ตอนที่ 30 : Mentor (part2/2)“อะ คนละแก้ว” ต่อเดินกลับมาพร้อมกับแก้วพลาสติกสีแดงในมือ หลังจากแจกจ่ายแก้วให้ทุกคนมันก็ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ ผม
“ไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่าพวกเราเรียนจบแล้ว” ต้นพูดขึ้นท่ามกลางเสียงคลื่นกระทบชายฝั่ง ทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว นำเสนอ final project, งานเลี้ยงบายเนียร์ และ trip รุ่นที่กำลังจะจบลงในวันรุ่งขึ้น
“จริง ยังจำวันแรกที่เจอกันได้อยู่เลย” ผมคิดตามคำพูดของแก้ว พวกเราบังเอิญนั่งใกล้กันในวันรับน้องเลยได้จับกลุ่มกัน ผมซึ่งเคยผ่านประสบการณ์การจับกลุ่มเพื่อนในรั้วมหาลัยมาก่อนเข้าใจดีว่ากลุ่มเพื่อนที่อยู่ด้วยกันในวันแรกอาจจะไม่ใช้กลุ่มเดียวกันในวันสุดท้าย แต่ไม่น่าเชื่อว่าพวกเราจะอยู่ด้วยกันมาตลอด 6 ปี
“มันเป็นความต่างที่ลงตัว ... ผู้หญิงลำยองขี้โวยวาย 1 คน เจ้าชายที่เหมือนหลุดออกมาจากละครหลังข่าว 1 คน และอัศวินอย่างพวกกูอีก 2 คน ไม่น่าเชื่อว่าจะคบกันรอด” พวกเราต่างหลุดขำให้กับคำเปรียบเปรยที่ต่อเป็นคนพูดออกมา
“ทำไมกูถึงเป็นลำยอง แล้วไอ้มิลค์ได้เป็นเจ้าชายวะ” แก้วโวย
“สภาพอย่างมึงเป็นเจ้าหญิงไม่ไหวหรอก กูไม่เปรียบมึงเป็นคนใช้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว” แล้วไอ้ต่อก็ตอกกลับด้วยท่อยคำรุนแรงตามประสาเพื่อนสนิท
“บอกตรงๆ ว่าตอนที่รู้ว่ามึงเป็นใคร กูยังคิดอยู่เลยว่ามึงจะต้องเป็นพวกคุณหนูหัวสูงแล้วก็เรื่องมากสุดๆ แต่พอได้รู้จักกัน มึงเหมือนคนธรรมดามากกว่าที่กูคิด” ต้นเล่าความในใจ
“ที่จริงกูทำใจมาแล้วนะว่าอาจจะไม่สนิทกับใครเลยตลอด 6 ปี แต่พอได้อยู่กับพวกมึงแล้วมันดีวะ ต่างแต่ลงตัว ... กูขอบใจพวกมึงมากนะเว้ย โดยเฉพาะช่วงที่กูไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าไหร่” พวกมันตอบรับในลำคอ ถ้าไม่ได้พวกมันช่วยผมก็ไม่รู้ว่าจะประคองสติตัวเองให้เรียนจบได้อย่างไร
หลังจากวันนี้พวกเรา 4 คน แยกกันไปตามทางของของแต่ละคน แก้วสมัครเป็น clinician ของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ผมเรียนต่อ ป. โทกับพี่เจย์ ในขณะที่ต่อกับต้นกลับไปช่วยกิจการของที่บ้าน
…
…
…
“กูรู้ว่ากูพูดบ่อยแล้ว แต่มึงอะ รีบ move on แล้วเริ่มต้นใหม่ซักที” แก้วพูดหลังจากที่พวกเราต่างซึมซับบรรยากาศตอนนี้ร่วมกัน
“อืม” ผมตอบรับ แล้วก็ปล่อยให้ทุกอย่างถูกพัดหายไปพร้อมกับสายลม
“จะเริ่มเลยไหม กูไปตามไอ้ออยให้ 555” พูดจบไอ้ต้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา จนกลุ่มเพื่อนที่นั่งอยู่ไม่ไกลหันมามอง
“พวกมึงเลิกแซวได้แล้วกูอาย” ผมแยกเขี่ยวใส่พวกมัน
“มึงแมร่ง มีผู้ชายมาจีบตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้ายจริงๆ” แก้วที่นั่งอยู่อีกข้างเอนตัวเอาไหล่มากระแทกกับไหล่ของผมเป็นเชิงหยอกล้อ
เหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา คืนนี้เป็นคนสุดท้ายของ trip ทุกคนในรุ่นเลยเห็นด้วยที่จะจัด party บาบีคิวริมสระว่ายน้ำ ใครอยาก show อะไรก็ขึ้นไปบนเวทีได้ บางช่วงก็ร้องคาราโอเกะ บางช่วงก็แซวกันออกไมค์ ออยเป็นนักร้องประจำรุ่น มันเป็นนักดนตรีสมัครเล่นที่นอกจากจะร้องเพลงเพราะแล้วยังเล่นกีต้าร์ได้อีกด้วย แต่ใครจะรู้ว่าอยู่ๆ มันก็เล่นเพลงจีบผมต่อหน้าคนทั้งรุ่น
“เอาจริงๆ เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่มีคนมาร้องเพลงจีบ 555” ยอมรับเลยว่าเขิน ยิ่งตอนมันร้องท่อนฮุคแล้วมองมาที่ผม แม้มือจะเกาคอร์ดกีตาร์แต่สายตาและน้ำเสียงของออยก็ทำให้ผมใจสั่นได้ไม่น้อย
“ลองไหมมึง เขาว่าคบกับนักดนตรีแล้วชีวิตจะมีสีสันนะเว้ย” ไอ้ต่อพยายามชง
“ยังอะ ตอนนี้อยากพัก รู้สึกว่าที่ผ่านมาโคตรพัง” ผมพูดพลางก้มหน้ามองแก้วพลาสติกที่อยู่ในมือ พวกมันพยักหน้ารับรู้ แล้วเราก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
ลมทะเลพัดปรอยผมให้ปริวไสวไปตามสายลม นับจากวันที่ถูกปฏิเสธ วันนี้แม้จะยังไม่ลืมเรื่องของจีแต่ผมสามารถกลับมายืนได้ด้วยตัวเองอีกครั้ง เวลาช่วยเยียวยาให้ความรู้สึกทุกอย่างเบาบางลง ในจังหวะที่คนอื่นๆ พูดคุยและหัวเราะขำขัน ผมอาศัยช่วงเวลานี้แอบมองพวกมันทีละคนเพื่อจดจำรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ไม่รู้ว่าหลังจากวันนี้พวกเราจะได้กลับมาเจอกันอีกทีเมื่อไหร่
...
“ไอ้มิลค์มึงถือดีๆ เดียวเทียนดับ ... นั้นไงกูพูดไม่ทันขาดคำ” ไอซ์ทำสีหน้าเอือมระอา ถ้ามันกินหัวผมได้มันคงทำไปแล้ว
“มึงพูดมากไง เทียนมันถึงดับ” ผมเถียง
“ปากดีนะมึงนะ ...” มันพลักหัวผมเบาๆ ก่อนจะใช้ไฟแช็คจุดเทียนที่ดับไปให้กลับมาสว่างไสวอีกครั้ง ในมือของผมถือเค้ก dark chocolate สีขาวสะอาดขนาด 2 ปอนด์ ปักด้วยเทียนวันเกิด 9 เล่ม บนเค้กเขียนข้อความด้วยตัวอักษรสีขาว ‘Happy Birthday and Best of Luck, G’
วันนี้นอกจากจะเป็นวันเกิดของจีแล้วพวกเรายังจัด farewell party ให้กับเจ้าตัวไปที่กำลังจะเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศแถมไปด้วยอีกงาน
“... พร้อมนะ เดียวกูเคาะประตู 3 ทีแล้วเปิดเลยนะ” ผมพยักหน้า
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
แล้วประตูไม้ตรงหน้าก็ถูกเลื่อนออก
“Happy birthday to you” ผมประคองเค้กที่อยู่ในมือ พยายามเดินช้าๆ เพื่อไม่ให้เทียนดับ แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ลมจากเครื่องปรับอากาศก็เป่าลงมาทำให้เทียนดับไป 2 เล่ม
“ไอ้เหี้ยมิลค์ กูบอกถือดีๆ” เสียงกระซิบด่าของไอซ์ดังขึ้นข้างหู อยากจะหันไปด่ากลับแต่ก็กลัวจะทำเทียนดับมากกว่าเดิม
“Happy birthday to you” สายตาของจีจับจ้องไปยังเพื่อนสนิทที่เดินถือเค้กเข้ามาในห้อง เหมือนตัวเองถูกมนต์สะกดเพราะเขาไม่สามารถละสายตาจากรอยยิ้มบนใบหน้าสวยของมิลค์ได้เลย วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วแต่รอยยิ้มของมิลค์ยังสดใสเสมอในความรู้สึกของจี มิลค์เรียนจบแล้ว มันเพิ่งรับปริญญาไปเมื่อ 2 เดือนก่อน ตอนนี้เป็นคุณหมอป้ายแดงที่กำลังเรียนต่อ ป.โท ทุกอย่างเป็นไปตามที่วางแผนไว้ ยกเว้นเรื่องระหว่างเรา 2 คน
“Happy birthday to you, Happy birthday...” ภาพในความทรงจำเป็นเหมือนเทปที่ถูกเปิดย้อนกลับไปสมัยวันวาน หลายปีที่ผ่านมา มิลค์คือคนแรกที่โทรมาอวยพรวันเกิดของเขาเสมอ พูดให้ถูกคือเราต่างเป็นคนแรกที่อวยพรวันเกิดให้กันและกันมาตลอด เขาจำไม่ได้ว่ามิลค์เป็นคนถือเค้กให้ทุกปีหรือเปล่า แต่ทุกครั้งที่นึกย้อนกลับไป ภาพของเพื่อนสนิทยืนถือเค้กวันเกิดพร้อมกับรอยยิ้มหวานก็กลายเป็นภาพจำในวันเกิดของเขาไปแล้ว
“... Happy birthday, .... Happy birthday toooooo you” จีรู้สึกตัวอีกทีตอนที่มิลค์มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า สายตาของเขาไล่มองตั้งแต่นิ้วมือเรียวสวยที่ถือเค้กไว้ จากนั้นจึงไล่สายตาขึ้นไปยังลำคอรหงส์ที่ประดับด้วยสร้อยอัญมณีระยิบระยับ และไล่ขึ้นมาจนกระทั้งเขาเห็นรอยยิ้มของเพื่อนสนิท มันยิ้มกว้าง เป็นยิ้มที่สว่างไสวราวกับแสงจันทร์ในคืนเดือนหนาว เสี่ยววินาทีที่ทั่งคู่สบตากัน จีเห็นแววตาของมิลค์วูบไหวภายใต้แสงเทียน
“อธิษฐานแล้วเป่าเค้กเร็ว” จีหลับตาตามคำขอของเพื่อนสนิท ... ‘ขอให้มิลค์มีความสุขมากๆ และขอให้สุดท้ายแล้วเรา 2 คนไม่มีวันพรากจากกัน’ จีอธิษฐาน หลังจากนั้นแสงเทียนบนเค้กก็ดับลง
ผม จี ไอซ์ อาร์ม โจ ษา และออยแฟนคนปัจจุบันของไอซ์นั่งล้อมวงบนโต๊ะอาหาร เค้กขนาด 2 ปอนด์หายไปเพียงช่วงกระพริบตา ในมือของไอซ์ถือ smart phone ที่กำลังบันทึกวีดีโอช่วงเวลาสุดท้ายของงานเลี้ยง
“กูคนแรกเลยเหรอ” ผมถาม
“มึงอยู่ใกล้กูที่สุด จะให้กูเริ่มจากไอ้จีไหมละ” ไอซ์ตอบกลับมาด้วยสีหน้าประชดประชัน มันเป็นคนเสนอความคิดให้พวกเราพลัดกันอวยพร แล้วถ่ายวีดีโอเก็บเอาไว้ให้เจ้าของงานเป็นที่ระลึก และผมดวงซวยเองที่นั่งอยู่ด้านขวามือของมันเลยต้องเป็นคนพูดคนแรก
“ก็ ...” โคตรประหม่า อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนลำคอแห้งผากราวกับทะเลทราย
“... ขอให้มึงโชคดี น่าจะต้องปรับตัวหลายอย่างแต่กูรู้ว่ามึงทำได้ มึงเป็นคนเก่งอยู่แล้ว...”
“... กูเป็นกำลังใจให้เสมอ” แค่คิดว่าอีกไม่กี่วัน เรา 2 คนจะต้องห่างกันคนละทวีป อยู่ๆ ความรู้สึกที่กดเอาไว้ก็เอ่อล้นออกมา ผมพยายามประคองเสียงไว้ไม่ให้สั่นไหว
“พอๆๆ คนต่อไป” ไอซ์ที่สังเกตเห็นว่าดวงตาคู่สวยตรงหน้าเริ่มมีน้ำตาคลอรีบตัดบท เขารีบใช้เท้าสะกิดไอ้มิลค์ให้เก็บอาการ ก่อนจะโวยวายเสียงดังเพื่อช่วยกลบเกลื่อน
พวกเราพลัดกันอวยพรจนกระทั้งถึงษาที่นั่งอยู่ติดกับจีเป็นคนสุดท้าย
“ขอให้จีโชคดี ษามั่นใจว่าไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้สำหรับจี ...”
“... แม้เราจะเพิ่งคบกันได้ไม่นาน แต่ษาสัญญาว่าจะรอจีอยู่ที่นี้ ไม่ไปไหน” พูดจบเธอก็ซ้อนความเขินอายด้วยการซบหน้าฝากลงบนไหล่ของจี ผมค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกเมื่อเห็นภาพตรงหน้า แม้จะชินชาแต่ข้างในก็รู้สึกหวิวๆ อย่างบอกไม่ถูก
“อ่า กูแล้วซินะ ...” จีฉีกยิ้มกว้างให้กับกล้อง
“... ขอบคุณพวกมึงที่จัดงานวันนี้ให้ โดยเฉพาะมึง ไอ้มิลค์ ที่แม้จะยุ่งแต่ก็จัดการให้ทุกอย่าง ...” ผมยิ้มรับให้กับคำขอบคุณ
“... กูดีใจมากๆ ที่ได้เป็นเพื่อนกับพวกมึง และก็ขอบคุณมากๆ กับทุกเรื่องที่ผ่านมา ...”
“... ใจนึงก็กลัว แต่พอคิดว่ามันคงไม่ต่างจากตอนที่พวกเราแยกย้ายกันเข้ามหาลัยก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมา เพราะสุดท้ายแล้ววันนี้พวกเราก็ยังอยู่ด้วยกัน ...” จีหยุดพูด ก่อนที่จะมองเพื่อนๆ ทั้ง 4 คนที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม ไอซ์, อาร์ม, โจ และ ... มิลค์
“... สัญญาว่าจะรีบเรียนให้จบ แล้วกลับมาหา ... พวกมึง”
...
“แยกกันตรงนี้นะ ขอบคุณพวกมึงมากที่มาส่ง ...” จีกระชับเป้ที่ห้อยอยู่บนหัวไหล่ เป็นสัญญานของการบอกลา ผมเหมือนคนหายใจไม่ทั่วท้องมาตั้งแต่เช้า รู้สึกปวดหนึบอยู่ในอกทุกครั้งที่คิดว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายก่อนจะต้องห่างกันไกลแสนไกล
“... มิลค์ กูมีเรื่องต้องคุยกับมึง” คนรอบข้างต่างชะงักนิ่งรวมถึงตัวผมเองด้วย จบประโยคเจ้าตัวก็เดินแยกตัวออกไปรอ ผมไม่แน่ใจว่าควรจะเดินตามไปดีไหม เพราะษาก็ยืนอยู่ตรงนี้ด้วย ผมไม่กล้าสบตากับเธอด้วยซ้ำ เลยทำได้เพียงเหลือบไปมองไอซ์เพื่อขอความเห็น มันเพยิดหน้าเป็นเชิงว่าให้ผมเดินตาม
คนตรงหน้ายิ้มบางๆ เมื่อผมเดินเข้าไปหา จีเม้มปากและส่งยิ้มให้ผมอีกครั้ง
“Milk” จีเรียกชื่อผมด้วยสำเนียง American คุ้นหู
“Stop it!!!” ผมพลักมือที่ยื่นมาตรงหน้าออก เมื่อเห็นสิ่งของที่อยู่ในมือของจี
“Milk ... please” จีเอ่ยปากขอร้อง สีหน้าอ้อนวอน แววตาหวั่นไหว ยิ่งได้ยินเสียงสั่นครือจากจี ผมก็ยิ่งน้ำตารื้อ
“Don't you know what it means?” ผมดันมือของจีออกจากตัว ในมือนั้นถือ key card สำรอง penthouse ของผม
“I know but please”
“I don't want it back. I gave it to you. It's yours” ผมส่ายหน้าปฏิเสธและไม่สามารถจะกั้นน้ำตาได้อีกต่อไป สำหรับผม ตอนนี้ keycard เป็นสิ่งของชิ้นเดียวที่เป็นเครื่องยืนยันว่าจีพิเศษกว่าใคร เป็นเหมือนเส้นใยเส้นสุดท้ายที่รั้งไม่ให้ความสัมพันธ์ของเราล่มสลาย
“It is time to let go” จีอาศัยจังหวะที่ผมไม่เป็นตัวของตัวเองยัด keycard ใส่มือ มันกำมือผมไว้แน่น ยื้อกันอยู่ซักพักสุดท้ายผมก็จำยอม
“I am not ready” ผมพูดทั้งที่น้ำตานองหน้า
“Neither am I. But you must...” ผมก้าวไปข้างหน้าตามแรงดึงของจี วงแขนที่คุ้นเคยโอบกอดผมไว้ ความทรงจำนับร้อยพันวิ่งเข้ามาในห้วงของความคิด เสี่ยววินาทีนั้น ผมรู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปยังกอดครั้งแรกของเรา 2 คน มันอบอุ่นราวกับแสงแดดท่ามกลางฤดูหนาว
แล้วผมก็สะอื่นออกมาอย่างไม่อายสายตาใคร ในขณะที่จีกระชับอ้อมกอดแล้วดึงผมเข้ามาแนบชิด ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่ง เราทั้งคู่ต่างซึมซับช่วงเวลาสุดท้ายก่อนจากกันไกล ผมได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาข้างหู
“... You listen to me … please take care of yourself and remember. No matter where we are, we will still be the same as we were” ... ‘I love you, as always’ จีเอ่ยประโยคสุดท้ายในใจก่อนที่อ้อมกอดนั้นจะคลายออก
ดวงอาทิตย์นั้นยังอยู่ไกลดวงจันทร์
ดาวนับร้อยนับพันจะไกลกี่ปีแสง
แม้ไม่ได้เจอฉันคิดถึงเธอ และเฝ้ารอวันเวลาให้พ้นไป
ตราบที่ท้องทะเลยังไกลจากภูเขา
และแม้ว่าเราจะไกลสักแค่ไหน
ฉันยังเหมือนเดิมสิ่งเหล่านั้นยังเหมือนเดิม
ยังเฝ้ารอเธอคนเดียวทั้งหัวใจ
ไกล, Musketeers, 2020
----------
#Cake #Birthday #Farewell
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน