Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 34 : ครึ่งชีวิต (และจิตใจ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedsengped[at]gmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 34 : ครึ่งชีวิต (และจิตใจ)  (อ่าน 19528 ครั้ง)

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 30 : Mentor
«ตอบ #150 เมื่อ09-11-2025 12:01:36 »

ตอนที่ 30 : Mentor (part2/2)

“อะ คนละแก้ว” ต่อเดินกลับมาพร้อมกับแก้วพลาสติกสีแดงในมือ หลังจากแจกจ่ายแก้วให้ทุกคนมันก็ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ผม

“ไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่าพวกเราเรียนจบแล้ว” ต้นพูดขึ้นท่ามกลางเสียงคลื่นกระทบชายฝั่ง ทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว นำเสนอ final project, งานเลี้ยงบายเนียร์ และ trip รุ่นที่กำลังจะจบลงในวันรุ่งขึ้น

“จริง ยังจำวันแรกที่เจอกันได้อยู่เลย” ผมคิดตามคำพูดของแก้ว พวกเราบังเอิญนั่งใกล้กันในวันรับน้องเลยได้จับกลุ่มกัน ผมซึ่งเคยผ่านประสบการณ์การจับกลุ่มเพื่อนในรั้วมหาลัยมาก่อนเข้าใจดีว่ากลุ่มเพื่อนที่อยู่ด้วยกันในวันแรกอาจจะไม่ใช้กลุ่มเดียวกันในวันสุดท้าย แต่ไม่น่าเชื่อว่าพวกเราจะอยู่ด้วยกันมาตลอด 6 ปี

“มันเป็นความต่างที่ลงตัว ... ผู้หญิงลำยองขี้โวยวาย 1 คน เจ้าชายที่เหมือนหลุดออกมาจากละครหลังข่าว 1 คน และอัศวินอย่างพวกกูอีก 2 คน ไม่น่าเชื่อว่าจะคบกันรอด” พวกเราต่างหลุดขำให้กับคำเปรียบเปรยที่ต่อเป็นคนพูดออกมา

“ทำไมกูถึงเป็นลำยอง แล้วไอ้มิลค์ได้เป็นเจ้าชายวะ” แก้วโวย

“สภาพอย่างมึงเป็นเจ้าหญิงไม่ไหวหรอก กูไม่เปรียบมึงเป็นคนใช้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว” แล้วไอ้ต่อก็ตอกกลับด้วยท่อยคำรุนแรงตามประสาเพื่อนสนิท

“บอกตรงๆ ว่าตอนที่รู้ว่ามึงเป็นใคร กูยังคิดอยู่เลยว่ามึงจะต้องเป็นพวกคุณหนูหัวสูงแล้วก็เรื่องมากสุดๆ แต่พอได้รู้จักกัน มึงเหมือนคนธรรมดามากกว่าที่กูคิด” ต้นเล่าความในใจ

“ที่จริงกูทำใจมาแล้วนะว่าอาจจะไม่สนิทกับใครเลยตลอด 6 ปี แต่พอได้อยู่กับพวกมึงแล้วมันดีวะ ต่างแต่ลงตัว ... กูขอบใจพวกมึงมากนะเว้ย โดยเฉพาะช่วงที่กูไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าไหร่” พวกมันตอบรับในลำคอ ถ้าไม่ได้พวกมันช่วยผมก็ไม่รู้ว่าจะประคองสติตัวเองให้เรียนจบได้อย่างไร

หลังจากวันนี้พวกเรา 4 คน แยกกันไปตามทางของของแต่ละคน แก้วสมัครเป็น clinician ของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ผมเรียนต่อ ป. โทกับพี่เจย์ ในขณะที่ต่อกับต้นกลับไปช่วยกิจการของที่บ้าน







“กูรู้ว่ากูพูดบ่อยแล้ว แต่มึงอะ รีบ move on แล้วเริ่มต้นใหม่ซักที” แก้วพูดหลังจากที่พวกเราต่างซึมซับบรรยากาศตอนนี้ร่วมกัน

“อืม” ผมตอบรับ แล้วก็ปล่อยให้ทุกอย่างถูกพัดหายไปพร้อมกับสายลม

“จะเริ่มเลยไหม กูไปตามไอ้ออยให้ 555” พูดจบไอ้ต้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา จนกลุ่มเพื่อนที่นั่งอยู่ไม่ไกลหันมามอง

“พวกมึงเลิกแซวได้แล้วกูอาย” ผมแยกเขี่ยวใส่พวกมัน

“มึงแมร่ง มีผู้ชายมาจีบตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายจริงๆ” แก้วที่นั่งอยู่อีกข้างเอนตัวเอาไหล่มากระแทกกับไหล่ของผมเป็นเชิงหยอกล้อ

เหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา คืนนี้เป็นคนสุดท้ายของ trip ทุกคนในรุ่นเลยเห็นด้วยที่จะจัด party บาบีคิวริมสระว่ายน้ำ ใครอยาก show อะไรก็ขึ้นไปบนเวทีได้ บางช่วงก็ร้องคาราโอเกะ บางช่วงก็แซวกันออกไมค์ ออยเป็นนักร้องประจำรุ่น มันเป็นนักดนตรีสมัครเล่นที่นอกจากจะร้องเพลงเพราะแล้วยังเล่นกีต้าร์ได้อีกด้วย แต่ใครจะรู้ว่าอยู่ๆ มันก็เล่นเพลงจีบผมต่อหน้าคนทั้งรุ่น

“เอาจริงๆ เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่มีคนมาร้องเพลงจีบ 555” ยอมรับเลยว่าเขิน ยิ่งตอนมันร้องท่อนฮุคแล้วมองมาที่ผม แม้มือจะเกาคอร์ดกีตาร์แต่สายตาและน้ำเสียงของออยก็ทำให้ผมใจสั่นได้ไม่น้อย

“ลองไหมมึง เขาว่าคบกับนักดนตรีแล้วชีวิตจะมีสีสันนะเว้ย” ไอ้ต่อพยายามชง

“ยังอะ ตอนนี้อยากพัก รู้สึกว่าที่ผ่านมาโคตรพัง” ผมพูดพลางก้มหน้ามองแก้วพลาสติกที่อยู่ในมือ พวกมันพยักหน้ารับรู้ แล้วเราก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา

ลมทะเลพัดปรอยผมให้ปริวไสวไปตามสายลม นับจากวันที่ถูกปฏิเสธ วันนี้แม้จะยังไม่ลืมเรื่องของจีแต่ผมสามารถกลับมายืนได้ด้วยตัวเองอีกครั้ง เวลาช่วยเยียวยาให้ความรู้สึกทุกอย่างเบาบางลง ในจังหวะที่คนอื่นๆ พูดคุยและหัวเราะขำขัน ผมอาศัยช่วงเวลานี้แอบมองพวกมันทีละคนเพื่อจดจำรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ไม่รู้ว่าหลังจากวันนี้พวกเราจะได้กลับมาเจอกันอีกทีเมื่อไหร่



...



“ไอ้มิลค์มึงถือดีๆ เดียวเทียนดับ ... นั้นไงกูพูดไม่ทันขาดคำ” ไอซ์ทำสีหน้าเอือมระอา ถ้ามันกินหัวผมได้มันคงทำไปแล้ว

“มึงพูดมากไง เทียนมันถึงดับ” ผมเถียง

“ปากดีนะมึงนะ ...” มันพลักหัวผมเบาๆ ก่อนจะใช้ไฟแช็คจุดเทียนที่ดับไปให้กลับมาสว่างไสวอีกครั้ง ในมือของผมถือเค้ก dark chocolate สีขาวสะอาดขนาด 2 ปอนด์ ปักด้วยเทียนวันเกิด 9 เล่ม บนเค้กเขียนข้อความด้วยตัวอักษรสีขาว ‘Happy Birthday and Best of Luck, G’

วันนี้นอกจากจะเป็นวันเกิดของจีแล้วพวกเรายังจัด farewell party ให้กับเจ้าตัวไปที่กำลังจะเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศแถมไปด้วยอีกงาน

“... พร้อมนะ เดียวกูเคาะประตู 3 ทีแล้วเปิดเลยนะ” ผมพยักหน้า

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

แล้วประตูไม้ตรงหน้าก็ถูกเลื่อนออก

“Happy birthday to you” ผมประคองเค้กที่อยู่ในมือ พยายามเดินช้าๆ เพื่อไม่ให้เทียนดับ แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ลมจากเครื่องปรับอากาศก็เป่าลงมาทำให้เทียนดับไป 2 เล่ม

“ไอ้เหี้ยมิลค์ กูบอกถือดีๆ” เสียงกระซิบด่าของไอซ์ดังขึ้นข้างหู อยากจะหันไปด่ากลับแต่ก็กลัวจะทำเทียนดับมากกว่าเดิม

“Happy birthday to you” สายตาของจีจับจ้องไปยังเพื่อนสนิทที่เดินถือเค้กเข้ามาในห้อง เหมือนตัวเองถูกมนต์สะกดเพราะเขาไม่สามารถละสายตาจากรอยยิ้มบนใบหน้าสวยของมิลค์ได้เลย วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วแต่รอยยิ้มของมิลค์ยังสดใสเสมอในความรู้สึกของจี มิลค์เรียนจบแล้ว มันเพิ่งรับปริญญาไปเมื่อ 2 เดือนก่อน ตอนนี้เป็นคุณหมอป้ายแดงที่กำลังเรียนต่อ ป.โท ทุกอย่างเป็นไปตามที่วางแผนไว้ ยกเว้นเรื่องระหว่างเรา 2 คน

“Happy birthday to you, Happy birthday...” ภาพในความทรงจำเป็นเหมือนเทปที่ถูกเปิดย้อนกลับไปสมัยวันวาน หลายปีที่ผ่านมา มิลค์คือคนแรกที่โทรมาอวยพรวันเกิดของเขาเสมอ พูดให้ถูกคือเราต่างเป็นคนแรกที่อวยพรวันเกิดให้กันและกันมาตลอด เขาจำไม่ได้ว่ามิลค์เป็นคนถือเค้กให้ทุกปีหรือเปล่า แต่ทุกครั้งที่นึกย้อนกลับไป ภาพของเพื่อนสนิทยืนถือเค้กวันเกิดพร้อมกับรอยยิ้มหวานก็กลายเป็นภาพจำในวันเกิดของเขาไปแล้ว

“... Happy birthday, .... Happy birthday toooooo you” จีรู้สึกตัวอีกทีตอนที่มิลค์มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า สายตาของเขาไล่มองตั้งแต่นิ้วมือเรียวสวยที่ถือเค้กไว้ จากนั้นจึงไล่สายตาขึ้นไปยังลำคอรหงส์ที่ประดับด้วยสร้อยอัญมณีระยิบระยับ และไล่ขึ้นมาจนกระทั้งเขาเห็นรอยยิ้มของเพื่อนสนิท มันยิ้มกว้าง เป็นยิ้มที่สว่างไสวราวกับแสงจันทร์ในคืนเดือนหนาว เสี่ยววินาทีที่ทั่งคู่สบตากัน จีเห็นแววตาของมิลค์วูบไหวภายใต้แสงเทียน

“อธิษฐานแล้วเป่าเค้กเร็ว” จีหลับตาตามคำขอของเพื่อนสนิท ... ‘ขอให้มิลค์มีความสุขมากๆ และขอให้สุดท้ายแล้วเรา 2 คนไม่มีวันพรากจากกัน’ จีอธิษฐาน หลังจากนั้นแสงเทียนบนเค้กก็ดับลง



ผม จี ไอซ์ อาร์ม โจ ษา และออยแฟนคนปัจจุบันของไอซ์นั่งล้อมวงบนโต๊ะอาหาร เค้กขนาด 2 ปอนด์หายไปเพียงช่วงกระพริบตา ในมือของไอซ์ถือ smart phone ที่กำลังบันทึกวีดีโอช่วงเวลาสุดท้ายของงานเลี้ยง

“กูคนแรกเลยเหรอ” ผมถาม

“มึงอยู่ใกล้กูที่สุด จะให้กูเริ่มจากไอ้จีไหมละ” ไอซ์ตอบกลับมาด้วยสีหน้าประชดประชัน มันเป็นคนเสนอความคิดให้พวกเราพลัดกันอวยพร แล้วถ่ายวีดีโอเก็บเอาไว้ให้เจ้าของงานเป็นที่ระลึก และผมดวงซวยเองที่นั่งอยู่ด้านขวามือของมันเลยต้องเป็นคนพูดคนแรก

“ก็ ...” โคตรประหม่า อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนลำคอแห้งผากราวกับทะเลทราย

“... ขอให้มึงโชคดี น่าจะต้องปรับตัวหลายอย่างแต่กูรู้ว่ามึงทำได้ มึงเป็นคนเก่งอยู่แล้ว...”

“... กูเป็นกำลังใจให้เสมอ” แค่คิดว่าอีกไม่กี่วัน เรา 2 คนจะต้องห่างกันคนละทวีป อยู่ๆ ความรู้สึกที่กดเอาไว้ก็เอ่อล้นออกมา ผมพยายามประคองเสียงไว้ไม่ให้สั่นไหว

“พอๆๆ คนต่อไป” ไอซ์ที่สังเกตเห็นว่าดวงตาคู่สวยตรงหน้าเริ่มมีน้ำตาคลอรีบตัดบท เขารีบใช้เท้าสะกิดไอ้มิลค์ให้เก็บอาการ ก่อนจะโวยวายเสียงดังเพื่อช่วยกลบเกลื่อน

พวกเราพลัดกันอวยพรจนกระทั้งถึงษาที่นั่งอยู่ติดกับจีเป็นคนสุดท้าย

“ขอให้จีโชคดี ษามั่นใจว่าไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้สำหรับจี ...”

“... แม้เราจะเพิ่งคบกันได้ไม่นาน แต่ษาสัญญาว่าจะรอจีอยู่ที่นี้ ไม่ไปไหน” พูดจบเธอก็ซ้อนความเขินอายด้วยการซบหน้าฝากลงบนไหล่ของจี ผมค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกเมื่อเห็นภาพตรงหน้า แม้จะชินชาแต่ข้างในก็รู้สึกหวิวๆ อย่างบอกไม่ถูก

“อ่า กูแล้วซินะ ...” จีฉีกยิ้มกว้างให้กับกล้อง

“... ขอบคุณพวกมึงที่จัดงานวันนี้ให้ โดยเฉพาะมึง ไอ้มิลค์ ที่แม้จะยุ่งแต่ก็จัดการให้ทุกอย่าง ...” ผมยิ้มรับให้กับคำขอบคุณ

“... กูดีใจมากๆ ที่ได้เป็นเพื่อนกับพวกมึง และก็ขอบคุณมากๆ กับทุกเรื่องที่ผ่านมา ...”

“... ใจนึงก็กลัว แต่พอคิดว่ามันคงไม่ต่างจากตอนที่พวกเราแยกย้ายกันเข้ามหาลัยก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมา เพราะสุดท้ายแล้ววันนี้พวกเราก็ยังอยู่ด้วยกัน ...” จีหยุดพูด ก่อนที่จะมองเพื่อนๆ ทั้ง 4 คนที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม ไอซ์, อาร์ม, โจ และ ... มิลค์

“... สัญญาว่าจะรีบเรียนให้จบ แล้วกลับมาหา ... พวกมึง”



...



“แยกกันตรงนี้นะ ขอบคุณพวกมึงมากที่มาส่ง ...” จีกระชับเป้ที่ห้อยอยู่บนหัวไหล่ เป็นสัญญานของการบอกลา ผมเหมือนคนหายใจไม่ทั่วท้องมาตั้งแต่เช้า รู้สึกปวดหนึบอยู่ในอกทุกครั้งที่คิดว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายก่อนจะต้องห่างกันไกลแสนไกล

“... มิลค์ กูมีเรื่องต้องคุยกับมึง” คนรอบข้างต่างชะงักนิ่งรวมถึงตัวผมเองด้วย จบประโยคเจ้าตัวก็เดินแยกตัวออกไปรอ ผมไม่แน่ใจว่าควรจะเดินตามไปดีไหม เพราะษาก็ยืนอยู่ตรงนี้ด้วย ผมไม่กล้าสบตากับเธอด้วยซ้ำ เลยทำได้เพียงเหลือบไปมองไอซ์เพื่อขอความเห็น มันเพยิดหน้าเป็นเชิงว่าให้ผมเดินตาม

คนตรงหน้ายิ้มบางๆ เมื่อผมเดินเข้าไปหา จีเม้มปากและส่งยิ้มให้ผมอีกครั้ง

“Milk” จีเรียกชื่อผมด้วยสำเนียง American คุ้นหู

“Stop it!!!” ผมพลักมือที่ยื่นมาตรงหน้าออก เมื่อเห็นสิ่งของที่อยู่ในมือของจี

“Milk ... please” จีเอ่ยปากขอร้อง สีหน้าอ้อนวอน แววตาหวั่นไหว ยิ่งได้ยินเสียงสั่นครือจากจี ผมก็ยิ่งน้ำตารื้อ

“Don't you know what it means?” ผมดันมือของจีออกจากตัว ในมือนั้นถือ key card สำรอง penthouse ของผม

“I know but please”

“I don't want it back. I gave it to you. It's yours” ผมส่ายหน้าปฏิเสธและไม่สามารถจะกั้นน้ำตาได้อีกต่อไป สำหรับผม ตอนนี้ keycard เป็นสิ่งของชิ้นเดียวที่เป็นเครื่องยืนยันว่าจีพิเศษกว่าใคร เป็นเหมือนเส้นใยเส้นสุดท้ายที่รั้งไม่ให้ความสัมพันธ์ของเราล่มสลาย

“It is time to let go” จีอาศัยจังหวะที่ผมไม่เป็นตัวของตัวเองยัด keycard ใส่มือ มันกำมือผมไว้แน่น ยื้อกันอยู่ซักพักสุดท้ายผมก็จำยอม

“I am not ready” ผมพูดทั้งที่น้ำตานองหน้า

“Neither am I. But you must...” ผมก้าวไปข้างหน้าตามแรงดึงของจี วงแขนที่คุ้นเคยโอบกอดผมไว้ ความทรงจำนับร้อยพันวิ่งเข้ามาในห้วงของความคิด เสี่ยววินาทีนั้น ผมรู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปยังกอดครั้งแรกของเรา 2 คน มันอบอุ่นราวกับแสงแดดท่ามกลางฤดูหนาว

แล้วผมก็สะอื่นออกมาอย่างไม่อายสายตาใคร ในขณะที่จีกระชับอ้อมกอดแล้วดึงผมเข้ามาแนบชิด ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่ง เราทั้งคู่ต่างซึมซับช่วงเวลาสุดท้ายก่อนจากกันไกล ผมได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาข้างหู

“... You listen to me … please take care of yourself and remember. No matter where we are, we will still be the same as we were” ... ‘I love you, as always’ จีเอ่ยประโยคสุดท้ายในใจก่อนที่อ้อมกอดนั้นจะคลายออก



ดวงอาทิตย์นั้นยังอยู่ไกลดวงจันทร์
ดาวนับร้อยนับพันจะไกลกี่ปีแสง
แม้ไม่ได้เจอฉันคิดถึงเธอ และเฝ้ารอวันเวลาให้พ้นไป
ตราบที่ท้องทะเลยังไกลจากภูเขา
และแม้ว่าเราจะไกลสักแค่ไหน
ฉันยังเหมือนเดิมสิ่งเหล่านั้นยังเหมือนเดิม
ยังเฝ้ารอเธอคนเดียวทั้งหัวใจ

ไกล, Musketeers, 2020


----------


#Cake #Birthday #Farewell
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 31 : Farewell
«ตอบ #151 เมื่อ11-11-2025 11:51:57 »

“อะ คนละแก้ว” ต่อเดินกลับมาพร้อมกับแก้วพลาสติกสีแดงในมือ หลังจากแจกจ่ายแก้วให้ทุกคนมันก็ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ผม

“ไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่าพวกเราเรียนจบแล้ว” ต้นพูดขึ้นท่ามกลางเสียงคลื่นกระทบชายฝั่ง ทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว นำเสนอ final project, งานเลี้ยงบายเนียร์ และ trip รุ่นที่กำลังจะจบลงในวันรุ่งขึ้น

“จริง ยังจำวันแรกที่เจอกันได้อยู่เลย” ผมคิดตามคำพูดของแก้ว พวกเราบังเอิญนั่งใกล้กันในวันรับน้องเลยได้จับกลุ่มกัน ผมซึ่งเคยผ่านประสบการณ์การจับกลุ่มเพื่อนในรั้วมหาลัยมาก่อนเข้าใจดีว่ากลุ่มเพื่อนที่อยู่ด้วยกันในวันแรกอาจจะไม่ใช้กลุ่มเดียวกันในวันสุดท้าย แต่ไม่น่าเชื่อว่าพวกเราจะอยู่ด้วยกันมาตลอด 6 ปี

“มันเป็นความต่างที่ลงตัว ... ผู้หญิงลำยองขี้โวยวาย 1 คน เจ้าชายที่เหมือนหลุดออกมาจากละครหลังข่าว 1 คน และอัศวินอย่างพวกกูอีก 2 คน ไม่น่าเชื่อว่าจะคบกันรอด” พวกเราต่างหลุดขำให้กับคำเปรียบเปรยที่ต่อเป็นคนพูดออกมา


----------


#ลมทะเล #แก้วพลาสติกสีแดง #Farewell
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 31 : Farewell
«ตอบ #152 เมื่อ13-11-2025 11:11:44 »

“Happy birthday to you, Happy birthday...” ภาพในความทรงจำเป็นเหมือนเทปที่ถูกเปิดย้อนกลับไปสมัยวันวาน หลายปีที่ผ่านมา มิลค์คือคนแรกที่โทรมาอวยพรวันเกิดของเขาเสมอ พูดให้ถูกคือเราต่างเป็นคนแรกที่อวยพรวันเกิดให้กันและกันมาตลอด เขาจำไม่ได้ว่ามิลค์เป็นคนถือเค้กให้ทุกปีหรือเปล่า แต่ทุกครั้งที่นึกย้อนกลับไป ภาพของเพื่อนสนิทยืนถือเค้กวันเกิดพร้อมกับรอยยิ้มหวานก็กลายเป็นภาพจำในวันเกิดของเขาไปแล้ว

“This may be goodbye for now,
but I believe we’ll find our way back to each other when the time is right.”


----------


#อธิษฐาน #ไม่มีวันพรากจากกัน #Farewell
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 31 : Farewell
«ตอบ #153 เมื่อ15-11-2025 13:43:10 »

สวัสดีครับทุกคน ผมจะมาแจ้งว่าพอดีมีปัญหากับต้นฉบับของตอนที่ 32 นิดหน่อย
จึงไม่สามารถจะเอาตอนที่ 32 มาลงให้ได้ทันในวันพรุ่งนี้
แต่จะขอแก้ตัวด้วยการส่งตอนพิเศษเล็กๆมาชดเชย

สัญญาว่าตอนที่ 32 จะมาในวันอาทิตย์หน้าอย่างแน่นอนครับ
ขอโทษทุกคนที่ทำให้ต้องรอและขอบคุณสำหรับทุกการอ่านครับ

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนพิเศษที่ 3 : วันที่ไม่มีเธอ


ชีวิตนิสิตปริญญาโทของผมวนเวียนอยู่ไม่กี่อย่าง ราวน์เคส กิน นอน แล้วตื่นขึ้นมาราวน์เคสต่อ ผมใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่หอพักของโรงพยาบาลประจำคณะ โดยที่แทบจะไม่ได้กลับไปนอนที่ penthouse เลย จะกลับก็เพียงแค่เพื่อหยิบเอาของใช้จำเป็นเท่านั้น กลุ่มเพื่อนมัธยมแยกย้ายไปตามทางที่ต้องเดิน ห้องที่เมื่อก่อนเคยเต็มไปด้วยสีสันและเสียงหัวเราะของพวกเราทั้ง 5 คน ตอนนี้เงียบเหงาและว่างเปล่า ผมใช้ชีวิตวนเวียนอยู่เพียงเท่านี้จนเวลาล่วงเลยมานานนับปี

“คิดไว้หรือยังว่าถ้าเรียนจบแล้วจะทำอะไรต่อ” คำถามจากอาจารย์ที่ปรึกษาดังขึ้น ในขณะที่ผมกำลังเก็บ PC เข้ากระเป๋า พี่เจย์เห็นชอบกับ final draft วิทยานิพนธ์แล้ว อีกไม่นานเกินรอชีวิตนิสิตปริญญาโทของผมก็จะสิ้นสุดลง

“ยังไม่ได้คิดเลยครับ” ผมตอบตามความจริง ยังไม่ได้คิดเลยว่าหลังจากนี้จะทำอะไรต่อ

“จะเรียนเอกกับพี่ต่อไหม ... หรือจะกลับไปช่วยงานที่บริษัท”

“ผมยังไม่รู้เลยครับ”

“มิลค์”

“ครับ?”

“ใกล้จบแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำแล้วก็ได้นะ พักบ้าง แล้วก็เริ่มผ่องถ่ายงานไปที่น้องๆได้แล้ว”

“ครับ”

ผมออกจากห้องพักอาจารย์ แล้วเดินผ่านลัดเลาะไปตามโถงทางเดิน ระหว่างทางผมมองสถานศึกษาทีมีความทรงจำของผมมากมาย โต๊ะไม้ใต้ตึกเรียนที่ผม แก้ว ต่อ และต้นมักจะมานั่งรวมหัวกันเวลาทำงาน ลานกว้างหน้าตึกที่พวกเราเคยใช้เตรียมงานค่ายรับน้อง เก้าอี้ปูนใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เคยนั่งเม้าท์มอยกับน้องเพชร ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความทรงจำ

2 เท้าก้าวออกจากลิฟต์ ก่อนจะเดินเข้ามาในห้องพักนิสิตปริญญาโท ห้องพักขนาด 15 ตร.ม. ที่ภายในมีแค่ตู้เสื้อผ้า โต๊ะทำงาน และเตียงขนาด single bed นิ้วมือเรียวสวยหยิบจับเสื้อกานด์ยาวสีขาวขึ้นมาสวมใส่ มิลค์มองใบหน้าของตัวเองในกระจกเพียงเสี่ยววินาทีก่อนจะก้าวออกจากห้องแล้วมุ่งหน้าไปยัง ward เพื่อราวน์เคสรอบเย็นอย่างที่ทำเป็นประจำมาตลอด





“มิลค์ตื่น ไอ้มิลค์ ...”

“... ไอ้เหี้ยมิลค์!!!” เมื่อเห็นว่าเพื่อนรักไม่มีทีท่าว่าจะตื่น เจ้าตัวเลยยกฝ่าเท้าที่สวมรองเท้าผ้าใบยันเข้าเต็มสีข้าง

“ฮะ!!! ...” มันสะดุ้งโหยงแล้วลุกขึ้นมานั่งตาปรืออยู่บนเตียง

“... มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเข้ามาได้ไง” มิลค์ถามเมื่อเห็นว่าคนที่ประเคนฝ่าเท้าให้เขาคือไอซ์

“กูมีปัญญาเข้ามาละกัน ... หุบปาก แล้วไปล้างหน้าแปรงฟัน เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ไอซ์พูดดักคอเพื่อนรักที่สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย ก่อนที่เจ้าตัวจะเอนหลังลงกับพนักเก้าอี้แล้วนั่งไขว้ห้างเป็นสัญญานให้มิลค์ทำตามที่ตัวเองบอกก่อนถึงจะคุยธุระกัน

มิลค์พยักหน้ารับ มันลุกขึ้นจากเตียงในสภาพหัวฟูก่อนจะหยิบของใช้ส่วนตัวแล้วลสกรองเท้าแต๊ะออกจากห้องไปยังห้องน้ำรวม ... ใช่แล้ว “ห้องน้ำรวม” ใครจะคิดว่าคนเรื่องมากแบบไอ้มิลค์สุดท้ายแล้วจะปรับตัวจนสามารถใช้ห้องน้ำรวมได้ ... สายตาของไอซ์สอดส่ายดูชีวิตความเป็นอยู่ของเพื่อนรักที่ขึ้นชื่อว่าเป็นทายาทเพียงคนเดียวของมหาเศรษฐีแสนล้าน ไฟซาลาเปาสีขาวที่เจ้าตัวแสนจะรังเกียจ เฟอร์นิเจอร์ที่ไม่มีความเข้ากันเลยแม้แต่น้อย ฟูกนอนแข็งกระด้าง ผ้าห่มที่ปราศจากความนุ่มลื่น แม้ว่าห้องจะสะอาดสะอ้าน แต่ก็ยังได้กลิ่นอับชื้นจางๆ ... สายตาคู่คมยังคงสังเกตไปรอบๆ จนกระทั้งไปสะดุดเข้ากับ keycard คุ้นตา 2 ใบที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน

“เฮ่อออออออออ!!!” ไอซ์อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ว่าไงมึง” ไม่นานเจ้าของห้องก็เดินกลับมาพร้อมกับเส้นผมที่ยังเปียกอยู่หมาดๆ

“อะ กาแฟ” ไอซ์ส่ง iced mocha แก้วใหญ่ให้เพื่อนรัก

“ขอบใจ แต่กูไม่กิน mocha มาซักพักแล้ววะ”

“แดกเข้าไป อย่าเรื่องมาก ...” เขาแยกเขี่ยวใส่คนตรงหน้า ถ้าไม่ได้มาเห็นกับตาคงไม่มีใครเชื่อว่าคนอย่างมิลค์สามารถใช้ชีวิตแบบนี้มาได้เป็นปีๆ ... หลังจากได้ความหวานของ mocha เข้าไปสีหน้าของเจ้าตัวถึงได้ดูสดชื่นขึ้นเล็กน้อย

“... มึงสอบ thesis เสร็จแล้ว ทำไมยังอยู่ที่นี้อีกวะ”

“กูยังไม่ได้ส่งเล่ม thesis เลย”

“แค่รอส่งเล่ม ก็ไม่เห็นต้องกินนอนทำงานอยู่ที่นี้เหมือนเดิมหรือเปล่าวะ ...” เมื่อถูกต้อนจนมุม ไอ้มิลค์เลยเลือกที่จะเงียบแล้วดูดเครื่องดื่มในมือแก้เขิน

“... กูตกลง”

“ตกลง?” มันขมวดคิ้วจนแทบจะผูกกันเป็นโบว์

“โง่อีก ก็เรื่องที่มึงมาตามตื้อกูอยู่ไง ... กูตกลง”

“ฮะ!!! มึงพูดจริง?” มันทำตาโตเหมือนโดนผีหลอก

“มึงดูสีหน้ากู กูพูดเล่นมั้ง อีห่า!!!”

“Yes!!! ขอบใจมึงมาก” แล้วอยู่ๆ มันก็กระโดดเข้ามากอดเขาทั้งตัว ดีนะที่ไม่หงายหลังล้มลงไปทั้งคู่

ทุกคนต่างรู้ดีว่าตอนนี้มิลค์ถึงทางแยกที่จะต้องตัดสินใจเลือกเส้นทางในอนาคตอีกครั้ง มันเป็นสัตวแพทย์ที่เก่ง เป็นที่รักและเป็นที่ยอมรับของทุกคนๆ แต่คนรอบกายต่างก็รู้ว่าเจ้าตัวมีความรับผิดชอบที่มากกว่านั้นรออยู่ และมิลค์เองก็รู้ว่ามันไม่สามารถหนีจากภาระหน้าที่นั้นได้ ... หลายเดือนก่อนมิลค์มาปรึกษาเขาเรื่องอนาคต หลังจากใช้เวลากับตัวเองอยู่นานในที่สุดเจ้าตัวก็ตัดสินใจจะเดินออกจาก comfort zone โดยคิดว่าการไปทำงานที่ The Nemean Group จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการก้าวออกจากวงวนเดิมๆ เขาเห็นด้วยเพราะเท่าที่ได้ยินมาจากน้องรหัสของมิลค์ การดำเนินชีวิตประจำวันของเจ้าตัวดูจะสร้างความเป็นห่วงให้กับคนรอบข้างไม่น้อย แต่ไม่รู้ว่าทำไมปรึกษากันไปๆ มาๆ อยู่ๆ เจ้าตัวก็แทบจะคุกเข่าขอร้องให้เขามาช่วย มันเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ของเขา เพราะไม่ใช้เฉพาะกับมิลค์ที่คุ้นเคยกับ comfort zone เขาเองก็เช่นกัน ลังเลอยู่นานจะสุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะลองเปิดบททดสอบใหม่ของตัวเองไปพร้อมกับมิลค์ มันคงจะท้าทายไม่น้อย

“อืม มึงรีบส่งเล่ม แล้วรีบไสหัวตัวเองเข้าบริษัทให้ไว ตอนนี้กูลาออกมาแล้ว ไม่มีอะไรจะแดกแล้วอิเหี้ยมิลค์!!!” แม้จะอยากหยุมหัวเพื่อนรักให้เส้นผมหลุดติดมือออกมา แต่ไอซ์ก็อดไม่ได้ที่จะกอดตอบและร่วมหัวเราะไปกับมิลค์ ... ถึงเวลาที่จะต้องพาเจ้าชายกลับหอคอยงาช้างซักที

หลังจากคุยรายละเอียดกันอีกเล็กน้อย ไอซ์ก็ขอแยกตัวกลับก่อน มิลค์เลยอาสาเดินมาส่งเขาที่ลานจอดรถ

"ตกลงมึงเข้ามาในหอพักได้ยังไง" มิลค์ถามขึ้นมาระหว่างทาง

"น้องรหัสมึงโทรมาหากูเมื่อวันก่อน" มิลค์พยักหน้ารับรู้ และไม่ถามคำถามอะไรเพิ่มอีก ทั้ง 2 คนเดินมาจนถึงรถ Toyota camry สีขาว

“ไอซ์” ไอซ์หันหลังกลับมาตามเสียงเรียก คิ้วคมขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นสิ่งของที่ถูกยื่นมาให้ตรงหน้า มือของมิลค์สั่นเล็กน้อย

“มึงแน่ใจ ?” เขาถาม และมิลค์ก็พยักหน้าตอบรับในทันที

“กูอยากให้มึงถือเอาไว้ ...” มิลค์พูดพลางสบตากับไอซ์ เขาซาบซึ้งใจจริงๆ ที่ไอซ์ตอบตกลง จริงอยู่ว่าเส้นทางใน The Nemean Group เต็มไปด้วยความท้าทาย แต่บททดสอบที่พวกเขาทั้ง 2 คนต้องเผชิญคงไม่ได้ราบรื่นเหมือนในนิยายชวนฝัน รู้ทั้งรู้ว่าต้องเจอกับอะไรแต่ไอซ์ก็ตอบตกลง

“... หลังจากนี้กูคงต้องพึ่งมึงในหลายๆ เรื่อง และกูขอสัญญาว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น กูจะไม่มีวันแทงมึงข้างหลัง”

“กูก็สัญญาว่าจะไม่มีวันแทงมึงข้างหลัง และจะคอยระวังหลังให้มึงตลอดเวลา ... เรื่อง key card ถ้ามึงไว้ใจ กูก็ยินดีจะรับไว้ ... แต่ถ้าให้กูแล้ว อย่ามาร้องเสียใจทีหลังนะ”

“ไม่เสียใจ ... ขอบคุณมึงมากๆ” สิ้นเสียงของมิลค์ ไอซ์กับรับเอา key card มาถือไว้ในมือ ... นี่คือสิ่งที่เคยสำคัญกับเขาในอีกบริบทหนึ่งและตอนนี้เขาตัดสินใจให้ความหมายใหม่กับมัน



‘In our lifetime, just one true friend is more than enough’


----------


#สัญญา #key card #วันที่ไม่มีเธอ
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
2 เท้าก้าวออกจากลิฟต์ ก่อนจะเดินเข้ามาในห้องพักนิสิตปริญญาโท ห้องพักขนาด 15 ตร.ม. ที่ภายในมีแค่ตู้เสื้อผ้า โต๊ะทำงาน และเตียงขนาด single bed นิ้วมือเรียวสวยหยิบจับเสื้อกานด์ยาวสีขาวขึ้นมาสวมใส่ มิลค์มองใบหน้าของตัวเองในกระจกเพียงเสี่ยววินาทีก่อนจะก้าวออกจากห้องแล้วมุ่งหน้าไปยัง ward เพื่อราวน์เคสรอบเย็นอย่างที่ทำเป็นประจำมาตลอด


----------


#กระจก #ภาพสะท้อน #วันที่ไม่มีเธอ
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
“มิลค์ตื่น ไอ้มิลค์ ...”

“... ไอ้เหี้ยมิลค์!!!” เมื่อเห็นว่าเพื่อนรักไม่มีทีท่าว่าจะตื่น เจ้าตัวเลยยกฝ่าเท้าที่สวมรองเท้าผ้าใบยันเข้าเต็มสีข้าง

“ฮะ!!! ...” มันสะดุ้งโหยงแล้วลุกขึ้นมานั่งตาปรืออยู่บนเตียง


----------


#Frienship #พาเจ้าชายกลับหอคอย #วันที่ไม่มีเธอ
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Teaser ตอนที่ 32

รถยนต์ Maybach 62s สีขาวจอดนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าหลักของสำนักงานใหญ่ The Nemea group สายตาหลายคู่จับจ้องเพื่อรอการปรากฏตัวของเจ้าของรถยนต์คันหรูที่ยังใช้เวลาคุยธุระช่วงสุดท้ายอยู่ในภายในห้องโดยสารด้านหลัง

เป็นที่รู้กันในหมู่พนักงานว่ามิลค์ ติณสิงห์ เป็นบุคคลผู้มีอัธยาศัยดีเลิศ แม้จะเป็นทายาทเพียงคนเดียวของธุรกิจมูลค่านับแสนล้าน แต่เจ้าตัวมักจะทักทายพนักงานในบริษัทด้วยความเป็นกันเอง ไม่ว่าพนักงานคนนั้นจะเป็นแม่บ้านหรือผู้บริหารระดับสูง ภาพของ Hiso ชื่อดังยืนต่อแถวซื้อกาแฟราวกับเป็นพนักงานคนหนึ่ง หรือยกมือไหว้ป้าแม่บ้านเป็นภาพที่คุ้นชินของทุกคนเป็นอย่างดี

ไม่นานประตูรถด้านหลังฝั่งตรงข้ามคนขับก็เปิดออก มิลค์ ติฒสิงห์ในชุดสูทเต็มยศก้าวลงจากรถ เจ้าตัวหยุดยืนอยู่ข้างรถยนต์คันหรูเพื่อรอเพื่อนสนิทที่ลงจากประตูหลังอีกฝั่งหนึ่ง ไอซ์ จุลจักร เพื่อนสนิทพ่วงตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการแผนกการตลาดเดินมาประคบด้านข้าง 2 คนเอียงตัวเข้าหากันเพื่อพูดคุยอะไรบางอย่าง ก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวย

อาจจะดูเป็นเรื่องปกติที่คน 2 คนจะกระซิบกระซาบกันเรื่องงาน แต่ด้วยข่าวลือที่กำลังแพร่ไปทั่วสำนักงานใหญ่กลับทำให้คนที่เห็นภาพความสนิทสนมของเพื่อนรักตีความไปไกลกว่าที่ควร

ไม่ใช้เรื่องแปลกที่ผู้บริหารระดับสูงจะชักชวนคนที่ไว้ใจเข้ามาทำงานร่วมกัน แม้จะเป็นเพื่อนสนิทแต่การเข้านอกออกในห้องทำงานของลูกชายเจ้าของบริษัทเป็นว่าเล่น การไปกลับรถยนต์คันเดียวกันในบางวัน การอยู่ด้วยกันในห้องทำงาน 2 ต่อ 2 ยามวิกาล หรือแม้กระทั้งข่าวลือว่าไอซ์ถือ keycard สำรอง penthouse สุดหรูของ Hiso หนุ่ม ยิ่งเป็นเหมือนเชื้อไฟที่พัดให้ข่าวลือแพร่กระจายราวกับไฟลามทุ่ง


----------


มิลค์ : เจอกันวันพรุ่งนี้ครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือไม่อาจฝืนชะตา

#มิลค์ #ไอซ์ #เพื่อนสนิท
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนที่ 32 ; ลาก่อนเจ้าความรัก (part 1/2)


3 ปีผ่านไป

“มิลค์ กูว่ากูจะหยุดทำแบบนี้แล้วนะ” บอนพูดขึ้นในขณะที่เรา 2 คนนอนเปลือยเปล่าอยู่บนเตียงหลังใหญ่

“ฮึ? ...” ผมที่กำลังเคลิ้มๆ จะหลับถึงกับตาสว่างเมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่

“... มีอะไรหรือเปล่า” ผมถามในขณะที่ยันตัวลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง

“กูเจอผู้หญิงคนหนึ่ง” มันพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พร้อมกับมองลึกเข้ามาในดวงตาของผม

“อ่า!!! กูเข้าใจแล้ว”

“มึงโอเคไหม ถ้ากูจะหยุด”

“โอเคดิ เราตกลงกันแล้วไม่ใช้เหรอ” ผมก็ตอบรับด้วยรอยยิ้ม หลังจากที่ผมปฏิเสธบอนเป็นครั้งที่ 2 เจ้าตัวก็กลับไปเรียนต่อ หายไปหลายเดือนกว่ามันจะกลับมาพักผ่อนที่ไทยอีกครั้ง บอนโทรนัดผมออกมากินข้าวในฐานะเพื่อนสนิทวัยเด็ก แต่สุดท้ายเรา 2 คนก็จบลงบนเตียง เพราะเรื่องบนเตียงของเราเข้ากันได้ดีมาตลอด เราเลยตกลงว่าจะเป็น friend with benefit กัน ... ไม่รู้สึก ไม่ผูกมัด ต่างฝ่ายมีอิสระเต็มที่จะยุติความสัมพันธ์บนเตียง มันเป็นความสัมพันธ์ที่ลงตัวพอดิบพอดีระหว่างเรา 2 คน ณ ช่วงเวลานั้น

“ถ้าอนาคตกูแต่งงาน มึงมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวนะ”

“เอาจริง?” ผมถามด้วยความไม่แน่ใจ มันคงเป็นสถานการณ์ที่ประหลาดพิลึก เจ้าบ่าวกับเพื่อนเจ้าบ่าวที่เคยเป็นแฟนเก่าและ friend with benefit กันมาก่อน

“จริง วันนั้นกูอยากมองรอบๆ แล้วเห็นทุกคนที่สำคัญกับชีวิตกู ...”

“... เราอาจจะเคยทะเลาะกัน อาจจะเคยทำให้อีกฝ่ายเสียใจ แต่สุดท้ายมันก็คือความรัก แค่ตอนนั้นเรายังเด็กเกินไป ...”

“... เอาจริงกูไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็น FWB กับมึงมาได้นานขนาดนี้” มันพูดด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายกว่าเดิมพร้อมกับขยับตัวขึ้นมากึ่งนั่งกึ่งนอนที่หัวเตียง ผ้าห่มที่ร่นลงมากองบริเวณท้องน้อยเผยให้เห็นลายกล้ามเนื้ออย่างคนออกกำลังของบอนชัดเจน ... คิดไปคิดมาก็รู้สึกเสียดาย partner แบบบอนไม่ใช้จะหากันได้ง่ายๆ แต่ก็ถึงเวลาที่จะต้องปล่อยให้บอนก้าวต่อไป

“เหมือนกัน” ตอนแรกผมคิดว่ามันคงเป็นความสนุกชั่วครั้งชั่วคราวที่พอเวลาผ่านไปต่างคนก็คงเบื่อและแยกย้ายกันไป ... ไม่น่าเอว่าเราอยู่ในสถานะนี้กันมาหลายปีแล้ว

“รู้สึกผิดเหมือนกันแฮะ ... เหมือนกูเป็นคนที่ทำให้มึงใจแตกเลย”

“บ้า!!! กูต่างหากที่เป็นคนชวนมึงก่อน...” ผมคล้ายยิ้ม

“... ไปเริ่มใหม่เถอะ กูยินดีด้วย ขอให้โชคดีกับคนๆ นั้น กูตัดชุดเพื่อนเจ้าบ่าวรอเลย” นิ้วมือเรียวสวยลูปไล้ไปตามสันกรามได้รูป







“มาแล้วๆ ผู้บริหารคนดัง” ไอ้โจเอ่ยปากแซวทันทีที่ผมเดินเข้ามาในร้านข้าวต้มเจ้าเด็ดย่านพระราม 3 วันนี้มากันครบคู่ ไอซ์-ออย, โจ-ใบเฟิร์น, อาร์ม-ฟ้าใส และ จี-ปอ

ทันทีที่จีเห็นมิลค์ก้าวเข้ามาในร้าน เจ้าตัวก็ลุกขึ้นจัดแจงที่นั่งให้เสร็จสรรพ เก้าอี้พลาสติกสีแดงที่เจ้าตัวนั่งอยู่ถูกยกให้เพื่อนที่เพิ่งมาถึง ส่วนตัวเองก็เดินไปหยิบเก้าอี้จากโต๊ะข้างๆ มาใช้แทน มิลค์ตอบรับการกระทำของจีด้วยรอยยิ้มโดยไม่ได้สนใจสายตาของลูกค้าคนอื่นๆ ที่กำลังแอบลอบชำเลืองมองสมาชิกใหม่ของโต๊ะอาหาร อาจจะเพราะข่าวซุบซิบในแวดวงสังคม hiso ที่เพิ่งหลุดออกมาใน social media เมื่อไม่กี่วันก่อน หรืออาจจะมาจากการแต่งตัวที่ดูยังไงก็ไม่เข้ากับสภาพแวดล้อมโดยรอบเพราะเพิ่งเสร็จจากงานประชุมเจ้าตัวเลยมาในชุดทางการเต็มยศ รองเท้าหนังสีดำขัดเงา กางเกงสแลคสีดำ เสื้อเชิ้ตแขนยาวประดับด้วย cufflink พลอยสีเขียวสดใส

“ขอบใจมึง ...”

“... หวัดดีครับ” กับแฟนเพื่อนคนอื่นๆ ผมคุ้นเคยดีอยู่แล้ว เลยแค่ส่งยิ้มทักทาย แต่กับแฟนคนล่าสุดของจีที่เจอหน้ากันครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ผมเลยต้องเอ่ยปากทักทายเพื่อกันข้อครหาว่าผมเขม่นแฟนทุกคนของจี ... อ่อ!!! ใช่ครับ ‘คนล่าสุด’ เพราะคนก่อนที่เคยให้คำสัญญาว่าจะ ‘รออยู่ที่นี้ ไม่ไปไหน’ สุดท้ายเจ้าตัวก็ทน long distance relationship ไม่ไหว เอ่ยปากบอกเลิกเพื่อน (เคย) สนิทของผมหลังจากเจ้าตัวไปเรียนต่อได้ไม่ถึงปี

ผมไม่ได้โทษเธอที่เป็นฝ่ายถอดใจไปก่อน หากเป็นผมๆ ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะรอคอยใครบางคนได้นานขนาดนั้นไหม 3 ปีนั้นยาวนานและส่งผลต่อความสัมพันธ์ของคน 2 คนมากกว่าที่คิด หลังจากเจ้าตัวเรียนจบกลับมาเราก็ไม่สามารถเรียกอีกฝ่ายว่า ‘เพื่อนสนิท’ ได้เต็มปากอีกต่อไป

“อันนี้ของมึง กูแบ่งไว้ให้” จานอาหารถูกวางลงตรงหน้า ความแปลกคืออาหารที่อยู่ในจานมีหลากหลายชนิด บ่งบอกว่าถูกตักแบ่งมาจากจานอาหารก่อนหน้านี้อย่างละนิดอย่างละหน่อย

“ไม่ต้องก็ได้ กูกินมาแล้ว” เพราะเป็นงานประชุมกึ่งทางการเลยมีเลี้ยงอาหารเย็นด้วย

“กินแล้วก็กินอีกได้”

“อืม” ผมตอบรับในลำคอ ก่อนที่จะหยิบตะเกียบขึ้นมาคืบกระเพาะปลาผัดแห้งเข้าปาก

“ไอ้ไอซ์ ทำไมมึงไม่ไปประชุมกับเจ้านายมึงด้วยวะ” อาร์มถาม

“กูอยู่แผนก marketing ไหมมึง จะไปยุ่งอะไรด้วย” ไอซ์พูดแบบไม่ยี่ระ ในขณะที่ผมแต่งชุดเต็มยศ มันใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั่นราวกับเดิมมาของร้านขายของชำหน้าปากซอย

“มึงคิดอะไรวะไอ้มิลค์ ถึงได้มาชวนมันไปทำงานด้วย” อาร์มถาม สังเกตจากสีหน้าแล้วไม่ได้อยากได้คำตอบจริงๆ จังๆ แน่นอน

“คิดผิดไงมึง 555” ไอ้อาร์มชงมาซะเข้มขนาดนี้แล้วผมจะไม่ตบได้ยังไง

“เออ วันจันทร์กูจะไปลาออก” พูดจบแล้วมันก็ลุกขึ้นทำท่าหัวฟัดหัวเหวี่ยงเสียเต็มประดา

“โอ้ๆ มึงจะลาออกได้ยังไง มึงออกแล้วใครจะมานั่งฟังกูบ่นๆ 555” ผมรีบเอนตัวไปกอดเอวของมันไว้แน่น แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้งระหว่างผมกับไอซ์

หลังจากจบ ป.โท ที่คณะ ผมก็กลับมาทำงานที่ The Neame group และชวนไอซ์ให้มาทำงานด้วยกัน ตอนแรกมันบ่ายเบี่ยงเพราะไม่อยากถูกนินทาว่าเป็นเด็กเส้น ผมทั้งขอร้อง ทั้งอ้อนวอน จนสุดท้ายมันก็ใจอ่อน ตอบตกลง

จีอาศัยจังหวะที่ทุกคนคุยเล่นกันสนุกสนานลอบมองมิลค์ มิลค์กลับมาทำงานที่บริษัทได้ประมาณปีกว่าแล้ว วันที่เจอกันครั้งแรกหลังจากเรียนจบกลับมาเขาก็ค้นพบว่าเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาตั้งแต่วัยเด็กไม่ใช่คนเดิมกับคนที่เขาเคยรู้จักอีกแล้ว เพื่อนสนิทที่เมื่อวันวานยังเป็นสัตวแพทย์ป้ายแดงตอนนี้เป็นผู้บริหารธุรกิจยักษใหญ่เต็มตัว เรื่องงานจีรู้แค่ตอนนี้มิลค์เป็นหัวหน้าแผนกการวางแผนและกลยุทธ สำหรับเรื่องส่วนตัวของมิลค์ จีก็เป็นเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ที่รู้จากข่าว gossip ตาม social media

ทุกอย่างที่เขาเคยรู้จักเกี่ยวกับมิลค์เปลี่ยนไปหมดแล้ว แม้จะเป็นเรื่องพื้นๆ อย่างเรื่องกาแฟ ที่มิลค์เปลี่ยนจากกาแฟแก้วโปรดอย่าง mocha มากิน americano ไม่หวานเลย ด้วยเหตุผลที่ว่ามิลค์กินกาแฟหนักมาก ถ้ายังกิน mocha เหมือนเดิมคงได้มีปัญหาสุขภาพเข้าซักวัน คนที่เคยเป็นเพื่อนไปเดินเล่นตลาดนัดจตุจักรด้วยกันในวัยเด็ก ตอนนี้วันๆ เอาแต่ใส่สูทผูกไทด์นั่งทำงานอยู่บนตึกสูงกลางใจเมือง คนที่เขาเคยเป็นเพื่อนเดินเลือกซื้อเครื่องประดับราคาถูกจากสยามสแควร์ในวันนั้น วันนี้สวม jewelry แบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้า ... ที่สำคัญ ตอนนี้คนที่สนิทที่สุดของมิลค์ ไม่ใช้เขาอีกต่อไปแล้ว แต่กลายเป็นคนที่นั่งอยู่อีกข้างหนึ่งของเจ้าตัว ไม่กี่สัปดาห์ก่อน จีเพิ่งรู้ว่าตอนนี้ไอซ์คือคนที่ถือ keycard สำรอง penthouse ของมิลค์

พวกเรานั่งคุยกันสัพเพเหระ จนกระทั้งอาหารระรอกที่ 2 เริ่มทยอยมาเสิร์ฟ

“ไม่เอาๆ กูอิ่มแล้ว” ผมส่ายหัวปฏิเสธเมื่อจีคีบผัดผักบุ่งไฟแดงมาวางไว้บนจาน

“กินๆๆ มึงผอมไปนะ” คนข้างๆ ทำเป็นหูทวนลม แล้วใช้ตะเกียบคีบหมูสับไข่เค็มอีกครึ่งชิ้นมาให้

“มิลค์ กูอยากรู้” อยู่ๆ ไอ้โจก็โพลงออกมา

“เออๆ ถามมา” ผมเพยิดหน้าให้มัน พอเห็นสีหน้าอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่ามันจะถามอะไร

“ข่าวนี้จริงไม่จริงวะ”

“ข่าวไหน”

“อย่ากวนตีน”

“เอาจริง ข่าวไหน เรื่องอะไร”

“ข่าวที่มึงคบกับลูกชายเจ้าแม่อสังหาไต้หวันนะจริงหรือเปล่า” อ่ออออออ ข่าว gossip ที่ทีเพิ่งหลุดออกมาเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง

“จริง ...”

“... แต่เลิกไปซักพักนึงแล้ว” มิลค์ตอบด้วยท่าทีสบายๆ ในขณะที่ไอซ์อมยิ้มอย่างหมันไส้ ตอนนี้คนที่รู้เรื่องส่วนตัวของมิลค์ดีที่สุดคงหนีไม่พ้นไอซ์

เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ยืนยันได้ว่ามิลค์เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมามิลค์ไม่เคยมีความคิดว่าความรักเป็นเรื่องเล่นๆ มันจริงจังและให้คุณค่ากับความรักมาตลอด แต่ตั้งแต่เขากลับมาอยู่เมืองไทยก็ดูเหมือนมิลค์จะเปลี่ยนแฟนเป็นว่าเล่น มันมีข่าวกับคนทุกวงการไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจ ดารา ลูกหลานนักการเมือง หรือแม้กระทั้งนักกีฬาทีมชาติ จนเพื่อนในกลุ่มแซวเจ้าตัวบ่อยๆ ว่าเป็น Cassanovee แทนไอ้ไอซ์ที่ตอนนี้เก็บเขี้ยวเล็บเพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าวในอนาคตอันใกล้

“อ่าว!!! ทำไมอะ”

“ก็เลิกอะมึง ต้องมีเหตผลด้วยเหรอ” มิลค์จบบทสนทนาด้วยรอยยิ้มก่อนที่พวกเราจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา







รถยนต์ Maybach 62s สีขาวจอดนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าหลักของสำนักงานใหญ่ The Nemea group สายตาหลายคู่จับจ้องเพื่อรอการปรากฏตัวของเจ้าของรถยนต์คันหรูที่ยังใช้เวลาคุยธุระช่วงสุดท้ายอยู่ในภายในห้องโดยสารด้านหลัง เป็นที่รู้กันในหมู่พนักงานว่ามิลค์ ติณสิงห์ เป็นบุคคลผู้มีอัธยาศัยดีเลิศ แม้จะเป็นทายาทเพียงคนเดียวของธุรกิจมูลค่านับแสนล้าน แต่เจ้าตัวมักจะทักทายพนักงานในบริษัทด้วยความเป็นกันเอง ไม่ว่าพนักงานคนนั้นจะเป็นแม่บ้านหรือผู้บริหารระดับสูง ภาพของ Hiso ชื่อดังยืนต่อแถวซื้อกาแฟราวกับเป็นพนักงานคนหนึ่ง หรือยกมือไหว้ป้าแม่บ้านเป็นภาพที่คุ้นชินของทุกคนเป็นอย่างดี

ไม่นานประตูรถด้านหลังฝั่งตรงข้ามคนขับก็เปิดออก มิลค์ ติฒสิงห์ในชุดสูทเต็มยศก้าวลงจากรถ เจ้าตัวหยุดยืนอยู่ข้างรถยนต์คันหรูเพื่อรอเพื่อนสนิทที่ลงจากประตูหลังอีกฝั่งหนึ่ง ไอซ์ จุลจักร เพื่อนสนิทพ่วงตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการแผนกการตลาดเดินมาประคบด้านข้าง 2 คนเอียงตัวเข้าหากันเพื่อพูดคุยอะไรบางอย่าง ก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวย อาจจะดูเป็นเรื่องปกติที่คน 2 คนจะกระซิบกระซาบกันเรื่องงาน แต่ด้วยข่าวลือที่กำลังแพร่ไปทั่วสำนักงานใหญ่กลับทำให้คนที่เห็นภาพความสนิทสนมของเพื่อนรักตีความไปไกลกว่าที่ควร

ไม่ใช้เรื่องแปลกที่ผู้บริหารระดับสูงจะชักชวนคนที่ไว้ใจเข้ามาทำงานร่วมกัน แม้จะเป็นเพื่อนสนิทแต่การเข้านอกออกในห้องทำงานของลูกชายเจ้าของบริษัทเป็นว่าเล่น การไปกลับรถยนต์คันเดียวกันในบางวัน การอยู่ด้วยกันในห้องทำงาน 2 ต่อ 2 ยามวิกาล หรือแม้กระทั้งข่าวลือว่าไอซ์ถือ keycard สำรอง penthouse สุดหรูของ Hiso หนุ่มยิ่งเป็นเหมือนเชื้อไฟที่พัดให้ข่าวลือแพร่กระจายราวกับไฟลามทุ่ง

"สวัสดีครับ ... สวัสดีครับ ... วันนี้กระโปรงสวยนะครับ" มิลค์เอ่ยปากทักทางพนักงานคลอดทางตั้งแต่เดินเข้ามาในอาคาร รอยยิ้มและความสดใสของมิลค์ส่งต่อพลังบวกให้กับคนรอบข้างราวกับสายน้ำที่ล่อเลี้ยงผืนป่าใหญ่

"คนของประชาชนจริงๆ" ไอซ์อดใจไม่ไหว เขาขอแซวเพื่อนสนิทซักหน่อยในจังหวะที่ไม่มีใครอยู่ใกล้พอจะได้ยินบทสนทนาของเขา

"เป็นเพื่อนกับคนดีแบบกูก็ต้องทำใจหน่อย"

"จะอ้วก!!!"

"เข้าไม่ได้นะครับคุณป้า" เสียงเอะอะโวยวายจากพนักงานรักษาความปลอดภัยทำให้ผู้คนในบริเวณนั้นหันมามองไม่เว้นแม้แต่เพื่อนสนิททั้ง 2 คน

"หนูลูก หนู"

"เขาเรียกมึงหรือเปล่าวะ" ไอซ์เอ่ยถาม ในขณะที่สายตากำลังจับจ้องกับความวุ่นวายตรงหน้า เหมือนพนักงานรักษาความปลอดภัยกำลังกันคุณป้าคนหนึ่งที่พยายามจะเดินเข้ามาด้านหลังประตูกั้น

"ไม่แน่ใจเหมือนกัน..." ประตูลิฟต์เปิดออกในขณะที่มิลค์ชะโงกตัวออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจก้าวเดินไปยังหญิงสูงอายุคนนั้น

"... มีอะไรหรือเปล่าครับ" ความชุลมุนตรงหน้าสงบลงเมื่อทายาทของ The Nemea group เดินมาเข้ามา

"แม่เองลูก จำแม่ได้ไหม" ในขณะที่หญิงสูงอายุกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม คนรอบข้างต่างพร้อมใจกันขมวดคิ้วไม่เว้นแต่เพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้าง ... Hiso เบอร์ต้นๆ ของประเทศอย่างมิลค์ ติฒสิงห์ จะรู้จักกับคุณป้าคนนี้ได้ยังไง แล้วต้องสนิทกันระดับไหนถึงแทนตัวเองว่าแม่

มิลค์นิ่งไปครู่ใหญ่ราวกับกำลังใช้สมาธิรื้อค้นความทรงจำของตัวเอง

"แม่!!!" คนรอบข้างต่างตกตะลึงจนเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่ ทุกคนต่างสงสัยว่าคุณป้าคนนี้คือใคร มิลค์ ติฒสิงห์ถึงได้เรียกว่าแม่ และยังยกมือไหว้สวัสดีด้วยท่าทีนอบน้อม ทำเอาพนักงานรอบๆ ขมวดคิ้วไปตามๆ กัน

"ลูกทำงานที่นี้เหรอ" สิ้นประโยคของคุณป้า ทุกคนที่ได้ยินก็เกิดอาการ dead air ไปพร้อมๆ กัน ไอซ์กั้นขำจนหน้าเปลี่ยนสี พลางคิดในใจว่าคุณป้าจะทำสีหน้ายังไงเมื่อรู้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือลูกชายเจ้าของตึก

"ครับ..." มิลค์ตอบพร้อมกับรอยยิ้ม ที่คุณป้าพูดมาก็ไม่ได้ผิดตรงไหน เขาไม่ใช่เจ้าของที่นี้ (อย่างน้อยก็ในตอนนี้) ปัจจุบันเขามีฐานะเป็นพนักงานประจำพ่วงด้วยสถานะผู้ถือหุ้นลำดับที่ 2 เท่านั้น

"แม่มาทำอะไรที่นี้ครับ"

"แม่มาสมัครงานแม่บ้านนะจ๊ะ"

"แล้วได้สัมภาษณ์กับแผนกบุคคลหรือยังครับ"

"ยังเลยจ๊ะ แม่เพิ่งมาถึง แล้วก็เห็นลูกเดินผ่านไปเลยรีบมาทัก ลูกสบายดีนะ"

"สบายดีครับ งั้นเดียวผมเดินไปส่งแม่ที่แผนกบุคคลนะครับ" เป็นภาพที่ประทับใจไม่น้อยเมื่อมิลค์ ติฒสิงห์ กุมมือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยจากการทำงานหนักราวกับตนเองเป็นลูกเป็นหลาน

"ขอบใจจ๊ะ"

คนที่ได้พบเห็นต่างต้องจ้องมองซำด้วยความประหลาดใจ ใครๆ ก็รู้ว่ามิลค์ ติฒสิงค์เป็นคนง่ายๆ ไม่ถือตัว แค่การพบเห็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กรจูงมือคุณป้าคนหนึ่งมาสมัครงานแม่บ้านที่แผนกบุคคลก็เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดฝันว่าจะเกิดขึ้น พนักงานในแผนกบุคคลต่างตื่นตระหนกเมื่ออยู่ๆ ลูกชายเจ้าขององค์กรก็เดินเข้ามาในแผนก

"ยังไงผมฝากคุณป้าด้วยนะครับ" มิลค์พูดกับพนักงานแผนกบุคคลด้วยรอยยิ้ม

"ได้เลยครับคุณมิลค์ เดียวผมจะดูแลให้ครับ" มิลค์พยักหน้ารับ แม้จะไม่ได้พูดกันตรงๆ แต่ทั้งของฝ่ายก็เข้าใจความหมายแฝงของคำว่า 'ฝาก' และ 'ดูแล' เป็นอย่างดี

"งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ตอนสัมภาษณ์แม่ไม่ต้องเกรงนะครับ พนักงานแผนกนี้เขาใจดีกันทุกคน" ทุกคนยิ้มแห้งๆ ให้กับคำชมของมิลค์ เพราะแผนกบุคคลถือเป็นหนึ่งในแผนกที่ดุที่สุดขององค์กรรองมาจากแผนกการเงิน

"ลูกทำงานอยู่ตรงไหน เผื่อแม่จะแวะไปทักทาย" เป็นอีกครั้งที่ไอซ์ต้องกลั้นขำจนตัวโยน

"แม่ขึ้นไปหาผมที่ชั้น 45 ก็ได้ครับ แจ้งว่ามาพบมิลค์ ติฒสิงห์ ..."

"... ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวนะครับ" พูดจบมิลค์ก็สวัสดีคุณป้าอีกครั้งก่อนจะปลีกตัวออกมา

"มึงไปรู้จักเขาได้ไงวะ" ไอซ์ถามเมื่อพวกเขาเดินออกมาจากแผนกบุคคล

“รู้จักตอนไปค่ายอาสานะ"

"ตั้งแต่สมัยโน้นอะนะ"

"อืม บังเอิญเจอกันในหมู่บ้าน กูไม่ยืมไม้กวาด แล้วป้าแกเลี้ยงน้ำเขียวกู"

"ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างมึงจะมี moment อะไรแบบนี้กับเขาด้วย ..."

“... อยากรู้เหมือนกันว่าป้าแกจะทำหน้ายังไงถ้ารู้ว่ามึงคือลูกชายเจ้าของบริษัท 555" ไอซ์พูดอย่างอารมณ์ดีในขณะที่ผมส่ายหัวอย่างเอือมระอา โตมาขนาดนี้แต่ก็ยังติดนิสัยชอบแกล้งคนเหมือนเดิม



"คุณมิลค์ครับ แม่บ้านชื่อลดามาขอพบครับ" เสียงของเลขาส่วนตัวดังขึ้นจาก intercom บนโต๊ะทำงาน ผมขมวดคิ้วแต่พอเห็นภาพในกล้องวงจรปิดคิ้วที่ขมวดเข้าหากันก็คลายออก

"ให้เข้ามาได้ครับ ..." ผมตอบกลับปลายสาย พลางลุกออกจากโต๊ะทำงาน

“... แม่มีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถามเมื่อคุณป้าก้าวเข้ามาในห้อง

“คือ แม่ ป้าจะมาขอโทษคุณมิลค์ ป้าไม่รู้จริงๆ ว่าคุณมิลค์เป็นใคร”

“ไม่เลยไรเลยครับ เรื่องแค่นี้เอง แม่ไม่ต้องคิดอะไรมากนะครับ” ผมจูงมือคุณป้ามานั่งตรงโซฟารับแขก

“ไม่ต้องเรียกแม่ก็ได้คะ คนอื่นจะมองคุณมิลค์ไม่ดี”

“555 ผมชินแล้วนะครับ ถ้าแม่ไม่ชินจะเรียกผมว่าลูกเหมือนเดิมก็ได้นะครับ”

“เรียกคุณมิลค์ดีกว่าคะ”

“ได้ทุกอย่างที่แม่สบายใจเลยครับ”

“ป้าจะมาขอบคุณคุณมิลค์ด้วย ถ้าไม่ใช้เพราะคุณมิลค์ป้าคงไม่ได้งานนี้ ตอนนี้งานหายากมาก ป้าสมัครมาหลายที่แล้วที่นี้เป็นที่สุดท้าย คิดอยู่ว่าถ้าไม่ได้ก็คงจะกลับบ้านไปขายของเล็กๆ น้อยๆ”

“อะๆ ไม่ต้องไหว้ครับ...” ผมรีบกุมมือของคุณป้าเอาไว้ทันทีที่แกทำท่าจะประนมมือ

“... แม่ได้งานนี้เพราะความสามารถตัวเองมากกว่าครับ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย” แม้ผมจะเป็นคนเอ่ยปากฝากฝังคุณป้ากับแผนกบุคคลแต่ถ้าคุณสมบัติของคุณป้าไม่ผ่าน ฝ่ายบุคคลคงโทรขึ้นมาถามความคิดเห็นของผมตั้งแต่วันสัมภาษณ์แล้ว

“แต่ยังไงป้าก็ยังอยากขอบคุณคุณมิลค์อยู่ดี”

“ครับ ผมยินดีรับคำขอบคุณของแม่ด้วยใจจริง ...”

“... ไม่รู้ว่าแม่ยังจำได้ไหม แต่ผมยังจำรสชาติของน้ำเขียวขวดนั้นได้อยู่เลย” น้ำอัดลมขวดนั้นนอกจากช่วยดับกระหายแล้ว ยังช่วยรดน้ำเมล็ดพันธุ์ ‘น้ำใจ’ ในใจของผมให้งอกงามมาจนถึงทุกวันนี้ เรา 2 คนคุยเรื่องเมื่อครั้งในอดีตอีกเล็กน้อย ก่อนที่เลขาส่วนตัวจะเข้ามาขัดจังหวะเนื่องจากผมมีประชุมต่อช่วงบ่าย

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนที่ 32 ; ลาก่อนเจ้าความรัก (part 2/2)


“ขอแสดงความยินดีกับคู่บ่าวสาวด้วยครับ ... ลำดับต่อไปเป็นช่วงเวลาที่สาวๆ ทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอ ขอเชิญสาวๆ มารวมตัวกันหน้าเวทีได้เลยนะครับ หรือถ้าหนุ่มๆ สนใจก็มาร่วมวงได้นะครับ” หลังจากจบคำเชิญชวนของพิธีกรบนเวที เพื่อนๆ ของทั้งไอซ์และออยต่างก็ทยอยไปรวมตัวกันที่หน้าเวที

“ไอ้มิลค์ มึงไปซิ” โจที่ยืนอยู่ข้างๆ กระซิบ มันเอนตัวเอาหัวไหล่มากระแทกตัวผม

“ไม่เอาอะ อาย” ถ้าผมเดินออกไป มันจะต้องเด่นมากๆ เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นส่วนใหญ่แล้วมีแต่ผู้หญิง

“ไปดิวะ เผื่อวันนี้มึงจะได้เจอเนื้อคู่” ไอ้โจยังไม่หยุดเสี่ยม

“ไม่เอาอะ” คนโสดแบบผมส่ายหัวปฏิเสธ ผมเพิ่งเลิกกับแฟนคนล่าสุดไปเมื่อไม่กี่วันก่อน

“ไอ้มิลค์!!! ...” ไม่ทันไรเสียงของไอซ์ก็ดังผ่านลำโพงออกมา พอได้ยินว่ามันเรียกชื่อผมเท่านั้นแหละ รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว

“... ออกมาเลย โสดอยู่ก็ออกมา...” ไม่พูดปากเปล่ามันยังกวักมือเรียกผมอีก นั้นยิ่งทำให้ทุกสายตาจับจ้องมาที่ผมมากขึ้น

“... ไม่ออกมา กูไม่เริ่ม” โคตรเหี้ย

“ไม่เอาอะมึง กูไม่อยากไป” ผมบ่นกระบอดกระแปด เมื่อถูกไอ้โจลากออกมา

“โชคดีเพื่อน” พูดจบมันก็พลักไหล่ผมเข้าไปกลางวง ผมแก้เขินด้วยการส่งยิ้มและค้อมหัวทักทายเพื่อนของบ่าวสาวที่ผมไม่รู้จักเลยซักคน

“งั้นเริ่มเลยนะครับ ขอเชิญบ่าวสาวที่หน้าเวทีเลยครับ...” ผมแหงนหน้ามองเพื่อนสนิทในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มเดินเคียงคู่มากับเจ้าสาวในชุดแต่งงานสีขาวบริสุทธิ์ ไม่น่าเชื่อว่าคู่ที่ทะเลาะกันบ่อยที่สุดอย่าง 2 คนนี้จะเป็นคนคู่แรกที่แต่งงานกัน ... ผมหันหลังกลับไปมองเพื่อนและแฟนอีก 3 คู่ด้านหลัง จนกระทั้งสายตาหยุดอยู่ที่คู่ของจี มีคนบอกว่าพอมีเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มแต่งงาน คนอื่นๆ ก็จะแต่งตามเป็นโดมิโน่ ... วันที่ผมกลัวที่สุดในชีวิต ใกล้จะมาถึงแล้วซินะ

หลังจากที่หลุดอยู่ในห้วงความคิดไปครู่ใหญ่ ผมกลับเข้าสู่โลกของความเป็นจริงอีกครั้งเมื่อเสียงโวยวายของคนรอบข้างดังขึ้น เหมือนเห็นภาพ slow motion ช่อดอกไม้สีชมพูลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ ผมตอบสนองทุกอย่างตามสัญชาตญาณ รู้สึกตัวอีกทีช่อดอกไม้ช่อนั้นก็อยู่ในมือ ... ไอ้ชิบหาย!!!

“เชิญผู้โชคดีขึ้นมาบนเวทีได้เลยครับ” ต้องขึ้นด้วยเหรอวะเนี่ย ผมมองเพื่อนสนิทที่ยืนหัวเราะอยู่บนเวที หันกลับไปทางกลุ่มเพื่อนก็เห็นภาพไม่ต่างกัน พวกมันหัวเราะกันจนตัวโยน ไอ้อาร์มโบกมือไล่ให้ผมรีบเดินขึ้นเวที ในใจคิดว่าอยากจะยัดช่อดอกไม้ใส่มือคนที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้ววิ่งหนีออกจากห้องให้รู้แล้วรู้รอด แต่สุดท้ายผมก็ต้องคอตกเดินขึ้นเวทีตามระเบียบ

มิลค์เดินขึ้นเวทีด้วยท่าทางเกร็งๆ เพราะสงสารเพื่อนสนิทไอซ์เลยขอไมค์จากพิธีกรเพื่อเป็นคนสัมภาษณ์เองน่าจะทำให้มันเกร็งน้อยลงบ้าง แม้จะต้องพูดในที่สาธารณะบ่อยครั้งแต่เจ้าตัวก็ดูจะประหม่าทุกครั้งที่ต้องตกเป็นเป้าสายตา โดยเฉพาะช่วงนี้ที่มันเพิ่งมีข่าวเลิกรากับแฟนหนุ่มดีกรีพระเอกชื่อดังและตกเป็นกระแสใน social media ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

มิลค์ในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มแบบเดียวกับเขาต่างกันที่เจ้าตัวผูกไทด์สีเงินในขณะที่เจ้าบ่าวอย่างเขาผูกโบว์หูกระต่าย เพราะเป็นกลุ่มเพื่อนผู้ชายล้วน พวกเราเลยตกลงกันว่าจะตัดสูทเหมือนกันเพื่อใช้ในงานแต่งงานของทุกคนในฐานะเพื่อนเจ้าบ่าว ... นอกจากโครงหน้าที่สวยราวกับปฏิมากรรมชิ้นงามแล้วสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดสายตาของทุกคนคงเป็นเข็มกลัดเพชรรูปขนนกขนาดใหญ่บนหน้าอกข้างซ้ายที่เวลาต้องแสงไฟบนเวทีแล้วส่งประกายระยิบระยับจนทำให้แขกในงานตาพร่าไปตามๆ กัน นอกจากจะเป็นที่รู้จักในฐานะ hiso หนุ่มชื่อดังแล้วมิคล์ยังถือว่าเป็น jewelry collector ตัวยงอีกด้วย

“แนะนำตัวหน่อยครับ” แม้จะมั่นใจ 100% ว่าไม่มีใครในงานไม่รู้จักมัน แต่การเริ่มต้นจากการแนะนำตัวน่าจะช่วยให้อีกฝ่ายผ่อนคลายได้ไม่มากก็น้อย

“ชื่อมิลค์ครับ เป็นเพื่อนมัธยมของไอซ์”

“แนะนำตัวเพิ่มอีกนิดได้ไหมครับ เผื่อมีคนยังไม่รู้จักคุณมิลค์” ทุกคนในงานต่างหัวเราะ ใครบ้างจะไม่รู้จักมิลค์ ติฒสิงห์ ไอซ์พูดพร้อมสีหน้าอมยิ้มที่ได้แกล้งเพื่อนสนิท ในขณะที่เจ้าตัวก็แยกเขี้ยวใส่เพราะรู้ตัวว่าถูกแกล้ง

“ชื่อมิลค์ ติฒสิงห์ สิงหนาฏครับ เป็นเพื่อนสนิทของเจ้าบ่าว รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ใครอยากรู้วีรกรรมของเจ้าบ่าวสามารถมาสอบถามหลังไมค์ได้ครับ หรือจะให้เล่าบนเวทีตอนนี้เลยก็ยินดีเหมือนกันครับ” เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง มิลค์ยิ้มด้วยสีหน้าของผู้ชนะ ให้รู้กันไปว่าแม้จะเขินอายแต่คนอย่างเขาก็ไม่ตายไมค์เหมือนกัน

“มันสู้เว้ย!!! ... ไหนๆ ก็ขึ้นมาแล้ว ผมขอถือโอกาสตั้งแผงขายเพื่อนตัวเองซักหน่อยดีกว่าครับ ...”

“... ตกลงว่าตอนนี้คุณมิลค์โสดอยู่ไหมครับ”

“ก็ตามที่ทุกคนรู้จากใน social ละครับ ... โสดอยู่ครับ” มิลค์ตอบรับด้วยเสียงดังฟังชัดได้ใจความ

“ถ้าโสดก็แสดงว่าจีบได้ใช่ไหมครับ” ร้อยยิ้มมีเลศนัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของไอซ์

“จีบได้ครับ ... แต่จะจีบติดหรือเปล่าก็อีกเรื่องนึงนะครับ” จบประโยคเสียงแซวก็ดังขึ้นจากกลุ่มเพื่อนๆ โรงเรียนเก่าที่ยืนจับกลุ่มกันอยู่ด้านหลัง

“เป็นพยานนะครับ เจ้าตัวบอกว่าจีบได้ เพราะฉะนั้นเดียวช่วยขึ้น banner เบอร์โทรและ ID line ของคุณมิลค์ด้วยนะครับ ...”

“... แต่ขอเตือนหนุ่มๆ ไว้ก่อนว่าเห็นหน้าตาไม่มีพิษมีภัยแบบนี้ แต่หักอกใครมานักต่อนักแล้วนะครับ ... ยังไงก็ขอบคุณคุณมิลค์ที่ขึ้นมาเล่นสนุกกับเรา อันนี้เป็น gift voucher เอาไว้ไป shopping แม้ว่ามูลค่าของมันจะเทียบไม่ได้กับเข็มกลัดของคุณมิลค์ก็ตาม” ไอซ์จิกกัดเพื่อนสนิทอีกเล็กน้อยก่อนที่จะปล่อยให้มิลค์ลงจากเวที



“มีคนเข้ามาจีบมึงบ้างเปล่า” ไอซ์ถามผมในขณะที่เจ้าตัวกำลังถอดหูกระต่ายออก ส่วนสูทของเจ้าบ่าวพาดอยู่บนแขนของผม งานจบแล้ว แขกกลับกันหมดเหลือแต่พวกผมที่รอส่งเจ้าบ่าวเจ้าสาวขึ้นไปพักผ่อน

“ก็มี”

“มีใครที่มึงสนใจไหม”

“ไม่มี” ผมส่ายหัว

“ไม่มีซักคน?”

“อืม”

“ทำไมวะ profile ไม่โอเคเลยเหรอ”

“ไม่หรอก มึงก็รู้ว่ากูนิสัยเป็นยังไง คนใกล้ตัวมึงทั้งนั้น ไม่อยากให้เสียไปถึงมึง” ไอซ์พยักหน้ารับ และเปลี่ยนบทสนทนาเป็นเรื่องอื่น ใจหนึ่งก็รู้สึกดีใจที่มิลค์คิดถึงเขาเป็นอันดับแรก แต่อีกใจก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ ผ่านมานานขนาดนี้แต่มิลค์ก็ไม่ยอมเริ่มต้นใหม่กับใครซักที ก่อนหน้านี้เจ้าตัวมีความสัมพันธ์แบบ FWB กับไอ้บอนมานานหลายปี จนกระทั้งบอนขอหยุดเพื่อไปเริ่มต้นใหม่ จากนั้นมิลค์ก็เริ่มมีแฟน ตอนแรกไอซ์รู้สึกดีใจที่เพื่อนสนิทมีท่าทีจะเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง แต่นานวันเขากลับรู้สึกว่าสุดท้ายมันก็วนอยู่ที่เดิม มันเปลี่ยนแฟนบ่อย คบได้ไม่นานก็เลิก โสดได้ไม่เท่าไหร่ก็คบกับคนใหม่ แม้ว่าเขาจะตามเช็ดตามล้างให้เท่าไหร่แต่ในยุคสมัยที่ข่าวสารอยู่เพียงแค่ปลายนิ้ว ปิดยังไงก็ปิดไม่หมด ข่าว gossip เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของมิลค์เลยตกเป็นประเด็นใน social media มาตลอด



...




Bon ;

การ์ดแต่งงาน

Milk ;

เฮ้ย ยินดีด้วย

Bon ;

Save the date นะมึง

ตามสัญญา มาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้กูด้วย

Milk ;

แน่นอน สัญญาไว้แล้วนิ

ให้ไปตั้งแต่งานเช้าเลยไหม

Bon ;

ถ้าสะดวกอยากให้มาทั้งเช้าทั้งเย็น

แต่ถ้าไม่สะดวกขอเป็นงานเย็นอย่างเดียวก็ได้

Milk ;

สะดวกทั้งเช้าทั้งเย็นเลย

Bon ;

งั้นเจอกันนะมึง

แต่งตัวมาได้เต็มที่ มาเป็นสีสันให้งานกูหน่อย



“พี่มิลค์ สวัสดีคะ” ผมละสายตาจากคู่บ่าวสาวที่ยืนถ่ายรูปกับแขกในงานอยู่หน้า back drop บอนสวมแจ็คเกตทักซิโด้สีขาวตัดกับกางเกงขายาวสีดำ ยืนเคียงข้างเจ้าสาวในชุดราตรีลายลูกไม้สีขาว ช่างเป็นคู่สามีภรรยาที่เหมาะเจาะลงตัว

“สวัสดีครับ จำพี่ได้ด้วยเหรอ” ผมยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ คือน้องสาวของบอน ไม่เจอกันนานเธอเปลี่ยนไปจากในความทรงจำของผมไปพอสมควร

“ใครจะจำไม่ได้ เมื่อก่อนพี่มาเล่นที่บ้านบ่อยจะตาย”

“จริงด้วยซินะ” สมัยเด็กๆ ผมมาเที่ยวบ้านบอนบ่อยมาก เลยได้มีโอกาสนั่งเล่นเกมกับน้องบ่อยครั้ง และอีกหลายครั้งที่เป็นคอยเป็นกรรมการห้ามไม่ให้ 2 พี่น้องตีกัน

“หนูประหลาดใจเหมือนกัน วันที่เฮียบอกว่าชวนพี่มาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ...”

“... หนูคิดว่าหลังจากที่พี่ 2 เลิกกัน ก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก ...”

“... ทุกคนในบ้านรู้คะว่าตอนนั้นพี่ 2 คนเป็นแฟนกัน” เธออธิบายเพิ่มเติมเมื่อเห็นผมชะงักไป

“จริงดิ??? ป๊าม๊าก็รู้เหรอ”

“รู้คะ”

“เชี่ยยยยยยย” ผมถึงกับหลุดอุทานคำหยาบออกมา เพราะเพิ่งเข้าไปสวัสดีป๊าม๊า ทั้ง 2 คนดีใจมากที่เห็นผม หลังจากที่หายหน้าหายตาไปร่วมๆ 15 ปี

“หนูดีใจที่วันนี้เห็นพี่มางาน” เธอยิ้มกว้าง นับตาเป็นประกายบ่งบอกว่าเธอหมายความอย่างนั้นจริงๆ

“บอนแต่งงานทั้งทีพี่จะไม่มาได้ยังไง” ผมหันกลับไปมองคู่บ่าวสาวอีกครั้ง บอนกำลังใช้ทิชชูซับหน้าให้เจ้าสาว

“ที่จริงป๊าม๊าไม่เห็นด้วยเลยตอนที่รู้ว่าพี่ 2 คนคบกัน แต่ทุกคนก็เห็นว่าช่วงนั้นเฮียดูเป็นผู้เป็นคนขึ้น ตั้งใจเรียนมากขึ้น เกรดก็ดีขึ้น จนม๊าแอบหวังว่าพี่บอนจะได้เรียนหมอเลยนะ”

“555 ขนาดนั้นเลยเหรอ” พอน้องพูดผมถึงจำได้ว่าม๊าเคยเปรยๆ ว่าอยากให้มีลูกซักคนเรียนหมอ

“ขนาดนั้นเลยคะ แล้วอยู่ๆ พี่ก็หายไป จากนั้นเฮียก็ซึมเป็นหมาหงอย...” ผมหัวเราะในลำคอเพราะไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าบอนจะมีช่วงซึมหลังจากเลิกกัน

“... การเรียนก็แย่ลงๆ เกรดก็ต่ำลงๆ จนม๊ายังเปรยๆ ว่าคิดถึงพี่ ... ช่วงมหาลัยเฮียก็เหมือนคนใจแตก ม๊าปวดหัวเรื่องผู้หญิงของเฮียมากๆ หนูยังเคยพูดกับม๊าเลยว่านอกจากพี่แล้ว ก็ไม่เคยมีใครเอาเฮียอยู่เลยซักคน”

“555 นี่ชมพี่อยู่หรือเปล่านะ”

“หนูดีใจมากที่เฮียมีวันนี้ วันที่เฮียบอกจะแต่งงานหนูยังคิดว่าพูดเล่น”

“พี่ก็ดีใจเหมือนกัน” ใครจะคิดว่าเสื้อผู้หญิงอย่างบอนจะหยุดเพื่อใครซักคน ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่เคยคิดว่ามันจะมีวันนี้ จนกระทั้งเห็นแววตามุ่งมั่นของเจ้าตัวในคืนนั้น

“แต่หนูเห็นนะว่าเฮียโอบเอวพี่ตอนถายรูปที่ back drop”

“555 เห็นด้วยเหรอ” ผมหัวเราะกลบเกลื่อนเมื่อถูกจับได้

“เฮียแมร่งไม่เนียนเลย ... หนูดีใจนะที่พี่กลับเข้ามาในชีวิตเฮียอีกครั้ง หนูอยากจะบอกพี่ว่า ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน เฮียก็เก็บพี่ไว้ในสถานะพิเศษเสมอ”

“ขอบคุณครับ”



...



รถ Maybach 62S สีขาวกำลังเคลื่อนตัวไปตามถนนสุขุมวิท ผมที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารด้านหลังกำลังหลับตาพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออกช้าๆ จนกระทั้งรถยนต์คันหรูจอดตรงหน้าประตูทางเข้าหลักของโรงแรม 5 ดาวย่านราชประสงค์ ... เดินเข้ามาใน lobby ก็เห็นกลุ่มเพื่อนนั่งรอกันอยู่ก่อนแล้ว พวกเรามาชุดเพื่อนเจ้าบ่าวอย่างพร้อมเพียง

“กว่าจะมาถึง” ไอซ์เอ่ยปากทักทาย

“โทษที รถติดนะ” จริงแล้วรถติดไม่ใช้สาเหตุเดียวที่ทำให้ผมมาช้า แต่สาเหตุมาจากผมใช้เวลาแต่งตัวอยู่หน้ากระจกนานมาก

“เข็มกลัดสวย” คนตรงหน้าเอ่ยปากชมเข็มกลัดมรกตที่ผมเลือกอยู่นานสองนาน ก่อนจะใช้สายตาลอบสำรวจ accessory บนตัวของผม ใจจริงไอซ์คันปากอยากจะด่าเพื่อนสนิท แต่เพราะรู้ว่าวันนี้มิลค์ต้องการความมั่นใจมากเป็นพิเศษเลยเลือกที่จะไม่พูดอะไร

“ขอบใจ”

“มึงพร้อมนะ”

“พร้อม” ผมพยักหน้ารับ เพื่อนคนอื่นๆ ต่างมองมาที่ผมพร้อมกับพยักหน้าเป็นเชิงให้กำลังใจ มือหนาๆ ของไอ้โจวางลงบนต้นแขนก่อนที่จะเปลี่ยนมาโอบไหล่แล้วพาผมเดินไปยังลิฟต์

ผมยืนอยู่ด้านในสุดของลิฟต์ เลข digital ที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากการนับถอยหลัง จนกระทั้งลิฟต์หยุดลงที่ชั้น 20 ผมยังคงเดินรั้งเป็นคนสุดท้าย ในขณะที่พวกเราทั้ง 4 คนเข้ามาในห้อง suite สำหรับคู่บ่าวสาว

“กูอยู่ในนี้” เสียงของจีดังขึ้นจากห้องที่อยู่ทางขวา ผมเดินตามหลังโจเข้าไปในห้องเป็นคนสุดท้าย มันคือห้องนั่งเล่นที่ถูกเปลี่ยนสภาพมาเป็นห้องแต่งตัวสำหรับเจ้าบ่าว กระจกใสบานใหญ่ทำให้ห้องดูสว่างตา วิวที่เห็นจากมุมนี้คือตึกสูงระฟ้าใจกลางเมืองหลวงในช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า

ผมยืนนิ่งอยู่กับที่ ในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ พูดคุยทักทายเจ้าบ่าว รู้สึกเหมือนคนที่ไม่อยากมีตัวตน อยากยืนอยู่นิ่งๆ ไม่เป็นจุดสนใจของใคร หรือถ้าหายไปจากตรงได้ก็ยิ่งดี

“มิลค์”

“ฮะ?” เสียงเรียกของอารม์ดึงผมให้หลุดออกจากพวัง

“มึงอยู่เป็นเพื่อนไอ้จี พวกกูไปจัดของอีกห้อง” พูดจบพวกมัน 3 คนก็เดินจากไป ทิ้งให้ผมอยู่กับจี 2 ต่อ 2 ในห้อง

สุดท้ายผมก็เลี่ยงไม่ได้ ดวงตาคู่สวยมองเจ้าบ่าวเป็นครั้งแรกตั้งแต่พาตัวเองเข้ามายืนอยู่ในห้อง ผมแทบจะลืมหายใจทันทีที่เห็นจีในชุดทักซิโด้สีดำผูกโบว์หูกระต่ายสีขาว ทรงผมที่ถูกตัดให้สั้นลงถูก set เอาไว้เป็นทรง ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางๆ ภาพที่เห็นตรงหน้าซ้อนทับกับภาพจากจินตนาการในวัยเยาว์ของผม

“มึงหล่อมาก” ผมอมยิ้มพร้อมกับก้าวเข้ามาในห้องอีกหน่อย

“ส่วนมึง ... สวย สวยมาก ...” เป็นครั้งแรกที่จีเห็นมิลค์ไว้ผมยาว เส้นผมยาวปะบ่าที่ถูกรวบบางส่วนไว้ด้านหลังแบบไม่ตั้งใจ ทำให้หลงเหลือปอยผมด้านหน้าเอาไว้ช่วยขับให้ใบหน้าสวยดูโดนเด่นขึ้นกว่าเดิม สูทสีน้ำเงินเข้มตัดกับเครื่องประดับมรกตสีเขียวครบ set ทั้งเข็มกลัด แหวน และต่างหูทำให้มิลค์ดูสูงส่งราวกับราชนิกูล

“มึงเจาะหู?” จีขมวดคิ้วถาม เพราะครั้งสุดท้ายที่เจอกัน มิลค์ไม่ได้เจาะหู แต่นั้นก็ผ่านมานามากแล้ว

“อืม เจาะได้ซักพักแล้ว”

“มาคนเดียวเหรอ?”

“คนเดียว”

“โสดแล้ว?”

“อืม” เพราะแฟนคนล่าสุดดีกรีนักกีฬาฟุตบอลทีมชาติเพิ่งถูกผมเทไปเมื่อไม่กี่วันก่อน เดียวก็คงมีข่าว gossip หลุดออกมาเหมือนทุกครั้ง

“ง่วงไหม เมื่อเช้าตื่นแต่เช้าเลยอะดิ” เมื่อเช้ามีพิธียกน้ำชา เพื่อนเจ้าบ่าวมา stand by กันตั้งแต่ตี 5

“ไม่เท่าไหร่” ตอบปฏิเสธทั่งที่ความเป็นจริงแล้วผมไม่ได้นอนเลยตั้งแต่เมื่อคืน พูดให้ถูกคือนอนไม่ได้ ทุกครั้งที่หลับตา ภาพจำทุกอย่างก็วนกลับเข้ามาไม่จบไม่สิ้น ... ผมรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองเปราะบางเกินไป

“มิลค์ กูว่าหูกระต่ายมันเบี้ยววะ มึงช่วยกูหน่อย” จีกลับไปส่องกระจกอีกครั้งก่อนจะหันกลับมาร้องขอความช่วยเหลือ ผมกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ลำคอแห้งผากราวกับทะเลทราย แต่ก็เดินเข้าไปใกล้ตามคำขอ

“เงยหน้าขึ้น” ใบหน้าหล่อเหล่าเชิดสูงขึ้น นิ้วมือเรียวสวยช่วยจัดตำแหน่งของหูกระต่ายให้อยู่ในตำแหน่งกึ่งกลาง ก่อนที่ผมจะเหลือบไปเห็นเส้นดายบางๆ ติดอยู่ตรงข้ามแก้มของคนตรงหน้า

“มีด้ายติดอยู่ที่แก้ม” ผมบอกพลางใช้นิ้วมือชี้บอกตำแหน่ง

“เอาออกให้หน่อย ทำเองกลัวแขนเสื้อเลอะเครื่องสำอาง”

“อืม” นิ้วชี้กับนิ้วโป้งบรรจงจีบลงเพื่อจับเอาเส้นด้ายเส้นเล็กออกจากใบหน้าหล่อเหล่า ผมถึงกับต้องกั้นหายใจในเสี่ยววินาทีที่เราบังเอิญสบตากัน

“จีคะ ปอพร้อมแล้วนะคะ” เสียงเรียกของเจ้าสาวดึงผมกลับสู่โลกของความเป็นจริง ผมหันไปส่งยิ้มบางๆ ให้เธอก่อนจะเขยิบหลบมุมให้บ่าวสาวได้พูดคุยกัน

“ปอลงไปก่อนได้เลย เดียวผมขอช่วยไอ้ไอซ์เช็คของ ปิดห้องเรียบร้อยแล้วจะตามลงไป”

“จีลงไปพร้อมปอไม่ได้เหรอคะ ชุดมันเดินลำบากมากเลย” ปออยู่ในชุดเจ้าสาวประดับผ้าลูกไม้ดูสวยงามโดดเด่น

“เอ่อออออออ” เจ้าบ่าวทำท่าลังเล ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังจัดการไม่เรียบร้อย

“เดียวกูลงไปเป็นเพื่อนปอเอง” ผมรับอาสา วันนี้เป็นวันมงคงของจี อะไรที่ช่วยได้ผมก็อยากจะช่วย

“งั้นปอลงไปกับมิลค์ได้ไหมครับ”



เลข digital ที่ผนังฝั่งหนึ่งของลิฟต์กำลังลดจำนวนลงเรื่อยๆ เพราะชุดที่มีขนาดใหญ่ทำให้มีแค่ผมเท่านั้นที่เข้ามาได้ ทีมงานคนอื่นๆ ต้องรอลิฟต์ตัวถัดไป ในลิฟต์เงียบสนิท ผมมองเงาสะท้อนของปอผ่านเงาบนประตูลิฟต์

“เข็มกลัดสวย” เธอเป็นฝ่ายทำลายความเงียบระหว่างเรา

“ขอบคุณครับ ...”

“... ยินดีด้วยนะ วันนี้ปอสวยมาก” ผมกล่าวชมเธออีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม

ทั้งรองเท้าส้นสูงและกระโปรงยาวทำให้เจ้าสาวเดินลำบากพอสมควร ผมเลยช่วยประคองเธอให้ค่อยๆ ก้าวเดิน ในงานเริ่มมีแขกมาถึงแล้วผมเลยตัดสินใจยืนรอเป็นเพื่อนปออยู่หน้า back drop ไม่นานเจ้าบ่าวก็ตามมาถึง ผมเลยหลบออกมายืนเกาะกลุ่มกับเพื่อนคนอื่นๆ พวกมัน 3 คนพาแฟนมาครบคู่ วันนี้เลยมีแค่ผมที่มาตัวคนเดียว พวกเธอนัดกันแต่งชุดสีน้ำเงินเข้มเข้าธีมสีเดียวกับเพื่อนเจ้าบ่าวแบบพวกผม

“วันนี้มิลค์จะไปรอรับช่อดอกไม้ด้วยหรือเปล่า” ออยถามในขณะที่เรากำลังยืนต่อแถวเพื่อถ่ายรูปรวมกับบ่าวสาว

“ไม่อะ” ผมส่ายหัวปฏิเสธ ก่อนหน้านี้ผมมักจะถูกลากออกไปพร้อมกับแฟนเพื่อนในกลุ่มแต่ตอนนี้ทุกคนแต่งงานกันหมดแล้ว

“วันนี้จีหล่อมากเลยเนอะ”

“อืมมม หล่อมาก” ผมตอบรับ

เจ้าบ่าวเจ้าสาวกำลังยืนฉีกยิ้มถ่ายรูปกับแขกอยู่หน้า backdrop แม้จะเป็นบรรยากาศของความสุขแต่ผมกลับหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อเห็นเขา 2 คนจับมือกัน พร้อมกับเสียงในหัวที่ตอกย้ำเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันแต่งงานของจี

รู้ตัวอีกทีผมก็เดินตามหลังโจกลับเข้ามาในห้อง Ballroom ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก 15 action ใน 1 นาที ไม่รู้ว่าตัวเองโพสต์ท่าอะไรออกไปบ้าง

“มิลค์ ...” ต้นแขนถูกรั้งไว้ด้วยมือหนาของเพื่อนสนิท ทุกคนหันกลับมาเมื่อการก้าวเดินของผมหยุดชะงัก ไอซ์เพยิดหน้าให้คนอื่นๆ เป็นสัญญานว่าต้องการคุยกับผมแค่ 2 คน

“... มึงอยากไปถ่ายรูปเดียวกับบ่าวสาวไหม ...” คำถามของไอซ์ทำผมนิ่งไปชั่วขณะ ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน

“... ไปถ่ายเถอะ ...” คนตรงหน้าพูดต่อเมื่อเห็นผมส่ายหัวปฏิเสธ ผมจะเอาความกล้าที่ไหนไปยืนอยู่ตรงนั้น

“... มันต้องดีใจมากๆ ถ้ามึงไป”

แสงแฟลชรัวออกมาจากกล้องทันทีที่มิลค์เดินเข้ามาในเฟลม มิลค์ ติฒสิงห์ ไม่เคยทำให้ช่างภาพผิดหวังเพราะไม่ว่าจะลุคไหนเจ้าตัวก็ขึ้นกล้องจนแทบจะไม่ต้องตกแต่งภาพเพิ่มเติม ... เป็นเหมือนที่ไอซ์บอก จีกระตือรือร้นทันทีที่เห็นมิลค์ยืนอยู่หน้าสุดของแถว เจ้าตัวเดินออกจาก backdrop มารับมิลค์ถึงในแถว มือหนากุมมือของมิลค์ไว้ตลอดช่วงเวลาที่ทั้ง 2 คนยืนถ่ายรูปอยู่หน้า backdrop

“ขอท่าเฮฮาๆ หน่อยครับ” เสียงช่างภาพซักคนพูดขึ้นมาหลังจากที่เพิ่งถ่ายภาพ set ใหญ่ไป มิลค์เริ่มเกิดอาการเกรงใจเพราะรู้สึกว่าตัวเองกินเวลาของคนอื่นไปมากแล้ว

“สุดท้ายแล้วครับคุณมิลค์” ช่างภาพอีกคนกล่าวต่อราวกับรู้ว่าเจ้าตัวคิดอะไรในใจ

ภาพสุดท้ายจบลงด้วยภาพของเจ้าบ่าวโอบไหล่กอดคอ hiso หนุ่มชื่อดังด้วยท่าทีสนิทสนมจนใครต่อใครต่างเข้าใจไปทางเดียวกันว่าคู่บ่าวสาวต้องเป็นเพื่อนสนิทของมิคล์ ติฒสิงห์อย่างแน่นอน ... แต่ใครจะรู้ว่าภายใต้รอยยิ้มอันสดใสนั้นกลับซ้อนไปด้วยคราบน้ำตา ... ลาก่อนเจ้าความรัก

‘The worst kind of pain is when you’ re smiling just to stop the tears from falling’


----------

#ปล่อยมือ #สมศักดิ์ศรี #ลาก่อนเจ้าความรัก
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-11-2025 10:56:14 โดย Milky_Milky_Way »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
“มาแล้วๆ ผู้บริหารคนดัง” ไอ้โจเอ่ยปากแซวทันทีที่ผมเดินเข้ามาในร้านข้าวต้มเจ้าเด็ดย่านพระราม 3 วันนี้มากันครบคู่ ไอซ์-ออย, โจ-ใบเฟิร์น, อาร์ม-ฟ้าใส และ จี-ปอ

ทันทีที่จีเห็นมิลค์ก้าวเข้ามาในร้าน เจ้าตัวก็ลุกขึ้นจัดแจงที่นั่งให้เสร็จสรรพ เก้าอี้พลาสติกสีแดงที่เจ้าตัวนั่งอยู่ถูกยกให้เพื่อนที่เพิ่งมาถึง ส่วนตัวเองก็เดินไปหยิบเก้าอี้จากโต๊ะข้างๆ มาใช้แทน มิลค์ตอบรับการกระทำของจีด้วยรอยยิ้มโดยไม่ได้สนใจสายตาของลูกค้าคนอื่นๆ ที่กำลังแอบลอบชำเลืองมองสมาชิกใหม่ของโต๊ะอาหาร อาจจะเพราะข่าวซุบซิบในแวดวงสังคม hiso ที่เพิ่งหลุดออกมาใน social media เมื่อไม่กี่วันก่อน หรืออาจจะมาจากการแต่งตัวที่ดูยังไงก็ไม่เข้ากับสภาพแวดล้อมโดยรอบเพราะเพิ่งเสร็จจากงานประชุมเจ้าตัวเลยมาในชุดทางการเต็มยศ รองเท้าหนังสีดำขัดเงา กางเกงสแลคสีดำ เสื้อเชิ้ตแขนยาวประดับด้วย cufflink พลอยสีเขียวสดใส

“ขอบใจมึง ...”

“... หวัดดีครับ” กับแฟนเพื่อนคนอื่นๆ ผมคุ้นเคยดีอยู่แล้ว เลยแค่ส่งยิ้มทักทาย แต่กับแฟนคนล่าสุดของจีที่เจอหน้ากันครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ผมเลยต้องเอ่ยปากทักทายเพื่อกันข้อครหาว่าผมเขม่นแฟนทุกคนของจี


----------

#ลาก่อนเจ้าความรัก
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ผมหันหลังกลับไปมองเพื่อนและแฟนอีก 3 คู่ด้านหลัง จนกระทั้งสายตาหยุดอยู่ที่คู่ของจี มีคนบอกว่าพอมีเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มแต่งงาน คนอื่นๆ ก็จะแต่งตามเป็นโดมิโน่ ... วันที่ผมกลัวที่สุดในชีวิต ใกล้จะมาถึงแล้วซินะ


----------


#โดมิโน่ #เพื่อนเจ้าบ่าว #ลาก่อนเจ้าความรัก
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
... แต่ใครจะรู้ว่าภายใต้รอยยิ้มอันสดใสนั้นกลับซ้อนไปด้วยคราบน้ำตา ... ลาก่อนเจ้าความรัก

‘The worst kind of pain is when you’ re smiling just to stop the tears from falling’


----------


 #ลาก่อนเจ้าความรัก
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนพิเศษที่ 4
«ตอบ #163 เมื่อ29-11-2025 12:28:33 »

Teaser ตอนพิเศษที่ 4

“พี่ยิ้มอะไรอยู่คนเดียว” เสียงนั้นดึงผมกลับมาจากห้วงของความคิด หันไปถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีใครคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ เด็กผู้ชายใบหน้าดูอ่อนเยาว์กว่าผม เขาตัวสูงกว่า แต่งตัวแนว hip hop เสื้อยืดสีเหลือง oversize กางเกงยีนส์ตัวใหญ่ๆ รองเท้าผ้าใบเซอๆ เส้นผมถูก highlight เป็นสีแดงเพลิง และดวงตาชั้นเดียวคู่นั้น

“ขอโทษนะครับ เรารู้จักกันด้วยเหรอครับ” ผมถามเพราะคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกว่าเคยรู้จักคนตรงหน้าหรือเปล่า

“เปล่าครับ ผมเห็นพี่ยืนอยู่ตรงนี้มาซักพักแล้ว ... พี่เป็นผู้ชายที่สวยที่สุดที่ผมเคยเห็น แล้วพอพี่ยิ้มก็เหมือนมีแสงสว่างเปล่งประกายออกมา”

“จะจีบพี่เหรอ” ดวงตาคู่สวยกลับแพรวพราวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ไม่หรอกครับ พี่ดูไม่น่าจะเข้ากับผมได้” คิ้วของผมกระตุกยิกๆ รู้สึกเหมือนตัวเองโดนด่ายังไงไม่รู้

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นละ”

“แค่เห็นก็รู้แล้ว พี่น่าจะเป็นพวกกินหรูอยู่สบาย พี่ไม่เข้ากับ life style ของผมหรอก” อะ!!! ไอ้เด็กนี่

“ชอบแมวไหม” คนตรงหน้าขมวดคิ้วเมื่อผมเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแบบ 180 องศา

“ก็ชอบได้อยู่ครับ”

“งั้นไปดูแมวห้องพี่กันไหม”


----------


มิลค์ : เจอกันวันพรุ่งนี้นะครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมมีไอ้เด็กหัวแดงมาด้วย
#ตาชั้นเดียวคู่นั้น #ไปดูแมวกันไหม
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-11-2025 18:08:07 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime :ตอนพิเศษที่ 4 : Survive
«ตอบ #164 เมื่อ30-11-2025 10:17:28 »

ตอนพิเศษที่ 4 : Survive


ผมกำลังก้าวออกมาจากห้างหรูกลางใจเมือง คิดอยู่ตั้งแต่ในงานว่าเย็นนี้จะกินอะไร ตอนแรกคิดว่าหลังจากเลิกงานแล้วจะชวนไอซ์ไปกินข้าวเย็นแล้วต่อด้วยการหาบาร์นั่งดื่มชิวๆ ก่อนแยกย้าย ที่ไหนได้มันต้องรีบกลับบ้านเพราะลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมีไข้ไม่สบาย สุดท้ายผมเลยตัดสินใจว่าจะกลับไปกินข้าวที่คอนโด อย่างน้อยพี่แอนก็ไลน์มาบอกว่าช่วงบ่ายแวะเอากับข้าวมาฝากไว้ที่ห้อง

ในขณะที่กำลังยืนรอรถสายตาก็เหม่อมองบรรยากาศของชาวกรุงในช่วงหัวค่ำกลางสัปดาห์แบบนี้ รถที่เคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ ผู้คนที่เดินขวักไขว้ไปมา ผ่านมาหลายเดือนแล้วนับจากวันที่จีแต่งงาน ครั้งสุดท้ายที่ได้ข่าวคือจีไป honey moon ที่ญี่ปุ่น หลังจากนั้นเจ้าตัวหายเงียบไปในสายลม ไลน์กลุ่มเพื่อนสมัยมธยมที่เคยคึกคักตอนนี้กลับเงียบเหงา ทุกคนเติบโตขึ้นและเริ่มมีชีวิตส่วนตัว

ภาพของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กับคุณแม่เดินจูงมือผ่านสายตาของผมไป รอยยิ้มของเด็กน้อยทำให้โลกดูสว่างไสวขึ้นทันตา ผมอมยิ้มแล้วกล่าวชมเชยตัวเองอยู่ในใจที่สามารถผ่านช่วงเวลาที่ล่วงหล่นที่สุดของจิตใจมาได้ หลังจากวันนั้นผมรู้สึกเหมือนถูกปลดล๊อค ผมในวัน 32 เป็นอิสระแล้วจากทุกสิ่ง ความรักที่เคยผูกผมไว้กับใครคนหนึ่งตอนนี้เสื่อมสลายไปตามการเติบโตของชีวิต คำสัญญาที่เคยยึดมั่นถือมั่นวันนี้ไม่มีความหายอะไรอีกแล้ว ผมมีทรัพย์สินเงินทองมากมายจนไม่จำเป็นต้องกังวลถึงอนาคต หน้าที่การงานมาได้ไกลกว่าที่ตัวเองเคยฝัน ... วันนี้ผมสามารถทำได้ทุกอย่างที่ตัวเองต้องการโดยไม่มีอะไรมาฉุดรั้งเอาไว้อีกต่อไป

“พี่ยิ้มอะไรอยู่คนเดียว” เสียงนั้นดึงผมกลับมาจากห้วงของความคิด หันไปถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีใครคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ เด็กผู้ชายใบหน้าดูอ่อนเยาว์กว่าผม เขาตัวสูงกว่า แต่งตัวแนว hip hop เสื้อยืดสีเหลือง oversize กางเกงยีนส์ตัวใหญ่ๆ รองเท้าผ้าใบเซอๆ เส้นผมถูก highlight เป็นสีแดงเพลิง และดวงตาชั้นเดียวคู่นั้น

“ขอโทษนะครับ เรารู้จักกันด้วยเหรอครับ” ผมถามเพราะคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกว่าเคยรู้จักคนตรงหน้าหรือเปล่า

“เปล่าครับ ผมเห็นพี่ยืนอยู่ตรงนี้มาซักพักแล้ว ... พี่เป็นผู้ชายที่สวยที่สุดที่ผมเคยเห็น แล้วพอพี่ยิ้มก็เหมือนมีแสงสว่างเปล่งประกายออกมา”

“จะจีบพี่เหรอ” ดวงตาคู่สวยกลับแพรวพราวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ไม่หรอกครับ พี่ดูไม่น่าจะเข้ากับผมได้” คิ้วของผมกระตุกยิกๆ รู้สึกเหมือนตัวเองโดนด่ายังไงไม่รู้

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นละ”

“แค่เห็นก็รู้แล้ว พี่น่าจะเป็นพวกกินหรูอยู่สบาย พี่ไม่เข้ากับ life style ของผมหรอก” อะ!!! ไอ้เด็กนี่

“ชอบแมวไหม” คนตรงหน้าขมวดคิ้วเมื่อผมเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแบบ 180 องศา

“ก็ชอบได้อยู่ครับ”

“งั้นไปดูแมวห้องพี่กันไหม”



keycard ถูกนาบลงบนประตู และเมื่อเดินเข้ามาในห้อง คิ้วของไอซ์ก็ขมวดเข้าเป็นปม รองเท้าผ้าใบขาดๆ สีสันแสบตาคู่นั้นวางอยู่ข้างกับรองเท้าหนัง brand name ของมิลค์ เขารู้สึกเหมือนจะเป็นไมเกรนตั้งแต่เช้า เพราะเมื่อคืนลูกชายไม่สบาย กว่าจะกล่อมให้กลับได้ก็ดึกเอาเรื่อง ไอซ์เลยตัดสินใจปิดมือถือ แต่ใครจะรู้ว่าแค่ปิดมือถือคืนเดียวกลับมีเรื่องวุ่นวายราวกับเกิดภัยพิบัติ เช้านี้ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่ามี missed call จากเลขาของไอ้เพื่อนตัวดีร่วม 10 สาย พอรู้เรื่องเขาก็แทบจะวิ่งออกจากบ้านทั้งที่ยังอยู่ในชุดนอน ... ‘คุณไอซ์ครับ เมื่อคืนคนขับรถโทรมาฟ้องผมว่าคุณมิลค์พาใครไม่รู้กลับห้อง’ เส้นเลือดในสมองแทบแตกทันทีที่ได้ยิน

ไอซ์ได้ยินเสียง เหมือนว่ามีใครซักคนอยู่ในครัว พอเดินเข้ามาทั้ง 2 คนก็บังเอิญสบตากัน

“มึงเป็นใคร” ไอซ์ถามเสียงเข้ม ในขณะที่คนตรงหน้าดูลนลานแปลกๆ

“ผม ผม ขอโทษ ผมไม่รู้ พี่เขาบอกว่าโสด ผมก็เลยตามมา ผมขอโทษ” เด็กตรงหน้าตื่นตระหนกขึ้นมาทันทีที่เห็นสีหน้าเป็นยักษ์วัดแจ้งของเขา เจ้าตัวยกมือไหว้ท้วมหัว

“กูไม่ใช้ผัวมัน” เขาตอบด้วยเสียงห้วนๆ ตามอารมณ์คนกำลังโมโห

“อ่า!!! เหรอครับ ผมก็คิดว่าตัวเองจะโดนต่อยซะแล้ว ...” ใบหน้าตื่นตระหนกเมื่อครู่แปรเปลี่ยนมาเป็นรอยยิ้มในชั่วพริบตา ไอซ์ประเมิณคนตรงหน้าพลางคิดในใจว่า ‘เด็กเหี้ยอะไรวะเนี่ย?’

“มันอยู่ไหน”

“อาบน้ำอยู่ครับ”

“แต่พี่ไม่ใช้แฟนพี่เขาจริงๆ ใช่ไหมครับ”

“ก็บอกว่าไม่ใช้ไง”

“โล่งอกไป เมื่อเช้าผมเปิดตู้แล้วเจอเสื้อผ้าของคนอื่น พอเจอพี่ ตกใจแทบตาย คิดว่าตัวเองโดนหลอก”

“มึงพูดอะไร เสื้อผ้าอะไรของมึง” ไอซ์ขมวดคิ้ว

“ก็ตู้ในห้องพี่เขาไงครับ มีเสื้อผ้าของคนอื่นอยู่” คนฟังยิ่งฟังยิ่งขมวดคิ้ว

“มึงรู้ได้ยังไงว่าของคนอื่น”

“ไซส์ก็ไม่ใช้ของพี่เขา ไหนจะคนละ style อีก” พอได้ยินแบบนั้นไอซ์ก็ประติดประต่อเรื่องราวได้ทันที

เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย แม้จะถือ key card สำรองมาหลายปี แต่ไอซ์ก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งกับของใช้ส่วนตัวของมิลค์ ครั้งสุดท้ายที่เข้าไปในห้องนอนของมิลค์ก็น่าจะเป็นช่วงที่ยังเรียนอยู่มหาลัย เขาคิดออกทันทีว่าเสื้อผ้าที่ถูกกล่าวถึงเป็นของใคร มิลค์ไม่เคยพาคนอื่นมาห้องนอกจากพวกเขา และอาร์ม โจ รวมถึงตัวเขาเองไม่เคยทิ้งเสื้อผ้าไว้ที่นี้ เพราะฉะนั้นเลยเหลืออยู่เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

“คุยไรกัน ...” ยังไม่ทันจะถามเพิ่ม เสียงของตัวต้นเรื่องก็ดังขึ้น

“... ชงกาแฟเหรอ ทำให้พี่แก้วดิ ไม่หวานเลยนะ ...” พอเห็นหน้าเพื่อนสนิท ไอซ์ต้องนับหนึ่งถึงร้อยเพื่อสงบใจตัวเองไม่ให้กระโดดไปหยุมหัว มันเดินลอยหน้าลอยตามาหยุดยืนอยู่ข้างๆ

“... มึงมาตั้งแต่เมื่อ่ไหร่”

“มึงทำเหี้ยอะไรของมึง” ไอซ์ถามเพื่อนสนิทเสียงเข้ม

“ทำไร? ก็ one night ไง” มันตอบหน้าตาเฉย ทั้งๆ ที่น้องเขาก็ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ ... เอาดิ เอากับมัน นี่มันเพื่อนหรือเจ้ากรรมนายเวรกันแน่ถึงสร้างปัญหาไม่เว้นแต่ละวัน

“นี่ครับ ...” แก้วกาแฟถูกส่งให้กับเจ้าของห้อง

“... พี่เอากาแฟไหมครับ” ไอ้เด็กนี่หันมาถามเขาหน้าตาย

“ไม่เอา มึงเสร็จธุระก็กลับไปได้แล้ว”

“โห ไล่กันเหมือนหมูเหมือนหมา ...” มันโอดครวญด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง

“... ครับๆ กำลังจะไปแล้วครับ...” พอเห็นว่าสีหน้าของไอซ์ไม่มีแววล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย มันก็ทำหน้าสลด จะว่าไปถ้าเป็นคนในทีมไอ้เด็กนี้คงได้รับความเอ็ดดูจากเขาไม่น้อย แต่น่าเสียดาย

"... ไหนว่าชวนมาดูแมวไง หาตั้งแต่เช้าแล้วยังไม่เจอแมวซักตัว" ประโยคพึมพำของไอ้เด็กผมแดงทำให้คิ้วของไอซ์เลิกสูงขึ้นโดยอัตโนมัติ สายตาดุๆตวัดไปมองเพื่อนรักที่ยืนอยู่ไม่ไกล ... ไอ้ห่ามิลค์ มุกแม่งเก่าฉิบหาย ยังจะสรรหามาใช้

“เดียว!!! …” ไอซ์เรียกก่อนที่เจ้าตัวจะเดินออกจากห้อง เจ้าตัวแบมือออกตรงหน้าเด็กคนนั้น

“... มือถือมึง เอามา”

“ฮะ!!! แล้วผมจะใช้อะไร” มันส่ายหันาปฏิเสธ พร้อมกับก้าวถอยหลัง มือทั้ง 2 ข้างตะครุบลงบนกระเป๋ากางเกงราวกับกลัวว่าไอซ์จะกระโดดเข้าไปแย้งเอามา

“เอาเบอร์บัญชีมา กูโอนให้มึง แสนหนึ่งพอไหม” เขาพูดพลางล้วง smart phone ในกระเป๋ากางเกงออกมา แต่ในขณะที่ไอซ์กำลังเครียดกับเหตุการณ์ตรงหน้า ตัวต้นเรื่องกลับยืนจิบกาแฟอย่างสบายใจ

“พอครับ แต่มันจะดีเหรอครับ” ทำท่าเหมือนลังเลแต่กลับยิ้มหน้าบาน เด็กเปรตยื่นมือถือมาให้เขาแต่โดยดีพร้อมเปิดหน้าแสดง QR code

“กูให้เป็นค่ามือถือ ส่วนที่เกินมามึงรู้ใช่ไหมว่าหมายความถึงอะไร”

“ผมไม่รู้” ตึงโป๊ะ!!! ราวกับจังหวะในหนังตลก รอยยิ้มเจ้าเลห์ของไอซ์แข็งข้าง ในขณะที่ไอ้มิลค์ถึงขั้นสำลักกาแฟ

“มึงโตมายังไงวะ ... มึง ห้ามเอาเรื่องของพี่เขาไปพูดเด็ดขาด เรื่องตั้งแต่เมื่อวานที่มึงเจอเขาหน้าห้างจนถึงเช้านี้ที่มึงก้าวออกจากคอนโด...” ไอซ์เว้นจังหวะ เขาต้องการให้มิลค์รู้ว่าตัวเองรู้ลายละเอียดทุกอย่าง เขามองหน้ามิลค์ด้วยสายตาดุแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนอะไรเลยก็ตาม

“... ไม่เคยเกิดขึ้น”

“ผมจะไปพูดได้ยังไง ผมยังไม่รู้เลยว่าพี่เขาคือใคร ชื่อพี่เขาผมก็ยังไม่รู้”

“ถือเป็นโชคดีของมึง เพราะถ้ากูรู้ว่ามึงพูด กูเอามึงหนักกว่าแสนนึงที่กูให้มึงไปแน่ เข้าใจไหม”

“เข้าใจครับ” แล้วสัญญานเตือนจาก app ธนาคารของมือถือทั้ง 2 เครื่องก็ดังขึ้นไล่เลี่ยกัน ไอซ์รับเอามือถือจากคนตรงหน้ามาถือไว้ในมือ

“รหัสปลดล๊อคอะไร” ไอซ์ถามเสียงเข้ม

“0000 ครับ” เจ้าตัวส่ายหัวให้กับความไร้เดียงสาของคนตรงหน้า แต่ก็ถือว่าเป็นโชคดีของไอ้มิลค์

“กูลบ app ธนาคารแล้ว...” app ธนาคารถูกลบต่อหน้า

“... ไปได้” เจ้าตัวพยักหน้าแต่เดินไปไม่กี่ก้าวมันก็หันกลับมาถามมิลค์

“แล้วผมจะได้เจอพี่คนสวยอีกไหม”

“มึงไม่เข้าใจคำว่า one night stand เหรอ” เด็ก hip hop ทำหน้าเจือนเมื่อถูกไอซ์ขัดจังหวะพร้อมกับแยกเขี้ยวใส่ ก่อนจะจากไปพร้อมกับเสียงผิวปาก ... เอ่อออออ!!! เอาเข้าไป



“มึงยังไม่กลับอีกเหรอ” ผมเอ่ยทักเพื่อนสนิท พอเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานก็เห็นไอซ์นั่งเหยียดขาอยู่บนโซฟา

“รอคุยกับมึง เรื่องเมื่อเช้า”

“อืม” ผมหย่อยตัวนั่งข้างๆ มัน เรื่องเมื่อเช้า ผมรู้ว่ามันโกรธ แต่ก็อดประหลาดใจไม่ได้เพราะทั้งๆ ที่เจ้าตัวก็ทำท่าเหมือนจะกินหัวผมแทนอาหารเช้าแต่มันกลับไม่พูดอะไรเลยซักคำ ไอซ์แค่เร่งให้ผมแต่งตัวและขึ้นรถมาทำงานพร้อมกัน เพราะเช้านี้เราต่างมีประชุมด้วยกันทั้งคู่ พอประชุมเสร็จเจ้าตัวก็หายหน้าไปทั้งวัน จนกระทั้งตอนนี้

“มึงจะทำจริงๆใช่ไหม ...”

“... กูหมายถึง one night stand” มันอธิบายเพิ่มเมื่อเห็นผมทำหน้าไม่เข้าใจ

“อืม”

“ทำไมวะ ทั้งที่มึงจะเลือกใครก็ได้”

“กูไม่อยากมีความรักแบบนั้นแล้ววะ ไม่อยากเป็นเจ้าของใคร และก็ไม่อยากถูกใครเป็นเจ้าของด้วย” ผมมีอิสระจากทุกอย่างแล้ว เลยไม่อยากกลับมามีพันธะอีกครั้ง

“อะไรที่ทำแล้วไม่ผิด กูสนับสนุนมึงทุกอย่าง ...”

“... แต่มึงต้องระวังตัวมากกว่านี้ เมื่อเช้าใจกูตกไปอยู่ที่ตาตุ่มพอรู้ว่ามึงหิ้วใครไม่รู้มานอน ...”

“... โชคดีที่ไอ้เด็กนั้นมันไร้เดียงสา ถ้าเป็นพวกขอบ back may ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

“กูขอโทษ ที่ทำอะไรไม่คิด” พอได้สติผมถึงได้เห็นว่าเมื่อคืนผมโชคดีแค่ไหน

“ถ้ามึงจะ one night จริงๆ มึงต้องมีกฎ ...” tablet ถูกยื่นมาตรงหน้า ผมกวาดสายตาอ่านคร่าวๆ แล้วมองหน้าเพื่อนสนิทอีกครั้ง แม้จะเป็นเรื่องไร้สาระมากแต่มันก็เสียเวลาทำมาให้

“... มึงอาจจะคิดว่าตัวเองมีแฟนมาเยอะ แต่กับ one night นั้นไม่เหมือนกัน”

“จากปากของผู้มีประสบการณ์ตรงเนอะ” ผมยิ้มล้อเลียน

“อืม ...” ผิดคาดที่เจ้าตัวตอบกลับมาด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่ติดเล่นเหมือนทุกครั้ง

“... ข้อแรก ห้ามพามาที่ห้องเด็ดขาด จะให้ใครรู้ไม่ได้ว่าบ้านมึงอยู่ที่ไหน แต่เพราะกูรู้สันดานมึงว่าถ้าไม่พามาที่ห้อง มึงก็ต้องพาไปโรงแรม 5 ดาวที่มีแต่นักข่าวและคนรู้จัก...” ผมยิ้มแห้งเพราะเพิ่งคิดอยู่ในหัวว่าถ้าไม่ใช้ที่ห้องก็จะเป็นโรงแรมหรูใกล้ๆ

“... กู list มาให้มึงแล้ว พวกนี้เป็นโรงแรมที่กูคุยด้วยได้ อาจจะไม่ถูกจริตมึงนัก แต่แค่เอากันคงไม่ต้องอะไรมากหรอกมั้ง” มันยังคงตีหน้านิ่ง เริ่มสงสัยแล้วว่าเราสนิทกันถึงขั้นสามารถคุยเรื่องบนเตียงของผมเหมือนกันคุยเรื่องดินฟ้าอากาศตั้งแต่เมื่อไหร่

“อืม”

“ข้อ 2 คู่นอนของมึงต้องใส่ถุงยางทุกครั้ง และมึงต้องกิน PrEP อะไรก็ไม่เหี้ยเท่ากับติดโรคมาจากคนอื่น มึงจบสายการแพทย์มาน่าจะรู้ดี รายละเอียดเรื่องการเจอหมอ กูจัดการได้แล้วจะบอกมึงอีกที ระหว่างนี้มึงอ่านเรื่องการป้องกันที่กูหามาให้ไปพลางๆ ก่อน ...” list ในมือแนบ reference มาหลายอัน

“... ข้อ 3 จะไปโรงแรมไหน นอนกับใคร มึงต้องไลน์บอกกูทุกครั้ง กูไม่ได้อยากจะก้าวกายเรื่องส่วนตัวของมึง แต่กูต้องรู้ว่ามึงอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร...”

“... กูทำ consent agreement มาให้ คู่นอนมึงเซ็นเสร็จแล้วส่งมาให้กู กู prove แล้วพวกมึงถึงจะเอากันได้”

“มันต้องขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ก่อนหน้านี้ตอนมีแฟน ไอซ์ไม่เคยเห็นกังวลเรื่องพวกนี้

“คนพวกนี้ไม่ได้คบกับมึงในฐานะแฟน อย่าลืมว่ามึงไม่ใช้คนธรรมดาที่คิดจะไปเอากับใครที่ไหนก็ได้โดยไม่คิดถึงผลกระทบที่จะตามมา คิดดูว่าจะบันเทิงแค่ถ้ามีข่าวว่ามึง one night กับคนไปทั่ว ...” ด่าซะสำนึกแทบไม่ทัน

“... ข้อ 4 ระวังเรื่องโดนแอบถ่าย โรงแรมใน list กูรับประกันได้ว่าปลอดภัย เพราะฉะนั้นห้ามไปโรงแรมอื่นนอกเหนือจากนี้เด็ดขาด และกูแนะนำว่าเข้าห้องแล้วเก็บมือถือของมึงและเขา รวมทั้งของมีค่าใส่ตู้เซฟไว้ คืนให้อีกทีตอนแยกกัน ...”

“... ข้อที่ 5 ห้ามปิดเสียงมือถือ กูต้องติดต่อมึงได้ทุกที่ทุกเวลา ถ้ากูโทรหา ต่อให้เอากันอยู่มึงก็ต้องรับ ...” เชี่ยยยยย วางกฎไว้อย่างกับเป็นผู้ปกครอง

“... ข้อสุดท้าย ระวังตัวให้มากๆ ถ้าไม่มั่นใจ อย่าเสี่ยง เรื่องเมื่อเช้ากูถือว่าโชคยังเข้าข้างมึง กูอาจจะแนะนำมึงได้แต่ถึงเวลามึงต้องประเมิณเอง ในห้องมีแค่มึงกับคนๆ นั้น เกิดอะไรขึ้น กูช่วยมึงไม่ได้เลย”

“เข้าใจ”

“มึงอาจจะคิดว่ากับแค่นอนกับใครซักคน ทำไมกูต้องทำให้เรื่องมันยุ่งขนาดนี้ แต่ทุกข้อที่กู list มาให้เพราะกูเป็นห่วงมึง ทำตามนี้แล้วมึงจะปลอดภัย ...”

“... หวังว่าวันหนึ่งมึงจะรู้สึกเหมือนที่กูเคยรู้สึก ...”

“... ว่าสุดท้าย ทุกอย่างก็ว่างเปล่า ความสนุกทางกายไม่มีทางเติมเต็มช่องว่างในใจของมึงได้” ไอซ์พูดกับมิลค์ด้วยความรู้สึกปวดใจ เหมือนปล่อยให้ลูกนกฝึกบินในวันที่พายุฝนฟ้าคะนอง เขาเป็นเพื่อนกับมิลค์มาตั้งแต่เด็ก นอกจากจีก็เป็นเขานี่แหละที่คอยประครองจิตใจของมิลค์ไว้ ไอซ์ทำใจไม่ได้กับการได้เห็นคนที่เคยใสซื่อและจริงจังกับความรักอย่างมิลค์เลือกทางเดินที่ไม่เห็นคุณค่าของความรักแบบนี้



“แค่ one night จำเป็นต้องวุ่นวายขนาดนี้” ชายหนุ่มหน้าตาดีตรงหน้าขมวดคิ้วเมื่อก้มลงอ่าน consent agreement ในมือถือของผม

“ก็ถ้ารู้สึกว่าวุ้นวายจะไม่เซ็นก็ได้” ผมตอบแบบไม่ยี่หระ ปรายสายตามองเขาเล็กน้อย เขาสวมเสื้อยืดคอกลมสีขาวกับกางเกงยีนส์สีดำ ลุคเรียบๆ แต่กลับโดดเด่น มีกล้ามแบบคนออกกำลังกายเป็นประจำ สำเนียงภาษาอังกฤษที่แค่ฟังก็รู้ว่าจบมาจากต่างประเทศ ... อ่า แล้วก็ตาชั้นเดียวคู่นั้น ... แม้จะเสียดายแต่ในเมื่อเขาไม่โอเค ผมก็แค่หาคนใหม่

“ใจเย็นซิครับ...” เมื่อเห็นผมยื่นมือมาเก็บมือถือ เจ้าตัวก็อิดออด

“... ผมเซ็นให้ก็ได้” มือถือถูกส่งกับมาอีกครั้ง ผมส่งไฟล์ให้เพื่อนสนิท ระหว่างนั้นก็แค่รอ

“... เราจะไปกันเลย หรือว่าจะนั่งต่ออีกซักหน่อย”

“หมดแก้วนี้แล้วค่อยไป เรายังมีเวลาด้วยกันทั้งคืน” ผมยิ้มพรางยกแก้วทรงสวยในมือขึ้นมาจิ๊บ

ซักพักเสียงแจ้งเตือนใน app สีเขียวก็ดังขึ้น ผมอมยิ้มเมื่อเพื่อนสนิทส่งสติกเกอร์กระต่ายยกนิ้วโป้งกลับมาผมทำตามกฎของไอซ์มาตลอด ไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่ข้อเดียว ตอนแรกๆ อาจจะรู้สึกไม่ชิน แต่พอผ่านไปซักพักก็รู้สึกปกติ กฎอาจจะวุ่นวายแต่ใครบ้างไม่อยากนอนกับมิลค์ ติณสิงห์ ยิ่งรู้ความจริงข้อนี้ผมก็รู้สึกย่ามใจ ผมไม่เคยเหงาเพราะผู้คนมากหน้าหลายตาพาผมผ่านพ้นค่ำคืนที่ไร้ซึ่งแสงดาว ผมรู้ว่าทุกคนต่างคาดฝันว่าจะพัฒนาความสัมพันธ์แบบ one night เป็นอะไรที่มากกว่านั้น แต่ผ่านมาเป็นปีก็ไม่เคยมีใครทำสำเร็จ และผมก็ไม่เคยคาดหวังว่าจะได้ความรักจากความสัมพันธ์แบบนี้ ... จะใส่ใจไปทำไมในเมื่อมันก็แค่ความสุขทางกาย



----------


#กฏ #ONS #Survive
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนพิเศษที่ 4 : Survive
«ตอบ #165 เมื่อ02-12-2025 12:42:07 »

ผมในวัน 32 เป็นอิสระแล้วจากทุกสิ่ง ความรักที่เคยผูกผมไว้กับใครคนหนึ่งตอนนี้เสื่อมสลายไปตามการเติบโตของชีวิต คำสัญญาที่เคยยึดมั่นถือมั่นวันนี้ไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว

ผมมีทรัพย์สินเงินทองมากมายจนไม่จำเป็นต้องกังวลถึงอนาคต หน้าที่การงานมาได้ไกลกว่าที่ตัวเองเคยฝัน

... วันนี้ผมสามารถทำได้ทุกอย่างที่ตัวเองต้องการโดยไม่มีอะไรมาฉุดรั้งเอาไว้อีกต่อไป


----------


#Survive
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนพิเศษที่ 4 : Survive
«ตอบ #166 เมื่อ03-12-2025 12:55:22 »

Gather around, let's talk

สวัสดีครับผู้อ่านทุกคน ก่อนอื่นผมต้องขอบคุณทุกคนที่ติดตามเรื่องราวของมิลค์–จีมาจนถึงวันนี้
และตอนนี้นิยายของเราก็กำลังเข้าสู่ part สุดท้ายแล้วนะครับ

หลังจาก final review ตอนที่ 31–32 ผมในฐานะคนเขียนที่ต้องอ่านงานของตัวเองมาหลายรอบ ยังน้ำตารื้น และกลับมาถามตัวเอง (อีกครั้ง) ว่า “จัดให้น้องหนักไปไหม” และผมก็คิด (เอาเอง) ว่าผู้อ่านหลายท่านคงรู้สึกไม่ต่างกัน

ยอมรับตามตรงว่า โดยส่วนตัวเวลาอ่านนิยาย ก็ไม่ค่อยชอบเรื่องที่มีช่วงดราม่าหนักหน่วงเท่าไหร่ ตอนเริ่มต้นตั้งใจจะเขียนให้มิลค์–จีออกมาเป็นเรื่องรักหวานใส แต่พออยากให้มันเป็นเรื่องของการ coming of age จริง ๆ สุดท้ายเลยต้องหยิบเอาเรื่องหนัก ๆ เข้ามาทดสอบความสัมพันธ์ของทั้งสองคน

ครึ่งแรกของนิยาย เราให้น้ำหนักกับการสร้าง “ราก” และความผูกพันของเขาทั้งคู่ เพราะผมเชื่อเสมอว่า ต้นไม้ที่มีรากแข็งแรงเท่านั้น ถึงจะต้านทานแรงพายุใหญ่ได้

เหมือนชีวิตของเราทุกคน ช่วงมัธยม–มหาลัยคือความรักในวัยใส ที่ทุกอย่างดูบริสุทธิ์ ไม่ซับซ้อน และเหมือนมีแค่ “เรา 2 คน” อยู่ในโลกใบเดียวกัน แต่ยิ่งเราโตขึ้น โลกก็ยิ่งซับซ้อนมากขึ้น

ความรักที่เราเคยให้ความสำคัญอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่เพียงเรื่องเดียวในชีวิตอีกต่อไป ความรับผิดชอบ หน้าที่การงาน และสังคมเริ่มเข้ามามีส่วนในชีวิตมากขึ้น เหมือนกับที่มิลค์กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้

มิลค์คือคนที่เกิดมามีพร้อมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา ฐานะ หรือการศึกษา แต่ภายในของน้องกลับว่างเปล่า ผู้อ่านทุกคนคงสัมผัสได้เหมือนกันว่า สำหรับมิลค์แล้ว จีเป็นมากกว่าเพื่อนสนิทหรือคนรัก...

จีคือ “บ้าน” และ “ครอบครัว” เพียงคนเดียวของมิลค์ ตลอดเวลาที่ผ่านมา โลกทั้งใบของมิลค์มีแค่จี เพราะฉะนั้นในวันที่ทางเดินของทั้งคู่แยกออกจากกัน มิลค์เลยเหมือนคนไม่มีบ้านให้กลับ และไม่รู้ว่าจะรับมือกับการต้องอยู่คนเดียวอย่างไร

เราเลยได้เห็นมิลค์ในเวอร์ชันต่าง ๆ ที่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เจอ
ตั้งแต่นางร้ายที่จงใจหาเรื่องแฟนคนแรกของจี ตัวสำรองที่ยินดีจะแทรกกลางเมื่อความสัมพันธ์ของจีกับแฟนเริ่มอ่อนไหว เวอร์ชันใจแตกสลายจนต้องกลับไปมีความสัมพันธ์กับแฟนเก่าสุด toxic อย่างบอน และจบด้วย ‘ร่างทอง’ ในวันที่จีแต่งงาน

แม้มิลค์ในวันนี้จะยังลุกขึ้นมายืนได้ไม่มั่นคงเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่าเป็น “ก้าวแรก” ของการออกเดินทาง เราทุกคนต่างรู้ดีว่ามันไม่ใช่เพราะน้องตัดใจได้แล้ว แต่เพราะน้องเรียนรู้แล้วว่า แม้จะยังรัก แต่ชีวิตก็ต้องเดินต่อไป

เหมือนกับชีวิตของเราทุกคน มิลค์ยังต้องเดินผ่านบททดสอบอีกมากมาย ผมตั้งใจให้เรื่องนี้เป็นเหมือน “บันทึกการเดินทาง” ที่ทุกครั้งที่เรากลับมาเปิดอ่าน เราจะยิ้มและบอกกับตัวเองได้ว่า

ไม่ว่ามันจะหนักแค่ไหน สุดท้ายเราก็ผ่านมาได้เสมอ

สำหรับความสัมพันธ์ของมิลค์–จี ผมคงยังไม่สามารถสปอยเนื้อหาในอนาคตได้ สิ่งเดียวที่ผมสามารถบอกกับทุกคนได้คือ

“บางครั้ง เราอาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิต เพื่อเฝ้ารอใครสักคน”

Love, in every lifetime ไม่ใช่แค่เรื่องความรักของคนสองคน แต่คือการเติบโต มิตรภาพ และการล้มลุก ที่เราอาจจะได้เห็นภาพสะท้อนของตัวเองอยู่ในนั้นด้วย

ฝากเป็นกำลังใจให้มิลค์–จี ในช่วงสุดท้ายของการเดินทางด้วยนะครับ
ขอบคุณครับ  :bye2:

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
“คุยไรกัน ...” ยังไม่ทันจะถามเพิ่ม เสียงของตัวต้นเรื่องก็ดังขึ้น

“... ชงกาแฟเหรอ ทำให้พี่แก้วดิ ไม่หวานเลยนะ ...” พอเห็นหน้าเพื่อนสนิท ไอซ์ต้องนับหนึ่งถึงร้อยเพื่อสงบใจตัวเองไม่ให้กระโดดไปหยุมหัว มันเดินลอยหน้าลอยตามาหยุดยืนอยู่ข้างๆ

“... มึงมาตั้งแต่เมื่อ่ไหร่”

“มึงทำเหี้ยอะไรของมึง” ไอซ์ถามเพื่อนสนิทเสียงเข้ม

“ทำไร? ก็ one night ไง” มันตอบหน้าตาเฉย ทั้งๆ ที่น้องเขาก็ยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ ... เอาดิ เอากับมัน นี่มันเพื่อนหรือเจ้ากรรมนายเวรกันแน่ถึงสร้างปัญหาไม่เว้นแต่ละวัน


----------

#Small talk #ลอยหน้าลอยตา #Survive
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Teaser ตอนที่ 33


... ‘เลขา’

“ว่าไงครับ” ผมรับสายจากเลขส่วนตัว

“คุณมิลค์ครับ ทาง HR เพิ่งแจ้งผมมาว่ารถยนต์ของคุณไอซ์ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงครับ”

“ฮะ!!! แล้วไอซ์ละ เป็นไงบ้าง” หัวใจของผมแทบจะหยุดเต้นเมื่อได้ยินคำบอกเล่าจากปลายสาย

“ตอนนี้ไม่มีใครทราบครับว่าคุณไอซ์เป็นยังไง รู้แค่กำลังส่งตัวไปแผนกฉุกเฉินโรงพยาบาล XXX ครับ”

“ได้ เดียวผมจะเข้าไป”

หัวใจของผมเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากหน้าอก มือทั้ง 2 ข้างสั่นจนแทบจะหยิบจับอะไรไม่ได้ ผมพยายามตั้งสติแล้วนึกภาพตอนที่ตัวเองเจอกับสถานการณ์ฉุกเฉินสมัยยังเป็นสัตวแพทย์

1... 2 ... 3 ... 4 ...5 ...6 ...7 ...8 ...9 ...10 ... ผมหลับตาแล้วเริ่มนับ 1 ถึง 10 ในใจวนไปเรื่อยๆ วิธีนี้ได้ผลดีเสมอ

ผมขับรถไปหาไอซ์ แม้ระยะเวลาจาก office ไปถึงโรงพยาบาลไม่ไกลเท่าไหร่แต่เพราะความใจร้อนถึงได้รู้สึกว่าวันนี้ติดไฟแดงบ่อยกว่าทุกๆ วัน ทุกนาทียาวนานราวกับเป็นชั่วโมง ระหว่างทางผมโทรหาอาร์มให้มันช่วยกระจายข่าว ใช้เวลาไม่ถึง 30 นาที ผมก็พาตัวเองมายืนอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน

ผมชะงักในจังหวะที่กำลังจะพลักประตูแล้วสูดหายใจลึกๆ เข้าเต็มปอด ผมไม่รู้ว่าหลังประตูบานนี้มีอะไรรออยู่ ขอเวลาซักนาทีเพื่อเตรียมพร้อมกับความเครียดและความเสียใจที่จะถาโถมเข้าใส่ ... นิ้วมือเรียวสวยวางลงบนบานประตู ก่อนที่จะออกแรกผลัก


----------

มิลค์ : เจอวันวันอาทิตย์นะครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือ...

#อุบัติเหตุ #เพื่อนรัก #Panic
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 33
«ตอบ #169 เมื่อ07-12-2025 09:54:48 »

ตอนที่ 33 Please ... 'stay' (part1/2)


4 ปีต่อมา

เสียงรองเท้าหนังกระทบกับพื้น epoxy ดังขึ้นตามจังหวะการก้าวเดิน กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้ออ่อนๆ อันเป็นเอกลักษณ์ทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปสมัยที่เรียนต่อปริญญาโท ... มิลค์ในชุดกางเกงขายาวสีดำสวม เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวกลัดปลายแขนเสื้อด้วย cufflink ประดับอัญมณีสีแดงสด ในมือถือลูกโป่งสีสันสดใส 9 ใบ ประดับประดาด้วยริบบิ้นสีหวานและกากเพชรแวววาว เจ้าตัวหยุดยืนอยู่หน้าประตูไม้สีเบสก่อนจะเคาะนิ้วลงบนบานประตูพอได้ยินเสียงตอบรับถึงได้เปิดเข้าไป

“Hello” ผมส่งยิ้มหวานให้ไอซ์ที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะกินข้าวขนาดย่อม

“มิลค์” แต่กลับเป็นเสียงของใครอีกคนที่ตอบรับการมาถึงของผม

“ยินดีด้วย ... ลูกสาวใช่ไหม” ผมส่งยิ้มให้ออย ภรรยาของไอซ์ที่นอนอยู่บนเตียง

“อืม” ไอซ์เป็นฝ่ายตอบรับ ก่อนที่จะรับเอาลูกโป่งในมือของผมไปวางรวมกับของรับขวัญจากคนอื่นๆ

“มิลค์ไม่เห็นต้องลำบากเลย กลับมาเหนื่อยๆ ... ไอซ์เล่าให้ฟังว่าเพิ่ง landing เลยไม่ใช่เหรอ”

“ไม่เป็นไร แค่นี้เอง อยากมาเจอหน้าหลาน ...” ผมส่งยิ้ม จากที่ตั้งใจว่าจะมาอยู่ให้กำลังใจวันคลอด แต่ก็บังเอิญต้องไปทำงานต่างประเทศ กว่าจะกลับมาถึงวันพรุ่งนี้คุณแม่ป้ายแดงก็ได้กลับไปพักที่บ้านพอดี

“... หน้ามึงดูเหนื่อยๆ นะไอซ์” สีหน้าของมันเหมือนคนไม่ค่อยได้นอน

“ไหนจะลูก ไหนจะเมีย กูมึนหัวไปหมดแล้วเนี่ย”

“แล้วหลานคนโตของกูไปไหน” ผมหันซ้ายหันขวาไม่เห็นแม้แต่เงาของลูกชายคนโตของไอซ์

“ฝากม๊ากลับบ้านไปแล้ว ไม่ไหววะ โรงบาลจะแตก ...” ผมหลุดขำในลำคอเมื่อเห็นสีหน้าติดรำคาญของไอซ์ แบบนี้แหละครับ ลูกชายคนโตกำลังอยู่ในวัยกำลังกินกำลังเล่น ไหนจะคุณแม่ท้องแก่ใกล้คลอด ไอซ์เลยรับความแสบของลูกชายไปเต็มๆ

“... แล้วไปประชุมมาเป็นไงบ้าง”

“จะให้กูตอบในฐานะอะไร เพื่อน หรือ คนในบริษัท”

“ในฐานะอะไรก็เรื่องของมึง” มันพูดพลางเดินกลับไปนั่ง ผมส่งยิ้มบางๆ ให้ออยแล้วเดินตามมันไป

“เขาดูลังเล เราน่าจะต้องให้ทีมทำการบ้านมาให้ดีมากกว่านี้” ผมบอกพลางสังเกตสีหน้าของมัน ในฐานะสมาชิกทีมการตลาดไอซ์น่าจะรู้ผลการประชุมคร่าวๆ ตั้งแต่เมื่อวันก่อนแล้ว

“เออ เดียววันจันทร์กูจัดการให้”

“ยังไม่ต้องก็ได้ มึงลาต่ออีกซักหน่อย จะได้ enjoy กับครอบครัว”

“ถึงจะเป็นเพื่อน แต่กูก็เป็นพนักงานในบริษัทมึงไหม เวลาสำคัญแบบนี้ลาได้ไง”

“ลาไปเถอะ กูจะได้แดกหัวหน้ามึงได้สะดวกหน่อย”

“มิน่า งั้นกูลาถึงพุธเลยนะ”

“เออ...” ผมพยักหน้า ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากความสะเพร่าของหัวหน้าฝ่ายการตลาด ในฐานะเพื่อนของผมไอซ์ทักท้วงเต็มความสามารถที่มันมี แต่ในฐานะลูกทีมเสียงของมันเลยไม่ดังและมีน้ำหนักมากเท่าที่ควร ถ้าพรุ่งนี้มันเข้าบริษัทผมก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องตำหนิมันด้วย

“... กูคุยกับพ่อแล้วนะ กูจะปลดหัวหน้ามึงออก” คนตรงหน้าเลิกคิ้วสูง

“เอาจริงเว้ย มึงจะ exercise power เหรอ ...” ผมไม่ได้ตอบคำถามของไอซ์ แต่เรา 2 คนสนิทกันมากพอที่คนตรงหน้าจะเข้าใจว่าความเงียบของผมก็คือคำตอบอย่างหนึ่ง

“... จะเอาใครขึ้นแทน” เมื่อเห็นว่าผมไม่ตอบคำถามแรกมันเลยถามเพิ่มอีกคำถาม

“พ่อกูจะเอาคนของเขา กูเลยต่อรองว่าจะขอมึงไป PR”

“กู!!! กูเนี่ยนะทำ PR” มันทำสีหน้าเหมือนเห็นผี ไอซ์ถนัดการตลาดมากกว่า เพราะตั้งแต่จบมามันก็ทำด้านนี้มาตลอด รู้ว่ามันไม่ถนัด PR แต่ผมมีแผนสำหรับอนาคตของไอซ์ที่ยาวไกลมากกว่านี้

“เป็นผู้จัดการ ถึงเวลาก็เข้า line ผู้บริหารได้”

“จะเอากูไปเป็นแขนขาชนกับพ่อมึงว่างั้น”

“กูไม่มีคนที่ไว้ใจได้” มันพยักหน้าเข้าใจ ไอซ์รู้อยู่แล้วว่าวันนี้จะต้องมาถึง แม้จะเป็นบริษัทของครอบครัวแต่ด้วยความใหญ่โตของบริษัททำให้การเมืองภายในดุเดือดไม่ต่างอะไรจาก game of throne พ่อมีคนของตัวเองไว้ใช้งาน ผมก็จำเป็นต้องมีคนของผมเช่นกัน

“คุยกันแต่เรื่องเครียดๆ ... ไอซ์พามิลค์ไปดูหลานไหม” ออยพูดขึ้นเพื่อละลายบรรยากาศระหว่างผมกับไอซ์ที่อยู่ๆ ก็ตึงเครียดขึ้นตามหัวข้อสนทนา

“ไปไหมมึง หลัง 3 ทุ่ม เขาไม่ให้เยี่ยมแล้วนะ”

“ไปดิ” ผมเดินตามไอซ์ออกจากห้องไปยังโซน nursery



“เชี่ยยยยย ได้จมูกมึงมาชัดๆ” ผมยิ้มจนตาหยีให้กับเด็กน้อยที่นอนหลับปุ้ยอยู่อีกฝั่งหนึ่งของกระจกบานใหญ่ เร็วเกินไปที่จะบอกว่าหน้าเหมือนใคร แต่ที่แน่ๆ ได้จมูกของไอซ์มาเต็มๆ

“เหนื่อยเหี้ยๆ” ปากพูดว่าเหนื่อยแต่พอเห็นหน้าลูก สีหน้าอ่อนล้าของมันก็หายเป็นปริดทิ้ง

“เพื่อลูกไง ... ลูก 2 แล้วนะมึง คิดไว้ว่าจะมีกี่คนวะ”

“คิดว่า 2 นะ full fill ความฝันของกูแล้ว...” ไอซ์ตอบพลางมองเพื่อนสนิทตรงหน้า ในขณะที่มิลค์กำลังฉีกยิ้มกว้างมองลูกสาวคนเล็กของตัวเองแต่เจ้าตัวกลับมีเรื่องกังวลที่ไม่แน่ใจว่าจะบอกคนตรงหน้าดีไหม

“... มิลค์ กูมีเรื่องต้องบอกมึง ...” เจ้าของใบหน้าสวยละลายตาจากเด็กน้อยกลับมาตามเสียงเรียก

“… ไอ้จีกับเมียทะเลาะกัน”

“แล้วไงวะ ผัวเมียกันก็ทะเลาะกันเป็นปกติปะ” ผมพูดถึงความสัมพันธ์ของจีกับภรรยาเหมือนกับพูดคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ

“ไอ้จีมีคนอื่น ... ความสัมพันธ์ของมันกับเมียไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ตอนนี้สภาพเหมือนต่างคนต่างอยู่”

“บ้า มึงพูดอะไร ทำไมกูไม่เห็นรู้เรื่องๆ” แม้พฤติกรรมจะบ่งบอกว่ามิลค์ต่อต้านทุกอารมณ์ที่จะพุ่งเข้าใส่ แต่ไอซ์ก็เห็นชัดว่าดวงตาตรงหน้าสั่นไหวมากแค่ไหน

“กูว่ามัน 2 คนไม่น่าไปกันรอด ... ดูทรงแล้วน่าจะเลิกกันเร็วๆ นี้” ผมรู้สึกเหมือน ... โดนฟ้าผ่าเข้ากลางหัวใจ

“ใครบอกมึง” ทุกคำพูดสัมผัสได้เลยว่าในลำคอนั้นแห้งผากไม่ต่างจากทะเลทราย

“เมียมันบอก ไม่มีใครรู้ มีแค่กู”

“แล้วมึงบอกกูทำไม ... มึงคาดหวังอะไรจากกู” มันเงียบไปพักหนึ่ง ผมสังเกตสีหน้าของมันที่แสดงออกชัดเจนว่ามีเรื่องให้กังวล

“กูไม่รู้ กูคิดว่ามึงควรจะรู้ไว้ แต่มึงต้องสัญญากับกู ... ถ้าเขายังไม่เลิกกัน มึงห้ามเข้าไปแทรกกลางเด็ดขาด”

“ถ้ามึงจะพูดแบบนี้ แล้วบอกกูทำไมวะ”

แน่นอนว่าตอนแรกผมไม่เชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องจริง จีไม่ใช่คนที่จะนอกใจชีวิตคู่ของตัวเอง แต่ไอซ์ยืนยันหนักแน่นถึงสิ่งที่ตัวเองได้รับรู้มา ผมเห็นหลักฐานมากมายจนสุดท้ายผมก็ยอมรับว่าชีวิตคู่ของจีกำลังมีปัญหา ... หลายวันมานี้ผมเหมือนจมดิ่งเข้าไปในห้วงของความคิด ความทรงจำนับร้อยพันที่เก็บไว้ในเหวที่ลึกที่สุดหวนกลับเข้ามาราวกับฉายหนังซ้ำ ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกยังไง ดีใจหรือว่าเสียใจกันแน่ ทุกอย่างผสมปนเปกันไปหมด คำขอร้องของไอซ์ยังคงดังก้องในโสตประสาท แม้จะไม่ได้ให้คำสัญญาแต่ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธ

ผมยอมรับความจริงได้นานแล้วว่าเรื่องในอดีตทั้งหมดเป็นเพียงความเพ้อฝัน และมีแต่ผมเท่านั้นที่คิดไปเองฝ่ายเดียว ... หลังจากจากที่อยู่ๆ จีก็เปิดตัวแฟนสาว ผมที่เป็นเพื่อนสนิทถึงกับพูดอะไรไม่ออกเพราะไม่เคยรับรู้ถึงการมีตัวตนของเธอมาก่อน หลังจากนั้นความสัมพันธ์ของผมกับจีก็เกิดปัญหา ผมตัดสินใจสารภาพความในใจกับจีก่อนที่จะถูกปฏิเสธ แล้วหลังจากนั้นความสัมพันธ์ของเรา 2 คนก็มีช่องว่างขนาดใหญ่กั้นอยู่ตรงกลาง จากคนที่เคยเป็นเพื่อนสนิทกลายเป็นคนแปลกหน้า และประตูความฝันของผมถูกปิดตายในวันที่จีแต่งงานเมื่อ 3 ปีก่อน



...



‘หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’

“เฮ่ออออ” ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ขณะก้มมอง smart phone ในมือ เครื่องหมายโทรออกแต่ไม่มีคนรับสายปรากฏอยู่เต็มหน้าจอใน list ลายชื่อเพื่อน (เคย) สนิท

นับจากวันที่รู้เรื่องราวจนมาถึงวันนี้ เกือบ 2 ปีแล้วที่ผมไม่สามารถติดต่อจีได้ โทรไปไม่รับ ไลน์ไปไม่อ่าน ... เรื่องราวล่าสุดที่รับรู้คือทั้งคู่สิ้นสุดสถานะสามีภรรยากันอย่างเป็นทางการแล้ว ไม่นานหลังจากนั้นจีก็ย้ายไปทำงานที่สิงคโปร์ แล้วก็หายเข้ากลีบเมฆไปเหมือนคนไม่เคยมีตัวตน ... ผมไม่มีชงักติดหลังอีกต่อไป คำขอของไอซ์ ณ วันนั้นไม่มีผลอะไรกับสถานการณ์ปัจจุบัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังลังเลที่จะเข้าหาจี ... ความคิดที่จะเป็นฝ่ายเข้าหามีเข้ามาในหัวตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าเขา 2 คนหย่าขาดกัน แต่ผมกลับกลัวว่าจะถูกปฏิเสธเป็นครั้งที่ 2 สุดท้ายเลยเลือกที่จะยืนอยู่ที่เดิมแล้วปล่อยให้โอกาสครั้งที่ 2 ลอยหายไปกับสายลม ... ตอนนี้ความทรงจำระหว่างเราไม่ต่างอะไรจากความฝัน ... เลือนรางและค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลา

... ‘เลขา’

“ว่าไงครับ” ผมรับสายจากเลขส่วนตัว

“คุณมิลค์ครับ ทาง HR เพิ่งแจ้งผมมาว่ารถยนต์ของคุณไอซ์ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงครับ”

“ฮะ!!! แล้วไอซ์ละ เป็นไงบ้าง” หัวใจของผมแทบจะหยุดเต้นเมื่อได้ยินคำบอกเล่าจากปลายสาย

“ตอนนี้ไม่มีใครทราบครับว่าคุณไอซ์เป็นยังไง รู้แค่กำลังส่งตัวไปแผนกฉุกเฉินโรงพยาบาล XXX ครับ”

“ได้ เดียวผมจะเข้าไป”

หัวใจของผมเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากหน้าอก มือทั้ง 2 ข้างสั่นจนแทบจะหยิบจับอะไรไม่ได้ ผมพยายามตั้งสติแล้วนึกภาพตอนที่ตัวเองเจอกับสถานการณ์ฉุกเฉินสมัยยังเป็นสัตวแพทย์ 1... 2 ... 3 ... 4 ...5 ...6 ...7 ...8 ...9 ...10 ... ผมหลับตาแล้วเริ่มนับ 1 ถึง 10 ในใจวนไปเรื่อยๆ วิธีนี้ได้ผลดีเสมอ

ผมขับรถไปหาไอซ์ แม้ระยะเวลาจาก office ไปถึงโรงพยาบาลไม่ไกลเท่าไหร่แต่เพราะความใจร้อนถึงได้รู้สึกว่าวันนี้ติดไฟแดงบ่อยกว่าทุกๆ วัน ทุกนาทียาวนานราวกับเป็นชั่วโมง ระหว่างทางผมโทรหาอาร์มให้มันช่วยกระจายข่าว ใช้เวลาไม่ถึง 30 นาที ผมก็พาตัวเองมายืนอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน ผมชะงักในจังหวะที่กำลังจะพลักประตูแล้วสูดหายใจลึกๆ เข้าเต็มปอด ผมไม่รู้ว่าหลังประตูบานนี้มีอะไรรออยู่ ขอเวลาซักนาทีเพื่อเตรียมพร้อมกับความเครียดและความเสียใจที่จะถาโถมเข้าใส่ ... นิ้วมือเรียวสวยวางลงบนบานประตู ก่อนที่จะออกแรกผลัก ... แววตาของผมแข็งค้างกับภาพที่เห็น ขาทั้ง 2 ข้างอ่อนแรงจนต้องพาตัวเองไปนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ที่สุด

“มึงมาทำเหี้ยอะไรวะ?” ไอ้เหี้ยยยยยยยยยย!!! โคตร short feel ไอ้ไอซ์ตัวเป็นๆ ในสภาพที่สะบักสะบอมนอนพิงหลังอยู่บนเตียง มันขมวดคิ้วมองหน้าผมราวกับสงสัยว่าทำไมดึกดื่นป่านี้แล้วผมถึงไม่นอนพักผ่อนอยู่ที่บ้าน

ผมยกมือขึ้นห้ามไม่ให้มันพูดอะไรในขณะที่ตัวเองพยายามปรับลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

“ไอ้ควายเอ้ยยยยยยยยยยย!!! มึงรู้ไหมว่ากูเป็นห่วงมึงมากแค่ไหน #$$$*@@#$%$$###” แล้วผมเอ่ยคำพรุสวาสใส่คนตรงหน้าแบบไม่ยั้ง โทษฐานที่ทำให้คนอื่นเป็นห่วงโดยใช่เหตุ

สรุปคือไอซ์ไม่ได้เป็นอะไรมาก หลังจากตรวจอย่างละเอียดแล้วพอว่ามีแค่ข้อศอกหลุดเลยต้องใส่เฝือกอ่อนเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 เดือน อาร์มและโจตามมาถึงโรงพยาบาลประมาณ 30 นาทีให้หลัง และพอทุกอย่างเรียบร้อยพวกเราเลยขับรถพาไอซ์มาส่งที่บ้านและถือโอกาสรวมตัวกินมื้อเย็นกันแบบเฉพาะกิจ

บรรยากาศเก่าๆ กลับมาอีกครั้ง พวกเรา 4 คน บนโต๊ะกินข้างเต็มไปด้วยเสียงแซว คำด่า และเสียงหัวเราะ โคตรคิดถึงบรรยากาศแบบนี้ 6 เดือนได้แล้วมั้งนับจากครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตา ... แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อประตูบ้านไอซ์เปิดออก และคนที่เดินเข้ามาคือ

... จี ...

ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่กราวกับเห็นผี เพราะเข้าใจว่าจีอยู่ที่สิงคโปร์ จีชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นไอซ์ในสภาพที่แขนใส่เฝือกอ่อนกำลังพูดคุยและยิ้มแย้มกับพวกเราอยู่ จีเดินเข้าไปกอดไอซ์ และตบหลังไอซ์หนักๆ 2 ที เป็นเชิงให้กำลังใจ

"มึงต้องรอให้รถชนก่อนเหรอ มึงถึงจะโผล่หน้ามา" เงียบกริบ ใบ้แดกกันทั้งบ้าน จีทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ยิ้มแห้งๆ ปรากฏขึ้นบนให้หน้าที่ห่างหายไปจากความทรงจำของผมพอสมควร แล้วมันสบตาผมเหมือนจะขอความช่วยเหลือ

“ไอซ์ มันมาก็ดีแล้ว” เป็นผมที่พูดออกมาเพื่อผ่อนอารมณ์ของไอซ์ให้เบาลง ... ไม่แปลกที่ไอซ์จะพูดรุนแรงเพราะที่ผ่านมาไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่พยายามติดต่อจี ไอซก็พยายามไม่ต่างกัน

รู้ตัวอีกทีคือตอนที่จีมายืนอยู่ตรงหน้า พอได้สติถึงได้รู้ตัวว่าเรา 2 คนจับมือกันไว้หลวมๆ เพราะที่นั่งข้างๆ ถูกจับจองหมดแล้ว จีเลยต้องเดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม ผมลอบมองคนที่หายหน้าหายตาไปนาน มันอ้วนขึ้นจากครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน ไม่ได้โกนหนวด แต่งตัวเหมือนเพิ่งตื่นแล้วออกจากบ้านมาทั้งอย่างนั้น ... เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกันในรอบหลายปี ผมรู้ตัวเลยว่าไม่สามารถละสายตาจากมันได้ ความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาราวกับคลื่นในมหาสมุทร โกรธที่มันหายไปโดยไม่บอกกล่าว โมโหที่ทำเหมือนผมไม่มีความสำคัญอะไรกับชีวิตของมันแม้แต่น้อย คิดจะหายตัวไปก็หายไปดื้อๆ แต่พอคิดจะมาก็กลับมาง่ายๆ แบบนี้ ... โคตรคิดถึง ... คิดถึงเสียง คิดถึงสัมผัส คิดถึงรอยยิ้ม คิดถึงดวงตาชั้นเดียวคู่นั้นที่ผมหลงไหลมานานแสนนาน ถ้าไม่ติดว่ามีเพื่อนคนอื่นๆ อยู่ด้วยผมคงโผเข้าไปกอดมันตั้งแต่แรกเห็น

พวกเรานั่งคุยกันจนถึง 4 ทุ่ม จนม๊าลงมาตามให้ขึ้นไปช่วยพาลูกเข้านอน พวกเราเลยตัดสินใจแยกย้ายให้ไอซ์ได้ใช้เวลากับครอบครัวซักที ผมลุกขึ้นเอาแก้วน้ำ 2-3 ใบบนโต๊ะไปล้าง พอหันกลับมาถึงได้เห็นว่าจียืนอยู่ข้างหลัง ... ผมไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไง เลยได้แต่ส่งยิ้มให้คนตรงหน้า

"มึงเป็นไงบ้าง" จีถาม

"ก็ดี" มันหยิกพุงผมทันทีที่เดินเข้ามาใกล้ แปลกที่ผมยืนอยู่นิ่งๆ ให้มันหยิก โดยที่ไม่แม้แต่จะเบี่ยงตัวหลบหรือโวยวายใส่เหมือนปกติ

"ผอมลง?" มันทำหน้าสงสัย

"อืม ลดลงนิดหน่อย" หลังจากเรียนจบผมก็น้ำหนักขึ้นมาเรื่อยๆ จนเริ่มลดอย่างเป็นจริงเป็นจังเมื่อ 6 เดือนก่อน ตอนนี้แม้จะไม่ได้กลับร่างเดิมสมัยมหาลัยแต่ก็ถือว่าผอมลงมามาก

"ลงมาเยอะวะ ดูกูตอนนี้ดิ" ผมถึงกับหลุดขำออกมาเมื่อมันพูดพลางหยิกพุงตัวเอง ... เออ ส่วนเกินออกมาเป็นก้อนเลย

เรา 2 คนเดินออกจากบ้านเป็นคนสุดท้ายเพราะแวะสวัสดีม๊า ในจังหวะที่ยังไม่ก้าวพ้นประตูบ้าน ไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไรถึงได้เข้าไปกอดแขนคนที่เดินอยู่ข้างๆ

"กลับมาแล้วเนอะ" ฟังดูแล้วออกจะเป็นประโยคครึ่งๆ กลางๆ แต่ผมรู้ว่าจีเข้าใจว่าผมต้องการจะสื่ออะไร

“อืม กลับมาแล้ว” หลังจากได้รับคำตอบรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวย

ความหวังว่าจะได้พูดคุยกับจีถูกดับไป เมื่อผมถูกไอซ์ไล่กลับไปก่อนเพราะมันมีเรื่องจะคุยกับจีเหมือนกัน ผมลังเล ตอนแรกคิดว่าจะอยู่รอ แต่เพราะเจอสายตาดุๆ ของไอซ์ ผมเลยต้องยอมขึ้นรถกลับบ้าน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 33
« ตอบ #169 เมื่อ: 07-12-2025 09:54:48 »





ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 33
«ตอบ #170 เมื่อ07-12-2025 10:00:07 »

ตอนที่ 33 : Please ... 'stay' (part2/2)



ผมนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ คิ้วทั้ง 2 ข้างกำลังขมวดเข้าหากันในขณะที่สายตากำลังไล่อ่านรายงานที่ถูกส่งมาจากแผนก R and D ... ผ่านมาถึงตอนนี้ ผมที่จบสัตวแพทย์ก็ยังไม่คุ้นชินศัพท์เทคนิคของวิศวะ โดยเฉพาะรายงานจากแผนก R and D ที่ส่งขึ้นมาทีไร หนีไม่พ้นที่ผมต้องโทรลงไปขอตัวช่วยให้ขึ้นมาแปลศัพท์เทคนิคจ๊าๆ ให้เป็นภาษาคนทุกที

ประตูห้องทำงานถูกเปิดออก พร้อมกับคนที่คิดว่ากำลังลาพักร้อนก้าวฉับๆ เดินเข้ามาด้วยสีหน้าตึงๆ พร้อมกับลูกทีมอีกหลายคน

“มึงมาทำอะไรวะ กูให้มึงลาพักร้อนไม่ใช่เหรอ” เพิ่งเกิดอุบัติเหตุไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ผมอนุญาติให้ไอซ์ลาพักร้อนได้ต่อเท่าที่มันต้องการ

“เรื่องใหญ่ขนาดนี้กูไม่มาก็เหี้ยแล้ว”

“เรื่องไรวะ” ผมเอียงคอถาม พร้อมรับเอา tablet ที่ไอซ์ส่งมาให้ ... บนหน้าจอเปิดข้างไว้ที่หน้า trend ของ Twitter

“Hashtag แรก” ผมเหลือบตามอง ‘#มตส’ ที่ถูกเขียนกำกับว่า ‘ได้รับความนิยมในไทย’ โดยมียอด retweet ไม่น้อยกว่า 3 แสนครั้ง

“อะไรของมึง”

“มตส ... มิลค์ ติณสิงห์”

“กู??? เกี่ยวไรกับกูวะ” พอผมถาม ไอซ์มันก็เพยิกหน้าไปด้านหลัง จากนั้นหนึ่งในทีมก็ก้าวออกมา

“คือแบบนี้ครับคุณมิลค์ เมื่อคืนก่อนมีศิลปินเกาหลีมาเปิดคอนที่เมืองไทย ทีนี้พอให้สัมภาษณ์นักข่าวถามเขาว่ามีเมืองไทยรอบนี้นอกจากมาเปิดคอนแล้วมีอะไรอยากทำอีกไหม ...”

“... เขาตอบว่าอยากเจอกับคนไทยคนนึงที่เขาเคยเจอที่งาน Fund. Rasing ใน Italy เมื่อหลายเดือนก่อน พอเขาพูดแบบนี้ด้อมก็ไปสืบจนเจอรูปนี้ครับ” tablet ในมือถูกหมุนออกมา ... ผมเห็นภาพตัวเองในชุดทักซิโดกำลังจับมือทักทายกับศิลปินเกาหลีหน้าคม ตัวสูง ย้อมผมสีเทา

“แล้วไงวะ กูติด trend Twitter แล้วมันเรื่องใหญ่อะไรวะ” ผมถามไอซ์ที่ยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่

“ตอนนี้ทั้งนักข่าวและแฟนคลับของศิลปินมารอสัมภาษณ์คุณมิลค์อยู่เต็ม lobby เลยครับ”

“ไอซ์ มึงก็แถลงข่าวแทนกูไปซิวะ กูไม่ใช่ดารานะเว้ยที่จะต้องมาให้สัมภาษณ์เรื่องแบบนี้”

“มึงฟังเด็กในทีมกูพูดก่อน”

“คือพวกเราคิดว่าคุณมิลค์ควรให้สัมภาษณ์นะครับ”

“ฮะ!!!”

“คืออย่างนี้ครับ ก่อนหน้านี้โจทย์ของคุณมิลค์ที่ให้พี่ไอซ์มาคืออยาก PR ให้บริษัทเราเป็นที่รู้จักเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ที่ผ่านมาเราทำได้ดีในระดับนานาชาติ แต่ใน local กลับไม่ค่อยมีใครรู้จักเราเท่าไหร่ ... โอกาสแบบนี้ไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆ นะครับที่เราจะได้กระแสจากศิลปินเกาหลีระดับนี้”

“เพราะฉะนั้นมึงใส่สูทผูกไทด์ให้เรียบร้อย ช่างแต่งหน้าทำผมจะมาถึงในอีกครึ่งชั่วโมง” ไอซ์พูดแทรกโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมแย้ง อะไรวะเนี่ย

“ไอ้เหี้ยไอซ์ นี่มึงเอาตัวกูเข้าแลกเลยเหรอ” มันยักไหลมองบนแบบไม่แคร์

“มึงบอกเองว่าอำนาจในการตัดสินใจวิธีโปรโมทเป็นของกู เพราะฉะนั้นถ้ากูบอกให้มึงไปเต้น cover เพลงเกาหลี มึงก็ต้องทำ ... เด็กๆ ไปบอกนักข่าวว่าคุณมิลค์จะให้สัมภาษณ์ตอนบ่าย 3 แล้วไปเตรียม backdrop ที่ lobby ให้เรียบร้อย” ไอ้เหี้ยไอซ์ นี่กูเป็นเจ้านายมึงนะไอ้สาสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส



ผมกระพริบตาถี่ๆ เพราะถูกแสงจากแฟลชกล่องถ่ายรูปสาดมาไม่ยั้งจนตาแทบบอด ยังดีที่ไอ้ไอซ์มาทำหน้าที่เป็น MC คอยคัดกรองคำถาม ทุกอย่างเลยง่ายกว่าที่คิด ไม่น่าเชื่อว่าพลังของ FC จะมากมายมหาศาลขนาดนี้ ตอนแรกผมคิดว่ามากันแค่หลักสิบแต่พอเดินลงมาถึง lobby แล้วถึงกับผงะเพราะว่าน่าจะมากันหลักร้อยทั้งป้ายไฟ ทั้งลูกโป่ง ไหนจะ stand in มากันพร้อม สัมภาษณ์เสร็จไอ้ไอซ์ยังจัด session ให้ผมพูดคุยกับ FC ที่มาให้กำลังใจประดุจผมเป็นศิลปินเสียเอง เลยเลี่ยงไม่ได้ที่ผมจะต้องปรับตัวไปตามสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นทำ mini heart ถ่ายรูปคู่ ยกมือทำสัญลักษณ์หัวใจครึ่ง หรือแม้แต่ถ่ายรูปกับ stand in หลากหลายอิริยาบทที่เหล่า FC เตรียมมาพร้อม

“เดียวต้องขออนุญาตพอแค่นี้ก่อนนี้ครับ พอดีคุณมิลค์มีประชุมต่อ ยังไงขอบคุณทุกคนที่มาวันนี้มากนะครับ” หลังจากที่ส่งสายตาขอตัดบทไปหลายครั้งแต่เหมือนเจ้าตัวจะยังไม่สาแก่ใจเลยปล่อยให้ผม service FC ของศิลปินจนหนำใจ ในที่สุดมันก็ตัดบทให้ผมซักที

“ขอบคุณมากๆ นะครับ ขอบคุณครับๆ” ผมก้าวลงจากเวที พร้อมกับค้อมหัวยกมือไว้ทุกคนไปตลอดทาง

“พี่คะ พอดีพี่ Riven เขา call in มาพอดีนะคะ” ทุกคนชะงักอยู่กับที่เมื่ออยู่ๆ FC หญิงคนนึงก็ตะโกนขึ้นมาสุดเสียง อะไรวะเนี่ย ผมกำลังจะเดินถึงลิฟต์อยู่แล้วเชียว ... ผมเหลือบตามองหัวหน้าทีม PR ที่ทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“ได้ซิครับ” เป็นผมที่ตอบตกลง มาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่ไปให้สุดที่ทำมาทั้งหมดก็อาจไม่ได้ประโยชน์อะไร ดีไม่ดีหากปฏิเสธผมอาจจะโดนกระแสตีกลับ

Tablet ขนาดใหญ่ชูขึ้นในความสูงระดับสายตา โทรมาจริงๆ ด้วยเว้ย ตัวเป็นๆ

“Hello” เขาเอ่ยทักทายผมพร้อมกับยิ้มกว้างจนตาชั้นเดียวของเจ้าตัวโค้งเป็นสระอิ สมกับเป็นดาราเกาหลี ตัวจริงหล่อยังไง มาใน online ก็ยังหล่อแบบนั้น เครื่องหน้าหล่อเป๊ะเหมือนติดสินบนพระเจ้ามาแต่ชาติบางก่อน

“Hello”

“I just know that they come to see you. I hope they did not make you uncomfortable.”

“Not at all, they are so nice and I feel very grateful for you to have their support.”

“I am very admiring you.”

“Thank you. You are doing great as well.”

“I think both of us are.”

“Hahaha, I afraid, I have to go now.” ผมตัดบท เพราะการพูดคนสนทนาต่อหน้าคนนับร้อยไม่ใช่ทางของผมเท่าไหร่

“I still have few days left. Can we meet?” เสียงอื้ออึงในลำคอของ FC ดังระงม เมื่อศิลปินเกาหลีเริ่มเปิดเกมรุก

“I afraid I cannot. This week, my schedule is very tight.”

“That's too bad. I really hope to see you again.”

“How about this. I am hosting a gala in Hongkong in the next few months. I will send you the invitation.”

“Of course, I will definitely be there.”

“So, see you soon”

“See you” ผมส่งยิ้มให้ก่อนที่ภาพจะถูกตัดไป

“ขอบคุณนะครับ” ผมกล่าวขอบคุณน้องคนนั้นด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะก้าวขายาวๆ เดินขึ้นลิฟต์ไป

“น่ากลัวมาก กูเกือบเอาตัวไม่รอด” ทันทีที่ประตูลิฟต์ปิด ผมรีบปลดทั้ง neck tie ทั้งกระดุมคอ ร้อนจนหายใจไม่ออก

“เออ ใครจะคิดว่าตัวจริงจะ call in มาวะ ...” ไอซ์พูดพลางรับเสื้อสูทและ neck tie จากมือผม

“... แต่มึงทำได้ดีนะ รับมือสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ดี แต่อิห่าราก I will send you the invitation นี่แรดชิบหาย” แม้จะชื่นชมแต่ไอซ์ก็อดที่จะจิกกัดเพื่นรักไม่ได้ จีบกันออกหน้ากล้อง ไหนจะส่งสายตาหวานเยิ้มให้กันขนาดนี้ เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าตอนเจอกันที่ HK คงไม่ต่างอะไรกับการเอาน้ำมันไปราดลงกองไฟ ... สงสัยเขาต้องเตรียม press release เอาไว้ให้ล่วงหน้า

“เสือกรู้ทันกูอีกนะ"

"หน้าที่กูไง กูจะให้ทีม PR เตรียมห้องแถลงข่าวไว้เลยละกัน ... ตอนเช้าแถลง ตอนเย็นแต่งงานเลยไหมล่ะ”

"จะทำอะไรก็เรื่องของมึง แต่ขอบใจมึงมากนะเว้ยที่มาช่วย ถ้ามึงไม่มีกูตายห่าตั้งแต่ 5 นาทีแรกแล้ว”





ผมนั่งขัดสมาธิอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น เสียงสัญญานรอสายของ smart phone ในมือยังดังต่อเนื่อง หัวใจของผมสั่นระรัว ไม่รู้ว่าระหว่างอีกฝั่งรับสายหรือไม่รับสาย ตัวเองกลัวอะไรมากกว่ากัน

“Hello” หัวใจเหมือนจะหยุดเต้นเมื่อเบอร์เดิมที่เคยโทรไปนับครั้งไม่ถ้วนตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับ

“กูเอง ... มึงเป็นไงบ้าง” น้ำเสียงคุ้นเคยทำให้ผมเหมือนเด็กอายุ 10 ขวบที่ไม่รู้จะเริ่มต้นบทสนทนากับคนปลายยังไง

“ดีๆ มึงละเป็นไงบ้าง”

“ก็ดี มึงได้คุยกับไอซ์บ้างไหม”

“ฮึ ไม่ได้คุยเลย”

“โทรไปหามันบ้าง มันก็คิดถึงมึงเหมือนกัน”

“อืม”

“วันนั้น ไม่คิดว่าจะได้เจอมึง ได้ยินว่ามึงอยู่สิงคโปร์”

“จริงๆ ก็อยู่ พอดีช่วงนี้กลับไทย”

“มึงต้องไปนานเท่าไหร่”

“contract นี้ 3 ปี”

“3 ปีเลยเหรอ” 3 ปี นานมากเลยนะ

“วันนี้มีแต่ข่าวของมึงกับดาราเกาหลีเต็ม feed ไปหมด”

“เออดิ ไอเดียไอซ์”

“กูนึกไว้แล้วว่าต้องเป็นไอเดียของมัน ...”

“... มึงมาไกลมาก จากคนที่งอแง ไม่อยากมาทำงานที่บริษัท วันนี้มึงเป็นผู้บริหารเต็มตัวแล้ว ...”

“... กูถามได้ไหมว่า ... เขาจีบมึงหรือเปล่า

“555 จีบแหละมั้ง ออกตัวแรงขนาดนี้”

“แล้วมึงชอบเขาไหมอะ” น้ำเสียงเรียบที่เหมือนเรากำลังคุยกันเรื่องลมฟ้าอากาศแต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าจะมีอะไรอยู่ข้างหลังคำถามนี้ไหม

“แล้วมึงคิดว่าไง”

“กูรู้ว่าเขาตรงสเปคมึง แต่กูว่ามึงไม่ได้ชอบเขา ไม่งั้นมึงไม่ปฏิเสธเขาหรอก”

“กูไม่ได้ปฏิเสธเขาซักหน่อย ตารางกูไม่ว่างจริงๆ เลยต้องนัดไปเจอที่ Hong Kong ” ผมนึกสนุกเลยอยากลองทดสอบอะไรซักหน่อย

“โคตรไม่เนียน ถ้ามึงสนใจเขาจริง มึงไม่ดึงเวลาไปเป็นเดือนๆ แบบนี้หรอก”

“ฮึๆๆ” เป็นเหมือนที่คิดไว้จริงๆ ต่อให้ผมสามารถตบตาคนได้ทั้งโลกแต่ก็ไม่สามารถหลอกคนตรงหน้าได้เลยซักครั้ง

“รู้ใจกูขนาดนี้ มาเป็นเลขากูไหม”

“555 ค่าตัวกูแพงนะ”

“เรียกมาเลย เท่าไหร่กูก็ยอมจ่าย”

“เดียวนี้ใช้เงินฟาดแล้วเหรอ”

“แล้วยอมให้กูใช้เงินฟาดไหมละ”

“555 แล้วนี่มึงอยู่ไหน”

“อยู่คอนโด นั่งอยู่ที่ห้องนั่งเล่น”

“มึงยังอยู่ห้องเดิมปะ”

“ห้องเดิมดิ” ผมพูดพลางมองสำรวจไปรอบๆ ... ห้องเดิม ห้องที่มีความทรงจำระหว่างเรา 2 คนมากมาย

“คิดถึงวิวห้องมึง ไม่ได้ไปมานานโคตร” คิดถึงเหมือนกัน ... คิดถึงมึง ... อยากนั่งคุยเรื่องราวสัพเพเหระกับมึงบนโซฟาตัวนี้เหมือนเมื่อก่อน

“จี ช่วงนี้มึงว่าไหม ไปกินข้าวกัน” ตอนแรกว่าจะไม่ชวน แต่ก็อดใจเอาไว้ไม่ได้จริงๆ

“ไหนบอกว่าตารางเต็ม”

“มึงก็รู้ว่ากูพูดไปอย่างนั้น”

“กูยังไม่สะดวกช่วงนี้ วันหลังละกันนะ”

“ได้ วันไหนก็ได้เลยที่มึงสะดวก”

แม้จะผิดหวังแต่ไม่ได้เสียใจที่ถูกปฏิเสธ หลังจากที่พยายามมานาน ในที่สุดผมก็ติดต่อจีได้แล้ว ถ้ามันยังไม่พร้อม ผมรอมันได้เสมอ ยังไงก็ได้ ขอแค่เขาไม่อึดอัดและไม่หายไปไหนก็พอ ... จะใกล้หรือไกล ไม่สำคัญอะไรกับผมเลย ขอแค่ยังมีมันอยู่ในชีวิตเท่านี้ก็มากพอสำหรับผมแล้ว



'นอกจากชื่อฉันมีสิ่งอื่นอีกไหม

ที่เธอยังใส่ใจและพอจำมันได้อยู่

เศษจากความรักยังเหลือไหมก็ไม่รู้

ในความทรงจำเธอยังจะมีฉันอยู่ ... บ้างไหม'

นอกจากชื่อฉัน, Actart, 2018


----------

#Reunite #รอ #Please stay
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-12-2025 10:24:18 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 33 : Please ... 'stay'
«ตอบ #171 เมื่อ09-12-2025 14:19:11 »

“เชี่ยยยยย ได้จมูกมึงมาชัดๆ” ผมยิ้มจนตาหยีให้กับเด็กน้อยที่นอนหลับปุ้ยอยู่อีกฝั่งหนึ่งของกระจกบานใหญ่ เร็วเกินไปที่จะบอกว่าหน้าเหมือนใคร แต่ที่แน่ๆ ได้จมูกของไอซ์มาเต็มๆ

“เหนื่อยเหี้ยๆ” ปากพูดว่าเหนื่อยแต่พอเห็นหน้าลูก สีหน้าอ่อนล้าของมันก็หายเป็นปริดทิ้ง

“เพื่อลูกไง ... ลูก 2 แล้วนะมึง คิดไว้ว่าจะมีกี่คนวะ”

“คิดว่า 2 นะ full fill ความฝันของกูแล้ว...” ไอซ์ตอบพลางมองเพื่อนสนิทตรงหน้า ในขณะที่มิลค์กำลังฉีกยิ้มกว้างมองลูกสาวคนเล็กของตัวเอง


----------


#หลาน #เจ๊กมิลค์ #Please stay
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 33 : Please ... 'stay'
«ตอบ #172 เมื่อ12-12-2025 09:43:45 »

“เพราะฉะนั้นมึงใส่สูทผูกไทด์ให้เรียบร้อย ช่างแต่งหน้าทำผมจะมาถึงในอีกครึ่งชั่วโมง” ไอซ์พูดแทรกโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมแย้ง อะไรวะเนี่ย

“ไอ้เหี้ยไอซ์ นี่มึงเอาตัวกูเข้าแลกเลยเหรอ” มันยักไหลมองบนแบบไม่แคร์

“มึงบอกเองว่าอำนาจในการตัดสินใจวิธีโปรโมทเป็นของกู เพราะฉะนั้นถ้ากูบอกให้มึงไปเต้น cover เพลงเกาหลี มึงก็ต้องทำ ... เด็กๆ ไปบอกนักข่าวว่าคุณมิลค์จะให้สัมภาษณ์ตอนบ่าย 3 แล้วไปเตรียม backdrop ที่ lobby ให้เรียบร้อย” ไอ้เหี้ยไอซ์ นี่กูเป็นเจ้านายมึงนะไอ้สาสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส


----------

#มิลค์&ไอซ์ #บันเทิง #Please stay
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วย

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 33 : Please ... 'stay'
«ตอบ #173 เมื่อ13-12-2025 10:19:04 »

Teaser ตอนที่ 34


“มึง”

“ฮึ” ผมตอบรับเมื่อคนตรงหน้าวางแก้วลงบนโต๊ะ แล้วทำสีหน้าเหมือนอยากรู้เสียเต็มประดา

“ช่วงนี้พฤติกรรมมึงเรียบร้อยแปลกๆ ... นี่มึงแอบคบกับใคร แล้วไม่บอกกู” ผมขมวดคิ้วให้กับคำถามของเพื่อนสนิท

“เปล่า ... พูดจริง ไม่ได้คบใครเลย” ผมย้ำอีกครั้งว่าเมื่อมันทำสีหน้าเหมือนไม่เชื่อ

“one night ก็ไม่มี”

“ไม่มี ... จริงๆ ก็ไม่มีมาซักพักแล้ว” ช่วงเวลาที่ผมใจแตกที่สุดไม่ใช้หลังจากจีแต่งงาน ทิ้งช่วงมาอีกพักใหญ่ๆ เมื่อผมยอมรับความจริงได้และปลดพันธนาการทุกอยากที่เคยผูกไว้กับคนๆ หนึ่ง ... กินเหล้าต่างน้ำ เปลี่ยนผู้ชายวันเว้นวัน ควงคนนั้น นอนกับคนนี้

“มึงจะบอกว่างาน Gala ที่ HK คืนนั้นคือต่างคนต่างแยกย้าย ? ...”

“... บ้าไปแล้ว” มันอุทานเมื่อผมพยักหน้า

“เหมือนที่มึงเคยบอก เมื่อถึงจุดหนึ่ง อยู่ๆ ทุกอย่างมันก็ว่างเปล่า” ทันทีที่ได้ยินไอซ์ก็เบ้ปากมองบน พร้อมกับกรอกสายตาใส่ผม

"ที่ช่วงนี้อยู่กับเย่าเฝ้ากับเรือน ... ไม่ใช่ว่าเพราะไอ้จีกลับมาหรอกเหรอ?" คนอื่นอาจจะเชื่อกับประโยคคนดีย์ของมัน แต่ไม่ใช้กับเขา คนที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ... ทุกการกระทำของมิลค์ ติฒสิงห์มีเหตุผลเสมอ ขึ้นอยู่กับว่ามันจะซับซ้อนหรือไม่เท่านั้นเอง


----------


มิลค์ : เจอกันวันพรุ่งนี้นะครับ จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือรีบเอาตัวเองใส่ตระกร้าล้างน้ำ

#เปลี่ยน mode #นั่งพับเพียบ #ร้อยมาลัย
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วย

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 34
«ตอบ #174 เมื่อ14-12-2025 09:52:07 »

ตอนที่ 34 : ครึ่งชีวิต (และจิตใจ)

หลังจากวันนั้นผมก็กลับมาติดต่อจีได้อีกครั้ง แม้มันจะชอบดองไลน์ของผมแต่ก็ดีกว่าหายหน้าไปเลยเหมือนเมื่อก่อน ผมพยายามนัดเจอหลายครั้ง ไม่ว่าจะชวนไปกินข้าว หรือแม้แต่ชวนไปดื่มกาแฟแป๊ปๆ แล้วแยกย้าย แต่จีก็ ยังคงปฏิเสธ ผมรู้ว่ามันยังไม่พร้อมจะเจอใคร ผมไม่เคยเร่ง ให้ระยะห่างเท่าที่มันต้องการ อะไรก็ได้ขอแค่จีสบายใจผมโอเคหมดทุกอย่าง ไม่นานจีก็กลับไปทำงานที่สิงคโปร์อีกครั้ง ... พวกเราต่างต้องแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง

“วันนี้มึงไม่ต้องรีบกลับ ?” ผมส่งแก้ว crystal ในมือให้กับเพื่อนสนิทก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้าม ไอซ์ดมไอระเหยขอเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากแก้วในมือก่อนจะยกแก้วขึ้นเหนือหัวเป็นเชิงขอบใจ

“เมียกูเอาลูกเข้านอนไปแล้ว”

“ไม่ได้นั่งดื่มกับมึงนานมาก” ผมพูดพลางจิบ whiskey ไปพลาง

“จริง ตอนกูเข้ามาใหม่ๆ แอบมาดื่มกับมึงบ่อยมาก”

“พวกเราเคยมีเวลาให้กันมากกว่านี้” ผมจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่พวกเรา 5 คนอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าคือเมื่อไหร่ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นงานแต่งไอ้โจ พอทุกคนแต่งงานมีครอบครัว ภาระหน้าที่ก็เพิ่มมากขึ้น เวลาที่มีให้กันก็น้อยลง ไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ จากที่เคยเจอหน้ากันทุกวันตอนนี้จะนัดกันแต่ละทีช่างยากเย็นแสนเข็ญ

“ถ้ากูไม่ได้มาทำงานกับมึง ก็คงไม่ได้เจอกันบ่อยแบบนี้”

“ก็กูบอกแล้ว ว่าทำงานกับกูมีแต่เรื่องดีๆ ทั้งน้านนนนนนนนนน” ผมพูดพลางยกยิ้ม

“มึงก็กล้าพูดนะ หน้าที่กูตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากเบ้มึงชัดๆ อะไรๆ ก็กู นี่ถ้ากูยังไม่ได้แต่งงาน คนอื่นคงคิดว่ากูเป็นผัวมึงไปแล้วมั้ง”

“555 อิเหี้ยอย่าพูด ... กูขนลุก ...” พวกเราหัวเราะขำขันกับข่าวโคมลอยในบริษัทเมื่อหลายปีก่อน มีคนเม้าท์กันจริงจังว่าผมปีนต้นงิ้วของไอซ์ นี่ขนาดว่ามันแต่งงานแล้วนะ

“... แต่ถ้าไม่ได้มึง กูคงเหนื่อยกว่านี้ ... ขอบใจมึงนะเว้ย” ต้องขอบใจมันที่ตัดสินใจมาช่วยผม มันเป็นเพียงไม่กี่คนในบริษัทที่ผมไว้ใจ เงินตอบแทนมากมายขนาดไหนก็ไม่เท่ากับความไว้ใจที่เรามีให้กัน

พวกเราต่างคนต่างเงียบแล้ว enjoy กับบรรยากาศผ่อนคลายตรงหน้า มีคนเคยบอกว่าเราสามารถวัดความสบายใจกับใครอีกคนได้ด้วยการนั่งอยู่เงียบๆ ในห้องเดียวกันโดยไม่มีความรู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย

“มึง”

“ฮึ” ผมตอบรับเมื่อคนตรงหน้าวางแก้วลงบนโต๊ะ แล้วทำสีหน้าเหมือนอยากรู้เสียเต็มประดา

“ช่วงนี้พฤติกรรมมึงเรียบร้อยแปลกๆ ... นี่มึงแอบคบกับใคร แล้วไม่บอกกู” ผมขมวดคิ้วให้กับคำถามของเพื่อนสนิท

“เปล่า ... พูดจริง ไม่ได้คบใครเลย” ผมย้ำอีกครั้งว่าเมื่อมันทำสีหน้าเหมือนไม่เชื่อ

“one night ก็ไม่มี”

“ไม่มี ... จริงๆ ก็ไม่มีมาซักพักแล้ว” ช่วงเวลาที่ผมใจแตกที่สุดไม่ใช้หลังจากจีแต่งงาน ทิ้งช่วงมาอีกพักใหญ่ๆ เมื่อผมยอมรับความจริงได้และปลดพันธนาการทุกอยากที่เคยผูกไว้กับคนๆ หนึ่ง ... กินเหล้าต่างน้ำ เปลี่ยนผู้ชายวันเว้นวัน ควงคนนั้น นอนกับคนนี้

“มึงจะบอกว่างาน Gala ที่ HK คืนนั้นคือต่างคนต่างแยกย้าย ? ...”

“... บ้าไปแล้ว” มันอุทานเมื่อผมพยักหน้า

“เหมือนที่มึงเคยบอก เมื่อถึงจุดหนึ่ง อยู่ๆ ทุกอย่างมันก็ว่างเปล่า” ทันทีที่ได้ยินไอซ์ก็เบ้ปากมองบน พร้อมกับกรอกสายตาใส่ผม

"ที่ช่วงนี้อยู่กับเย่าเฝ้ากับเรือน ... ไม่ใช่ว่าเพราะไอ้จีกลับมาหรอกเหรอ?" คนอื่นอาจจะเชื่อกับประโยคคนดีย์ของมัน แต่ไม่ใช้กับเขา คนที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ... ทุกการกระทำของมิลค์ ติณสิงห์มีเหตุผลเสมอ ขึ้นอยู่กับว่ามันจะซับซ้อนหรือไม่เท่านั้นเอง

“มึงว่ากูควรจะไปไหม” ผมไม่ได้ตอบคำถามของไอซ์ แต่กลับส่งมือถือให้ไอซ์ พออ่านมันก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

“มึงคุยกับมันบ่อย ?”

“ก็ตามที่มึงเห็นแหละ นานๆ ครั้ง … เอาจริงคือกูไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับมันมากขนาดนั้น เหมือนตอนนี้เราไม่ได้อยู่บนโลกใบเดียวกันอีกแล้ว”

“กูเข้าใจ ต่างคนต่างเติบโตในทางของตัวเอง ... มึงอยากไปไหม”

“ไม่รู้วะ ... กูคิดถึงมันมาตลอดนะ รู้สึกใจร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่มทุกครั้งที่คิดว่าหลังจากนี้จะไม่มีมันอยู่ในชีวิตอีกแล้ว ... แต่พอมีโอกาสกูก็ลังเล”

“ในฐานะเพื่อนของมัน กูอยากให้มึงไป ถ้ามึงปฏิเสธก็เหมือนปิดทางที่มันจะเดินกลับมา ...”

“... แต่ในฐานะเพื่อนของมึง กูเข้าใจว่ากว่าจะถึงวันนี้ มึงเจ็บกับมันมามากแค่ไหน ... เพราะฉะนั้น ทำอะไรก็ได้ที่มึงทำแล้วสบายใจที่สุด เอาความสุขของตัวเองเป็นที่ตั้ง ทุกคนต้องอยู่กับผลจากการกระทำของตัวเองไม่ว่ามึงหรือมัน”



...



แล้วก็เป็นเหมือนที่คิดไว้ นอนไม่หลับเกือบทั้งคืน พลิกตัวซ้ายขวากว่าจะข่มตาหลับได้ไม่น่าจะเร็วกว่าตี 3 ตลอดทั้งวันไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน ใจมันจดจ่ออยู่กับเรื่องเย็นนี้ ... นัดกัน 6 โมงครึ่ง ผมเลือกชุดที่จะใส่ตั้งแต่บ่าย 3 หยิบตัวนั้นกลับเข้าตู้ หยิบตัวใหม่ออกมาลองใส่ ทางการไป เยอะไป น้อยไป เป็นชั่วโมงกว่าจะเลือกได้

Mercedes Benz W222 coupe สีขาว เลี้ยวเข้ามาในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้ากลางใจเมือง ทันทีที่เห็นรถคุ้นตาพี่ยามก็โบกให้ผมจอดในช่องประจำ

“วันนี้มีงานเหรอครับ” พี่ยามเอ่ยปากทักทายเมื่อผมก้าวลงจากรถ

“นัดกินข้าวกับเพื่อนนะครับ” ผมยิ้มรับ

“วันนี้คนเยอะนิดนึงนะครับ พอดีห้างมี promotion”

“เอ่อครับ” ผมผงกหัวเป็นเชิงขอบคุณก่อนจะเดินแยกไปอีกทาง สายตาเหลือบมองหน้าจอ smart phone ที่เปิดหน้า application สีเขียวข้างไว้ ... จีส่งข้อความมาบอกเมื่อ 10 นาทีก่อนว่าถึงแล้ว

ยิ่งใกล้ถึงจุดหมายหัวใจก็ยิ่งเต้นรัว ผมเจอจีครั้งสุดท้ายคือที่บ้านของไอซ์ นับจากวันนั้นผ่านมาปีกว่าแล้ว พอก้าวออกมาจากหัวมุม ขาทั้ง 2 ข้างก็หยุดชะงัก จียืนอยู่ตรงนั้น มันใส่เสื้อยืดคอกลมแขนสั้นสีดำ กางเกงยีนส์ขายาว สวมรองเท้าผ้าใบสีขาว สะพายถุงผ้า Starbuck … แต่งตัวง่ายไปไหมวะ ... ในจังหวะที่ผมเหมือนตกอยู่ในผวัง มันก็หันกลับมา รอยยิ้มแต่งแต้มบนใบหน้าหล่อเหลาทันทีที่มันเห็นว่าผมยืนอยู่ฝังตรงข้าม ก่อนเจ้าตัวจะเดินเข้ามาหา

“มึงต้องแต่งตัวเวอร์ขนาดนี้” จีทักเมื่อเห็นผมในชุดสูทแบบกระดุม 4 เม็ดสีฟ้าอ่อนโดยที่ไม่ได้สวมเสื้อทับด้านใน ตัดกับกางเกงขายาวทรงกระบอกสีน้ำตาลเข้มเข้าคู่กับรองเท้าหนัง แต่สิ่งที่ดูสะดุดที่สุดคงหนีไม่พ้นสร้อยไข่มุกสลับเพชรที่ลอยเด่นอยู่บนผิวเนียน

“อย่าแซว” ผมเอ่ยปากห้ามทั้งๆ ที่รู้ว่าตลอดเย็นวันนี้เจ้าตัวคงจะแซวเรื่องการแต่งตัวของผมไม่หยุด

“ตกลงกินอะไร” มันถามพลางทำหน้ากุ่มกริ่ม

“มึงอยากกินอาหารญี่ปุ่นนิ” เราตกลงกันมาก่อนหน้านี้แล้ วว่าจะกินอะไร ผมให้จีเลือกเพราะเขาเป็นที่นานๆ จะกลับมาซักที

“กูกินอะไรก็ได้นะ แล้วแต่มึงเลย”

“กูกินอาหารญี่ปุ่นได้”

“งั้นเดินดูก่อน” มันพยักหน้ารับก่อนที่เราจะเดินข้ามไปอีกตึกหนึ่งที่มีร้านอาหารเยอะกว่า

ในจังหวะที่เดินออกประตู ผมชะลอฝีเท้าเพราะใครคนนึงเดินสวนเข้ามา และในจังหวะที่จีก้าวขึ้นมาอยู่ระดับเดียวกัน ผมรู้สึกวูบวาปไปทั้งตัวเมื่อจับสัมผัสเบาบางได้แถวเอว ก่อนที่คนข้างๆ จะออกแรงพลักเบาๆ ให้เดินไปพร้อมกัน ... ตอนแรกนึกว่าคิดไปเองว่าถูกจีโอบเอว แต่กว่าจะมาถึงโซนอาหาร ผมก็ต้องเผชิญกับอาการร้อนวูบวาปคล้ายกับคนกินอะไรผิดสำแดงมาตลอดทาง เพราะคนข้างๆ โอบเอวผมทุกครั้งเวลาเราขึ้นบันไดเลื่อนหรือขึ้นลิฟต์เมื่อเจ้าตัวต้องการให้ผมก้าวขึ้นไปก่อน

เราเดินขึ้นลงโซนร้านอาหาร 2 รอบ จียังคงคะยั้นคะยอให้ผมตัดสินใจ จนสุดท้ายผมก็เลือกอาหารญี่ปุ่นตามที่เราตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ ร้านอยู่ชั้นบนสุดของห้าง ภายในคนไม่เยอะเท่าไหร่ ทันทีที่เข้ามาผมสัมผัสได้ว่าเรา 2 คนตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนในร้าน จีเลือกที่นั่งริมหน้าต่างเห็นวิวกรุงเทพในเวลาที่พระอาทิตย์แทบใกล้จะตกดิน ... แสงแดดอ่อนๆ ตกกระทบบนใบหน้าสวยของมิลค์ ยิ่งเวลาเพชรบนลำคอระหงษ์ส่องประกายเล่นกับ แสงอาทิตย์ยามเย็น ... เสี่ยววินาทีหนึ่ง ... จีอดคิดไม่ได้ว่าคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเหมือนจะหลุดออกมาจากโลกของนวนิยาย

ในจังหวะที่นั่งรออาหาร เรา 2 คนต่าง update เรื่องราวของกันและกัน คนตรงหน้าหัวเราะทุกครั้งเวลาผมเล่าเรื่องวีระกรรมการทำงานร่วมกันของผมกับไอซ์ นึกถึงสมัยก่อนที่เราเคยคุยกันเล่นๆ ว่าถ้าโตขึ้นแล้วได้ทำงานด้วยกันคงจะดีไม่น้อย

“ราดน้ำแล้วคลุกเลยหรือเปล่า” จีถามเมื่อจานสลัดแซลม่อนถูกวางลงตรงหน้า

“คลุกเลยๆ ...” ผมพูดพลางก้มหน้าลงตอบข้อความใน Line เงยหน้าขึ้นมาอีกทีถึงได้เห็นว่าจีตักสลัดใส่จานให้ผมมาไม่น้อย

“... ขอบใจมึง” จียิ้มรับ

จากนั้นเราก็กินไปคุยไป เพิ่งรู้ว่าจีได้ deal ห้องพักที่สิงคโปร์ดีมาก ได้คอนโด 2 ห้องนอนอยู่ใจกลางถนน Orchard มันบอกว่าตอนจะเช่าจังหวะพอดีที่ห้องอาบน้ำห้องเล็กเสียต้องรอซ่อมประมาณ 2-3 เดือนเจ้าของเลยลดค่าเช่าให้ ไม่อย่างนั้นด้วยงบที่บริษัทให้มาไม่มีทางได้ห้องกลางเมืองแบบนี้

ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมไม่สามารถละสายตาจากจีได้เลยจริงๆ ระหว่างมื้ออาหารมีหลายครั้งที่ผมแอบมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม อ้วนขึ้นจากครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน แก้มมันออก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัดผมสั่นหรือเปล่า ต้นแขนที่เมื่อก่อนมีเนื้อมีหนังดูจะตันขึ้นมาพอสมควร แล้วถ้าสังเกตไม่ผิดที่เห็นเป็นเค้ารางอยู่ใต้เสื้อยืดสีขาวคือพุงใช่ไหม ... แต่ตาชั้นเดียวคู่นั้น สวยจนผมอดจินตนาการไม่ได้เลยว่าถ้าได้ประทับจูบลงบนเปลือกตาคู่นั้นคงจะดีไม่น้อย นอกจากตาแล้วจมูกก็เป็นอีกจุดหนึ่งบนใบหน้าของจีที่ผมหลงไหล พอจินตนาการภาพว่าเรา 2 คนนอนคลอเคลียกันบนเตียงแล้วผมเผลองับจมูกของมันเบาๆ ด้วยความหมั่นเคี้ยว แค่นั้นหัวใจก็เต้นแรงขึ้นมาซะดื้อๆ

“ฮึ...” ผมสะดุ้ง พอดึงสติกลับมาถึงได้สังเกตว่ามันขมวดคิ้วอยู่ ผมถูกจับได้แล้วว่าแอบมอง

“... มึงอ้วนขึ้น ไม่ได้ออกกำลังกายบ้างเลยเหรอ” ผมเอ่ยถามเพื่อเบี่ยงเบนสถานการณ์

“ไม่เลย จะไม่ให้อ้วนได้ยังไง กินแล้วก็ทำงาน พอกลับถึงห้องก็นอน”

“มึงผอมลงกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกัน”

“อืม ผอมลง กูออกกำลังกายเยอะขึ้น”

“อะ กินอีก มึงผอมไปนะ” พูดจบมันก็วางกุ้งเทมปุระลงบนจานให้ผม ผมค้อมหัวเป็นเชิงขอบคุณ ตอนที่ตักสลัดให้ผมคิดว่ามันตักให้เป็นมารยาทแต่กับจานถัดๆ ไปจีก็ตักแบ่งให้ผมก่อนเสมอ จานอาหารของผมไม่เคยว่างเมื่อไหร่ที่พร่องจีจะตักเพิ่มให้เสมอ

“งั้นอันนี้ของมึง” ผมรวบรวมความกล้าคีบ engawa sushi วางลงบนจานของตรงหน้า

“มึงใส่ jew เยอะไปไหมวะ” จีถามเมื่อเจ้าตัวสังเกตเห็น jewelry แบรนด์หรูในจังหวะที่ผมยื่นมือออกมาตักอาหารให้ แหวนบนนิ้วชี้และนิ้วนางข้างขวา พร้อมกับกำไลข้อมือเข้าชุด

“กูชอบ ...”

“... อะไร” ผมทำท่ากระอักกระอ่วนเมื่อจีเหลือบมองที่มืออีกข้างแล้วกลับมามองหน้าด้วยสายตากดดัน

“โชว์ให้กูดูหน่อย”

“ห้ามแซว”

“เออๆ ไม่แซว ... มึงบ้าไปแล้ว” แล้วผมก็ยื่นมือซ้ายให้มันดู คนตรงหน้ากรอกตามองบนเมื่อเห็นว่าบนนิ้วกลาง นิ้วโป้ง และข้อมือข้างซ้ายมีแหวนจากอีก brand หนึ่งสวมเข้าชุดกันอยู่

“บอกว่าอย่าแซว” ผมมองแรง ผมชอบ jewelry แต่ไม่ชอบเวลาถูกคนทัก

“เยอะ แต่เขากับมึง”

“จริงเหรอ”

“จริง ... sense การเลือก jew ของมึงดีตั้งแต่มหาลัยแหละ ...”

“... พออยู่บนตัวมึงแล้วดู high มาก ... ดูสูงเกินเอื้อม ...” แววตาของคนตรงหน้าวูปไหวแต่ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไร

“... กินของหวานร้านไหนดี”

จีขอเป็นฝ่ายเลี้ยงแม้ผมจะปฏิเสธแต่เจ้าตัวก็ยังยืนยันเสียงหนักเพราะเป็นฝ่ายเอยปากชวน หลังจากเสร็จของคาวเราก็เดินหาร้านของหวานสุดท้ายมาจบที่ร้าน bakery เจ้าดัง จีให้ผมเลือกเค้กมา 2 ชิ้น ผมเลือก blueberry cheese pie กับ red velvet

“ผมขอ Jasmin tea ครับ”

“ผมเอา hot chocolate”

“กิน hot chocolate ตอนนี้ ... บ้าไปแล้ว” ผมถาม เมื่อพนักงานเดินกลับไปสั่ง order กินโหดขนาดนี้แล้วจะไม่ให้อ้วนยังไงไหว

“มึงพูดเองกินคาวไม่กินหวานสันดานไพร่” ผมอดทำหน้าเบ้ปากมองบ่นไม่ได้ เมื่อถูกย้อนคำพูดในอดีตของตัวเอง

“ปกติมึงกลับมาบ่อยไหม” ผมถาม

“ระหว่างปีก็แล้วแต่นะ บางครั้งก็กลับมาทำธุระ แต่กลับแน่ๆ คือช่วงปีใหม่”

“มึงจะกลับสิงคโปร์วันไหน”

“อีก 3 วัน”

“อืม”

“แล้วมึงละ เดินทางต่างประเทศบ่อยไหม”

“ก็บ่อยนะ ดูงาน, meeting, exhibition”

“ถ้ายังไม่เบื่อสิงคโปร์ ว่างๆ มึงมาเที่ยวได้นะ นอนห้องกูได้สบายมาก มี 2 ห้องนอน”

“น่าสน ตั้งแต่ summer ที่ Canada ครั้งนั้นก็ไม่เคยได้ไปต่างประเทศกับมึงอีกเลย” ผมพูดพลางยกแก้วชาขึ้นมาจิบ กลิ่นหอมของชาไม่ได้ทำให้จิตใจของผมสงบลงแม้แต่น้อย

จบของหวานเรา 2 คนต่างคนก็ต้องแยกย้าย รู้สึกเหมือนกำลังนับถอยหลังรอการจากลา ... ปีกว่าที่เฝ้ารอแลกกับช่วงเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง จากเพื่อนสนิทที่ตัวติดกันตลอดเวลา เรา 2 คนเดินทางมาถึงจุดนี้ได้ยังไง ... หรือนี้คือความน่ากลัวของการเป็นผู้ใหญ่

“มึงอยากจะทำอะไรอีกไหม” มันถามหลังจากผมรับบัตรเครดิตคืนจากพนักงาน ตอนแรกจีจะขอเลี้ยงแต่ผมยืนยันว่าต้องเป็นผมในเมื่อมันเลี้ยงของคาวแล้วผมก็ควรจะเลี้ยงของหวานคืน

“ว่าจะไป super ซื้อข้าวเช้าเข้าบ้านหน่อย”

“งั้นไป super กัน”

จีเข็นรถตามหลังในขณะที่ผมเลือกซื้อของ โคตรคิดถึงช่วงเวลาดีๆ ที่เราเคยมีให้กัน ตั้งแต่จีมีแฟนคนแรก เรา 2 คนก็แทบไม่มีเวลาเดิน super ด้วยกันเลย ... ผมชอบเวลาที่เรา 2 คนเดินซื้อของใน super ด้วยกันเพราะทำให้หวนคิดถึงตอนที่เราอยู่ด้วยกันที่ Canada ... สำหรับผม trip ครั้งนั้นถือเป็นความทรงจำช่วงฤดูร้อนที่ดีที่สุดในชีวิต เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเป็นอิสระจากทุกอย่าง เหมือนโลกทั้งใบมีแค่เรา 2 คน และเป็นครั้งเดียวที่ผมกล้าที่จะซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง ... จนตอนนี้ บางครั้งผมก็อดคิดไม่ได้ หรือว่าช่วงเวลาเหล่านั้นเป็นแค่ความฝันเพราะทุกความทรงจำช่างเลือนลางมากเหลือเกิน

“กูเปิดประตูรถให้” หลังจากช่วยผมเอาของเก็บจีก็ก้าวยาวๆ ไปยังประตูฝั่งคนขับ เจ้าตัวเปิดประตูรถออกพร้อมรอยยิ้ม

“ก่อนมึงกลับ เรานัดกินข้าวกันอีกซักมื้อดีไหม ...”

“... หรือไม่แค่กาแฟซักแก้วก็ได้” มันเม้มปากแล้วส่ายหน้า

ผมรู้สึกเหมือนคนกำลังจมน้ำ พยายามตะเกียกตะกายเพื่อยื้อช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตให้นานที่สุด

“มาให้กูกอดทีนึง ...” 2 แขนของคนตรงหน้ากางออก ในขณะที่ 2 ขาของผมก็เดินเข้าไปหา จีไม่ได้กอดแค่ร่างกายของผมเท่านั้น จิตใจของผมรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาแบบที่ไม่เคยได้สัมผัสมานาน กลิ่นกายที่คุ้นเคยทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะโอบแขนทั้ง 2 ข้างกระชับรอบเอว และซบหน้าลงบนไหล่กว้างพร้อมกับกอดคนตรงหน้าไว้อย่างเผลอไผล

“... มึง Take care ตัวเองนะ ทำงานหนัก ยิ่งต้องดูแลสุขภาพ”

“มึงก็เหมือนกัน อยู่ที่โน่นคนเดียว อย่าลืมกินข้าวเช้า แล้วก็เลิกซะนะ hot chocolate ตอน 3 ทุ่มเนี่ย” มือหนาตบลงบนหลังของผมหนักๆ 2 ครั้งก่อนที่อ้อมกอดจากเริ่มคลายออกจากกัน

“ขึ้นรถเถอะ รถกูจอดอยู่ชั้นบน” ผมพยักหน้าแล้วเข้าไปนั่งในรถอย่างว่านอนสอนง่าย เสียงประตูรถถูกปิดลงพร้อมๆ กับอารมณ์ของผมที่แปรปรวนยิ่งกว่าโดนพายุโหมกระหน่ำ จียกมือขึ้นเป็นเชิงบอกลาก่อนจะหันหลังเดินจากไป วินาทีนั้นเหมือนโลกทั้งใบล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา ผมใช้ทุกเรี่ยวแรงที่มีหยุดตัวเองไม่ให้กระชากประตูรถออกแล้ววิ่งไปรั้งมันไว้ ... อดคิดไม่ได้ว่าถ้าผมรั้งไว้แล้วมันจะกลับมาไหม



...



“สภาพมึงเหี้ยมากกว่าที่กูคิดไว้ ...” ไอซ์ลากเท้าเข้ามาในห้องนั่งเล่น มันหย่อนตัวลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม คนตรงหน้ามองผมด้วยสายตาตำหนิกลายๆ ... ห้องผมมี key card 2 ชุด แน่นอนว่าชุดหนึ่งอยู่ที่ผม อีกชุดเคยอยู่กับจี แม้ช่วงหลังความสัมพันธ์ของเราจะไม่ได้ใกล้ชิดกันเหมือนก่อนแต่ผมก็ไม่เคยเอ่ยปากขอคืน จนกระทั้งก่อนมันไปเรียนต่อต่างประเทศเจ้าตัวถึงได้คืนให้ ผมเก็บไว้กับตัวจนกระทั้งสนิทกับไอซ์มากขึ้นและมันเข้ามาช่วยงานที่บริษัทถึงได้ให้มันเก็บ key card สำรองไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน

“... 2 วันที่ผ่านมามึงได้นอนบ้างหรือเปล่า ...” ผมส่ายหัว นับตั้งแต่คืนนั้นผมก็ไม่สามารถข่มตาหลับได้

“... กูนึกแล้วว่ามึงต้อง emotional แต่ไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้”

“ความรู้สึกมันเกินกว่าที่กูจะรับไหววะ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“โทรมขนาดนี้ไม่เหมือนกับเป็นมึงเลย รอแป๊บกูไปเอาน้ำอุ่นให้มึงก่อน” หายไปซักพักมันก็กลับมาพร้อมแก้วเซรามิกและกระติ๊กเก็บความร้อน

“ขอบใจ” จิบคำแรกถึงได้รู้ว่ามันชงชามะลิมาให้

“เกิดอะไรขึ้นวะ ... หรือว่ามันมีอะไรนอกจากแค่กินข้าว”

“ก็ไม่เชิง”

“พูดให้ clear ไอ้มิลค์ สภาพมึงตอนนี้คือกูคิดจริงๆ นะเว้ยว่ามึงโดนแมร่งฟันแล้วทิ้ง”

“ค_ย” แม้จะไม่ออกเสียงแต่ผมเชื่อว่ามันเดาออกว่าผมพูดอะไร

“เลิกกลบเกลื่อน มึงหายไปตั้งแต่คืนวันศุกร์ ถ้ากูไม่ได้มาหาถึงที่นี้ จะรู้ไหมว่ามึงสภาพเหี้ยขนาดนี้ ...”

“... เล่ามา ขนาดนี้แล้วมึง กูสัญญาว่าจะรับฟัง” พูดจบไอซ์ก็หย่อนตัวนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม

“เฮ่ออออออ...” ผมถอนหายใจ แล้วเล่าเรื่องคืนนั้นให้เพื่อนสนิทฟัง ระหว่างฟังมันทั้งขมวดคิ้ว มองบน และทำเสียงในลำคอเหมือนกำลังไม่พอใจ

“... มันเหมือนกูได้ย้อนเวลากลับไปอดีต ช่วงเวลาที่มีแค่กูกับมัน กินข้าวด้วยกัน, เดิน super ด้วยกัน, take care กันและกัน ...”

“... ทำไมวะไอซ์ ตอนนั้นกูกับมันควรจะได้คบกันแล้วเปล่าวะ กูไม่เข้าใจว่ากูผิดตรงไหนทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้” ผมพูดพร้อมกับความรู้สึกเต็มตื่นขึ้นมาถึงหน้าอก ... มันเป็นคำถามที่ติดค้างผมมาตลอด ‘ผมทำผิดอะไร’

ไอซ์ได้แต่ส่ายหัวเป็นคนตอบให้กับเพื่อนที่ตอนนี้ไม่เหลือสภาพของเจ้าชายที่ทุกคนต่างคุ้นตา ไม่ใช้แค่มิลค์ที่ไม่เข้าใจ ไอซ์เองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น นับจากวันที่มีแฟนคนแรกจนถึงหย่าร้างกับภรรยา จีไม่เคยปริปากพูดเลยซักครั้ง ไม่มีใครรู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้คน 2 คนที่รักกันมากอย่างมิลค์และจีถึงลงเอยกันในสภาพแบบนี้ ... คนที่ยังรู้สึกถึงกันและกันอยู่ทุกวินาที แต่กลับไม่มีใครกล้าข้ามเส้นนั้นอีกแล้ว

“มึงยังรักมันอยู่ใช่ไหม ...” คำถามจี้ใจดำของไอซ์ทำให้จุกจนพูดอะไรไม่ออก

“... พูดออกมามิลค์ มึงจะทุกข์น้อยลง ถ้ามึงซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง”

...

...

...

“กูรักมัน ...” ประโยคง่ายๆ ที่ทำให้ผมเหมือนได้ปลดล็อคความรู้สึกที่เก็บไว้ข้างในทั้งหมด ... แล้วน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ก็ทะลักออกมา ... เป็นอีกครั้งที่คนๆ เดิมทำให้ใบหน้าสวยต้องเปรอะเปื้อนด้วยรอยน้ำตา

“... กูหลอกตัวเองมาตลอดว่าทำใจได้ แต่จริงๆ แล้วไม่เคยมีซักเสี้ยววินาทีที่กูไม่รักมัน ...”

“... กูมองหามันในทุกๆ คนที่เข้ามาในชีวิต และกูไม่เคยได้เจอกับสิ่งที่กูตามหา ...”

“... ความพยายามตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา พังทลายกับช่วงเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง” หลังจากที่ได้ใช้เวลากับตัวเองตลอดช่วงเวลา 2 วันที่ผ่านมา สุดท้ายผมก็ไม่สามารถหนีความจริงได้ ... ผมยังรักจี ... เหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยน

“รักก็คือรักเว้ย มึงไม่ต้องรู้สึกผิด ...”

“... กูแม่งไม่เข้าใจไอ้เหี้ยจี ไม่คิดอะไรกับมึงก็ไม่ควรทำแบบนี้เปล่าวะ ต่อให้เป็นเพื่อนกูว่ามันก็ยังมากไปอยู่ดี ... มึงแน่ใจใช่ไหมว่าวันนั้นมึงคุยกับมัน clear แล้ว” ไอซ์พูดด้วยน้ำเสียงติดจะไม่พอใจ

“กูมั่นใจ กูบอกรักและมันปฏิเสธ มันไม่มีอะไรจะชัดเจนมากกว่านี้แล้วปะ”

“มิลค์ ถ้ามึงยังรักมัน ทำไมไม่ลองสู้ดูอีกซักครั้งวะ”

“กูกลัว กลัวจะถูกปฏิเสธอีกครั้ง ...” ผมไม่รู้ว่าจะเอาชีวิตรอดมาได้อย่างไรหากถูกปฏิเสธอีกครั้ง ... ความรู้สึกจากการโดนปฏิเสธครั้งแรกมันเจ็บซะจนผมไม้กล้าแม้แต่จะคิดย้อนกลับไปด้วยซ้ำ

“... กูเพิ่งได้มันกลับคืนมาแท้ๆ กูไม่พร้อมจะเสียมันไปอีกครั้ง” อีกหนึ่งเหตผลที่ทำให้คืนนั้นผมเลือกที่จะไม่รั้งจีไว้คือผมกลัว กลัวว่าถ้าเขารู้ว่าผมยังรักเขาอยู่แล้วเขาจะหายไปอีกครั้ง

“กูเข้าใจว่าเลือกทางไหนมึงก็เจ็บ”

แต่ต่อให้เจ็บเจียนตายแค่ไหน วันรุ่งนี้ผมก็ต้องแต่งตัวไปทำงานอยู่ดี ถ้าเป็นสมัยมหาลัยผมคงโดนเรียนแล้วไปนั่งโง่ๆ อยู่ที่ชายหาดที่ไหนซักแห่งแต่ชีวิตวัยทำงานก็แบบนี้ ห้ามลา ห้ามป่วย ห้ามตาย โดยเฉพาะเมื่อเป็น The crown prince ของ The Neame group ... ความกังวลทุกอย่างถูกพัดปลิวไปกับสายลมเมื่อเช้าวันรุ่งขึ้นไอซ์เดินหน้าเครียดเข้ามาบอกว่าผมต้องไป London อีกครั้งเพราะบริษัทที่ชนะการประมูลงานก่อนหน้าถูกยกเลิกสัญญา ผมเลยต้องบินด่วนเพื่อไป pitching สัญญาครั้งนี้มาให้ได้ ... งานที่ยุ่งท้วมหัวจนไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่นน่าจะเป็นข้อดีอย่างเดียวของชีวิตผมตอนนี้



'ต่อให้ฉันได้พบกับใครต่อใคร

แม้ฉันจะพยายามเปิดใจ

ก็ไม่เคยมีใครสักคนจะแทนที่เธอ

ครึ่งหนึ่งของชีวิตและหมดทั้งจิตใจ ยังเป็นของเธอ'

ครึ่งชีวิต(และจิตใจ), นิว-จิ๋ว, 2021


----------


#ย้อนเวลา #พาฝัน #ครึ่งชีวิต (และจิตใจ)
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-12-2025 09:59:03 โดย Milky_Milky_Way »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด