บทที่ 35
หลังจากปลอบโยนและให้กำลังใจแซ่บแล้ว พวกเราก็พากันลากลับ แต่ยังไม่ทันจะได้ออกจากห้อง นายทรงพลก็ฟื้นคืนสติ เขาลืมตาขึ้นมาเห็นผมพอดี และเรียกชื่อผมด้วยเสียงแหบพร่า ผมหันไปมองแซ่บที่นั่งน้ำตารื้นอยู่ แล้วก็ตัดสินใจเดินตรงไปที่เตียงคนไข้ พยามยามข่มใจอโหสิกรรมให้กับเขา เดียร์เดินตามผมมายืนใกล้ๆ และโอบเอวผมไว้ เหมือนเขาจะคอยกันไม่ให้ผมถูกทำร้าย
“ขอบคุณมากครับคุณเรียว ที่มาเยี่ยมผม”
ผู้เฒ่าเจ้าเล่ห์ยิ้มให้ผมด้วยใบหน้าที่อ่อนระโหยโรยแรง ผมยิ้มให้เขา บอกว่ามันเป็นหน้าที่ของพนักงานที่จะต้องปฏิบัติต่อลูกค้า และผมก็ไม่ได้มาเยี่ยมคนเดียวยังมีสันต์มาเยี่ยมด้วย เขากล่าวขอบคุณพวกเราทุกคน จากนั้นก็หันมาทางเดียร์ เด็กหนุ่มจ้องมองตอบ แววตาไม่เป็นมิตรนัก ผมเผลอตัวจับมือเดียร์อีกข้างไว้แน่น
“ขอบคุณนะน้องชาย ที่อุตส่าห์มาเยี่ยม ขอโทษด้วยนะ ที่ทำไม่ดีกับคุณเรียว น้องชายกับคุณเรียวนี่เหมาะสมกันมาก ช่วยดูแลเขาดีๆนะ”
หูผมฝาดไปหรือเปล่าเนี่ย นายทรงพลกลายเป็นคนดีขึ้นมากระทันหันหลังจากถูกแทงไปแผลหนึ่ง โหยไม่น่าเชื่อ ออกจากห้องนายทรงพลแล้วพวกเรายังพูดกันไม่เลิก แม้กระทั่งเดียร์เองยังอึ้ง เมื่อเห็นตาเฒ่าเจ้าเล่ห์มามุขนี้
“เฮ้ยเป็นไปได้ไงวะ ที่ตาเฒ่านั่นยอมเลิกราง่ายๆ กลายเป็นเสือสิ้นลายไปเสียแล้ว”
เสียงป๊าบๆประกอบคำพูดมาจากสันต์ที่ตบศีรษะตัวเองแรงๆเพื่อขับไล่ความึนงง
“เขาอาจจะสำนึกผิดจริงๆแล้วก็ได้นะ ซึ่งมันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ”
ผมย้อนถามมันไป
“ถ้าได้อย่างนั้นก็ดีนะสิครับเรียว หากเลิกยุ่งกับคุณได้ ผมจะดีใจมากเลย”
เด็กหนุ่มพูดอย่างไม่เชื่ออีกคน
“นี่แหละนะที่เขาบอกว่า คนเรา ถ้าเลือดไม่ตกยางไม่ออก ก็ไม่มีวันจะรู้สึก คราวนี้ได้เจ็บตัวก็เลยรู้ซึ้งกระมัง ดีๆๆเลิกซ่าส์ เลิกบ้ากามไปเลยก็ดี ถ้าหากตาเฒ่านั่นเลิกทำชั่วได้จริงๆ ก็ต้องขอบคุณน้องแซ่บล่ะ ที่ช่วยทำให้หนุ่มๆในโลกนี้ ยังพอเหลือเผื่อแผ่มาถึงคนอื่นบ้าง ไม่ถูกอำนาจเงินของเขากว้านซื้อไปจนหมด”
คงยังไม่หายแค้นใจ เจ้าสันต์เลยพูดจาประชดประชันออกมาแบบนั้น
“เอาน่า อภัยให้เขาเถอะ คนทำผิดที่สำนึกได้ เราก็ควรให้อภัยเขานี่นา”
ผมพยายามพูดให้เพื่อนรักเลิกมีอคติกับนายทรงพล แต่นอกจากจะไม่ได้ผลแล้วเจ้าสันต์ยังหันมาค้อนผมตาประหลักประเหลือกแถมย้อนผมเข้าให้ต่อหน้าเด็กหนุ่ม
“เออ....พูดได้สวยนี่ จำไว้ใช้บ้างก็ดีนะ กับตัวเองน่ะ เห็นใครบางคนเขาก็สำนึกผิดแล้ว ที่ทำไม่ดีกับนายไว้ และทุกวันนี้เขาก็ทำดีเพื่อชดใช้ ทำไมตัวเองถึงไม่ยอมเห็น ไม่ยอมใจอ่อนสักทีล่ะ หรือการให้อภัยน่ะ มีไว้แค่กับคนอื่น แต่กับคนใกล้ตัวใกล้ใจ ไม่มีโอกาสได้รับสิทธิ์นั้น”
อุปทานหรือเปล่าไม่รู้ แต่เหมือนว่าผมเห็นนายเดียร์ของผมแอบลอบยิ้ม คงสะใจกับคำพูดของเจ้าสันต์นั่น เพราะมันแสดงออกถึงอาการเข้าข้างกันเต็มที่ ตกลงเพื่อนรักของผม มันปันใจไปเป็นพวกเดียวกับเด็กลูกครึ่งนั่นเรียบร้อย
“สิ่งที่แซ่บทำลงไปแม้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง แต่สักวันหนึ่ง นายทรงพลจะรู้ได้เองว่าแซ่บรักเขาแค่ไหน …….ชิส์ พูดออกมาได้ ลองเปลี่ยนชื่อแซ่บไปเป็นชื่อใครบางคน และเปลี่ยนจากนายทรงพลเป็นตัวนายสิ แล้วถามตัวเองบ้างนะ ว่ารักคนๆนั้นหรือยัง”
คราวนี้ผมเห็นเดียร์ก้มหน้าหัวเราะคำพูดล้อเลียนของเจ้าสันต์ ที่ยกเอาสิ่งที่ผมปลอบประโลมแซ่บย้อนกลับมาใช้กับผม น่าหมั่นไส้นักทั้งเพื่อนทั้งคนที่ผมรักเลย
“ไอ้บ้าสันต์ ไปให้ไกลๆเลย พูดบ้าอะไรวะ ไม่เห็นรู้เรื่อง”
ผมแกล้งโวยวายกลบความอายที่มันพูดอย่างนั้นต่อหน้าเด็กหนุ่ม สองคนนั้นมองตากัน แล้วต่างคนต่างเบือนหน้าหนีกันไปคนละทาง แต่ผมเห็นพวกเขาแอบยิ้มให้กัน ก่อนที่จะหันไปซ่อนยิ้มไม่ให้ผมเห็น เออ เอาเข้าไป เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยนัก ก็เชิญกลับไปด้วยกันเถอะ นึกได้อย่างนั้น ผมก็รีบเดินเร็วๆหนีสองคนนั่นไปอย่างฉุนๆ ได้ยินเสียงหัวเราะไล่หลัง และเสียงเจ้าสันต์ตะโกนมาว่า พูดจี้ใจดำแค่นี้ทำเป็นงอน ผมเลยรีบเดินเร็วยิ่งกว่าเดิม
อารามรีบร้อนที่จะหนีไปจากสถานการณ์ที่เพื่อนรักกับคนที่ผมพึงใจพยายามไล่ต้อนให้ผมยอมรับความจริง ทำให้ผมไม่ทันสังเกตเห็นกลุ่มคนที่กำลังเดินตรงเข้ามา จนกระทั่งเกือบจะชนกันอยู่แล้ว เสียงหนึ่งก็ร้องทักขึ้น
“คุณเรียว มาได้ไงคะเนี่ย”
คุณแคทนั่นเอง เธอมาพร้อมกับนายสุริยะ , เจ้านายของผม อรจิรา และผู้ใหญ่อีก สองสามคน ซึ่งผมเดาเอาว่าน่าจะเกี่ยวข้องเป็นญาติกับคุณแคทเพราะเห็นหน้าตาคล้ายๆกัน
ไม่ใช่เพียงผมเท่านั้นที่ไม่ได้สังเกต เดียร์เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมหยุดทำไม ทันทีที่เขาถึงตัวผม เขาก็คว้าตัวผมมากอดไว้ โน้มหน้าลงมาจะจูบที่แก้ม แต่พอเห็นผมดิ้นหนี และผลักเขาออก เขาถึงได้ตระหนักว่าผมกำลังเผชิญหน้าอยู่กับคนที่รู้จัก ด้วยความหัวไวของเขาที่รู้ว่าผมยังไม่พร้อมจะเปิดเผยเรื่องนี้ให้ใครรู้
เขารีบผละออกจากผม และโค้งให้เป็นเชิงขอโทษ บอกว่าทักคนผิด เขานึกว่าเป็นแฟนเขา จากนั้นก็เดินชิ่งหนีออกไป ผมลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ทว่าเมื่อมองไปที่หน้าของคนเหล่านั้น ผมก็เห็นอรจิรามองผมด้วยดวงตาโตอย่างจ้องจับผิด
มีความเคลือบแคลงสงสัยในตาของคุณแคทลียา แต่ก็เพียงแว่บเดียว จากนั้นเธอก็ยิ้มแย้มให้ตามปกติ ส่วนนายสุริยะ มองผมยิ้มๆ ท่าทางมั่นอกมั่นใจในอะไรบางอย่างที่ตัวเองกำลังคิด และแล้วเจ้าสันต์ก็เดินตามเข้ามาพอดี อัศวินม้าขาวของผมที่ช่วยเหลือผมในยามขับขันหลายเรื่อง คราวนี้มันมาทันเวลาพอดี
“เฮ้ย แกเห็นแฟนฉันหรือเปล่าวะ เมื่อกี้เพิ่งพลัดกัน”
เจ้าสันต์เอ่ยขึ้น ผมคิดว่ามันคงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว เพราะมันเดินตามหลังมา
“คนที่เดินไปเมื่อครู่นี้หรือเปล่าคะ แคทเห็นเขาเข้ามากอดคุณเรียว คงนึกว่าเป็นคุณแน่”
เพื่อนร่วมงานของผมรีบรับลูกทันที ผมสบตาคุณแคทอย่างขอบคุณ ผมคิดว่าเธอยื่นมาเพื่อช่วยผม แต่เพราะอะไรไม่รู้
“อ้อ เหรอครับ ขอบคุณนะที่บอก แต่เอ๊ะ พวกคุณจะไปไหนกันหรือครับ ทำไมมาที่นี่ได้ล่ะ มาเยี่ยมใครเหรอ”
เจ้าสันต์ตีลูกบื้อ ผมรู้ว่าคนฉลาดอย่างมันรู้ แต่มันแกล้งไปอย่างนั้นเอง คุณแคทลียา และครอบครัว มาในฐานะคนรู้จักกัน นายสุริยะเป็นตัวแทนเจ้าของเคส ย่อมต้องมาดูแลเพื่อที่จะทำเรื่องเรียกร้องค่าสินไฮามอยู่แล้ว ส่วนอรจิรา คงมาทำข่าว ในฐานะฝ่ายประชาสัมพันธ์ เพราะลูกค้าเคสใหญ่ ถ้าประชาสัมพันธ์ออกไปว่าบริษัทเราดูแลเอาใจใส่ดีแค่ไหน ย่อมส่งผลในแง่ของภาพลักษณ์ที่ดีของบริษัท ส่วนเจ้านายของผมเป็นตัวแทนของผู้ใหญ่ในบริษัท นั่นจึงเป็นเหตุผลที่พวกเขามารวมตัวกันที่นี่
“เมื่อกี้แคทก็เพิ่งถามคุณเรียวไปแบบนั้นค่ะ คุณเรียวยังไม่ทันตอบ ก็พอดีแฟนคุณคนนั้นมากอดคุณเรียวซะก่อน พวกเราก็เลยมัวแต่ตกตะลึงกัน นี่พวกเรามาเยี่ยมคุณลุงทรงพลค่ะ แกป่วยอยู่ที่ตึกนี้ แล้วพวกคุณละคะ มาทำอะไรที่นี่”
เพื่อนร่วมงานสาวของผมกล่าวยิ้มๆ
“พวกเราก็มาเยี่ยมคุณทรงพลเหมือนกัน ได้ข่าวเมื่อคืนนี้น่ะครับ”
ผมใจชื้นขึ้น ที่เจ้าสันต์ไม่ได้เล่าเรื่องที่ผมนอนให้น้ำเกลืออยู่ที่นี่เหมือนกัน ไม่งั้นเรื่องยาวแน่ ต้องมีคนซักเข้าจนได้ ว่าใครเป็นคนพาผมมา หลังจากที่บอกเล่าถึงอาการของนายทรงพลตามที่พวกเราเห็นกันให้คนเหล่านั้นฟัง พวกเราก็ต่างแยกย้ายกันกลับ ในขณะที่ผมเดินผ่านอรจิรา อดีตคนรักของผม ก็พูดให้ได้ยินกันสองคนว่า อย่านึกว่าจะหลอกใครต่อใครได้ ถึงเวลาแล้วที่หน้ากากของผมจะถูกกระชากออก
ผมยิ้มให้กับอรจิรา รู้สึกสังเวชใจที่เธอตามราวีผมไม่หยุดยั้ง ทั้งที่เราก็เลิกกันไปแล้ว และเธอก็มีคนใหม่ไปก่อนด้วยซ้ำ ทำไมถึงยังคงโกรธผมอยู่ ผมต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายแค้นเคือง เพราะผมเป็นฝ่ายโดนทิ้ง ผมยังให้อภัยเธอ จึงใม่มีเหตุผลใดๆเลยที่อรจิราจะชิงชังผม หรือว่า เป็นอย่างที่ใครหลายๆคนบอก อรจิรายังคงรักผมอยู่ และทนไม่ได้ที่ผมจะมีคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ ในเมื่อเธอไม่ได้ตัวผม ใครก็อย่าหวังว่าจะได้ ความรักของอรจิรารวมไปกับความแค้น และการทำลายล้าง ช่างน่ากลัวเสียจริง
“เดี๋ยวแคทเยี่ยมคุณลุงทรงพลเสร็จจะแวะไปหาคุณที่บ้านนะคะ”
เสียงหวานๆของคุณแคทดังขึ้นขัดจังหวะ พร้อมกันนั้นร่างนุ่มๆหอมกรุ่นของเธอก็เดินกรายเข้ามาใกล้ แขนเรียวยาวคล้องหมับเข้าที่แขนของผม
เธอหันมาเห็นตอนที่อรจิรากระซิบผมพอดี และคงเดาเอาว่าผมไม่พอใจเรื่องที่ได้ยินนัก เธอเลยเข้ามาช่วย ผมนึกขอบคุณเธอในใจ ถึงแม้ผมจะไม่ชอบวิธีการบางอย่างที่เธอกำลังทำอยู่ตอนนี้ในเรื่องของพี่สมชาย แต่ผมก็รู้สึกดีกับเธออยู่ไม่น้อย นับว่าเธอเป็นเพื่อนที่จริงใจกับผมอีกคนรองจากเจ้าสันต์
ประกายขุ่นเคืองแว่บขึ้นมาในดวงตาของอรจิรา จากนั้นหน้าสวยๆก็เชิดขึ้น เธอเดินสบัดหน้าจากไปทันที คุณแคทยักไหล่และแลบลิ้นให้ผม จากนั้นก็เดินตามไปสมทบกับคุณสุริยะและครอบครัวของเธอที่เดินไปล่วงหน้าแล้ว
“เกือบไปแล้วไหมล่ะ เจ้าหนูนั่นเกือบทำให้นายถูกเปิดโปง แต่นายอย่าไปโกรธเด็กนั่นนะ เขาคงไม่ได้ตั้งใจจะให้นายอับอาย ใครจะไปรู้ละว่าจะบังเอิญมาเจอโจทก์เก่าของนายพร้อมกันแบบนี้ ดีนะเนี่ยที่เดียร์ยังหัวไวแก้สถานการณ์ได้ทัน แต่ก็เล่นเอาใจหายใจคว่ำว่ะ
นี่ นายจะจัดการยังไง จะตัดสินใจยังไงก็เอาสักอย่างนะ ปิดบังซ่อนเร้นแบบนี้น่ะ มันดีตรงที่ยังรักษาภาพตัวเองได้ แต่มันก็เสี่ยงเหลือเกิน เปิดเผยก็ดีไม่ต้องระมัดระวังตัวมาก ทำอะไรก็จะได้สบายใจ แต่มันอาจจะทำให้คนที่รู้จักนายยอมรับไม่ได้ ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยง่าย ต้องเสียบางอย่างไป เพื่อให้ได้บางอย่างมา เลือกทำในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับตัวเองก็แล้วกันเพื่อน”
เพื่อนรักของผมพูดให้ผมต้องเก็บไปคิดอีกแล้ว จริงสินะเรื่องระหว่างผมกับเดียร์จะปิดได้นานอีกแค่ไหนกัน ถึงอย่างไรเรื่องนี้มันก็ต้องแดงออกมาอยู่วันยังค่ำ เพราะเริ่มมีคนเห็นเดียร์กับผมบ่อยขึ้น เมื่อครู่นี้ถ้าไม่นับรวมญาติของคุณแคท ทุกคนก็เคยเห็นเดียร์มาก่อนแล้วทั้งสิ้น
พวกเขาย่อมไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าเดียร์จะเป็นแฟนกับนายสันต์ แต่ที่เขาไม่พูด เพราะผมไม่ยอมรับ และเดียร์เองก็ไม่ได้พูดออกมาอย่างโจ่งแจ้งว่ามีความสัมพันธ์กับผมแบบไหน แถมซ้ำคุณแคทกับเจ้าสันต์ยังคอยช่วยเหลือผมอีก ทำให้ไม่มีใครกล้าฟันธงลงไปว่าผมรักชอบอยู่กินกับผู้ชายจริงๆ
สถานการณ์ต่างๆดูจะบีบคั้นผมมากขึ้น บางทีอาจจะต้องถึงคราวตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตของตัวเองแล้วกระมัง เพราะขืนแอบซ่อนอยู่แบบนี้ คนจะยิ่งสงสัยและขุดคุ้ยกันมากยิ่งขึ้น ชีวิตผมอาจจะไม่สงบสุขเหมือนเดิม
ตอนนี้ทางเลือกของผมคงมีแค่ เลิกกับเดียร์และกลับไปแต่งงานกับผู้หญิงตามเดิม และทำงานอยู่กับบริษัทที่มั่นคง มีเงินเดือน ตำแหน่งหน้าที่การงานสูง เทียมหน้าเทียมตาคนอื่นๆ เป็นคนดีที่ไม่เคยทำให้สังคมด่างพร้อย
หรือละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต กลับไปเป็นคนธรรมดาสามัญไม่มีตำแหน่งหน้าที่การงานใดๆ เป็นกบฏต่อความเชื่อของตนเอง แหกบรรทัดฐานการใช้ชีวิตที่สังคมวางกรอบเอาไว้ แต่มีความสุขอยู่กับคนที่รักผมและผมก็รักเขา สองทางเลือกนี้ช่างตัดสินใจได้ยากลำบากจริงๆ
เด็กหนุ่มลูกครึ่งยืนดักรอผมตรงลานจอดรถ เพื่อจะพาไปยังที่รถที่จอดไว้ เพราะเขาเป็นคนขับตอนมาโรงพยาบาลนี้ ผมมองใบหน้าอ่อนเยาว์ที่มองผมด้วยแววตาเสียใจแล้วให้รู้สึกสงสาร ท่าทางเขากังวลใจมาก สงสัยกลัวว่าผมจะโกรธที่เผลอทำตัวรุ่มร่ามเมื่อสักครู่
เดียร์รู้ดีว่าผมไม่ชอบให้ใครมาเห็นผมกับเขาอยู่ด้วยกัน พอเขาทำพลาดก็เลยเกรงว่าผมจะไม่พอใจเขา ผมยิ้มให้กับเดียร์ อยากจะโกรธแต่ทำไม่ลง จริงอย่างที่สันต์ว่า เขาไม่ได้ทำผิดอะไร เพราะเขาเองก็ไม่รู้จักคนพวกนั้น และไม่รู้ว่าจะมาเจอกันที่โรงพยาบาลด้วย
คำพูดของเจ้าสันต์ลอยไปลอยมาอยู่ในความคิดของผม อภัยให้คนอื่นได้ แล้วทำไมไม่ยอมให้อภัยคนใกล้ตัว ทั้งที่เขาก็สำนึกผิดในสิ่งที่ทำลงไป และพยายามดีกับผมตลอดมา ผมควรจะดีกับเขาบ้าง เพื่อตอบแทนน้ำใจที่เดียร์ทำทุกอย่างเพื่อผม
“ขอโทษนะครับ ที่ผมทำให้คุณลำบากใจเมื่อครู่นี้ หวังว่าพวกเขาคงไม่สงสัยคุณนะครับ ผมน่ะโง่เองที่ไม่ระมัดระวังตัวเวลาอยู่ในที่สาธารณะ มัวแต่คิดทำตามใจตัวเอง ลืมไปว่าเรียวก็มีสังคมที่ต้องแคร์ แต่ผมไม่มีใครให้ห่วง ไม่ต้องไปกังวลเรื่องชื่อเสียงจะเสียหายอะไร เพราะผมอยู่ตัวคนเดียว ต่อไป ผมจะพยายามไม่ให้มันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกครับ”
“ช่างเถอะเดียร์ ฉันไม่เป็นไรหรอก อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิดนะ”
บอกกับเขาไปแบบนั้นเพื่อไม่ให้เขาต้องคิดมาก และปลุกปลอบใจตนเอง ผมตัดสินใจแล้วที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง เพราะถึงอย่างไร ผมก็หลีกเลี่ยงเรื่องนี้ไม่พ้น กลับไปทำงานวันจันทร์ คงมีข่าวเรื่องผมกับเดียร์เกิดขึ้น ผมสังหรณ์ใจว่าจะเป็นแบบนั้น และผมจะไม่หนีอีกแล้ว
“ขอบคุณนะครับ ที่ไม่โกรธผม เรียวใจดีจังเลยครับ เดี๋ยวผมขับรถให้นะ เรียวเพิ่งออกมาจากโรงพยาบาล ควรพักผ่อนให้เยอะๆนะครับ”
ท่าทางประจบเอาใจนั่น ทำให้ผมต้องยอมทำตามเขาอีกครั้ง ผมยื่นกุญแจรถให้เดียร์ และก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ จากนั้นก็หลับตาลง ปล่อยให้เด็กหนุ่มพาผมกลับไปส่งยัง “บ้านของเรา”
สิ่งที่ผมสังหรณ์ใจเป็นจริงขึ้นมาเมื่อผมย่างเท้าเข้ามาทำงานในวันจันทร์ ผมน่าจะซื้อหวยบ้างจะได้ถูกรางวัลใหญ่ๆ แล้วเอาเงินที่ได้ไปตั้งบริษัทเอง ไม่ต้องมาทำงานในบริษัทที่มีแต่คนคอยจ้องจะพูดคุยถึงเรื่องของคนอื่น
ตอนแรกเดียร์จะไม่ยอมให้ผมมาทำงาน เพราะเห็นว่าผมยังคงท้องเสียอย่างต่อเนื่อง เพราะยาที่หมอสั่งมาให้ มันเป็นการถ่ายออกมาจะทำให้เชื้อไม่มีเหลือค้างคาให้เป็นสาเหตุโรคในครั้งต่อไป แต่ผมเห็นว่าระยะของการถ่ายแต่ละครั้งมันห่างกันมาก แล้วผมก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว ไม่อาเจียน ไม่ค่อยปวดท้อง ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่บ้านโดยทิ้งงานไว้ให้ลูกน้องทำ การเป็นผู้บังคับบัญชาที่ดี ต้องทำเป็นตัวอย่างให้ลูกน้องเห็น พวกเขาจะได้ขยันยันแข็ง ไม่เหลาะแหละ ทำงานแบบไร้คุณภาพ แต่รับเงินเต็มในแต่ละเดือน
อย่างที่คิดไว้เลย เจ้านายเห็นหน้าผมปุ๊บ ก็เรียกไปดุอีกครั้งเกี่ยวกับเรื่องเดียร์ เขาหาว่าผมไม่ยอมฟังในสิ่งที่เขาพูดบ้างเลย ทั้งๆที่เขาเตือนด้วยความเป็นห่วง หากผมทำตามเขา มันก็จะดีกับตัวของผมเอง ผมได้แต่นิ่งฟัง ไม่ได้โต้เถียงอะไร เพราะรู้ว่าหัวหน้ากำลังโมโห
การที่เขารู้สึกหัวเสีย เพราะเขาหวังในตัวผมไว้มาก ผมเป็นคนทำงานฝีมือดี ที่เขาไว้ใจได้ และเขาไม่อยากให้คนภายใต้การดูแลของเขามีเรื่องเสื่อมเสีย ผมลองย้อนคิดไปถึงว่า หากลูกน้องของผมมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ผมก็คงรู้สึกแย่เหมือนกัน เพราะผมเองก็ปรารถนาให้ลูกน้องของผมทุกคน เติบโตก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่อย่างสง่างาม ปราศจากข้อครหานินทา แต่ตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจว่า พฤติกรรมทางเพศที่เบี่ยงเบน จะเป็นประเด็นที่ถูกพิจารณามากกว่าความสามารถหรือเปล่า
“กลับไปคิดดูอีกทีนะเรียว ผมหวังว่าคุณจะตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง”
เขาสั่งผมเสียงห้วนจากนั้นก็ปล่อยให้ผมกลับไปทำงานตามเดิม ตลอดเช้านั้น ผมนั่งทำงานอย่างใจลอย รู้สึกไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่ มัวแต่ครุ่นคิดไปถึงคำตอบที่จะให้กับหัวหน้าของตนเอง จะเลือกแบบไหนดีหนอ ทำตามใจตัวเอง หนีไปมีความสุข ทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังดีไหมหนอ
ถ้าผมตัดสินใจเลือกเดียร์ ผมก็อยู่ที่นี่ไม่ได้ แล้วลูกน้องของผมจะอยู่กันยังไง ใครจะมาดูแล หัวหน้าของผมจะมีคนช่วยงานไหม กว่าที่จะหาคนมาทดแทนกว่าจะทำงานให้เข้ากับระบบก็อาจจะกินเวลานาน งานก็อาจจะเสียหาย
แต่อีกเสียงหนึ่งในตัวผมก็บอกว่า ช่างมันปะไร ไม่เห็นจะต้องไปสนใจเลย คนทุกคนถูกสอนให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการดิ้นรน หากผมไม่อยู่ดูแลพวกเขาแล้ว คนพวกนั้นก็จะต้องปรับตัวให้ได้กับหัวหน้าคนใหม่ที่เข้ามาแทนที่ผม งานของบริษัทอาจจะชะงักงันอยู่บ้าง แต่บริษัทใหญ่ขนาดนี้ ย่อมมีเงินจ้างพนักงานระดับมืออาชีพมาร่วมงาน ถึงแม้ว่าเงินเดือนจะแพงแสนแพงขนาดไหน หากมีความจำเป็น พวกเขาก็ยอมทุ่มเงินลงไปจ่ายได้อยู่แล้ว
ในขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ อยู่ดีๆประตูห้องทำงานก็เปิดพลั๊วะเข้ามา จากนั้นหน้าหงิกๆของศักดิ์ชายก็โผล่มาให้เห็นก่อน แล้วตามด้วยตัวของมันก่อนที่ไอ้ซี้เก่าจะปิดประตูตามหลัง มันกระแทกตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับโต๊ะทำงานที่ผมนั่งอยู่ แต่หน้าตายังบอกบุญไม่รับ พอผมถามว่ามันไปกินรังแตนที่ไหนมา มันก็เลยตะคอกผมด้วยเสียงอันดัง
“นายนั่นแหละที่ทำให้ฉันเป็นแบบนี้ ทำไมนายจะต้องโกหกกันด้วย เห็นฉันเป็นตัวอะไรวะ เรื่องแค่นี้ทำไมต้องปิดบังกัน”
“อะไรวะ มาถึงก็เปิดฉากด่า ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมวะ ว่านายโมโหฉันเรื่องอะไร”
ผมพยายามไม่โมโหไปกับมันด้วย แค่ถูกด่าตอนเช้าก็ทำให้ผมเครียดพอสมควรแล้ว อยู่ๆก็มาถูกเพื่อนโวยวายใส่อีก ด้วยเรื่องอะไรไม่ชัดแจ้ง หากผมไม่รู้จักระงับสติอารมณ์ คงได้ฉะกันสักตั้งแน่ ศักดิ์ชายมองจ้องผม ท่าทางโกรธจัด
“นายเป็นแฟนกับไอ้เด็กเดียร์นั่นใช่ไหม มีอะไรกันแล้วอยู่กินกันแล้วด้วย แต่นายโกหกฉัน โกหกพวกเราทุกคน ว่านายไม่ได้ชอบแบบนั้น นายทำให้ฉันแย่มากๆเลยรู้ไหมเรียว ไม่อยากจะเชื่อเลย เพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งนมนามจะเป็นคนแบบนี้”
“ใครบอกเรื่องนี้กับนาย”
มันร้อนมา ผมก็เลยพยายามทำให้มันเย็นลงด้วยการเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แต่ใจผมนี่สิ กลับเริ่มเดือดปุดๆแล้ว
“โอ๊ย เขาพูดเรื่องของนายกันเกือบจะทั้งบริษัทแล้วนะโว้ย ฉันน่ะรู้เป็นคนสุดท้ายได้แล้วมั๊ง บอกมาสิ ว่ามันจริงหรือเปล่า นายช่วยบอกให้ฉันสบายใจหน่อยได้ไหม ว่าไอ้พวกนั้นมันโกหก ขอเพียงนายบอกมาคำเดียวเท่านั้นว่ามันไม่จริง ฉันจะไปเล่นงานไอ้พวกบ้านั่น เอาให้กระเจิงเลย”
สิ่งที่มันพูดทำให้ผมรู้สึกตกใจมาก คนข้างนอกเขาวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตัวผมจริงๆเหรอ ข่าวมันไปไวจริง คงปิดไม่มิดแล้วมั๊งคราวนี้
“มันสำคัญกับนายมากไหมเพื่อน ในการที่จะรู้ให้ได้ว่าฉันเป็นอย่างไร ความชอบหรือไม่ชอบของฉันต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง วิถีชีวิตที่ฉันเลือกเดินมันมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ 10 กว่าปีของเราหรือไม่ นายตอบฉันให้ได้ก่อนแล้วฉันจะบอกว่าสิ่งที่นายได้ยินได้ฟังมา มันจริงหรือเปล่า”
ผมไม่ตอบ แต่ย้อนถามมัน เพราะผมเองก็อยากจะรู้ว่า ศักดิ์ชายจะคบที่ผมเป็นผม หรือคบผมอย่างที่มันอยากให้เป็น เพื่อนเก่ามองหน้าผมแลทำหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นผมแข็งใส่มันบ้าง มันโอดครวญเรียกร้องความเห็นใจ
“โธ่เรียว นายอย่าพูดแบบนั้นสิ ฉันน่ะ ไม่ได้ต้องการพูดเพื่อให้นายไม่สบายใจนะ ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร นายก็เป็นเพื่อนที่ฉันรัก เรารู้จักกันมาตั้งนาน ฉันก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่าฉันปรารถนาดี และห่วงใยนายแค่ไหน แต่ที่ฉันถามนี่ เพียงแค่อยากรู้เท่านั้นเองว่ามันจริงหรือเปล่า เพราะถ้าไม่จริง สิ่งที่พวกนั้นพูดก็เข้าข่ายหมิ่นประมาท นายควรจะออกมาปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเอง ร้องเรียนคนพวกนั้น ให้ได้รับโทษกันบ้าง จะได้ไม่ต้องอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่นอีกต่อไป นะนายบอกฉันเถอะ ฉันอยากรู้จริงๆ”