My First Boyfriend Part 3:By Katesnk
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My First Boyfriend Part 3:By Katesnk  (อ่าน 173416 ครั้ง)

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
 :z13: คนโพสต์  :z1:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :z13: :z13: :z13:  คนเขียน  จร้าๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
มา ต่อ ไวไว


น่ะคร้าบบบบ :mc4: :mc4: :mc4: :bye2: :bye2:

กะทิน้อย

  • บุคคลทั่วไป
โอ้ย โอ้ย จะตาย   :serius2:
คุณเรียวใจร้ายไปมั้ยเนี่ย ???
ยิ่งอ่านยิ่งเห็นใจเดียร์ไปทุกตอนทุกตอน
เดียร์เอ้ยยยยยยยยยยยยย .. รักคุณเรียวต้องอดทนไว้นะ .. ไอ่น้อง

อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
สง
สาร
เดียร์
 :o12:

ออฟไลน์ panpan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 366
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-2
สงสารเดียร์จัง :m15:

เมื่อไรเรียวจะยอมรับความจริงซะที



anna1234

  • บุคคลทั่วไป
มาต่อให้วันเว้นวันนะ ที่ละ 2 ตอนเลยเอานะนะ
วันนี้เค้าเหนื่อยจริงๆ :เฮ้อ:

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 33

“เฮ้ย เป็นอะไรไปวะเรียว ทำไมไม่เห็นสดชื่นเลย งานเลี้ยงวันเกิดตัวเองแท้ๆ ยิ้มหน่อยสิวะ”

เจ้าสันต์เอาข้อศอกกระทุ้งสีข้างของผมเมื่อเห็นว่าผมนั่งเหม่อลอยไม่ยอมแตะต้องอาหารที่พวกมันซื้อกันมา ตอนนี้สนามหญ้าหน้าบ้านผมถูกดัดแปลงเป็นที่จัดงานปาร์ตี้ย่อยๆ โดยมีผม คุณแคท สันต์ ศักดิ์ชาย และแขกรับเชิญพิเศษ เพื่อนบ้านที่แสนดี พี่สมชาย และภรรยา มาร่วมวงเฮฮา

ตอนแรกพวกนั้นอยากจะไปจัดงานข้างในบ้าน แต่ผมไม่อยากให้พวกเพื่อนๆเห็นร่องรอยของเดียร์ จึงอ้างว่าข้างนอกบรรยากาศดีกว่า คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงด้วย แล้วอาหารที่พวกนั้นเตรียมมา ก็เป็นพวกอาหารปิ้งย่าง พวกกุ้ง หอย ปลา ปลาหมึก และบาร์บีคิว ซึ่งควันจะคลุ้ง ผมไม่อยากให้ครัว และข้างในบ้านเหม็น เนื่องจากตัวคนเดียว ทำความสะอาดลำบาก แต่พวกนั้นก็ทำท่าไม่เชื่อ บอกว่ายินดีช่วยทำความสะอาดให้ ถ้าไม่ได้เจ้าสันต์ซึ่งเหมือนจะล่วงรู้ความลำบากใจของผมช่วยจัดการให้ ป่านนี้ผมก็คงห้ามพวกนั้นไม่ให้เข้าไปวุ่นวายในบ้านผมไม่ได้

“นั่นนะสิคะเรียว เป็นอะไรมากไหม ยังเหนื่อยอยู่หรือคะ”

คุณแคทเอนตัวเข้ามาถามผมใกล้ๆ ท่าทางห่วงๆ แต่กริยาอาการเหมือนกำลังยั่วใครบางคนให้หึงมากกว่า ผมส่ายหน้า และยิ้มให้กับพวกเพื่อนๆที่กำลังมองผมอย่างสนใจ

“เปล่าครับ นั่งมองพวกคุณทานก็รู้สึกเพลิน อิ่มอกอิ่มใจน่ะ ทานกันให้เยอะนะครับ”

ผมกลบเกลื่อนด้วยการชี้ชวนให้ทุกคนทานอาหาร

“พวกเราทานกันจนพุงกางไปหมดแล้ว แต่เจ้าของงานนี่สิ ไม่เห็นจะกินอะไรเลย”

พี่สมชายถามอย่างห่วงใย ผมเชิญพี่สมชายพร้อมภรรยามาร่วมงานด้วย เพราะเห็นเดียร์บอกว่าเขาทำท่าอยากมาร่วม และผมต้องการที่จะพิสูจน์ความจริงอะไรบางอย่าง โชคดีที่พี่สมชายไม่ได้ถามผมเรื่องเดียร์ แค่มองสบตากัน ก็เหมือนว่าแกจะรับรู้ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จึงไม่ได้ทักอะไรให้ผมขายหน้า

“ทานอะไรหน่อยนะคะ คุณผอมมากรู้ไหม เมื่อก่อนหุ่นดีกว่านี้อีก เดี๋ยวแคทไปหาอะไรมาให้ดีไหม เอากุ้งหรือปลาหมึกดี หรือว่าจะเอาหอยด้วย เอาทุกอย่างรวมกันดีกว่า”

คุณแคทกุลีกุจอเดินไปตักอาหารให้

“แฟนคุณเรียวนี่น่ารักดีนะคะ เอาอกเอาใจดูแลไม่ยอมห่าง เมื่อไหร่จะมีข่าวดีกันล่ะ”

ภรรยาของพี่สมชายกล่าวชมคุณแคท และยิงคำถามใส่ผม เล่นเอาทุกคนอึ้งกันไปพัก ศักดิ์ชายซึ่งกำลังซดน้ำแกงต้มยำกุ้งถึงกับสำลัก ไอค่อกแค่ก ผมแอบได้ยินศักดิ์ชายถามสันต์ว่าผมและคุณแคทเป็นแฟนกันตั้งแต่เมื่อไหร่ เจ้าสันต์ยิ้ม และพูดรอดไรฟันว่า ตั้งนานแล้ว นายไม่สังเกตเองต่างหาก ผมหันไปมองพี่สมชาย ก็เห็นเขาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนไม่อยากยุ่งเรื่องชาวบ้าน
“มาแล้วค่ะ”

คุณแคทลียา ส่งเสียงหวาน พลางเดินมาหา ในมือถือถาดที่ใส่จานกุ้ง ปลาหมึก และปูที่ย่างไว้เรียบร้อยแล้วมาวางให้ตรงหน้า ผมเหลือบแลไปทางพี่สมชายโดยอัตโนมัติก็เห็นเพื่อนบ้านผมลอบมองอยู่ก่อนแล้ว เห็นสายตาที่เขามองคุณแคท และกริยาของเพื่อนร่วมงานสาวที่ดูจะอี๋อ๋อกับผมเป็นพิเศษเวลาอยู่ต่อหน้าพี่สมชาย ทำให้ผมไม่มีข้อสงสัยเลยว่า สองคนนี่ต้องรู้จักกันมาก่อนแน่ๆ และพี่สมชายก็คือคนรักเก่าของคุณแคท ที่เธอต้องการทวงคืนจากภรรยาและลูกของเขา

พี่ผู้หญิงดูจะไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังชื่นชมคนรักเก่าของสามีของตัวเอง ถ้าเธอรู้เข้า บ้านคงแตก เพราะใครๆก็รู้ดีว่า แฟนของพี่สมชายนอกจากจะช่างพูดแล้ว ยังดุมากอีกด้วย พี่สมชายไม่กล้าหือเลยสักครั้ง ด้วยเหตุนี้กระมังที่ทำให้พี่สมชายเริ่มที่จะปันใจให้กับกิ๊กเก่าที่ยังสวยยังสาวแบบคุณแคท เพราะเมียตัวเองพอมีลูกแล้วก็ไม่ปรุงแต่งตัวเอง ปล่อยให้เป็นยัยเพิ้ง แถมยังพูดจาไม่รักษาน้ำใจกัน ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบทำตัวเป็นผู้นำอยู่แล้ว เมื่อเมียข่มขู่มากๆ อาจจะะเบื่อหน่าย และแสวงหาผู้หญิงคนใหม่ที่ทำให้ตัวเองสบายใจมาเป็นชู้รัก

คิดแล้วก็ไม่อยากจะเข้าร่วมในเกมส์นี้ของคุณแคทเลย สงสารลูกและเมียของพี่สมชาย ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่เคยทำร้ายใคร แต่กลับมีคนจ้องจะแย่งสามีและพ่อของลูกไป และคนที่สมรู้ร่วมคิดก็ดันเป็นเพื่อนบ้านที่คุ้นเคยกันดีด้วย ผมไม่อยากทำบาปเลย เพราะแค่คิดจะช่วยเหลือ ผมและเดียร์ก็มีปัญหากันเสียแล้ว นี่คงเป็นผลกรรมกระมังที่ไปช่วยคนให้แย่งสามีชาวบ้านเขามา

คุณแคทคะยั้นคะยอให้ผมทานอาหารที่เธอนำมาให้ ด้วยการแกะเนื้อปู และ เอากุ้งมาลอกเปลือกออกและวางบนจานให้ ชวนผมพูดคุยด้วยถ้อยคำหวานหู จนศักดิ์ชายและเจ้าสันต์ลอบมองหน้ากัน ตอนนี้ความสนใจของทุกคนไม่ได้อยู่ที่อาหาร แต่กลับมาอยู่ที่ผมและคุณแคทซึ่งกำลังสวีทหวานแหววกัน

แม้ว่าจะอึดอัดแค่ไหน แต่ผมก็ต้องฝืนใจทำเป็นยิ้มสดชื่น เพื่อให้สิ่งที่ตัวเองกับคุณแคทเริ่มไว้ จบลงเสียที ยิ่งยืดเยื้อนานออกไป ผมกับเดียร์ก็จะยิ่งไม่เข้าใจกัน และจะห่างกันออกไปทุกที นี่ก็ไม่รู้ว่าหนุ่มที่ผมคิดถึงไปอยู่ที่ไหน ข้าวปลาจะได้กินหรือยัง กำลังร้องไห้เพราะผมอยู่หรือเปล่า โทรไปหลายรอบแล้วก็ไม่ยอมรับสาย ติดต่อไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่ วันนี้เดียร์ไม่ทำงาน เพราะเขาขอหยุดเพื่ออยู่ดูแลผม ดังนั้นเขาคงไม่ได้ไปที่ร้านกาแฟนั่นแน่ๆ น่าจะโทรมาบอกกันบ้าง ไม่ใช่เงียบหายไปแบบนี้ ผมคิดถึงและเป็นห่วงเขา

เมื่อไหร่พวกนี้จะกลับไปบ้านช่องของตัวเองนะ ดูท่าว่าแต่ละคนจะไม่ยอมกลับกันง่ายๆ ตอนนี้ทุกคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนานเป็นกันเอง ขนาดเพื่อนบ้านซึ่งผมเพิ่งแนะนำให้รู้จักกันกับพวกเขา ยังเข้าร่วมวงสนทนาด้วยอย่างครึกครื้น

ภรรยาของพี่สมชายกลับบ้านไปก่อนแล้ว เพราะเป็นห่วงลูกน้อยที่อยู่กับคนใช้เพียงลำพัง ส่วนพี่สมชายติดลมบนอยู่ต่อ แต่ก็ถูกคำสั่งเคอร์ฟิวส์จากผู้เป็นเมียให้อยู่ได้แค่ไม่เกิน 4 ทุ่มเท่านั้น เมื่อไม่มีสายตาของคู่ชีวิตที่คอยจ้อง พี่สมชายก็มองคุณแคทด้วยสายตาตัดพ้อเต็มที่
ดูเหมือนคุณแคทก็รู้ตัวว่ากำลังถูกมอง เธอยิ่งเอาอกเอาใจผมมากยิ่งขึ้น จนผมเองก็เริ่มที่จะอึดอัด เพราะเห็นศักดิ์ชายมองมาอย่างสงสัย แถมซ้ำพี่สมชายก็มองผมตาขวาง คนที่ดูเหมือนจะมีความสุขมากที่สุดในวันนี้กลับกลายเป็นคุณแคท สงสัยแผนการณ์ที่วางไว้ คงจะเป็นผล เธอคงยั่วให้พี่สมชายหึงผมกับเธอได้

หลังจากปั่นหัวเป้าหมายได้แล้ว เธอก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำซึ่งอยู่ในบ้าน เธอหายไปสักพัก พี่สมชายก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำบ้าง บนโต๊ะอาหารกลางสนามจึงเหลือเพียงผม สันต์ และศักดิ์ชายแค่สามคน เพื่อนสมัยเรียนรัวคำถามเกี่ยวกับคุณแคทไม่ยั้ง ตั้งแต่เป็นแฟนกันเมื่อไหร่ เป็นแฟนกันจริงเหรอ คบหากันจริงหรือแค่เล่นๆ คบกันมานานหรือยัง ท่าทางศักดิ์ชายอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ ในขณะที่สันต์นั่งเฉย เพราะรู้เรื่องทุกยอ่างตั้งแต่แรกแล้ว

ผมบอกศักดิ์ชายไปเพียงบางเรื่อง ไม่ได้โกหก แต่ไม่พูดความจริง เพราะขี้เกียจอธิบาย ศักดิ์ชายเป็นคนที่เข้าใจอะไรยาก มักตั้งคำถามที่คนตอบรู้สึกอึดอัด อย่างเช่นกรณีนี้ ผมแค่บอกมันว่า ผมกับคุณแคทสนิทกัน จะเรียกว่าเป็นคนรู้ใจกันก็ได้ มันก็ดันซักถามว่า ไอ้คำว่าคนรู้ใจของผมนี่ มันกินความกว้างแค่ไหน มันหมายถึงเป็นแฟนกัน และพร้อมจะแต่งงานกันหรือไม่

ผมบอกว่าไม่แน่ใจ ยังตอบไม่ได้ มันก็เลยพูดเป็นเชิงสั่งสอนผมว่า จะคบกับใครก็ต้องดูให้ดีเสียก่อน ตอ้งแน่ใจว่ารักชอบกันจริงๆ ค่อยตกร่องปล่องชิ้นกัน มันทำราวกับว่าผมคิดเองไม่เป็น จนผมกับสันต์ต้องลอบมองหน้ากันและยิ้มด้วยความขำ

คุณแคทกับพี่สมชายหายไปห้องน้ำกันนานมาก ไม่รู้ว่าไปทะเลาะกันหรือเปล่า หรือบังเอิญไปเจอข้าวของๆเดียร์ในห้องนั่งเล่น แล้วชวนกันขุดคุ้ยหาความลับของผม ความที่กลัวความลับแตกทำให้ผมนั่งไม่ติด เลยขอตัวกลับเข้าบ้าน อ้างว่าจะไปเอาเครื่องดื่มมาเพิ่มเติม ให้สันต์กับศักด์ชายนั่งอยู่ด้วยกันสองคน

ประตูห้องน้ำเปิดกว้าง คุณแคทไม่ได้อยู่ในนั้น ข้างบนในส่วนที่เป็นห้องนอนผมก็ปิดล็อคเริยบร้อย ผมกำลังจะเดินไปเปิดประตูเพื่อไปสู่ลานซักรีดด้านหลัง ก็เห็นร่างของคนสองคน ที่กำลังกอดจูบนัวเนียแนบชิดกันผ่านทางหน้าต่างบานเกล็ด แสงจันทร์ที่สาดส่องทำให้มองเห็นว่าพี่สมชายกำลังจูบซุกไซร์อยุ่ตรงเนินอกของคุณแคท มือข้างหนึ่งสอดเข้าไปใต้เสื้อและเกาะกุมคลึงเคล้นทรวงอกอวบนั่น หน้าของเธอแหงนหงาย สองมือกดสะโพกพี่สมชายเข้าหาตัวเอง

ผมรู้สึกตกใจต่อภาพที่เห็น ถอยหลังกรูด และย่องออกมาจากบ้านเงียบๆ ไม่มีข้อกังขาใดๆทั้งสิ้นสองคนนี้เคยรักกันมาก่อนจริงๆ แต่มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น ทำให้ต้องแยกทางกันไป พี่สมชายไปแต่งงาน ส่วนคุณแคทครองตัวเป็นโสด จนถึงปัจจุบันนี้
สองคนนั้นโวยวายกันใหญ่ที่ผมเดินกลับมามือเปล่า ผมบอกว่า ทุกอย่างขนออกมากินจนหมดแล้วจริงๆ แต่พวกมันไม่เชื่อ จะเดินเข้าไปเอาเอง ผมต้องทำเสียงดังใส่มันบอกว่าไม่มีก็คือไม่มีสิ ศักดิ์ชายมองหน้าผมอย่างงงๆ เพราะร้อยวันพันปี ผมจะไม่ค่อยทำหงุดหงิดใส่ใคร ถ้าผมเริ่มโมโห แสดงว่าผมต้องไม่พอใจมากจริงๆ พวกมันสองคนก็เลยเงียบ

ประมาณครึ่งชั่วโมงให้หลัง คุณแคทก็เดินออกมาจากตัวบ้าน ตรงมาที่สนามที่พวกเรานั่งกันอยู่ หน้าตาของเธอแช่มชื่น มีความสุข มาถึงก็แก้ตัวพัลวัน

“ขอโทษที่มาช้านะคะ เผอิญว่าแคทท้องเสีย สงสัยเป็นเพราะอาหารอาจจะย่างไม่สุกน่ะค่ะ แต่ตอนนี้ค่อยยังชั่วแล้ว”

“อ๋อ มิน่าล่ะ ดูเหมือนคุณแคทจะเหนื่อยๆ เห็นเหงื่อเต็ม เลย คงไปอยู่ในห้องน้ำนานนี่เอง”

ศักดิ์ชายเอ่ยทักอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ผมต้องเบือนหน้าหนี ไม่อยากสบตาคุณแคท เพราะกลัวว่าสายตามันจะฟ้องออกไปว่าผมรู้ดีว่าคุณแคทไปทำอะไร

“เอ แล้วนี้ใครเอาตัวเพื่อนบ้านนายไปไหนแล้ววะเรียว เห็นบอกว่าจะไปห้องน้ำ ท้องเสียเหมือนคุณแคทหรือเปล่าวะ หายไปตั้งนาน หรือแอบย่องกลับบ้านไปจู๋จี๋กับเมียแล้ว”

เจ้าสันต์ก็อีกคน ผมคิดว่ามันรู้เหมือนที่ผมรู้ ถึงมันไม่เห็น แต่มันก็คงจะพอเดาได้ เจ้านี่มันฉลาดจะตาย ชอบคิดวิเคราะห์จับโน่นมาผสมนี่ บางครั้งสิ่งที่มันคิดก็ถูกต้องตรงเผง เสียดายที่มันไม่ได้ทำงานด้านการตรวจสอบต่อ ไม่อย่างนั้นบริษัทคงจับผิดลูกค้าที่ทุจริตเข้ามาทำประกันได้อีกหลายราย แต่เอามันไปอยู่ฝ่ายสินไหมก็ดีเหมือนกัน เพราะมันก็ช่วยทำให้บริษัทไม่ต้องจ่ายสินไหมที่ไม่เป็นธรรมมากนัก

“มาแล้วครับ”

ตายยากจริงๆ พูดถึงก็มา พี่สมชายเดินกุมท้องตัวงอมาแต่ไกล ผมต้องก้มหน้าลง ซ่อนยิ้ม เมื่อพี่สมชายใช้ข้ออ้างเดิมแบบที่คุณแคทพูดขึ้นมาเมื่อสักครู่ว่าท้องเสียเลยเข้าห้องน้ำนานไปหน่อย สงสัยกินอาหารสุกๆดิบไม่สะอาดเข้าไป ศักดิ์ชายซึ่งไม่เคยรู้อะไรกับเขาเลยรีบพูดขึ้นมาอย่างปริวิตกว่า คนท้องเสียตั้งสองคน สงสัยเป็นเพราะอาหารจริงๆ บอกแล้วให้หาอย่างอื่นมากิน แทนที่จะเป็นพวกกุ้งหอยปูปลาย่าง เพราะบางทีมันอาจจะไม่สะอาด

เจ้าสันต์ก็เถียงว่า อาหารอย่างอื่นกินตามโรงแรมบ่อยแล้ว อยากเปลี่ยนบรรยากาศมากกว่า และกินแบบนี้ ก็อร่อยด้วย เพียงแค่ย่างให้สุกเท่านั้น สองคนนั้นตั้งท่าจะวางมวยต่อ ผมเลยต้องรีบห้ามทัพบอกว่าให้เกรงใจคุณแคทกับพี่สมชายบ้าง จะมาทะเลาะกันต่อหน้าแขกทำไม คุณแคทเลยบอกว่าจะกลับบ้านแล้วก่อน เพราะเธอรู้สึกปวดท้อง อยากกลับไปพัก จากนั้นก็อวยพรวันเกิดขอให้ผมมีความสุขให้มากๆ ผมเลยอาสาจะไปส่งเธอที่รถ

พี่สมชายก็ลุกขึ้นบ้าง บอกว่าเขาเองก็ขอตัวกลับเช่นเดียวกัน เดี๋ยวภรรยาและลูกจะคอยนาน นี่มันก็ดึกแล้ว ไม่อยากจะรบกวนเวลาผมไปมากกว่านี้ จากนั้นเขาก็อวยพรให้ผมยืดยาว ผมกล่าวขอบคุณ และเดินไปส่งคนทั้งสอง ทิ้งให้สันต์กับศักดิ์ชายนั่งอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม

ตอนที่เดินกลับมา ผมก็เห็นเพื่อนสองคนกำลังเถียงกันหน้าดำหน้าแดง ผมส่ายหน้าด้วยความระอาใจ ปล่อยสองคนนี้ไว้ด้วยกันทีไร ต้องกัดกันทุกที

“เฮ้ย เป็นอะไรวะสองคนนี่ ทะเลาะกันอยู่ได้ นี่ขนาดมางานวันเกิดฉันแท้ๆ ยังจะมาทะเลาะกันเป็นเด็กๆอีก”
“ก็ฉันถามสันต์ดีๆ ว่าตกลงนาย ชอบคุณแคท หรือ ชอบไอ้เด็กแดนเซอร์กันแน่ มันก็โวยวายหาวว่าฉันยุ่งไม่เข้าเรื่อง”

ก็น่าอยู่หรอกที่สันต์มันจะด่าศักดิ์ชายไปอย่างนั้น ทำไมมันถึงจะต้องมาอยากรู้เรื่องของผมด้วย นี่ถ้ามันถามผม ผมก็คงจะด่ามันเช่นกัน

“ทำไมถึงถามแบบนี้วะ”

ผมชักฉุน ศักดิ์ชายทำหน้าเอ๋อๆ เพิ่งนึกได้ว่าเผลอพูดอะไรออกไป มันทำหน้าสำนึกผิด รีบอธิบายให้ผมเข้าใจ

“ฉันขอโทษทีนะ เรียว ฉันแค่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวบางอย่างมา ก็เลยไม่สบายใจ มีคนเขาไปลือกันว่านายกับเด็กเดียร์แดนเซอร์ที่มาสอนเต้นให้พวกเรากำลังคบหากันอยู่ ฉันไม่แน่ใจก็เลยอยากรู้ เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยเห็นนายมีข่าวด้วยเรื่องแบบนี้ แล้วเมื่อสักครู่ คุณแคททำท่าสนิทสนมเอาอกเอาใจนายเหมือนกับว่าเป็นแฟนกัน ฉันก็เลยอดสงสัยไม่ได้น่ะ พอถามเจ้าสันต์มันก็ด่าฉัน ทั้งๆที่ฉันไม่ได้คิดจะอยากยุ่งเรื่องนายเลยนะ แค่เป็นห่วงเท่านั้นเอง เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง ถ้าเรื่องที่พูดมาไม่มีมูลความจริง ฉันจะไปด่าพวกนั้นให้”

ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน รู้สึกเบื่อหน่ายเพื่อนๆและผู้คนรอบข้าง ทำไมถึงชอบอยากรู้อยากเห็นเรื่องราวชีวิตของคนอื่นกันจังนะ หรือว่า การได้รู้ข่าวคาวๆของคนอื่น มันทำให้ชีวิตของพวกเขาสูงส่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ดูสิ แม้แต่เพื่อนผมเอง ก็อดไม่ได้ที่จะให้ความสนใจในเรื่องของผม มันอยากจะช่วยจริงๆ หรืออยากจะให้รู้แน่แก่ใจว่าผมชอบผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่ แล้วถ้ามันรู้ว่าผมเป็นอย่างไร มันยังจะคบผมต่อ หรือแสดงอาการรังเกียจเดียดฉันท์ หรือนับเข้าพวกกับมันล่ะ

“ขอบใจนะ แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ นายก็น่าจะรู้ดีนี่ศักดิ์ ว่าคนมันก็ชอบลือชอบพูดกันไป จริงหรือไม่จริงก็เอามาใส่สีใส่ไข่ให้สนุกปาก สำหรับคุณแคทน่ะฉันยอมรับว่าช่วงนี้เราสนิทกันมาก เพราะทำงานด้วยกันตลอด แต่จะพัฒนาไปเป็นแฟนหรือเปล่า เป็นเรื่องของอนาคตนะ นายน่ะ ก็ฟังหูไว้หูแล้วกัน อย่าเดือดร้อนไปรบราฆ่าฟันกับใครเพื่อฉันเลย เดี๋ยวนายจะซวยไปด้วย”

ผมตอบข้อสงสัยของศักดิ์ชาย โดยพูดเป็นนัยๆให้มันเลิกสนใจเรื่องของผม

“อย่างที่ฉันบอกนั่นแหละสันต์ รู้ไปแล้วได้อะไรขึ้นมาวะ นี่เพื่อนนะโว้ย มันจะชอบใครก็เรื่องของมันสิ วิถีชีวิตของใครของมัน โตๆกันแล้ว ตัดสินใจกันเองได้น่า ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุขที่สุด อย่าไปยุ่งกับไอ้เรียวมันนักเลยวะ ยุ่งเรื่องของตัวเองเถอะ ตัวเองก็มีเรื่องที่จะต้องคิดไม่ใช่เหรอ ขนาดตัวเองยังตอบไม่ได้ว่าต้องการอะไร แล้วจะมาบังคับให้คนอื่นตอบได้ไง ไม่เอาล่ะ กลับบ้านกันดีกว่าว่ะ ศักดิ์ชาย เรากวนเจ้าเรียวมันมามากแล้ว มันคงอยากพักผ่อน ฉันก็จะไปหานายเบนบ้าง หมู่นี้ ไม่ได้เจอกัน เห็นงอนๆอยู่ต้องรีบไปเอาใจว่ะ นายเองก็ต้องกลับไปหาลูกหาเมียเหมือนกันนี่นา งั้นเราลาเรียวกันตรงนี้เลยดีไหม”
เจ้าสันต์อดไม่ได้ที่จะพูดเหน็บเพื่อนเก่าของผม จากนั้นมันก็หาทางลากศักดิ์ชายกลับบ้านจนได้ ผมชอบมันตรงนี้แหละ ถึงสันต์จะปากมาก แต่มันก็คอยช่วยเหลือผมทุกอย่าง เช่นตอนนี้ มันรู้ว่าผมเริ่มอึดอัดใจกับคำถามของศักดิ์ชาย ไม่อยากจะตอบในสิ่งที่ผมเองก็ยังไม่ได้ตัดสินใจ มันเลยรับลูกด้วยการต่อว่าศักดิ์ชายแทนผม แล้วพากลับบ้านเสียเลย

ผมเดินไปตบหลังมันเป็นการขอบคุณ หลังจากที่ส่งศักดิ์ชายขึ้นรถแล้ว มันหันมายักไหล่ บอกว่าไม่ต้องขอบอกขอบใจอะไรหรอก มันเองก็รู้สึกรำคาญศักดิ์ชายอยู่ไม่น้อย แต่ที่ชวนมาด้วย เพราะว่า คุณแคทอยากให้มีคนมาบ้านผมเยอะๆ คงกลัวคำครหาที่จะมาบ้านผู้ชายสองต่อสอง จากนั้นมันก็ถามผมถึงเดียร์ พอผมบอกว่า ไม่อยู่ออกไปข้างนอก มันก็ถามว่าเป็นเพราะพวกมันหรือเปล่า ถึงผมไม่ตอบแต่มันก็คงจะเดาได้จากอากัปกริยาของผม เจ้าสันต์ส่ายหน้า มันคงนึกระอาผมที่ทำอะไรไม่ได้ดังใจมัน เจ้าสันต์เลยเอ็ดตะโรผมอย่างโกรธๆ

“ทำไมนายถึงไม่เคยทำอะไรตามใจตัวเองบ้างวะเรียว จะแคร์คนอื่นไปทำไม ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร เพื่อความถูกต้องงั้นเหรอ แล้วใครวะที่เจ็บ คนอื่น หรือแกวะ อย่าบอกนะว่าไม่รู้สึกอะไร แกให้เดียร์ไปที่อื่นไกลจากหูตาของพวกฉัน เด็กนั่นก็คงจะน้อยใจ เตลิดไปไหนก็ไม่รู้ ส่วนตัวเองก็มานั่งห่วงกังวล ไม่กินข้าวกินปลา ใครกันแน่วะที่เจ็บปวด แกใช่หรือเปล่า

เลิกยึดถือได้แล้วกับไอ้หลักการบ้าบออะไรนั่น ไม่จำเป็นหรอกโว้ยที่ตัวผู้จะต้องได้กับตัวเมียเท่านั้น ใครแม่งบัญญัติขึ้นมาวะอยากจะรู้ ฉันล่ะโคตรจะแอนตี้เลย มันทำให้สังคมอยู่ได้อย่างมีความสุขก็จริงที่คนเราปฏิบัติตัวให้อยู่ในทำนองครองธรรม แต่คนเรามันจะอยู่ได้ไง ถ้าปราศจากหัวใจ

ถามจริงๆเถอะ แกแคร์นักใช่ไหมกับการเป็นคนดีของสังคม เป็นคนดีที่ทำถูกต้อง ชีวิตไม่เคยด่างพร้อย แต่ต้องเจ็บปวด ทำร้ายทั้งคนอื่น และทำร้ายตัวเองอีกด้วย ฉันล่ะเชื่อแกจริงๆ อยากจะด่าแกว่าไอ้งั่ง แต่เห็นแก่ที่แกเป็นคนดี จิตใจงาม เข้าใจว่าแกคงทำไปเพียงเพราะความรู้สึกดีๆของแกที่มีต่อสังคม แกไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมเบี่ยงเบนไปจากปกติ แกเป็นคนดีที่ไม่รักตัวเองเลย งั้นฉันขอด่าแกแค่ไอ้ชื่อบื้อ ไอ้ทึ่มก็แล้วกัน งี่เง่าจริงๆ ด่าแกนี่ ฉันเหนื่อยนะโว้ย”



anna1234

  • บุคคลทั่วไป
มันหอบจนตัวโยน หลังจากร่ายยาวด่าผมแบบไม่มีเบรค ผมอ้าปากจะเถียงมัน แต่เห็นอาการของมันแล้วก็โกรธมันไม่ลง นี่ถ้ามันไม่รักผม คงไม่ด่ามากมายขนาดนี้ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องของมันสักหน่อย มันคงหวังดีกับผมจริงๆ ผมเลยยิ้มแหยๆให้มันเป็นการยอมรับไปโดยปริยายว่าสิ่งที่มันพูดถูกต้อง ผมน่ะ มันงี่เง่าจริงๆ ที่ไม่เห็นความดีที่เด็กนั่นทำให้ เขาอุตส่าห์ทำเพื่อผมตั้งมากมายแต่ผมกลับตอบแทนน้ำใจของเขาด้วยการกันเด็กหนุ่มออกไปให้ห่างๆ เพียงเพราะเขาเป็นผู้ชายเท่านั้นเอง
อันที่จริง เรื่องที่หัวหน้าและคนรอบข้าง ยกขึ้นมากล่าวอ้างเป็นเหตุผลให้ผมเลิกกับเดียร์ ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงเงินทอง ลาภยศ ผมไม่เคยใส่ใจเลย ผมยินดีสละมันได้ เพื่อคนที่ผมรัก

หากแต่สิ่งที่ทำให้ผมยังคงลังเลใจอยู่ นั่นคือการที่เราสองคนดันมีเพศเดียวกัน ผมไม่เคยแม้แต่จะคิดมาก่อนว่าตนเองจะต้องไปรักกับผู้ชายถึงขั้นอยู่กินกันอย่างเปิดเผย การที่ผมได้มาเป็นแฟนกับเดียร์ผมก็ไม่ได้เต็มใจด้วยซ้ำ ตั้งแต่แรก

ผมถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ผมไม่ชอบโดยไม่อาจจะขัดขืนได้ นั่นก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่ผมไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ ผมเพิ่งมารักเขาในเวลาต่อมา หลังจากเห็นความดีในสิ่งที่เขาทำให้ผม แต่เมื่อจะต้องตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเขา ผมก็เลยเกิดความลังเล ไม่แน่ใจ

ผมกลัว กลัวว่าจะไปกันไม่รอด การตัดสินใจคบกัน มันต้องอาศัยกำลังใจอย่างใหญ่หลวง ต้องอดทนต่อคำติฉินนินทาจากคนรอบข้าง และที่สำคัญ ผุ้ชายกับผู้ชาย ไม่มีอะไรผูกพันธ์กันเหมือนผู้ชายกับผู้หญิง การแต่งงานไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม สร้างครอบครัวร่วมกันได้ลำบาก มีลูกด้วยกันก็ไม่ได้ อายุของเราก็ต่างกัน เขายังเด็ก ยังมีโอกาสจะได้เจอคนอีกมากมาย ส่วนผมอายุมากกว่าเขา นิสัยเราก็ต่างกัน หากเราไปกันไม่ได้ ผมจะทำอย่างไร

เขาว่ากันว่า เกย์ส่วนใหญ่ ไม่มีรักแท้ มีความรักแค่ฉาบฉวย ไม่จีรังยั่งยืน ผมไม่แน่ใจว่า เมื่อผมทิ้งงานการ ทิ้งทุกอย่างที่มีเพื่อเขา และเราไม่สามารถไปกันได้รอด ผมจะอยู่ได้อย่างไร จะไม่กลายเป็นว่า สิ่งที่ผมตัดสินใจทำลงไปมันสูญเปล่าหรือ

ผมต้องการความรักที่มั่นคง ผมไม่ต้องการความผิดหวังอีกแล้ว ครั้งที่ผ่านมา ผมก็เจ็บปวดเกินพอ ถ้าผมจะมีรักใหม่ผมต้องแน่ใจว่า ผมจะสามารถใช้ชีวิตกับคนรักของผมตลอดไป และผมก็ไม่ต้องการปิดบังซ่อนเร้น การหลบๆซ่อนๆไม่ใช่เรื่องดี ขนาดผมยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะอยู่กับเดียร์ แต่ต้องมาหลบซ่อนเพื่อนๆของผม มันยังทำให้ผมทุกข์ทรมานเลย

ที่ผมยังไม่ตัดสินใจอะไรลงไป เพราะผมต้องการเวลา ผมอยากให้ตัวเองแน่ใจว่า ผมรักเดียร์มากจริงๆถึงขนาดที่จะเปิดเผยตัวตนโดยไม่เกรงคำครหา ผมต้องการความมั่นใจว่า ความรักครั้งนี้มันจะจีรังยั่งยืนเพียงพอและเราสามารถครองคู่กันไปได้ตลอดรอดฝั่ง

และลึกๆลงไปแล้ว ผมต้องการพิสูจน์ว่า ผมสามารถรักเกย์ได้จริงๆโดยไม่นึกรังเกียจ บางทีความรักอย่างเดียว มันอาจจะไม่เพียงพอที่จะอยู่ร่วมกัน ต้องอาศัยความเข้าใจ อดทน อดกลั้น และความเสียสละ เพราะต้องละเลิกสิ่งที่เคยมี และเปลี่ยนวิถีชีวิตเดิมๆ หากผมไม่มั่นใจว่าจะยอมแลกทุกสิ่งได้ ก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะไปให้ความหวังกับเดียร์ เพราะจะเป็นการไปสร้างความเจ็บปวดให้กับเขาเปล่าๆ สู้ปล่อยเขาไปหาคนที่รักเขาจริงดีกว่า

“เรียว อย่าว่าโง้นงี้เลยนะ ถือว่าฉันขอร้องแล้วกัน ตามใจตัวเองซักครั้ง ลองดู อย่าอคติ แล้วถามตัวเองว่าชอบไหม รักไหม อยู่ด้วยกันได้ไหม ถ้าคำตอบคือไม่ นายไม่มีความสุข ก็เลิกซะ อย่ายื้อ จะเจ็บปวดทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าชอบจริง รักจริง ก็ตัดสินใจเลย อย่ารอช้า คนดีๆ ไม่อยู่รอเรานานๆหรอกนะ เดี๋ยวหมามันจะคาบเอาไปก่อน แต่ถ้านายไม่ต้องการจริงๆ บอกฉันนะ ทั้งหล่อและดีแบบนายเดียร์ ฉันยอมเปลี่ยนบทบาทจากรุกกลายเป็นรับเลยว่ะ ดีกว่าพลาดปล่อยให้หลุดมือไป”
“เรียว อย่าว่าโง้นงี้เลยนะ ถือว่าฉันขอร้องแล้วกัน ตามใจตัวเองซักครั้ง ลองดู อย่าอคติ แล้วถามตัวเองว่าชอบไหม รักไหม อยู่ด้วยกันได้ไหม ถ้าคำตอบคือไม่ นายไม่มีความสุข ก็เลิกซะ อย่ายื้อ จะเจ็บปวดทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าชอบจริง รักจริง ก็ตัดสินใจเลย อย่ารอช้า คนดีๆ ไม่อยู่รอเรานานๆหรอกนะ เดี๋ยวหมามันจะคาบเอาไปก่อน แต่ถ้านายไม่ต้องการจริงๆ บอกฉันนะ ทั้งหล่อและดีแบบนายเดียร์ ฉันยอมเปลี่ยนบทบาทจากรุกกลายเป็นรับเลยว่ะ ดีกว่าพลาดปล่อยให้หลุดมือไป”

สันต์หยุดโวยวายเปลี่ยนเป็นพูดหว่านล้อมผม เมื่อเห็นผมทำท่าเหมือนคนใกล้จะตาย คำด่าของมันเมื่อครู่ทำให้ผมยิ่งคิดมากเข้าไปใหญ่ เสียใจที่ทำร้ายเดียร์และเริ่มเป็นห่วงว่าเขาอยู่ที่ไหน ผมไม่น่าให้เดียร์ออกจากบ้านไปเลย การกังวลใจถึงใครบางคน ไม่มีความสุขเวลาที่เขาไม่อยู่ แบบนี้เรียกว่าผมมีรักแท้ให้เดียร์หรือเปล่า ผมยังสงสัย บางทีสันต์อาจจะพูดถูก คงถึงเวลาที่ผมจะต้องตัดสินใจได้เสียที ว่าจะเลือกใช้ชีวิตแบบใด จะกลับไปอยู่กับสังคมเดิมของตัวเองโดยปราศจากเด็กหนุ่มนั่น หรือจะเลือกทำตามหัวใจตัวเอง และทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง

“ฉันขอโทษนายด้วยนะ ที่พวกฉันมาขัดจังหวะเวลาที่นายกับหนูเดียร์จะได้อยู่ด้วยกัน หากเพียงแค่นายปฏิเสธ ไม่ยอมตามใจพวกฉัน นายก็คงไม่ต้องมานั่งทุกข์ใจแบบนี้ บางทีฉันอาจจะพูดแรงเกินไป นายอาจจะเจ็บปวด แต่ฉันหวังดีกับนายจริงๆนะเพื่อน ฉันรู้ว่านายเป็นคนดี ตลอดชีวิตของนาย พยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่สร้างปัญหาให้กับสังคม แต่การทำเพื่อให้ตัวเองมีความสุขบ้างด้วยการแหกกฏเกณฑ์เล็กๆน้อยๆมันไม่ทำให้สังคมปั่นป่วนมากมายนักหรอก เป็นคนดีแบบเดิมเถอะเรียว แต่เป็นคนดีที่มีความสุข แล้วสังคมรอบข้างก็จะมีความสุขตามไปด้วย เชื่อฉันเถอะนะ โทรไปหาเขาซะนะเรียว ถ้าคำตอบคือ เด็กนั่นคือหัวใจของนาย ”

สันต์กลับไปแล้ว โดยทิ้งข้อความให้ผมได้กลับไปคิด ผมเดินมานั่งที่เก้าอี้ตรงสนามหญ้าหน้าบ้านอย่างอ่อนแรง นี่ผมคงทำผิดไปจริงๆ แม้แต่เจ้าสันต์ก็ยังเอ่ยปาก แต่ก็นั่นแหละ เพื่อนรักของผมมันเชียร์ให้เปิดใจตัวเองตั้งแต่แรก ถ้าทุกอย่างมันง่ายอย่างที่พูดก็ดีนะสิ ผมคงไม่ต้องมานั่งกลุ้มอกกลุ้มใจอยู่อย่างนี้

เจ้าเด็กบ้านั่น ก็ติดต่อไม่ได้ ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน กินข้าวแล้วหรือยังก็ไม่รู้ โทรไปก็ติดต่อไม่ได้ เหมือนกับโทรศัพท์ปิดเครื่อง หรือว่าโกรธ น้อยใจผม จนไม่อยากจะพูดคุยด้วยนะ ก็น่าอยู่หรอก อุตส่าห์ทำกับข้าวให้ตั้งมากมาย หวังจะได้ฉลองด้วยกัน แต่ผมก็ดันหักหลังเขาเสียได้ แล้วนี่จะกลับมาที่บ้านผมหรือเปล่า หรือจะงอนไม่มาเลย เล่นไม่รับสายแบบนี้ ผมจะรู้ได้ยังไง

ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม ผมเลยหาอะไรทำฆ่าเวลาระหว่างที่รอเดียร์กลับมา เก็บข้าวของจานชาม อาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ พวกเพื่อนๆกินแล้ว ก็เผ่นหนี ไม่ยอมช่วยเก็บเลย ผมนึกถึงเดียร์อีกแล้ว ถ้าเจ้าหนูนั่นอยู่ เค้าคงไม่ปล่อยให้เลอะเทอะแบบนี้ เขาต้องจัดการมันก่อนที่ผมจะลงมือทำด้วยซ้ำ เขาทำทุกอย่างโดยไม่ปริปากบ่น แต่ผมกลับมองสิ่งที่เขาทำเหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญ ผมนี่มันโง่จริงๆที่ทำตัวแย่ๆกับคนที่รักเราถึงเพียงนี้

เก็บของเสร็จผมก็มานั่งรอเด็กหนุ่มอยู่ที่ห้องรับแขก เปิดทีวีดูรายการต่างๆไปเรื่อยเปื่อย แต่ดูไม่รู้เรื่อง นาฬิกาที่ฝาผนังบอกเวลาเที่ยงคืนแล้ว ผมอ้าปากหาว รู้สึกง่วงเหลือเกิน พยายามจะฝืนลืมตา เวลาที่เดียร์มาผมจะได้เห็น แต่แล้วผมก็แพ้สังขารของตัวเอง ความเหนื่อยล้า ทำให้ผมเผลอหลับไป
รู้สึกตัวอีกทีต่อเมื่อร่างของผมลอยขึ้น ผมลืมตาตื่นก็เห็นว่าตัวเองกำลังอยู่ในอ้อมกอดของเด็กหนุ่ม เขาอุ้มผมกำลังจะพาขึ้นไปยังชั้นบน ผมรีบร้องห้าม แล้วบอกให้เขาปล่อยผมลง

“เพิ่งกลับมาหรือเดียร์ เมื่อกี้ไปอยู่ที่ไหนมา ทำไมไม่รับสายล่ะ ฉันโทรไปตั้งหลายรอบ”

เดียร์ยิ้มให้ผม หน้าเขายังเศร้าๆอยู่

“เห็นแล้วครับ เผอิญผมปิดมือถือไว้นะครับ กลัวตัวเองจะเผลอโทรมารบกวนคุณ เลยรีบปิดก่อนที่จะยั้งใจไม่อยู่ พอเปิดดูก็เห็นมิสคอลล์ขึ้นเป็นร้อยเลย เป็นเบอร์คุณทั้งหมด ผมก็เลยรีบมาหากลัวว่าคุณจะเป็นอะไรนะครับ”

ผมรู้สึกเต็มตื้นในหัวใจ เมื่อได้ฟังคำพูดจากปากของเด็กหนุ่ม ขนาดตัวเองถูกทำร้ายจิตใจ ก็ยังไม่วายจะห่วงผม

“พวกเพื่อนๆไปหมดแล้วหรือครับ แล้วทำไมเรียวถึงไม่ขึ้นไปนอนพักข้างบนล่ะ นอนตรงนี้มันไม่ค่อยสบายนะ แล้วนี่ก็ดึกแล้ว ไปพักผ่อนเถอะครับ”

“ไม่ง่วงแล้วล่ะ ฉัน.....เอ้อ .....ฉัน....มารอนายน่ะ”

“หืม....รอผมน่ะหรือครับ”

เดียร์ทวนคำถามอย่างงงๆ ทำหน้าประหลาดใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน ผมรู้สึกว่าเลือดมันฉีดพล่านไปทั่วใบหน้า รู้สึกอายที่ต้องยอมรับกับเขาว่า ผมรอเขากลับมา มันรู้สึกเหมือนภรรยาที่รอสามีกลับมาบ้านยังไงยังงั้น

“อื้ม....เอ่อ....นายหายไปตั้งนาน ฉันไม่รู้ว่านายไปไหน แล้วจะกลับมาหรือเปล่านะสิ แล้วนายไปไหนมาล่ะ”

เด็กหนุ่มยิ้ม ความร่าเริงกลับมาแล้ว ที่จริงท่าทางเขาสดชื่น ตั้งแต่ผมพูดว่ามานั่งรอเขาแล้ว เด็กหนุ่มโอบกอดผมไว้ในวงแขนแข็งแรงของเขา ผมเอนตัวเอาศีรษะพิงซบไหล่กับเด็กหนุ่ม ความอบอุ่นแผ่ซ่านจากตัวเขาเข้าสู่ร่างกายของผม

“จะไปไหนได้ละครับ ในเมื่อหัวใจของผมอยู่ที่นี่ ไปไกลได้แค่ตรงสวนสาธารณะในหมู่บ้านเท่านั้นแหละครับ ไปนั่งเล่นคิดอะไรเรื่อยเปื่อย อยากจะโทรมาถามเหมือนกันว่าเพื่อนๆคุณกลับไปหมดหรือยัง ก็ไม่กล้า กวนรบกวนเวลาปาร์ตี้ของเรียวนะครับ ก็เลยนั่งอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งเปิดโทรศัพท์แล้วเห็นเบอร์เรียวนั่นแหละ โทรกลับมาแล้วก็ไม่มีใครรับ เลยรีบมา กลัวว่าคุณกำลังมีเรื่องเดือดร้อน และอยากให้ผมช่วยน่ะ”

ผมเม้มริมฝีปากแน่น เจ้าบ้าเอ๊ย แทนที่จะโกรธ กลับมาห่วงใยผมอีก อย่าดีกับผมมากมายนักสิ ทำแบบนี้ผมก็ยิ่งรู้สึกแย่ มันเหมือนผมเป็นคนที่เอาเปรียบเดียร์ รับแต่ความรัก ความปรารถนาดีของเขาอย่างเดียว แต่ไม่เคยให้อะไรเด็กหนุ่มเลย

“หิวข้าวหรือเปล่า ทานข้าวมาหรือยัง”

“ยังครับ รู้สึกหิวนิดหน่อยน่ะ”
ปดผมอีกแล้ว จำได้ว่าเขาเพิ่งทานข้าวมื้อเช้าไปแค่มื้อเดียวเอง จากนั้นก็ออกไปซุปเปอร์มาร์เก็ต เพื่อจ่ายตลาด แล้วก็กลับมาทำอาหารให้ผม นี่ก็ปาเข้าไปจะตีสองแล้ว เขาต้องหิวมากแน่ๆเลย ผมเอามือกดไปที่พุงของเด็กหนุ่ม จิ้มอยู่สองสามที จนเดียร์หัวเราะกิ๊กกั๊ก จากนั้นผมก็แสร้งว่า ท้องเขายุบหายไปตั้งคืบ แสดงว่าในนี้ไม่มีอะไรบรรจุอยู่เลย ป่านนี้น้ำย่อยกัดกะเพราะหายไปแล้ว

เดียร์ก็บอกว่า ไม่เป็นไร ป่านนี้คงไม่มีอะไรกินแล้วล่ะ เขาทานนมก็แล้วกันมันจะได้มีอะไรอยู่ท้อง ผมก็แย้งเขาไปว่า ทำไมจะไม่มี ว่าแล้วก็เดินจูงมือเขาไปที่ห้องครัว จากนั้นก็ยกอาหารที่เขาทำเอาไว้เมื่อตอนเย็น ที่เก็บไว้ในตู้กับข้าวทั้งหมดออกมา เดียร์ทำตาโตร้องถามผมว่า ผมไม่ได้เอาอาหารที่เขาทำไว้ให้ไปเลี้ยงคนอื่นหรอกหรือ

ผมส่ายหน้าบอกว่า พวกเพื่อนๆเอาอาหารทะเลมาปิ้งย่างกินกันที่นี่ แล้วอีกอย่างอาหารเหล่านี้ เดียร์ทำไว้เพื่อเลี้ยงฉลองวันเกิดกับผมสองคน ดังนั้นเขาควรจะได้กิน ไม่ใช่คนอื่น เด็กหนุ่มทำท่าเสียดายที่อุตส่าห์ทำอาหารให้ผมได้กินอย่างสุดฝีมือ แต่ผมกลับไม่ได้ลิ้มชิมรส เพราะมัวแต่ทานอาหารของเพื่อนที่เอามา ถึงแม้เขาจะรู้สึกดีที่ผมนึกถึงเขา แต่เขาจะฉลองคนเดียวได้ไง

“เด็กโง่ ใครบอกกันล่ะ ว่าจะไม่ฉลองกับนาย นายทำอาหารมาเพื่อเราสองคน แล้วฝีมือนายก็ทำอาหารได้อร่อยเสียด้วย ไม่กินก็โง่แล้ว”

“จริงๆเหรอ แต่เรียวกินอาหารกับเพื่อนไปแล้วนี่ ถ้าอิ่มแล้วก็ไม่เป็นไรนะครับ อย่าฝืนทำเพื่อผมเลยนะ”

“ใครบอก ฉันยังกินได้อีกเยอะเลยนะ”

“เหรอครับ งั้นผมอุ่นกับข้าวก่อนนะครับ”

เดียร์ทำท่าดีอกดีใจ เขาหอมแก้มผมฟอดใหญ่ จากนั้นก็เดินไปเปิดเตา เอาอาหารบางอย่างใส่หม้อ บางอย่างใส่กะทะ เพื่ออุ่นให้ร้อนๆ เสร็จแล้ว เขาก็เทกลับใส่จานใหม่ แล้ววางลงบนโต๊ะซึ่งมีแจกันดอกไม้ และเทียนไขตั้งอยู่ ทุกอย่างไม่มีการขยับ คงรูปแบบเดิมเหมือนเมื่อตอนที่เดียร์เพิ่งจัดเสร็จ เด็กหนุ่มยิ้มหวานให้ผม และเชื้อเชิญให้ผมนั่งโต๊ะ จากนั้นเขาก็จุดเทียนไข แล้วเดินไปปิดไฟ ก่อนที่จะกลับเข้ามานั่งที่โต๊ะตามเดิม แล้วนั่งมองผมหน้าผมพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ผมสบตาหวานฉ่ำของเดียร์ที่จ้องมา แล้วก็รู้สึกเขิน จึงแกล้งทำเป็นเสียงแข็งใส่เขา

“มองอะไร...ทำไมถึงไม่กินข้าวล่ะ หิวไม่ใช่เหรอ ทานสิ”

“มองเจ้าของวันเกิดสิครับ เรียวน่ารักที่สุดเลย รู้ไหม ผมอ่ะ คิดว่าจะไม่ได้ฉลองวันเกิดกับเรียวซะแล้ว ยอมรับว่าผมทั้งโกรธและน้อยใจเลยนะครับ ทั้งๆที่เรามีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง เรียวก็ยังมองว่าผมเป็นคนนอก และกันผมออกไปจากสังคมของคุณ ไม่อยากให้เพื่อนได้รู้เห็นการมีตัวตนของผม ตอนเดินอยู่ตรงสวนสาธารณะนั่น ผมคิดวุ่นวายไปหมด พยายามนึกว่า ตัวเองทำผิดอะไร เรียวถึงได้รังเกียจผมนัก สิ่งดีๆที่ผมทำให้ เรียวไม่ตระหนักบ้างเลยหรือ...”

เด็กหนุ่มพูดให้ผมฟังถึงสิ่งที่อยู่ในความคิดของเขา
“.....แต่พอคิดไปคิดมา ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า สิ่งที่ผมทำกับเรียว มันหนักหนาสาหัสเอาการ ก็น่าอยู่หรอกที่เรียวจะยังทำใจยอมรับผมไม่ได้ ผมผิดเองที่พยายามเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรียว บังคับให้ผู้ชายคนหนึ่ง มามีอะไรกับผู้ชายด้วยกัน แล้วยังจะให้เรียวมารักและใช้ชีวิตอยู่กับผมด้วย ผมนี่แย่มากจริงๆ ไม่เคยคิดถึงจิตใจเรียวเลย เอาแต่ได้ แต่ผมรักเรียวมากจริงๆ ถึงจะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่ทำแบบนี้กับคนที่ผมรัก แต่ผมก็ยังคาดหวังว่ามันจะสำเร็จ เพราะผมไม่รู้ว่าชีวิตของผมที่ปราศจากคุณ มันจะอยู่ได้อย่างไร ผมเลยเข้าใจว่าเรียวอึดอัดแค่ไหน จึงหายโกรธหายน้อยใจเรียวเลยครับ”

เขาน่ารักตรงนี้ ตรงที่ยอมเข้าใจอะไรง่ายๆ แม้ว่าจะดื้อรั้น ทำอะไรเอาแต่ใจ แต่เขาก็ยังห่วงใยความรู้สึกของผม

“แล้วพอรู้ว่าเรียวเก็บอาหารทุกอย่างไว้ เพื่อรอฉลองกับผม ยิ่งทำให้ผมรู้สึกดีมากยิ่งขึ้น ที่อย่างน้อย เรียวก็ห่วงความรู้สึกของผมเหมือนกัน แบบนี้ มันแปลว่าผมพอจะมีความหวังบ้างแล้วใช่ไหมครับ”

เดียร์ถามด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ ผมไม่ตอบ รู้สึกอายเกินกว่าจะยอมรับ ทำไมต้องมาถามกันด้วยนะ เรื่องแบบนี้ใครเขาจะบอกกันล่ะ สังเกตเอาเองไม่เป็นหรือไง

“การนิ่งเฉย ผมถือว่าเรียวยอมรับนะครับ ว่าเรียวเองก็รู้สึกดีกับผมเหมือนกัน”

ทึกทักหน้าตาเฉย แต่คราวนี้ผมไม่ได้ฉุนโกรธอะไร ก็ผมรู้สึกดีกับเขาจริงอย่างที่เดียร์ว่า และไม่อยากจะโกหกอีกต่อไป

“มัวแต่พูดมากอยู่นั่นแหละ กินซะทีสิเจ้าเด็กบ้า”

ผมดุเขาแก้เก้อ เมื่อเห็นเดียร์ยังไม่แตะต้องอาหาร

“คร้าบ เรียวก็เหมือนกันนะ กินเยอะๆนะ”

เด็กหนุ่มรับคำ แล้วคะยั้นคะยอ ให้ผมกินโน่นกินนี่ โดยเขาเป็นฝ่ายตักใส่จานให้ ผมมองหน้าสดใสนั่นอย่างมีความสุข เจ้าเด็กโง่เอ๊ย โกรธง่ายหายเร็วจริงๆ เมื่อกี้ยังทำหน้าเศร้าๆอยู่เลย แต่ตอนนี้ร่าเริงแจ่มใส เหมือนไม่เคยผ่านเรื่องทุกข์ใจมาก่อนเลย

“เดียร์ ฉันขอโทษนะ”

“หืม........ขอโทษผมเรื่องอะไรหรือครับ”

มือที่กำลังตักอาหารมาใส่จานของผม ชะงักค้างกลางอากาศ เด็กหนุ่มมองผมตาแป๋ว รอฟังคำตอบว่าผมขอโทษเขาทำไม ผมกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนที่จะตัดสินใจพูดออกไป

“ที่....เอ้อ....ที่ฉันให้นายออกจากบ้านไป ตอนที่เพื่อนมาน่ะ ฉันไม่น่าทำแบบนั้น อันที่จริงฉันควรจะให้นายอยู่ เพราะเพื่อนๆทั้งหมด นายก็รู้จัก เขาเคยเห็นนายมาก่อน แล้วก็มีบางคนที่รู้เรื่องระหว่างนายกับฉันน่ะ”

เด็กหนุ่มลูกครึ่งยิ้มหวานให้ผม ก่อนจะวางอาหารที่ตักให้ลงบนจาน

“ไม่เป็นไรนะครับ ผมไม่โกรธเรียวหรอก ผมเข้าใจ เรียวคงจะไม่อยากให้คนที่เหลือรับรู้ใช่ไหม ถึงแม้ว่าผมจะอยากให้เรียวยอมรับในตัวผม แต่ถ้าต้องทำลายหน้าที่การงานของเรียว ผมก็ไม่อยากทำครับ เราอยู่กันไปแบบนี้ก็ได้นะ ไม่ต้องให้ใครรับรู้ ไม่ต้องแสดงตัว ขอแค่ให้เรียวรักผมบ้าง แค่นี้ผมก็มีความสุขมากๆแล้วครับ คงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้แล้วล่ะ”
“เดียร์ ฉันขอโทษนะ”

“หืม........ขอโทษผมเรื่องอะไรหรือครับ”

มือที่กำลังตักอาหารมาใส่จานของผม ชะงักค้างกลางอากาศ เด็กหนุ่มมองผมตาแป๋ว รอฟังคำตอบว่าผมขอโทษเขาทำไม ผมกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนที่จะตัดสินใจพูดออกไป

“ที่....เอ้อ....ที่ฉันให้นายออกจากบ้านไป ตอนที่เพื่อนมาน่ะ ฉันไม่น่าทำแบบนั้น อันที่จริงฉันควรจะให้นายอยู่ เพราะเพื่อนๆทั้งหมด นายก็รู้จัก เขาเคยเห็นนายมาก่อน แล้วก็มีบางคนที่รู้เรื่องระหว่างนายกับฉันน่ะ”

เด็กหนุ่มลูกครึ่งยิ้มหวานให้ผม ก่อนจะวางอาหารที่ตักให้ลงบนจาน

“ไม่เป็นไรนะครับ ผมไม่โกรธเรียวหรอก ผมเข้าใจ เรียวคงจะไม่อยากให้คนที่เหลือรับรู้ใช่ไหม ถึงแม้ว่าผมจะอยากให้เรียวยอมรับในตัวผม แต่ถ้าต้องทำลายหน้าที่การงานของเรียว ผมก็ไม่อยากทำครับ เราอยู่กันไปแบบนี้ก็ได้นะ ไม่ต้องให้ใครรับรู้ ไม่ต้องแสดงตัว ขอแค่ให้เรียวรักผมบ้าง แค่นี้ผมก็มีความสุขมากๆแล้วครับ คงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้แล้วล่ะ”


anna1234

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 34

คำพูดของเดียร์ทำให้ผมปวดหนึบที่หัวใจ ในขณะที่ผมเป็นฝ่ายคิดมากวุ่นวาย แต่เดียร์กลับมีทางออกให้กับตัวเอง เขารักผม อยากอยู่กับผมไปตลอด ปรารถนาที่จะให้ผมรับเขาไว้ในใจ แต่เขาก็ไม่เรียกร้องให้ผมทิ้งทุกอย่างเพื่อเขา อะไรก็ตามที่เป็นความสุขของผม เขาไม่อยากมาพรากมันไป ขอเพียงให้ผมรักเขาบ้างก็พอ ทำไม ผมถึงไม่คิดให้ได้อย่างเดียร์บ้างนะ ความสุขแบบพอเพียง คือการอยู่ด้วยกันด้วยความรักและเข้าใจ มีใครบางคนอยู่เคียงข้างเราตลอดไป

“เค้กวันเกิด เรียวก็ไม่ได้ทานหรือครับ งั้นก็ยังไม่ได้เป่าเค้กเลยสินะ เป่าเลยไหม ผมร้องเพลงให้ เสียงผมดีนะ”

เค้กที่เดียร์เตรียมไว้ถูกนำมาวางตรงหน้า แต่มีเทียนเพียงเล่มเดียวที่ปักไว้ เดียร์บอกกับผมว่า ไม่อยากปักไว้เยอะๆ เดี๋ยวเค้กจะเป็นรอยบุ๋มไม่สวย และน้ำตาเทียนจะหกใส่ เดี๋ยวผมจะเอาไปฝากคนที่ทำงานไม่ได้ แล้วเทียน 1 เล่ม ก็มีความหมายว่า ผมเป็นที่หนึ่งในใจของเขาเสมอ คำพูดของเขาเรียกเลือดอุ่นๆให้ไหลเวียนมาที่แก้มและลำคอของผม ใจเต้นแรงด้วยความสุขทั้งจากคำพูดและการกระทำของเขา

เทียนถูกจุดขึ้น จากนั้น เดียร์ซึ่งเดินมายืนข้างๆผมก็ร้องเพลงอวยพรให้ ผมเป่าเทียนบนเค้กจนดับหมด จากนั้นเดียร์ก็ยื่นมีดพลาสติกมาให้เพื่อให้ผมแบ่งเค้ก ผมตัดชิ้นหนึ่ง ใหญ่พอควรส่งให้เขา และชิ้นเล็กๆสำหรับตัวเอง เพราะผมรู้สึกอิ่มจนจุกไปหมดแล้ว

“ทานเค้กหน่อยนะครับ”

เดียร์ตักเค้กจากส่วนของตัวเอง ยื่นมาให้ผมถึงปาก ผมทำท่าลังเล แต่เมื่อเห็นสีหน้ากระตือรือร้นของคนป้อน ผมก็เลยอ้าปากรับ เด็กหนุ่มยิ้มอย่างพึงใจ จากนั้นก็ตักเค้กเข้าปากตัวเองมั่ง เขาทำหน้ายิ้มกรุ้มกริ่ม แล้วบอกว่า

“ทานเค้กช้อนเดียวกัน เหมือนได้จูบเรียวทางอ้อมเลย ดีจัง ตรงที่เป็นรอยปากของเรียว ยังอุ่นๆอยู่เลยนะครับ”

คำพูดเกี้ยวพาราสี เจ้าชู้นั่น ทำให้ผมเขิน นึกไปถึงตัวเองว่า เคยมีอารมณ์กุ๊กกิ๊กโรแมนติคบ้างไหม เวลาอยู่ต่อหน้าสาวๆ คงมีมั๊ง แต่ไม่หวานแหววมากแบบที่เจ้าเด็กนี่ทำ แล้วดูสิ ไม่เขินแม้แต่นิดเดียว มีแต่ผมเท่านั้นที่รู้สึกอายยามที่คนตรงหน้าทำหวานใส่

ช้อนถูกยื่นมาตรงหน้าอีก ผมทำท่าจะปฏิเสธว่าผมทานเองได้ แต่หน้าทะเล้น กับแววตาซุกซนนั้นก็ทำให้ผมต้องอ้าปากกินเค้กที่เขาส่งมาให้อีกครั้ง เดียร์มองผมด้วยตาเจ้าเล่ห์

“สงสัยคำมันใหญ่ไปหน่อยมั๊ง มันเลยเลอะปากของเรียวเลย แต่ไม่เป็นไรผมทำความสะอาดให้นะครับ”
คนพูดยื่นหน้าเข้ามาจนชิด และแลบลิ้นของเขา ตวัดเร็วๆผ่านริมฝีปากของผม เพื่อเลียครีมที่เลอะอยู่ ผมเหมือนหัวใจจะหยุดนิ่ง เมื่อลมหายใจของเดียร์ปะทะเข้าที่แก้ม และอย่างรวดเร็ว ปากนุ่มของเดียร์ ก็ทาบทับลงมาที่ริมฝีปากผม

“หวานจัง”

หลังจากถอนจูบออกไปแล้ว เดียร์ก็นั่งมองหน้าผมตาหวานฉ่ำ ผมอายจนต้องเสไปมองเค้กที่อยุ่เบื้องหน้า เชอรี่ลูกโตสีแดงเข้มรูปร่างเหมือนหัวใจวางแปะอยู่บนวิปครีมรอบเค้ก ช่างน่ากินนัก ผมเสหยิบมากินลูกหนึ่ง รสชาดของมันอร่อยดีจริงๆอย่างที่ผมคิด

“อร่อยใช่ไหมครับ แต่กินอย่างนี้อร่อยกว่า”

พูดจบก็หยิบเชอรี่ขึ้นมาลูกหนึ่ง แล้วเดียร์ก็กระเถิบเข้ามาจนชิด จากนั้นเขาก็สบตาผม แล้วแลบลิ้น วางลูกเชอรี่ไว้ข้างบน และทำมือให้ผมอ้าปากบ้าง พอผมทำตาม เขาก็โน้มคอผมเข้ามาใกล้ แล้วป้อนเชอรีใส่ปากด้วยวิธีที่ทำให้ผมแทบละลายลงไปตรงนั้น

ลูกที่สามถูกหยิบขึ้นมาใหม่ แต่คราวนี้เด็กหนุ่มอ้อนขอให้ผมป้อนให้เขาบ้าง ผมส่ายหน้าปฏิเสธบอกทำไม่เป็น แต่เด็กหนุ่มทำท่างอแง บอกว่า ทำให้ดูไปแล้วลูกหนึ่ง น่าจะทำตามได้ แต่ถ้ายังไม่เป็น เขาจะสอนให้อีก จากนั้นเขาก็เริ่มต้นสาธิตใหม่อีกครั้ง ผมจะไม่ยอมทำตามก็ไม่ได้ เอาวะ ผมนึกในใจ ไหนๆผมก็ทำผิดกับเดียร์มามาก ทำตามใจเขาสักหน่อยก็คงจะทำให้เขามีความสุข ชดเชยกับความร้ายกาจที่ผ่านมาของผมได้บ้าง

หมดโอกาสที่จะบ่ายเบี่ยงแล้ว ผมต้องป้อนเข้าบ้าง ลูกที่สี่ ผมป้อนให้เด็กหนุ่มตามวิธีการของเขา มันทุลักทุเลเพราะผมไม่เคยทำอย่างนั้น แม้แต่กับพวกผู้หญิงที่ผมเคยจีบเป็นแฟน และมีอะไรด้วยกัน ผมมีความโรแมนติกในวิธีการของผม แต่ไม่ใช่วิธีการแบบที่เดียร์กำลังสอนให้

หลังจากทานเชอรี่จากปากผมไปลูกหนึ่ง เดียร์ก็แสร้งทำหน้าครุ่นคิดแบบคนเจ้าเล่ห์ แล้วก็บอกกับผมว่า ฝีมือผมพอใช้ได้แล้ว ต้องพัฒนาอีกหน่อยถึงจะเก่งเท่าเขา แต่วันนี้ เขายินดีเป็นคู่ซ้อมให้ จากนั้นเขาก็หยิบเชอรี่ขึ้นมา แล้วก็มองผมเป็นเชิงให้รับไป

ในเวลาต่อมา เชอรี่ทั้งหมดที่เหลือก็ถูกเราพลัดกันป้อนจนหมดโดยวิธีปากต่อปาก และไม่ใช่แค่นั้น เค้กทั้งก้อน ผมก็ถูกเดียร์ป้อนให้จนหมดไปเกือบครึ่งปอนด์ ตอนนี้ท้องของผมจุกแน่นไปหมดแล้ว อาหารเก่า อาหารใหม่ถูกบรรจุเต็มอยู่ในท้องของผม จนแทบไม่มีที่ว่างตรงไหนเหลือให้ใส่ลงไปได้อีก

“ง่า.....เค้กจะหมดแล้วอะครับ เหลือแค่ครึ่งเดียวเอง คงเอาไปให้น้องๆที่ทำงานของคุณไม่ไหว เอางี้ เก็บไว้ทานกับกาแฟตอนเช้าดีกว่าไหม”

ระฆังช่วยพอดี เมื่อเดียร์เสนอขึ้นมา ดูเหมือนเดียร์เองก็รู้ว่าผมทานเข้าไปมากแล้ว และคงรับอะไรเข้าไปอีกไม่ไหว ผมรีบเออออด้วยทันที จากนั้น เราสองคนก็ช่วยกันเก็บข้าวของ แต่เดียร์ไล่ให้ผมขึ้นมาอาบน้ำเพราะดึกมากแล้ว เดี๋ยวเขาจะทำเอง

ก่อนที่ผมจะเดินผละไป เด็กหนุ่มก็ดึงตัวผมมากอดไว้ พลางกระซิบเสียงเซ็กซี่ใส่หูผมว่า ผมกินเค้กของเขาแล้ว เดี๋ยวเขาจะขอกินเค้กของผมบ้าง ผมต้องเลี้ยงตอบแทนเขา ผมร้องบ้า แล้วก็เดินหนีอย่างอายๆ แต่เด็กหนุ่มไวกว่า เขาตบก้นผมเบาๆ แล้วหัวเราะกิ๊กกั๊กเมื่อผมหันมาทำตาดุๆใส่เขา ยิ้มทะเล้นให้ จากนั้นก็หันกลับไปจัดการกับข้าวของบนโต๊ะ พลางผิวปากเป็นเพลง คนใจง่าย อย่างที่เขาชอบทำบ่อยๆเวลาที่อยู่ในบ้านด้วยกัน
“ง่า.....เค้กจะหมดแล้วอะครับ เหลือแค่ครึ่งเดียวเอง คงเอาไปให้น้องๆที่ทำงานของคุณไม่ไหว เอางี้ เก็บไว้ทานกับกาแฟตอนเช้าดีกว่าไหม”

ระฆังช่วยพอดี เมื่อเดียร์เสนอขึ้นมา ดูเหมือนเดียร์เองก็รู้ว่าผมทานเข้าไปมากแล้ว และคงรับอะไรเข้าไปอีกไม่ไหว ผมรีบเออออด้วยทันที จากนั้น เราสองคนก็ช่วยกันเก็บข้าวของ แต่เดียร์ไล่ให้ผมขึ้นมาอาบน้ำเพราะดึกมากแล้ว เดี๋ยวเขาจะทำเอง

ก่อนที่ผมจะเดินผละไป เด็กหนุ่มก็ดึงตัวผมมากอดไว้ พลางกระซิบเสียงเซ็กซี่ใส่หูผมว่า ผมกินเค้กของเขาแล้ว เดี๋ยวเขาจะขอกินเค้กของผมบ้าง ผมต้องเลี้ยงตอบแทนเขา ผมร้องบ้า แล้วก็เดินหนีอย่างอายๆ แต่เด็กหนุ่มไวกว่า เขาตบก้นผมเบาๆ แล้วหัวเราะกิ๊กกั๊กเมื่อผมหันมาทำตาดุๆใส่เขา ยิ้มทะเล้นให้ จากนั้นก็หันกลับไปจัดการกับข้าวของบนโต๊ะ พลางผิวปากเป็นเพลง คนมันรัก อย่างที่เขาชอบทำบ่อยๆเวลาที่อยู่ในบ้านด้วยกัน

ยังไม่ทันจะได้อาบน้ำ ผมก็รู้สึกปั่นป่วนในท้อง จุกเสียดแน่นไปหมด เหมือนอาหารมันจะขย้อนออกจากปาก ผมรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำและอาเจียนออกมากองโต ปวดท้องจิ๊ดๆ ผมอยู่ในห้องน้ำประมาณครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ทั้งอาเจียนทั้งถ่ายจนหมดแรง

เสียงผิวปากดังมาให้ได้ยิน จากนั้นประตูก็ถูกเปิดออก เดียร์ที่อาบน้ำ อาบท่าเนื้อตัวสะอาดสะอ้านเดินยิ้มกรุ้มกริ่มเข้ามา ปากก็พูดว่า กินเค้ก กินเค้ก แต่พอเห็นผมยังอยู่ในชุดเดิม แถมซ้ำนอนตัวงอก่องอขิง เอามือกุมท้องอยู่บนฟูก เขาก็ร้องอุทานอย่างตกใจ เดินพรวดเดียวถึงเตียง และทรุดนั่งลงข้างๆผม โน้มตัวเข้ามาใกล้

“เรียวเป็นอะไรหรือครับ ไม่สบาย หรือเปล่า ท่าทางคุณไม่ดีเลย”

“ฉันท้องเสีย แล้วก็อ้วกด้วย สงสัยอาหารทะเลที่กินเข้าไปอาจจะเป็นพิษน่ะ”

ไม่ค่อยจะแน่ใจนักว่าเป็นแค่อาหารทะเลอย่างเดียว หรือเพราะผมกินมากหลายขนาน จนเกิดอาการอย่างที่เป็นอยู่ ผมไม่อยากให้เดียร์คิดมากว่าเป็นอาหารที่เขาคะยั้นคะยอให้ผมกิน เดี๋ยวเจ้าตัวจะคิดมากที่เป็นต้นเหตุให้ผมท้องเสีย

“ไปหาหมอก่อนดีไหมครับ อย่าปล่อยไว้เลย เดี๋ยวจะแย่กว่านี้”

น้ำเสียงที่ถามเจือด้วยความห่วงใย เดียร์ประคองผมให้ลุกขึ้นนั่ง จากนั้นเขาก็ถามผมว่าลุกไปโรงพยาบาลไหวไหม ผมพยักหน้า พยายามจะลุกขึ้น แต่ก็ทรุดฮวบ เอามือกุมท้อง เจ็บปวดแทบขาดใจ เหมือนไส้ถูกบิดอย่างแรง เดียร์เลยแบกผมขึ้นหลัง พาเดินลงบันไดไปขึ้นรถ เขาอาสาเป็นคนขับให้เอง

หมอตรวจอาการเสร็จก็บอกว่าที่ผมท้องร่วงและอาเจียนมากมาย เพราะลำไส้มีเชื้อบิด อาจจะเกิดจากการกินอาหารที่สุกๆดิบๆเข้าไป ผมนึกถึงอาหารทะเลที่พวกเพื่อนๆเอามาปิ้งย่างกินทันที อาจจะเป็นไปได้ที่มันไม่สุกและล้างอาจจะไม่สะอาดพอแล้วพวกเราก็เอามากินกันแล้ว แถมซ้ำ ผมยังกินอาหารที่เดียร์ทำให้เข้าไปอีก มันก็เลยอาจจะไปตีกันในท้อง ทำให้เกิดท้องเสียขึ้นมา

พอหมอไปแล้ว เดียร์ก็ดุผมทันทีว่าไม่รู้จักดูแลตัวเอง จะหยิบอะไรใส่ปากใส่ท้องก็ต้องดูให้ดีก่อนว่ามันสุกมันสะอาดพอไหม เขาบ่นอะไรไม่รู้หลายต่อหลายเรื่อง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ผมปล่อยปละละเลยไม่ใส่ใจในสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ชอบทานแต่กาแฟเป็นอาหารเช้า ต้องบังคับถึงจะกิน นอนก็ดึก ทำงานก็หนัก ไม่ยอมออกกำลังกายอีก

ผมได้แต่นอนฟังตาปริบๆ ถึงตัวเองกำลังโดนคนที่อายุน้อยกว่าต่อว่า แต่ก็โกรธไม่ลง เพราะเจ้าหนูนี่เป็นห่วงเป็นใยผมจนทนไม่ไหว ต้องพูดออกมา เขาบอกว่า ถ้าไม่มีเขาคอยทำอาหาร หรือคอยกำชับให้ผมดูแลตัวเอง ผมก็จะไม่สบายแบบนี้ นี่ยังโชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก แค่นอนพักให้น้ำเกลือคืนเดียว พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้ว ต่อไปนี้นะ เขาจะเข้มงวดกับผมให้มากกว่าเดิมอีก
“ต่อไปอย่าไปทานอะไรสุ่มสี่สุ่มห้านะครับ เอางี้ไหม ผมจะตื่นมาทำอาหารเช้าให้เรียวทานทุกวัน แล้วตอนกลางวันผมจะทำข้าวกล่องให้ทานด้วย ผมไม่ได้ไปทำอาหารที่ร้านป้าแล้วนะครับ น้อยมาแล้ว ผมให้น้อยเขาไปช่วยงานร้านคุณป้าแทนผม

ถ้าวันไหนเรียวอยากไปทานอาหารร้านป้า ก็สั่งให้น้อยทำได้ ผมไว้ใจฝีมือเขา แต่ถ้าเรียวงานยุ่ง ก็ทานข้าวกล่องที่ผมทำให้นะ ที่บริษัทมีไมโครเวฟอุ่นอาหารได้นี่นา ก็อุ่นแป๊บเดียวเอง แล้วตอนเย็น ถ้าผมไม่ติดไปซ้อมเต้น ผมจะทำอาหารไว้ให้ ก่อนออกไปทำงานที่ร้านกาแฟนะครับ”

ไอเดียแบบนี้ฟังดูเหมือนกำลังถูกผูกมัดให้ติดอยู่กับความเคยชินที่มีเขาอยู่ด้วย แต่ผมก็ชอบแฮะ น่าแปลกจังที่ก่อนหน้านี้เคยดูแลคนอื่น ตอนนี้กลับต้องถูกดูแลซะเอง แถมผมยังชอบเสียด้วย มันดูอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ที่มีใครบางคนคอยห่วงใย และเคียงข้างเราไปตลอด

“เลยอดกินเค้กของเรียวเลย”

คำพูดของเขาทำให้ผมนึกหมั่นไส้ ยังจะมีแก่ใจคิดเรื่องนี้อีก ดีแค่ไหนแล้วที่ผมเกิดอาการขึ้นมาก่อน ไม่งั้นตอนที่เรามีอะไรกัน ผมคงทำเลอะเทอะ ขายหน้าหนักเข้าไปอีก เจ้าเด็กบ้า คิดเป็นอยู่เรื่องเดียวหรือไงนะ

“ไม่เป็นไร กินวันหลังก็ได้เนอะ เรียวติดผมไว้หนึ่งมื้อนะครับ”

ใบหน้าอ่อนเยาว์ยิ้มประจบประแจง ผมอดขำไม่ได้ ดูสิ คิดได้เนอะ คนลามก หื่นได้ตลอดเวลาเลย หากมีคนแบบนายเดียร์หลายๆคนในโลกนี้ คนรอบข้างคงปวดหัวตายแน่

“ตอนนี้เป็นไงบ้างครับ หายปวดท้องหรือยัง ยังอยากจะอ้วกอีกไหม จะเข้าห้องน้ำหรือเปล่า เดี๋ยวผมพาไป”

เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขาชะโงกเข้ามาใกล้ แล้วเอามือลูบไล้แผ่วเบาไปตามใบหน้าของผม ท่าทางเป็นห่วงเป็นใย ผมส่ายหน้า บอกว่ายังปวดท้องอยู่บ้าง แต่ก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นแล้ว เพราะหมอให้กินยาแก้อาเจียน และให้ยาฆ่าเชื้อมาด้วย แต่คงต้องถ่ายบ่อย เชื้อจะได้หมดไป

เดียร์ยิ้มเจ้าเล่ห์ บอกว่าก้นของผมของระบมหมดแน่เพราะถ่ายเยอะ แต่ไม่เป็นไร หายแล้วเขาจะพยาบาลตรงนั้นให้เอง ผมเลยเขกหัวเขาไปทีหนึ่งค่อนข้างดัง และชักผ้าห่มขึ้นมาคลุมบอกว่าจะนอนแล้ว เพราะกว่าที่เดียร์จะพาผมมาหาหมอ กว่าจะตรวจเสร็จ ก็ปาเข้าไปจะตีห้าแล้ว ยังไม่มีใครได้นอนกันเลย เดียร์ทำปากยื่นใส่ผม เอามือคลำหัวป้อยๆ บอกว่าผมรังแกเขาอีกแล้ว ผมก็เลยบอกว่า ก็อยากบ้ากามไม่รู้กาละเทศะทำไม โดนแค่นั้นยังน้อยไปด้วยซ้ำ

เด็กหนุ่มก็เลยหัวเราะชอบใจ บอกว่า เขาหื่นแต่กับผมคนเดียวเท่านั้น เพราะเขารักผมมาก อยู่ใกล้ๆผมแล้วมีความสุข และอยากเก็บผมไว้กับตัวคนเดียว ไม่แบ่งให้ใคร ผมคร้านจะเถียงกับเขา เพราะเข้าตัวเองตลอด เลยหลับตา นอนเงียบๆ

มีเสียงหัวเราะเบาๆจากคนข้างๆ จากนั้น จมูกและริมฝีปากของเดียร์ก็สัมผัสเข้าที่แก้มของผม เขาจูบที่ปากของผมเป็นที่สุดท้ายก่อนจะกล่าวราตรีสวัสดิ์ ผมพลิกตัวตะแคงข้างแล้วอมยิ้มอย่างมีความสุข เจ้าเด็กบ้านี่ทำให้ชีวิตของผมมีเรื่องปวดหัวได้ตลอด แต่เขาก็น่ารักมากๆ ความทะเล้นทะลึ่ง อารมณ์ดี ขี้อ้อน นี่เป็นเสน่ห์ของเขาที่ทำให้ผมรัก
ตื่นขึ้นมาอีกทีในตอนสายเพราะอยากเข้าห้องน้ำ ผมมองไปข้างเตียง ก็เห็นเดียร์นั่งหลับ โดยหนุนแขนตัวเองอยู่บนเตียงของผม ดูท่าทางน่าจะเมื่อย โซฟาที่ใช้นอนก็มีแต่ไม่ยอมไปนอน คงเป็นห่วงจนไม่อยากทิ้งไว้ให้อยู่คนเดียวบนเตียง เลยต้องมาอยู่ข้างๆ ความห่วงหาอาทรที่เขามีให้ ทำให้จิตใจผมปวดร้าว เขาดีกับผมมากจริงๆ จนผมไม่รู้ว่า ผมจะดีได้เท่าครึ่งหนึ่งของเขาที่ทำให้ผมหรือเปล่า

ผมเอื้อมมือไปลูบไล้ศีรษะของเดียร์อย่างแผ่วเบา และขยับตัวลงจากเตียง แต่เด็กหนุ่มรู้สึกตัวเสียก่อน เขาเงยหน้าขึ้นมองผม และยิ้มให้จนตาหยี กุลีกุจอลุกขึ้นช่วยพาผมไปยังห้องน้ำ แล้วปิดประตูให้ ตอนเปิดประตูออกจากห้อง พยาบาลก็มารออยู่ก่อนแล้ว บอกว่าจะเช็ดตัวให้ และเอายามาให้ทาน แต่เดียร์กลับอ้อนขอทำเอง โดยบอกว่า เขาเป็นน้องของผม เขาช่วยทำให้ได้ พยาบาลทนลูกตื้อไม่ไหว เลยยอมให้เดียร์ทำให้ ผมดุเดียร์ทันที

“ตื่นมาก็ทำเรื่องยุ่งเชียว ไปแย่งหน้าที่พยาบาลเขาเดี๋ยวก็โดนดุเอาหรอก”

“แหม ก็เรื่องอะไรจะให้เขามาเห็นร่างกายของเรียวล่ะ โดยเฉพาะน้องชายของเรียวน่ะ ผมให้ใครเห็นไม่ได้หรอก นอกจากผมคนเดียวเท่านั้น”

ไม่พูดเปล่า มือไวซุกซนของเดียร์ก็วางแหมะลงตรงเป้าของผมพอดี ผมซัดพลั๊วะเข้าที่มือของเขา พอเห็นเขาสะบัดมือด้วยความเจ็บผมก็หัวเราะ

“สมน้ำหน้า ไอ้เด็กลามก”

เดียร์ทำปากยื่น เดินไปรูดม่านรอบเตียง จากนั้นก็เดินมาแก้ปมที่ผูกเสื้อของผมออกจากกัน ก่อนจะเอาผ้าขนหนูที่ชุบน้ำบิดแห้งหมาดๆ มาเช็ดตัวผม จากนั้นก็มาถึงกางเกงที่ผมใส่อยู่ เขากระตุกเชือกรัดเอวออก จากนั้นก็รูดกางเกงผมลง เขาหัวเราะหึหึ เมื่อผมเอาสองมือมากุมน้องชายปกปิดไว้จากสายตาเขา เดียร์ใช้มือที่แข็งแรงกว่า แกะมือผมออก แล้วก็กระซิบยั่วเย้า

“อายทำไมกันน้า .. า ...า.....า ผมเห็นออกบ่อยๆ”

คนพูดเอามือลูบไล้อย่างทะนุถนอม ผมเบี่ยงตัวหนี และทำเสียงเข้มใส่เขา

“นี่มันโรงพยาบาลนะ รุ่มร่ามจริงเชียว เดี๋ยวใครมาเห็นกันพอดี”

“ก้อด้าย งั้นถ้าอยู่ในที่ลับตาคน อย่างเช่นที่บ้านของเรา เรียวต้องให้ผมดูแลน้องชายของคุณอีกนะ ผมคิดว่าเขาคงเหงา อยากให้พี่ชายใหญ่อย่างผมอยู่ด้วย”

มือแข็งแรงถูกเลื่อนออกไป โดยคนพูดยกมือตัวเองขึ้นมาดม แล้วสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด ใบหน้าแสดงออกถึงความพึงพอใจ ผมยิ่งเขินจัดที่เห็นเขาทำแบบนั้น เจ้าเด็กบ้า ชอบทำท่าหื่นใส่อยู่ตลอด จะมีใครหน้าด้าน หน้ามึนแบบเขาอีกไหมนะ ผมทั้งฉุนทั้งขำ ไหนจะคำว่า “บ้านของเรา” อีกล่ะ บ้านของผม กลายเป็นบ้านของเราไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน อยู่ๆก็โมเมเฉยเลย แต่ทำไมมันฟังแล้ว ให้ความรู้สึกอบอุ่นดีจัง

“เอาล่ะ เสร็จแล้วครับ”
เด็กหนุ่มผูกเชือกกลับเข้าไปเหมือนเดิม แล้วยิ้มหวานให้ผม จากนั้นเขาก็อ้อนขอรางวัลที่ช่วยเช็ดตัวให้ เหลือเชื่อเลยเจ้านี่ นึกว่าทำดีแบบให้เปล่า ที่แท้ก็หวังผล ผมเมินทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เด็กหนุ่มก็ทำหน้างอ จากนั้นก็ถือวิสาสะจูบผมอีก

ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังปล้ำจูบผมอยู่นั้น ประตูห้องก็เปิดผล๊วะออกมา เจ้าสันต์ร้องอุทาน แล้วจะเดินออกไป แต่ผมรีบผลักเดียร์ออก แล้วเรียกเพื่อนรักของผมไว้ มันทำหน้าล้อเลียน ตอนที่เดินมาหาพวกเราสองคน เดียร์รีบเดินหนี เพราะกลัวว่าผมจะอายหนัก แต่ผมคว้าข้อมือของเดียร์ไว้ แล้วบอกว่าไม่เป็นไร สันต์รู้เรื่องของเราสองคนแล้ว เขาเลยทรุดตัวลงนั่งข้างๆผม

“โหย คนป่วยได้กำลังใจแบบนี้ ก็หายวันหายคืนสิวะเนี่ย อิจฉาจังโว้ย”

“รู้ได้ไงวะ ว่าฉันป่วยนอนโรงพยาบาลอ่ะ”

ผมไม่สนใจคำถามหยอกเอินนั่น แต่กลับถามกลับ เพราะผมงงมากที่เจอมันที่นี่



anna1234

  • บุคคลทั่วไป
“ก็เมื่อคืนฉันโทรมาหานาย เพราะฉันก็ท้องเสียเหมือนกัน ก็เลยโทรมาถามว่า นายเป็นบ้างหรือเปล่า แต่เจ้าหนูเดียร์เป็นคนรับโทรศัพท์ แล้วบอกว่านายอาหารเป็นพิษนอนอยู่ที่โรงพยาบาลน่ะ พอตอนเช้าฉันค่อยยังชั่ว ก็เลยมาหานายนี่ล่ะ โชคดีนะเนี่ย ที่ฉันธาตุแข็ง แค่ท้องเสียอย่างเดียว ไม่เป็นอะไรมาก ไม่งั้นต้องนอนโรงพยาบาลคนเดียว ไม่มีใครมาดูแลข้างเตียง แล้วทำสวีทหวานแหววแบบนี้ เฮ้อออออออ พูดแล้วก็อิจฉาว่ะ”

“คนอื่นๆจะเป็นยังไงบ้างไม่รู้นะ จริงสิ เมื่อวานนี้ พี่สมชายกับคุณแคทก็บอกว่าท้องเสีย ฉันก็ไม่คิดว่าจะเจออย่างนี้กันทุกคนน่ะ”

หลีกเลี่ยงคำพูดเข้าตัวด้วยการถามถึงคนอื่นๆ สองคนนั่น ท้องเสียจริงๆ หรือว่าหลอกเล่นนะ ถ้าปวดท้องกันจริงๆ แล้วทำไมถึงมายืนจูบกันที่หลังบ้านของผมล่ะ

“ก็ไม่รู้สิ ฉันอาจจะกินเข้าไปมากด้วยมั๊ง อาหารทะเลน่ะ ไม่ค่อยได้กินบ่อย นี่อุตส่าห์ไปซื้อถึงในตลาดสดเลยนะ ไปกันสองคนกับคุณแคท ไปช่วยกันจ่ายตลาดเลย แต่สงสัยพวกเราจะเคยมีแต่คนทำให้กินบ่อยๆ เลยเลือกซื้อกันไม่เป็นว่ะ เอ้อ แล้วนายเป็นไงบ้าง ค่อยยังชั่วแล้วยัง นายมันธาตุอ่อนตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่หว่า กินอะไรนิดก็มีปัญหา เจ้าหนูเอ๊ย ต้องช่วยดูแลเพื่อนรักฉันให้ดีหน่อยนะ อีตานี่น่ะ ไม่ค่อยห่วงตัวเองสักเท่าไหร่ สนแต่งาน ไม่ใส่ใจสุขภาพ ตัวเองน่ะ”

หลังจากถามไถ่ผมด้วยความห่วงใยแล้ว เจ้าเพื่อนรัก ก็แขวะผมเอากับเดียร์เฉยเลย ผมเห็นเดียร์หันมามองผมทำตาประมาณว่า เห็นไหมผมบอกแล้วไม่เชื่อ คุณน่ะ ไม่ดูแลตัวเองเลย จากนั้นเขาก็หันไปยิ้มให้กับสันต์ ผมคิดว่าเดียร์รู้ว่าเพื่อนของผมคนนี้ ไม่มีพิษมีภัย และคงจะเห็นใจในความรักของเราสองคน เขาเลยยอมเป็นมิตรด้วย

“เรียวน่ะ ดื้อจะตายครับ พูดอย่างไรก็ไม่ยอมฟังครับ ถ้าไม่มีผมอยู่ด้วย เรียวคงไม่ดูแลตัวเองยิ่งกว่านี้อีก”

เจ้าหนูของผมได้ทีก็เลยฟ้องซะเลย สันต์หัวเราะก๊ากชอบอกชอบใจใหญ่
“เออช่ายๆๆๆ งั้นนายก็อย่ารามือก่อนเสียล่ะ ดูแลไอ้คนดื้อคนนี้ ให้ใช้ชีวิตตามใจตัวเองบ้างเสียที ทำเพื่อคนอื่นมามากนัก ไม่เห็นจะยักทำเพื่อตัวเองบ้างเลย เมื่อก่อนฉันก็ด่ามันจนขี้เกียจจะด่าแล้ว ได้นายมาช่วยอีกคน ฉันก็เบาแรงไปเยอะเลย หวังว่าด้วยความตั้งใจจริงของนาย คงจะทำให้เจ้านี่ หูตาสว่างขึ้นมาได้บ้างนะ”

ดูเหมือนสันต์กับเดียร์เริ่มจะถูกคอกันเข้าให้แล้ว ผมนั่งหน้างออยู่บนเตียง นี่ถ้าไม่ติดว่ามีสายน้ำเกลือห้อยติดกับตัวผมล่ะก็ ผมคงจะเดินหนีออกนอกห้อง ปล่อยให้สองคนนี้นั่งคุยกันให้พอใจไปเลย

คุยกันสักพัก เดียร์ก็ขอตัวออกไปข้างล่าง เพื่อไปหาซื้ออะไรกิน เขาฝากสันต์ให้ช่วยดูแลผม เพื่อนรักรับปากแต่โดยดี พอเดียร์ไปแล้วมันก็หันมาทำหน้าล้อๆ ผมเลยหน้าหงิกใส่มัน ถามว่าเป็นอะไร มันก็บอกว่า คนป่วยทำไมหน้าตามีความสุขจัง ผมก็เลยด่ามันว่ายุ่ง เจ้าสันต์หัวเราะลั่น บอกเพิ่งเคยเห็นผมงอนครั้งแรกนี่แหละ แต่ก็น่ารักดีจัง สักพักมันก็โพล่งขึ้นมา

“เฮ้ยรู้ไหม ใครมาทำเคลมกับบริษัท”

เจ้าสันต์ทำท่าทางตื่นเต้น ยังไม่ทันที่ผมจะตอบ มันก็รีบพูดขึ้นมาทันที เหมือนคนที่ได้ล่วงรู้อะไรบางอย่างและอดไม่ได้ที่จะเป็นผู้ประกาศมันออกมา

“นายทรงพลไง”

“หืม ตั้งแต่เมื่อไหร่ วันศุกร์ยังเจอกันอยู่เลยนี่”

ชื่อนี้เรียกความสนใจของผมขึ้นมาทันที

“คืนวันเสาร์ ตอนที่ฉันไปหานายเบน แล้วอยู่ๆฉันก็ได้รับโทรศัพท์จากนายสุริยะว่าตอนนี้ นายทรงพลถูกแทงอยู่ที่โรงพยาบาล ถ้าจำไม่ผิด เขาอยู่โรงพยาบาลนี้ด้วยว่ะ ฉันว่าพอเยี่ยมนายเสร็จ แล้วจะขึ้นไปเยี่ยมเขาสักหน่อย”

ช่างบังเอิญจริงๆที่เราสองคนต้องมาป่วยและมาอยู่โรงพยาบาลเดียวกันอีก แต่อย่างว่าแหละ โรงพยาบาลนี้ เป็นโรงพยาบาลที่มีคอนแทคกับบริษัท คนที่ทำประกันทุกคน เวลาเจ็บป่วยสามารถยื่นบัตรทองได้เลย โดยไม่ต้องรอตรวจสอบว่ามีเงินพอที่จะรักษาไหม เพราะข้อมูลในบัตรทองสามารถลิงค์กันได้กับกรมธรรม์ของลูกค้า

ทางโรงพยาบาลจะทราบได้เลยว่า ลูกค้าที่เข้ารับการรักษาซื้อแผนประกันสุขภาพแผนไหน วงเงินเท่าไหร่ เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า สามารถเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที แม้ไม่มีเงินรักษา เพราะกรมธรรม์จะคุ้มครองค่ารักษาให้ตามผลประโยชน์ที่เขาซื้อไว้

โดยก่อนจะออกจากโรงพยาบาลลูกค้าจะจ่ายเฉพาะส่วนต่างที่อยู่นอกเหนือจากความคุ้มครองเท่านั้น ทั้งพนักงานและลูกค้าส่วนใหญ่จะใช้บริการที่โรงพยาบาลนี่เป็นหลัก เพราะเป็นโรงพยาบาลใหญ่ และมีเครื่องมือทางการแพทย์ทันสมัย ทีมแพทย์มีฝีมือ รวมถึงมีการบริการที่ดีเยี่ยม

“เป็นอะไรล่ะ”

“ถูกแทง.......โอ๊ยสะใจว่ะ แล้วมือมีดน่ะคือนายแซ่บ แฟนเก่าฉันเองว่ะ น้องแซ่บทำดีโว้ย นี่ถ้าคบกันอยู่เหมือนเดิม จะกระโดดกอดให้หนำใจเลย สงสัยคงจะโมโหตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่น เลยลงไม้ลงมือซะ ว่าแต่ถ้าเขาเคลมมา ฉันแกล้งถ่วงให้เคลมมันล่าช้าดีไหมวะ หมั่นไส้มันเหลือเกิน เอาเก็บใส่ลิ้นชักไว้สักสองเดือนค่อยทำเรื่องจ่ายให้มันดีกว่า หรือปฏิเสธเคลมมันดี บอกว่าไม่เข้าข่ายเงื่อนไข ”
“ถูกแทง.......โอ๊ยสะใจว่ะ แล้วมือมีดน่ะคือนายแซ่บ แฟนเก่าฉันเองว่ะ น้องแซ่บทำดีโว้ย นี่ถ้าคบกันอยู่เหมือนเดิม จะกระโดดกอดให้หนำใจเลย สงสัยคงจะโมโหตาเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่น เลยลงไม้ลงมือซะ ว่าแต่ถ้าเขาเคลมมา ฉันแกล้งถ่วงให้เคลมมันล่าช้าดีไหมวะ หมั่นไส้มันเหลือเกิน เอาเก็บใส่ลิ้นชักไว้สักสองเดือนค่อยทำเรื่องจ่ายให้มันดีกว่า หรือปฏิเสธเคลมมันดี บอกว่าไม่เข้าข่ายเงื่อนไข ”

เจ้าสันต์รู้สึกกระเหี้ยนกระหือรือเสียเหลือเกินที่จะได้กลั่นแกล้งนายทรงพล แต่ผมไม่เห็นด้วยที่เพื่อนรักจะเอาชื่อเสียงของตัวเองมาแลกกับคนอย่างนั้น นอกจากจะเป็นการทำลายภาพพจน์ของบริษัทมันยังจะทำให้เจ้าสันต์มีความผิดอีกด้วย

“ไม่ได้นะ เสียชื่อบริษัทหมด แยกแยะงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันดีกว่าว่ะเพื่อน ทำแบบนี้ลูกค้าด่าเอาได้ ถึงแม้ว่าคนที่ด่าคือคนที่พวกเราไม่ชอบหน้าก็ตาม แต่เขาคือลูกค้าของเรานะ”

“จ้า พ่อคนดี เขาทำกับตัวเองขนาดนี้แล้ว ยังจะไปห่วงความรู้สึกเขาอีก”

เพื่อนรักของผมพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

“ฉันไม่ได้ห่วงความรู้สึกเขา แต่ในเมื่อเขาเป็นลูกค้า เราก็เลือกปฏิบัติไม่ได้น่ะ เอาน่า ช่างมันเถอะเขาก็ได้รับผลกรรมที่ก่ออย่างสาสมแล้ว อย่าไปจองเวรจองกรรมกันเลย”

“สาธุ นี่ถ้าคิดไม่ตกเรื่องชีวิตคู่ ก็ไปบวชซะเถอะพ่อ ใจบุญสุนทานเหลือเกิน ให้อภัยคนไปเรื่อย ทีอย่างนี้ยกโทษให้อีตาทรงพลได้ แล้วทำไมไม่หัดยกโทษให้เดียร์มันบ้างวะ”

พูดเรื่องนายทรงพลอยู่ดีๆ ไหงโดนแขวะมาเรื่องของเดียร์ได้ก็ไม่รู้

“ยกโทษเรื่องอะไร เจ้าเด็กนั่นยังไม่ได้ทำอะไรผิดนี่”

งงกับคำพูดมันเหลือเกิน ที่ผ่านมา เดียร์ล่อลวงผมจนต้องกลายมาเป็นของเขา แต่ผมก็ได้ยกโทษให้เขาแล้ว และนี่เขาเองก็ไม่ได้ทำความผิดครั้งใหม่เลย มีแต่ผมเท่านั้นที่จะทำผิดกับเขา คนที่ควรจะร้องขอให้คนอื่นยกโทษให้ น่าจะเป็นผมมากกว่า

“ทำไมจะไม่ผิด ผิดสิ ผิดเต็มประตูเลย ผิดที่เกิดมาเป็นผู้ชายและดันมารักนายไงวะ ตอนเทวดาส่งมาเกิด ทำไมไม่เลือกเพศเป็นผู้หญิงซะล่ะ เวลาได้มาเจอกัน นายจะได้ไม่ต้องตะขิดตะขวงใจ รักเจ้าเด็กนั่นได้เต็มที่ อ๊ะ อย่ามาปฏิเสธนะโว้ย ว่าไม่ได้รักเด็กนั่น ลืมแล้วเหรอ ว่าฉันทำงานเป็นนักสืบให้กับฝ่ายตรวจสอบมาก่อน ไม่มีอะไรที่เล็ดลอดตาฉันได้หรอก

นายน่ะรักเด็กนั่นเต็มเปา แต่เกี่ยงที่เขาเป็นผู้ชายเท่านั้น ก็นี่แหละที่ฉันบอกว่าเจ้าเด็กนั่นผิดที่เกิดมาไม่ถูกเพศ ฉันถึงขอให้นายอภัยให้เขาไง ลืมซะทีสิวะเพื่อน ว่าเด็กนั่นเป็นผู้ชาย ทำตามหัวใจของตัวเอง รักก็บอกว่ารัก จะกั๊กเอาไว้ทำไมให้มันเจ็บปวดกันทั้งสองฝ่ายวะ”
โดนมันด่ากระแนะกระแหนมา ทำเอาผมอึ้งพูดไม่ออก รู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจ เพราะสิ่งที่เจ้าสันต์พูดมันจริงทุกอย่าง ผมรักเดียร์แต่ผมก็ติดอยู่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่เขาเป็นผู้ชาย อยากรักเขาและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแต่ก็เกรงว่าสังคมจะครหา ไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมไม่ปกติ เพราะเรื่องนี้ที่ทำให้หลายต่อหลายครั้งทีเดียวที่ผมคิดหักดิบหัวใจตัวเองด้วยการเลิกรากับเขา

เจ้าสันต์นั่งคุยกับผมสักพักด้วยเรื่องของนายทรงพลกับน้องแซ่บ ฟังได้ความว่า ตำรวจได้ควบคุมตัวแซ่บเอาไว้เพื่อสอบปากคำตั้งแต่เมื่อคืน เพราะเด็กนั่นเป็นคนโทรไปหาตำรวจเอง แต่ตอนนี้ถูกปล่อยตัวออกมาแล้วเพราะคนเจ็บไม่ติดใจเอาความ

ส่วนนายทรงพลถูกนำตัวมาโรงพยาบาลเมื่อคืนนี้ อาการไม่ได้สาหัสอะไรมากมาย คิดว่าเด็กนั่นคงแค่สั่งสอน ไม่ได้กะเอาให้ถึงตาย ตอนนี้เด็กแซ่บก็อยู่กับนายทรงพลที่โรงพยาบาลด้วย
ผมขอให้เจ้าสันต์พาผมไปเยี่ยมนายทรงพลบ้าง อย่างน้อยก็ในฐานะลูกค้าของบริษัท ถึงเขาจะเคยทำชั่วช้ากับผม แต่คนเราก็ต้องพยายามแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวให้ออกจากกัน หน้าที่การบริการลูกค้าให้ได้รับความสะดวกสบายเมื่อมาใช้บริการกับบริษัทเป็นสิ่งที่พึงกระทำ

แม้จะกระแหนะกระแหนหาว่าผมเป็นคนดีจนเกินไป แต่มันก็ยอมที่จะพาผมไปโดยดี แต่ต้องรอให้ผมเช็คเอาท์ออกจากโรงพยาบาลก่อน สันต์อาสาไปเดินเรื่องให้ระหว่างรอให้หมอตรวจ โชคดีที่ตอนนี้มันทำงานทางด้านฝ่ายพิจารณาสินไหม มันเลยรู้กระบวนการอย่างดีว่าต้องทำอะไรบ้าง พอมันออกไปจากห้อง เดียร์ก็เข้ามาพร้อมกับนางพยาบาลที่เข็นรถใส่ถาดอาหารมาให้

หลังจากทานอาหารเสร็จ สักพักคุณหมอเจ้าของไข้ก็เข้ามาตรวจอาการผม และบอกให้ผมกลับบ้านได้ โดยเอายาไปทานและให้หยุดพักผ่อนได้อีกหนึ่งวัน ผมเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับมาเป็นชุดเดิมที่ใส่มา แล้วเดียร์ก็พาผมไปรับยา โดยมีสันต์ตามไปสมทบทีหลัง จากนั้นพวกเราทั้งหมดก็พากันไปเยี่ยมนายทรงพล

ชายสูงอายุที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ ดูแก่ไปถนัดใจ ใบหน้าซีดเซียว มีถุงน้ำเกลือ กับถุงเลือดแขวนห้อยระโยงระยางอยู่กับราวเหล็ก แต่ดูท่าทางคงจะไม่เป็นอะไรมาก เพราะเขาอยู่ในห้องคนไข้พิเศษเท่านั้นไม่ได้อยู่ในห้องไอซียู

ตอนที่พวกเราเข้าไปเยี่ยมเขากำลังหลับอยู่โดยมีแซ่บนั่งอยู่ข้างๆเตียง ใบหน้าหม่นหมอง ไม่ยอมลุกขึ้นมาต้อนรับ ห่างออกไป มีบอดี้การ์ดหน้าหล่อหุ่นดี ยืนคุมเชิงอยู่คนหนึ่ง คงคุมเด็กนั่นไม่ให้ก่อเรื่องตอนที่นายทรงพลกำลังหลับ ถึงแม้ไม่ติดใจเอาความ แต่ตาเฒ่านั่นก็อาจจะยังคงไม่ไว้ใจอยู่ บอดี้การ์ดนั่นเพียงแต่หลีกทาง เพื่อให้พวกเราเข้ามาเยี่ยมกันได้โดยสะดวก

“คุณทรงพลเป็นไงบ้างน่ะ แซ่บ”

สันต์ถามไถ่ เด็กหนุ่มเงยหน้าที่เปรอะไปด้วยน้ำตาขึ้นมองพวกเรา แล้วบอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว เพราะไม่ได้ถูกแทงในที่สำคัญ

“มันเกิดขึ้นได้ยังไง”
ผมถามบ้าง และเหมือนคำพูดของผมไปสะกิดใจเด็กหนุ่มเข้า แซ่บร้องไห้สะอึกอื้นขึ้นมาอย่างคนกลั้นไม่อยู่ จากนั้นคำพูดก็พรั่งพรูออกมา แซ่บเล่าให้พวกเราฟังว่า คืนวันเกิดเหตุ เขากับนายทรงพลทะเลาะกันใหญ่โต สาเหตุหลักๆก็มาจากความเจ้าชู้ของทรงพลเป็นเหตุ และการไม่ให้เกียรติกัน

ทรงพลหงุดหงิดตั้งแต่ตอนที่แซ่บช่วยเหลือเดียร์โดยการเปิดประตูให้ขึ้นมาทำร้ายเขา และปล่อยให้ผมลอยนวลออกไปได้ แถมเดียร์ยังมาทุบทำลายข้าวของเสียหาย นายทรงพลด่าว่าแซ่บเนรคุณเลี้ยงไม่เชื่อง ไม่น่าจะเอามาอยู่ด้วยเลย หาว่าแซ่บรวมหัวกับเดียร์เพื่อทำร้ายเขา อธิบายอย่างไรก็ไม่ฟัง แม้ว่าแซ่บจะบอกว่า ที่เขาทำลงไปเพราะรักนายทรงพล อยากให้หยุดพฤติกรรมแบบนี้ แล้วทำตัวเป็นคนใหม่ เพื่อที่จะได้ครองรักกันอย่างมีความสุข

แต่นายทรงพลกับเย้ยหยันบอกว่า แซ่บนั้นเอามาแค่ขัดตาทัพเท่านั้น เห็นนายสุริยะชมเป๊าะว่าดีอย่างนั้น อย่างนี้ เลยขอเอามาเป็นของตัวเองซึ่งๆหน้าแต่แซ่บก็มีดีแค่เรื่องเซ็กส์อย่างเดียว อย่างอื่นไม่ได้เรื่อง แถมซ้ำยังโง่เป็นควายอีก รักษาสมบัติของเขาก็ไม่ได้ แล้วจะมารักตัวเขาได้ยังไง ที่ทำให้แซ่บโกรธจัดก็คือ นายทรงพลบอกกับแซ่บว่าจะขายเขาทิ้งให้กับเพื่อนเกย์อีกคน เขาจ่ายให้แซ่บแพงมาก ตอนนี้หมดประโยชน์แล้ว เพราะเขาเจอคนที่เขาชอบ และอยากจะเอามาเชยชมให้ได้ คนๆนั้นก็คือผม ดังนั้น การมีแซ่บอยู่จึงเป็นตัวขวางทางรักของเขา

นั่นเองที่ทำให้แซ่บเดือดดาล จริงอยู่เด็กหนุ่มยอมรับว่า เปลี่ยนใจจากสันต์มาหาทรงพลก็เพราะเงินตัวเดียว แต่หลังจากอยู่ด้วยกันไป ก็ได้รู้ใจตัวเองว่ารักนายทรงพลเข้าแล้ว ถึงนายทรงพลจะแก่กว่าตน เจ้าชู้ และไม่เห็นคุณค่าของตัวเขา แต่ยามอยู่ด้วยกัน นายทรงพลก็ดีกับเขามาก ช่วยเหลือด้านการเงินครอบครัวเขา ซื้อบ้าน ให้พ่อและแม่ ส่งเสียให้น้องของแซ่บได้เรียน

สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กหนุ่มประทับใจและกลายเป็นความรัก และไม่ต้องการให้ทรงพลไปยุ่งกับคนอื่นอีก แต่ในเมื่อดึงดันพูดไม่ยอมฟัง จึงต้องทะเลาะกัน ถึงขั้นที่นายทรงพลลงไม้ลงมือกับแซ่บ ทำให้เด็กหนุ่มบันดาลโทสะ จ้วงแทงเข้าที่ท้องของตาเฒ่านั้น หวังหยุดพฤติกรรมโหดของเขา

ฟังเรื่องของแซ่บจบ ผมก็รู้สึกสงสารและเห็นใจเด็กหนุ่มมาก รู้เลยว่า เขาต้องเผชิญกับอะไรบ้าง เพราะผมเองก็เคยโดนตาเฒ่านี่ ทำร้ายกาจใส่มาแล้ว แต่ผมก็ยังรู้สึกดีใจไปกับนายทรงพลด้วย ที่ถึงเขาจะร้ายขนาดไหน ก็ยังมีคนที่รักเขาจริง หวังว่าสิ่งที่แซ่บทำ คงจะเป็นครั้งสุดท้าย และทำให้นายทรงพลตระหนักได้เสียที ว่ามีคนที่รักเขาจริงแค่ไหน จะได้เลิกไขว่คว้าหาคนที่เขาไม่ต้องการตัวเองเสียที

“ที่จริงนายน่าจะเอาให้หนักกว่านี้นะ”

เดียร์กับสันต์พุดออกมาเกือบจะพร้อมกัน ท่าทางทั้งคู่คงอยากเห็นนายทรงพลด่าวดิ้นไปตรงหน้า คนหนึ่งแค้นที่ถูกแย่งแฟน อีกคนหนึ่งแค้นที่เขามาทำร้ายผม

“อย่าเลยน่า อโหสิให้เขาเถอะ แค่นี้เขาก็คงจะได้รับบทเรียนแล้วล่ะ”

สองหนุ่มหันมามองผมเป็นตาเดียว จากนั้นก็หันไปยิ้มให้กัน แถมแอบกระซิบกันให้ได้ยินอีกว่า “พ่อคนใจดี” ผมแลยยกมือขึ้นเขกหัวเพื่อนสองคนด้วยความหมั่นไส้ จากนั้นก็หันไปปลอบโยนเด็กแซ่บว่า สิ่งที่เขาทำลงไปแม้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง แต่สักวันหนึ่ง นายทรงพลจะรู้ได้เองว่าแซ่บรักเขาแค่ไหน


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่33-34 6/2/09
« ตอบ #249 เมื่อ: 08-02-2009 14:18:31 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
ดีใจ ด้วย น่ะ นาย เดียร์




ที่ เรียว เริ่ม ยอม รับ นาย แร้ววววว


คุน สันต์ ช่าง ดี จิงๆๆๆๆ ช่วย กัน หนับ หนุนนน เต็มที่





สู้ ๆๆ น่ะ เดียร์   อีก นิด เดียววว แร้ววววว





มา ต่อ ไวไว น่ะ คร้าบบบบบ :z13: :z13: :z13:

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
 :z10: :z10:
กาดึบ กาดึบ ยังอีกยาวกว่าจะจบ
พี่เคทไม่ใจดีให้จบแต่เพียงเท่านี้หลอก
มี 40 หรือ 50 ตอนแหละ

ออฟไลน์ the_pooh9

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 941
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-3
เมื่อไหร่กันนะ ที่เรียว จะยอมรับเดียร์

อย่างเปิดเผยสักที

เรียวบ้า ใจร้าย ทำเดียร์ร้องไห้ได้ไง  :m15:

เดี๋ยวแช่งให้ นู๋เดียร์ กินเค้กทุกวันซะนี่

กินเค้ก กินเค้ก กินเค้ก  :z1:

+1 ขอบคุณนะคร้าบบบ พี่แอนคนสวย

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่35 9/2/09
«ตอบ #253 เมื่อ09-02-2009 17:51:47 »

บทที่ 35

หลังจากปลอบโยนและให้กำลังใจแซ่บแล้ว พวกเราก็พากันลากลับ แต่ยังไม่ทันจะได้ออกจากห้อง นายทรงพลก็ฟื้นคืนสติ เขาลืมตาขึ้นมาเห็นผมพอดี และเรียกชื่อผมด้วยเสียงแหบพร่า ผมหันไปมองแซ่บที่นั่งน้ำตารื้นอยู่ แล้วก็ตัดสินใจเดินตรงไปที่เตียงคนไข้ พยามยามข่มใจอโหสิกรรมให้กับเขา เดียร์เดินตามผมมายืนใกล้ๆ และโอบเอวผมไว้ เหมือนเขาจะคอยกันไม่ให้ผมถูกทำร้าย

“ขอบคุณมากครับคุณเรียว ที่มาเยี่ยมผม”

ผู้เฒ่าเจ้าเล่ห์ยิ้มให้ผมด้วยใบหน้าที่อ่อนระโหยโรยแรง ผมยิ้มให้เขา บอกว่ามันเป็นหน้าที่ของพนักงานที่จะต้องปฏิบัติต่อลูกค้า และผมก็ไม่ได้มาเยี่ยมคนเดียวยังมีสันต์มาเยี่ยมด้วย เขากล่าวขอบคุณพวกเราทุกคน จากนั้นก็หันมาทางเดียร์ เด็กหนุ่มจ้องมองตอบ แววตาไม่เป็นมิตรนัก ผมเผลอตัวจับมือเดียร์อีกข้างไว้แน่น

“ขอบคุณนะน้องชาย ที่อุตส่าห์มาเยี่ยม ขอโทษด้วยนะ ที่ทำไม่ดีกับคุณเรียว น้องชายกับคุณเรียวนี่เหมาะสมกันมาก ช่วยดูแลเขาดีๆนะ”

หูผมฝาดไปหรือเปล่าเนี่ย นายทรงพลกลายเป็นคนดีขึ้นมากระทันหันหลังจากถูกแทงไปแผลหนึ่ง โหยไม่น่าเชื่อ ออกจากห้องนายทรงพลแล้วพวกเรายังพูดกันไม่เลิก แม้กระทั่งเดียร์เองยังอึ้ง เมื่อเห็นตาเฒ่าเจ้าเล่ห์มามุขนี้

“เฮ้ยเป็นไปได้ไงวะ ที่ตาเฒ่านั่นยอมเลิกราง่ายๆ กลายเป็นเสือสิ้นลายไปเสียแล้ว”

เสียงป๊าบๆประกอบคำพูดมาจากสันต์ที่ตบศีรษะตัวเองแรงๆเพื่อขับไล่ความึนงง

“เขาอาจจะสำนึกผิดจริงๆแล้วก็ได้นะ ซึ่งมันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ”

ผมย้อนถามมันไป

“ถ้าได้อย่างนั้นก็ดีนะสิครับเรียว หากเลิกยุ่งกับคุณได้ ผมจะดีใจมากเลย”

เด็กหนุ่มพูดอย่างไม่เชื่ออีกคน

“นี่แหละนะที่เขาบอกว่า คนเรา ถ้าเลือดไม่ตกยางไม่ออก ก็ไม่มีวันจะรู้สึก คราวนี้ได้เจ็บตัวก็เลยรู้ซึ้งกระมัง ดีๆๆเลิกซ่าส์ เลิกบ้ากามไปเลยก็ดี ถ้าหากตาเฒ่านั่นเลิกทำชั่วได้จริงๆ ก็ต้องขอบคุณน้องแซ่บล่ะ ที่ช่วยทำให้หนุ่มๆในโลกนี้ ยังพอเหลือเผื่อแผ่มาถึงคนอื่นบ้าง ไม่ถูกอำนาจเงินของเขากว้านซื้อไปจนหมด”

คงยังไม่หายแค้นใจ เจ้าสันต์เลยพูดจาประชดประชันออกมาแบบนั้น

“เอาน่า อภัยให้เขาเถอะ คนทำผิดที่สำนึกได้ เราก็ควรให้อภัยเขานี่นา”

ผมพยายามพูดให้เพื่อนรักเลิกมีอคติกับนายทรงพล แต่นอกจากจะไม่ได้ผลแล้วเจ้าสันต์ยังหันมาค้อนผมตาประหลักประเหลือกแถมย้อนผมเข้าให้ต่อหน้าเด็กหนุ่ม
“เออ....พูดได้สวยนี่ จำไว้ใช้บ้างก็ดีนะ กับตัวเองน่ะ เห็นใครบางคนเขาก็สำนึกผิดแล้ว ที่ทำไม่ดีกับนายไว้ และทุกวันนี้เขาก็ทำดีเพื่อชดใช้ ทำไมตัวเองถึงไม่ยอมเห็น ไม่ยอมใจอ่อนสักทีล่ะ หรือการให้อภัยน่ะ มีไว้แค่กับคนอื่น แต่กับคนใกล้ตัวใกล้ใจ ไม่มีโอกาสได้รับสิทธิ์นั้น”

อุปทานหรือเปล่าไม่รู้ แต่เหมือนว่าผมเห็นนายเดียร์ของผมแอบลอบยิ้ม คงสะใจกับคำพูดของเจ้าสันต์นั่น เพราะมันแสดงออกถึงอาการเข้าข้างกันเต็มที่ ตกลงเพื่อนรักของผม มันปันใจไปเป็นพวกเดียวกับเด็กลูกครึ่งนั่นเรียบร้อย

“สิ่งที่แซ่บทำลงไปแม้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง แต่สักวันหนึ่ง นายทรงพลจะรู้ได้เองว่าแซ่บรักเขาแค่ไหน …….ชิส์ พูดออกมาได้ ลองเปลี่ยนชื่อแซ่บไปเป็นชื่อใครบางคน และเปลี่ยนจากนายทรงพลเป็นตัวนายสิ แล้วถามตัวเองบ้างนะ ว่ารักคนๆนั้นหรือยัง”

คราวนี้ผมเห็นเดียร์ก้มหน้าหัวเราะคำพูดล้อเลียนของเจ้าสันต์ ที่ยกเอาสิ่งที่ผมปลอบประโลมแซ่บย้อนกลับมาใช้กับผม น่าหมั่นไส้นักทั้งเพื่อนทั้งคนที่ผมรักเลย

“ไอ้บ้าสันต์ ไปให้ไกลๆเลย พูดบ้าอะไรวะ ไม่เห็นรู้เรื่อง”

ผมแกล้งโวยวายกลบความอายที่มันพูดอย่างนั้นต่อหน้าเด็กหนุ่ม สองคนนั้นมองตากัน แล้วต่างคนต่างเบือนหน้าหนีกันไปคนละทาง แต่ผมเห็นพวกเขาแอบยิ้มให้กัน ก่อนที่จะหันไปซ่อนยิ้มไม่ให้ผมเห็น เออ เอาเข้าไป เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยนัก ก็เชิญกลับไปด้วยกันเถอะ นึกได้อย่างนั้น ผมก็รีบเดินเร็วๆหนีสองคนนั่นไปอย่างฉุนๆ ได้ยินเสียงหัวเราะไล่หลัง และเสียงเจ้าสันต์ตะโกนมาว่า พูดจี้ใจดำแค่นี้ทำเป็นงอน ผมเลยรีบเดินเร็วยิ่งกว่าเดิม

อารามรีบร้อนที่จะหนีไปจากสถานการณ์ที่เพื่อนรักกับคนที่ผมพึงใจพยายามไล่ต้อนให้ผมยอมรับความจริง ทำให้ผมไม่ทันสังเกตเห็นกลุ่มคนที่กำลังเดินตรงเข้ามา จนกระทั่งเกือบจะชนกันอยู่แล้ว เสียงหนึ่งก็ร้องทักขึ้น
“คุณเรียว มาได้ไงคะเนี่ย”

คุณแคทนั่นเอง เธอมาพร้อมกับนายสุริยะ , เจ้านายของผม อรจิรา และผู้ใหญ่อีก สองสามคน ซึ่งผมเดาเอาว่าน่าจะเกี่ยวข้องเป็นญาติกับคุณแคทเพราะเห็นหน้าตาคล้ายๆกัน

ไม่ใช่เพียงผมเท่านั้นที่ไม่ได้สังเกต เดียร์เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมหยุดทำไม ทันทีที่เขาถึงตัวผม เขาก็คว้าตัวผมมากอดไว้ โน้มหน้าลงมาจะจูบที่แก้ม แต่พอเห็นผมดิ้นหนี และผลักเขาออก เขาถึงได้ตระหนักว่าผมกำลังเผชิญหน้าอยู่กับคนที่รู้จัก ด้วยความหัวไวของเขาที่รู้ว่าผมยังไม่พร้อมจะเปิดเผยเรื่องนี้ให้ใครรู้

เขารีบผละออกจากผม และโค้งให้เป็นเชิงขอโทษ บอกว่าทักคนผิด เขานึกว่าเป็นแฟนเขา จากนั้นก็เดินชิ่งหนีออกไป ผมลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ทว่าเมื่อมองไปที่หน้าของคนเหล่านั้น ผมก็เห็นอรจิรามองผมด้วยดวงตาโตอย่างจ้องจับผิด

มีความเคลือบแคลงสงสัยในตาของคุณแคทลียา แต่ก็เพียงแว่บเดียว จากนั้นเธอก็ยิ้มแย้มให้ตามปกติ ส่วนนายสุริยะ มองผมยิ้มๆ ท่าทางมั่นอกมั่นใจในอะไรบางอย่างที่ตัวเองกำลังคิด และแล้วเจ้าสันต์ก็เดินตามเข้ามาพอดี อัศวินม้าขาวของผมที่ช่วยเหลือผมในยามขับขันหลายเรื่อง คราวนี้มันมาทันเวลาพอดี
“เฮ้ย แกเห็นแฟนฉันหรือเปล่าวะ เมื่อกี้เพิ่งพลัดกัน”

เจ้าสันต์เอ่ยขึ้น ผมคิดว่ามันคงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว เพราะมันเดินตามหลังมา

“คนที่เดินไปเมื่อครู่นี้หรือเปล่าคะ แคทเห็นเขาเข้ามากอดคุณเรียว คงนึกว่าเป็นคุณแน่”

เพื่อนร่วมงานของผมรีบรับลูกทันที ผมสบตาคุณแคทอย่างขอบคุณ ผมคิดว่าเธอยื่นมาเพื่อช่วยผม แต่เพราะอะไรไม่รู้

“อ้อ เหรอครับ ขอบคุณนะที่บอก แต่เอ๊ะ พวกคุณจะไปไหนกันหรือครับ ทำไมมาที่นี่ได้ล่ะ มาเยี่ยมใครเหรอ”

เจ้าสันต์ตีลูกบื้อ ผมรู้ว่าคนฉลาดอย่างมันรู้ แต่มันแกล้งไปอย่างนั้นเอง คุณแคทลียา และครอบครัว มาในฐานะคนรู้จักกัน นายสุริยะเป็นตัวแทนเจ้าของเคส ย่อมต้องมาดูแลเพื่อที่จะทำเรื่องเรียกร้องค่าสินไฮามอยู่แล้ว ส่วนอรจิรา คงมาทำข่าว ในฐานะฝ่ายประชาสัมพันธ์ เพราะลูกค้าเคสใหญ่ ถ้าประชาสัมพันธ์ออกไปว่าบริษัทเราดูแลเอาใจใส่ดีแค่ไหน ย่อมส่งผลในแง่ของภาพลักษณ์ที่ดีของบริษัท ส่วนเจ้านายของผมเป็นตัวแทนของผู้ใหญ่ในบริษัท นั่นจึงเป็นเหตุผลที่พวกเขามารวมตัวกันที่นี่

“เมื่อกี้แคทก็เพิ่งถามคุณเรียวไปแบบนั้นค่ะ คุณเรียวยังไม่ทันตอบ ก็พอดีแฟนคุณคนนั้นมากอดคุณเรียวซะก่อน พวกเราก็เลยมัวแต่ตกตะลึงกัน นี่พวกเรามาเยี่ยมคุณลุงทรงพลค่ะ แกป่วยอยู่ที่ตึกนี้ แล้วพวกคุณละคะ มาทำอะไรที่นี่”

เพื่อนร่วมงานสาวของผมกล่าวยิ้มๆ

“พวกเราก็มาเยี่ยมคุณทรงพลเหมือนกัน ได้ข่าวเมื่อคืนนี้น่ะครับ”

ผมใจชื้นขึ้น ที่เจ้าสันต์ไม่ได้เล่าเรื่องที่ผมนอนให้น้ำเกลืออยู่ที่นี่เหมือนกัน ไม่งั้นเรื่องยาวแน่ ต้องมีคนซักเข้าจนได้ ว่าใครเป็นคนพาผมมา หลังจากที่บอกเล่าถึงอาการของนายทรงพลตามที่พวกเราเห็นกันให้คนเหล่านั้นฟัง พวกเราก็ต่างแยกย้ายกันกลับ ในขณะที่ผมเดินผ่านอรจิรา อดีตคนรักของผม ก็พูดให้ได้ยินกันสองคนว่า อย่านึกว่าจะหลอกใครต่อใครได้ ถึงเวลาแล้วที่หน้ากากของผมจะถูกกระชากออก

ผมยิ้มให้กับอรจิรา รู้สึกสังเวชใจที่เธอตามราวีผมไม่หยุดยั้ง ทั้งที่เราก็เลิกกันไปแล้ว และเธอก็มีคนใหม่ไปก่อนด้วยซ้ำ ทำไมถึงยังคงโกรธผมอยู่ ผมต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายแค้นเคือง เพราะผมเป็นฝ่ายโดนทิ้ง ผมยังให้อภัยเธอ จึงใม่มีเหตุผลใดๆเลยที่อรจิราจะชิงชังผม หรือว่า เป็นอย่างที่ใครหลายๆคนบอก อรจิรายังคงรักผมอยู่ และทนไม่ได้ที่ผมจะมีคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ ในเมื่อเธอไม่ได้ตัวผม ใครก็อย่าหวังว่าจะได้ ความรักของอรจิรารวมไปกับความแค้น และการทำลายล้าง ช่างน่ากลัวเสียจริง

“เดี๋ยวแคทเยี่ยมคุณลุงทรงพลเสร็จจะแวะไปหาคุณที่บ้านนะคะ”
เสียงหวานๆของคุณแคทดังขึ้นขัดจังหวะ พร้อมกันนั้นร่างนุ่มๆหอมกรุ่นของเธอก็เดินกรายเข้ามาใกล้ แขนเรียวยาวคล้องหมับเข้าที่แขนของผม

เธอหันมาเห็นตอนที่อรจิรากระซิบผมพอดี และคงเดาเอาว่าผมไม่พอใจเรื่องที่ได้ยินนัก เธอเลยเข้ามาช่วย ผมนึกขอบคุณเธอในใจ ถึงแม้ผมจะไม่ชอบวิธีการบางอย่างที่เธอกำลังทำอยู่ตอนนี้ในเรื่องของพี่สมชาย แต่ผมก็รู้สึกดีกับเธออยู่ไม่น้อย นับว่าเธอเป็นเพื่อนที่จริงใจกับผมอีกคนรองจากเจ้าสันต์

ประกายขุ่นเคืองแว่บขึ้นมาในดวงตาของอรจิรา จากนั้นหน้าสวยๆก็เชิดขึ้น เธอเดินสบัดหน้าจากไปทันที คุณแคทยักไหล่และแลบลิ้นให้ผม จากนั้นก็เดินตามไปสมทบกับคุณสุริยะและครอบครัวของเธอที่เดินไปล่วงหน้าแล้ว

“เกือบไปแล้วไหมล่ะ เจ้าหนูนั่นเกือบทำให้นายถูกเปิดโปง แต่นายอย่าไปโกรธเด็กนั่นนะ เขาคงไม่ได้ตั้งใจจะให้นายอับอาย ใครจะไปรู้ละว่าจะบังเอิญมาเจอโจทก์เก่าของนายพร้อมกันแบบนี้ ดีนะเนี่ยที่เดียร์ยังหัวไวแก้สถานการณ์ได้ทัน แต่ก็เล่นเอาใจหายใจคว่ำว่ะ

นี่ นายจะจัดการยังไง จะตัดสินใจยังไงก็เอาสักอย่างนะ ปิดบังซ่อนเร้นแบบนี้น่ะ มันดีตรงที่ยังรักษาภาพตัวเองได้ แต่มันก็เสี่ยงเหลือเกิน เปิดเผยก็ดีไม่ต้องระมัดระวังตัวมาก ทำอะไรก็จะได้สบายใจ แต่มันอาจจะทำให้คนที่รู้จักนายยอมรับไม่ได้ ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยง่าย ต้องเสียบางอย่างไป เพื่อให้ได้บางอย่างมา เลือกทำในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับตัวเองก็แล้วกันเพื่อน”

เพื่อนรักของผมพูดให้ผมต้องเก็บไปคิดอีกแล้ว จริงสินะเรื่องระหว่างผมกับเดียร์จะปิดได้นานอีกแค่ไหนกัน ถึงอย่างไรเรื่องนี้มันก็ต้องแดงออกมาอยู่วันยังค่ำ เพราะเริ่มมีคนเห็นเดียร์กับผมบ่อยขึ้น เมื่อครู่นี้ถ้าไม่นับรวมญาติของคุณแคท ทุกคนก็เคยเห็นเดียร์มาก่อนแล้วทั้งสิ้น

พวกเขาย่อมไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าเดียร์จะเป็นแฟนกับนายสันต์ แต่ที่เขาไม่พูด เพราะผมไม่ยอมรับ และเดียร์เองก็ไม่ได้พูดออกมาอย่างโจ่งแจ้งว่ามีความสัมพันธ์กับผมแบบไหน แถมซ้ำคุณแคทกับเจ้าสันต์ยังคอยช่วยเหลือผมอีก ทำให้ไม่มีใครกล้าฟันธงลงไปว่าผมรักชอบอยู่กินกับผู้ชายจริงๆ

สถานการณ์ต่างๆดูจะบีบคั้นผมมากขึ้น บางทีอาจจะต้องถึงคราวตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตของตัวเองแล้วกระมัง เพราะขืนแอบซ่อนอยู่แบบนี้ คนจะยิ่งสงสัยและขุดคุ้ยกันมากยิ่งขึ้น ชีวิตผมอาจจะไม่สงบสุขเหมือนเดิม

ตอนนี้ทางเลือกของผมคงมีแค่ เลิกกับเดียร์และกลับไปแต่งงานกับผู้หญิงตามเดิม และทำงานอยู่กับบริษัทที่มั่นคง มีเงินเดือน ตำแหน่งหน้าที่การงานสูง เทียมหน้าเทียมตาคนอื่นๆ เป็นคนดีที่ไม่เคยทำให้สังคมด่างพร้อย

หรือละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต กลับไปเป็นคนธรรมดาสามัญไม่มีตำแหน่งหน้าที่การงานใดๆ เป็นกบฏต่อความเชื่อของตนเอง แหกบรรทัดฐานการใช้ชีวิตที่สังคมวางกรอบเอาไว้ แต่มีความสุขอยู่กับคนที่รักผมและผมก็รักเขา สองทางเลือกนี้ช่างตัดสินใจได้ยากลำบากจริงๆ

เด็กหนุ่มลูกครึ่งยืนดักรอผมตรงลานจอดรถ เพื่อจะพาไปยังที่รถที่จอดไว้ เพราะเขาเป็นคนขับตอนมาโรงพยาบาลนี้ ผมมองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่มองผมด้วยแววตาเสียใจแล้วให้รู้สึกสงสาร ท่าทางเขากังวลใจมาก สงสัยกลัวว่าผมจะโกรธที่เผลอทำตัวรุ่มร่ามเมื่อสักครู่

เดียร์รู้ดีว่าผมไม่ชอบให้ใครมาเห็นผมกับเขาอยู่ด้วยกัน พอเขาทำพลาดก็เลยเกรงว่าผมจะไม่พอใจเขา ผมยิ้มให้กับเดียร์ อยากจะโกรธแต่ทำไม่ลง จริงอย่างที่สันต์ว่า เขาไม่ได้ทำผิดอะไร เพราะเขาเองก็ไม่รู้จักคนพวกนั้น และไม่รู้ว่าจะมาเจอกันที่โรงพยาบาลด้วย

คำพูดของเจ้าสันต์ลอยไปลอยมาอยู่ในความคิดของผม อภัยให้คนอื่นได้ แล้วทำไมไม่ยอมให้อภัยคนใกล้ตัว ทั้งที่เขาก็สำนึกผิดในสิ่งที่ทำลงไป และพยายามดีกับผมตลอดมา ผมควรจะดีกับเขาบ้าง เพื่อตอบแทนน้ำใจที่เดียร์ทำทุกอย่างเพื่อผม
“ขอโทษนะครับ ที่ผมทำให้คุณลำบากใจเมื่อครู่นี้ หวังว่าพวกเขาคงไม่สงสัยคุณนะครับ ผมน่ะโง่เองที่ไม่ระมัดระวังตัวเวลาอยู่ในที่สาธารณะ มัวแต่คิดทำตามใจตัวเอง ลืมไปว่าเรียวก็มีสังคมที่ต้องแคร์ แต่ผมไม่มีใครให้ห่วง ไม่ต้องไปกังวลเรื่องชื่อเสียงจะเสียหายอะไร เพราะผมอยู่ตัวคนเดียว ต่อไป ผมจะพยายามไม่ให้มันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกครับ”

“ช่างเถอะเดียร์ ฉันไม่เป็นไรหรอก อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิดนะ”

บอกกับเขาไปแบบนั้นเพื่อไม่ให้เขาต้องคิดมาก และปลุกปลอบใจตนเอง ผมตัดสินใจแล้วที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง เพราะถึงอย่างไร ผมก็หลีกเลี่ยงเรื่องนี้ไม่พ้น กลับไปทำงานวันจันทร์ คงมีข่าวเรื่องผมกับเดียร์เกิดขึ้น ผมสังหรณ์ใจว่าจะเป็นแบบนั้น และผมจะไม่หนีอีกแล้ว

“ขอบคุณนะครับ ที่ไม่โกรธผม เรียวใจดีจังเลยครับ เดี๋ยวผมขับรถให้นะ เรียวเพิ่งออกมาจากโรงพยาบาล ควรพักผ่อนให้เยอะๆนะครับ”

ท่าทางประจบเอาใจนั่น ทำให้ผมต้องยอมทำตามเขาอีกครั้ง ผมยื่นกุญแจรถให้เดียร์ และก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ จากนั้นก็หลับตาลง ปล่อยให้เด็กหนุ่มพาผมกลับไปส่งยัง “บ้านของเรา”

สิ่งที่ผมสังหรณ์ใจเป็นจริงขึ้นมาเมื่อผมย่างเท้าเข้ามาทำงานในวันจันทร์ ผมน่าจะซื้อหวยบ้างจะได้ถูกรางวัลใหญ่ๆ แล้วเอาเงินที่ได้ไปตั้งบริษัทเอง ไม่ต้องมาทำงานในบริษัทที่มีแต่คนคอยจ้องจะพูดคุยถึงเรื่องของคนอื่น

ตอนแรกเดียร์จะไม่ยอมให้ผมมาทำงาน เพราะเห็นว่าผมยังคงท้องเสียอย่างต่อเนื่อง เพราะยาที่หมอสั่งมาให้ มันเป็นการถ่ายออกมาจะทำให้เชื้อไม่มีเหลือค้างคาให้เป็นสาเหตุโรคในครั้งต่อไป แต่ผมเห็นว่าระยะของการถ่ายแต่ละครั้งมันห่างกันมาก แล้วผมก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว ไม่อาเจียน ไม่ค่อยปวดท้อง ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่บ้านโดยทิ้งงานไว้ให้ลูกน้องทำ การเป็นผู้บังคับบัญชาที่ดี ต้องทำเป็นตัวอย่างให้ลูกน้องเห็น พวกเขาจะได้ขยันยันแข็ง ไม่เหลาะแหละ ทำงานแบบไร้คุณภาพ แต่รับเงินเต็มในแต่ละเดือน

อย่างที่คิดไว้เลย เจ้านายเห็นหน้าผมปุ๊บ ก็เรียกไปดุอีกครั้งเกี่ยวกับเรื่องเดียร์ เขาหาว่าผมไม่ยอมฟังในสิ่งที่เขาพูดบ้างเลย ทั้งๆที่เขาเตือนด้วยความเป็นห่วง หากผมทำตามเขา มันก็จะดีกับตัวของผมเอง ผมได้แต่นิ่งฟัง ไม่ได้โต้เถียงอะไร เพราะรู้ว่าหัวหน้ากำลังโมโห

การที่เขารู้สึกหัวเสีย เพราะเขาหวังในตัวผมไว้มาก ผมเป็นคนทำงานฝีมือดี ที่เขาไว้ใจได้ และเขาไม่อยากให้คนภายใต้การดูแลของเขามีเรื่องเสื่อมเสีย ผมลองย้อนคิดไปถึงว่า หากลูกน้องของผมมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ผมก็คงรู้สึกแย่เหมือนกัน เพราะผมเองก็ปรารถนาให้ลูกน้องของผมทุกคน เติบโตก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่อย่างสง่างาม ปราศจากข้อครหานินทา แต่ตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจว่า พฤติกรรมทางเพศที่เบี่ยงเบน จะเป็นประเด็นที่ถูกพิจารณามากกว่าความสามารถหรือเปล่า

“กลับไปคิดดูอีกทีนะเรียว ผมหวังว่าคุณจะตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง”
เขาสั่งผมเสียงห้วนจากนั้นก็ปล่อยให้ผมกลับไปทำงานตามเดิม ตลอดเช้านั้น ผมนั่งทำงานอย่างใจลอย รู้สึกไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่ มัวแต่ครุ่นคิดไปถึงคำตอบที่จะให้กับหัวหน้าของตนเอง จะเลือกแบบไหนดีหนอ ทำตามใจตัวเอง หนีไปมีความสุข ทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังดีไหมหนอ

ถ้าผมตัดสินใจเลือกเดียร์ ผมก็อยู่ที่นี่ไม่ได้ แล้วลูกน้องของผมจะอยู่กันยังไง ใครจะมาดูแล หัวหน้าของผมจะมีคนช่วยงานไหม กว่าที่จะหาคนมาทดแทนกว่าจะทำงานให้เข้ากับระบบก็อาจจะกินเวลานาน งานก็อาจจะเสียหาย

แต่อีกเสียงหนึ่งในตัวผมก็บอกว่า ช่างมันปะไร ไม่เห็นจะต้องไปสนใจเลย คนทุกคนถูกสอนให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการดิ้นรน หากผมไม่อยู่ดูแลพวกเขาแล้ว คนพวกนั้นก็จะต้องปรับตัวให้ได้กับหัวหน้าคนใหม่ที่เข้ามาแทนที่ผม งานของบริษัทอาจจะชะงักงันอยู่บ้าง แต่บริษัทใหญ่ขนาดนี้ ย่อมมีเงินจ้างพนักงานระดับมืออาชีพมาร่วมงาน ถึงแม้ว่าเงินเดือนจะแพงแสนแพงขนาดไหน หากมีความจำเป็น พวกเขาก็ยอมทุ่มเงินลงไปจ่ายได้อยู่แล้ว

ในขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ อยู่ดีๆประตูห้องทำงานก็เปิดพลั๊วะเข้ามา จากนั้นหน้าหงิกๆของศักดิ์ชายก็โผล่มาให้เห็นก่อน แล้วตามด้วยตัวของมันก่อนที่ไอ้ซี้เก่าจะปิดประตูตามหลัง มันกระแทกตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับโต๊ะทำงานที่ผมนั่งอยู่ แต่หน้าตายังบอกบุญไม่รับ พอผมถามว่ามันไปกินรังแตนที่ไหนมา มันก็เลยตะคอกผมด้วยเสียงอันดัง

“นายนั่นแหละที่ทำให้ฉันเป็นแบบนี้ ทำไมนายจะต้องโกหกกันด้วย เห็นฉันเป็นตัวอะไรวะ เรื่องแค่นี้ทำไมต้องปิดบังกัน”

“อะไรวะ มาถึงก็เปิดฉากด่า ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมวะ ว่านายโมโหฉันเรื่องอะไร”

ผมพยายามไม่โมโหไปกับมันด้วย แค่ถูกด่าตอนเช้าก็ทำให้ผมเครียดพอสมควรแล้ว อยู่ๆก็มาถูกเพื่อนโวยวายใส่อีก ด้วยเรื่องอะไรไม่ชัดแจ้ง หากผมไม่รู้จักระงับสติอารมณ์ คงได้ฉะกันสักตั้งแน่ ศักดิ์ชายมองจ้องผม ท่าทางโกรธจัด

“นายเป็นแฟนกับไอ้เด็กเดียร์นั่นใช่ไหม มีอะไรกันแล้วอยู่กินกันแล้วด้วย แต่นายโกหกฉัน โกหกพวกเราทุกคน ว่านายไม่ได้ชอบแบบนั้น นายทำให้ฉันแย่มากๆเลยรู้ไหมเรียว ไม่อยากจะเชื่อเลย เพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งนมนามจะเป็นคนแบบนี้”

“ใครบอกเรื่องนี้กับนาย”

มันร้อนมา ผมก็เลยพยายามทำให้มันเย็นลงด้วยการเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แต่ใจผมนี่สิ กลับเริ่มเดือดปุดๆแล้ว

“โอ๊ย เขาพูดเรื่องของนายกันเกือบจะทั้งบริษัทแล้วนะโว้ย ฉันน่ะรู้เป็นคนสุดท้ายได้แล้วมั๊ง บอกมาสิ ว่ามันจริงหรือเปล่า นายช่วยบอกให้ฉันสบายใจหน่อยได้ไหม ว่าไอ้พวกนั้นมันโกหก ขอเพียงนายบอกมาคำเดียวเท่านั้นว่ามันไม่จริง ฉันจะไปเล่นงานไอ้พวกบ้านั่น เอาให้กระเจิงเลย”

สิ่งที่มันพูดทำให้ผมรู้สึกตกใจมาก คนข้างนอกเขาวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตัวผมจริงๆเหรอ ข่าวมันไปไวจริง คงปิดไม่มิดแล้วมั๊งคราวนี้
“มันสำคัญกับนายมากไหมเพื่อน ในการที่จะรู้ให้ได้ว่าฉันเป็นอย่างไร ความชอบหรือไม่ชอบของฉันต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง วิถีชีวิตที่ฉันเลือกเดินมันมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ 10 กว่าปีของเราหรือไม่ นายตอบฉันให้ได้ก่อนแล้วฉันจะบอกว่าสิ่งที่นายได้ยินได้ฟังมา มันจริงหรือเปล่า”

ผมไม่ตอบ แต่ย้อนถามมัน เพราะผมเองก็อยากจะรู้ว่า ศักดิ์ชายจะคบที่ผมเป็นผม หรือคบผมอย่างที่มันอยากให้เป็น เพื่อนเก่ามองหน้าผมแลทำหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นผมแข็งใส่มันบ้าง มันโอดครวญเรียกร้องความเห็นใจ

“โธ่เรียว นายอย่าพูดแบบนั้นสิ ฉันน่ะ ไม่ได้ต้องการพูดเพื่อให้นายไม่สบายใจนะ ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร นายก็เป็นเพื่อนที่ฉันรัก เรารู้จักกันมาตั้งนาน ฉันก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่าฉันปรารถนาดี และห่วงใยนายแค่ไหน แต่ที่ฉันถามนี่ เพียงแค่อยากรู้เท่านั้นเองว่ามันจริงหรือเปล่า เพราะถ้าไม่จริง สิ่งที่พวกนั้นพูดก็เข้าข่ายหมิ่นประมาท นายควรจะออกมาปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเอง ร้องเรียนคนพวกนั้น ให้ได้รับโทษกันบ้าง จะได้ไม่ต้องอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่นอีกต่อไป นะนายบอกฉันเถอะ ฉันอยากรู้จริงๆ”



anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่35 9/2/09
«ตอบ #254 เมื่อ09-02-2009 17:52:19 »

ถ้าเป็นในยามปกติ ผมคงจะปลาบปลื้มไปกับคำพูดของศักดิ์ชาย แต่สิ่งที่มันกำลังทำอยู่ตอนนี้ มันทำให้ผมคิดได้อย่างเดียวว่า มันอยากรู้ว่าผมเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกันหรือไม่ และมันคงไม่พอใจที่ผมไปมีข่าวกับเด็กที่มันเคยทะเลาะด้วย

ผมแค่นยิ้มให้มัน ได้คำตอบกับตัวเองแล้ว ว่าทำไมคนถึงอยากรู้เรื่องราวของผมนัก เรื่องคาวๆโดยเฉพาะเรื่องที่มันแปลกผิดธรรมชาติเป็นอาหารชั้นดีที่คนอยากเสพ อยากรู้เพื่อเปรียบเทียบกับชีวิตของตนเอง หรือต้องการมีเรื่องที่จะพูดคุยกันได้สนุกปาก อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่เพื่อนของผมแท้ๆ ยังอยากได้ยินจนต้องแล่นมาถามผมถึงห้อง

“ใช่ฉันคบกับนายเดียร์อยู่จริงๆ”

ในที่สุดผมก็ตัดสินใจบอกไป และเมื่อพูดไปแล้วก็เหมือนยกภูเขาออกจากอกได้ลูกหนึ่ง อยากรู้ว่าคนคิดอย่างไรกับเรา ก็ต้องเริ่มจากเพื่อนสนิทก่อน คนที่เคยคบกันมาหลายปี มันจะรู้สึกอย่างไร ศักดิ์ชายทำหน้าเหมือนถูกผีหลอก มันยกมือขึ้นปิดปากที่อ้ากว้างของมัน และทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

“เรียว .....เป็นไปได้ไง....นายประชดฉันใช่ไหม โธ่ ทำไมนายถึงทำแบบนี้วะ ไม่น่าเลย แล้วทำไม ....นายเพิ่งมาเป็น....เอ้อ.....”

“ทั้งที่เมื่อก่อนฉันไม่มีวี่แววเลยใช่ไหม ไม่รู้สิศักดิ์ ฉันตอบนายไม่ได้หรอกว่าทำไม เพราะฉันเองก็ยังตอบไม่ได้ แต่เมื่อนายถามฉันก็บอกไป นายอยากรู้ฉันก็ไม่อยากปิดบัง ฉันหวังว่าการที่นายรู้เรื่องของฉัน คงไม่ทำให้มิตรภาพความเป็นเพื่อนของเราเสียไปนะ”
ผมยอมรับกับมันไปตรงๆ แค่บอกว่าคบกับผู้ชายก็อายจะแย่อยู่แล้ว จะให้ผมบอกรายละเอียดว่าชอบตอนไหน ยังไง เพราะอะไร ผมคงบอกไม่ได้ เพราะผมเองก็สับสนพอสมควร ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ผู้ชายที่เคยควงกับผู้หญิงมาตลอด เคยมีอะไรกัน และถึงขั้นจะแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง

แต่แล้วก็หันมาคบกับผู้ชาย แถมซ้ำยังอยู่กินด้วยกัน มันเป็นสิ่งที่น่าแปลกใจ ชวนให้สงสัย ว่ามีสาเหตุอะไรที่ทำให้เบี่ยงเบนได้ถึงขนาดนั้น ความรัก หรือเพียงความใคร่ที่หลงมัวเมาไปชั่วครู่ หรือว่าทั้งสองอย่างรวมกัน อะไรคือสิ่งที่สามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจของผม

“ทำไมฉันถึงไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย ทำไมเรียว ทำไมนายถึงไม่บอกฉันบ้าง”

“เรื่องแบบนี้จำเป็นต้องป่าวประกาศให้คนรู้ด้วยเหรอ”

“อย่างน้อยๆก็น่าจะบอกเพื่อนฝูงให้รู้บ้าง ฉันเป็นเพื่อนนายแท้ๆนะ”

“บอกแล้ว นายจะช่วยอะไรฉันได้ ทำให้ฉันเปลี่ยนใจงั้นเหรอ หรือคิดจะหันเห ทำให้ฉันมาชอบนายแทนเดียร์”
ผมย้อนถามมันออกไป กะว่าคงสะกิดใจมันบ้าง หากสิ่งที่เจ้าสันต์พูดเป็นจริงว่าศักดิ์ชายแอบรักผม มันก็ควรจะเลิกคิดได้แล้ว

“ไม่ใช่นะเรียวคือว่าฉัน....เอ้อ......ฉันแค่คิดว่า บางที นายอาจจะหลงผิดไปชั่วครู่ แต่ถ้ามีคนคอยช่วยเหลือ พูดเตือนสตินาย อาจจะทำให้คิดขึ้นมาได้ และไม่เกิดเรื่องบัดสีแบบนี้ขึ้น”

บัดสี เหรอ เฮอะ นี่เพื่อนรักเพื่อนเก่าพูดแบบนี้กับผมนะเนี่ย คนอื่นไม่ต้องไปคิดเลย ว่าเขาจะรู้สึกกับเรื่องนี้อย่างไร มิน่าคนส่วนใหญ่จึงไม่พร้อมที่จะเปิดเผยตัวเอง ก็ในเมื่อคนใกล้ตัวยังมองว่าพวกเขาเป็นตัวประหลาด แล้วอย่างนี้เขาจะกล้าบอกใครๆได้อย่างไร ว่าเขาใช้ชีวิต หรือมีความชอบไม่เหมือนคนอื่นๆ ใครๆก็ไม่อยากจะถูกกันออกไปจากสิ่งแวดล้อมเดิมๆของตนเอง คนที่เป็นเกย์จึงได้แอบกันอย่างสุดฤทธิ์ เพราะไม่อยากจะสูญเสียสถานภาพทางสังคม

“ขอบคุณนะที่คิดจะช่วย แต่มันคงสายไปแล้วล่ะ เพราะฉันตัดสินใจคบกับเดียร์ไปแล้ว คงอีกนานกว่าจะเลิกกัน หรือไม่ก็อาจจะไม่เปลี่ยนใจจากเดียร์เลยก็ได้”

คราวนี้ผมโยนก้อนหินถามทาง ลองหยั่งเชิงว่ามันจะรับได้หรือเปล่า ศักดิ์ชายอ้าปากค้าง กว้างกว่าเดิม มันคงไม่เชื่อหูตัวเองว่าผมจะกล้าพูดออกมาแบบนี้

“เฮ้ย ทำงั้นได้ไงอ่ะเรียว นี่อย่าบอกนะว่านายชอบเรื่องแบบนี้ แน่ใจตัวเองแล้วใช่ไหม ว่าการชอบผู้ชายมีความสุขกว่าการชอบพวกผู้หญิง”

“ยังไม่แน่ใจชัดเจนหรอก ว่าอะไรมีความสุขกว่ากัน รู้แต่ว่าตอนนี้ฉันมีความสุขก็แค่นั้น นี่มีอะไรอีกไหม นายรู้ทุกอย่างหมดแล้ว จะคบฉันหรือไม่ก็ตามใจ ฉันไม่บังคับ”

“คบสิ ทำไมล่ะ ก็เราเพื่อนกัน ว่าแต่นายไม่คิดจะเปลี่ยนใจแน่หรือเพื่อน คิดใหม่ก็ได้นะเว้ย เกย์คบกันไม่ยืดหรอก อีกหน่อยก็คงต้องเลิกรากัน นายเดียร์เองก็ดูไม่เหมาะสมกับนายสักเท่าไหร่ เรียนจบหรือยังไม่รู้ หัวนอนปลายเท้าเป็นไงนายรู้จักดีแล้วหรือ ถึงนายจะเผลอตัวเผลอใจไป ก็คงอยู่กันได้ไม่ตลอดรอดฝั่ง นายเคยคิดไหมว่า จะเลิกกับเดียร์เมื่อไหร่”
โดนถามแบบนี้ผมก็ได้แต่อึ้ง พูดไม่ออก ดูไอ้เพื่อนตัวดีสิ มันพูดแบบนี้จะให้ผมคิดว่าไง มันหวังดีเพื่อตัวผม หรือเพื่ออะไรกันแน่ ศักดิ์ชายยังไม่ได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับการคบหาระหว่างผมกับเดียร์เลย มันก็มาตัดสินเอาตามที่มันคิดว่าเราคงจะเลิกกัน

เห็นเพื่อนเก่าผมพูดถึงเดียร์แบบนี้แล้ว ก็ให้สงสารเขายิ่งนัก เด็กนั่นไม่ควรถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่ยุติธรรม ถึงแม้เขาจะอายุน้อยกว่าผม เรียนยังไม่จบ เป็นเด็กกำพร้า ญาติพี่น้องไม่เหลียวแล แต่เขาก็สู้ชีวิตตามลำพัง ไม่เคยงอมืองอเท้า พึ่งพาใคร จิตใจเข็มแข็ง ทำงานส่งเสียตัวเอง และมีใจที่ใฝ่เรียน ขยัน อดทนไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา

นอกจากนี้เขายังมีความภักดีให้กับผมเพียงแค่คนเดียว ถึงแม้ว่าเขาจะได้ตัวผมสมใจอยาก เด็กหนุ่มก็ยังมั่นคงในความรักที่มีให้กับผมโดยไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าเทียบกันแล้วเขายังดีกว่าพวกผู้หญิงหลายต่อหลายคนที่ก้าวเข้ามาในชีวิตของผมเสียอีก

“ถามทำไม...”

“ก็แค่อยากรู้ไง ถ้านายมีแนวโน้มจะเลิกกันไวๆฉันก็จะช่วยปิดเรื่องนี้ให้”

“หึหึหึ....ไหนนายบอกว่าเขาลือกันทั้งบริษัทแล้วเรื่องฉันกับเดียร์ จะปิดอย่างไรก็คงไม่ได้ผลมั๊ง อีกอย่างฉันตั้งใจจะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ไม่หนีอีกต่อไปแล้ว”

พูดออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว เพราะผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ที่ผ่านมาผมได้รับความกดดันเกินพอแล้ว ทุกคนพยายามคาดหวังในตัวผม กลุ่มหนึ่งอยากให้ผมปิด อยากให้เลิกกับเดียร์ อีกข้างหนึ่งก็อยากให้ผมทำตัวบูชารักแท้ ผมต้องเลือกเอาเองว่าจะยืนอย่างข้างไหน

ถึงตอนนี้ผมจะยังไม่แน่ชัดในผมจะเลือกอะไร แต่ในไม่ช้าไม่นานผมก็ต้องให้คำตอบตัวเองและคนอื่นๆด้วย ดังนั้นการได้พูดออกไปซะบ้าง น่าจะช่วยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น และเป็นการลองหยั่งเชิงดูว่าทุกคนจะมีปฏิกิริยาอย่างไร รับได้แค่ไหน และจะมีผลต่อหน้าที่การงานของผมเพียงใด

“อย่านะเรียว อย่าทำอย่างนั้น”

ศักดิ์ชายร้องห้ามด้วยเสียงอันดัง แล้วทำน้ำเสียงอ้อนวอนให้ผมทบทวนดูใหม่

“นายไม่ห่วงเรื่องชื่อเสียงของตัวเองบ้างเลยหรือเรียว จะทิ้งงานการที่กำลังมั่นคง เพื่อจะอยู่กินกับผู้ชายคนหนึ่งแค่นั้นเหรอ ทั้งๆที่นายก็เพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ได้เงินเดือนใหม่ รถคันใหม่ พยายามมาถึงวันนี้แล้วไม่รู้สึกเสียดายบ้างหรือไง จะหันหลังให้กับทุกสิ่งเพื่อบูชาความรักน่ะมันโง่สิ้นดี คนที่จะทำแบบนี้ ฉันเห็นมีแต่ในนิยายเท่านั้น ทำไมนายไม่คิดบ้างล่ะว่า พอนายมีเงิน นายจะมีแฟนสักกี่คนก็ได้ แค่เด็กเมื่อวานซืนอย่างนายเดียร์ ทำไมต้องทุ่มเทให้ขนาดนี้”

“เป็นอะไรมากหรือเปล่านายน่ะ ฉันแค่บอกว่าฉันไม่หนีความจริงอีกแล้ว แต่ฉันยังไม่ได้บอกว่าฉันจะตัดสินใจยังไง นายก็มาตีโพยตีพายไปก่อน ฉันจะตัดสินใจแบบไหน มันก็เรื่องของฉันนี่นา นายจะมารู้ดีไปกว่าฉันได้ไง ว่าสิ่งไหนทำให้ฉันมีความสุขถามจริงๆเถอะไอ้ศักดิ์ นายเดือดร้อนแทนฉันไปเพื่ออะไร มีจุดประสงค์อะไรหรือเปล่า ”

ชักโมโหมันแล้ว ว่าจะไม่โกรธ แต่พอมันทำท่าทางยังกับว่าผมทำสิ่งที่ผิดมหันต์ อารมณ์เลยขึ้น ยิงคำถามมันไปตรงๆจะได้รู้ว่ามันมีอะไรอยู่ในใจ เห็นโวยวายกับเรื่องของผมนัก ทั้งที่ผมเองเป็นคนที่ถูกติฉินนินทา ผมยังกล้าที่จะแอ่นอกเผชิญกับทุกสิ่ง อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด
“เปล่าหรอกเพื่อน ฉันแค่ห่วงนายมากเกินไป ไม่อยากให้นายตัดสินใจผิดพลาด อยากให้นายเลือกทางเดินที่ถูกต้องให้กับตนเองน่ะเรียว นายจะได้มีความสุขในชีวิต”

“แปลว่าตอนนี้ นายได้เลือกทางเดินที่ถูกต้องให้กับตนเองแล้วล่ะสิ แล้วนายกำลังจะบอกฉันอีกใช่ไหมว่า นายรู้สึกมีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน”

คำถามของผมเล่นเอาศักดิ์ชายนิ่งเงียบ มันมองหน้าผม เม้มริมฝีปากแน่น แววตาเจ็บปวด

“เอ้อ....ฉัน.....ฉันไม่รู้จะพูดยังไงดีเรียว ฉันขอโทษ ที่ฉันพูดไม่ดีใส่นาย ขอโทษที่หงุดหงิด แล้วก็ยุ่งเรื่องของนายมากไปหน่อย ฉันเพียงแต่ช็อคกับสิ่งที่ได้ยินจากคนหลายคนรวมถึงจากปากนายด้วย เพราะว่าฉันไม่เคยรู้มาก่อน ว่านายจะเลือกเดินเส้นทางนี้ แล้วฉันก็เสียใจที่นายไม่เคยบอกฉัน

พร้อมกันนั้นฉันก็นึกเจ็บใจตัวเอง ที่ไม่เคยมีความกล้าหาญอย่างนาย และเจ้าสันต์ บางทีฉันก็อยากแสดงความรู้สึกของฉันออกไป แต่ฉันก็ไม่กล้า เพราะฉันมัวแต่ขี้ขลาด เลยทำให้ฉันสูญเสียโอกาสดีๆในชีวิตไป ถ้าเพียงแต่ฉันจะกล้า กล้าบอกให้คนที่ฉันชอบรู้ ฉันก็จะไม่ต้องมานั่งเสียใจเหมือนอย่างที่เป็นอยู่นี้ ”

คำพูดแฝงนัยของเพื่อนเก่า ทำให้ผมเข้าใจเรื่องราวได้ทะลุปุโปร่ง เป็นจริงอย่างที่เจ้าสันต์ว่า ศักดิ์ชายคงคิดอะไรกับผมอยู่ลึกๆ แต่เนื่องจากว่าเราเป็นเพื่อนกัน แล้วศักดิ์ชายก็ไม่เคยแสดงออกว่าชอบผู้ชายให้เห็น ในขณะที่ผมก็มีเพื่อนสาวที่เป็นแฟนด้วยหลายคน เราจึงคบกันในฐานะเพื่อน

ผมไม่เคยรู้เลยว่าศักดิ์ชายคิดกับผมอย่างไร ความสนิทสนมที่มันมีให้กับผม ถูกมองเป็นเรื่องธรรมดาที่เพื่อนจะมีให้แก่กัน ตลอดเวลาเหล่านั้นมันคงเจ็บปวดที่ต้องทนเก็บกดเอาไว้ไม่ให้ผมรู้ แล้วพอถึงวันหนึ่ง ผมดันเกิดมีแฟนเป็นผู้ชายขึ้นมา ศักดิ์ชายก็เลยรับไม่ได้

“ทำไมนายต้องโกหกฉันด้วยหือเรียว ทั้งๆที่ฉันก็ถามนายหลายครั้ง ทำไม ถ้านายไม่โกหกฉัน บางทีฉันอาจจะ อาจจะ.........”

มันพูดตะกุกตะกักจนผมนึกรำคาญนิดๆ มันต้องการบอกอะไรผม อยากจะพูดว่า มันรักผมใช่ไหม คิดว่าเมื่อพูดแล้วจะทำให้อะไรมันดีขึ้นงั้นหรือ ผมรู้สึกกับมันอย่างไรก็อย่างนั้น เห็นมันเป็นเพื่อนมาตลอด ไม่คิดจะเห็นเป็นอื่น ถึงแม้ว่าตอนนี้มันอาจจะอยากสารภาพกับผมว่ามันรักผู้ชายด้วยกัน และถึงผมจะยอมรับว่าผมเริ่มเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อความรัก แต่ผมก็รักศักดิ์ชายไม่ได้อยู่ดี

“ถ้าฉันไม่โกหก แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหรือไอ้ศักดิ์ บางทีเราก็ไม่อาจจะพูดความจริงได้ทุกเรื่อง แต่ละคนก็มีความลับของตัวเองที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ นายเองก็มีไม่ใช่เหรอ ความลับที่ไม่ต้องการบอกใครแม้เพียงสักคน การที่ฉันไม่บอกนาย เพราะฉันเองก็ไม่แน่ใจอะไรหลายๆอย่าง ถึงตอนนี้ก็บอกได้เลยว่าไม่แน่ใจอะไรทั้งนั้น แต่ฉันก็จะพยายามเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตตัวเอง ว่าแต่นายเถอะ จะบอกฉันมาได้หรือยัง ว่าถ้าฉันพูดความจริงกับนาย นายจะทำอะไร”
ความเดินตอนที่แล้ว



“เปล่าหรอกเพื่อน ฉันแค่ห่วงนายมากเกินไป ไม่อยากให้นายตัดสินใจผิดพลาด อยากให้นายเลือกทางเดินที่ถูกต้องให้กับตนเองน่ะเรียว นายจะได้มีความสุขในชีวิต”

“แปลว่าตอนนี้ นายได้เลือกทางเดินที่ถูกต้องให้กับตนเองแล้วล่ะสิ แล้วนายกำลังจะบอกฉันอีกใช่ไหมว่า นายรู้สึกมีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน”

คำถามของผมเล่นเอาศักดิ์ชายนิ่งเงียบ มันมองหน้าผม เม้มริมฝีปากแน่น แววตาเจ็บปวด

“เอ้อ....ฉัน.....ฉันไม่รู้จะพูดยังไงดีเรียว ฉันขอโทษ ที่ฉันพูดไม่ดีใส่นาย ขอโทษที่หงุดหงิด แล้วก็ยุ่งเรื่องของนายมากไปหน่อย ฉันเพียงแต่ช็อคกับสิ่งที่ได้ยินจากคนหลายคนรวมถึงจากปากนายด้วย เพราะว่าฉันไม่เคยรู้มาก่อน ว่านายจะเลือกเดินเส้นทางนี้ แล้วฉันก็เสียใจที่นายไม่เคยบอกฉัน

พร้อมกันนั้นฉันก็นึกเจ็บใจตัวเอง ที่ไม่เคยมีความกล้าหาญอย่างนาย และเจ้าสันต์ บางทีฉันก็อยากแสดงความรู้สึกของฉันออกไป แต่ฉันก็ไม่กล้า เพราะฉันมัวแต่ขี้ขลาด เลยทำให้ฉันสูญเสียโอกาสดีๆในชีวิตไป ถ้าเพียงแต่ฉันจะกล้า กล้าบอกให้คนที่ฉันชอบรู้ ฉันก็จะไม่ต้องมานั่งเสียใจเหมือนอย่างที่เป็นอยู่นี้ ”

คำพูดแฝงนัยของเพื่อนเก่า ทำให้ผมเข้าใจเรื่องราวได้ทะลุปุโปร่ง เป็นจริงอย่างที่เจ้าสันต์ว่า ศักดิ์ชายคงคิดอะไรกับผมอยู่ลึกๆ แต่เนื่องจากว่าเราเป็นเพื่อนกัน แล้วศักดิ์ชายก็ไม่เคยแสดงออกว่าชอบผู้ชายให้เห็น ในขณะที่ผมก็มีเพื่อนสาวที่เป็นแฟนด้วยหลายคน เราจึงคบกันในฐานะเพื่อน

ผมไม่เคยรู้เลยว่าศักดิ์ชายคิดกับผมอย่างไร ความสนิทสนมที่มันมีให้กับผม ถูกมองเป็นเรื่องธรรมดาที่เพื่อนจะมีให้แก่กัน ตลอดเวลาเหล่านั้นมันคงเจ็บปวดที่ต้องทนเก็บกดเอาไว้ไม่ให้ผมรู้ แล้วพอถึงวันหนึ่ง ผมดันเกิดมีแฟนเป็นผู้ชายขึ้นมา ศักดิ์ชายก็เลยรับไม่ได้

“ทำไมนายต้องโกหกฉันด้วยหือเรียว ทั้งๆที่ฉันก็ถามนายหลายครั้ง ทำไม ถ้านายไม่โกหกฉัน บางทีฉันอาจจะ อาจจะ.........”

มันพูดตะกุกตะกักจนผมนึกรำคาญนิดๆ มันต้องการบอกอะไรผม อยากจะพูดว่า มันรักผมใช่ไหม คิดว่าเมื่อพูดแล้วจะทำให้อะไรมันดีขึ้นงั้นหรือ ผมรู้สึกกับมันอย่างไรก็อย่างนั้น เห็นมันเป็นเพื่อนมาตลอด ไม่คิดจะเห็นเป็นอื่น ถึงแม้ว่าตอนนี้มันอาจจะอยากสารภาพกับผมว่ามันรักผู้ชายด้วยกัน และถึงผมจะยอมรับว่าผมเริ่มเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อความรัก แต่ผมก็รักศักดิ์ชายไม่ได้อยู่ดี

“ถ้าฉันไม่โกหก แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหรือไอ้ศักดิ์ บางทีเราก็ไม่อาจจะพูดความจริงได้ทุกเรื่อง แต่ละคนก็มีความลับของตัวเองที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ นายเองก็มีไม่ใช่เหรอ ความลับที่ไม่ต้องการบอกใครแม้เพียงสักคน การที่ฉันไม่บอกนาย เพราะฉันเองก็ไม่แน่ใจอะไรหลายๆอย่าง ถึงตอนนี้ก็บอกได้เลยว่าไม่แน่ใจอะไรทั้งนั้น แต่ฉันก็จะพยายามเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตตัวเอง ว่าแต่นายเถอะ จะบอกฉันมาได้หรือยัง ว่าถ้าฉันพูดความจริงกับนาย นายจะทำอะไร”


..........................................................<<<>>>>.................................................


ย้อนถามไปอย่างคาดคั้น ดูสิศักดิ์ชายจะกล้าพูดหรือไม่ แล้วคนอย่างเพื่อนเก่าของผมคนนี้ก็มักจะทำให้คนอื่นผิดหวังเสมอ มันไม่เคยยอมรับความจริง ทั้งๆที่มันด่าผมอยู่ แต่พอถึงตาตัวเองก็พูดไม่ออก หลังจากนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง ศักดิ์ชายก็เงยหน้าขึ้นมองผมแล้วพูดตรงข้ามกับความจริงที่มันอยากจะให้ผมรู้

“ช่างเถอะ ฉันเสียใจมากไปหน่อยเลยพูดเพ้อเจ้อไปเอง ไม่มีอะไรหรอก นายอย่าคิดมากเลยนะ เอาล่ะ ฉันรบกวนนายมามากแล้ว คงต้องไปเสียที นายจะได้ทำงานต่อ”

ศักดิ์ชายลุกขึ้น แต่ก่อนจะออกจากห้อง มันก็เอ่ยกับผมว่า

“อย่ารักใครเพียงเพราะแค่เหงา เพราะช่วงที่เราว่างไม่มีใคร เราอาจจะคิดฟุ้งซ่านไปมากมาย พอใครเขามาดีด้วยหน่อย เราก็เคลิบเคลิ้มหลงรัก แต่เมื่อเมฆหมอกแห่งความพิศวาสจางหายไป ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง บางทีเราอาจจะรู้ว่า สิ่งที่เราตัดสินใจทำลงไป มันทำลายทุกสิ่งที่เราได้สร้างขึ้นมา

ที่บริษัทนี้ ยังต้องการคนดีมีความสามารถอย่างนาย ตำแหน่งหน้าที่การงานสูงๆ และสวัสดิการดีๆไม่ได้มีมาได้โดยง่าย หากนายลาออกไปเพียงเพื่อจะอยู่กับคนเพียงแค่คนเดียว ฉันก็รู้สึกเสียดายแทน เพราะกว่าที่นายจะไปหางานใหม่ อาจจะได้ไม่ดีเท่าเดิม

ถ้าเดียร์รักนายจริง ทำไมเขาไม่เป็นฝ่ายเสียสละตนเองล่ะ ทำไมเขาต้องดึงนายลงมาด้วย ทำไมไม่ออกไปจากชีวิตของนาย แล้วปล่อยให้นายเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน อย่างนี้ มันไม่ใช่ความรักแท้แล้ว มันเป็นความเห็นแก่ตัวของคนเดียว ที่อยากจะได้คนอื่นมาครอบครอง โดยไม่สนว่าคนที่ตัวเองรักจะต้องสูญเสียอะไรบ้าง......

ขอโทษทีนะ ที่คำพูดของฉันอาจจะทำให้นายรู้สึกแย่อีกครั้ง แต่ในฐานะเพื่อนเก่า ฉันยอมไม่ได้ที่จะให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ฉันเสียดายแก...........”

หลังจากที่พูดกับผมเสียยืดยาว ศักดิ์ชายก็เดินออกไปจากห้องทิ้งให้ผมจมอยู่กับความคิดคำนึงถึงสิ่งที่มันได้พูดไป เพื่อนรักทั้งสองของผม มีมุมมองในเรื่องนี้ไปกันคนละอย่าง ต่างคนต่างยกเหตุผลมาอ้าง เพื่อให้ผมคล้อยตาม ทำให้ผมต้องคิดหนัก หน้าที่การงานกับความรัก สิ่งเดียวเท่านั้นที่ผมจำเป็นต้องเลือก ไม่มีวันที่จะได้สองสิ่งมาครอบครองในเวลาเดียวกัน

ตลอดสัปดาห์นั้น ผมต้องเผชิญหน้ากับการซุบซิบนินทาเรื่องราวระหว่างผมกับเดียร์ มีคนบางคนไปปล่อยข่าว และช่วยกันกระพือให้กระจายไปทั่วๆ หลายต่อหลายครั้งที่คนมองผมด้วยสายตาแปลกๆ ผู้บริหารบางคนก็แซวผมสองแง่สองง่าม พนักงานหลายคนที่ไม่เคยคุยกับผมเลย เพียงแค่เคยเห็นหน้า เริ่มเข้ามาถามผมเกี่ยวกับเรื่องของเดียร์ แต่อ้อมแอ้มเป็นเชิงชื่นชมว่าแดนเซอร์คนที่มาเต้นในงานหล่อมาก

ผมก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง เพราะถึงผมตัดสินใจว่าจะไม่หนีหน้าความจริง แต่ผมก็ไม่จำเป็นที่จะเที่ยวป่าวประกาศให้ใครต่อใครรู้ ถ้าหากพวกเขาซอกแซกเรื่องส่วนตัวผมจนเกินงาม ผมก็ไม่ตอบ และบางครั้งผมก็เหน็บกลับเอาบ้าง ว่าผมไม่คุยเรื่องส่วนตัวในที่ทำงาน และขอให้ทุกคนเคารพสิทธิส่วนบุคคลของผมด้วย ซึ่งหลายคนก็เข้าใจและไม่ถามผมอีก


nanalonely

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่35 9/2/09
«ตอบ #255 เมื่อ09-02-2009 22:40:55 »

:z13: จิ้มพี่แอนคนสวย


อ่านอย่างเต็มอิ่มเลย


มาต่อไวๆนะคะ

meeyai

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่35 9/2/09
«ตอบ #256 เมื่อ09-02-2009 22:53:40 »

ผมพึ่งได้อ่านเรื่องของคุณไต๋ครับ เศร้าจังเลยอะ......... :o7: :o7: :o7:

psychological

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่35 9/2/09
«ตอบ #257 เมื่อ09-02-2009 22:55:40 »

 :z13:จิ้มพ่อหมีทะลุไปถึงพี่ไต๋  :really2:

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่35 9/2/09
«ตอบ #258 เมื่อ10-02-2009 11:58:58 »

 :z13:นี่แหนะ ช่วงเอาคืนนะครับรูปหล่อ :laugh:



 :เฮ้อ: ชีวิตจริงมันเศร้าว่าในเรื่องอีกครับคุณหมี
 

:กอด1: สาวน้อยแนนนี่



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-02-2009 12:01:03 โดย ไต๋ »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่35 9/2/09
«ตอบ #259 เมื่อ10-02-2009 17:12:20 »

ความ สุข


คือ อ่ะราย เรา คนเดียว เท่า นั้น


ที่ จนผู้ ตอบ คำถาม นี้ ได้


อิอิ :z13:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่35 9/2/09
« ตอบ #259 เมื่อ: 10-02-2009 17:12:20 »





ltahset

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่35 9/2/09
«ตอบ #260 เมื่อ10-02-2009 21:46:10 »

+1คนโพสไว้ก่อน

พึ่งอ่านได้หน้าเดียวเอง

^^

ขอบคุณค่ะ

meeyai

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่35 9/2/09
«ตอบ #261 เมื่อ11-02-2009 00:03:04 »

+1 ให้คุณไต๋อีกรอบครับ ยิ่งอ่านยิ่งชอบนิยายของคุณไต๋ครับ กำลังอ่านตามอยู่ยังไม่จบเลยครับ........ :oni2: :oni2:

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่35 9/2/09
«ตอบ #262 เมื่อ11-02-2009 04:40:01 »

 :-[ จิ้มพี่หมี +1 ให้ด้วยครับ


ออฟไลน์ sasa

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1008
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-2
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่35 9/2/09
«ตอบ #263 เมื่อ11-02-2009 12:01:09 »

ขอบคุณคนแต่ง ขอบคุณคนโพส ที่เอาเรื่องสนุก ๆ มาให้อ่าน
ยังคงติดตามตอนต่อไปอยู่เน้อ  :z2:

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่36 11/2/09
«ตอบ #264 เมื่อ11-02-2009 20:12:02 »

บทที่ 36

เมื่อทนอึดอัดใจไม่ไหว ผมก็เลยนัดสันต์มาคุยเพื่อระบายความอัดอั้นที่มีอยู่ ผมเลือกร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีการกั้นเป็นห้องๆเพื่อความเป็นส่วนตัว และพยายามเลือกห้องในสุดดูที่ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน แต่ดูเหมือนว่าโชคไม่เข้าข้าง แม้ว่าผมไม่อยากจะได้ยินอะไรที่เกี่ยวกับตัวผมอีกแล้ว แต่ก็เหมือนเป็นพระเจ้าต้องการทดสอบความเข้มแข็งของผม ว่าจะสามารถทนรับปัญหาที่เกิดขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน โดยไม่สติแตกไปก่อน

ในขณะที่ผมนั่งรอเจ้าสันต์อยู่เงียบๆคนเดียวในห้อง เสียงคนกลุ่มหนึ่งก็ดังขึ้นในอีกห้องหนึ่งที่อยู่ติดกัน แสดงว่ามีคนเข้ามาใช้บริการ ผมชะโงกหน้าออกไปมองทางด้านนอก เห็นมีลูกค้ามานั่งกันจนเต็มไปหมด ก็แน่ล่ะ นี่มันเที่ยงกว่าเข้าไปแล้ว เจ้าสันต์มาช้าตามเคย อุตส่าห์รีบออกจากที่ทำงานมาตั้งแต่ 11 โมง หวังจะคุยให้เสร็จ แล้วก็รีบกลับไปทำงาน แต่เจ้าคนที่ผมหวังปรึกษาด้วย มันกลับมาไม่ตรงเวลา

ขณะที่ผมนั่งและเล็มซูชิลองท้องไปเรื่อยๆระหว่างรอเจ้าสันต์ เสียงพูดคุยของคนที่อยู่ห้องข้างๆเริ่มดังแบบไม่เกรงใจใคร และที่น่ารำคาญก็คือ เรื่องที่พูดคุยดันมีหัวข้อเกี่ยวโยงมาถึงผมเสียอีก ต้องเป็นคนในบริษัทเดียวกันกับผมแน่เลย ผมพยายามเงี่ยหูฟัง เพื่อที่จะจับสำเนียงว่าเป็นคนที่ผมรู้จักไหม จากการพูดคุยผมว่าน่าจะมีคนอยู่ในห้องนั้นไม่ต่ำกว่า 5-6 คน

“ต๊าย ไม่อยากเชื่อเลยนะ ว่าคุณเรียวน่ะ มีรสนิยมชอบไม้ป่าด้วยกัน มิน่าอายุขนาดนี้แล้วยังไม่มีแฟน ทั้งๆที่หล่อเหลา และมีคนชอบออกเยอะแยะ”

เสียงผู้หญิงคนหนึ่ง พูดพาดพิงเกี่ยวกับตัวของผม ดังค่อนข้างชัดเจน เล่นเอาผมสะดุ้ง นี่เล่นพูดกันแบบนี้เลยเหรอ ออกชื่อมาชัดเจนแบบนี้ ไม่กลัวคนอื่นเขาได้ยิน แล้วเอาไปวิพากษ์วิจารณ์ต่อหรือไง

“บ้า เขาเพิ่ง 27 เองไม่ใช่เหรอ ยังไม่มากมายนี่ เขาอาจจะยังไม่มีใครถูกใจก็ได้ เคยได้ยินมาว่าเมื่อก่อนเขาก็มีแฟนเป็นผู้หญิงหลายคนนะ แล้วก็เลิกรากันไป ล่าสุดได้ข่าวว่าคุณเรียวเธออกหัก เพราะไปรักผู้หญิงในบริษัทเราคนหนึ่งนี่แหละ แต่ผู้หญิงเขาไปมีแฟนใหม่ คุณเรียวเลยเข็ดขยาดความรักมั๊ง เลยทำให้ไม่มีแฟน”

อีกเสียงหนึ่งค้านขึ้นมา

“ก็เพราะอกหักไง พลาดจากผู้หญิงเลยไปชอบผู้ชายไงเล่า”

เสียงเดิมตอบกลับ แล้วหัวเราะอย่างชอบใจ

“นั่นนะสิ เห็นทำแต่งาน มุ่งมั่นเอาจริงเอาจัง ก็เลยคิดว่าคงจะทำงานเพื่อเก็บเงินสักพัก รักไม่ยุ่งมุ่งแต่งาน ไม่สนใจผู้หญิงคนไหน ไม่นึกว่าที่ไม่สน เพราะชอบผู้ชายมากกว่าผู้หญิงนี่เอง”

คราวนี้เป็นเสียงผู้ชายพูดขึ้นมา
“รู้งี้ ไม่ปล่อยให้หลุดมือ หรอก จีบตั้งแต่แรกแล้ว หน้าหวานๆ นิสัยดีๆแบบนี้ ใครได้ไปก็คงจะรักและหลงตายเลย....”

ผู้ชายเสียงแหบห้าวที่พยายามจะดัดให้แหลมเล็กอีกคนพูดเสริม ผมรู้สึกคุ้นหูกับเสียงนั้นอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเคยได้ยินมาก่อนที่ไหนสักแห่ง แต่จำไม่ได้

“อย่างแกไม่ได้แอ้มหรอกย่ะ อีกระเทย”

ผู้หญิงคนที่เปิดประเด็นร้องด่าเพื่อน เรียกเสียงหัวเราะดังลั่น

“ทำไม่ยะ......ของอย่างนี้มันไม่แน่หรอกเว้ย คุณเรียวลองได้มีอะไรกับผู้ชายไปแล้ว อาจจะติดใจในรสชาด อยากมีประสบการณ์กับคนอื่นๆอีกก็ได้”

คนที่ถูกต่อว่าสวนกลับ

“ฝันไปเถอะ หน้าตาแกมันยังกับปลาบู่ชนเขื่อน ดูตัวเองซะมั่ง คนหน้าตาดีอย่างคุณเรียวเขาไม่แลแกหรอก เขาต้องได้คนที่สมกันโว้ย”

ผู้ชายอีกคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้

“เออ....ฉันได้ยินข่าวลือมาว่า ......เขามีแฟนแล้วไม่ใช่เหรอ เห็นว่าเป็นแดนเซอร์ คนที่ มาเต้นในงานของบริษัทเราไง หล่อมาก หุ่นก็ดี๊ดี เต้นก็เก่ง เห็นแล้วยังตะลึงเลย คนอะไรหล่อชะมัด นี่ถ้าเขาเป็นแฟนกัน ก็เหมาะสมกันนะ ว่าไหม คนหนึ่งก็ล้อหล่อ อีกคนก็ออกแนวหวานๆ โอ๊ย เสียดายจัง ทำไมคนหล่อๆแบบนี้ ถึงต้องมาเป็นแฟนกันเองนะ”

ผู้หญิงคนแรกพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความเสียดาย

“รู้ได้ไง ไปเป็นจิ้งจกตุ๊กแกเกาะฝาห้องนอนเขาหรือไงยะ”

“แหมไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอก เขาลือกันให้แซ่ดไปทั่วแล้วจ้า ไปอยู่ที่ไหนมา ถึงไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาเลย มีคนเขาเห็นคุณเรียวเดินกับนายแดนเซอร์นี่บ่อยมากนะ แล้วยามที่บริษัทของเราก็เคยเห็นหนุ่มคนนั้น มาหาคุณเรียวตั้งหลายครั้ง แถมซ้ำฝากของกินมาให้กันด้วย”

“ใช่ ข่าวนี้ยืนยันว่าถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ ฉันได้ยินมากับหูเลยจากปากของยามคนนั้น และแถมซ้ำยังได้ยินจากคุณอรจิราประชาสัมพันธ์แสนสวยของบริษัท เธอเล่าให้ฟังเป็นฉากๆเลย เพราะเธอเองก็เห็นคุณเรียวไปเดินเกี่ยวก้อยช๊อปปิ้งกับแดนเซอร์หนุ่มที่สวนจตุจักร

ก่อนหน้านั้นก็เจอกันที่ห้างสรรพสินค้า ท่าทางสวีทหวานแหววยังกับคู่รัก แถมซ้ำล่าสุดยังไปจ๊ะเอ๋กันในโรงพยาบาล ที่อีตาทรงพลไปรักษาตัวน่ะ เธอเล่าว่าพ่อรูปหล่อ เท้าไฟ เดินมาโอบกอดคุณเรียว แถมยังจะจูบกันอีก ในโรงพยาบาลเลยนะ กล้ามากๆเลย สงสัยคงจะเปิดตัวแล้วล่ะ”
คนเล่าใส่อารมณ์อย่างเมามัน เรียกเสียงฮือฮาจากคนฟังที่นั่งอยู่ด้วย แล้วคนพูดก็หัวเราะกิ๊กกั๊กอย่างชอบอกชอบใจ ชื่อของอรจิราที่ได้ยินเป็นครั้งที่สอง สร้างความเจ็บปวดให้กับผมไม่น้อย คนรักเก่าตามจองล้างจองผลาญผมจริงๆ นี่คงเที่ยวเอาไปพูดให้กับคนที่เธอรู้จักฟังจนลือกันไปทั่ว ต้นตอข่าวลือคงมาจากเธอนี่เอง

นึกแล้วว่าอรจิราคงไม่เชื่อสิ่งที่เดียร์และเจ้าสันต์พูด พวกเราเจอกันหลายครั้ง และแต่ละครั้งเธอก็จ้องเดียร์กับผมอย่างกับจะพยายามจำให้ขึ้นใจ พอได้โอกาสเธอก็เอาสิ่งที่เธอเห็นกับจินตนาการของเธอมาใช้เป็นเครื่องมือทำลายผมให้เสียหายยับเยิน เธอคงแค้นเคืองผมมากมายจริงๆ

“ดูการแต่งตัวสิ เดี๋ยวนี้แต่งตัวมีสีสันสดใส วันก่อนก็ใส่เสื้อสีชมพูหวานซ้า แต่ฉันก็ชอบนะ ดีกว่าแต่งตัวขาวๆดำๆ เป็นไหนๆ คุณเรียวลุคใหม่นี่หล่อแบบหวานๆจริงๆ น่ากิ๊นน่ากิน”

“อื้ม ตามปกติก็แต่งตัวดูดีอยู่แล้ว แต่พอมาแต่งแบบนี้ ยิ่งดูดีมากๆเลย มีสีสันสดใสมาก ฉันชอบนะที่คุณเรียวแต่งแบบนี้”

ผู้หญิงอีกคนกล่าวถึงผมอย่างชื่นชม

“ก็นั่นแหละ ฉันถึงว่า ตอนนี้คงรู้ใจตัวเองกระมังว่าชอบแบบไหน เลยแต่งเปิดตัวซะขนาดนั้น แต่ก็ยังดีนะที่รักษามาด ไม่แสดงอาการแต๋วแตกออกมาให้เห็น ไม่งั้นฉันคงกรี๊ดแน่”

“แกน่ะพูดเพ้อเจ้อไปใหญ่แล้วอีตุ๊ด ฉันไม่เคยเห็นคุณเรียวแกกระตุ้งกระติ้งสักที ท่าทางก็ออกแมนๆ เป็นผู้ชาย ไอ้ทำท่านิ้วกระดก ส่องกระจกนานๆ เดินตูดบิด หรือพูดเสียงดัดจริตอย่างแกก็ไม่มี หรือไอ้อาการแบบที่เห็นในหนังแก๊งค์ชะนีกับอีแอบ ก็ไม่เคยปรากฏ ฉันว่าเขาแมนเต็มร้อยเลยนะโว้ย แถมยังสุภาพและใจดีอีกด้วย”

ผู้ชายคนที่ดูเหมือนจะเป็นคนเดียวในกลุ่มที่เข้าข้างผมด่าชายเสียงแหบนั่นอย่างหมั่นไส้ ผมแอบขอบคุณเขาในใจ

“ช่าย ข้อนี้ฉันเห็นด้วยนะ ฉันน่ะ อดนึกอิจฉาเพื่อนๆที่ทำงานกับคุณเรียวไม่ได้ เขาว่าคุณเรียวน่ะ รักลูกน้อง ใจดีมากๆด้วย เวลางานแกมุ่งมั่นจริงจัง เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกน้องเห็น คนที่แผนกคุณเรียว ส่วนใหญ่ขยันกันทุกคน เพราะได้หัวหน้าดี เวลาลูกน้องทำผิดก็แค่ดุ แต่ไม่เคยด่าว่าเลย ให้ไปแก้ตัวใหม่

เวลาลูกน้องทำงานดึกๆดื่นๆ คุณเรียวก็จะใจดี ซื้อข้าว ซื้อขนมมาเลี้ยงลูกน้อง ให้ได้อิ่มกันทุกคน ตัวเขาเองก็มาเช้า กลับดึก ทำให้ลูกน้องแต่ละคนไม่กล้ามาสาย ไม่เหมือนหัวหน้าฉันเลย มาก็สาย กลับก็เร็ว เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น ถ้าลูกน้องทำผิด ด่าเสียๆหายๆเหมือนกับเขาไม่ใช่คน ฉันว่านะ จะดีจะชั่วน่ะ ไม่ได้อยู่ที่ว่าเขาเป็นอะไร หรือเขาต่างจากเรามากแค่ไหน อย่าไปมองที่รสนิยมของเขาเลยว่ะ ดูที่ผลงานของเขาดีกว่า”

เมื่อผู้หญิงคนที่สองพูดจบ คนที่ชอบขัดผู้ชายที่เสียงแหบก็เออออสนับสนุน แต่อีกสามคนที่เหลือไม่เห็นด้วย เพราะยังอยากจะฟังเรื่องคาวๆของคนอื่น ซึ่งคนที่นำเรื่องมาเปิดโปงเล่าได้อย่างเห็นภาพเสียด้วย ดังนั้นใครไม่ฟังก็นั่งอุดหูไป จากนั้นทั้งสามก็เร่งเร้าให้ผู้ชายเสียงแหบห้าวเล่าต่อ
หูของผมได้ยินชายคนนั้นพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ตัวผมกับเดียร์ต่ออย่างมันส์ปาก ชักเริ่มคุ้นกับน้ำเสียงและวิธีการพูดของคนที่กำลังจีบปากจีบคออยู่ตอนนี้แล้ว เขาคือกระเทยคนที่นินทาผมในห้องน้ำในโรงแรมนั่นเอง นี่ขนาดรับปากกับนายทรงพลแล้วว่าจะไม่นินทาผมอีก แต่เขาก็ยังไม่เลิก แถมซ้ำใส่สีใส่ไข่เข้าไปอีกมากมายเพื่อให้เรื่องดูน่าเชื่อถือ

ผมอยากจะเดินเข้าไปแสดงตัวนัก แล้วก็ต่อว่าที่เขานินทาผมถึงสองครั้ง ดูว่าพวกเขาจะทำอย่างไรกัน พอคิดอีกที ก็เห็นว่าควรจะนิ่งเฉยเสีย เพราะการเดินออกไปบอกให้เขาหยุดพูดกัน ก็คงทำได้เพียงแค่ห้ามการสนทนาแค่ในที่ตรงนี้ แต่ไม่สามารถห้ามปากไม่ให้ไปพูดในที่อื่นๆได้อีก

พอดีพอร้าย จะยิ่งเสริมเติมแต่งเข้าไปใหญ่ ว่าผมออกมาแก้ตัวพัลวัน จะรอเล่นงานโดยฟ้องหัวหน้าพวกเขา ก็ไม่รู้จะเอาเหตุผลข้ออ้างอะไร เพราะยิ่งอธิบาย ก็จะยิ่งสร้างความสงสัย บรรดาหัวหน้างานของคนพวกนี้ก็จะคุ้ยเขี่ยหาที่มาที่ไป ทำให้เรื่องแพร่กระจายกันมากขึ้น และเผลอๆ ก็จะเป็นปมขัดแย้งระหว่างผู้บริหารระดับสูงด้วยกัน



anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่36 11/2/09
«ตอบ #265 เมื่อ11-02-2009 20:12:59 »

แล้วผมก็ไม่รู้ว่าพนักงานพวกนี้เป็นใคร อยู่แผนกไหน หัวหน้าชื่ออะไร กล่าวหากันไป ถ้าไม่ใช่ก็จะผิดใจกันเปล่าๆ ผมเลยได้แต่ทนนิ่งเฉย พยายามระงับอารมณ์โกรธที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นึกในใจว่า นี่เป็นอีกบทพิสูจน์ความอดทน ถ้าหากผมต้องการที่จะเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงของตน ผมก็ต้องเผชิญกับการติฉินนินทา อย่างกล้าหาญ และไม่หวั่นไหวง่ายๆ

“นี่ๆๆ หยุดวิพากษ์วิจารณ์กันได้แล้ว เป็นพนักงานทำไมไม่สนใจเรื่องของตัวเอง มานั่งยุ่งเรื่องของชาวบ้านอยู่ได้ สนุกนักหรือไง เรื่องเสียหายของคนอื่นๆน่ะชอบนัก ทำไมไม่ใส่การทำงานของตัวเองให้เหมือนใส่ใจเรื่องของคนอื่นล่ะ เดี๋ยวจะไปฟ้องหัวหน้าพวกเธอให้หมดเลย

อะไร เป็นแค่พนักงาน แต่มาวิพากษ์วิจารณ์ผู้บังคับบัญชา โทษของการนินทามันต้องถูกภาคฑัณฑ์ พักงาน หรือไม่ก็ไล่ออกไม่ใช่เหรอ ไปดูในกฏข้อบังคับสิ”

เสียงของเจ้าสันต์นั่นเอง มันคงเดินผ่านมา แล้วได้ยินพอดี เพราะห้องที่พวกนั้นนั่งนินทากันมันอยู่ก่อนที่จะถึงห้องผม

“อุ้ย คุณสันต์ มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ แล้วได้ยินด้วยเหรอ”

“แน่ละสิ ได้ยินลั่นไปทั้งร้านได้แล้วมั๊ง พวกเธอนี่มันนิสัยไม่ดี ฉันจะฟ้องหัวหน้าพวกเธอจริงๆ เตรียมตัวไว้ได้เลยนะ”

เจ้าสันต์พูดขู่ ซึ่งก็ได้ผล หนึ่งในสามคนที่อยากฟังเมื่อครู่ รีบชิ่งออกมาจากวงทันที

“โอ๊ย พวกเราไม่รู้เรื่องนะคะ ไม่ได้นินทา อีตานี่เล่าให้ฟัง เราก็แค่อยากรู้แค่นั้นเอง อย่าไปฟ้องหัวหน้าเลยนะคะ ยิ่งถูกคาดโทษอยู่ด้วย เดี๋ยวซวยพอดี”

“เธอนั่นแหละตัวเปิดประเด็นพูดขึ้นมาก่อน ฉันเลยเล่าตามมา แหมพอจะซวยเลยทำเป็นเอาตัวรอดเหรอ”

“พวกเธอทั้งสองคนนั่นแหละ เห็นไหมล่ะ พวกฉันเลยซวยไปด้วย”

“ช่ายๆๆ ห้ามแล้วก็ไม่ฟัง เป็นไงล่ะ เลยซวยกันไปหมดเลย”

“หนอยแน่ แล้วมาฟังทำไมล่ะ ทำไมไม่ลุกออกไป ตัวเองก็อยากรู้เหมือนกันนั่นแหละ”

“ก็มาด้วยกัน อาหารก็สั่งมาแล้ว แกก็ดันมาเล่ากลางวง กำลังกินอยู่ จะให้ไปไหนวะ ก็ต้องฟังน่ะสิ นี่ถ้าเชื่อตั้งแต่แรกก็คงไม่ต้องมาซวยแบบนี้
เริ่มโทษกันเองแล้ว เจ้าสันต์นี่มันใช้หลักจิตวิทยาได้ผลจริงๆ คนส่วนใหญ่ก็รักตัวกลัวตายทั้งนั้น พอเห็นว่าเรื่องมันจะบานปลายกระทบถึงความอยู่รอดของตัวเอง ก็เลยแตกคอกันทันที พยายามจะหนีไม่ให้ตัวเองพลอยเดือดร้อนไปด้วย

“ไม่รู้ล่ะ ฉันจะไปแจ้งหัวหน้าพวกเธอให้หมดเลย แล้วถ้าฉันได้ยินอีกเป็นครั้งที่สองว่ามีการนินทาคนในระดับผู้บังคับบัญชาอีก ฉันจะไปแจ้งที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลให้ไล่ออกไปเลย คราวหลังจะได้ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น”

เจ้าสันต์สำทับอีก ด้วยน้ำเสียงดุดันเอาจริงเอาจัง

“พวกเราขอโทษด้วยค่ะ / ครับ ต่อไปจะไม่ทำอีกแล้วนะ”

“จะมาขอโทษฉันทำไม ไปขอโทษคนที่พวกเธอนินทาดีกว่า เขานั่งห้องข้างๆพวกเธอนั่นแหละ ป่านนี้คงได้ยินทุกคำพูดแล้วมั๊ง ดีแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ลุกขึ้นมาอาละวาด เป็นฉันหน่อยไม่ได้ จะโวยให้แตกกระเจิงเลย ไม่สุภาพ แบบคุณเรียวเขาหรอก”

ไอ้บ้าสันต์เอ๊ย อุตส่าห์ไม่แสดงตัว มันก็ดันพูดให้พวกนั้นรู้จนได้ ผมได้ยินเสียงอุทานจากคนทั้งหมดนั่น จากนั้นก็ได้ยินเสียงลุกขึ้น พร้อมกันนั้นคนทั้ง 6 คน ก็เดินออกมายังห้องที่ผมนั่งอยู่ และกล่าวขอโทษเกือบจะพร้อมเพรียงกัน แต่ละคนทำหน้าแหยๆเหมือนกลัวความผิด

มกวาดสายตามองพวกนั้นทีละคน ในนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ผมเคยเห็นหน้า บางคนอยู่ฝ่ายไอที ผมเคยเรียกใช้บริการให้มาดูระบบคอมพิวเตอร์ที่ฝ่าย บางคนอยู่แผนกเดียวกับศักดิ์ชาย ในขณะที่ผู้ชายคนที่ท่าทางเหมือนผู้หญิง ทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวอยู่ที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ฝ่ายเดียวกับอรจิรา ผมเดาเอาว่าคนนี้คือคนที่เล่าเรื่องทั้งหมด และคงรู้มาจากแฟนเก่าของผม อีกคนมาจากฝ่ายตัวแทนสัมพันธ์ สองคนที่เหลือผมไม่รู้ว่าอยู่ที่แผนกไหน

“ขอโทษค่ะ / ขอโทษครับ พวกเราไม่รู้จริงๆว่าคุณเรียวนั่งอยู่ที่ห้องนี้”

ทั้งหมดเอ่ยคำขอโทษผม โดยที่ลูกจ้างคนนั้นเป็นคนเอ่ยประโยคต่อมา

“เลยนินทากันอย่างสนุกปากเลยใช่ไหม”

ทุกคนก้มหน้าอย่างยอมรับผิด

“ทำยังไงกับพวกนี้ดีวะเรียว นินทากันเผาขนแบบนี้ ไม่น่าเอาไว้เลยนะโว้ย พนักงานปากไม่ดี เป็นความฉิบหายขององค์กร เพราะอาจจะนำเรื่องไม่ดีไม่งามภายในบริษัท ไปพูดให้กับคนภายนอกได้รู้ จนทำให้บริษัทเสียหาย แบบนี้มันต้องลงโทษขั้นเด็ดขาด นายในฐานะผู้ได้รับความเดือดร้อนจากปากไม่มีหูรูด สักแต่นินทาคนอื่นให้สนุกปาก ฉันขอให้นายเป็นคนตัดสินใจ”

เจ้าสันต์โยนเรื่องมาให้ผม ทั้ง6 คน มองผมหน้าซีด พยายามส่งสายตาอ้อนวอนขอความเห็นใจ ผมสบตาเหล่านั้นแล้วก็ใจอ่อน ทั้งที่เมื่อครู่โกรธแทบตาย ถ้าผมเอาเรื่องพวกเขา ทุกคนก็คงหมดอนาคตที่จะได้ทำงานที่นี่ แล้วก็ต้องไปวิ่งเต้นหางานทำใหม่ ถึงจะกำจัดคนปากมอมออกไปได้ ก็ใช่ว่าผมจะพ้นการนินทา

ถ้าหากไม่อยากให้ใครวิพากษ์วิจารณ์ผม คงต้องไล่คนออกทั้งบริษัทแล้ว ในเมื่อผมคิดจะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ผมก็ต้องอยู่ให้ได้ท่ามกลางคำกล่าวร้าย ไม่หวั่นไหวกับเรื่องที่ได้ยิน
“ถ้าคุณเรียวไม่เอาเรื่อง พวกเราก็จะขอสัญญาว่าจะไม่พูดพาดพิงถึงคุณเรียวอีกแน่นอนครับ ถ้าพวกเรายังทำอีก ยินดีให้ไล่ออกเลยครับ”

หนุ่มกระเทยอ้อนวอนด้วยใบหน้าที่น่าสงสาร

“เชื่อได้ด้วยเหรอ คำพูดของพวกนายน่ะ...”

เจ้าสันต์ได้ทีก็ขู่ใหญ่ ผมต้องซ่อนยิ้มไว้ไม่ให้พวกนั้นเห็น

“โธ่จริงสิครับ ผมสัญญา ใช่ไหมพวกเรา”

หันไปหาพรรคพวก ทุกคนพยักหน้าหงึกหงัก

“แล้วนายว่าไงล่ะ เรียว จะเอาเรื่องหรือจะปล่อยไปก่อน”

สันต์หันมาถามผม มันรู้คำตอบดีอยู่แล้วว่าผมต้องตอบอย่างหลัง แต่ต้องขู่ไว้ก่อน ซึ่งผมก็รับลูกจากมันต่อ

“คราวนี้จะปล่อยไปก่อน แต่คราวหน้าถ้ายังเป็นแบบนี้อีก คงจะจัดการขั้นเด็ดขาด”

“ช่าย ....นี่คุณเรียวเขาใจดีหรอกนะ ทั้งๆที่พวกเธอว่าเขาเสียหาย ควรจะขอบคุณเขาที่ไม่เอาความ แต่คราวหน้าถ้าได้ยินอีก ฉันจะพาคุณเรียวไปแจ้งความในฐานะหมิ่นประมาทดูหมิ่นดูแคลนทำให้คนอื่นเสียชื่อเสียง”

เพื่อนผมขู่อีก ซ้ำๆกัน จนพวกนั้นเริ่มกลัวหงอ หลังจากที่ให้สัญญิงสัญญาว่าจะไม่ทำอีกต่อไปแล้ว และผมก็ยกโทษให้ พวกนั้นกล่าวขอบคุณจากนั้นก็รีบเช็คบิลล์กลับไปทันที พอคนทั้งหมดจากไป ผมกับสันต์ก็หัวเราะให้กันด้วยความขำ พอหยุดหัวเราะ สันต์ก็ทำหน้าจริงจัง

“มีเรื่องอะไรเหรอวะ ถึงได้เรียกฉันมาคุย เรื่องนายกับเดียร์หรือเปล่า”

“อื้ม...นายคงได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับฉันแล้วสินะ”

“ช่าย แต่อย่าไปใส่ใจเลยวะเรียว ก็แค่คำพูดของคนที่ไม่รู้จักเราอย่างแท้จริง ถ้าเราไม่เอาชีวิตตัวเองไปติดอยู่กับปากคนอื่น มันก็จะไม่มีผลอะไรต่อตัวเราหรอก”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ พูดน่ะมันง่าย แต่ทำน่ะมันยาก แต่ถึงอย่างไร ผมก็จะลองเผชิญหน้ากับมันดู เรื่องแค่นี้คงไม่ทำให้ผมถึงตายกระมัง

“วันก่อนศักดิ์ชายมาคุยกับฉัน ขอร้องให้เลิกกับเดียร์เพื่ออนาคตของตัวเอง”

“แล้วนายว่าไงล่ะ จะทำตามที่เจ้าศักดิ์มันบอกหรือเปล่า”

“ไม่รู้สิ นายกับศักดิ์พูดกันคนละอย่าง เรื่องเดียวกันแต่มองต่างมุม ฉันเข้าใจนะ ว่ามันพูดออกมาด้วยความห่วงใย ไม่อยากให้ฉันสูญเสียทุกอย่างที่สั่งสมมา”

“หวงก้างนะสิไม่ว่า ไอ้บ้าเอ๊ย ....ตัวเองไม่กล้าพูด พอจะสูญเสียมันไปก็มาพูดนั่นพูดนี่ ไอ้ขี้ขลาดเอ๊ย จมอยู่กับในความทุกข์นั่นแหละ อย่าได้โงหัวขึ้นมาเลย”
สันต์พูดด้วยความหมั่นไส้ จนผมต้องห้ามปรามไม่ให้มันพูดถึงศักดิ์ชายแบบนั้น และให้ความเห็นว่าบางทีศักดิ์ชายอาจจะหวังดีจริงๆก็ได้ เจ้าสันต์ก็เลยหัวเราะ มันไม่เชื่อนักว่าศักดิ์ชายจะหวังดีกับผม100 % แต่ก็ยอมรับว่าสิ่งที่ศักดิ์ชายพูดนั้นน่าคิด



anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่36 11/2/09
«ตอบ #266 เมื่อ11-02-2009 20:13:46 »

เรื่องความรักกับหน้าที่การงานมันเลือกยากจริงๆ ผมเลยบอกให้มันรู้ถึงเรื่องที่เจ้านายพูดกับผมด้วย มันรับฟังพลางครุ่นคิดไปกับสิ่งที่จากนั้นมันก็ให้ความเห็นว่า ผมควรจะชั่งน้ำหนักให้กับทางเลือกทั้งสอง เพราะล้วนแล้วแต่เป็นทางเลือกที่ดี

ถึงแม้มันจะเชียร์ให้ผมทำตามหัวใจตัวเอง แต่มันก็เสียดายความสามารถของผมเหมือนกัน แล้วผมก็เพิ่งได้ตำแหน่ง การทิ้งสิ่งที่สู้พยายามอดทนทำมาจนประสบความสำเร็จ จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่ง ดังนั้นผมต้องตอบตัวเองให้ได้ ว่าอะไรคือความสุขของผม ถ้าหากงานคือความสุข ก็อย่าทิ้งมันไป แต่ถ้าอยู่กับเด็กหนุ่มมีความสุขมากกว่า ก็อาจจะไปเริ่มต้นงานใหม่ในที่ใหม่ มืออาชีพอย่างผมใครๆก็ต้องการตัว บริษัทประกันชีวิตมีมากมาย พร้อมที่จะทุ่มทุนจ้างอยู่แล้ว หากผมกล้าที่จะเปลี่ยนความเคยชินเดิมๆที่มี

“นี่ไหนๆก็มีโอกาสได้คุยกันแล้ว ฉันก็อยากจะบอกอะไรให้นายรู้ไว้ ตอนที่ฉันได้ยินเรื่องนี้ ฉันก็ไม่เชื่อเหมือนกัน จนไปสืบค้นหาหลักฐานมาได้ จึงได้เชื่อว่ามันจริงๆ”

เจ้าสันต์มีประเด็นใหม่มาคุยอีกแล้ว ท่าทางมันตื่นเต้นมาก

“อะไรเหรอ”

ผมถามมันอย่างเนือยๆ นอกจากเรื่องตาเฒ่าทรงพลถูกแทง ยังจะมีอะไรที่ทำให้มันสนใจได้ขนาดนี้อีกนะ

“คุณแคทเป็นกระเทยแปลงเพศว่ะ”

“เฮ้ย......พูดเป็นเล่นไป สวยอย่างนี้นี่นะ”

“เออสิวะ แม่....ง ต้มพวกเราซะสนิทเลย ที่แท้ก็ผู้ชายเหมือนกัน แต่ยอมรับว่ะ ว่าทำมาได้เนียนจริงๆ ดูไม่ออกเลย ขนาดฉันช่ำชองมองปราดเดียวก็รู้ว่าใครเกย์ ใครแอบ แต่กับคุณแคทนี่ดูไม่ออกจริงๆ”

“แล้วนายรู้ได้ไงวะ”

“ก็ฉันดันไปรู้มาจากฝ่ายทรัพยากรบุคคลอ่ะดิ แต่ที่จริงก็ไม่ได้เป็นความลับอะไรหรอก เพราะคุณแคทแกสมัครมาในชื่อของผู้ชายอยู่แล้วเพียงแต่ว่าที่ไม่มีใครพูดเพราะไม่มีใครรู้ต่างหาก”

เรื่องที่ได้ยินจากปากเจ้าสันต์ ทำให้ผมลืมเรื่องของตัวเองไป แล้วหันมาใส่ใจกับเรื่องนี้แทน

“ไม่น่าเชื่อเลย คุณแคทเหมือนผู้หญิงมาก ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณ ไหนจะน้ำเสียงอีก”

“ของแบบนี้มันตกแต่งกันได้ว่ะ เพื่อน แต่หมอที่ทำนี่เก่งมาก ทำได้สวยจนดูไม่รู้เลย ฉันพลาดได้ไงวะ โหย ตบตาเก่งมากๆเลย”

ขนาดเจ้าสันต์ยังไม่รู้ แล้วพี่สมชายล่ะ เขารู้ไหมว่าคนรักเก่าเขาเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง

“นี่ฉันมีรูปคุณแคทสมัยเป็นผู้ชายมาให้ดูนะโว้ย ลงทุนไปสืบหามาจากโรงเรียนเก่าที่เขาเรียนเลย ด้วยความอยากรู้อยากเห็นสุดขีด นี่ไง”

พ่อนักสืบหยิบรูปจากในแฟ้มที่ถือติดมือมาด้วยให้ผมดู ผมมองภาพจากในหนังสือรุ่นที่เจ้าสันต์ไปขอยืมมาอย่างทึ่ง คุณแคทลียาในวัยรุ่น หน้าตาสวยเหมือนผู้หญิงตั้งแต่ตอนที่เป็นเด็กผู้ชายแล้ว จึงไม่น่าแปลกที่เธอเสริมเติมแต่งเพียงแค่เล็กน้อย เธอก็จะดูเป็นผู้หญิงจริงๆ

“เป็นไง น่าทึ่งไหมเล่า”

“ช่าย”

ผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เธอสวยจริงๆ เพราะว่าเธอดูเหมือนผู้หญิงมาตั้งแต่แรก จึงเป็นแรงบัลดาลใจให้เธออยากแปลงเพศหรือเปล่านะ หรือว่าสภาพแวดล้อมทำให้เธออยากเป็น

“นายสงสัยเหมือนฉันไหมเรียว....”

เจ้าสันต์ถามผม ท่าทางกระตือรือร้นจะเอาคำตอบ

“เรื่องอะไรล่ะ”

ถามอย่างงงๆ ความสงสัยในเรื่องของคุณแคทมีมากมาย แต่เรื่องไหนกันล่ะที่มันอยากรู้จากปากผม

“ฉันกำลังคิดว่า เป็นเพราะเหตุใด คุณแคทถึงเลือกที่จะมาขอร้องให้นายเป็นแฟนกับเขา แล้วเขาทำไปเพื่ออะไร ทำไมเขาจึงใช้ความเป็นผู้หญิงมาหลอกด้วย มันต้องมีสาเหตุอะไรสักอย่าง แต่ฉันไม่รู้ว่าเพราะอะไร”

จริงสินะ เรื่องนี้ผมก็คิดอยู่เหมือนกัน ผมพอจะมีคำตอบให้กับเรื่องนี้ แต่ยังไม่มั่นใจเท่าไหร่ ว่ามันจะถูกต้องตามที่ผมคาดไว้หรือไม่ บางทีเธออาจจะกำลังใช้ผมเป็นเครื่องมือเพื่อไปสู่พี่สมชายก็ได้ สิ่งที่ผมยังไม่แน่ชัดคือ คุณแคทรู้ได้อย่างไรว่าพี่สมชายเป็นเพื่อนบ้านกับผม

“เรื่องแบบนี้ฉันชอบว่ะ ไม่เหลือบ่ากว่าแรงนักสืบเก่าอย่างฉันหรอก ไม่เกินอาทิตย์ ได้รู้ผลแน่ๆเลยเพื่อน”

เจ้าสันต์ทำท่าหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องเอาความจริงเรื่องนี้มาเปิดเผยให้ได้ ผมไม่โต้แย้งอะไร เพราะผมก็อยากรู้เหมือนกัน กอรปกับผมชักไม่สนุกเสียแล้วกับการที่ต้องมาช่วยเหลือคุณแคทให้พรากสามีมาจากอ้อมอกภรรยาและลูก มันเป็นการกระทำที่โหดร้าย ผมซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน ไม่สมควรที่จะกระทำการทรยศหักหลังพวกเขาเช่นนี้ เพราะผมอาจจะต้องสูญเสียเพื่อนบ้านที่ดีไป แล้วได้ศัตรูมาแทน

ผมพกพาเรื่องปวดหัวกลับเข้าบ้านในแต่ละวัน ซึ่งเดียร์เองก็คงจะสังเกตเห็น แต่เขาไม่พูดอะไรยังคงเอาอกเอาใจผมตามปกติ ช่วงนี้เดียร์เปลี่ยนกะมาทำงานร้านกาแฟตอนกลางวัน ส่วนตอนเย็นว่างไว้ ในกรณีที่มีการเรียกตัวเพื่อซ้อมเต้น เขาจะได้ไปโดยไม่ต้องลางาน วันไหนที่เขาไม่มีซ้อม เดียร์ก็จะอยู่รอรับหน้าผม คอยทำอาหารให้ทาน และดูแลเอาใจใส่จนผมหายเหนื่อยหายเพลียบ้านที่เคยเงียบเหงา น่าเบื่อ กลายเป็นวิมานสำหรับผมไปแล้ว เมื่อมีเดียร์อยู่เป็นเพื่อน
วันหนึ่งผมกลับบ้านมาอย่างอ่อนระโหยโรยแรง ไหนจะเหนื่อยกับงานที่เริ่มมีเยอะขึ้น เพราะบริษัทอัดคุณวุฒิโปรโมทการท่องเที่ยวเข้าไป ทำให้ตัวแทนส่งผลงานเข้ามาเยอะมาก ฝ่ายพิจารณาทำงานกันอย่างหนัก แทบจะไม่มีเวลาหายใจ

แล้วยังจะต้องข่มใจต่อการถูกซุบซิบนินทาที่นับวันจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ โดยการปล่อยข่าวของอดีตสาวคนรัก และการพูดแบบปากต่อปาก ทำให้คนพูดถึงผมไปในทิศทางเสียหาย ส่วนใหญ่คนจะเชื่ออย่างสนิทใจ มีน้อยมากที่จะกล้าถามผมเพื่อหาความจริง แต่ผมก็ไม่เคยตอบใคร หรืออธิบายให้ใครฟัง สู้ทนเก็บกดเอาไว้ เพราะเลือกแล้วที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง



anna1234

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่36 11/2/09
«ตอบ #267 เมื่อ11-02-2009 20:14:26 »

ดียร์เห็นหน้าตาหมองๆของผม เขารู้ได้ทันทีว่าผมมีเรื่องไม่สบายใจมา เด็กหนุ่มโอบกอดผมไว้ในวงแขนของเขา กดศีรษะผมไว้แนบอก เขาทำราวกับว่าผมเป็นเด็กตัวเล็กๆที่ต้องการคนปลอบขวัญเวลาที่มีเรื่องร้อนใจ เราต่างคนต่างนั่งนิ่งไม่มีใครพูดอะไรกัน สักพักเมื่อผมตั้งสติได้แล้ว ผมก็ผลักเขาออก แล้วยิ้มให้เดียร์อย่างอ่อนโยน เด็กหนุ่มยิ้มตอบผมอย่างอบอุ่น

“มีอะไรที่เรียวไม่ได้บอกผมหรือครับ อยากให้ผมแชร์ความทุกข์ร้อนในใจคุณบ้างไหม อยากให้ผมช่วยอะไร บอกมาได้เลยนะครับ”

น้ำเสียงที่นุ่มนวลชวนฟังของเด็กหนุ่มที่ถามไถ่ด้วยความห่วงใยทำให้ใจของผมรู้สึกเป็นสุข ผมปฏิเสธไม่อยากเอาเรื่องรกสมองมาบอกให้เดียร์รู้ บอกเพียงแค่ว่า ผมเหนื่อยจากการทำงาน เดียร์อาสานวดให้ผม เขาวางหมอนอิงไว้บนตักตัวเอง แล้วดึงผมลงมานอน

จากนั้นเขาก็กางมือออกสองข้าง แล้วนวดที่ศีรษะของผม เขาคลึงนิ้วไล่วนไปมาตั้งแต่หางคิ้ว ขมับ และหน้าผาก แรงจากปลายนิ้วช่วยทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลาย ผมหลับตาลง พยายามปลดปล่อยอารมณ์เครียดของตัวเองออกไป ไม่คิดอะไรให้มันรกสมอง สักพักผมก็หลับไปด้วยความเพลีย

เสียงร่ำไห้จากที่ไหนสักแห่งปลุกผมให้ตื่นขึ้นมา ผมเดินไปตามเสียง ก็เห็นเดียร์กำลังนั่งปลอบประโลมภรรยาของพี่สมชายอยู่ตรงหน้าบ้าน เธออุ้มลูกน้อยเอาไว้ในวงแขนฟูมฟายน้ำตาไหลพราก ผมเดินเข้าไปหาสองคนนั่น แล้วถามด้วยความห่วงใย

“พี่ภาเป็นอะไรหรือครับ ร้องไห้ทำไม มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า”

เหมือนคำพูดของผมจะเรียกน้ำตาให้ไหล่บ่าทะลักล้นจนคุมไม่ได้ ผมมองเดียร์ที่ลูบหลังลูบไหล่พี่วิภาที่กำลังสะอึกสะอื้น และรอเวลาที่จะให้เธอพูดออกมา

“พี่สมชายเขาไม่รักพี่แล้ว เขากำลังนอกใจพี่”

คำพูดที่หลุดจากปากของพี่วิภาทำให้ผมสะดุ้ง แผนการดึงตัวคนรักกลับคืนของคุณแคทได้ผลแล้วหรือนี่ ผมยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตัวเอง นึกเสียใจที่ตัวเองมีส่วนทำให้เกิดเหตการณ์แบบนี้ขึ้น และที่สำคัญ ผมกำลังจะทำให้พี่สมชายกลายเป็นเกย์ เพราะไปรักผู้ชายที่แปลงเพศเป็นผู้หญิง มันจะทำให้ผมมีบาปกรรมซ้ำซ้อนหรือเปล่านะ

“ใจเย็นๆนะครับพี่ภา บางทีมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่พี่คิดก็ได้”

ปลอบใจภรรยาของเพื่อนบ้านไป ทั้งที่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น

“พี่คิดว่าต้องใช่แน่นอน เพราะช่วงนี้พี่สมชายเปลี่ยนไป ดูเคร่งขรึม และเฉยชากับพี่ เราทะเลาะกันค่อนข้างบ่อย เพราะพี่จับได้ว่าช่วงหลังๆมานี้ เขาโกหกพี่มาตลอด กลับบ้านดึกๆดื่นๆ อ้างว่ามีประชุม แต่พอพี่โทรเช็คไปยังที่ทำงาน ทางหน่วยงานของเขาก็บอกว่าไม่ได้จัดประชุมตอนเย็นๆ มานานมากแล้ว

ส่วนใหญ่ จะเป็นในเวลางาน แล้วกลางคืนเขาไปไหน ทำไมเลิกงานแล้วไม่ตรงกลับบ้าน บางทีก็มีกลิ่นเหล้ามาหึ่งเลย ล่าสุดนี้มีรอยลิปสติคติดเสื้อกลับมาบ้านด้วย แล้วอย่างนี้จะให้พี่คิดว่าไงล่ะคุณเรียว”

พี่วิภาพูดไป ร้องไห้ไป อย่างน่าสงสาร น้ำตาของเพื่อนบ้าน ทำให้ผมปวดร้าวใจอย่างบอกไม่ถูก หลังจากช่วยกันกับเดียร์ปลอบประโลมให้พี่วิภาหายเศร้า จนเธอหยุดร้องไห้ และสามารถกลับบ้านไปรอเผชิญหน้ากับสามีได้แล้ว ผมก็เดินมานั่งหน้าเศร้าที่โซฟา โดยมีเดียร์เดินตามานั่งใกล้ๆ เขาเอื้อมมือมาบีบที่หน้าขาผม แล้วถามด้วยความห่วงใย

“เป็นอะไรไปหรือครับ เศร้าแทนพี่วิภาเหรอ”

“อื้ม สงสารเขานะ”

“พี่สมชายไม่น่ามาดีแตกตอนที่มีลูกมีเมียแบบนี้เลยนะครับ จะทะเลาะจนแยกทางกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ สงสารเด็กตาดำๆนั่นจังเลย จะกำพร้าพ่อคราวนี้กระมัง”

อยู่ๆก็เจ็บจี๊ดขึ้นมาในหัวใจ ทันทีที่เดียร์พูดออกมาอย่างซื่อๆ ผมนึกด่าตัวเองในใจ ไอ้เรียวนะไอ้เรียว ทำอะไรไม่หัดคิดเสียบ้าง คิดแต่จะให้คนที่ตัวเองรักพ้นทุกข์ แต่ไปสร้างความร้าวฉานให้กับครอบครัวของคนอื่น เห็นแก่ตัวจริงเชียว สักวันกรรมต้องตามทันแน่

“เดียร์ นายเคยทำผิดอะไรบ้างไหม”

รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงแผ่วๆจากที่ไหน พอเงี่ยหูฟังดีๆจึงได้รู้ว่ามันเป็นคำพูดจากปากผมเอง เดียร์เลิกคิ้ว มองหน้าผมอย่างงงๆ ที่อยู่ๆผมก็ถามขึ้นมาแบบนั้น ใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มกว้างขึ้น ขณะที่ตอบคำถามของผม
“มีสิครับเรียว ผมว่าคนเราก็เคยทำผิดมาด้วยกันทั้งนั้นแหละ ตัวผมเองก็ผิดพลาดหลายครั้งนะ แต่ผมก็พยายามเอาสิ่งที่ผิดพลาดนั้นสอนตัวเอง แล้วพยายามทำมันให้ดีขึ้นในครั้งต่อไปครับ”

“แล้วนายเคยสร้างความแตกแยกในครอบครัวของใครบ้างหรือเปล่า”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ทำไมเรียวถามอย่างนั้นล่ะ ไม่เคยครับ ผมกลัว กลัวว่ามันจะย้อนกลับเข้าตัวเองนะครับ ผมน่ะเฝ้าตามจีบให้คุณใจอ่อนยอมอยู่กับผมตลอดไป แค่นี้ก็ต้องลุ้นกันจนเหนื่อยแล้วว่าคุณจะยอมหรือไม่ ผมไม่มีเวลาไปแยกคู่ใครเขาหรอก กลัวบาปมันจะตามสนองทำให้ผมกับเรียวต้องเลิกกันนะครับ”

คำพูดของเดียร์ทำให้ผมสะอึก เขาช่างคิดได้ตรงใจกับผมเสียจริง เพียงแต่ว่า ผมนั้นได้ทำลงไปแล้ว และสิ่งที่ผมทำมันกำลังแสดงผลอยู่ ครอบครัวของพี่สมชายกำลังประสบปัญหากันจริงๆ


meeyai

  • บุคคลทั่วไป
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่36 11/2/09
«ตอบ #268 เมื่อ12-02-2009 02:05:48 »

+1 ให้ความขยันนะคร้าบดึกขนาดนนี้ยังอุตสาห์มาลงเรื่องให้อ่าน อิอิ  :oni2: :oni2:

เด๋วผมจะพยามอ่านให่ทันนะครับจิ้มไว้ก่อน :z13: :z13:

ออฟไลน์ sasa

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1008
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-2
Re: [นิยาย]My First Boyfriend Part 3:By Katesnk บทที่36 11/2/09
«ตอบ #269 เมื่อ12-02-2009 12:24:34 »

ฝากไปบอกเรียวหน่อยดิ
ถ้าเป็นขนาดนี้แล้ว เปิดตัวไปเลย!!

ติดตามตอนต่อไปอยู่นะจ๊ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด