นน่ะ เป็นคนรักของฉัน ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร ฉันก็ตัดสินใจแล้ว ว่าจะใช้ชีวิตอยู่กับเขา ต่อให้ต้องแลกกับทุกสิ่ง ฉันก็ยอม”

“แม้แต่ความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ชื่อเสียง ความนับหน้าถือตางั้นเหรอเพื่อน ลงทุนมากไปหน่อยหรือเปล่าวะ”

“สำหรับความรัก ไม่มีคำว่ามากหรือน้อยหรอกว่ะ มีแต่ความเสมอภาคกันจำไว้เพื่อน ฉันไม่ได้ลงทุนอะไรกับเดียร์มากมายเลย เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขามอบให้กับฉัน ฉันว่านี่คือสิ่งแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าแล้ว”

เมื่อผมพูดจบ ศักดิ์ชายก็ทำหน้าเหมือนกับยิ้มเยาะความคิดของผม

“ฉันคิดว่านี่เป็นความคิดของคนโง่ที่บูชาความรักจนไม่ลืมหูลืมตาว่ะ คิดว่าแค่มีใจให้กันก็พอแล้ว แต่การใช้ชีวิตคู่มันไม่ง่ายนะโว้ย ผู้ชายสองคนจะอยู่กินกันยังไง มีสังคมไหนที่เขาจะยอมรับนับถือ ต่อให้แกทำงานเก่งแค่ไหนก็ตาม ก็จะมีคนตั้งแง่รังเกียจนาย เพียงเพราะใช้ชีวิตที่ต่างไปจากคนในสังคมปกติ แล้วนายจะทนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้ละหรือ แล้วถ้าไม่มีงานการทำ ต้องออกจากงาน ไอ้เด็กนั่นจะเต้นหาเลี้ยงนายหรือไง ฉันว่านอกจากมันจะดูแลนายไม่ได้ แถมซ้ำยังจะมาเกาะนายกินมากกว่า”
คำปรามาสของศักดิ์ชายทำให้ผมทนไม่ได้ มันรู้จักเดียร์มากแค่ไหนกันถึงจะมาตัดสินเขา

“เบาๆหน่อยเพื่อน นายกำลังนินทาคนรักของฉันอยู่นะ ซึ่งเขาไม่เคยทำอะไรให้นายเลย จะจงเกลียดจงชังเขาทำไม ถ้านายไม่เคยมองเดียร์ในแง่ดีมาก่อน นั่นอาจจะเป็นเพราะฉันไม่ดีเองที่ไม่ได้พูดถึงคนรักของตัวเองให้ใครฟัง

แต่วันนี้ฉันจะถือโอกาสบอกนายเสียเลย ว่าเดียร์ไม่เคยทำในสิ่งที่นายกล่าวหา เขาไม่เคยเบียดเบียนเงินฉัน ไม่เคยขอเงิน เขามีแต่จะทำทุกอย่างเพื่อฉัน โดยที่ฉันแทบไม่ได้ตอบแทนอะไรเขาเลย ดังนั้นนายไม่ต้องห่วงว่าเดียร์จะมาปอกลอกเพื่อนคนนี้ของนาย

และไม่ต้องห่วงว่าฉันจะหน้ามืดตามัวปรนเปรอเด็กนั่นด้วยเงินทองที่ฉันมีอยู่ สิ่งที่ฉันจะให้เดียร์คือ “หัวใจ”ของฉันเท่านั้น”

นั่นคือคำพูดจากใจจริงของผม ไม่หวังว่ามันจะเข้าใจร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะคนอคติอย่างศักดิ์ชาย ย่อมมองการกระทำของผมว่าเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย แต่ผมพูดเพื่อให้มันเลิกความคิดที่จะขัดขวางผมกับเดียร์เท่านั้น ถึงอย่างไรมันก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความรู้สึกที่ผมมีต่อเดียร์ได้

“ช่างเป็นความรักที่สวยงามหอมหวาน แต่มันคงมีแต่ในอุดมคติเท่านั้น ฉันไม่เชื่อว่ามันจะไปรอดได้ในชีวิตจริง แต่เอาเถอะแม้ว่าฉันจะไม่เห็นด้วย แต่ฉันก็คงจะไม่สามารถห้ามนายไม่ให้ทำอย่างที่พูดได้ นายอยากจะทำอะไรก็ทำไป ฉันก็จะทำในเรื่องที่ฉันเห็นว่าถูกต้องแล้วกัน แต่ขอให้รู้ไว้ ว่าสิ่งที่ฉันจะทำ มันเกิดขึ้นจากความรักและหวังดีในตัวนาย ฉันยอมไม่ได้ที่จะเห็นเพื่อนที่ฉันรักถูกคนมาฉุดลงเหว แล้ววันหนึ่งนายจะขอบคุณฉัน”

“นายจะทำอะไรฉันไม่รู้ แต่ถ้านายรักฉันจริงอย่างปากนายว่า ก็อย่ามาทำลายความสุขของฉัน เด็กนั่นเป็นเหมือนหัวใจ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน นายทำร้ายเดียร์ก็เหมือนทำร้ายฉันด้วย รับรองฉันไม่มีวันอภัยให้นายแน่”

ไม่ใช่แค่ขู่ ผมตั้งใจจะทำจริงๆ แม้จะไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ศักดิ์ชายจะทำ แต่ผมก็จะไม่มีวันปล่อยให้มันเกิดขึ้น
ความที่ผมอารมณ์เสียจากคำพูดของสันต์ ผมเลยขอตัวกลับก่อน อีกอย่างผมอยากไปคอยเดียร์ที่บ้านเผื่อว่าวันนี้ เดียร์จะกลับมาหาผม ก็บ้านนี้มันเป็นบ้านของเราแล้วนี่นา เขาจะไปไหนได้ บ้านเช่าก็ให้คนอื่นอยู่ ช่วงหลังนี้เขาก็มากินอยู่หลับนอนอยู่ที่บ้านของผม จนเหมือนคนในครอบครัวเดียวกันไปแล้ว เมื่อวานถึงแม้จะมีเรื่องกัน แต่ถ้าเขายังรักผมอยู่ เขาคงจะกลับมาหา ผมภาวนาให้เป็นอย่างนั้น เราจะได้ปรับความเข้าใจกัน แล้วผมจะได้บอกรักเขาเสียที

ตอนที่ผมเปิดประตูเข้าไปในบ้าน ไฟในห้องรับแขกเปิดอยู่ พอเข้าบ้าน ก็ได้กลิ่นอาหารลอยมา หัวใจผมเต้นแรงอย่างมีความหวัง นึกดีใจจนต้องยิ้มออกมา เดียร์คงหายงอนแล้ว และมาหาผม ทำกับข้าวให้กินเหมือนเคย ด้วยความคิดถึง อยากเห็นหน้าเขา ทำให้ผมรีบถลาเข้าไปในครัว แต่ก็ต้องพบกับความว่างเปล่า มีเพียงอาหารที่สามสี่อย่างที่ยังร้อนควันฉุยอยู่บนโต๊ะ พร้อมด้วยข้าวสวยที่อยู่ในถ้วย มีน้ำเย็นๆวางไว้เหยือกหนึ่งพร้อมแก้ว ทุกอย่างเตรียมไว้รอท่าผมกลับมา ขาดแต่ตัวของพ่อครัวเท่านั้นที่ไม่รู้ไปอยู่หนใด
หลังจากเดินไปดูรอบบ้าน แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของเดียร์ ผมก็เลยวิ่งขึ้นไปดูบนห้องนอน แต่ก็ไม่มีวี่แววของเขา ผมเดินกลับลงมายังห้องครัวอีกครั้ง ด้วยความผิดหวังหดหู่ บนโต๊ะ มีกระดาษแผ่นหนึ่งสอดไว้ใต้ถาดอาหาร เมื่อกี้ผมมัวแต่ดีใจจึงไม่ทันได้สังเกต ผมหยิบกระดาษที่มีลายมือของเดียร์ขึ้นมาดู

“ไม่แน่ใจว่าเรียวจะทานอาหารมาจากข้างนอกหรือเปล่า แต่ผมทำไว้เผื่อว่าเรียวจะหิวนะครับ ....”

แค่นี้เองหรือคำพูดที่ต้องการสื่อมาถึงผม ทำไมไม่บอกว่าจะไปไหน จะกลับมาหรือเปล่า แล้วนี่ผมจะทานข้าวได้ยังไงคนเดียว ในเมื่อกลับบ้านมาแล้วทำไมไม่อยู่รอผม ยังทรมานใจกันไม่พอหรือไง ผมเริ่มที่จะน้องใจบ้างแล้วนะ

กับข้าวสามสี่อย่างตรงหน้าหอมชวนน่ารับประทาน ใจผมกระหวัดไปถึงคนทำ นึกจินตนาการถึงหน้าของเดียร์ขณะที่กำลังทำอาหาร เขาจะยิ้มแย้มอย่างมีความสุขอย่างเช่นทุกวันหรือเปล่าหนอ

เขาช่างน่ารักเหลือเกิน ขนาดน้อยอกน้อยใจในตัวผม ก็ยังคิดถึงกัน อุตส่าห์กลับบ้านมา เพื่อทำกับข้าวให้ทาน ทั้งๆที่ไม่รู้เลยว่า การลงแรงของตัวเองจะสูญเปล่าหรือไม่ ผมจะทานมาจากข้างนอกไหม ทำดีกับผมมากมายขนาดนี้ แล้วจะไม่ให้ผมนึกรักเขาได้อย่างไร

ตักข้าวเข้าปากคำแรกด้วยความหิวโหย ท้องผมร้องตั้งแต่ตอนอยู่กับศักดิ์ชายแล้ว ผมไม่ได้กินอะไรเลย ใจมันไม่นึกอยาก ยิ่งเจอคำพูดจาของเพื่อนรักเพื่อนเก่า ผมก็กินข้าวร่วมกับมันไม่ลง

แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน เห็นอาหารที่เดียร์ทำไว้ให้ ได้กลิ่น ได้สัมผัสถึงรสชาติอันคุ้นเคย ผมก็เริ่มหิวขึ้นมาทันที หากแต่เมื่อกินเข้าไป ใจมันก็คิดคำนึงไปถึงคนที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน

อยากให้เขามานั่งตรงหน้า มาทำท่ายั่วยวนกวนประสาทผม พูดจาทะลึ่งตึงตัง และทำหน้าทะเล้นใส่ ขาดเขาแล้วรู้สึกว่าใจหาย รู้สึกว่ามันเคว้งคว้างอย่างไรพิกล

เมื่อไม่อาจจะทนทานข้าวอยู่คนเดียวได้ ผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา อาหารยังร้อนๆแบบนี้ แปลว่าเดียร์ยังไปไหนได้ไม่ไกล บางทีอาจจะอยู่ใกล้ๆแถวนี้ ที่ผมคาดไม่ถึง อาจจะเป็นบ้านตรงข้าม คือบ้านพี่สมชายที่เขาจะไปขลุกอยู่ด้วยก็ได้ ไม่รู้ว่าที่ผมเดาไว้จะถูกหรือเปล่านะ

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นสิบๆครั้ง จนกระทั่งมันตัดไป และต่อใหม่ เดียร์ก็ยังไม่ยอมรับ ตามปกติ จะไม่มีระบบฝากข้อความ แต่ตอนนี้ กลับมีเสียงตอบรับอัตโนมัติให้บันทึกข้อความเอาไว้

สงสัยเดียร์คงไปเปิดระบบนี้ขึ้นมา ผมนิ่งอึ้งไปจนกระทั่งมันตัดไป ด้วยรู้สึกไม่กล้าที่จะฝากคำพูดไว้ในเครื่องของเขา แต่ความคิดถึงมันมีมากกว่าความอาย ทำให้ผมตัดสินใจโทรไปหาเขาอีกครั้ง

รู้สึกตื่นเต้นจนพูดไม่ถูก นึกในใจว่าจะพูดอย่างไรดีหนอ ถึงจะส่งผ่านความรู้สึกของตัวเองออกไปให้เดียร์ได้รับรู้ว่าผมคิดถึงเขามากแค่ไหน ในที่สุดผมก็ตัดสินใจพูดออกไป


“เดียร์ นายอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ ทำไมกลับมาบ้านแล้ว ถึงไม่นอนที่นี่ ฉัน......เอ้อ...ฉันคิดถึงนายมากเหลือเกิน.....นี่ฉันกำลังทานข้าวอยู่......อาหารที่นายทำไว้ให้....อร่อยมาก .....แต่กินคนเดียวมันเหงาจังเลย.....อยากให้นายมาอยู่เป็นเพื่อน........”

โทรศัพท์ตัดไปแล้ว ผมนั่งมองมือถือของตัวเอง แล้วรอลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เดียร์จะโผล่มาจากตรงไหนสักแห่งในบ้านหรือเปล่า หรือเขาจะโทรกลับมาทันทีที่ได้ยินเสียงผมไหม แต่รออยู่เป็นนาน ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมรวบช้อนกินข้าว เก็บอาหารเข้าตู้เย็น ไว้อุ่นกินวันรุ่งขึ้น ล้างชามเสร็จ ขึ้นไปอาบน้ำ เตรียมตัวนอน เดียร์ก็ยังไม่โทรมา


anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่46 1/3/09
«ตอบ #386 เมื่อ01-03-2009 21:35:30 »

ทว่าก่อนที่ผมจะหลับไป เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เสียงเรียกเป็นเพลงที่คุ้นเคย เพลงประจำตัวของเดียร์ที่ผมตั้งเอาไว้ เพลง “หยุดไม่ได้ ขาดใจ” ของอ๊อฟ ปองศักดิ์ ที่เราสองคนเคยร้องคู่กันในวันงานปีใหม่ของบริษัท ผมรีบกดรับทันที

“ฮัลโหล นั่นเดียร์หรือเปล่า”

“......”

ไม่มีเสียงตอบจากปลายสาย

“เดียร์ ได้โปรดตอบฉันสิ นั่นนายใช่ไหม”

คำถามงี่เง่า รู้อยู่แล้วว่าเป็นเบอร์ของเขา แต่ผมก็อยากถามให้มั่นใจว่าใช่เขาจริงๆ ไม่ใช่ใครเอามือถือของเขามาแกล้งอำเล่น

“ครับ”

เสียงคุ้นหูตอบกลับมา ผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว อย่างน้อยเดียร์ก็ไม่ได้โกรธผมจนไม่ยอมแม้แต่จะรับโทรศัพท์

“อยู่ที่ไหน....”

ผมถามเขาออกไปทันที

“บ้านเช่าครับ อยู่กับน้อย”

“ทำไมไม่นอนที่บ้านนี้....”

“เอ้อ.....ผมนึกว่าเรียวไม่อยากให้ผมอยู่ที่นั่นครับ”

“ใครบอก.....ฉันไม่เคยพูดเลยนะ”

“ก็เมื่อวาน.......”

เสียงเด็กหนุ่มขาดหายไป เหมือนเขากำลังห้ามใจตัวเอง ไม่ให้ปวดร้าวเมื่อคิดถึงมัน

“ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ไล่นายนะ แต่ไล่คนเมาที่มันอยู่ในตัวนายต่างหาก เมื่อวานนายเมามาก แล้วก็พูดจาไม่รู้เรื่องเลย ฉันเลยโมโหใส่นาย แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้โมโหนายแล้วล่ะ แล้วนายล่ะ หายโกรธฉันหรือยัง”

“ไม่ได้โกรธครับ แค่น้อยใจ แต่ตอนนี้ หายแล้ว....”
“ถ้าหายโกรธ แล้วทำไมต้องไปอยู่ที่อื่น ทำไมไม่รอฉันอยู่ที่บ้าน แล้วนี่ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เพิ่งไม่นานนี้ใช่ไหม กับข้าวยังอุ่นอยุ่เลย....”

“ครับ ผมเพิ่งกลับมาถึงบ้านเช่าเอง ซ้อมเต้นเสร็จ ก็ไม่รู้จะไปไหน แวะไปที่บ้านคุณ ทำกับข้าวไว้ให้กลัวจะหิวกลับมา แต่ก็ไม่กล้าอยู่รอ กลัวคุณเจอหน้าผมแล้วคุณจะโมโหใส่

เพราะเมื่อคืนผมเมามาก และคงทำตัวแย่ๆให้คุณไม่พอใจ คุณถึงได้ไล่ผมแบบนั้น พอดีว่าพี่สมฤทัย กับโสภิตนภา ไปต่างจังหวัด ห้องมันว่างพอดี ผมเลยมานอนนั่งมอเตอร์ไซด์รับจ้างกลับมาอยู่เป็นเพื่อนกับน้อย เขาจะได้มีเพื่อนคุยไม่เหงาอ่ะครับ”

เขาอธิบายถึงสาเหตุที่เขาไม่อยู่ด้วยให้ผมฟัง ผมได้แต่ลอบถอนหายใจ เดียร์ห่วงน้อย แต่ไม่ห่วงผมเลย ผมก็เหงานะ แต่อย่างที่เขาบอกนั่นแหละ เหตุการณ์เมื่อคืนมันตึงเครียด และผมก็สู้กับเขาทั้งเตะทั้งถีบ ตบหน้าสารพัด และไล่เขาให้ไปห่างๆ เขาก็มีสิทธิที่จะคิดมากและน้อยใจ คิดว่าผมไม่อยากให้เขาอยู่ด้วย

“แล้วพรุ่งนี้ นายจะกลับมานอนที่บ้านไหม เอ้อ วันถัดไป เป็นวันวาเลนไทน์ นายสัญญาว่าจะทำกับข้าวอร่อยเพื่อฉลองกัน....”

“ยังอยากให้จัดอยู่หรือครับ นึกว่าเรียวเหม็นขี้หน้าผม จนไม่อยากจะฉลองวันนี้กับผมแล้วเสียอีก ถ้าเรียวอยากให้ผมอยู่ด้วย ผมก็จะไปอยู่เป็นเพื่อนคุณครับ”

“อยากสิเดียร์ .....ที่จริง....เวลาบ้านนี้ไม่มีนาย.....มันก็เหงาเหมือนกัน .....กลับมาเถอะ...อย่าโกรธกันเลยนะ....ฉัน....ฉัน...เอ้อ...ฉัน.....”

อยู่ๆก็พูดไม่ออกขึ้นมา ทั้งๆที่ตั้งใจแล้วว่าจะบอกรักกับเดียร์ออกไป

“ทำไมหรือครับ.....”

เด็กหนุ่มถามผม เสียงจากปลายสายเหมือนมีกำลังคาดหวังที่จะได้ยินอะไรบางอย่าง ผมชั่งใจอยู่สักพักว่าจะพูดดีหรือไม่ ในที่สุดผมก็ตัดสินใจพูดกับเขาไป แต่มันเป็นคำพูดที่ฟังดตะกุกตะกักอ้ำอึ้ง ยังไงไม่รู้ เหมือนคนขี้ขลาดที่กำลังพยายามจะบอกรักคนที่ตัวเองชอบ

“คือว่า....ฉัน.....ฉัน....คิดถึงนาย....แล้วก็....ฉันน่ะ....พอไม่มีนายอยู่แล้ว...ก็เริ่มที่จะคิดได้...ว่า...ฉันทำไม่ดีกับนาย...ไว้เยอะมาก...ที่จริงนายเป็นคนดี ....แล้วฉันน่ะ ...ก็ชะ...ชะ..ชอบนายด้วยนะ...อยากให้นายมาอยู่ด้วยกัน...ที่จริงแล้ว...ฉันชอบนายมาก...ฉันคิดว่า....ฉัน...เอ้อ...ฉัน ...ระ..รัก............ตรู๊ดดดดดดดดดดดด”

สายขาดไปแล้ว ผมยังไม่ทันจะพูดจบเลย มือถือก็ดันมาแบตหมดเสียก่อน ผมไม่ได้จดเลอร์เขาไว้เสียด้วย ไม่งั้นจะใช้โทรศัพท์บ้านโทรไปหา

เฮ้อออ....เขาจะทันได้ยินประโยคสุดท้ายของผมไหมหนอ ผมนี่งี่เง่าเสียจริงๆเลย คำว่ารักแค่นี้ทำไมไม่กล้าพูดออกไปนะ ทั้งที่มันเป็นคำพูดที่ผมตั้งใจจะบอกเขา และเด็กหนุ่มก็อยากได้ยินมัน แต่เวลาแบบนี้ ผมกลับพูดไม่ออก หรือว่าต้องเจอหน้าเขาผมถึงจะสามารถพูดได้ แล้วเดียร์จะเข้าใจสิ่งที่ผมบอกกล่าวกับเขาหรือเปล่า




anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่46 1/3/09
«ตอบ #387 เมื่อ01-03-2009 21:36:20 »

นานจังเลยสำหรับการรอคอยใครสักคนที่เรารัก ผมหวังว่าเขาจะหาทางโทรกลับเข้ามา เพราะเขารู้เบอร์บ้านผม หรือไม่ก็รีบมาหาผมทันทีที่ได้ยินคำบอกรัก

แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดียร์ไม่มา โทรศัพท์ไม่มี ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หรือว่าเขาไม่ยินดียินร้ายกับเรื่องของผมเสียแล้ว เขาบอกแค่ว่าหายโกรธ แต่เขาไม่ได้พูดนี่ว่ายังรักผมเหมือนเดิม

คิดมากจนนอนไม่หลับ กระสับกระส่ายกลิ้งไปกลิ้งมาบนที่นอนหลายตลบ ก็ยังข่มตาไม่ลง จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปถึงตีสี่ ผมถึงได้หลับเพราะความอ่อนเพลีย น่าแปลกที่คราวนี้ผมฝัน หลังจากที่ไม่เคยฝันมานานมากแล้ว

ในฝันของผมเป็นเรื่องเกี่ยวกับเดียร์ล้วนๆ ผมฝันว่าเขามาหาผม มาอยู่ด้วยกัน ในฝันนั้นผมมีความสุขมาก แต่แล้วก็มีเมฆหมอกสีดำเคลื่อนมาบดบัง แล้วพรากตัวเดียร์หายไปในความมืดมิดนั้น

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยความตกใจในความฝันนั้น นี่มันลางร้ายชัดๆ จะเกิดอะไรขึ้นกับเดียร์ของผมหรือเปล่านะ รึว่าในฝันนั้นมันบอกเหตุให้รู้ว่า รักของเราจะต้องพลัดพรากจากกันอย่างไม่มีวันหวนคืน สาธุ ขออย่าให้เกิดขึ้นจริงเลย

ผมสะดุ้งซ้ำสองเมื่อเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น 6 โมงเช้า ได้เวลาลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน วันนี้เป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ พรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดแล้ว แต่ผมกลับไม่ยอมลุกจากเตียง เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมไม่อยากจะลุกขึ้นไปทำงาน อยากจะนอนอยู่บนเตียงอย่างเดียว และรอคอยคนรักให้มาหาผม

ทว่าความสำนึกในภาระหน้าที่ของตัวเอง ทำให้ผมนอนอิดออดอยู่บนเตียงไม่ได้ ผมลุกลงจากเตียง ถอดเสื้อผ้าใส่ตะกร้า แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป วันนี้ผมใช้เวลาในห้องน้ำไม่นานนัก เพียงแค่ 15 นาทีก็ออกมาแล้ว รู้สึกเหมือนไม่อยากจะสนใจตัวเองเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะความมีชีวิตชีวาผมได้หายไปแล้วกระมัง ผมจึงทำเหมือนคนซังกะตาย

ยังไม่ทันแต่งตัว เสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้นมา เมื่อคืนผมนอนหลับไปโดยไม่ได้ชาร์จแบต คนที่จะโทรเข้ามาหาผม ต้องโทรเข้าเบอร์บ้านเท่านั้น และมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ ผมภาวนาว่าขอให้เป็นเดียร์ทีเถอะ ขอให้เขาโทรกลับมาบอกว่าจะมาอยู่กับผม มาฉลองวันวาเลนไทน์ด้วยกัน คิดได้แบบนั้นผมก็เดินอย่างกระวีกระวาดไปรับโทรศัพท์ที่หัวเตียงทันที

“วันนี้ ผมเลิกงานตอน 6 โมงเย็นครับ แล้วจะรีบกลับไปที่บ้าน ไปเตรียมตัวจัดข้าวของสำหรับวันวาเลนไทน์พรุ่งนี้ แล้วเรียวล่ะครับ จะกลับมาได้กี่โมง”

น้ำเสียงสดใสจากปลายสาย ไม่ได้บอกอาการขุ่นเคืองแต่อย่างใด ดีใจจังเลย เดียร์คงหายโกรธผมแล้ว และคงได้ยินคำพูดสุดท้ายของผม เขาเลยโทรมาหา

แต่แหม น่าจะโทรมาให้เร็วกว่านี้นะ ปล่อยให้ผมนอนคิดวุ่นวายใจอยู่ได้คนเดียวทั้งคืน แต่ไม่เป็นไรหรอก เดียร์คงจะลงโทษผมที่ทำให้เขาเสียใจ เขาเลยเอาคืนผมบ้าง ผมไม่โกรธเขาดีกว่า ถือว่าเราหายกัน

“ฉันจะพยายามเลิกงานให้ตรงเวลา ไม่เถลไถลไปไหนนะ เราสองคนจะได้ช่วยกันจัดบ้านไง เพื่อเตรียมพร้อมไว้สำหรับการฉลองในวันพรุ่งนี้”



ผมรีบรับปากให้สัญญิงสัญญากับเขา คราวนี้แหละผมจะทำให้เดียร์ได้รู้สึกทีว่าเขามีค่ากับผมแค่ไหน ดูท่าทางเดียร์กระตือรือร้นมาก เขาคงตื่นเต้นพอๆกับผม

อยากหมุนเข็มนาฬิกาให้เดินเร็วกว่านี้เหลือเกิน ข้ามไปเย็นนี้ หรือพรุ่งนิ้ได้เลยยิ่งดี ผมทนเห็นภาพตัวเองมอบแหวนและบอกรักเดียร์ในจินตนาการไม่ไหวแล้ว

รอลุ้นให้มันเกิดขึ้นจริงๆเสียที อยากเห็นปฏิกริยาของเขา ว่าจะดีใจมากแค่ไหน แล้วเขาอาจจะร้องขอกินเค้กจากผมอีก ซึ่งผมยินดีให้เขากินคนเต็มอิ่มเลย แล้วผมจะขอกินเค้กของเขาบ้าง เขาจะว่าอะไรผมไหมนะ

ยิ่งคิดถึงสิ่งที่กำลังจะได้เจอ ทำให้ผมมีความสุข วันนี้ผมทำงานด้วยอารมณ์ที่สดชื่น จนหัวหน้าซึ่งเดินเข้ามาสังเกตอาการของผมยังแปลกใจ เพราะผมเปลี่ยนไปจากสองวันก่อน แบบหน้ามือเป็นหลังมือ

เขาถามว่าผมกินอะไรผิดสำแดงหรือเปล่า แต่ผมตอบเขาไปอย่างอารมณ์ดีว่าผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย หัวหน้าคิดมากไปเอง ผมแค่เครียดกับงานเท่านั้น และตอนนี้ผมแก้ปัญหาได้แล้ว เลยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น

เจ้านายของผมทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เขาก็ไม่ว่าอะไร บอกแค่ว่าดีแล้วที่เห็นผมเป็นแบบนี้ ขอให้อารมณ์ดีอย่างนี้ไปตลอด เขาทำงานร่วมกับผมมานาน เขารู้สึกผูกพันกับผมเหมือนเป็นพี่เป็นน้อง ไม่อยากเห็นความทุกข์ของผม อยากให้ผมทำงานด้วยความสบายใจ ผมรับคำหัวหน้าว่าผมจะไม่ทำตัวเศร้าหมองให้เขาเห็นอีก

ตลอดทั้งวันผมทำงานด้วยความตั้งอกตั้งใจเพิ่มขึ้นไปอีก 4- 5 เท่า ผมอยากเคลียร์งานที่กองอยู่บนโต๊ะในแต่ละวันให้หมดไปอย่างรวดเร็ว จะได้ไม่ต้องอยู่ดึกเพื่อสางงาน อยากกลับบ้านไวๆไปอยู่กับคนรักของผม เราเพิ่งคืนดีกัน ดังนั้นจึงควรจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มาก

สี่โมงครึ่ง ได้เวลางานเลิกแล้ว ผมปิดเคสสุดท้ายได้พอดี กำลังจะเก็บของกลับบ้าน เจ้านายก็เดินมาหาที่ห้อง บอกว่ามีเคสเจ้าปัญหามาให้ตัดสินใจ มันเป็นเคสที่ผมเคยปฏิเสธไปเนื่องจากผลการตรวจเลือดลูกค้าสองครั้งออกมาเป็นบวก

แต่ลูกค้าไม่ทราบเหตุผลนี้ เพราะเราไม่ได้แจ้งสาเหตุ เพียงแต่บอกว่าลูกค้ามีความเสี่ยง มันเลยทำให้ตัวแทนและผู้บริหารไม่พอใจ มาคะยั้นคะยอถาม เมื่อได้ข้อมูลว่าเราสงสัยว่าลูกค้าจะเป็นเอดส์ ตัวแทนก็เอาไปบอกลูกค้า ทำให้ลูกค้าโกรธมากที่ไปกล่าวหาเขาแบบนั้น

และจะฟ้องบริษัทที่ไปว่าเขาให้เสื่อมเสียชื่อเสียง เขาเป็นผู้หญิง แต่งงานแล้ว มีสามีคนเดียว ไม่เคยมั่วสำส่อน การกล่าวหาว่าเขาเป็นเอดส์ เท่ากับหาว่าเขาประพฤติตัวไม่เหมาะสม ลูกค้าโวยวายมาทางตัวแทน และตัวแทนก็โทรมาโวยวายเอากับหัวหน้า ให้ต่อว่าผมในเรื่องนี้


anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่46 1/3/09
«ตอบ #388 เมื่อ01-03-2009 21:37:09 »

ผมเลยต้องรื้อหลักฐานประกอบการพิจารณามาให้เจ้านายดูใหม่ เมื่อเขาอ่านแล้ว ก็เห็นด้วยกับผม หลักฐานจากการตรวจถึงสองครั้ง ให้ผลที่ตรงกัน

ตามปกติในการพิจารณารับประกัน หากผลการตรวจครั้งแรกออกมาบ่งบอกอาการผิดปกติ เราจะยังไม่ตัดสินใจปฏิเสธทันที แต่เราจะมีการให้ตรวจซ้ำ เพื่อเทียบผลกัน หากได้ผลลัพธ์ที่ต่างออกไป เราก็จะตรวจครั้งที่สาม แต่ถ้าสองครั้งแรกเหมือนกัน เราก็จะตัดสินใจเลย เรื่องเล่านี้ลูกค้าไม่ค่อยเข้าใจ คิดว่าการทำประกันยุ่งยาก แต่ที่จริงเป็นผลประโยชน์ต่อลูกค้า เพื่อจะให้เขาได้ทำประกันจริงๆ และได้จ่ายเบี้ยประกันตามความเสี่ยงไม่ได้ถูกปฏิเสธอย่างไม่เป็นธรรม
ผมเหลือบดูเวลาจากนาฬิกาที่ข้อมือ หากเราสามารถสรุปเคสได้เร็ว ผมอาจจะกลับบ้านไปเรตนิดหน่อย เดียร์คงไม่ว่าอะไรนัก เอาไว้เสร็จธุระแล้ว ผมค่อยโทรบอกเขาว่าจะกลับช้าหน่อยแล้วกัน ตอนนี้ไปแก้ปัญหาให้กับบริษัทก่อน ไม่อยากทิ้งงานไปเพื่อเรื่องส่วนตัว

เราสงสัยกันว่า เธออาจจะติดโรคนี้มาจากทางอื่นก็ได้ เช่น จากสามี หรือการถ่ายเลือด เพราะถ้าหากสิ่งที่เธอพูดเป็นจริง มันก็ไม่น่าที่เธอจะเกิดมาจากพฤติกรรมส่วนตัวของเธอเอง ดูจากประวัติสุขภาพแล้ว ก็ปกติดีทุกอย่าง เคยผ่าตัดเนื่องจากอุบัติเหตุเพียงแค่ครั้งเดียว เมื่อปีที่สองปีที่ผ่านมา จึงเป็นไปได้ว่าอาจจะติดมาจากตรงนี้

ผู้บริหารเจ้าของเคสคือนายสุริยะเจ้าเก่า ชื่อของเขาทำให้ผมปวดหัวอย่างมาก เขาช่างสรรหาลูกค้าที่มีปัญหาเข้ามาบริษัทเสียจริง แต่ละราย มีฐานะร่ำรวย สามารถทำประกันในวงเงินหลักล้าน แต่เกือบ 50 % ที่ส่งเข้ามา มีปัญหาสุขภาพให้ต้องพิจารณาหาหลักฐานประกอบกันวุ่นวาย

อย่างเคสนี้ ที่ผมปฏิเสธไป ผมกับหัวหน้าเห็นว่าจะต้องเชิญนายสุริยะ และตัวแทนในสังกัดเขามาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ พร้อมทั้งให้ความรู้กับเขาด้วย ว่าเราปฏิเสธเพราะอะไร

เราไม่ได้กล่าวหาว่าลูกค้าเป็นเอดส์ แต่มีความเสี่ยงทางด้านสุขภาพ ที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นแบบนั้น ถ้าหากลูกค้าอยากรู้ผลจริงๆ ก็ให้ไปเช็คสุขภาพดู หรือจะเช็คที่โรงพยาบาลที่เรามีสัญญาอยู่ก็ได้ จะได้หายข้องใจ

กว่าจะได้ข้อสรุปก็ปาเข้าไปเกือบหกโมง ผมกระสับกระส่าย กังวลใจถึงเดียร์ ป่านนี้เดียร์คงจะเลิกงานแล้ว และกำลังจะกลับบ้าน หากว่าเขามาถึงแล้ว ไม่เห็นผม เขาจะคิดมากหาว่าผมโกหกเขาอีกหรือเปล่านะ

ดูเหมือนหัวหน้าจะเห็นอาการของผม จึงถามว่ามีนัดอะไรหรือเปล่า ผมตอบเขาไปว่ามี แต่ก็ถามเขาอย่างเกรงใจว่า เขามีอะไรให้ผมช่วยบ้างไหม

เขาก็หัวเราะแล้วก็บอกว่า เขาอยากชวนผมแวะไปห้างแป๊บหนึ่ง อยากซื้อของขวัญให้ภรรยา แต่เขาลืมซื้อ เขาไม่รู้จะเลือกอะไรดี เลยอยากชวนผมไปด้วย แต่ถ้าผมมีธุระก็ไม่อยากรบกวน

ผมเห็นใบหน้าคาดหวังจากเขาก็อดใจอ่อนไม่ได้ ที่ผ่านมาหัวหน้าดีกับผมมาโดยตลอด คอยช่วยเหลือผมทุกอย่าง ให้ความรักความเอ็นดูเหมือนน้องนุ่งคนหนึ่ง ผมเป็นหนี้บุญคุณแกหลายเรื่อง ไปเป็นเพื่อนแกเพื่อซื้อของให้แฟนแค่นี้คงไม่เป็นไรมั้ง เดียร์คงไม่ว่าผมด้วยเรื่องแค่นี้หรอก เพราะผมไม่ได้ไปกับคุณแคทนี่นา ผมจึงตอบตกลงกับแกไป โดยขอตัวไปคุยโทรศัพท์ก่อน

“เดียร์เหรอ ถึงบ้านหรือยัง...”

“ยังครับ...วันนี้ร้านยุ่งนิดหน่อยนะครับ พรุ่งนี้คนขาด แล้วผมก็ลาหยุดไว้ด้วย ผมเลยต้องอยู่ช่วยเขาเตรียมงานวาเลนไทน์ก่อนนะครับ คงจะเลิกงานประมาณสักสองทุ่ม ว่าจะโทรไปหาเรียวก็มัวแต่ยุ่งอยู่ เรียวถึงบ้านแล้วเหรอครับ”

คำตอบของเขาทำเอาผมโล่งใจ

“ยังหรอก ฉันก็มีธุระต้องไปทำกับหัวหน้าน่ะ อื้ม ต้องไปซื้อของขวัญวันวาเลนไทน์ให้แฟนของเขา ก็คงจะใช้เวลาประมาณชั่วโมงสองชั่วโมงมั๊ง เสร็จแล้วจะรีบกลับนะ”






anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่46 1/3/09
«ตอบ #389 เมื่อ01-03-2009 21:37:35 »

ผมบอกเขาไปตามตรง ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่โกหกกัน พูดความจริงไป มันจะได้สบายใจไม่ต้องมานั่งระแวงกันทั้งสองฝ่าย ดูเหมือนเดียร์เองก็พอใจด้วยที่ผมรายงานว่าจะไปไหน เขาหัวเราะ แล้วถามผมด้วยเสียงอ้อนๆว่า

“คร้าบบบ....แล้วเรียวจะทานข้าวกับหัวหน้าก่อนไหมครับ”

“ไม่หรอก ฉันจะรอทานพร้อมกับนายนะ เมื่อวานนี้ฉันทานคนเดียว มันเหงาๆ น่ะ”

“จริงเหรอครับ”

น้ำเสียงกระตือรือล้นจากปลายสาย ทำให้ผมหน้าแดงใจเต้นรัว ตอบเขาเสียงแผ่วเบา

“จริงสิ”

“ดีใจจัง แล้ว เมื่อวานนี้ เรียวจะพูดอะไรกับผมหรือครับ ผมได้ยินไม่ถนัด แล้วสายมันก็ตัดไปอ่ะครับ ผมเลยไม่รู้เรื่องกัน จะโทรมาถาม ก็เกรงใจเพราะเห็นว่ามันดึกแล้วอ่ะครับ”

เวรกรรม คำบอกรักของผม ดันส่งไม่ถึงเดียร์เสียแล้ว จะให้ผมพูดตอนนี้ ก็เขินๆอยู่

“เอาไว้ วันพรุ่งนี้ฉันจะบอกนายทุกอย่างเลย ไว้เราเจอกันก่อนนะ”

“อื้ม....อยากรู้จังเลยว่ามันคืออะไรนะ ร้ายหรือดีก็ไม่รู้ อ๊ะ.....เพื่อนคุณมาที่ร้านนี้ด้วยล่ะครับ เห็นบอกว่าจะคุยกับผมไม่รู้เรื่องอะไร เดี๋ยวผมวางสายก่อนนะครับ เจอกันที่บ้านนะที่รักของผม อย่ากลับช้านะครับ ผมจะกลับไปทำอาหารรอ จะยังไม่ยอมกินจนกว่าคุณจะกลับมานะครับ”

เดียร์วางสายไปแล้ว ทิ้งให้ผมยืนงง กับสิ่งที่เดียร์บอกผม เพื่อนคนไหนกันที่ไปหาเดียร์ที่ร้าน สันต์เหรอ มันกลับมาจากต่างจังหวัดตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่าจะเป็นคุณแคท แต่เธอเพิ่งโบกมือบ๊ายบายผม เมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา คงไปไม่ถึงร้านกาแฟที่เดียร์ทำกระมัง

แล้วเธอก็ไม่รู้ด้วยว่าเดียร์ทำงานที่นั่น หรือจะเป็นเจ้าศักดิ์ชายกัน เมื่อวานนี้ เห็นมันไปที่ร้าน และทำท่าผิดหวังที่ไม่เจอเดียร์ด้วย หรือว่าวันนี้มันจะไปหาเขาอีก ไปทำไมกันนะ ผมปักใจเชื่อ 100 % ว่าเป็นศักดิ์ชายแน่นอนที่ไปหาที่รักของผม

ศักดิ์ชายพูดกับผมว่าจะทำทุกอย่างเพื่อเป็นการขัดขวางผมกับเดียร์ มันไม่เห็นด้วยที่เดียร์จะฉุดผมลงเหว สิ่งที่มันทำอาจจะเป็นเรื่องไม่ดี แต่ผมจะต้องขอบคุณมัน

การไปหาเดียร์จะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่มันได้พูดไว้หรือเปล่า ผมรู้สึกสงสัยว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ๆ โทรกลับไปจะเตือนเดียร์ว่าอย่าฟังอะไรที่ศักดิ์ชายพูด แต่เดียร์ก็ไม่รับสาย คงกำลังคุยกับเพื่อนของผม หรือไม่ก็ยังยุ่งอยู่กับการทำงาน

“เป็นอะไรหรือเปล่าเรียว...”

หัวหน้าถามผมขณะที่เรากำลังเดินเลือกซื้อของขวัญกันอยู่ เล่นเอาผมสะดุ้ง เพราะมัวแต่คิดหาสาเหตุที่ศักดิ์ชายจะไปหาเดียร์ เลยไม่ค่อยได้ใส่ใจกับการเลือกซื้อของนัก

“เอ้อ คิดอะไรนิดหน่อยครับ”

“ชวนให้มาซื้อของ ดันไปคิดอะไรอีก ถ้ารบกวนก็บอกกัน ไม่ต้องเกรงใจ กลับก่อนก็ได้”

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด