Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 7 : ปลายทาง
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 7 : ปลายทาง  (อ่าน 3810 ครั้ง)

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฎเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฎจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฎ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฎข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฎข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


แนะนำนิยาย

เขาเคยเป็นเพื่อนสนิทในวัยเด็ก
เคยเป็นความรักในวัยเรียน
และสุดท้าย... กลายเป็นคนแปลกหน้า
กลายเป็นความทรงจำที่ไม่มีใครกล้าเปิดดู

แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน
ชื่อของเขาก็ยังซ้อนอยู่ในหัวใจของผมเสมอ

นี่ไม่ใช่แค่นิยาย
แต่มันคือบันทึกของความรัก
ที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงในทุกช่วงของชีวิต

จากเมล็ดพันธุ์เล็ก ๆ ในวันนั้น
งอกงาม... เติบโต
และกลายเป็นต้นไม้ใหญ่
แข็งแรงพอจะต้านลมพายุ

เพราะบางครั้ง
เราอาจต้องใช้ทั้งชีวิต
เพื่อเฝ้ารอใครสักคน
...คนที่เป็น ‘รักเดียว’
ในหัวใจเสมอมา

Love, In Every Lifetime
นิยายที่จะพาคุณย้อนกลับไป
พบ "รักเดียว" ของคุณเอง
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-05-2025 12:17:46 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : แนะนำตัวละคร
«ตอบ #1 เมื่อ18-04-2025 10:59:31 »

แนะนำตัวละคร

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตอนที่ 1 : วันเปิดเทอม


ผมพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง นับแกะหมดไปเป็นฝูงจนเข็มสั่นของนาฬิกาเลยเลข 2 ไปแล้วเกือบครึ่ง ก็ยังไม่สามารถข่มตาหลับได้ ... นาฬิกายังเดินไปเรื่อย ๆ ทุกเสียงติ๊กต๊อกยังดังก้องอยู่ในหัว เวลามีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลผมมักจะนอนไม่หลับเสมอ ... ผม มิลค์ ติณสิงห์ สิงหนาฏ นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2 ป้ายแดงที่ตอนนี้กำลังนอนไม่หลับเพราะมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยถึงวันเปิดเทอมวันแรกที่ใกล้จะมาถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมง ห้องเรียนใหม่ บรรยากาศใหม่ อาจารย์ที่ปรึกษาคนใหม่ และที่สำคัญคือเพื่อนใหม่ แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประจำทุกปีแต่การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ เล่านี้กลับทำให้ผมไม่สามารถข่มตาให้หลับได้ มีเพียงที่นึกถึงแล้วพอจะช่วยคลายความกังวลได้นั้นคือเพื่อนสนิทที่ปีนี้เราก็ยังโชคดีได้อยู่ห้องเดียวกันอีกครั้ง

ความคิดของผมถูกตรึงไว้กับความทรงจำเกี่ยวกับเพื่อนสนิท ยิ่งนึกถึงความรู้สึกก็ยิ่งผ่อนคลาย ชีวิตของผมดำเนินไปอย่างเรียบๆ ไม่มีอะไรหวือหวาในขณะที่อีกคนโลดโผนเกินวัย แม้จะแตกต่างแต่เราก็เป็นเพื่อนกันมาถึงทุกวันนี้ ... เปลือกตาค่อยๆ ปิดลง สติสัมปชัญญะเริ่มเลือนหาย ผมเข้าสู่ห่วงนิทรา โดยไม่รู้เลยซักนิดว่าหลังจากวันนี้ชีวิตของผมจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ก้าวขาเข้ามาในห้อง สิ่งแรกที่เจอคือจรวดพับกระดาษลอยมาจนเกือบจะทิ่มหน้า ยังดีที่หลบทัน ไม่มีใครสนใจการมาถึงของผม เสียงพูดคุยในห้องยังดังระงม เปิดเทอมวันแรกก็แบบนี้มีเรื่องให้ update ชีวิตกันมากมาย ผมมองซ้ายมองขวาเห็นเพื่อนสนิทยกมือเรียกสุดแขน มันเลือกที่นั่งแถวกลางริมขวา เพราะมันบอกว่าไปศึกษามาแล้วตำแหน่งนี้เป็นต่ำแหน่งที่ครูให้ความสนใจน้อยที่สุด

“กูนั่งไหน” ผมถามเมื่อหยุดยืนอยู่ตรงหน้ามัน

“ข้างกูซิวะ กูจองที่ไว้ให้” มันพูดพลางเอื้อมมือมายกกระเป๋าเป้ของตัวเองออกจากโต๊ะข้าง ๆ

“มึงแดกข้าวยัง” ผมถามเมื่อวางกระเป๋านักเรียนลงเก้าอี้ ถือเป็นการเสร็จสิ้นการสร้าง land mark

“ยัง รอมึงเนี่ย กลัวไม่เฝ้าไว้แล้วโดนแย่งที่”

“เออๆ ขอบใจ งั้นไปโรงอาหารกัน”

“รีบเลย กูโคตรหิว” มันลุกขึ้นพร้อมกับกอดคอผมออกจากห้อง

ผมนั่งอยู่กลางโรงอาหาร สลับหน้าที่ในการจองโต๊ะกับเพื่อนสนิท เพราะบ้านผมอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเลยมีเวลาให้กินข้าวเช้าก่อนออกจากบ้าน ส่วนมันที่บ้านอยู่ไกล ทำให้ต้องตื่นเช้าและมาหาข้าวเช้ากินที่โรงเรียนเป็นประจำ ผมมองบรรยากาศโดยรอบ เด็กนักเรียนชายนับร้อยเดินกันให้ควักไขว่ บางโต๊ะก็มีพ่อแม่มานั่งให้กำลังใจเด็กตัวน้อย ไม่นานมันก็เดินกลับมา มือหนึ่งถือจานข้าว อีกมือถือแก้วน้ำมา 2 ใบ

“ของมึง” แก้วน้ำอัดลมสีดำถูกเลื่อนมาวางไว้ตรงหน้า

“ขอบใจ” มันไหวไหล่แบบไม่ใช้เรื่องใหญ่อะไร จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินข้าว

ไอ้นี้ชื่อ “บอน” เพื่อนสนิทที่สุดของผม รู้จักกันมาตั้งแต่ ป.5 อาจจะเป็นเพราะโชคชะตาหรือเวรกรรมที่ทำร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน ทำผมกับมันได้อยู่ห้องเดียวกันมาตลอดจนถึงปัจจุบัน

“มึงสูงขึ้น?” ผมถามในขณะที่เรา 2 คนเดินกลับมาจากโรงอาหาร

“มึงเตี้ยลง?”

“กวนตีน” มันสูงขึ้นจริงๆ ก่อนปิดเทอมเรายังตัวใกล้กัน แต่ตอนนี้มันสูงเกินผมไปแล้ว

“มึง ... ใครวะ” เรา 2 คนหยุดอยู่หน้าประตู เพื่อนสนิทกระทุ้งศอกเข้าที่สีข้างของผม คิ้วหนาของมันขมวดเป็นปม เพราะที่นั่งด้านหลังของผมถูกจับจองโดยใครซักคนที่เราไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้า

“ขึ้นมาพร้อมกัน มึงไม่รู้ แล้วกูจะรู้ไหม”

“เอ้า!!! ถามดีๆ กวนตีนกูอีก” มือใหญ่ๆ ผลักหัวผมเป็นเชิงหยอกล้อ

“กูกวนตรงไหน อยากรู้ก็ถามซิวะ ...”

“... หวัดดี นายชื่ออะไร เราชื่อมิลค์ นี่บอน” ผมหันหลังกลับไปถามทันทีที่หย่อนตัวลงบนเก้าอี้ เห็นจากหางตาว่าไอ้บอนเดิมมาหยุดอยู่ข้างๆ

“เราจี ... พูดกูมึงได้นะ พูดสุภาพแล้วกูไม่ค่อยชิน 555”

“กูก็ไม่ชิน...” ผมตอบรับพร้อมกับเปิดบทสนทนา

“... มึงมาจากห้องไหนอะ”

“ห้อง 15”

“มาคนเดียวเลยเหรอ”

“เปล่าๆ มาหลายคนแต่ไม่ค่อยสนิท ...” จีตอบพลางมองซ้ายขวา

“... ไอ้นั้นก็มาจากห้อง 15 ชื่อแอมป์” ผมมองตามที่ปลายนิ้วชี้ของจี แอมป์มองกลับมาที่พวกผม คิ้วหนายกสูง ทำหน้าไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ ก็ตกเป็นเป้าสายตาของพวกเราทั้ง 3 คน



...



เปิดเทอมได้ไม่นานก็เริ่มมีงานกลุ่ม วิชาไหนจับกลุ่ม 2 คน ผมก็จะคู่กับบอน แต่ถ้ากลุ่ม 3 คนก็จะเป็นผม บอน และจี ชีวิต ม.2 ไม่มีอะไรแตกต่างจากปีที่แล้ว เรียน เล่น ทำการบ้านวนเวียนไปเป็นวัฏจักร

“ไอ้บอน มึงจะหนีไปไหน” มันชะงักเท้าทันทีที่ผมตะโกนถาม ร่างสูงค่อยๆ หันมาพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างราวกับเด็กน้อยที่โดนจับได้ว่าแอบไปทำอะไรผิดมา

“เอออออออออออ กู ... คือออออออออออ กู” มันอ่ำๆ อึ้งๆ เหมือนจะพูดอะไรแล้วก็กลืนกลับลงคอไป

“มึงจะโดดไปหาสาวใช่ไหม” ผมหรี่ตามองอย่างรู้ทัน

“เอ่อน่า กูนัดจุ๊กจิ๊กไว้”

“แต่บ่ายนี้เรานัดกันทำงานกลุ่มนะเว้ย” ผมแย้ง วันนี้วันเสาร์พวกเรามีเรียนพิเศษเสริมกันที่โรงเรียนแค่ครึ่งวันเช้า บ่ายไหนว่างก็ไปเที่ยว กินข้าว ดูหนัง แต่ถ้าต้องทำการบ้านบ่ายวันเสาร์ก็เป็นเวลาที่ดีเพราะสามารถทำได้ไปถึงช่วงเย็น และถ้าไม่เสร็จก็นัดกันวันอาทิตย์ต่อได้

“ก็ ... กูไปก่อนนะ” พูดจบมันก็วิ่งออกจากห้อง

“ไอ้เหี้ย!!! #$*#@><*&&$###@!!!” ผมสาดคำผรุดสวาทตามหลังเพื่อนสนิท แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้อยู่ฟังก็ตาม

“ฮ่าๆๆ”

“ขำไรวะ” ผมถามจีที่ขำไปพลางเก็บของเข้าเป้ไป

“กูเห็นมันลุกลี้ลุกลนตั้งแต่ก่อนหมดคาบ นึกอยู่แล้วว่ามันต้องชิ่ง ... ปะ ไปกินข้าวกัน”

“เออ แม่ง กินแรงชิบหาย ครั้งก่อนโน้นก็หนี” ผมพูดพรางคว้ากระเป๋าตามจีไปโรงอาหาร

โรงอาหารหลังเลิกเรียนวันเสาร์ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ แต่ร้านค้าก็เปิดขายไม่ถึงครึ่ง โรงเรียนผมมีนักเรียนตั้งแต่ ป.1 ถึง ม.6 รวมๆ กันก็น่าจะหลายพันคน เรียนพิเศษวันเสาร์จะมีเฉพาะ ป.1-ม.3 แล้วก็ไม่ได้บังคับเรียน คนเลยหายไปเกินครึ่ง

“มึงกินเหมือนเดิมปะ” จีถาม

“เหมือนเดิม”

“งั้นกูไปซื้อข้าว เดียวมึงไปซื้อน้ำ”

“เอางั้น?”

“เออ จะได้ไม่เสียเวลา”



“กินน้ำเปล่า ไม่เบื่อเหรอวะ” ผมถามจีพลางตักข้าวเข้าปาก

“ไม่นะ ก็ปกตินิ แล้วมึงกินแต่น้ำอัดลมไม่เบื่อเหรอวะ”

“ก็ไม่ มันหวานๆ ซ่าๆ ... ทำไมมึงกินแต่น้ำเปล่า กูไม่เคยเห็นมึงกินน้ำอัดลม น้ำหวานมึงก็ไม่กิน”

“ไม่รู้วะ น่าจะติดมาจากที่บ้านมั้ง ที่บ้านกูไม่มีใครกินน้ำหวานหรือน้ำอัดเลย กินแต่น้ำเปล่า ...” เชี่ย!!! Healthy ไปไหนวะ

“ไข่ดาวไม่สุกนี้ก็ติดมาจากที่บ้านด้วยเปล่า” ผมเหลือบตามองไข่แดงสีส้มเยิ้มๆ บนจานข้าวของจี นอกจากกินแต่น้ำเปล่านี้แล้ว สิ่งหนึ่งที่จีชอบกินมากคือไข่ดาว กินทุกมื้อ อย่างน้อยก็มื้อกลางวัน และจะต้องเป็นไข่ดาวที่ไข่แดงไม่สุกเท่านั้น ถ้าสุกมันไม่กิน ต่างจากกับผมที่กินได้หมดทั้งสุกและไม่สุก

“อืม ... มึงก็น่าจะลองดูบ้าง”

“เออๆ ไว้จะลอง”

“ไอ้เหี้ยบอนนี้ก็เจ้าชู้เหมือนกันนะ ครั้งก่อนกูจำได้ว่าไม่ได้ชื่อจุ๊กจิ๊ก รวมถึงเมื่อครั้งก่อนหน้านี้ด้วย”

“เออ มันแรดไง สงสัยจะเป็นเอดส์ตายเข้าซักวัน ป้องกันบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“มึงพูดจริงดิ ... ไหนๆ เล่าให้กูฟังดิ” คนตรงหน้าทำตาโตเท่าไข่ห่าน จานข้าวที่กินใกล้จะหมดถูกเลื่อนไปวางไว้ด้านข้าง ในขณะที่ผมที่กินได้ไม่ถึงครึ่งเลยตัดสินใจกินไปพูดไป

“กูจะไปรู้รายละเอียดได้ยังไง ไม่ได้แอบอยู่ใต้เตียงมันซักหน่อย”

“มันไม่เคยเล่าให้มึงฟังเหรอ”

“ก็เล่าบ้าง แต่ไม่ได้ละเอียด ส่วนมากก็บอกแค่ว่าได้กันแล้ว”

“พอได้แล้วมันก็เลิกแบบนั้นปะ”

“ก็ไม่ถึงขนาดฟันแล้วทิ้งหรือ one night stand หรอก … มันเป็นคนขี้เบื่อมากกว่า มันเคยเล่าให้ฟังว่าถ้าเมื่อไหร่ที่ไม่รู้สึกใจเต้นเวลาอยู่กับเขาแล้วมันก็เลิก”

“เชี่ยยยยยยย ... idol สาสสสสสสสส”

“...” ผมขมวดคิ้ว แม้เราจะอยู่กลุ่มเดียวกันแต่ผมกับจียังไม่ได้สนิทกันถึงขนาดพูดเรื่องใต้ร่มผ้ากัน เหมือนผมกับบอน

“เปล่าๆ อย่าเข้าใจกูผิด กูไม่ใช่คนแบบนั้น ...”

“... ไม่ใช้จริงๆ แฟนกูยังไม่เคยมีเลยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย” มันรีบอธิบายเมื่อถูกผมหรี่ตามอง

“เออ กูก็ไม่ได้ว่าอะไร แกล้งมึงไปงั้น” ผมละความสนใจจากจีแล้วกลับมากินข้าวต่อ

“แล้วมึงละ มีแฟนยัง”

“ฮึ ยังอะ ยังไม่เคยมีแฟนเลย” ผมพูดพลางส่ายหัว

“เดียวเจอคนที่ใช่เมื่อไหร่ ก็มีเองแหละเนอะ” พูดกัน 2 คนก็เออออกันเอง 2 คน


“มึง ตรงนี้เอาไวดีวะ” ผมใช้ข้อศอกสะกิดจีที่นั่งอยู่ข้างๆ พวกเราย้ายมาทำงานที่ห้องสมุดเนื่องจากเป็นสถานที่เดียวในโรงเรียนที่มีคอมให้ใช้ทำงานได้

“ไหนวะ ...” จียื่นหน้าเข้ามา

“... กูว่ามันเอาเนื้อหาตรงนี้มาต่อได้นะ ...” มันพูดพลางหันไปลื้อกองหนังสือที่วางอยู่ข้างๆ

“... อะ อันนี้ แล้วก็ต่อด้วยเล่มนี้ เล่มนี้ และเล่มนี้ กูคั่นหน้าไว้ให้หมดแล้ว” ผมรับหนังสือที่จีส่งมาให้รัวๆ ยอมรับตามตรงว่าชีวิตผมดีขึ้นมากเมื่อมีจีมาเป็นสมาชิกในกลุ่ม หลังจากรู้จักกันได้ไม่นานผมก็รับรู้ได้ว่ามันเป็นคนฉลาดแล้วก็ตั้งใจเรียนมาก สอบ midterm ที่ผ่านมาจีได้คะแนนอันดับ 2 รองจากแอมป์ ตอนนี้งานกลุ่มเดินหน้าเร็วมาก ถ้าเป็นสมัยที่ผมกับไอ้บอนทำกัน 2 คน ไม่ต่างอะไรกับเรือวนอยู่ในอ่าง หรือบางครั้งอาจจะเหลือมผมอยู่คนเดียวที่วนอยู่ในอ่าง แต่ตอนนี้บอกเลยว่าไม่ได้สัมผัสเหตุการณ์แบบนั้นมานานมาก พูดได้เต็มปากเลยว่าจีคือ “เดอะแบก” ของกลุ่มที่แท้จริง

ปลายนิ้วของผมเคาะลงบนแป้น keyboard ตามประโยคที่จีบอกทุกกระเบียนนิ้ว เราทำงาน หยุดพัก แล้วก็กลับมาทำงาน รู้ตัวอีกทีบรรณารักษ์ก็เดินมาบอกว่าห้องสมุดจะปิดในอีก 15 นาที

“แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วมั้ง ... เก็บไว้ให้ไอ้บอนมันทำบ้าง”

“พวกมึงงงงงง” โคตรเฮี้ยน พูดถึงมันก็โผล่หัวมา

“ไอ้เหี้ย มาได้เวลาพอดีเลิกเลยนะ ... เป็นไง สบายกายสบายใจเลยซิ ... อิ่มเลยไหมมึง ...”

“... กินแรงพวกกูมาตั้งแต่กลางวันเนี่ย” ยิ่งเห็นหน้ามันแล้วก็ยิ่งหมั่นใส้ มีความสุขมาซิมึง

“โห้ยยยยย มิลค์ ...” โหยหวนอย่างกับผีเปรตขอส่วนบุญ ไม่ได้เข้ากับรูปร่างสูงใหญ่ของมันเลยแม้แต่น้อย

“... อย่าพูดแบบนั้น กูก็รู้สึกผิดถึงได้ซื้อขนมมาฝากพวงมึงไง” มันยื่นถึงขนมมาให้ผมกับจีคนละถุง

“ขอบใจมึง” จีสะดุ้งทันทีที่พูดประโยคนี้จบเพราะถูกผมตวัดสายตามองแรง ไอ้นี้ก็คนดีเกิน โดนกินแรงกี่ครั้งกี่ครั้งก็ไม่เคยบ่น

“มึงคิดว่ากูซื้อได้ด้วยขนมเหรอ ... ไอ้บอน กูบอกมึงกี่ครั้งแล้วว่ากูไม่แดกรสสตอเบอร์รี่ มึงเห็นกูเป็นน้องจุ๊กจิ๊กของมึงหรือไง”

“สตอร์เบอร์รี่ก็เข้ากับหน้าแบ๊วๆ ของมึงอยู่นะ ... หรือไม่ก็เข้ากับนิสัยสตอเบอร์รี่ของมึง” มันต่อล้อต่อเถียงด้วยสีหน้ากวนอวัยวะเบื้องล่างขั้นสุด

“ไอ้เหี้ยบอน ... นอกจากนิสัยเหี้ย กินแรงคนอื่น แล้วยังปากหมาอีก ... กูขอให้มึงได้กับผู้ชาย เออใช่กูขอให้มึงได้กับอีชาช่า”

"ชาช่าห้อง 26 ชอบบอนเหรอ” จะบอกว่านอกการเรียนเก่งแล้ว จียังเม้าท์เก่งอีกต่างหาก พอได้ยินประโยคเมื่อครู่คนข้างตัวถึงกับหูตั้งเลยทีเดียว

“ใช่ ชอบมากกกกก มันมาติดสินบนกู อืมมมมม #$$$$######%&” พูดไม่ทันจบประโยค มือหนาของไอ้บอนก็เอื่อมมาอุดปากผมไว้ อย่าให้เรา 2 คนได้เผ่ากันเลย รับรองว่าศพไม่สวยทั้งคู่

“แล้วนี้พวกมึงจะกลับเลยหรือเปล่า” มันถามหลังจากที่แกล้งผมจนพอใจ

“กลับเลย ... อันนี้ของมึง แก้คำผิด จัดรู้หน้า ทำปก แล้วก็ print … งานถนัดมึงไม่ใช้เหรอทำหน้าปก” ผมยื่นแผ่น floppy disc สีดำให้มัน

“บ่นจังวะ เป็นเมียกูหรือไง” มันทำหน้ามุ้ยแล้วก็ดึง floppy disc ออกจากมือผม

“ใครจะเอามึงลง ... แล้วมึงกลับไง” แค่คิดก็สยองจนต้องเก็บไปฝันร้ายแล้ว

“เดียวรอรถที่บ้าน ... แล้วพวกมึงกลับด้วยกันเหมือนเดิมปะ”

“เออ เดียวกลับ taxi” ไอ้บอนมีคนขับรถคอยรับคอยส่ง จริงๆ แล้วเหตผลที่มันกลับมาโรงเรียนไม่ใช้เพราะเป็นคนดีเอาขนมมาให้พวกผมหรอกแต่มันกลับมารอคนขับรถเพราะถ้าไปรับมันที่อื่น ป๊าม้าจะรู้ทันทีว่าลูกชายตัวแสบหนีเที่ยว

หลังจากแยกย้าย ผมกับจีเดินออกไปเรียก taxi หน้าโรงเรียน ถ้าวันไหนกลับพร้อมกันเรากลับ taxi คันเดียวกันเพราะบ้านเรา 2 คนอยู่ใกล้กัน ขากลับก็ขอให้พี่ taxi ส่งจีลงก่อนแล้วก็ขับเลยมาส่งผม



.. 'G'

“ว่าไงมึง” ผมรับสายเพื่อนที่เพิ่งแยกจากกันเมื่อ 20 นาทีก่อน

“ถึงบ้านยัง”

“ถึงแล้วมีไรเปล่า”

“เปล่า แค่โทรถามว่าถึงยัง”

“เออมึง ติวหนังสือให้กูหน่อยดิ กูอยากเก่งเหมือนมึงบ้าง” ว่าจะถามตั้งแต่บ่ายแล้วแต่ก็ลืม

“ได้นะ แต่กูก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้น”

“ไม่เป็นไร ขอแค่ให้กูเก่งกว่านี้กูก็โอเคแล้ว ติวทุกวันเสาร์หลังเลิกเรียนพิเศษได้ปะ”

“เอาดี นี่มึงชวนไอ้บอนยัง”

“ยังๆ นี่กูคุยอยู่กับมันอีกสาย เดียวเชื่อมสายแป๊บ...”

“...บอน กูขอให้จีติวหนังสือให้ บ่ายวันเสาร์ มึงมาติวด้วยกันนะ”

“เออได้ ตามนั้น เริ่มเมื่อไหร่”

“เสาร์หน้าก็ได้” จีตอบ

“ตามนั้น แยกย้ายนะมึง เหนื่อยแหละ” ผมตัดบทเพราะว่าเหนื่อยมาก อยากอาบน้ำ กินข้าว เล่นเกม แล้วก็นอน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-04-2025 15:15:23 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สวัสดีครับผู้อ่านทุกคน
เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของผม ตั้งใจจะให้เป็นแนว Coming of age ที่มีครบทุกความรู้สึกทั้งยิ้ม หัวเราะ และร้องไห้ มีดราม่าบ้างพอให้มีรสชาด และมี NC นิดหน่อยให้พอหวือหวา

อยากจะชวนคนอ่านเข้ามาพูดคุยและเป็นกำลังใจให้นักเขียน แล้วมาลุ้นไปด้วยกันครับว่าเราจะพามิลค์เดินไปได้ไกลแค่ไหน
หวังว่าทุกคนจะชอบนิยายเรื่องนี้ ถ้ามีอะไรจุดไหนที่อยากให้แก้ไขปรับปรุง บอกได้เลยนะครับ

ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เจอกันอีกทีวันอาทิตย์นะครับ

เอารูปเพื่อนสนิท มิลค์และบอน มาฝากทุกคนครับ  :katai2-1:

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 2
«ตอบ #4 เมื่อ20-04-2025 10:01:21 »

ตอนที่ 2 : จังหวะต้องห้าม


“... แล้วพอย้ายข้างสมการ ก็จะได้คำตอบ” พูดจบจีก็ทำเครื่องหมาย '#' กำกับหลังตัวเลขที่เป็นคำตอบ ... โคตรเทพ คนอะไรแก้โจทย์เลขยากๆได้ง่ายเหมือนปลอกกล้วย ไม่นับรวมว่าสามารถอธิบายให้คนโง่เลขอย่างผมเข้าใจได้ ต้องขอบคุณจีที่ทำให้การสอบเก็บคะแนนครั้งสุดท้ายก่อนสอบ final ของผมได้คะแนนดีกว่าที่คาด นับเป็นครั้งแรกของมนุษย์ต่ำกว่า mean แบบผม

“พวกมึงงงงง กูมาแล้ว” ไอ้บอนยิ้มหน้าระรื่นมาแต่ไกล ผมเหลือบมองเข็มบนนาฬิกาข้อมือ ... มาทำไมตอนนี้วะ อีกชั่วโมงนึงก็จะเลิกแล้ว

“มึงยังยิ้มหน้าระรื่นอีก ในห้องก็ไม่เรียน ไอ้จีมาติวให้มึงก็โดดไปแรด” ผมเปิดฉากด่าทันทีที่มันหย่อนตัวลงที่นั่งข้างๆ

“มึงนี่ขี้บ่นจังวะ กูซื้อขนมมาฝาก” มุกเดิม ไม่เพิ่มเติมอะไรซักนิด 

“โอ้ยยยยยยยยยย!!! กูบอกมึงกี่ครั้งแล้วว่าไม่แดกรสสตอเบอร์รี่ ถ้ามึงจะซื้อมาไถ่โทษก็ช่วยซื้ออะไรที่กูแดกได้หน่อย” บ่นแต่ก็ฝืนหยิบขนมในถุงเข้าปาก

“ก็แดกได้นิ บ่นไรนักหนาวะ” มันไหวไหล่เหมือนไม่แคร์อะไรทั้งนั้น

“มาแล้วก็ตั้งใจเรียน อยากน้อยจะได้มีอะไรติดสมองกลับไปบ้าง”

 :z6: ป๊าบ!!!!!!!!!   

“เหี้ยมิลค์ กูเจ็บไหมมึง ฟาดมาได้” ขอเอาสมุดฟาดหัวมันซักที หมันไส้กับสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวของมัน

“นอกจากขี้เลื่อยแล้ว ก็เอาตัวขี้เกียจออกไปด้วย” ผมกับบอนยังต่อล้อต่อเถียงกันอีกหลายประโยคจนกระทั่งจีเอ่ยปากบอกว่าจะเริ่มติวต่อแล้ว

... เริ่มได้ไม่ถึง 10 นาที โทรศัพท์มือถือของไอ้บอนก็ดังขึ้น

“ฮาโหล มินต์เหรอ คุยได้ ... กับมินต์ เราคุยได้อยู่แล้ว” ไอ้บอนกรอกคำหวานผ่านโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะลุกออกจากโต๊ะ รองจากแมลงสาบแล้วก็เสียงเวลาคุยกับสาวๆของมันนี่แหละที่ผมเกียจเข้าไส้

“มึงทำหน้าตลก” จีแซว เพราะอดไม่ได้ที่จะเบ้ปากมองบนให้กับเสียง 3 ของไอ้บอน คนอะไร เปลี่ยนแฟนเหมือนเปลี่ยนถุงเท้า

“เหม็นความรักวะ!!!” 

“Final ไอ้บอนมันจะรอดไหมเนี่ย” คิ้วของผมขมวดกันเป็นปมเมื่อได้ยินประโยคคำถามของจี

“ไม่รู้จะทำยังไงกับมันแล้ว พูดก็โกรธ” ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เป็นห่วงมันแหละ ในขณะที่สอบครั้งล่าสุดผมทำคะแนนได้ค่อนข้างดี แต่บอนกลับแย่ลงไปกว่าเดิม ความตั้งใจในการเรียนของมันลดลงกว่าเดิมมาก วันๆไม่ทำอะไรนอกจากเล่น แอบหลับในห้องเรียน แล้วก็โดดเรียนไปหาสาวๆ ... เมื่อก่อนมันไม่ใช้คนแบบนี้ แม้จะเรียนไม่เก่ง แต่ยังใส่ใจมากกว่านี้ ผมว่าเป็นเพราะมันสนใจแต่เรื่องจีบหญิง ปฏิเสธไม่ได้ตั้งแต่มันขึ้น ม.2 รูปลักษณ์ภายนอกของมันก็เปลี่ยนไป ตัวสูงขึ้น กล้ามเนื้อเยอะขึ้น ใบหน้าคมขึ้น พูดง่ายๆคือหล่อขึ้น บวกกับความอัธยาศัยดีของมัน บ่อยครั้งผมก็เริ่มแยกไม่ออกแล้วว่ามันแค่เป็นคนเข้าถึงได้ง่าย หรือว่าเจ้าชู้กันแน่ ... เคยเตือนหลายครั้ง มันก็ทำตลกแดกเฉไฉไปเรื่อย พอต้อนจนมุมก็อารมณ์เสียกลบเกลื่อน

“งั้นเรากลับมาติวต่อเนอะ”

ติวจบแล้วก็ไม่มีวี่แววของไอ้บอน มันหายไปเลยตั้งแต่รับสาย เหนื่อยใจกับมัน แม้ผมกับจีสลับกันโทรหาแต่มันไม่รับ

“เอาไงกับกระเป๋ามันดี” จีถาม เพราะเรานั่งรอมันมาครึ่งชั่วโมงแล้ว

“เดียวกูเอากลับเอง ... ไปเถอะ มันอาจจะกลับไปแล้ว นึกได้เดียวก็โทรมา”



"ไอ้บอน อะ!!! ของมึง” ผมวางกระเป๋าลงบนโต๊ะของมัน ดูสีหน้าก็รู้ว่ามันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าลืมกระเป๋า

“เออ ขอบใจวะมึง ... กูลืมไปแล้วนะเนี่ยว่าลืมกระเป๋าไว้ที่โรงเรียน” คำตอบของมันทำให้ผมอยากจะฟาดกระเป๋าใส่หน้า

“วันนั้นมึงไปไหนมาวะ” ผมถามพร้อมกับหย่อนตัวลงนั่ง จีมาถึงก่อนผม มันกำลังหันไปคุยอะไรซักอย่างกับแอมป์

“ไปหามิ้นต์มาแป๊บนึง กลับมาโรงเรียนอีกทีคิดว่าพวกมึงน่าจะกลับกันแล้วเลยไม่ได้โทรหา ... อะ อันนี้รายงานวิชาสังคม กูเช็คคำผิด จัดหน้า พิมพ์หน้าปกให้เรียบร้อย”

“เออ โอเค” ผมรบมาแล้วเปิดดูความเรียบร้อย หน้าแรกๆทุกอย่างปกติดี แต่พอเข้ากลางเล่มถึงได้เห็นความ ‘ฉห’ อยู่รำไร

“ไอ้บอน!!!”

“อะไร / ไรวะ” ทั้งมันกับจีประสาทเสียขึ้นพร้อมกัน สีหน้าแตกตื่น

“มึงไม่ได้ดูก่อนเย็บเล่มมาเหรอวะ ข้างในมันตัวอักษรอะไรของมึงเนี่ย” ผมแหกรายงานให้มันดูชัดๆ เจ้าตัวหน้าเสียไปทันทีที่เห็น

“กูว่ากูเช็คแล้วนะ เอาไงดีวะ” แล้วรอยยิ้มเจือนๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าเพื่อนสนิท

“ไอ้เหี้ย อีก 10 นาทีจะเข้าแถวแล้วด้วยจะทำอะไรก็ต้องรีบทำแล้วมึง”

“กูคิดออกแล้ว ...” คำพูดของจีเหมือนประตูสวรรค์ของพวกเรา

“... มึงเอา floppy disc ที่ save งานมาปะ”

“เอามาดิ” มันล้วง floppy disc ออกมาจากกระเป๋า

“โดดออกไป print ที่ร้านเจ้ซอยข้างโรงเรียน”

“ไอ้บอนมึงรีบไปเลย” ผมหันไปบอกมัน

“ไม่ได้ๆ เมื่อเช้ากูเจอจารย์นกแล้วถ้ากูหายไปเขาก็รู้ว่ากูโดดซิวะ ... ไอ้จีมึงรู้นิว่ามันอยู่ไหน มึงไปดิ”

“กูก็เจอแล้วเหมือนกัน” แล้วสายตาของทั้ง 2 คนก็จ้องมาที่ผม เพราะวันนี้มาสายกว่าปกติ เลยยังไม่เจอครูประจำชั้น

“กูไม่รู้จักร้าน” คำตอบของผมทำให้ความหวังของทั้งกลุ่มพังทลาย

“กูรู้แล้ว ... แอมป์ วันนี้มึงเจอจารย์นกยัง” จีหันไปหาเพื่อนร่วมห้องเมื่อปีก่อน

“ยังวะ”

“มึงรู้จักร้านเจ้ที่อยู่ถัดไป 2 ซอยปะ ปีก่อนที่โดดไป print งานกันนะ”

“รู้ ทำไมวะ”

“มึงพาไอ้มิลค์ไปหน่อย ...”

“... พวกกูเลี้ยงข้างกลางวันมึงทั้งอาทิตย์เลย” พอเห็นแอมป์ขมวดคิ้ว จีก็รีบยื่นสินบนให้ทันที

“ไอ้มิลค์จะไหวเหรอ มันเรียบร้อยซะขนาดนี้” บอนกระซิบถามจี แต่ผมบังเอิญได้ยิน

“มันไม่มีทางเลือกวะ กูกับมึงเกมแล้วเหลือแต่มัน” จีตอบ สายตาทั้ง 2 คนมองผมด้วยความหวัง

“ก็ได้ ไปดิ ... มึงเคยโดดเรียนไหม ...” ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบ แอมป์ก็ตอบรับข้อเสนอ ประโยคแรกมันพูดกับจี ประโยคถัดมาพูดกับผม พอผมส่ายหัว แอปม์ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“...เอากระเป๋าเรียนไปด้วย ...” ผมขมวดคิ้ว จะเอาไปทำไมวะ

“...ขากลับเข้าประตูหน้า จะได้อ้างได้ว่ามาสาย...”  ที่พูดมาก็มีเหตุผล สงสัยมันจะโดดเรียนบ่อยเลยรู้ technique

“...ทำตามที่กูบอก แต่ถ้าถูกจับได้ก็ตัวใครตัวมันนะ” ผมไม่มีทางเลือกนอกจากพยักหน้า แล้วเดินตามแอมป์ออกจากห้อง... คนเหี้ยอะไร ดุฉิบหาย

หลังจากออกมาได้ไม่เท่าไหร่ เพลงประจำโรงเรียนก็ดังขึ้นเป็นสัญญานให้นักเรียนออกมาตั้งแถวหน้าห้อง รอบๆเลยวุ่นวายเล็กน้อยเพราะทุกคนทยอยออกมาจากห้องเรียน ผมรีบก้าวเท้าตามแอมป์ที่อาศัยจังหวะชุลมุนหลบไปหลังโรงเรียนได้อย่างรวดเร็ว เพราะถ้าเพลงจบเมื่อไหร่พวกเราจะเป็นจุดสนใจของครูและพี่ยามทันที ... พวกเราเลี้ยวมาหลบหลักตึกได้ทันก่อนเพลงจะจบพอดี

“โอ้ย... โทษๆ” เพราะมัวแต่ระแวงหันมองซ้ายทีขวาทีเลยชนเข้ากับแอมป์ที่หยุดเดินกะทันหันจนเจ้าตัวเดินเซไปข้างหน้าหลายก้าว

“ระวังซิวะ...” มันหันกลับมามองผมตาเขียว ผมเลยได้แต่ผงกหัวเป็นเชิงขอโทษ เราไม่สนิทกันเท่าไหร่ ตั้งแต่เปิดเทอมน่าจะเคยคุยกันไม่กี่ประโยค

“...มึงเห็นตรงนั้นไหม” ผมไล่สายตาตามนิ้วมือของแอปม์ ผ่านลานจอดรถหลังโรงเรียน มุมกำแพงสุดริมรั้วมีถังขยะใบใหญ่ตั้งอยู่

“เห็น”

“เดียวกูไปดูต้นทางให้ก่อน มึงตามหลังกูมา ก้มหัวไว้อย่าให้ยามที่เดินตรวจจับได้ พอถึงตรงนั้นปีนถังขยะข้ามกำแพงไปฝั่งโน้น ...”

“... อย่าให้โดนจับได้ แล้วที่สำคัญอย่าเสือกโง่ตกลงไปในถังขยะ” สายตามันโคตรจะดูถูกผม ผมไม่เคยโดดเรียน แม้จะไม่ใช้เด็กเนิร์ดแต่ผมก็ไม่เคยทำผิดระเบียบของโรงเรียนแม้แต่น้อย

“เออ!!!” ถึงจะเป็นเรื่องจริง แต่ก็อดไม่ได้เลยกระแทกเสียงใส่มะนไปที

แอมป์ยื่นหน้าออกจากมุมตึก ผมเห็นพี่ยามเดินอยู่ฝั่งตรงข้ามของลานจอดรถ คำนวณจากระยะห่างแล้ว เราน่าจะแอบออกไปได้ไม่ยากอย่างที่คิด

“ไป!!!” พูดจบมันก็ย่อตัวแล้วเดินเลียบกับตัวรถไปเรื่อย ทิ้งระยะห่างครู่หนึ่งผมถึงเดินตามออกมา หัวใจผมเต้นแรง เหงื่อออกเต็มมือ ไม่คิดว่าจะตื่นเต้นขนาดนี้กับการแหกกฎโรงเรียนครั้งแรก

มาได้ครึ่งทาง ผมก้มตัวต่ำ เดินๆหยุดๆตามจังหวะของคนข้างหน้า ทุกอย่างดูง่ายกว่าที่คิดเพราะพี่ยามอยู่ไกลเลยไม่มีอะไรน่ากังวล หรือจริงๆแล้วผมก็มีพรสวรรค์กับการแหกกฎโรงเรียนอยู่บ้าง

   ... 'Bon'

อวยตัวเองได้ไม่ถึงนาที แล้วความ ‘ฉห’ ก็มาเยื่อน ไอ้เหี้ยบอนจะโทรมาทำไมตอนนี้วะ เสียง ringtone ดังลั่นลานจอดรถ ผมรีบล้วงมือเข้าไปหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเปากางเกง แต่ด้วยความตกใจกว่าจะตั้งสติแล้วกดปิดเสียงได้ก็ใช้เวลาไปพอสมควร 

“เฮ้ย!!! ไปดูซิว่ามีนักเรียนแบบอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า” เสียงยามตะโกนคุยกันข้ามลาน ผมรีบก้มตัวลงมองผ่านใต้ท้องรถ เห็นฝีเท้าพี่ยามกำลังเดินใกล้เข้ามา หัวใจเต้นแรงจนสั่น หันซ้ายขวาไม่เห็นแม้แต่เงาของแอมป์ มันชิ่งผมไปแล้ว ... กลัวจนขาก้าวไม่ออก ตายแน่ไอ้มิลค์ ถ้าโดนจับได้ต้องเข้าห้องปกครอง โดนตัดคะแนน ตายๆๆๆๆๆๆๆ

“มานี่”

“แอมป์”

“หุบปากแล้วตามกูมาเงียบๆ” มันกดเสียงต่ำ ก้มมองผ่านใต้ล้อรถเหมือนที่ผมทำ พอมันขยับ มือของผมก็คว้าต้นแขนมันไว้แน่น แอมป์หันกลับมา คิ้วหนายกสูงเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว

“กูก้าวขาไม่ออก” ผมสารภาพแบบไร้ซึ่งความอาย

“ภาระสัส ๆ” น้ำเสียงของมันไม่สบอารมณ์อย่างมาก ก่อนที่มือหนาจะคว้าเข้าที่ข้อมือของผม ผมก้าวขาตามคนข้างหน้าราวกับคนไร้สติ มันเดินแล้วหยุดก้มตัวมองผ่านใต้ท้องรถเป็นระยะๆ เราเดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาจนผมหลงทิศ ก่อนจะหยุดอยู่หลังรถตู้คันใหญ่ มือหนายังกำรอบข้อมือของผมไว้ ผมหายใจหอบ ขาสั่นจนต้องทรุดตัวลงนั่งกับพื้น เชี่ยแม่ง ไม่ไหวจริงๆ เรี่ยวแรงหายไปไหนหมดวะ

“แดกซะ” บางอย่างถูกยื่นมาตรงหน้า ยังไม่ทันได้ตอบสิ่งนั้นก็ถูกยัดเข้ามาในปาก

ลูกอมค่อยละลายในปาก ทันทีที่รับรสได้ว่ามันคือลูกอมรสสตอร์เบอร์รี่ ความคิดแรกคือคายทิ้ง แต่ถ้าผมคายออกมามีหวังโดนแอปม์บีบคอตายอยู่หลังโรงเรียน เลยได้แต่ฝืนอมไว้ ... น่าแปลกใจที่ความหวานและกลิ่นหอมของสตอเบอร์รี่ช่วยเรียกสติของผมให้กลับคืนมา

“ไปได้แล้ว...” แรงกระตุกที่ข้อมือทำให้ผมค่อยๆยันตัวขึ้นจากพื้น แล้วก้าวขาตามแอมป์ทุกฝีก้าว 

“...ตอนจะข้ามกำแพงต้องรีบหน่อย เดียวยามเห็น กูไปก่อนจะได้ดูต้นทางฝั่งโน้นให้ ...”

“...กูนับ 1 2 3 แล้วตามกูมา...” ผมพยักหน้า

“1 ... 2 ... 3 ... ไป!!!” มือหนากึ่งดึงกึ่งลากให้ผมเดินตาม ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ขาของผมก้าวเหยียบลงบนถังขยะตามคนตรงหน้า รู้ตัวอีกทีผมก็โดดลงมาจากกำแพงเรียบร้อย

“เหี้ย!!!” จังหวะที่ลงพื้น ผมเบรกตัวเองไม่ได้เลยไถลไปอีกหลายก้าว ถ้าไม่ได้แอมป์คว้าเอวไว้รับลองว่าได้จับกบอยู่หลังโรงเรียน

“มึงนี่ทำเหี้ยอะไรเป็นบ้างวะ ...” ผมหันกลับไปมองคนที่ประกบซ้อนอยู่ข้างหลัง ยังไม่ทันได้เถียง แอมป์ก็พูดเสียงแข็งใส่

“... เขยิบไป ...เหยียบตีนกู” อิเหี้ย!!! ดุอย่างกับหมา

“ขอโทษ” ผมพูดในจังหวะที่ต้องก้มตัวเอามือยังหัวเข่าเอาไว้ เหนื่อยราวกับหมาหอบแดด

“มึงไหวไหม” น้ำเสียงที่ลดโทนเข้มๆลงดังขึ้นจากด้านหลัง

“ไหว แต่ขอพัก ... แป็นนึง ... ขอบใจ ... ไม่ได้มึง กู ... แย่แน่เลย” ประโยคที่พูดออกมาขาดๆหายๆ ทำให้ตอกย้ำว่าที่ผ่านมาตัวเองออกกำลังกายน้อยไป ใช้แรงแค่นี้ถึงกับเหนื่อยจนหายใจแทบไม่ทัน

“เหนื่อยก็เก็บแรงไว้หายใจ พูดมากจนเป็นลมไป ลำบากกูต้องหิ้วมึงไปส่งห้องพยาบาลอีก” ความรู้สึกดีประมาณสิบแต่ความรู้สึกเกียจเกินล้าน คนอะไรมนุษยสัมพันธ์ติดลบ



“ไอ้มิลค์ กูคิดว่ามึงจะไม่รอดซะแล้ว” ไอ้บอนหันมากระซิบทันทีที่เห็นผมเดินเข้ามานั่ง ผมกลับเข้ามากลางคาบที่ 2

“จะไม่รอดก็เพราะมึงเนี่ยแหละ โทรมาทำเหี้ยอะไรกูเกือบถูกจับได้” ผมพูดออกมาตามไรฟัน มองหน้ามันตาเขียวปัด มันยิ้มแห้ง แต่มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าไม่ความสลดอยู่ในนั้นเลย

“ไอ้แอมป์ละ” จีกระซิบถามมาจากด้านหลัง ยังไม่ทันได้หันไปตอบแอมป์ก็เดินเข้ามาในห้อง

ร้านเจ้ไม่ได้อยู่ห่างจากโรงเรียนเท่าไหร่ เดินไม่ถึง 10 นาทีก็ถึง ขากลับ เพื่อความแนบเนียน แอมป์ให้ผมเดินเข้าโรงเรียนมาก่อน มันบอกจะไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อก่อนแล้วค่อยเข้าโรงเรียน

“เป็นไงบ้างวะ โดดเรียนครั้งแรก” จีถามทันทีที่หมดคาบเรียน ผมเลยหันหลังกลับไปคุย

“ตื่นเต้นโคตร เกือบไม่รอด ...”

“...ถ้าไม่ได้แอมป์ช่วยกูโดดจับได้ชัวร์” ภาพจำย้อนกลับไปยังเหตการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า ในจังหวะที่เขาถามผมว่าไหวไหม ทำให้ผมรู้ว่าภายใต้ภาพลักษณ์ที่ดูเป็นคนแข็งกระด้างลึกๆแล้วกลับมีความอ่อนโยนซ่อนอยู่

 สายตามองข้ามไหล่ของจีไปยังคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของห้อง ในจังหวะเดียวกันนั้นแอมป์หันมาสบสายตาของผมพอดี ผมส่งยิ้มให้ แต่เจ้าตัวกลับทำหน้าตึงใส่แล้วก็หันกลับไป

ชั่ววินาทีที่สบตาผมรู้สึกเหมือนมือของแอมป์ยังคงกำรอบข้อมือของผม สัมผัสเพียงชั่วครู่แต่กลับฝังรากลึกลงในจิตใต้สำนึก ไอร้อนจากฝ่ามือหนา แรงบีบไม่ได้มากจนผมรู้สึกเจ็บแต่ก็ไม่ได้เบาจนรู้สึกสบายตัว น้ำเสียงที่ออกคำสั่งแกมกึ่งบังคับ  ทันใดนั้นจังหวะการหายใจก็เหมือนจะขาดหายไปดื้อๆ หัวใจกระตุกเหมือนถูกไฟช๊อต เลือดลมสูบฉีด เป็นความรู้สึกที่ผมไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนแต่ที่แน่ๆมันใช้ความกลัว ... แต่เป็นอะไรบางอย่างที่ผมไม่กล้ายอมรับออกมา


ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สวัสดีครับทุกคน ตอนที่ 2 แล้วนะครับ  :mc4:

กลิ่นอายของตอนนี้ชัดเจนว่าอยู่ในช่วงยุค 2G ... พวกเราเลยได้เห็น item ในตำนานอย่าง floppy disk ที่ตอนนี้น่าจะสูญสลายไปจากโลกใบนี้แล้ว


อยากจะชวนคนอ่านเข้ามาร่วมพูดคุยกัน
หวังว่าทุกคนจะชอบครับ  :bye2:

เอารูปมิลค์-แอมป์ทำภารกิจเสี่ยงตายมาฝากครับ

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :katai4: :katai5:

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สวัสดีครับ ผู้อ่านทุกท่าน
อย่างแรกเลยคือขอบคุณทุกคนครับที่เข้ามาอ่าน
รู้สึกตกใจมากที่เปิดมาอีกทีและเห็นว่ายอดอ่านเพิ่มมาจากหลักร้อยเป็นพันกว่า

ความตั้งใจแรกคืออยากแต่งนิยาย Coming of age จริงๆ ที่เราจะได้เห็นตัวละครเติบโตทั้งด้านร่างกาย จิตใจ ความรูู้สึกนึกคิด และมุมมอง-ทัศนคติ ... time line ของนิยายจะยาวพอให้เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไปด้วยกัน

เพื่ออรรถรสในการอ่านเลยขอกระซิบว่าในนิยาย ผมวางเศษขนมปังเอาไว้หลายจุด
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในตอนนี้ อาจจะมาโผล่อีกทีในตอนถัดๆไป
ถ้าใครหาได้ว่าเศษขนมปังมีอะไร มาคุยกันได้นะครับ ผมอยากรู้ว่า... “มีใครมองออกบ้างไหม”

หวังว่าทุกคนจะสนุกกับนิยายเรื่องนี้
และอีกครั้ง ... "ขอบคุณครับ สำหรับพันวิวแรกของชีวิต"


พาน้องมาทักทายทุกคนครับ

มิลค์ : "แวะมายิ้มหวาน ขอบคุณทุกคนที่อ่านนะครับ ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือโดดเรียนเป็นแล้ว"
#รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ตรงนี้ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Teaser ตอนที่ 3 : รักแรก



บางความรู้สึก... เริ่มต้นจากลูกอมรสหวาน

ผมก้มๆเงยๆอยู่หน้าตู้โชว์ขนม เดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบจนสุดท้ายก็ตัดสินใจลองดูซักครั้ง ... พรุ่งนี้วัน Valentine’s ถ้าไม่ใช้พรุ่งนี้ ผมก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว ... เอาวะ เป็นไงเป็นกัน

“เอาอันนี้ครับ...” ผมชี้นิ้วผ่านกระจกบานใส่ไปยังถาดใส่ลูกอมสีชมพูสดใส

“...ผูกโบว์ให้ผมด้วยนะครับ”

ผมมองดูขวดแก้วที่บรรจุลูกกวาดสีสันสดใสในมือ ความหวังทั้งหมดฝากไว้กับของขวัญชิ้นนี้ ... ผมไม่ได้หวังอะไรตอบแทนแต่อย่างน้อยขอให้ได้บอกความในใจ

----------

มิลค์ : "เจอกันวันอาทิตย์ครับ ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือมีความรัก"

#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่อยู่ตรงนี้ด้วยกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-04-2025 23:29:48 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 3
«ตอบ #9 เมื่อ27-04-2025 10:37:57 »

ตอนที่ 3 : รักแรก



เทอม 1 ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ต้องขอบคุณจีที่ทำให้เกรดเฉลี่ยของผมดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา จนตอนนี้พวกเรา (หรือจริงๆมีแค่ผมกับจี) มีนัดติวกันทุกวันเสาร์หลังเลิกเรียนพิเศษ ... หนักใจกับไอ้บอนจริงๆ เพราะเกรดเฉลี่ยของมันเทอมที่ผ่านมาแย่ลงอีก เตือนหลายรอบแต่มันก็ยังทำตัวเหมือนเดิม

“จี...” ตัวของผมแข็งทื่อ หัวใจเต้นแรงทันทีที่ได้ยินเสียง

“...มึงมีปากกาให้กูยืมไหม กูลืมเอามา”

“ไม่มีวะ ... มิลค์ ?” แรงสะกิดที่หัวไหล่ทำให้ผมเลี่ยงไม่ได้ที่จะหันตัวกลับไป

“อะ เออ ว่าไง” ผมมองหน้าจี พยายามสุดชีวิตที่จะไม่เหลือบตาไปมองแอมป์

“มึงมีปากกาอีกด้านให้แอมป์ยืมปะ”

“เดี๋ยวหาก่อนนะ ...”

“... เราเหลือแต่ปากกาสีดำ ใช้ได้เปล่า” ผมถาม สุดท้ายก็เลี่ยงไม่ได้ต้องสบตา ผมส่งยิ้มจางๆให้แต่สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงสีหน้านิ่งสนิท ...  ผมพยายามทำตัวให้เป็นปกติ ไม่อยากให้ใครจับได้ว่าผมประหม่าทุกครั้งที่อยู่ใกล้แอมป์

“ได้ ... ขอบใจ”

“อ๊ะ อืมมม ไม่เป็นไร” แอมป์กลับไปนั่งที่แล้ว ส่วนผมต้องใช้เวลาซักพักเพื่อดึงสติของตัวเองกลับมา

ความรู้สึกของผมที่มีให้แอมป์เปลี่ยนไปตั้งวันที่มันพาผมออกนอกโรงเรียน ตอนแรกผมไม่เข้าใจว่าความรู้สึกนั้นมันคืออะไร และแม้จะพยายามหนีความรู้สึกของตัวเองมากแค่ไหน สุดท้ายผมก็ยอมรับกับตัวเองว่าผมแอบชอบแอมป์ ทุกครั้งที่อยู่ใกล้ หัวใจของผมเต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมาเต้นอยู่นอกหน้าอก ความประหม่าเกิดขึ้นทุกครั้งที่ผมได้พูดคุยกับเขา ผมแทบจะไม่สามารถมองตาแอมป์ได้ และพยายามแอบมองเขาทุกครั้งที่มีโอกาส ไม่มีใครรู้ว่าผมชอบแอมป์ เพื่อนสนิททั้ง 2 คนก็ไม่รู้ ผมไม่กล้าเล่า ไม่กล้าบอกความจริงว่าผม ... ชอบเพศเดียวกัน

“ไอ้บอน บ่ายนี้มึงอยู่ติวหรือเปล่า” จีถาม

“อยู่ๆ ... อยู่จริงๆ วันนี้ไม่ได้นัดใครไว้” มันรีบแก้ตัวเมื่อทั้งผมและจีมองมันด้วยสายตาไม่น่าไว้วางใจ

“กูจะคอยดู” แม้จะเป็นเรื่องดีที่มันอยู่ติว แต่ผมก็อดใจพูดประชดมันไม่ได้



“เชี่ยจี มึงพักก่อนได้ไหมวะ กูสมองบวมหมดแล้วเนี่ย” ไอ้บอนโวยวายหลังจากที่เริ่มติวได้ไม่ถึงชั่วโมง

“อีกแป็บดิวะ เพิ่งเริ่มเอง”

“กูไม่ไหวแล้วมึง พักก่อนๆ” พูดจบมันก็ปิดหนังสือแล้วเดินหายไป ... เอาแต่ใจฉิบหาย

“อะไรของมัน ... โทษทีนะมิลค์ ไอ้บอนกวนตลอดเลย วันนี้คงไม่ได้อะไรเท่าไหร่”

“ไม่เป็นไร มันมาติวด้วยก็ดีแล้ว” ปกติถ้าผมติวคนเดียว เราจะเบรคกันประมาณ 1-2 ครั้ง แต่ดูแล้วด้วยความสมาธิสั้นของไอ้บอน วันนี้เลยเบรคบ่อยกว่าปกติ ... ก็ดีเพราะวันนี้ผมเองก็ไม่ค่อยมีสมาธิเรียนเท่าไหร่ สาเหตุเพราะหลังเลิกเรียนผมเห็นแอมป์คุยโทรศัพท์ มันทั้งหัวเราะ ทั้งยิ้ม มันทำให้ผมคิดไปไกลว่าคนปลายสายคือใคร ... แฟนหรือเปล่า ... ในหัวมีแต่เรื่องนี้วนไปวนมา

“จี!!! ไอ้แอมป์มันมีแฟนหรือเปล่าวะ” เชี่ย!!! หลุดปากถาม

จีชะงัก ใบหน้าตี๋ขาวแสดงออกชัดเจนว่ากำลังใช้ความคิด

“ไม่มั้ง ไม่เคยได้ยินมันพูดอะไร แต่กูก็ไม่ชัวร์ ไม่ได้สนิทกับมันขนาดนั้น”

“มึงว่ามันไม่ชอบหน้ากูเปล่าวะ”

“ฮึ กูว่ามันก็ปกตินะ ทำไมวะ”

“มันชอบตึงๆใส่กู อย่างปากกา แทนที่มันจะคืนต่อหน้า กลับมาว่างไว้ที่โต๊ะตอนกูไปเข้าห้องน้ำ”

“มึงคิดมากไปเองหรือเปล่า บังเอิญละมั้ง”

“เสบียงมาแล้ววววววว ...” บทสนทนาของเราถูกขัดจังหวะ

“... อันนี้โตเกียวกับน้ำเปล่าของมึง ... อันนี้ลูกอมสตอร์เบอร์รี่กับน้ำเปล่าของมึง ...” บอนแจกเสบียงที่ซื้อมาให้ผมกับจี

“... ไหนมึงบอกไม่ชอบกินรสสตอร์เบอร์รี่ไง”

“เปลี่ยนใจแล้ว กินไปกินมาก็อร่อยดี”

“เมื่อกี้พวกมึงคุยเรื่องอะไรกันอยู่วะ” บอนถาม

“ทั่วไป ... ไอ้มิลค์มันถามว่าไอ้แอมป์มีแฟนแล้วยัง” พูดจบจีก็เอาขนมโตเกียวเข้าปาก

“เหรอ ...”

“... เฮ้ย!!! ไอ้มิลค์ มึง!!!” ยังไม่ทันได้หยิบลูกอมเข้าปาก ไอ้บอนก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือ

“อะไรของมึง” ผมถาม รอยยิ้มร้ายกาจเหมือนตัวโกงในการ์ตูนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมัน

“กูรู้นะ”

“รู้อะไรของมึง?” ผมยังคงตีหน้าตายแม้ว่าในใจจะสั่นราวกับเกิดแผ่นดินไหว

“ไม่ต้องมาทำเป็นไม่รู้ มึงคิดว่ามึงเนียนเหรอ? วันก่อนถามกูเรื่องแอมป์ วันนี้มาแอบมาถามไอ้จี ...”

“ ... มึงชอบไอ้เหี้ยแอมป์ แล้วไม่บอกพวกกูเหรอ”

“เฮ้ย!!! กูเปล่า!!!” เชี่ย!!! เสียงสูงไปไหมวะ เสียอาการฉิบหาย พอมองหน้าไอ้บอน มันก็มองกลับมาด้วยสายตาจ้องจับผิด หันไปทางจีก็เจอสีหน้าไม่ต่างกัน ... ซวยแล้วกู

“หลักฐานคาตาขนาดนี้”

“หลักฐานอะไรของมึง” ตอนนี้เกียจสีหน้ารู้ทันของไอ้บอนที่สุด

“ในมือมึง ... ลูกอมรสตรอรเบอร์รี่ ... รสที่มึงไม่เคยชอบแดก...”

“...แต่ไอ้แอมป์ชอบ” ผมที่กำลังจะเถียงแต่ถูกตอกฝาโลงด้วยประโยคสุดท้ายของไอ้บอน

“เฮ่อออออออ” ทำอะไรไม่ได้นอกจากถอนหายใจ

“สารภาพมา” ผมดึงมือกลับแต่ไอ้บอนรั้งเอาไว้

“อะไรของมึง”

“ยอมรับมาต่อหน้าพวกกู 2 คนว่ามึงชอบไอ้แอมป์”

“กูไม่เล่น ปัญญาอ่อน”

“ไม่ยอมรับก็ไม่ต้องต้องกิน” ไอ้บอนตอบกลับเสียงแข็ง

“ใช่ ไม่ยอมรับกูก็ไม่ติวต่อ ...” นี่ไอ้จีก็เอากับมันด้วยเหรอเนี่ย

“... มิลค์ มึงบอกพวกกูได้นะเว้ย เพื่อนกันมันต้องพูดกันได้ทุกเรื่องดิวะ” จีพูดกับผมด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่เห็นแววตาทีเล่นทีจริงแบบเมื่อครู่

“เออ ยอมรับ กูชอบแอมป์” แม่ง!!! ยอมรับก็ได้วะ

“ไอ้เหี้ย!!!!!!!!!! ไม่คิดว่ามึงจะตกหลุมพราง 555” จีระเบิดขำออกมาต่อหน้าผม ผมถึงได้รู้สึกตัวว่าถูกคนตรงหน้าหลอกเข้าเต็มๆ ... ไอ้เพื่อนเลวววววววว

“ตั้งแต่เมื่อไหร่” บอนถาม

“นี่พวกมึงจะไม่ติวแล้วใช่ไหม”

“ไม่ติวแล้ว กูอยากเสือกเรื่องของมึงมากกว่า” จีปิดหนังสือ ขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นเท้าคาง ดูท่าผมคงโดนพวกมันซักจนละเอียด 

“อย่าเนียนไอ้มิลค์ วันนี้มึงต้องคายความลับออกมาให้หมด ... เล่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่” ทันทีที่มันปล่อยมือ ผมก็เอาลูกอมเข้าปาก

“ตั้งแต่เทอมที่แล้ว ตอนมันพากูโดดเรียน”

“นี่พวกกูเป็นพ่อสื่อให้มึง 2 คนหรือเนี่ย” มันกับจีมองหน้ากันแล้วก็หัวเราะก๊าก ไอ้พวกเวร

“มึงแม่งแอบมีความรักแล้วเก็บเงียบไม่บอกพวกกูเลยนะ” ไอ้บอนแกล้งเอามือมาเขี่ยแก้ม ผมบัดมือมันออกด้วยความรำคาญก่อนจะถลึงตาใส่มัน

“แล้วมึงเอาไงต่อ”

“ก็ไม่เอาไง กูจะกล้าไปพูดอะไรกับมัน แค่มองหน้ายังไม่กล้าเลย”

“โถ้ววว puppy love” ได้ทีไอ้บอนก็ทับถมผมไม่หยุด

“ใครจะกร้านโลกเหมือนมึง” ไหนๆก็มีโอกาสแล้วขอกัดมันหน่อยละกัน

“นี่ไง ไอ้บอน มึงประสบการณ์เยอะ สอนไอ้มิลค์มันดิว่าต้องจีบยังไง” จีเสนอ

“แย่หน่อยวะ กูไม่เคยต้องจีบใคร” มันยักไหล่ ทำหน้าทำตากวนอวัยวะเบื่องข้างขั้นสุด

“จะอ้วก” คนอะไรมั่นหน้าฉิบหาย

“แต่กูสอนมึงได้นะว่าต้องทำท่าไหนถึงจะเด็ด” ตอนแรกไม่เข้าใจว่ามันพูดเรื่องอะไร แต่พอเห็นยิ้มเจ้าเล่ห์ของมันเท่านั้นแหละ

“อิเหี้ย!!!” ด้วยความเขินเลยประเคนเท้าเข้าที่ขามันไปทีหนึ่ง

“เริ่มจากซื้อขนมให้มันดีไหม อะไรก็ได้ที่เป็นรสสตอร์เบอร์รี่” จีเสนอความคิด

“คือกูไม่รู้ว่าควรจะแสดงออกดีไหม ... อยู่แบบนี้มันก็ดีอยู่แล้ว ... แอมป์มันคงไม่ชอบแบบกู ... หรอกมั้ง”

“เฮ้ยมึง อย่าเพิ่งถอดใจดิ เดี๋ยวพวกกูช่วย ใช่ไหมบอน” ไอ้จีเริ่มหาพวก

“กูแล้วแต่มึงนะมิลค์ ถ้ามึงอยากลุยกูก็จะช่วย แต่ถ้ามึงคิดว่าแบบนี้โอเคแล้ว ก็ตามนั้น”

“พูดไรวะบอน แบบนี้มิลค์มันเสียกำลังใจหมด” จีค้าน

“มึงก็อย่าไปชงให้มาก ... เกิดไอ้แอมป์ไม่ชอบมันขึ้นมา ไอ้มิลค์ไม่เสียใจเหรอวะ” บทสนทนาของพวงเรายังดำเนินต่อไป แต่ไม่ได้มีอะไรคืบหน้าเท่าไหร่ จีเสนอตัวว่าจะช่วย แต่ทุกไอเดียถูกบอนเบรกไว้ เพราะผมยังให้คำตอบกับพวกมันไม่ได้ว่าผมต้องการอะไรจากความรักครั้งนี้



...



ผมก้มๆเงยๆอยู่หน้าตู้โชว์ขนม เดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบจนสุดท้ายก็ตัดสินใจลองดูซักครั้ง ... พรุ่งนี้วัน Valentine’s ถ้าไม่ใช้พรุ่งนี้ ผมก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว ... เอาวะ เป็นไงเป็นกัน

“เอาอันนี้ครับ...” ผมชี้นิ้วผ่านกระจกบานใส่ไปยังถาดใส่ลูกอมสีชมพูสดใส

“...ผูกโบว์ให้ผมด้วยนะครับ”

ผมมองดูขวดแก้วที่บรรจุลูกกวาดสีสันสดใสในมือ ความหวังทั้งหมดฝากไว้กับของขวัญชิ้นนี้ ผมไม่ได้หวังอะไรตอบแทนแต่อย่างน้อยขอให้ได้บอกความในใจ


แทบไม่มีสมาธิ เช้านี้ไม่มีแม้แต่สติจะเรียนหนังสือ จริงๆก็ตั้งแต่เมื่อคืนที่ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ ... จะให้ตอนไหน ทำท่ายังไง พูดอะไรบ้าง ในหัวคิดวนไปเวียนมาตั้งแต่เช้า จนเข้าเรียนคาบบ่ายของขวัญก็ยังนอนนิ่งอยู่ในกระเป๋า เริ่มลังเลเพราะบรรยากาศวัน Valentine’s ของโรงเรียนชายล้วนไม่ได้คึกคักเท่าไหร่ ถ้าผมให้ของขวัญแอมป์จะต้องเป็นจุดสนใจของคนอื่นพอสมควร

“ไอ้มิลค์ มึงจะเอาไง ใกล้จะเลิกเรียนแล้ว ...” เสียงกระซิบของจีดังขึ้นจากด้านหลัง ผมหันกลับไปทำหน้าละห้อย

ไม่นานเสียงอ๊อดหมดคาบสุดท้ายก็ดังขึ้น พร้อมกับผมที่ลอบถอนหายใจเบา ไม่กล้าจริงๆ ช่างมันละกัน

“มึงนั่งอยู่นี่ เดี๋ยวกูจัดให้ ...”

“... ไอ้แอมป์มานี้ดิ” หัวใจผมเต้นรัวไม่หยุด แม้ระยะจากที่นั่งของแอมป์มาตรงนี้จะไม่ไกลเดิน แต่ทำไมถึงรู้สึกยาวนานขนาดนี้

“มีไร” เสียงของแอมป์ดังขึ้นจากด้านหลัง

“ไอ้มิลค์มีอะไรจะให้ ... ไอ้มิลค์” ผมกลืนน้ำลายลงคอ มองไปทางขวาไอ้บอนส่งยิ้มจางมาเป็นกำลังใจให้ เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ผมรวบรวมความกล้าทั้งหมดหันหลับไปสบตากับแอมป์

“...” เชี่ย!!! ใบ้แดก แค่สบตาสมองก็ขาวโพลนไปหมด

“ว่าไงมึง ถ้าไม่มีไรกูจะกลับบ้าน”

“เรามีของจะให้ ...” โหลแก้วถูกยื่นออกมาตรงหน้า ผมรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีเพื่อไม่ให้มือสั่นไปมากกว่านี้ หัวใจเต้นแรงราวกับจะกระเด็นออกมานอกหน้าอก เขินจนไม่กล้าสบตาคนตรงหน้า

“... happy Valentine’s นะ ... เราโคตรชอบแอมป์เลย”

“อืม” แอมป์เพียงแค่ตอบรับในลำคอ เขารับโหลแก้วจากมือของผมแล้วก็เดินออกจากห้องไปเลย ความรู้สึกทุกอย่างที่สะสมมาก่อนหน้า ความตื่นเต้น ความกลัว ความหวัง ทุกอย่างเหมือนสลายกลายเป็นอากาศธาตุ ผมไม่เข้าใจนี่คือผมถูกปฏิเสธใช่ไหม

“ไปเถอะมึง เดี๋ยวกูเลี้ยงไอติมข้างโรงเรียน” บอนกอดไหล่พาร่างไร้สติของผมออกจากห้อง พร้อมกับจีที่ถือกระเป๋าของผมเดินตามออกมา

“มันหมายถึงอะไรวะ” ไปไม่ถึงร้านไอศกริมหรอก เดินออกมาได้ไม่เท่าไหร่ผมก็หมดเรี่ยวแรง สุดท้ายไอ้บอนเลยพามานั่งที่ระเบียงของตึกเรียนแทน

“กูไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร แต่มึงไม่ต้องคิดมาก อย่างน้อยมึงก็ได้บอกความในใจ ...” บอนกระชับวงแขนที่พาดอยู่บนไหล่

“... ไอ้จี กูบอกแล้วใช้ไหมอย่าไปชงมันมาก เป็นไงละมึง”

“ไอ้เหี้ยแอมป์ กูจะโทรไปด่ามัน ทำเพื่อนกูเสียใจ” จีพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“ไม่เอา ช่างมันเถอะ ...” ผมพูด

“... อกหักความรู้สึกมันเป็นแบบนี้เองเหรอ” อกหักครั้งแรก ยังไม่ทันได้เริ่มต้นผมก็นกตัวใหญ่มาก ความรู้สึกตีกันมั่วไปหมด อยากตะโกน อยากกรีดร้อง อยากร้องไห้ ระบายทุกความรู้สึกออกมา แต่ตอนนี้ไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะหายใจด้วยซ้ำ


จากที่ไม่แน่ใจว่าอกหักจริงไหม วันรุ่งนี้ผมก็รู้ตัวเลยว่าอกหักจริงเพราะแอมป์จงใจเมินผม ไม่คุย ไม่ทัก ไม่สบตา ถ้าต้องคุยกับกลุ่มของผมมันจะคุยกับบอนหรือไม่ก็จี แต่ที่แน่ๆคือไม่คุยกับผม  ... และทุกอย่างก็แย่ลงไปอีกเมื่อคนในห้องเริ่มล้อเลียนผมกับแอมป์ แม้ว่าเราจะไม่เฉียดเข้าใกล้กันเลยก็ตาม แอมป์ทำหน้าตึงทุกครั้งที่ถูกล้อ ส่วนผมก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะขอโทษก็ไม่มีโอกาส สุดท้ายแอมป์ก็ทำเหมือนผมเป็นอากาศธาตุ ไม่มีตัวตนในสายตา ... เจ็บ ... เจ็บเหี้ยๆ ... ถ้ารู้ว่าทุกอย่างจะลงเอ่ยแบบนี้ วันนั้นผมคงเลือกที่จะก็บทุกอย่างไว้ในใจ แล้วปล่อยให้วันแห่งความรักเป็นพียงวันที่ 14 กุมภาพันธ์เหมือนที่ผ่านมา

แต่แม้จะอกหักผมก็ต้องเตรียมตัวสำหรับการสอบ final ที่จะมาถึง ความกังวลจากการสอบ บวกกับการต้องเข็นไอ้บอนให้ผ่าน final ในสภาพที่ครบ 32 ช่วยดึงผมออกจากความคิดฟุ้งซ่านไปพอสมควร ถึงอย่างนั้น เวลาเผลอผมก็ยังแอบคิดถึงเรื่องของแอมป์

“ไอ้มิลค์ มึงจัดกระเป๋ายัง” จีถาม พวกเรามากินร้านไอศกริมข้างโรงเรียนฉลองสอบเสร็จ

“ยังเลย มีเวลาเสาร์อาทิตย์ ไปแค่ 3 วันเอง” ผมตอบพลางตักไอศกริมรส rum raisin เข้าปาก

ค่ายที่จีพูดถึงคือค่ายศิลปะ ฟังแล้วอาจจะดูเหมือนค่ายที่พาไปวาดรูป ดูงานศิลป์แต่ความเป็นจริงแล้วคือไปเที่ยวล้วน ๆ

“กูว่าจะจัดเย็นวันอาทิตย์” ก็ตามสไตล์ไอ้บอน หมกไว้ยันวินาทีสุดท้ายแล้วก็โทรมายืมโน่นนี้นั้นเพราะไม่มี

“กูคิดว่าวันนี้มึงจะชิ่งซะอีก” จีถาม

“ชิ่งเหี้ยไร คนอย่างกูไม่เคยทิ้งเพื่อน...” สีหน้าท่าทางของมันมองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าตอแหล

“... อยากเลี้ยงฉลองกับพวกมึง ค่ายศิลปะนี่เหมือนไปเที่ยวส่งท้ายกับพวกมึงอะ”

“มึงจะดราม่าทำไม” ผมถาม อะไรของมัน ยังทำท่าตอแหลอยู่แท้ๆ แล้วก็ดึงเข้าดราม่าซะงั้น

“กูพูดจริง ปีที่ผ่านมากูไม่ตั้งใจเรียนเลย เกรดเทอมนี้คงไม่ได้เท่าไหร่ พวกมึง 2 คนเกรดดี ปีหน้าคงได้ไปอยู่ห้อง king” ต้องขอบคุณจีที่ช่วยติวจนเกรดผมดีขึ้นตามลำดับ เทอมที่ผ่านมาจากพวกปริ่ม mean ผมสอบได้อันดับที่ 3 ตลอดรองจาก จี แล้วก็ ... แอมป์ พวกผม 3 คนคือตัวแทนหมู่บ้านที่ปีหน้ามีโอกาสย้ายไปห้อง king

“ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันก็เป็นเพื่อนกันได้ไหมวะ ... หรือถ้าเราได้ห้อง king จริงเราขอย้ายมาอยู่กับไอ้บอนดีปะ” จีเสนอความคิด

“มิลค์ ... มึงคิดไว้บ้างยังว่าถ้าปีหน้าขึ้นห้อง king แล้วบังเอิญได้อยู่ห้องเดียวกับแอมป์มึงจะทำยังไง” นอกจากจะดึงดราม่าเรื่องตัวเองแล้ว ยังดึงดราม่าเรื่องของผมอีก ไอ่ห่าบอน คนยิ่งไม่อยากจะคิด ... เป็นที่รู้กันในกลุ่มพวกเราว่าผมนก (อย่างเป็นทางการ) และความสัมพันธ์ของผมกับแอมป์ก็ ‘ฉห’ ไม่เหลือชิ้นดี

“ไม่รู้วะ ไม่อยากคิด”

“แล้วทำไมช่วงนี้มึงมีเวลาให้พวกกูวะ ปกติสอบเสร็จมึงต้องรีบไปหาเด็กใน stock แล้วปะ” จีเปลี่ยนบทสนทนา

“ช่วงนี้เบื่อๆ ตอนนี้ก็ไม่ได้คุยกับใครเป็นพิเศษ” ผมเหลือบมองเพื่อนสนิท เพราะช่วงที่ผ่านมีแต่เรื่องของตัวเอง เลยไม่ได้สังเกตว่าไอ้บอนไม่ได้แรดไปแรดมาเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ดีสำหรับมันเพราะช่วง final มันดูกลับมาตั้งใจเรียนขึ้น แม้คะแนนเก็บที่ผ่านมาจะย่ำแย่แต่คิดว่ามันนาจะประคองตัวให้ผ่านปีนี้ไปได้

“ไม่ใช้ว่าแรดจนติดโรคมา เลยต้องมานั่งสงบเสงี่ยมกับพวกกูนะ” ผมหลุดหัวเราะกับคำแซวของจีที่ทำไอ้บอนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

“ไอ้เหี้ยจี !!!”


... 'G'

“ว่าไงมึง”

“ไอ้มิลค์ ... ดู TV อยู่เหรอ ปิดดิ ... มึงอยู่เงียบๆไว้นะ” อะไรของมันวะ โทรมาพูด ๆ ๆ แล้วก็กด hold สาย ... ผมที่กำลังนอนดู TV กด mute ตามที่มันบอก

...

...

...

“อะไรของมึงวะจี” ผมตัวแข็งทื่อทันทีที่ได้ยินเสียง... แอมป์ ... แล้วอยู่ๆหัวใจก็เต้นแรง

“ไม่มีๆ โทรมาคุยเล่น”

“มึงว่างมากหรือไง”

“ว่างๆ ... มึง กูอยากรู้ มึงรู้สึกยังไงกับไอ้มิลค์วะ ถ้าเทอมหน้าต้องอยู่ห้องเดียวกัน”

“ไม่ชอบ รำคาญ อยู่ห้องเดียวกันก็ไม่คุย...”

“...บ้าเปล่าวะ ให้ขนมกูวัน Valentine’s กูโยนแม่งทิ้งที่หน้าโรงเรียน”

จบกัน ... รักครั้งแรกของผม แหลกละเอียดเหมือนดอกไม้ที่ถูกช้างทั้งโขลงเหยียบซ้ำ 2 รอบ


----------


มิลค์ : "เก็บหัวใจไว้ในโหลแก้ว ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือนกตัวแรกในชีวิต"
#FirstHeartbreak #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-05-2025 13:48:22 โดย Milky_Milky_Way »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 3
« ตอบ #9 เมื่อ: 27-04-2025 10:37:57 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 3 : รักแรก
«ตอบ #10 เมื่อ30-04-2025 20:30:24 »

Friendship never dies, even when your heart breaks.
#ValentinesHeartbreak
#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 3 : รักแรก
«ตอบ #11 เมื่อ02-05-2025 00:11:06 »

Teaser ตอนที่ 4 : คำปลอบ

“กูขอโทษนะมิลค์ ...”

“... กูไม่น่าเล่นอะไรพิเรนทร์ๆ” จีทำหน้าสำนึกผิด

“ไม่เป็นไรมึง รู้ก็ดี จะได้ตัดใจง่ายขึ้น” ผมฝืนยิ้ม และพยายามมองโลกในแง่ดี ... เออ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ตัดใจให้จบๆไป

“ไอ้บอนด่ากูจนหูชาแล้วเนี่ย ... ” จีบ่น

“... ตายยากนะมึง” บอนเดินกลับมานอกจากน้ำเปล่าแล้วมันยื่นถุงลูกอมรสสตรอเบอร์รี่มาให้ ผมรับมาแล้ววางไว้บนโต๊ะ

“ไม่กินเหรอ”

“ไม่ กูไม่ชอบสตรอเบอร์รี่” มันทำหน้าประหลาดใจ และปรับสีหน้าเป็นปกติเมื่อคิดออกว่าทำไมผมถึงเคยชอบลูกอมรสสตอเบอร์รี่

“กูก็ไม่ชอบ รสชาติกวนส้นตีน อย่าให้กูเจอจะต่อยแม่งให้ร่วง” มันคว้าถุงลูกอมแล้วโยนลงถังขยะใกล้ ๆ

“มึงหมายถึงลูกอมหรือคนวะ” รู้ว่าเป็นมุก แต่จีก็ยังจะตบ ... แล้วก็ตบเข้าหน้าตัวเอง

“หมายถึงมึงแหละไอ้สัส ... กูบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าชง เสี้ยมจนได้เรื่อง แล้วมึงคิดเหี้ยอะไรถึงทำแบบนั้นไปวะ ... เห็นก็รู้แล้วไหมว่ามันไม่ชอบสิ่งที่ไอ้มิลค์ทำ ... ไอ้ควาย ไอ้เหี้ย #$%$$#####&%$$$”

“มึง นี่กูเอง จีไง เพื่อนมึงอะ ... อย่าด่ามาก กูสำนักผิดไม่ทันแล้ววววววว” จียกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว เห็นพวกมัน 2 คนทะเลาะกันแล้ว ผมก็อดขำออกมาไม่ได้


----------


มิลค์ : "เจอกันวันอาทิตย์ครับ ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือไม่ชอบลูกอมรสสตรอเบอร์รี่"

#MoodyStrawberry #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่อยู่ตรงนี้ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 4 : คำปลอบ
«ตอบ #12 เมื่อ04-05-2025 10:00:20 »

 ตอนที่ 4 : คำปลอบ

Tigger warning : ตอนนี้มีเนื้อหาเชิง 18+ ที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์เชิงลึกของตัวละครวัยรุ่น โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เนื้อหาสะท้อนสภาวะอารมณ์ที่ซับซ้อนและการค้นหาตัวตนในช่วงวัยเปลี่ยนผ่าน



ต่อมน้ำตาแตก ... 2 วันที่ผ่านมา กินไม่ได้ นอนไม่หลับ นั่งๆ อยู่น้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ผมรู้ว่าเขาไม่รับรัก แต่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะถึงขั้นรังเกียจกัน โคตรฟุ้งซ่าน ถ้าไม่ได้บอนกับจีที่สลับกันโทรมาหาเรื่อย ๆ ผมคงสติแตกมากกว่านี้ ผมก้าวลงจากรถ มองโรงเรียนที่ดูเงียบเหงามากกว่าปกติเพราะเป็นช่วงปิดเทอม ... หวังไว้สุดหัวใจเลยว่าค่ายศิลปะจะช่วย refresh ความรู้สึกของผมให้กลับมาสดชื่นอีกครั้ง หรืออย่างน้อยก็มากกว่า 2 วันที่ผ่านมา

“มึงได้นอนบ้างไหมเนี่ย ...” บอนทักทันทีผมเดินเข้ามา เรานัดกันที่โรงอาหารก่อนถึงเวลาออกเดินทาง ... ผมส่ายหัวให้กับคำถามของมัน

“... สภาพมึงดูไม่ได้เลย นั่งอยู่นี่เดียวกูไปซื้อน้ำให้ มึงเอาอย่างอื่นเปล่า ...” ผมส่ายหัวอีกครั้ง

“... น้ำเปล่าเหมือนเดิมนะ” พอผมพยักหน้า ไอบอนก็เดินออกจากโต๊ะ ซักพักจีก็มา

“ไอ้บอนละ”

“ไปซื้อน้ำ”

“กูขอโทษนะมิลค์ ...”

“... กูไม่น่าเล่นอะไรพิเรนทร์ๆ”

“ไม่เป็นไรมึง รู้ก็ดี จะได้ตัดใจง่ายขึ้น” ผมฝืนยิ้ม และพยายามมองโลกในแง่ดี ... แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ตัดใจให้จบๆ กันไป

“ไอ้บอนด่ากูจนหูชาแล้วเนี่ย ...”

“... ตายยากนะมึง” บอนเดินกลับมานอกจากน้ำเปล่าแล้วมันยื่นถุงลูกอมรสสตรอเบอร์รี่มาให้ ผมรับมาแล้ววางไว้บนโต๊ะ

“ไม่กินเหรอ”

“ไม่ กูไม่ชอบสตรอเบอร์รี่” มันทำสีหน้าประหลาดใจ และปรับสีหน้าเป็นปกติเมื่อคิดออกว่าทำไมผมถึงเคยชอบลูกอมรสสตอเบอร์รี่

“กูก็ไม่ชอบ รสชาติกวนส้นตีน อย่าให้กูเจอจะต่อยแม่งให้ร่วง” มันคว้าถุงลูกอมแล้วโยนลงถังขยะใกล้ ๆ

“มึงหมายถึงลูกอมหรือคนวะ” รู้ว่าเป็นมุก แต่จีก็ยังจะตบ ... แล้วก็ตบเข้าตัวเอง

“หมายถึงมึงแหละไอ้สัส ... กูบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าชง เสี้ยมจนได้เรื่อง แล้วมึงคิดเหี้ยอะไรถึงทำแบบนั้นไปวะ ... เห็นก็รู้แล้วไหมว่ามันไม่ชอบสิ่งที่ไอ้มิลค์ทำ ... ไอ้ควาย ไอ้เหี้ย #$%$$#####&%$$$”

“มึง นี่กูเอง จีไง เพื่อนมึงอะ ... อย่าด่ามาก กูสำนักผิดไม่ทันแล้ววววว” จียกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว เห็นพวกมัน 2 คนทะเลาะกันแล้วก็อดที่จะขำไม่ได้



บนรถบัส ผมนั่งริมหน้าต่างข้างบอน จีนั่งอยู่ข้างหลัง พอได้ขึ้นรถแอร์เย็นๆ หนังตาก็รู้สึกหนักขึ้น คงเป็นเพราะที่ผ่านมาผมนอนน้อยด้วยแหละ แปลกที่พอได้อยู่ใกล้พวกมันความความกังวลก็เหมือนจะเบาบางลง

“ง่วงเหรอ มึงสัปหงกหลายรอบแล้ว” บอนถาม

“อืม”

“ง่วงก็นอนพัก ถึงแล้วจะได้มีแรงเที่ยวไง มึงอยากมา refresh ตัวเองก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมด้วย...”

“...นอนเลย พิงไหล่กูก็ได้จะได้สบายๆ”

“อืมได้ งั้นกูยืมไหล่แป๊บ” ผมหลับตาแล้วเอียงตัวไปพิงไอ้บอน แต่ด้วยความสูงที่ต่างกันเหมือนผมพิงอยู่ตันแขนของมันมากกว่าหัวไหล่

ผมหลับไปเกือบ 2 ชั่วโมง เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ผมหลับสนิท ความสดชื่นกลับมาอีกครั้ง พอตื่นขึ้นมาก็ใกล้ถึงจุดหมายแรกพอดี อย่างที่บอกว่า trip นี้เป็น trip เน้นเที่ยวและกิน สถานที่เลยวนอยู่แต่ร้านอาหาร วัด และแหล่งท่องเที่ยวดังประจำจังหวัด พวกเราหัวเราะ ถ่ายรูป และแกล้งกัน มันโคตรให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ผมรู้ว่ามันไม่ได้ช่วยให้ผมลืม แต่พอมีช่วงเวลาที่ผมไม่ต้องคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันทำให้ชีวิตดูสดใสมากขึ้น



เราถึงที่พักตอนเย็นๆ อาจารย์ให้ free time ประมาณชั่วโมงหนึ่งก่อนจะนัดรวมกันที่ห้องอาหาร ตอนจับคู่นอนผมนอนห้องเดียวกับบอน จีงอแงเพราะต้องไปนอนกับคนอื่นแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมากเพราะยังคดีติดตัวอยู่ ถึงอย่างนั้นมันก็ยืนยันว่าคืนนี้จะหอบผ้าหอบผ่อนมานอนเบียดๆ กัน 3 คน

“มึงอยากจะนอนอีกซักหน่อยไหม” บอนถามหลังจากเข้ามาในห้องพัก

“อืม ซักหน่อยก็ดี ...” พูดจบผมก็ล้มตัวลงนอน

“...บอน”

“ว่าไง” ฟูกนอนยุบตัวลงเมื่อบอนคลานขึ้นมานั่งอยู่ตรงหัวเตียง

“กูเสียใจ” พูดจบน้ำตาก็ไหลออกมาเอง

“กูรู้ กูเข้าใจ”

“มึงกอดกูได้ปะ” ผมพลิกตัวกลับมา พร้อมกับน้ำตาที่ยังไหลนองหน้า

“มานี่มา ...” ผมคลานไปหามันที่กำลังนั่งหลังพิงหัวเตียง บอนขยับตัวให้ผมนั่งซ้อนด้านหน้า

“...ไอ้มิลค์เอ้ยยยย” วงแขนหนาโอบเอวของผมไว้ ผมขอบคุณมันจริงๆ ที่อยู่ข้างๆ ในช่วงเวลาที่ผมอ่อนแอมากสุด

ผมยังคงร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของเพื่อนสนิท เสียงสะอื่นดังขึ้นเป็นระยะ ... ลมหายใจอุ่นๆ จากคนที่นั่งซ้อนหลังกระทบลงบนหลังคอก่อนที่จมูกได้รูปจะเริ่มซุกไซ้ลำคอบางระหงส์ อ้อมกอดของคนข้างหลังกระชับแน่นเข้าหาตัว มือหนาสอดเข้าไปใต้เสื้อยืดตัวหลวมและสัมผัสลูปไล้ไปตามผิวละเอียด

“มึงงงงงงงงงง” สัมผัสวาบหวิวไม่คุ้นเคยทำให้ลมหายใจของผมหยุดฉงักเป็นช่วงๆ

มือหนาลื่นขึ้นมาลูปไหลบริเวณใบหน้าที่ยังเปรอะเปื้อนคราบน้ำตา บอนค่อยๆ ประคองใบหน้าของผมให้หันกลับมา เราสบตากันเพียงเสี่ยววินาทีก่อนที่ริมฝีปากหนาจะประทับลงบนริมฝีปากของผม สัมผัสที่ทำให้ผมลุ่มหลงในอารมณ์และความรู้สึกที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ลิ้นร้อนสอดแทรกเข้ามาเข้าในโพรงปากและสอดผสานกันอย่างลงตัว เสียงจูบหนักแน่นท่ามกลางความเงียบ ... ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน ผมไม่รู้ว่าตัวเองเผลอปล่อยใจไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่านาทีนั้น ผมอยากให้สัมผัสของเราดำเนินต่อไปเรื่อยๆ

“เออออออ พวกมึง” เสียงคุ้นหูทำเอาผมสะดุ้งถ้าไม่ใช้เพราะแขนของบอนที่รั้งเอวไว้ผมคงร่วงไปกองอยู่ข้างเตียง จีทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก สายตาของมันหลุกหลิกไปมา ผมอายจนต้องดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวตัวเอง

“ออกไปก่อนไอ้เหี้ย!!!” บอนไล่จีออกจากห้อง น้ำเสียงแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะ

“กูรอกินข้าวข้างล่างนะ” ไม่นานเสียงเปิดปิดประตูก็ดังขึ้น ในห้องเหลือแต่ความเงียบ และจิตใต้สำนึกของผมก็เริ่มละอายกับพฤติกรรมเมื่อครู่ของตัวเอง

“มิลค์”

“...”

“ออกมาคุยกับกูก่อน...” ผมพยายามยื้อผ้าห่มไว้แต่ก็สู้แรงของมันไม่ได้ เชี่ย!!! เขินจนไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้า เมื่อกี้กูทำไปได้ยังไงวะ

“...มองหน้ากู...” ใครจะกล้าวะไอ้บ้า ไม่ได้หน้าด้านเหมือนมึง แต่ผมก็ขัดใจมันไม่ได้เมื่อมือหนาเอื้อมมาประคองใบหน้าผมให้หันมาสบตา ... ผมรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าแววตามันระยิบระยับผิดปกติ

“...มิลค์ครับ...” อิเหี้ย!!! เรียกชื่อกูแล้วลงท้ายด้วย ‘ครับ’ มึงเป็นใคร คายเพื่อนกวนสันตีxของกูออกมา

“...เป็นแฟนกูนะครับ” เชี่ย!!! นี่กูฝันไปหรือเปล่าวะ ไอ้บอนขอกูเป็นแฟน

“มึงชอบกูเหรอ” คนตรงหน้าเม้มปาก ทำหน้าเหมือนกำลังใช้ความคิด

“กูไม่รู้ แต่กูไม่อยากเห็นมึงเศร้า ตอนที่มึงเสียใจกูก็รู้สึกไม่โอเคเหมือนกัน ... ถ้ามึงพอจะรู้สึกอะไรกับกูบ้าง เรามาหาคำตอบไปด้วยกัน ...

“... เป็นแฟนกูนะ กูไม่อยากเห็นมึงเศร้าอีกแล้ว ... ตกลงนะ”

“ตกลง มาหาคำตอบไปด้วยกัน” เชรดดดดดดดดดดดดด ใครๆ จะคิดว่าจากที่อกหักชีวิตซังกะตาย อยู่ ๆ ก็ได้แฟนซะงั้น



เพราะผมกับบอนลงมาช้าเกือบครึ่งชั่วโมง คนในห้องอาหารคนเลยบางตาไปมากแล้ว เกรงใจก็แต่กับจีที่นั่งรอพวกเรากินข้าวคนเดียว

“เออ!!! กูกับมิลค์คบกันแล้ว มองอยู่นั้นแหละ” บอนเอ่ยปากอธิบายความสัมพันธ์ใหม่ของเราให้จีเข้าใจ เพราะตั้งแต่เข้ามาในห้องอาหารจีก็มองหน้าผมกับบอนสลับไปมาด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น

“กูยินดีกับพวกมึงด้วย ... แต่พวกมึงไวไฟกันเกินไปไหมวะ” คำถามของจีทำเอาผมคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ... โคตรอาย

“รู้สึกยังไงก็แสดงออกแบบนั้น จะคิดมากทำไมวะ” บอนยักไหล่เหมือนเรื่องที่เราจูบกันอย่างดูดดื่นก่อนที่จะตกลงเป็นแฟนกันไม่ใชเรื่องใหญ่โตอะไร ได้ยินคำตอบจีก็ส่งยิ้มแห้งๆ มาให้ จากนั้นพวกเราก็ก้มหน้าก้มตากินข้าว

“กูไปตักเพิ่ม มึงเอาอะไรไหม” พอผมส่ายหัวมันก็ลุกออกจากโต๊ะ

“ไอ้มิลค์ ...” จีรีบกระเถิบตัวมานั่งเก้าอี้ข้างผม

“...มึงคบกับมันแล้วจริงดิ”

“จริง ... ทำไมทำหน้างั้นวะ” จีทำสีหน้าปุเลี่ยนๆ เมื่อยินคำตอบของผม

“กูแค่แปลกใจ ไม่คิดว่าสุดท้ายพวกมึงจะคบกัน ... แต่กูยินดีกับมึงด้วยนะเว้ย บอนมันก็สนิทกับมึง น่าจะเข้ากับมึงได้ดี ...”

“...แต่มึง ... กูไม่ได้จะทักให้เสียเรื่องนะ ... คือมึงคุยกับมันเรื่องความเจ้าชู้ของมันให้ clear นะเว้ยจะได้ไม่มีปัญหา” ผมพยักหน้ารับ เพราะในใจก็คิดว่าคงต้องคุยเหมือนกัน

“ไอ้จี กลับไปที่เดิมเลยมึง คุยอะไรกับแฟนกู”

“แหวะ!!! เหม็นความรักวะ ...”

“... เฮ้ยพวกมึง!!! ... แสดงว่าคืนนี้กูก็ไม่นอนด้วยไม่ได้แล้วซิ”

“นอนได้ดิ / ไม่ได้!!!” เดาได้ใช่ไหมครับว่าประโยคไหนเป็นของใคร



“อืมมมมมมมม ... บอน หยุดก่อน ... อิเหี้ยหยุด!!!” ผมพูดเสียงเข้ม มองหน้ามันตาเขียว เขาห้องปุ๊บมันก็ตะปี้ตะปันจูบผมอย่างเดียว

“เชี่ย!!! ... ทำไมดุจังวะ” มันก้มหน้า มือข้างนึงเกาท้ายทอยอย่างไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเท่าไหร่

“ใครดุ!!!”

“ก็มึงไง ... แต่ดุขนาดนี้ก็เปลี่ยนโพมึงไม่ได้หรอกนะ”

“โพ อะไรของมึง” คำศัพท์อะไรของมันวะ

“ก็โพไง ... มึงนี่เด็กน้อยจริงๆ ... ใครจะเป็นคนนำ ใครจะเป็นคนตาม ... เข้าใจยัง? ...”

“... อย่าบอกนะว่ามึงคิดจะนำกู” เจอคำถามของมันผมถึงขั้นไปต่อไม่เป็น สีหน้าท่าทางน้ำเสียงของมันโคตรดูถูกดูแคลนผม

“ก็เออ กูจะนำ” จริงๆ คือไม่ยังไม่ได้ไปไกลถึงขั้นนั้นเลยแต่ที่เถียงอยู่เนี่ยคือ ego ล้วน ๆ

“แล้วมึงทำเป็น” เชี่ย!!! สีหน้ามันโคตรจะดูถูกดูแคลน

“เป็น”

“ไหน ทำให้กูดูหน่อยซิ ถ้ามึงกดกูลง กูยอมเป็นเป็นผู้ตามที่ดีให้มึงเลย” แล้วผมก็ถูกดันจนหลังชิดกำแพง คนตรงหน้าเท้าแขนยันกับผนังแล้วกักผมไว้ข้างใน จมูกสวยได้รูปคลอเคลียอยู่ข้างแก้มไม่ห่าง ... ไอ้เวร ทำไมท่ามันล่อแหลมจังวะ หรือว่าผมจะเป็นฝ่ายโดนกดแทน

“ไอ้บอน!!! อย่าพาออกนอกเรื่อง เรามีเรื่องต้องทำความเข้าใจกันก่อน” สู้ไม่ได้ผมก็ทำเสียงแข็ง มองแรงใส่มัน

“ยอมแล้วครับ ยอมแล้ว ... มึงมีอะไร” มันถอยหลังออกไป ยกมือ 2 ข้างทำท่ายอมแพ้

“ตกลงคือกูกับมึงคบกัน ... เป็นแฟนกันแล้วใช่ไหม” กระดากปากเหมือนกันที่ต้องเรียกมันว่าแฟน ไม่เคยคิดว่าสุดท้ายจะได้กันเอง

“เออ ตอนนี้เป็นแฟน แต่เดียวคืนนี้จะได้เป็นผัวเมียกัน ... ขอโทษคร้าบบบบ ไม่เล่นแล้วคร้าบบบบบ” กูต้องมองแรงกี่รอบมึงถึงจะจริงจังวะ อิจังไร

“คบกันแล้ว มึงต้องเลิกเจ้าชู้ จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็ไม่ได้ ถ้ามี กูเลิก”

“ตกลง”

“กูจริงจังนะ ถ้ามึงรับไม่ได้หรือคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ ก็หยุดตอนนี้ ... กูไม่อยากเสียเพื่อนสนิทอย่างมึง” เชี่ย แล้วผมจะดราม่าทำไม พอคิดถึงช่วงเวลาแย่ๆ แล้วมีบอนอยู่เป็นเพื่อนคอยปลอบ คอยให้กำลังใจ แล้วถ้าสุดท้ายเลิกกันจนมองหน้าไม่ติด อยู่ ๆ น้ำตาก็รื้อขึ้นมาซะงั้น

“กูสัญญา จะเลิกเจ้าชู้แล้วมีมึงคนแค่คนเดียว”

“มึงสัญญาแล้วนะ”

“สัญญา ...”

“... กูต่อได้แล้วใช่ไหม ไอ้จีให้เวลาแค่ชั่วโมงเดียว” ด้วยความงอแงของจี สุดท้ายไอ้บอนเลยต้องยอมให้มานอนด้วยแต่ต่อรองว่าขอเวลาอยู่กับผมก่อน

ผมได้สติอีกครั้งก็ตอนร่างกายหนาวสะท้านเพราะสัมผัสกับความเย็นจากผ้าปูเตียง บอนยืนอยู่ปลายเตียง สายตาที่จับจ้องมาที่ร่างของผมแวววาวระยิบระยับอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ... เขินจนไม่กล้าสบสายตาคู่นั้น

“กูเคยบอกไหมว่าหน้ามึงสวยมาก สารภาพก็ได้ว่ากูเคยเอามึงไปจินตาการตอน ... เผลอคิดไปไกล”

“ไอ้เหี้ย!!! กูเพื่อนมึงไง ...” ผมขู่ฟ่อๆ ในขณะที่มันมองผมด้วยสายตาหิวกระหาย ... แต่จะผิดไหมถ้าผมจะสารภาพ ว่าเคยเอามันไปใช้ในจินตนาการของตัวเองเหมือนกัน

ยังไม่ทันได้ตอบ คนตรงหน้าก็โน้มตัวเข้ามาประกบจูบ อารมณ์ที่เคยสงบนิ่งของผมถูกปลุกขึ้นมาได้อย่างง่ายดายด้วยจังหวะปากและลิ้นที่ช่ำชอง เราสองคนจูบกันอย่างดูดดื่ม เสียงจูบที่ดังท่ามกลางความเงียบทำให้ผมกระดากใจอยู่ไม่น้อย แต่สุดท้าย... ความละอายใจก็ค่อยๆ ถูกพายุของอารมณ์พัดลอยหายไป


----------


มิลค์ : “แล้วท้องฟ้าก็กลายเป็นสีชมพู ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือมีแฟนแล้วววววววว”
#FirstPuppyLove #โลกนี้สีชมพู #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-05-2025 10:07:38 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 4 : คำปลอบ
«ตอบ #13 เมื่อ04-05-2025 10:21:01 »

สวัสดีครับทุกคน :)
ตอนนี้อาจดูสั้นกว่าปกติเล็กน้อย เลยขออนุญาตชี้แจงซักนิดนะครับ

เดิมที ตอนที่ 4 มีความยาวมากกว่านี้ แต่มีบางพาร์ทที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์เชิงลึกของตัวละครที่ยังอายุไม่ถึง 18 ปี ซึ่งผมมองว่าอาจ sensitive เกินไป เลยตัดออกบางส่วนเพื่อให้เหมาะสมที่สุดครับ โดยยังคงพยายามรักษา mood & tone เดิมไว้ให้มากที่สุด

เพื่อเป็นการขอบคุณ และขอโทษทุกคนที่รอกันมาตลอดทั้งสัปดาห์ ผมจะ up ตอนที่ 5 ในวันพุธนี้ (ตอนที่ 6 จะ up ตามปกติในวันอาทิตย์นะครับ)

ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 5 : ระหว่างเรา
«ตอบ #14 เมื่อ07-05-2025 10:28:32 »

ตอนที่ 5 : ระหว่างเรา


ปิดเทอมใหญ่แน่นอนว่าหัวใจของผมพองฟูเป็นพิเศษ แม้จะไม่ได้เจอกันทุกวันเหมือนตอนเปิดเทอมแต่เราก็คุยโทรศัพท์กับทั้งวันทั้งคืน มานั่งคิดๆ ดูก็เหมือนตลกร้าย ผมไปค่ายศิลปะด้วยความหวังว่าจะเป็นไปพักใจแต่กลับได้แฟนมาซะงั้น แถมคนๆ นั้นยังเป็นเพื่อนสนิท ที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่เคยคิดพิศวาสมันเลยซักนิด แม้จะสารภาพไปแล้วว่าเคยเอามันไปใช้ในจิตนาการของตัวเอง แต่ก็ทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบนำพา ถามว่าเรา 2 คนใกล้ชิดกันมากแค่ไหนแล้ว ... ก็นั้นแหละครับ ใครจะไปสู้เสน่ห์แพรวพราวของบอนได้ และผมก็สัมผัสได้ว่าหลังจากคืนนั้น เรามีเส้นใยบางๆ เชื่อมเข้าหากันในอีกระดับนึง

ก่อนปิดเทอมไม่กี่สัปดาห์ โรงเรียนประกาศห้องเรียน ม.3 เป็นไปตามคาด ผม จี และ แอมป์เป็นตัวแทนหมู่บ้านขึ้นห้อง king กันไปทั้ง 3 คน ส่วนบอนก็อยู่ห้องคละตามผลคะแนนที่มันได้ มันงอแงเพราะเป็นปีแรกในรอบ 4 ปีที่เราไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน ผมเองก็เสียดาย มันคงจะดีไม่น้อยถ้าเราได้เรียนอยู่ห้องเดียว

ผมและจีต่างกังวลกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ มีแต่คนเล่าให้ฟังว่าสังคมของห้อง king ไม่ดีเท่าไหร่ มีแต่คนเห็นแก่ตัว แข่งกันเรียน ชิงดีชิงเด่น แต่เรื่องทั้งหมดก็มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งคือผมอยู่ห้องเรียนเดียวกับจีในขณะที่แอมป์แยกไปอยู่อีกห้องหนึ่ง เพราะจากเรื่องที่เกิดขึ้นถ้าต้องอยู่ห้องเดียวกันอีกครั้ง ผมก็ไม่รู้ว่าจะมองหน้าแอมป์ได้ยังไง

“มึงว่าพวกเราทำถูกไหมวะ” จีถามขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าไม่มั่นใจในตัวเอง

“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน” ผมตอบด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก ตอนนี้เรา 2 คนยืนงงๆ กันอยู่หน้าหอประชุม

หลังจากปรึกษากันมาหลายวันผมกับจีตัดสินใจจะมาขอย้ายออกจากห้อง king ไปห้องคละตามเดิม และถ้าเป็นไปได้เรา 2 คนก็อยากอยู่ห้องเดียวกับบอน แม้จะเป็นกลุ่มที่ขาดๆ เกินๆ แต่ผมก็รู้สึกอุ่นใจที่พวกเราเกาะกลุ่มอยู่ด้วยกัน ... จีที่เป็น ‘เดอะแบก’ ผมที่เป็น ‘GB’ และบอนที่ ‘ละไว้ในฐานที่เข้าใจ’ แต่พออยู่ด้วยกันมันก็ลงตัว

“มิลค์ จี”

“หวัดดีครับครู / สวัสดีครับ” เรา 2 คนยกมือไหวครูนก อดีตครูที่ปรึกษา

“มาทำอะไรกัน ปิดเทอมทำไมไม่นัดกันไปเที่ยวจะเข้ามาโรงเรียนทำไม” ครูนกทักพวกเราแบบเป็นกันเอง

“พอดีมีเรื่องจะมาติดต่อฝ่ายวิชาการนะครับ”

“มีอะไรหรือเปล่า ปรึกษาครูได้นะ” แค่มองหน้ากัน ผมกับจีก็รู้แล้วว่าใจตรงกัน

“ครูครับ คือตอนแรกพวกผมจะมาขอย้ายห้อง” จีเกริ่นด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ

“ทำไมละ เธอ 2 คนได้ห้อง king ไม่ใช้เหรอ จะย้ายออกมาทำไม” ครูนกขมวดคิ้ว ตอนแรกผมตกใจว่าครูรู้ได้ไงว่าพวกผมได้ห้อง king แต่คิดไปคิดมาก็คงไม่แปลกเพราะครูนกก็คงติดตามว่า top 3 ของห้องแยกย้ายกันไปเรียนห้องไหนบ้าง

“คือพวกผมไม่อยากเรียนห้อง king นะครับ เพราะได้ยินมาว่าบรรยากาศไม่น่าเรียนเท่าไหร่”

“ไม่หรอก พวกเธอไปได้ยินอะไรมา ... นี่ไม่ใช้เพราะติดเพื่อนใช่ไหม” ครูนกมองพวกเราอย่างรู้ทัน

“555 ก็ไม่เชิงครับ” พวกเราต่างอมยิ้ม

“ครูว่าพวกเธอกังวลมากไป สังคมเด็กห้อง king ก็เหมือนห้องอื่นๆ นั้นแหละ ... ครูว่าพวกเขาก็รักกันไม่ต่างอะไรกับพวกเธอ ...”

“... พวกเธอมีโอกาสจะก้าวไปข้างหน้า ก็รีบคว้ามันไว้ เธอ 2 คนเป็นเด็กหัวดี ถ้าได้ไปอยู่ในห้องที่มีแต่เด็กเรียนเก่ง มันจะช่วยทำให้พวกเธอไปได้ไกลกว่านี้ ... 2 คนอยากเรียนสายวิทย์ไม่ใช้เหรอ ถ้าอยากก็ต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้นะ...”

“... เพื่อนกัน จะเรียนอยู่ห้องไหนมันก็เป็นเพื่อนกันได้ทั้งนั้น”

และ mission ของวันนี้ก็จบลงด้วยการที่ผมกับจีเดินกลับออกมาพร้อมกับสถานะเด็กห้อง king เหมือนเดิม

“มึงสบายใจขึ้นไหม” ผมถามจีที่ตอนนี้กำลังจ้วงบะหมี่เข้าปาก ชามก๋วยเตี๋ยวของเรา 2 คนเหมือนกัน บะหมี่ 2 2 กษัตริย์ แห้ง เพิ่มหมูแดงและเกี๊ยว

“สบายใจขึ้น จริงๆ ก็ก็ยัง 2 จิต 2 ใจ แต่แบบนี้ก็ตัดสินใจได้แหละ ... มึงละ”

“ก็โล่งใจ แต่ก็ยังกังวลอยู่ กลัวสังคมใหม่ๆ” ผมเป็นคนปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงได้ไม่เก่งเท่าไหร่ และก็ชอบกังวลไปก่อนล่วงหน้าเสมอ

“มีกูอยู่ด้วย มึงจะกลัวอะไร ยังไงกูกับมึงก็ต้องเกาะกันไปตลอดอยู่แล้ว จะ ม.3 หรือ 4 5 6 ก็อยู่ด้วยกันจริงไหม”

“จริง ... ขอบใจมึงนะเว้ย ถ้าไม่ได้มึงกูคงค้างอยู่ห้องคละเหมือนเดิม...” คนตรงหน้ายักไหลเหมือนไม่ใช้เรื่องใหญ่อะไร

“... จี ก่อนเปิดเทอม กูจะไปค้างบ้านไอ้บอน 2 คืนนะ ... กูอ้างชื่อมึงได้เปล่า...” คนตรงหน้าขมวดคิ้ว ตาชั้นเดียวของมันหรี่ลงเหมือนจ้องจะจับผิด

พ่อแม่ผมรับรู้ว่าเพื่อนสนิทของผมคือบอนกับจี แต่จีเป็นลูกรักบ้านผม เพราะมันเรียนเก่งและเรียบร้อย พ่อกับแม่เลยไว้ใจจีเป็นพิเศษ ถ้าอ้างจีทุกอย่างจะง่ายขึ้นเยอะ

“...เทอมหน้าก็ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันแล้ว เลยอยากใช้เวลากับมันให้เยอะๆ หน่อย” ผมทำเสียงเศร้า หูตก ขอความเห็นใจจากเพื่อนสนิท

“แน่ใจว่าแค่ไปนอนค้าง?”

“นอนค้างอย่างเดียว สาบาญได้”

“มิลค์ ... อย่าโกหก กูให้มึงอ้างชื่อได้ แต่มึงต้องเล่ามาทั้งหมด ... มึงกับมันเกินเลยกันแล้วใช่ไหม” ตะเกียบในมือของจีถูกวางลงบนจาน ทำไมบรรยากาศมันเปลี่ยนเร็วขนาดนี้วะ รู้สึกสันหลังวาปไหวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“ปะ ... เปล่า ... ยัง กูกับมันยังไม่ได้ไปถึงขั้นนั้น”

“มึงไม่เนียน ...อย่าโกหก” เชี่ย ทำไมมันน่ากลัวงี้วะ

“อะ ... เออ ยอมรับ ถึงขั้นนั้นแล้วจริงๆ”

“ไอ้มิลค์ กูบอกมึงแล้วใช่ไหมว่าอย่าใจร้อน ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ... กูเข้าใจว่ามันอดใจยาก แต่มึงต้องรับผิดชอบตัวเองให้มากกว่านี้”

“ไอ้บอนมันดีกับกูนะเว้ย ตั้งแต่คบกันมันก็ไม่มีเรื่องเจ้าชู้เลย ...”

“... โอเค กูสัญญา ว่าจะคิดให้รอบคอบกว่านี้” หูทั้ง 2 ข้างตกราวกับลูกหมาน้อย ทันทีที่สบสายตาดุๆ ของเพื่อนสนิท

“มึงคบกับมันได้ไม่กี่เดือนเอง มึงแน่ใจได้ไง...” คนตรงหน้าทำเสียงเครียด มันไม่มีปัญหาถ้าผมกับบอนจะคบกัน จีไม่ได้รังเกียจอะไร กลับกันออกจะมีความสุขกับการหาเรื่องแซวเรา 2 คนด้วยซ้ำ แต่สิ่งเดียวที่จีกังวลคือเรื่องความเจ้าชู้ของบอน

“...มึงแม่ง พูดอะไรไม่เคยฟัง แต่มึงต้องสัญญากับกูนะว่าถ้ามีอะไรต้องเล่าให้กูฟัง ...”

“... ถ้าไอ้บอนมีกิ๊ก กูจะชกหน้าแม่ง ทำให้เพื่อนสนิทกูเสียใจ” จีสนิทกับผมมากกว่าบอน

“ใจเย็นมึง อินเกินไปแล้ว มันไม่ได้มีกิ๊กไหมละ” ผมยิ้ม บรรยากาศกลับมาผ่านคลายเหมือนเดิม

“ว่าแต่ กูขอเสือกได้ปะ ... เป็นไงอะ ไอ้เหี้ยบอนเด็ดจริงเปล่าวะ ทำไมใครๆ ก็หลงมันชิบหาย”

“ไอ้เหี้ยจี!!!”



เปิดเทอมวันแรก แน่นอนว่าเมื่อคืนผมก็นอนไม่หลับไปตามระเบียบ เช้านี้ตื่นขึ้นมาตาโหลเป็นหมีแพนด้าเลย โรงเรียนกลับมาคึกคักอีกครั้ง เสียงคุย เสียงฝีเท้าวิ่งเล่น เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง

“ตื่นเต้นไหม” บอนถามขณะที่เราเดินขึ้นตึกเรียนพร้อมกัน

“ตื่นเต้นดิ มึงละ”

“ก็ตื่นเต้น แต่กู keep cool อยู่”

“cool ตายห่าเลยมึงอะ ... บอน มึงสัญญากับกูว่าจะไม่นั่งหลังห้อง จะกลางห้อง หน้าห้องอะไรก็ได้แต่ไม่ใช้หลังห้อง ... กูอยากให้มึงคบเพื่อนดีๆ พออยู่คนละห้องกูรู้สึกใจมันหวิวๆ ยังไม่บอกไม่ถูก”

“จะกังวลอะไร กูมีมึงอยู่ทั้งคน เรียนไม่รู้เรื่องมึงก็ช่วยสอนกูไง ...”

“... เออๆ ไม่นั่งหลังห้อง แค่นี้ต้องทำเป็นดุ”

“งั้นแยกกันตรงนี้ เดียวพักน้อยเช้าไปหาของว่างกินกัน” ผมส่งยิ้มก่อนจะเดินขึ้นบันไดไป ห้องของมันอยู่ชั้น 3 ในขณะที่ห้องของผมอยู่ชั้น 4

เข้ามาในห้อง สิ่งแรกที่เห็นคืนหน้าตี๋ๆ ของจี มันบอกผมตั้งแต่เมื่อคืนว่าจะมาจองที่ให้แต่เช้า จีจองที่นั่งตำแหน่งใกล้เคียงกับเทอมที่แล้ว เยื้องมาทางประตู แถวกลาง สงสัยจะเปิดตำราเดียวกับไอ้บอน

“มาตั้งแต่กี่โมงวะ” ผมถามพรางนั่งลงเก้าอี้ฝั่งซ้ายของจี

“7 โมง โคตรง่วง” พูดจบมันก็หาวใส่ผม

“บรรยากาศเป็นไงวะ” ผมกระซิบเสียงเบา เพราะในห้องมีเด็กนักเรียนอยู่หลายคน

“ก็ดูปกตินะ ไม่ได้แย่เหมือนที่คิด” ผมมองซ้ายมองขวา บางคนก็นั่งจับกลุ่มคุยกัน บางคนก็นั่งอ่านการ์ตูน ทุกอย่างดูเหมือนบรรยากาศเดิมๆ ที่ผมคุ้นเคย จะมีก็แต่บางคนเท่านั้นที่นั่งอ่านหนังสือแต่ก็น้อยมากจริงๆ

“เฮ้ย!!! พวกมึงอะ...” เสียงตะโกนเรียกดังมาจากข้างหลัง ผมกับจีเลยหันไปมองพร้อมกัน

“... เพิ่งขึ้นมาห้อง king ครั้งแรกเหรอ” มันนั่งอยู่หลังผมไป 2 แถว คนอะไรวะเรียนห้อง king แต่แต่งตัวผิดระเบียบตั้งแต่หัวจรดเท้า ไว้ผมยาว เจาะหู 2 ข้าง ใส่เสื้อออกนอกกางเกง รองเท้าและเป้ผิดระเบียบ มันเข้าห้องผิดหรือเปล่าวะ

“เออ เพิ่งขึ้นมาปีแรก กูจี ไอ้นี้มิลค์ มึงชื่ออะไร”

“กูชื่อไอซ์ ...” คนตรงหน้าพูดพร้อมกับสะพายกระเป๋ามานั่งเก้าอี้ว่างข้างซ้ายมือของผม

“... กูย้ายมานั่งกับพวกมึงดีกว่า”

“แล้วเพื่อนมึงไม่ว่าเหรอ” จีถาม

“ไม่ๆ กูแม่งโคตรซวยโดนย้ายมาห้องนี้คนเดียว คิดแล้วยังเซ็งไม่หาย” ไอซ์พูดพลางทำหน้าเบื่อเต็มทน

“ถ้าจับกลุ่มทำงานกูอยู่ด้วยนะ” พูดจบมันก็คว้าหนังสือการ์ตูนขึ้นมาจากกระเป๋า 3 เล่มแล้วยื่นมาให้ผมกับจี ผมรับเอาหนังสือการ์ตูนที่ใช้กระดาษนิตยาสารหุ้มหน้าปกไว้

“การ์ตูนอะไรวะ” ผมถามเพราะปกติก็ไม้คนอ่านการ์ตูนเท่าไหร่ ผิดกับจีที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ Dragon ball

“อ่านเถอะ เดียวก็รู้” ผมพยักหน้า แต่พอเปิดหน้าแรกเท่านั้น ...

“เชี่ย!!! / เหี้ย !!!” ผมกับจีอุทานพร้อมกัน แล้วก็พร้อมใจกันปิดหนังสืออย่ารวดเร็ว

“555 หน้าพวกมึงโคตรตลก” ไอซ์หลุดขำแรงออกมาเมื่อเห็นปฏิกิริยาของผมกับจี รู้แล้วว่าทำไมต้องใช้กระดาษนิตยาสารห่อเอาไว้

“เอาคืนไปเลย” ผมคืนหนังสือให้ไอซ์ แต่พอหันกลับมาทางจี เจ้าตัวกำลังเปิดอ่านด้วยสีหน้าจริงจัง

“เฮ้ยไอซ์ ... มีของไหมมึง” ใครซักคนเดินเข้ามาทัก

“มี เอาเท่าไหร่”

“3 เล่ม”

“ได้ ... ลงชื่อด้วย” มันล้วงมือไปในกระเป๋าเป้แล้วหยิบเอาหนังสือการ์ตูนหุ้มด้วยปกหน้าตาประหลาดๆ ออกมา 3 เล่ม พร้อมกับสมุดจดที่มีโลโก้โรงเรียนเด่นหราอยู่ตรงกลาง

“วันละ 15 บาท ...” ไอซพูดขณะที่อีกคนก้มตัวลงเขียนอะไรซักอย่างลงในสมุด พอเสร็จก็รับหนังสือการ์ตูนไป

“... ทำไมวะ. ..” มันหันมาถามผมที่จ้องหน้ามันอยู่ก่อน

“... กูปล่อยเช่า ถ้ามึงไม่ขอบการ์ตูน หนังสือโป๊กูก็มีนะ บุหรี่ เหล้า ก็มี มึงอยากได้อะไรบอก กูหาให้มึงได้หมด” ผมกระพริบตาปริบๆ เมื่อเจ้าตัวบรรยายสรรพคุณตัวเองด้วยสีหน้าภาคภูมิใจสุดๆ

“มึงนี่มันตัวอบายมุขชัดๆ”

พักน้อยเช้า ผมเดินลงมาจากบนตึกพร้อมจีกับไอซ์ แต่แยกตัวออกไปเมื่อถึงโรงอาหาร

“ห้องใหม่เป็นไง” ผมถามพร้อมกับนั่งลงตรงข้ามบอน

“ก็ดี แต่จะดีกว่าถ้าได้อยู่กับมึง”

“ทำไงได้ กูก็อยากอยู่ห้องเดียวกับมึงเหมือนกัน”

“รู้งี้น่าจะคบกับมึงตั้งแต่ ป.5” เชี่ยยยยยยยยยยยยยย โคตรเขิน

“ไอ้บอน กูเขินเป็นนะไอ้เหี้ย”

“เขินก็ไม่เห็นต้องพูดคำหยาบเลย เมียกูปากคอเราะร้ายจัง”

“พูดไรวะ เดียวคนอื่นได้ยิน” ผมเหลือบมองซ้ายขวาด้วยความหวาดระแวง ผมกับบอนตกลงกันว่าจะคบกับแบบเงียบๆ ไม่แสดงออกให้ใครรู้ แสดงความรักกันเฉพาะเมื่ออยู่ด้วยกัน 2 คน

“พูดเรื่องจริง มึงเมียกู” มันยิ้ม เป็นยิ้มที่เมื่อเห็นแล้วทำให้หัวใจผมเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ไม่เคยคิดว่ามันหล่อจนกระทั้งเราเป็นแฟนกัน … แฟนผมก็หล่อเหมือนกันนะเนี่ย

“ทำไมกินข้าวเลยละ” ผมถามเมื่อเห็นว่ามันกินข้าวเป็นจริงเป็นจังแทนที่จะเป็นขนม

“เดียวกลางวันไปเตะบอลกับเพื่อนในห้อง” มีเพื่อนใหม่แล้ววุ้ย คงไม่เหงาเท่าไหร่แล้วมั้ง

“กินน้ำอะไรไหม เดียวกูไปซื้อให้” ผมเสนอตัวเพราะไม่เห็นว่ามันซื้อน้ำมา

“เอาโค้ก”



“ไอ้มิลค์!!!”

“ว่า? ” หันกลับไปก็เจอหน้ากวนๆ ของไอซ์

“ไม่ไปหาไรกินกับพวกกูวะ”

“นัดเพื่อนไว้ ขึ้นห้องใหม่มันไม่ค่อยมีเพื่อนกลัวมันเหงา” ผมอธิบายพร้อมกับรับแก้วโค้กและขวดน้ำเปล่าไว้ในมือ

“พูดให้ดี เพื่อนหรือแฟน” ไอซ์กระเถิบเข้ามากระซิบข้างหู

“มึงรู้ได้ไง” ใจแทบหลุ่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม แต่พอเห็นร้อยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้ากวนๆ ของไอซ์ผมก็รู้ตัวเลยว่าเสียรู้ให้มันไปเต็มๆ

“กูก็เดาไปงั้น แต่เสือกเดาถูก 555” ไอ้เหี้ยไอซ์ กูเกียจมึง!!!

ม.3 ผ่านไปอย่างรวดเร็ว จำได้ว่าเพิ่งเปิดเทอมเผลอแป๊บเดียวผ่านไปจนเกือบจะครบปีแล้ว กลุ่มติวของพวกเรามีไอซ์เพิ่มเข้ามา ช่วงแรกๆ ก็ติวกัน 4 คน แม้จะหน้าตากวนตีนและนิสัยก็ไม่ต่างอะไรกับหน้าตา แต่ไอซ์ก็สมกับเป็นเด็กที่อยู่ห้อง king มาตั้งแต่ประถม มันเรียนเก่งโดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษ ตอนนี้คนที่ผมเป็นห่วงมากที่สุดคือไอ้บอนเพราะหลังจากสอบ final เทอม 1 มันก็ไม่มาติวกับพวกผมอีกเลย แม้จะพยายามพูดยังไงบอนก็ไม่ยอมมา ผมว่าส่วนหนึ่งเพราะมันรู้สึกน้อยใจเวลาถูกแวดล้อมไปด้วยเด็กห้อง king อย่างที่ครูนกบอกสิ่งแวดล้อมของห้อง king พลักให้ผมกับจีก้าวไปข้างหน้า แต่ยิ่งผมก้าวไปได้ไกลเท่าไหร่ระยะห่างระหว่างผมกับบอนก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น อีกประเด็นคือผมสัมผัสได้ว่าไอซ์กับบอนไม่ชอบหน้ากันเท่าไหร่ แม้ทั้งคู่จะไม่เคยพูดแต่ผมก็สัมผัสได้เวลา 2 คนนี้อยู่ใกล้กัน

“บอน มึงจะตั้งใจเรียนซักชั่วโมงโดยไม่คิดเรื่องใต้สะดือได้ไหมวะ” ผมพูดกึ่งเล่นกึ่งอารมณ์เสีย ... พูดใหม่คือผมอารมณ์เสียเลยแหละ เมื่อมือที่ลูบอยู่บริเวณแผ่นหลังเริ่มสอดเข้ามาใต้ร่มผ้า

ยิ่งนัดติวกันมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งคิดว่ามันนัดผมมาเพื่อนทำเรื่องอย่างว่ามากกว่าติวหนังสือ ผมติวให้บอนทุกวันอาทิตย์สัปดาห์เว้นสัปดาห์ บ้านผมบ้าง บ้านมันบ้าง คือผมไม่ได้ติดนะเรื่องมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง เพราะผมกับบอน เราเข้ากันได้ดีมาก แต่จุดประสงค์หลักที่ผมมาคือติวหนังสือ แล้วนี้ก็ใกล้ช่วงสอบ บอนควรจะมีสมาธิกับการทบทวนบทเรียน ไม่ใช้หมกมุ่นอยู่กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

“ก็ตั้งใจอยู่นี่ไง” มันตอบด้ายน้ำเสียงราวกับเด็กน้อยเอาแต่ใจ

“ถ้าตั้งใจก็เอามือออกจากเสื้อกูได้แล้ว ... ไหนบอกจะตั้งใจติว ปีหน้าจะได้เรียนสายวิทย์กับกูไง” พูดจบบอนก็ทำหน้าตาล๊อกแล๊ก สายตาลุกลี้ลุกลนเหมือนคนทำอะไรผิดมา

“มึง ... กูว่ากูจะไม่เลือกสายวิทย์แล้ววะ ...”

“... กูว่ากูไปไม่ไหว ไม่ได้ชอบฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ขนาดนั้น” หัวใจเหมือนตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม จริงๆ ผมก็มองออกมาซักพักแล้ว แม้ในใจลึกๆ จะยังหวังว่าจะได้กลับมาเรียนห้องเดียวกันอีกครั้ง

“มึงแน่ใจแล้ว ?”

“แน่ใจ”

“กูยังไงก็ได้นะ เรียนอะไรก็ได้ที่มึงอยากเรียน ... แล้วแต่มึงแล้วเรื่องติวมึงจะเอายังไง ยังอยากจะติวไหมหรือไม่อยากแล้ว” ผมมองหน้ามันสลับกับหนังสือที่วางอยู่ตรงหน้า

“ที่กูอยากติวเพราะกูอยากใช้เวลาอยู่กับมึง ถ้าไม่ได้ติวก็แทบจะไม่มีเวลาได้อยู่ด้วยกันเลย” บอนพูดถูก การเรียนอยู่คนละห้องทำให้เรา 2 คนมีเวลาร่วมกันน้อยกว่าที่คิด แม้จะเรียนวิชาเดียวกันแต่เนื้อหาของห้อง king เข้มข้นกว่ามาก ไม่นับรับถึงการบ้านที่ก็มากตามความเข้มข้นของเนื้อหา ที่โรงเรียนเราได้เจอกันแค่ช่วงพักน้อยเช้าที่เหลือต่างคนต่างอยู่กับเพื่อนของตัวเอง

ตอนกลางวันบอนจะไปเตะบอลกับเพื่อนห้องเดียวกันแม้ผมตามไปดูทุกพักกลางวันแต่ก็แอบดูอยู่ห่างๆ เพราะไม่อยากให้คนอื่นสงสัยในความสัมพันธ์ของเรา ผมชอบมากเวลาเห็นบอนวิ่งอยู่ในสนาม มันเป็นคนสูง รูปร่างดี แม้จะอยู่ท่ามกลางเด็กนักเรียนนับร้อยแต่ผมก็หามันเจอได้ไม่ยาก ... ผมนอกเรื่องไปไกลอีกแล้ว


ผมเข้ากับเพื่อนของมันไม่ค่อยได้ไม่ต่างจากที่บอนเข้ากับไอซ์ไม่ได้เหมือนกัน ไอซ์กับบอนไม่เคยทะเลาะกันแต่ผมก็สัมผัสได้ว่ามีประกายไปแปล๊บๆ เวลา 2 คนนี้อยู่ให้กัน จีกับบอนไม่ได้สนิทกันเหมือนเดิมอีกแล้ว แม้จะไม่ได้มีเรื่องอะไรแต่เพราะเรียนอยู่คนละห้องทำให้ 2 คนนี้ค่อยๆ ห่างกันไป ... พูดได้เต็มปากว่ากลุ่มของ ผม จี และ บอน ไม่มีอีกต่อไปแล้ว


----------


มิลค์ : “คนมีความรักมักจะชอบทำแววตาหวานซึ้ง ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือโตขึ้นอีกนิดนึง”
 #ขึ้นม.3แล้ว #คนมีความรัก #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-05-2025 12:03:03 โดย Milky_Milky_Way »

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 5 : ระหว่างเรา
«ตอบ #15 เมื่อ09-05-2025 11:59:57 »

มิลค์ : เจอกันวันอาทิตย์นะครับทุกคน ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือเป็นคนขี้อวดแฟน
#GameBattleDating #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 6 : กลัว
«ตอบ #16 เมื่อ11-05-2025 11:44:55 »

ตอนที่ 6 : กลัว


ชีวิตมัธยมต้นจบไปแล้วอย่างเป็นทางการพร้อมกับการเริ่มต้นของชีวิตมัธยมปลาย วันนี้เป็นวันปฐมนิเทศขึ้น ม.4 ห้องเรียนและผลการคัดเลือกสายเรียนประกาศตั้งแต่สัปดาห์ก่อน ผม จี ไอซ์ ได้เรียนสายวิทย์ตามที่ตั้งใจ ในขณะที่บอนเรียนสายศิลป์คำนวณ ตอนเช้าเป็น home room รวมของทั้งระดับชั้น ม.4 ในหอประชุม ก่อนจะแยกย้ายไปห้องใครห้องมันเพื่อนพูดคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษา

“พวกมึง นี่ไอ้อาร์ม กับไอ้โจ เพื่อนกูตั้งแต่สมัยประถม ... นี่มิลค์ นี่จี” ไอซ์พาเพื่อนใหม่มาแนะนำ ผมพอรู้จัก 2 คนนี้อยู่บ้างเพราะไอซ์พูดถึงบ่อย ปีที่แล้วเวลาเดินผ่านก็มีทักทายกันบ้าง บางวันก็กินข้าวด้วยกันที่โรงอาหาร เทอมนี้โชคดีที่พวกเรา 5 คนได้อยู่ห้องเดียวกันหมด ไอซ์เลยมาจองที่ให้ตั้งแต่เช้า สูตรเดียวกับจีเป๊ะเลย ริมห้องฝั่งใกล้ประตู แถวกลาง ไอซ์ อาร์ม โจ นั่งแถวหน้า ผมนั่งข้างจี หลังไอซ์

“พวกมึง ปีนี้จะเปิดทำชมรมกันเปล่า” อาร์มเปิดประเด็น มันเป็นคนตัวใหญ่ ผิวคล้ำ ใส่แว่น แต่แม้ภายนอกจะดูน่ากลัวแต่มันนิสัยดีสุดๆ แล้วก็เป็นคนที่เรียนเก่งที่สุดในกลุ่ม ตามกฎของโรงเรียน ม.4 - 5 สามารถรวมกลุ่มกันเปิดชมรมได้

“กูไม่เคยคิดเรื่องนี้เลยวะ” ไอซ์ตอบ ในขณะที่ผมกับจีได้พยักหน้าเห็นด้วยกับมัน

“กูกับโจไปคุยกับอาจารย์หมวดวิทย์มาเว้ย อาจารย์เขาชวนเปิดชมรมวิทย์”

“ชมรมวิทย์มีคนทำอยู่แล้วไม่ใช้เหรอ” จีถาม

“ก็ใช่ แต่พวกที่ทำปีที่แล้ว ปีนี้ย้ายไปสมัครสภานักเรียนกันหมดเลย ...” อาร์มเฉลย

“... กูไปคิดมาแล้วกิจกรรมก็ไม่มีอะไรมาก ติววิทย์ให้เด็ก ม.ต้น แล้วปิดเทอมก็จัดค่ายไปต่างจังหวะซัก 2 คืน งานโรงเรียนจัดซุ้มเกมส์ งานวิชาการจัดบูทนิดๆ หน่อย กูว่าแค่นี้คนก็แห่มาสมัครแล้ว”

“กูเอา น่าสนุกดี” ไอซ์ตอบรับแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด

“กูด้วย / ตกลง” โจกับจีตอบตกลงพร้อมกันเหลือแต่ผม ที่ยังไม่กล้าตัดสินใจ

“มึงไม่ทำเหรอ” จีเอาศอกสะกิด

“กูก็อยาก แต่ก็ไม่เก่งเหมือนพวกมึงไง จะติวให้ใครก็อายเขา” ถ้าเทียบกับคนอื่นในกลุ่ม ผมเป็นคนที่เก่งน้อยที่สุด คนอื่นๆ เปิดหนังสือผ่านๆ ก็สอนสดได้เลย ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก แต่ด้วยความสามารถระดับผมไม่น่าจะไปติวให้ใครได้

“มึงไม่ต้องคิดมากเว้ย มึงเป็นเลขาชมรมไหม จัดการเรื่องโน่นนี้นั้นแทน ไม่ต้องรับหน้าที่ติวก็ได้” อาร์มเสนอทางออก

“ได้ กูตกลง”



พักน้อยเช้า ผมแยกจากคนอื่นๆ มาหาบอนเหมือนปกติ อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเมื่อมาถึงโรงอาหาร กลุ่มของบอนใหญ่ขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา เหมือนว่ามีเพื่อนจากหลายๆ ห้องมานั่งรวมกัน พวกมันจะกินข้าวกลางวันตอนพักน้อยเช้าและเตะบอลตอนพักกลางวัน อย่างที่เคยบอก ผมเข้ากับเพื่อนของบอนไม่ค่อยได้

“วี๊ดวิ๊วววววว ว่าไงคนสวย มาหาใครคะ” ... ผมขอแก้คำพูด ไม่ใช้ว่าเข้ากับเพื่อนของบอนไม่ได้ แต่ผมเกียจเพื่อนของมันเลยต่างหาก ... ‘ไอ้ปิง’ เพื่อนสนิทของบอน เอ่ยปากแซวผม บอนกับมันนั่งข้างกันปีที่แล้ว ปีนี้ก็เรียนห้องเดียวกันอีก ผมไม่ชอบมัน ปากเสีย กวนตีน ไม่มีมารยาท เสียงแซวของมันทำให้คนอื่นๆ หันมามองผมเป็นสายตาเดียวกัน ผมคุ้นหน้าครึ่งโต๊ะ อีกครึ่งผมไม่คุ้น ก่อนหน้านี้มี 6-7 คน ผมยังอึดอัด นี่รวมกันเป็น 10 คน โคตรไม่ชอบพวกนี้เลย

“เสือก” ผมพูดเสียงเบา แต่มั่นใจเลยว่าไอ้ปิงอ่านปากผมออก ผมว่ามันโรคจิตนะเพราะดูจะมีความสุขมากเวลาโดนผมด่า

“พวกมึง ... นี้มิลค์ เพื่อนกู” บอนพูดเมื่อผมนั่งลงข้างๆ ผมยังคง keep cool แม้ว่าในใจจะโคตรอึดอัดที่ถูกคนอื่นจ้องเป็นสายตาเดียวกัน

“เพื่อนหรือเด็ก พูดให้ชัด” ไอ้ปิงยังไม่หยุดแซว แม้จะถูกผมมองแรงไปแล้วหลายรอบก็ตาม

“เพื่อน มันเป็นเพื่อนสนิทกูตั้งแต่ประถม” บอนอธิบายเพิ่ม ไม่มีใครรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับบอน นอกจากจีและไอซ์

“มึงสูบบุหรี่?” ตอนแรกผมไม่แน่ใจ คิดว่าเป็นกลิ่นจากคนอื่น แต่พอนั่งได้ซักพัก ชัดเลยว่ากลิ่นมาจากคนข้างตัว บอนทำหน้าอึกๆ อักๆ

“มิลค์ มึงจะซีเรียสทำไมวะ ก็ไอ้บอนมันอยากลอง” ไอ้ปิงรีบออกหน้าช่วย ผมตวัดสายตากลับมาที่ตัวต้นเหตุ ฮึ ยิ้มแห้งไปก็ช่วยอะไรมึงไม่ได้

“อืม มันไม่ดี มึงก็รู้ ... ถ้าป๊าม๊ารู้มึงโดนแน่” ในใจคืออยากจะสาดคำผรุสวาทใส่มันกลางโรงอาหาร แต่ก็ไม่อยากให้มีประเด็นอะไร

บ้านมันเป็นคนจีน ส่วนบ้านผมเป็นคนไทย ป๊าม๊าในความหมายของเราคือพ่อแม่ของบอน ส่วนพ่อแม่ก็คือของฝั่งผม ... ม๊าเคยโทรหาผมช่วงก่อนจะเลือกสายการเรียน ม๊าอยากให้ผมพูดกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนให้หน่อยว่าให้เลือกสายวิทย์ แม้สุดท้ายแล้วจะสอบเข้าคณะสายศิลป์ก็ตาม เพราะม๊ารู้สึกว่าสายวิทย์มีตัวเลือกมากกว่า ผมรับปากว่าจะคุยให้ แต่ผลที่ออกมา ก็ตามที่เห็นอยู่นี่แหละครับ ... นอกจากนั้นม๊ายังบอกอีกว่าตั้งแต่เรียนคนละห้องกัน บอนก็ไม่ตั้งใจเรียน คะแนนก็แย่ลงเลื่อยๆ

“ขอโทษ” บอนกระซิบ น่าจะมีแค่ผมเท่านั้นที่ได้ยิน

“เดียวกูไปซื้อน้ำให้ เหมือนเดิมใช่ไหม” มันยิ้ม พยักหน้างึดๆ

“ไอ้มิลค์ ไหนๆ มึงจะไปซื้อน้ำแล้ว ซื้อให้พวกกูด้วยได้เปล่าวะ” โคตรเกียจไอ้ปิง ถามขึ้นมากลางวงขนาดนี้ถ้าผมปฏิเสธก็คือไม่มีน้ำใจ ?

“เอาดิ ...”

ไอ้พวกเหี้ย ให้กูซื้อน้ำเป็น 10 แก้ว แล้วก็แดกไม่เหมือนกันอีก ภาระสัสๆ เกียจพวกมัน ผมถือถาดน้ำถาดเบ่อเริ่มกลับมาที่โต๊ะ มีไม่กี่คนที่เอ่ยปากขอบคุณ ... เกียจพวกมัน

“เฮ้ยบอน เบอร์หญิงที่กูให้ไปเมื่อวันก่อนมึงโทรไปหาเขายังวะ” ผมชะงักเมื่อได้ยินใครซักคนพูดขึ้น ใจมันเต้นตุบๆๆๆๆ แต่ก็พยายามไม่ทำตัวให้ผิดสังเกต บอนสบตาผมแค่เสี่ยววินาทีก่อนจะหันกลับไปตอบ

“ยังๆ ขี้เกียจคุย”

“เขาชอบมึงมากเลยนะเว้ย ถามกูทุกวันว่าเมื่อไหร่มึงจะโทรหาเขา หรือจะให้กูให้เบอร์มึงไปเลยปะ”

“ไม่เอาๆ ไม่ต้อง ถ้าจะโทรเดียวกูโทรเอง” ฮึ!!! ไอ้เหี้ยบอน วันนี้ 2 คดีแล้วนะ เดียวมึงโดนกูแน่

“เฮ้ย ไม่ต้องเกรงใจ เรื่องแค่นี้เอง” เรื่องแค่นี้พ่อง!!! อยากจะตะโกนใส่หน้าพวกมันว่าเมียไอ้บอนนั่งหัวโด่อยู่นี้

“ไม่ต้องเสือกเลยมึงอะ อยู่เฉยๆ” ไอ้บอนรีบเบรกเพื่อนตัวเองก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้

“หรือมึงมีแฟนแล้ววะ ... ปิง ไอ้บอนมีแฟนยังวะ” บทสนทนาถูกโยนกลับไปที่ไอ้ปิง

“แฟนเหรอ ไม่มีนะ แต่ถ้าแม่ละก็ นั่งอยู่โน่นไง ก๊ากกกกกกก” มันบุ้ยปากมาทางผม แล้วทั้งโต๊ะก็พร้อมใจกันหัวเราะ ... เกียจมันชิบหาย ไอ้เหี้ยปิง

“K!!!” ครั้งนี้ผมพูดออกไปเต็มปากเต็มคำ ไม่มีกระซิบ แต่หน้าหนาอย่างพวกมันคำด่าก็เหมือนคำชม เพราะหัวเราะชอบใจกันใหญ่

“อยากได้เหรอ มามะ เดียวกูจัดให้ซักดอก” ไอ้เหี้ยปิง!!! เกียจแม่ง

“กูไม่คุยกับมึงแหละ ไอ้เหี้ย!!!” เล่นกับหมา หมาเลียปากชัดๆ ผมปั้นหน้ายิ้มให้คนอื่นๆ แล้วจงใจกระแทกประโยคสุดท้ายใส่หน้าไอ้ปิง แต่คงไม่ระคายผิวคนหน้าหนาอย่างมัน

ออกจากโรงอาหารผมเดินทอดน่องไปตามระเบียงทางเดิน ก่อนจะเลี้ยวขึ้นไปยังโรงยิมชั้น 2 หลังจากประตูห้องเก็บของปิดลง ไม่นานเสียงฝีเท้าหนักๆ ก็ดังขึ้นไล่หลังมา

“กูขอโทษ” ไอ้บอนรีบชิงพูดก่อน

“เรื่องผู้หญิง อธิบายมา” โกรธมาก ในโรงอาหารเหมือนนั่งอยู่ดีๆ ก็โดนลากมาตบกลาง 4 แยก

“พวกมันเอารูปกูไปให้ใครดูไม่รู้ แค่นั้นเลย กูไม่เคยโทรไป ไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำ ...”

“... มึงเช็คมือถือกูก็ได้” มันล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋าส่งมาให้แต่ผมส่ายหัวปฏิเสธ

“ถ้ามึงบอกว่าไม่มีอะไร กูก็จะเชื่อใจมึง ...” สีหน้าตึงๆ ของไอ้บอนถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้ม มันถลาดจะเข้ามากอดแต่ผมยกมือขึ้นห้ามไว้

“... แต่ถ้ามึงนอกใจกู กูเลิกกับมึงแน่...” วันนี้มันน่าจะเป็น bipolar นะเพราะจากหน้ายิ้มๆ ถูกแทนที่ด้วยหน้าหมาหงอย ผมก้าวเท้าเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้ามัน

“...บุหรี่ มึงไม่สูบได้ไหม ...กูไม่ชอบกลิ่น ...เวลาจูบมึง”

มันเงยหน้าขึ้นมา ทำสีหน้าเหมือนไม่เชื่อว่าจะได้ยินประโยคแบบนี้ออกจากปากผม พอดีกับจังหวะที่ผมคล้องคอมันลงมาจูบ... จูบที่เริ่มจากความนุ่มนวลค่อยๆ ทวีความเร่าร้อนขึ้นทุกวินาที กลิ่นบุหรี่ยังไม่ทันจางหาย ร่างกายเราก็แนบชิดกันจนรู้สึกได้ถึงไอร้อนที่แผ่ออกมาจากผิวเนื้อ

“มึงนี่มัน...” เสียงของบอนแทบเป็นเสียงกระซิบ มือใหญ่เลื่อนมาประคองแผ่นหลังของผมไว้แน่น
ผมไม่ได้ตอบอะไร แค่ค่อยๆ คุกเขาลงกับพื้น แล้วปล่อยให้ทุกสัมผัสที่เกิดขึ้นบอกความรู้สึกแทนคำพูด

ผมไม่ชอบสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ตอนนี้เลย มันไม่ใช้ผม ไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่ใช้ร่างกายเพื่อแลกบางอย่างกลับมา แม้จะแสดงออกว่าโกรธ แต่ลึกๆ แล้วมันคือความกลัว กลัวว่าบอนจะมีคนอื่น กลัวว่าตัวเองมีดีไม่พอที่จะรั้งมันไว้ กลัวว่ารักครั้งแรกของผมจะพังทลาย ... บอนเป็นแฟนคนแรกและผมก็รักมันมาก มากจนไม่เหลือที่ว่างให้กับความรู้สึกอื่นใด ที่ใช้ร่างกายเข้าแลกเพื่อต้องการเตือนสติของมัน และที่สำคัญคือสร้างความมั่นใจกับตัวเองว่าบอนยังเป็นของผม ... ของผมคนเดียวเท่านั้น



งานชมรมวุ่นวายมากกว่าที่คิดไว้ ตำแหน่งเลขาชมรมไม่ต่างอะไรกับ “general เบ้” ดีๆ นี่เอง ผมทำทุกอย่างตั้งแต่งานเอกสาร จองห้องติว จัดคิว เตรียมของว่าง ส่วนคนอื่นๆ ก็เหนื่อยพอกัน ไม่น่าเชื่อว่าชมรมวิทย์จะ popular กว่าที่คาดไว้ highlight หลักคือโปรแกรมติววิชาวิทย์ม.ต้น จากพี่ๆ สายวิทย์ ม.ปลาย โฆษณาเพียงเท่านี้ พ่อแม่ผู้ปกครองก็แห่พาลูกมาสมัครจนแถวยาวไปถึงดาวอังคาร คนสมัครเยอะจนต้องเพิ่มรอบติว คนอื่นๆ เตรียมเนื้อหาจนหัวหมุน ส่วนผมก็พยายามทำทุกอย่างให้การติวดำเนินไปอย่างราบรื่นที่สุด

จากเดิมที่คิดว่าจะติวสัปดาห์ละ 1-2 วัน แต่พอคนแห่มาสมัครเยอะมากเลยต้องปรับเป็น 5 วันต่อสัปดาห์ วันที่ peak มากที่สุด ผมต้องเปิดห้องติวถึง 5 ห้อง พวกเราแบ่งกันรับผิดชอบติวน้องๆ คนละชั้น ม.1 ไอ้โจรับไป ม.2 จี ม.3 ไอซ์และอารม์ และทั้ง 4 คนต่างก็ไปหาเพื่อนคนอื่นในห้องมาช่วยกันติวคนละบทสองบท เพื่อไม่ให้งานหนักมากจนเกิดไป ทำไปทำมาชมรมผมกลายเป็นชมรมที่มี staff และสมาชิกเยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ของโรงเรียนซะงั้น

Staff ส่วนมากเป็นเด็กสายวิทย์ ไอ้ไอซ์เป็นคนไปเกณฑ์คนอื่นๆ มาช่วย ทำไปทำมา staff ของชมรมวิทยศาสตร์ก็ไม่ต่างอะไรกับ copy-paste นักเรียนจากห้องวิทย์ทั้ง 2 ห้องมา เพราะเด็กสายวิทย์ร้อยละ 90 เป็นเด็กที่มาจากห้อง king ทั้ง 2 ห้อง ซึ่งก็จะสนิทกันมากอยู่แล้วเพราะย้ายห้องสลับกันไปมาแค่ 2 ห้องตั้งแต่ประถม

ตอนแรกทุกอย่างดูฉุกละหุกโดยเฉพาะเรื่องสถานที่ แต่พอเริ่มเป็นกระแสโรงเรียนก็หันมาให้ความสนใจ ผมเลยถือโอกาสคุยกับอาจารย์ฝ่ายวิชาการ และอาจารย์ก็ใจดีทำเรื่องขอใช้ห้องเรียนทั้งชั้นสำหรับติวหลังเลิกเรียน

“แม่งโคตรเหนื่อยเลยวะ” จีเดินด้วยสภาพที่เหมือนวิญญาณถูกสูบออกจากร่าง

“อะ น้ำ ... กินขนมไหม ...” ผมยื่นขวดน้ำดื่มพร้อมกันจานขนมปี๊บให้จีที่เหมือนวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง มันส่ายหัว รับไปแต่ขวดน้ำ

“...มึงไหวไหม” ผมถาม เพราะจีดูหมดแรง จะว่าไปก็เห็นใจจี มันจับฉลากได้ห้องที่มีแต่เด็กกวนประสาท เลยต้องใช้พลังงานมากกว่าคนอื่นๆ

“เด็กแม่งโคตรแสบ กูพูดจนคอแห้งไปหมดแล้วเนี่ย...” มันพูดแล้วกระดกน้ำที่เหลือ

“... เดียวกูไปเข้าห้องน้ำก่อน เหลือเวลาอีกแป๊บเดียว” ผมรับขวดเปล่าจากมัน มองตามหลังร่างสูงที่เดินห่างออกไป

พวกเราติวกัน 90 นาที ครึ่งละ 40 นาที พักเบรกอีก 10 นาที ผมเอาโต๊ะมากางไว้กลางห้องโถง เตรียมน้ำและขนมไว้ให้เรียบร้อย เด็กและ staff หยิบได้ตามสบาย ระหว่างพักทุกคนก็จะแยกย้ายไปจับกลุ่มคุยกัน อยากจะเพิ่มเวลาเบรกให้มากกว่านี้แต่เพราะด้วยเวลาจำกัด แค่นี้กว่าผมจะได้ออกจากโรงเรียนก็เกือบ 1 ทุ่มแล้ว

“มึงไปพักเถอะ” ผมบอกจีที่กำลังช่วยพับโต๊ะเก็บ

“ช่วยมึงนั้นแหละ รีบเก็บจะได้รีบไปหาอะไรกิน โคตรหิว” ผมเหลือบดูนาฬิกาติดผนัง 6 โมงเย็นแล้ว

“เกรงใจ”

“ช่วยๆ กันมึง” ผมกับจีรีบเก็บของที่เหลือเข้าห้องชมรม จริงๆ ก็ไม่ได้มีอะไรมากพวกจานช้อนส้อมผมซื้อแบบใช้ให้ทิ้งมา ที่วุ่นวายที่สุดคือการล้างกระติกน้ำเพราะต้องยกไปล้างข้างโรงครัว

สุดท้ายกว่าจะได้ออกจากโรงเรียนก็ 6 โมงครึ่ง ปกติแล้วผมกับจีจะกลับบ้านพร้อมกัน บ้านเราอยู่ทางเดียวกัน บ้านจีจะถึงก่อนผม แชร์ค่า taxi กัน ถ้าไม่รีบเราจะหาข้าวเย็นกินกันก่อนเพราะถ้ากลับตอนนี้ด้วยความสาหัสของการจราจรในเมืองหลวงผมกับมันน่าจะหิวข้าวตายอยู่บนรถ ร้าน fast food ใกล้โรงเรียนคือร้านประจำของพวกเรา เย็นขนาดนี้คนไม่เยอะเท่าไหร่แล้ว กินอิ่มก็นั่งเล่นรอเวลาได้

“มึงกับไอ้บอนเป็นยังไงบ้าง” จีถามพลางกัด hamburger คำโตเข้าปาก

“ก็ดี ... มั้ง” ผมตอบคนตรงหน้าไปแบบผ่านๆ

“เล่ามา”

“...”

“ถ้าไม่เล่างั้นกูเล่านะ” คำพูดของจีทำเอาผมชะงัก

“มึงไปรู้อะไรมา”

“กูเห็นมันกับคนอื่น ... ผู้หญิง ...”

“... กูไม่ได้อยากเป็นคนขี้ฟ้องนะเว้ย แต่มึงคือเพื่อนสนิทกู”

“อืมมมมม ... กูรู้ ... ซักพักแล้ว”

“มึงรู้? … แล้วไม่ทำอะไรเนี่ยนะ”

“แล้วกูจะทำอะไรได้”

“มิลค์” จีทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อได้เห็นเพื่อนสนิทหลั่งน้ำตาเป็นครั้งแรก ... อีกครั้งที่ใบหน้าสวยต้องเปื้อนรอยน้ำตา

ใช่ ... แล้วผมจะทำอะไรได้ จากเรื่องเล่นๆ ในกลุ่มเพื่อน แต่สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องจริง ผมไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใคร เชื่อตัวเอง เชื่อคนรอบข้าง หรือเชื่อบอน มันบอกที่ทำทั้งหมดไม่ใช้เรื่องจริง ที่โทรคุย นัดเจอกัน ทั้งหมดเพื่อตัดรำคาญเพื่อนในกลุ่ม มันมีผมคนเดียว แต่เหตผลทั้งหมดที่ให้มากลับตรงข้ามกับการกระทำ จากที่เคยไปไหนมาไหนด้วยกันตอนเย็นหรือวันหยุดตอนนี้ผมกำลังถูกใครอีกคนหรือมากกว่านั้นแย่งช่วงเวลาเหล่านั้นไป จากคนที่บอนเคยให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกตอนนี้ผมไม่รุ้แล้วว่าตัวเองอยู่ลำดับที่เท่าไหร่ ผมไม่เคยอยากเป็นคนที่มีความสำคัญอันดับที่หนึ่งผมแค่อยากเป็นคนสำคัญเพียงคนเดียวของบอน

ผมคิดว่าตัวเองจะเข้มแข็งมากกว่านี้ เด็ดขาดมากกว่านี้ ยืนหยัดเพื่อตัวเองมากกว่านี้ แต่พอเอาเข้าจริงกลับไม่กล้าแม้จะยอมรับความจริงด้วยซ้ำว่าบอนกำลังมีคนอื่น ... ผมรักมัน ผมไม่อยากเลิกกับมัน อะไรก็ตามที่ทำให้เรา 2 คนยังอยู่ด้วยกันได้ผมยินดีทำทุกอย่าง

“กูทำอะไรไม่ได้เลย จากที่คิดว่าตัวเองจะกล้ากว่านี้ เอาเข้าจริงกูแม่งโคตรขี้ขลาด”

“เช็ดน้ำตาซะ ไอ้บอนไม่คู่ควรกับน้ำตาของมึง ...” กระดาษทิชชูถูกยื่นมาให้ตรงหน้า

“... มึงรู้ไหมเวลากูเห็นมึงนั่งอยู่กับมันที่โรงอาหาร บางครั้งกูก็อยากจะเดินไปซัดหน้ามันซักที มันหัวเราะได้ยังไงในขณะที่มึงนั่งเหมือนคนไร้วิญญาณอยู่ข้างๆ ...”

“... มันทำแบบนี้กับมึงได้ไงวะ มึงเป็นทั้งแฟน ทั้งเพื่อนสนิทของมันนะเว้ย”

“เพราะมันเหี้ยไง” สมัยก่อนมันก็เหี้ยแบบนี้แต่เพราะเป็นเพื่อนกันมันก็พอจะมองข้ามกันได้ แต่ในฐานะแฟน ... มันควรจะปฏิบัติกับผมดีกว่านี้

ผมระแวงตั้งแต่บอนเริ่มทำตัวห่างเหิน เสียใจแต่ก็ต้องยอมรับว่า ณ ตอนนี้เรา 2 คนไม่ใกล้ชิดกันเหมือนเดิม แม้จะคุยโทรศัพท์กันทุกวันแต่เรื่องที่คุยก็น้อยลงอย่างน่าใจหาย บางครั้งเราก็แค่ถือสายค้างไว้แล้วต่างคนก็ต่างทำธุระของตัวเอง มันเล่นเกม ผมทำการบ้าน ถึงเวลานอนก็แค่บอกลาแล้วแยกย้าย เราทะเลาะกันบ่อย พูดให้ถูกคือเราทะเลาะกันทุกเรื่อง ไม่มีแล้วคำหวาน ไม่มีแล้วความอบอุ่นที่สัมผัสได้ด้วยใจ

ผมยังคงไปหาบอนทุกพักน้อยเช้าแต่ไปก็เหมือนไม่ไป แค่นั่งอยู่ข้างกันแล้วต่างคนก็ต่างเงียบ มันก็คุยกับเพื่อนของมันไป ส่วนผมก็นั่งเงียบๆ เหมือนไม่มีตัวตน แม้จะอึดอัดแค่ไหนที่ต้องถูกเพื่อนของมันปล่อยมุก 2 แง่ 3 ง่ามใส่ แต่ผมก็ยังอยากจะไปเพราะจะได้อยู่ใกล้ๆ บอน บางครั้งผมก็คาดหวังว่าในฐานะแฟนมันจะออกหน้าปกป้องผมบ้าง ไม่ใช้ปล่อยให้ผมเผชิญกับนิสัยแย่ๆ ของเพื่อนมันอยู่คนเดียว

“มึงรู้มาตั้งแต่ตอนไหน”

“เทอมที่แล้ว”

“เชี่ยมิลค์ มีอะไรทำไมไม่บอกกูวะ”

“กูจะกล้าบอกมึงได้ยังไง ... มึงเตือนกูเรื่องความเจ้าชู้ของมันแล้วแท้ๆ” จีเตือนผมหลายครั้ง แต่ผมเคยคิดจริงๆ ว่าผมสามารถเปลี่ยนนิสัยบอนได้ หรืออย่างน้อยด้วยความที่เราเป็นเพื่อนสนิทกันมันก็ไม่น่าจะหักหาญน้ำใจผมถึงเพียงนี้ ผมเคยมั่นใจว่าทุกอย่างที่ทำลงไปจะรั้งมันไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความเป็นเพื่อน หรือแม้แต่ความผูกพันทางกาย

พูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ตอนนี้เรื่องนี้คงเป็นเรื่องเดียวที่ผมกับบอนเข้ากันได้ดี อย่างที่บอกของเรา 2 คนเข้ากันได้ดีเสมอ ผมตามใจบอนทุกอย่าง ยอมทุกอย่างที่บอนต้องการ เพราะอยากให้มันอยู่แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าไม่มีสัมผัสไหนจะรั้งใจของคนที่หมดรักได้เลย

“ทำไมจะบอกไม่ได้วะ ...”

“...กูช่วยอะไรมึงได้บ้างไหม มึงอยากให้กูคุยกับมันให้ปะ ?”

“กูไม่รู้ ไม่รู้จะทำยังไงแล้วจริงๆ ... ฮือออออออ ...” ผมกั้นความโศกเศร้าไว้ไม่อยู่ ทุกความรู้สึกถูกระบายออกมาในรูปของหยดน้ำตาและเสียงสะอื้น จีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามย้ายมานั่งข้างผม มันกอดไหลผมไว้แล้วใช้มืออีกข้างดึงศีรษะของผมให้ซบลงบนไหล่

“... กูพยายามทุกอย่างแล้ว ... ฮือออออออ”

“ร้องเลยมึง อยากร้องเท่าไหร่มึงร้องออกมาให้หมด...” ยิ่งผมสะอื้นวงแขนของจีก็ยิ่งกระชับไหล่ของผมเข้าหาตัว ผมที่หมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรงเลยได้แต่อิงแอบแนบชิดกับความอบอุ่นที่จีมอบให้ พร้อมกับปลดเปลื้องทุกอารมณ์อ่อนไหว ใบหน้าใสเนียนซบลงบนไหล่กว้าง หยดน้ำตาใสไหลออกจากดวงตาคู่สวยไม่ขาดสายจนเสื้อนักเรียนสีขาวของจีเลอะรอยน้ำตา ... นานแค่ไหนไม่รู้ที่เสียงปลอมประโลมยังคงกระซิบข้างหู

“... กูอยู่เป็นเพื่อนมึงเอง จะเหี้ยแค่ไหนกูก็อยู่ข้างมึง”


----------


มิลค์: ดวงอาทิตย์ไม่ขึ้นจากทิศตะวันตกฉันใด คนเจ้าชู้ก็ไม่มีวันกลับตัวได้ฉันนั้น ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือมีแฟน Toxic
#ToxicBF #กอด #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : Teaser ตอนที่ 7
«ตอบ #17 เมื่อ14-05-2025 23:45:39 »

เปิดเทอม ม. 5 ครึ่งทางแล้วสำหรับชีวิตมัธยมศึกษาตอนปลาย ปีที่แล้วทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเรียนๆ เล่นๆ ยังไม่ต้องจริงจังกับการค้นหาตัวเองว่าอยากเรียนต่อคณะไหน ปีนี้ทุกคนก็ยังพูดในทำนองเดียวกันว่ายังใช้ชีวิตขำๆ ได้ แต่ก็อยากให้ค้นหาตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ต้องเครียดกับการเรียนให้มากจนเกินไปแต่ก็ควรจะเริ่มวางแผนอนาคตไว้บ้าง

“พวกมึงอยากเรียนคณะอะไรกันบ้างวะ...” อาร์มพูดขึ้นระหว่างมื้อกลางวัน

“...กูอยากเรียนวิศวะคอม” มันตอบอย่างมั่นใจ

“กูก็วิศวะ แต่ยังไม่รู้ภาคอะไร” จีตอบ มันพูดกับผมตั้งแต่ปลายปีที่แล้วๆ ว่าอยากเรียนวิศวะ เพราะใส่เสื้อช๊อปแล้วเท่ห์ดี

“กูเหมือนไอ้จี เข้าไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน” โจตอบ ... กลุ่มผมจะเข้าวิศวะ 3 คนเลยเหรอ

“สัตวแพทย์มั้ง” ผมตอบแบบน้ำเสียงไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ ผมอยากเรียนสายแพทย์ แต่แพทย์กับทันตก็ดูจะไกลเกินเอื้อมไปหน่อย

“อาชีพนางงามสัสสสส ... จบแล้วก็ไปสมัคร Miss Tiffany ได้นะมึง profile ได้อยู่ 555” ผมถีบหน้าแข้งไอ้ห่าอาร์มทันทีที่มันพูดจบ ... ทุกคนรู้ว่ารสนิยมทางเพศของผมคืออะไร พวกมันไม่ได้รังเกียจ แค่แซวกันขำๆ

“แล้วมึงละไอซ์”

“ไม่รู้วะ พวกมึงไปกองกันวิศวะหมด ... อาจจะไปอยู่กับไอ้มิลค์มั้ง ดูคะแนนก่อน” มันพูดไปเคี้ยวข้าวไป เข้าตัวยักไหลแบบไม่ใช้เรื่องใหญ่อะไรที่จะเลือกเรียนตามเพื่อน

“เชี่ยยยยย รักเพื่อนสาสสสสส ... รักขนาดนี้ คิดมากกว่าเพื่อนเปล่าเนี่ยยยยย”

“Kยยยยยยย” ผมว่าไอ้อาร์มมันโรคจิตนะ ชอบแซวคนอื่นให้ตัวเองโดนด่า ยิ่งด่ามันแรงๆ มันก็หัวเราะชอบใจ ผมไม่ได้คดิจริงจังกับคำแซวของเพื่อนเพราะรู้ดีว่าไอซ์พูดไปอย่างนั้น มันไม่มีทางเลือกเรียนสายการแพทย์


----------


มิลค์ : "เจอกันวันอาทิตย์ครับ ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือมาพร้อม The gang"

#LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่อยู่ตรงนี้ด้วยกัน

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 7 : ปลายทาง
«ตอบ #18 เมื่อ18-05-2025 12:16:11 »

Trigger Warning: ตอนนี้มีเนื้อหาที่อาจกระทบความรู้สึก เช่น ความสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย และการกระทำที่ไม่ยินยอม โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน



ปิดเทอมใหญ่ ม.4 ผ่านไปแล้วอีก 1 ปี ปีที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้นมากมาย ชมรมวิทยาศาสตร์ประสบความสำเร็จมากกว่าที่คิด ไหนจะกิจกรรมติวหนังสือที่ได้ความนิยมล้นหลาม ไหนจะซุ้มงานวันเกิดโรงเรียนที่ได้ยอดขายคูปองมากเป็นอันดับ 1 ... กับเพื่อนใหม่ จะบอกว่าพวกเราเข้ากันได้ดีมาก ผม จี ไอซ์ อาร์ม และ โจ กลายเป็นเพื่อนรักที่ไปไหนไปกัน กิน เที่ยว เรียน พวกเราอยู่ด้วยกันตลอด ... ทุกอย่างสดใสสำหรับปีแรกของชีวิตมัธยมปลาย ยกเว้นอยู่เรื่องเดียว ... เรื่องของผมกับบอน ... ที่แม้ความสัมพันธ์จะลุ่มๆ ดอนๆ แต่เราก็ยังคบกัน

“ไอ้เหี้ยบอนนนนนน ... ไอคนสารเลววววววววววว” ผมตะโกนแหกปากดังลั่นแต่ดึกขนาดนี้ไม่มีคนสนใจเด็กวัยรุ่นที่มายื่นทำ music video อยู่คนเดียวริมหาดแบบผมหรอก ... แล้วลมทะเลพัดเอาทำผรุสวาสของผมลอยหายไป

“เมาแล้วมึง” แขนหนักๆ พาดลงมาบนไหล่แล้วใบหน้าของเพื่อนสนิทก็โผล่เข้ามาในสายตา หน้ามันแดงนิดๆ จากฤทธิ์ของแอลกอฮอร์ ไม่ต่างอะไรกับผมที่รู้สึกกึมๆ จนกล้าตะโกนออกมาดังลั่น

“ไม่เมา กูไม่เมา 555” แล้วผมก็พาดแขนลงบ่นบ่าของมันเช่นนั้น

“เออ!!! ไม่เมาก็ไม่เมา กลับไปนั่งได้แล้ง ไอ้ไอซ์ให้มาตาม มันกลัวมึงเดินลงทะเลเลย” มันพูดพร้อมกับออกแรงลากคอผมกลับไป

ไอซ์นั่งอยู่ที่โต๊ะใต้ต้นมะพร้าวใหญ่ ใบหน้ามันเริ่มติดสีแดงไม่ต่างอะไรจากผมและจี ตรงหน้านอกจากเครื่องดื่มมึนเมาแล้วยังมีถุงขนมวางระเกะระกะไม่แพ้กัน ... พวกเรานั่งตรงนี้กันตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ ก่อนที่เมื่อครู่ผมจะคึกแล้ววิ่งเตลิดออกมาที่ชายหาด

“ผัวนอกใจหน่อยเดียว ดราม่าซะอย่างกับนางเอก MV” ไอซ์เอ่ยปากแซว ... ผมตอบกลับมันด้วยการยกนิ้วกลางให้พร้อมกับรอยยิ้ม ... มันรู้ว่าช่วงที่ผ่านผมมีปัญหากับบอน มันที่ไม่ชอบบอนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วตอนนี้เรียกได้ว่าเกียจไอ้บอนยันเงา

“มันจะกลับมาเมื่อไหร่วะ...” จีถามพร้อมกับส่งถุงขนมมาให้

“... พอแล้ว มึงแดกเยอะไปแล้ว” มันพูดเสียงเข้ม คว้าเอาแก้วพลาสติดสีแดงที่ผมเล็งไว้มาถือในมือ

“ไม่เยอะ!!!” ผมเถียงแม้จะอ้อแอ่เต็มทีแล้วก็ตาม

“มันจะกลับมาเมื่อไหร่วะ” จีถามพร้อมกับส่งถุงขนมมาให้แทน

“วันมะรืนมั้ง” ปิดเทอมใหญ่ครั้งนี้บอนถูกส่งตัวไปเรียน summer เกือบ 2 เดือน ป๊าม้าต้องการจะดัดสันดานมันที่ปีที่ผ่านมามันไม่ตั้งใจเรียนจนได้เกรดน้อยว่า 2.00

“มึงได้คุยกับมันบ้างหรือเปล่า” ไอซ์ถามพลางยกแก้วขึ้นมาจิ๊บไปเรื่อย ๆ ไม่แฟร์เลยทำไมมันกับจีกินได้แล้วผมกินไม่ได้วะ

“ไม่เลย” ผมส่ายหน้า ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่แท้จริงของผมคืออะไร ผมควรจะเสียใจที่แฟนหายหน้าไปเกือบ 2 เดือน แต่ลึกๆ แล้วผมกลับโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ก่อนหน้านี้พวกเราทะเลาะกันบ่อยมาก ทะเลาะกันทุกเรื่อง ทะเลาะกันจนแทบจะพูดกันดีๆ ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ บอนบอกกับผมตั้งแต่ก่อนไปแล้วว่าอาจจะไม่ได้ติดต่อกลับมา ผมเข้าใจว่าการโทรศัพท์มาจากต่างประเทศไม่ใช้เรื่องง่ายเท่าไหร่นัก ไม่นับ time zone ของเรา 2 คนที่ห่างกันเกือบ 12 ชั่วโมง คืนสุดท้ายก่อนเดินทาง น่าแปลกที่เรา 2 คนไม่ได้ทะเลาะกัน ออกจะคุยกันมากกว่าที่ผ่านมาด้วยซ้ำ เราหัวเราะ แซวเล่นและด่ากัน ผมยิ้ม และผมก็สัมผัสได้ว่ามันยิ้ม อาจจะเพราะว่าเราทั้งคู่ต่างก็อยากจะร่ำลากันด้วยรอยยิ้มมากกว่าคราบน้ำตา

“ไม่ใช้ว่ามันกลับมาพร้อมฝรั้งผมทอง” ไอซ์แซว

“ไอ้ไอซ์” จีสะกิดคนข้างตัวเสียงเข้ม ในขณะที่ไอซ์ยักไหล่ราวกับไม่แคร์ว่าคำพูดนั้นจะทำร้ายจิตใจผมแค่ไหน ไอซ์มันเป็นคนแบบนี้แหละ แต่ผมรู้ว่ามันหวังดี ... จีรู้ว่าลึกๆ ผมก็กลัวว่าช่วงที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันบอนจะไปมีคนอื่น

“กูทำใจแล้ว แค่มันบอกให้กูเลิก กูก็ยินดีจะเลิกกับมัน” ผมรู้ตัวมาซักพักแล้วว่าเรื่องของผมกับบอนกำลังจะจบลง แต่อาจจะเพราะความเป็นเพื่อนสนิทของเรามั้งที่ยังรั้งให้เรา 2 คนอยู่ด้วยกัน ... ผมรอมันบอกเลิก เพราะรู้ตัวว่ารักมันเกินกว่าที่จะเป็นฝ่ายบอกเลิกเอง แค่มันพูด ผมก็ยินดีจะปล่อยมันไป



เปิดเทอม ม. 5 ครึ่งทางแล้วสำหรับชีวิตมัธยมศึกษาตอนปลาย ปีที่แล้วทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเรียนๆ เล่นๆ ยังไม่ต้องจริงจังกับการค้นหาตัวเองว่าอยากเรียนต่อคณะไหน ปีนี้ทุกคนก็ยังพูดในทำนองเดียวกันว่ายังใช้ชีวิตขำๆ ได้ แต่ก็อยากให้ค้นหาตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ต้องเครียดกับการเรียนให้มากจนเกินไปแต่ก็ควรจะเริ่มวางแผนอนาคตไว้บ้าง

“พวกมึงอยากเรียนคณะอะไรกันบ้างวะ...” อาร์มพูดขึ้นระหว่างมื้อกลางวัน

“...กูอยากเรียนวิศวะคอม” มันตอบอย่างมั่นใจ

“กูก็วิศวะ แต่ยังไม่รู้ภาคอะไร” จีตอบ มันพูดกับผมตั้งแต่ปลายปีที่แล้วๆ ว่าอยากเรียนวิศวะ เพราะใส่เสื้อช๊อปแล้วเท่ห์ดี

“กูเหมือนไอ้จี เข้าไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน” โจตอบ ... กลุ่มผมจะเข้าวิศวะ 3 คนเลยเหรอ

“สัตวแพทย์มั้ง” ผมตอบแบบน้ำเสียงไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ ผมอยากเรียนสายแพทย์ แต่แพทย์กับทันตก็ดูจะไกลเกินเอื้อมไปหน่อย

“อาชีพนางงามสัสสสส ... จบแล้วก็ไปสมัคร Miss Tiffany ได้นะมึง profile ได้อยู่ 555” ผมถีบหน้าแข้งไอ้ห่าอาร์มทันทีที่มันพูดจบ ... ทุกคนรู้ว่ารสนิยมทางเพศของผมคืออะไร พวกมันไม่ได้รังเกียจ แค่แซวกันขำๆ

“แล้วมึงละไอซ์”

“ไม่รู้วะ พวกมึงไปกองกันวิศวะหมด ... อาจจะไปอยู่กับไอ้มิลค์มั้ง ดูคะแนนก่อน” มันพูดไปเคี้ยวข้าวไป เข้าตัวยักไหลแบบไม่ใช้เรื่องใหญ่อะไรที่จะเลือกเรียนตามเพื่อน

“เชี่ยยยยย รักเพื่อนสาสสสสส ... รักขนาดนี้ คิดมากกว่าเพื่อนเปล่าเนี่ยยยยย”

“Kยยยยยยย” ผมว่าไอ้อาร์มมันโรคจิตนะ ชอบแซวคนอื่นให้ตัวเองโดนด่า ยิ่งด่ามันแรงๆ มันก็หัวเราะชอบใจ ผมไม่ได้คดิจริงจังกับคำแซวของเพื่อนเพราะรู้ดีว่าไอซ์พูดไปอย่างนั้น มันไม่มีทางเลือกเรียนสายการแพทย์

“ไอ้มิลค์ ผัวมึงมา” ผมหันไปสายตาของไอ้โจก็เห็นบอนยืนรออยู่

“เดียวกูมา” ผมเบ้ปาก เมื่อพวกมันทำท่าล้อเลียน ... เพื่อนผมทุกคนรู้ว่าผมกับบอนคบกัน แต่เพื่อนของบอนไม่มีใครรู้ ทุกคนยังคงคิดว่าเราเป็นเพื่อนสนิทกัน เพื่อนสนิทห่าอะไรมานั่งเฝ้าทุกพักน้อยเช้า

“ไง/ไง” ใจตรงกัน ... ผมยิ้มให้มันเหมือนทุกครั้ง ... แปลกไหมถ้าผมจะเขินแฟนที่คบกันมา 2 ปีกว่าแล้ว ไม่รู้ซิ ผมยังคงเขินบอนเสมอ

“ไม่มีไร แค่อยากเจอมึง” คิ้ว 2 ข้างผูกเข้าหากันจนเกือบจะเป็นปม มามุกไหนวะ

“บ้า!!!”

“มึงเขิน?” มันหรี่ตา มองผมด้วยสีหน้าจ้องจับผิด

“เขินบ้าอะไร” ผมแยกเคี้ยวใส่เพื่อกลบเกลื่อน มันยังหายใจหอบคงเป็นเพราะเพิ่งจะไปเตะบอลกับเพื่อนมา เสื้อยืดสีขาวชุ่มไปด้วยเหงื่อจนนาบไปกับผิวของเจ้าตัว ... วันแรกที่เจอกันหลังกลับจาก summer ผมแทบจำมันไม่ได้ ต้องยอมรับว่าฮอร์โมนเพศชายของมันทำงานได้ดีจนผมต้องอิจฉา มันดูดีขึ้น สูงขึ้น หน้าคมขึ้น และที่สำคัญกล้ามมันแน่นขึ้นมากโดยเฉพาะกล้ามอก

“ไม่เขินก็ไม่เขิน ... เย็นนี้กูไปส่งมึงที่คอนโดได้ไหม”

“ได้ดิ” เรา 2 คนต่างรู้ว่าความหมายจริงๆ ของ ‘ไปส่ง’ คืออะไร

“งั้นเดียวเจอกันตอนเย็น กูรอหน้าโรงเรียนนะ ไปแหละ”

ผมเดินกลับมาที่โต๊ะ

“หน้าระรื่นมาเลยนะไอ้มิลค์” ผมยักคิ้วส่งให้ไอ้อาร์ม แต่ไม่โต้ตอบเพราะเดียวเรื่องจะยาว

“กูรู้สึกไปเองไหมวะ ว่าตั้งแต่กลับมามึงกับมันดู sweet กันมึงขึ้นกว่าเดิม” ไอ้โจถาม

“คงงั้นมั้ง ก็ดีแล้วไม่ใช้เหรอ” ผมคลายยิ้มตอบพวกมัน อย่างที่พวกมันบอกตั้งแต่กลับจาก summer บอนทำตัวดีผิดกับก่อนหน้านี้ เราไม่ทะเลาะกัน มันเอาใจใส่ และ take care ที่สำคัญคือตอนนี้มันมีผมแค่คนเดียว ... ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เคยคิดจะถามแต่ก็ไม่กล้า เรากลับมารักกันมันก็ดีแล้วไม่ใช้เหรอ

“ดีให้ได้ตลอดละกัน” เสียงเข้มๆ จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากไอซ์ มันไม่ชอบบอนยังไงก็ยังไม่ชอบอยู่อย่างนั้น ต่อให้บอนทำดีกับผมแค่ไหนแต่ไอซ์มันก็เหมือนเกียจฝังใจไปแล้ว

“ไอ้ไอซ์” และก็เป็นอีกครั้งที่จีออกปากเตือนเพื่อนสนิท ไอซ์ยักไหล่แบบไม่แคร์ ท่ายักไหล่กับสีหน้าลอยหน้าลอยตาของมันเป็น signature ที่พวกเราเห็นจนชิน

“จี เย็นนี้ไม่ได้กลับด้วยนะ ...” ผมกระซิบเพื่อนสนิท ในขณะที่หัวข้อสนทนาถูกเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น

“...บอนจะไปส่งคอนโด” เพราะคนข้างๆ ขมวดคิ้ว ผมเลยต้องอธิบายเพิ่ม

“เบาได้เบา ช่วงนี้มันไปส่งมึงบ่อยผิดปกตินะ” สายตาจ้องจับผิดกับน้ำเสียงเข้มๆ ทำให้ผมต้องหลบสายตา ชักเริ่มไม่แน่ใจว่าผมเป็นลูกหรือเป็นเพื่อนพวกมันกันแน่ ... จีรู้ว่า ‘ไปส่งบ้าน’ ในที่นี้หมายถึงอะไร แต่จะว่าบอนคนเดียวก็ไม่ถูก อย่างที่เคยบอกว่า sex ของผมกับบอนเข้ากันได้ดีเสมอแม้จะอยู่ในช่วงที่เราทะเลาะกันก็ตาม ยิ่งตอนนี้เรา 2 คน in love กันมากกว่าเดิม ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมว่าต่างคนก็มีแรงดึงดูดฝั่งตรงข้ามให้เข้าหากันมากขนาดไหน

“เออมิลค์ กูลืมไปเลยว่าครูนกให้กูมาถามว่าปีนี้มึงจะสมัครสภานักเรียนเปล่า” ไอ้อารม์ถามหลังจากเพิ่งจบบทสนทนาเรื่องเกมส์กับไอ้โจ พวกมัน 2 คนเป็น buddy เล่นเกมส์ online ด้วยกัน

“ทำไมครูนกถึงถามกูวะ”

“เขาเห็นปีที่แล้วมึงทำงานดีมั้งเลยอยากชวนมึงไปทำสภา”

“กูเนี่ยนะ ปีที่แล้วไม่ได้ทำไรเปล่าวะ แค่เตรียมน้ำเตรียมขนม” ถ้าเทียบกัลป์พวกมัน ผมเหนื่อยน้อยกว่าตั้งเยอะ

“มึงทำตั้งเยอะ พวกกูติวกันได้ราบรื่นก็เพราะมึงจัดการให้เปล่าวะ”

“ครูนกชมมึงเยอะอยู่นะ บอกอยากให้มึงเข้ามาช่วย ดีไม่ดีปีหน้ามึงอาจจะได้เป็นประธานสภา” ไอ้โจเสริม

“เชี่ยยยยยย กูจะมีเพื่อนเป็นคนมีตำแหน่งแล้วเว้ยยยย”

“ถ้าทำ กูก็ไม่ได้ช่วยงานชมรมพวงมึงอะดิ” ผมยังลังเลเพราะรู้สึกผูกพันกับชมรมพอสมควร ปีที่แล้วก็ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ พอเริ่มคุ้นชินจะให้เปลี่ยนไปทำงานสภาเลยรู้สึกแปลกๆ

“ก็แบ่งๆ กันไปทำหน้าที่ไง ชมรม ม.5 ทำได้ปีสุดท้าย ปีหน้าก็ต้องเปลี่ยนไปทำงานวันเกิดโรงเรียน ยังไงสภาก็รับผิดชอบทั้ง 2 งานอยู่แล้วปะ ... วนกันไปมาอยู่แค่นี้”

“พวกมึงว่าไง” ผมหันไปถามจีกับไอซ์

“ทำดิ น่าสนุกดีออก” จีตอบในขณะที่ไอซ์พยักหน้าเห็นด้วย

“เออ เอาก็เอาวะ”



ไม่น่าตอบตกลงครูนกไปเลย งานสภายุ่งมาก เพราะผมไม่เคยทำงานสภามาก่อน ไม่รู้ระเบียบ ไม่รู้วิธีการทำงาน แล้วไหนจะอยู่ๆ ก็ได้ตำแหน่งเลขาสภามาแบบงงๆ เพราะทุกคนเห็นตรงกันว่าผมเป็นหลังบ้านของชมรมวิทย์ได้ ผมก็เป็นหลังบ้านของสภาได้เช่นกัน และถ้าจะเปรียบเทียบว่าเลขาชมรมคือ “general เบ้” แล้ว เลขาสภาก็คือ “นางทาส” ดีๆ นี้เอง

อย่างเช่นวันนี้ วันก่อนหน้าวันไหว้ครู ทุกอย่างตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น print บทพูดของ ผอ. ไปยังถึงเรื่อง ‘ฉห’ ระดับซึนามิอย่างเช่นร้านค้าลืม order โล่รางวัลนักเรียนดีเด่นของทุกชั้นปี ทำให้ ‘นางทาส’ ประจำสภาอย่างผมต้องกระโดดขึ้นรถ taxi ไปไฟต์กับเจ้าของร้านที่ไม่ยอมรับผิดชอบทั้งที่ผมก็โทรตามทุกสัปดาห์

... 'Bon'

“ไอ้มิลค์ มึงอยู่ไหนวะ กูโทรหามึงตั้งหลายสายทำไมไม่รับ” มันพูดอย่างใส่อารมณ์ทันทีที่ผมรับสาย นั้นยิ่งทำให้ผมที่อารมณ์ร้อนจากเหตุการณ์ก่อนหน้าตอกกลับด้วยอารมณ์ที่ไม่ต่างกัน

“กูไม่มีเหี้ยอะไรต้องทำเลยใช่ไหม ต้องรอรับสายมึงอย่างเดียวหรือไง ... มีอะไร”

“กูมีเรื่องให้มึงช่วย”

“กูไม่ได้อยู่โรงเรียน”

“แล้วมึงจะกลับเมื่อไหร่”

“เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละ แค่นี้นะ” ผมกดวางสายด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ก่อนจะตามมาด้วยเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่

กว่าจะถึงโรงเรียนก็ 4 โมงกว่าแล้ว สุดท้ายผมก็บีบคอเจ้าของร้านให้เอาโล่ของคนอื่นที่ยังไม่ถึงกำหนดส่งมาให้ผมก่อน แม้จะไม่ได้โล่ที่เหมือนกันทุกอันแต่ก็เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ดีที่สุดแล้ว แม้จะจบไปปัญหานึงแต่รับรองเลยว่าอีก 108 ปัญหารอผมอยู่ที่ห้องสภา วันนี้พวกเรายุ่งกันมาก ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง เสร็จปัญหาที่ 1 ก็ไปแก้ปัญหาที่ 2 เสร็จเรื่องของตัวเองแล้วก็ไปช่วยแก้เรื่องของคนอื่น

ผมเดินก้าวเท้าเร็วๆ ผ่านโถงทางเดินในตึก กลับถึงโรงเรียนได้ไม่ถึง 10 นาที บอนก็โทรให้ผมมาหา

“กูถึงแล้ว” ผมโทรหาเมื่อประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้น 6

“อยู่ตรงนั้นแหละเดียวกูเดินไป” พูดจบมันก็วางสายไป ... อะไรของมันวะ

ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้า

“มานี่” มันมองซ้ายขวา พอเห็นว่าไม่มีคนก็คว้าข้อมือผม กึ่งดึงกึ่งกระชากเข้าห้องเรียนที่อยู่ใกล้ที่สุด

“อะไรของมึงวะ” มันหันกลับมามองผมด้วยสีหน้าตึงๆ

“ห้องกูไม่มีพานไว้ครู”

“ฮะ??? ... อะไรนะ”

“ห้องกูไม่มีพานไหว้ครู ... มึงจัดการให้กูหน่อย” ผมแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน ไอ้ควายอย่าบอกนะว่าที่โทรจิกตั้งแต่บ่ายก็เพราะเรื่องไร้สาระพวกนี้

แต่ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรออกไป นอกห้องก็มีเสียงพูดคุยดังขึ้น ไอ้บอนรีบเอามือปิดปากผมแล้วลากมาหลบอยู่ในมุมอับของห้อง ผมจำเสียงได้ว่าเป็นเสียงของไอ้ลิง ... เจ็บวะ ... ที่เข้าใจว่าพฤติกรรมแบบนี้หมายถึงอะไร

“กูไม่ทำ กูยุ่งอยู่ มึงไม่เห็นเหรอ” ผมพูดเมื่อมันคลายมือออกจากปากผม

“ทำให้กูหน่อย”

“มึงบ้าเปล่าวะ ทำไม่ทันก็ไปซื้อ” พูดจบผมก็เดินกระแทกเท้าออกจากห้อง ความรู้สึกมันตีกันยุ่งไปหมด ทั้งโกรธทั้งเสียใจ

เหมือนที่ไอ้ไอซ์พูดไว้ไม่มีผิด ‘มันจะดีกับมึงไปได้ซักเท่าไหร่’ หวานกันได้ไม่เท่าไหร่สุดท้ายทุกอย่างก็วนกลับมาที่เดิม มันกลับมาเจ้าชู้ นอกใจ และมีคนอื่น เราทะเลาะกันเหมือนเดิม แย่ลงกว่าเดิมด้วยซ้ำเพราะเมื่อก่อนมีแต่มันที่ร้อนในขณะที่ผมพยายามใจเย็นเพื่อประคับประคองความสัมพันธ์ แต่ตอนนี้ต่างคนต่างอารมณ์ร้อนพอกัน ... ผมไม่แคร์แล้วว่ามันจะมีกิ๊กหรือเปล่า จะมีอีกเป็นโหลก็เรื่องของมัน

เรา 2 คนห่างเหินกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมไม่ได้ลงไปหามันตอนพักน้อยเช้ามาพักใหญ่แล้ว ผมบอกบอนว่ายุ่งเรื่องงานสภาแต่ความเป็นจริงแล้วคืออยากหลบหน้า เราไม่ได้คุยโทรศัพท์กันทุกวันเหมือนเดิม ... หรือทั้งหมดพังลงเพราะผม พอเป็นเลขาสภา ผมก็เริ่มเป็นที่รู้จัก ตอนนีhใครๆ ก็รู้จักผมไม่ว่าจะเป็น อาจารย์ เด็ก ม. ต้น หรือแม้แต่เด็กประถมบางคนก็ยังรู้จักชื่อผม แต่ยิ่ง spot light ส่องที่ผมมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งห่างไกลจากบอนมากเท่านั้น มันเลี่ยงที่จะพูดคุยกับผมต่อหน้าคนอื่น และเหตุการณ์วันนี้ยิ่งยืนยันในสิ่งที่ผมคิด

ออฟไลน์ Milky_Milky_Way

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 7 : ปลายทาง
«ตอบ #19 เมื่อ18-05-2025 12:16:56 »

“ไม่รีบเปลี่ยนเสื้อวะมิลค์ เดียวก็กลับไปเรียนไม่ทัน” จีทักพร้อมกับถอดเสื้อพละสีเข้มที่มีตราประจำโรงเรียนปักอยู่บนหน้าอกฝั่งซ้ายออกอย่างรวดเร็ว หมดคาบพละพวกเราต่างต้องรีบเปลี่ยนชุดเพื่อกลับไปเรียนต่ออีกคาบหนึ่ง

“เดียวกูไปเปลี่ยนในห้องน้ำแป๊บ ปวดฉี่ด้วย พวกมึงไปก่อนก็ได้” ผมตอบก่อนจะรีบแยกตัวออกมาเปลี่ยนเสื้อในห้องน้ำ

ประตูห้องห้องน้ำถูกปิดลงพร้อมกับเสียงถอดหายใจเฮือกใหญ่ ผมเท้าแขนกับอ่างล้างหน้าพร้อมกับมองภาพสะท้องของตัวเองในกระจก ช่วงนี้ผมกับบอนทะเลาะกันหนักมาก เมื่อวานก็เพิ่งทะเลาะกันเพราะผมจับได้ว่ามันมีกิ๊ก (อีกแล้ว) แม้ปากจะบอกว่าไม่แคร์แต่เอาเข้าจริงใครจะทนได้ ผมไม่ใช้พระยังมีความรัก โลภ โกรธ หลง เป็นธรรมดา แค่เรื่องเรียนกับงานสภาก็เหนื่อยจะแย่ ยังมีเรื่องพวกนี้เข้ามาอีก ... โคตรเบื่อ ... ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายอีกครั้งก่อนจะเดินไปเปลี่ยนชุดในห้องด้านใน

“เหี้ย!!! ตกใจหมด” แต่ใครจะคิดว่าปิดประตูออกมาแล้วจะเจอจีกับไอ้ไอซ์อยู่ข้างนอก มัน 2 คนมองผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“มึงถอดเสื้อดิ” ไอ้ไอซ์พูดเสียงเข้ม

“ฮะ!!! อะไรของพวกมึง เดียวก็ขึ้นไปเรียนไม่ทัน” ผมทำเป็นไม่สนใจ ตั้งใจจะแกล้งเนียนเดินออกจากห้องน้ำแต่เจ้าตัวกลับบังไว้ไม่ให้ผมไปไหน

“ไอ้มิลค์ ถอดเสื้อ” หลบจากไอซ์ก็มาเจอจีทำหน้ายักษ์ใส่

“กูไม่เล่น ไปได้แล้ว สายแล้วเนี่ย ...” มันไม่ยอมหลบ ผมเบี่ยงซ้ายมันก็ขยับขวา ผมเบี่ยงขวามันก็ขยับซ้าย

“... อะไรของพวกมึงวะ” ไม่เข้าใจว่าพวกมันเล่นอะไรกัน

“มึงดื้อเองนะ” จีแยกเขี่ยวใส่ผม

“เฮ้ย!!! ไอ้ไอซ์ เล่นเหี้ยอะไร” ไอซ์ล็อคตัวผมจากข้างหลัง ในขณะที่จีเดินเข้ามาประกบ

“ไอ้จีรีบหน่อยดิวะ” กระดุมเสื้อนักเรียนถูกปลดลงอย่างรวดเร็ว และทันทีที่สาบเสื้อแหวกออก สายตาของพวกมันก็เปลี่ยนไปในทันที

“อะไรวะ ทำไมมึงทำท่างั้นวะ” ไอซ์จับผมพลิกตัวกลับมา พอเห็นมันก็ทำสีหน้าไม่ต่างอะไรจากจี ผมแทบจะไม่มีแรงยืนเมื่อสิ่งที่ปกปิดไว้ถูกเปิดเผยต่อหน้าเพื่อนสนิททั้ง 2 คน

“มึง... โดนทำร้ายเหรอ ... กูจะไปคุยกับมันให้รู้เรื่อง” ไอซ์ทำหน้ายักษ์ มันโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง

“อย่าไอซ์ กูขอร้อง ...” ผมรั้งข้อมือของมันไว้

“... มันไม่ผิด กูยอมมันเอง” ผมพูดเสียงสั่น พูดไปน้ำตาก็จะไหล

“นี่คือเหตุผลที่ช่วงหลังๆ มึงแยกมาเปลี่ยนชุดในห้องน้ำ ?” ผมไม่ได้ตอบอะไร เพราะมีแต่เรื่องให้กังวลเลยลืมคิดว่าไปว่าพวกมันจะจับสังเกตได้ที่ช่วงหลังๆ ผมแยกมาเปลี่ยนชุดในห้องน้ำ

“มันบังคับมึงหรือเปล่า ...” จีถาม สีหน้าเคร่งเครียด ผมส่ายหน้าช้าๆ อายจนไม่กล้าสบสายตาของมัน 2 คน

“... รอยเต็มตัวขนาดนี้เนี่ยนะ ...”

“... พวกมึงรักกันยังไงวะ กูว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ไกลเกินขอบเขตของคำว่าแฟนแล้วนะ”

ความสัมพันธ์ของผมกับบอนเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เราเคยมีช่วงเวลาที่ทุกอย่างดูเข้ากันได้ดี ทั้งการพูดคุย หัวเราะ หรือแม้แต่การสัมผัสกัน แต่ช่วงหลังๆ มันเหมือนไม่ใช้แบบนั้นอีกต่อไป บางครั้ง การอยู่ด้วยกันไม่ใช่เพื่อเติมเต็มแต่กลายเป็นการทดสอบขีดจำกัดผมไม่รู้ว่าเรายังรักกันอยู่ หรือแค่ยื้อกันไว้ด้วยอะไรบางอย่างที่เราทั้งคู่ไม่กล้าปล่อย แต่สิ่งหนึ่งที่ผมแน่ใจคือทุกครั้งที่มองตัวเองในกระจก ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าคนในนั้นยังเป็นผมอยู่ไหม
 

ผมก้มมองข้อความในมือถือ ...

Bon

‘มาหากู ที่ห้อง 56’


แม้จะถอนหายใจแต่ 2 เท้าก็ก้าวเดินไปตามระเบียง จะ 5 โมงแล้วบนตึกมีคนอยู่ไม่เท่าไหร่ ทำไมความสัมพันธ์ของเรา 2 คนถึงเป็นแบบนี้ ต้องหลบๆ ซ้อนๆ เปิดประตูห้อง 56 เข้ามา แม่งเอ้ยยยยยย นัดกูมาแท้ๆ ยังต้องให้กูมารอ

... “G”

“ว่าไงมึง” ผมรับสาย

“อยู่ไหนวะ กลับบ้านด้วยกันหรือเปล่า...” ผมนิ่งไปเพราะยังหาคำตอบที่สมเหตสมผลให้ไม่ได้ ไม่คิดว่ามันจะโทรหาตอนนี้ เพราะเมื่อเย็นมันบอกว่าจะเข้าไปทำงานที่ชมรมกว่าจะเสร็จก็น่าจะเกือบ 6 โมง

“... มิลค์ ยังอยู่เปล่าวะ”

“เออๆ อยู่ห้องสภา”

“เหรอวะ? แล้วนี่จะกลับด้วยกันเปล่า”

“กลับพร้อมมึงนั้นแหละ รอที่ชมรมก็ได้ เสร็จแล้วเดียวโทรหา” ผมพูดดักไม่ให้จีเดินมาหาที่ห้องสภา

“โอเคมึง เจอกัน”

“เจอกัน บาย” เฮ่ออออ รอดตัวไป

“ทีกับไอ้จี พูดซะเพราะ ... แต่กับกู ... ฮึ” ผมหันกลับมาตามน้ำเสียงประชดประชัน

“เป็นเหี้ยอะไรมากไหมวะ นัดกูมาเพื่อชวนทะเลาะ?” หงุดหงิดกับน้ำเสียงประชดประชันของมัน ยิ่งหันกลับมาเห็นสีหน้าแววตาแล้วยิ่งโมโห มันไม่ใช้ฝ่ายที่จะมาพูดเรื่องแบบนี้กับผม ช่วงหลังๆ บอนชอบประชดเรื่องความสนิทของผมกับเพื่อนๆ โดยเฉพาะไอซ์และจี

“เรื่องสถานที่ตั้งซุ้มชมรม...”

“... มึงช่วยกูหน่อย” มันเว้นประโยค ทำท่าทำทางเหมือนไม่อยากจะขอความช่วยเหลือจากผมแต่สุดท้ายก็พูดออกมา คงโดนเพื่อนในชมรมบังคับมาซินะ ปีนี้บอนกับพวกเพื่อนของมันทำชมรมเพลง ... ถ้าถามผม จะตั้งขึ้นมาทำไมก็ไม่รู้ เอกสารที่ส่งมาตอนขอตั้งชมรมก็เขียนเลอะเทอะจนจับใจความไม่ได้ ตอนนั้นผมก็ช่วยมาครั้งหนึ่งแล้ว

“เฮ่ออออออ” มันชักสีหน้าทันทีที่ผมหลุดถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยใจ

“ช่วยกูหน่อย”

“มึงจะให้กูช่วยอะไร”

“กูอยากได้ที่ตรงหัวมุม”

“มึงบ้าเปล่า ที่มันจับฉลากไปแล้วอยู่ๆ กูจะไปเปลี่ยนได้ไง”

“ช่วยกูหน่อย”

“กูช่วยไม่ได้จริงๆ อันนี้เกิดความสามารถกู” เรื่องเอกสารตั้งชมรม ผมพอจะช่วยพูดให้ได้เพราะสภาไม่ได้ซีเรียสเรื่องรายละเอียดเท่าไหร่ แต่เรื่องที่มันกำลังขอแม้แต่ประธานยังทำไม่ได้เลยมั้ง

“มึงช่วยกูหน่อย”

“ไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ”

“ที่ไม่ช่วยเพราะตรงนั้นเป็นที่ของชมรมวิทย์ปะ” ไอ้เหี้ยบอน!!! พอรู้ว่าผมช่วยมันไม่ได้น้ำเสียงท่าทีก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังตีนเลยนะมึง ... สันดาน

“มึงพูดแบบนี้หมายความว่าไง” ผมถามมันอย่างใส่อารมณ์

“ไอ้จีเป็นประธานชมรมวิทย์ แล้วมึงจะให้กูคิดว่าอะไร”

“มึงจะด่าก็ด่ามาตรงๆ อย่ามาทำประชดประชัน”

“มึงด่ากูเหรอ!!!” มันขึ้นเสียง สีหน้าท่าทางชัดเจนว่ากำลังโกรธ

“กูด่ามึงตรงไหน ... พูดไม่รู้เรื่องแบบนี้กูไปแล้วนะ...” บอนขึ้นเสียง สีหน้าโกรธจัด ผมพยายามตัดบทเพราะไม่อยากทะเลาะด้วย แต่ทันทีที่หมุนตัว มันกลับคว้าข้อมือผมไว้แน่น

“... ไอ้เหี้ยบอนปล่อย ...” ผมโวยวาย พยายามจะสลัดมือมันออก

“... โอ้ย!!!” ข้อมือผมโดนบิด ก่อนร่างจะถูกเหวี่ยงกลับจนกระแทกเข้ากับผนัง

“ปากดีนักนะมึง เดียวมึงโดนดีแน่” เสียงของบอนเต็มไปด้วยโทสะ มันกดไหล่ของผมชิดกำแพงแน่น

“ไอ้บอน อย่า เดียวคนมาเห็น” ผมร้องห้าม เสียงสั่น

“มึงไม่ใช่เหรอ ที่ไม่แคร์ถ้าคนอื่นจะรู้ว่ามึงคบกับกู” ผมเบี่ยงหน้าหลบลมหายใจของมันที่รุนแรงร้อนผ่าว

“อย่าทำแบบนี้”

“มึงต้องการไม่ใช่เหรอ กูก็ให้มึงอยู่ตรงนี้แล้วไง” ผมหลับตาแน่น ความกลัวตีตื่นขึ้นในอก น้ำตาเริ่มเอ่อล้น

“อย่า ... กูขอร้อง” คนตรงหน้าหยามเกรียติผมอย่างหยาบช้า ทุกสัมผัสให้ความรู้สึกหยาบกระด้าง ผมไม่มีแรงมากพอจะปกป้องตัวเอง ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้ม ... ในช่วงเวลานั้น ผมรู้ทันทีว่า เรากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว

“ไอ้เหี้ยบอน!!!” เสียงตะโกนคุ้นหูดังขึ้น พร้อมกับเสียงกระแทกหนักๆ ก่อนที่ร่างกายของผมจะเป็นอิสระ ตามมาด้วยเสียงโต๊ะเก้าอี้ล้มระเนระนาด

“มิลค์ มึงเป็นอะไรหรือเปล่า”

“จีเหรอ”

“กูเอง”

“จี มึงช่วยกูด้วย” ทันทีที่รู้ว่าคนตรงหน้าคือจี ผมโผเข้าหาพร้อมกับร้องไห้โฮ เสียงสะอื้นดังแข่งกับเสียงดังโวยวาย ผมไม่รู้ว่ารอบข้างเกิดอะไรขึ้นรู้แค่ตอนนี้ตัวเองต้องการที่ยึดเหนี่ยว

“ชูว์ๆๆ มึงปลอดภัยแล้ว พวกกูมาช่วยมึงแล้ว ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว” คนข้างๆ ประคองผมไว้ เสียงปลอบประโลมกระซิบที่ข้างหูไม่ห่าง ... จีมาแล้ว จีมาช่วยผมแล้ว ผมปลอดภัยแล้ว

ผมไม่รู้ว่าตัวเองใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงตั้งสติได้ ในห้องเงียบสนิท ผมยืนประจัญหน้ากับต้นต่อของปัญหาทั้งหมดโดยมีจียืนซ้อนอยู่ด้านหลังและไอซ์ยืนคั้นกลางระหว่างผมกับบอน ส่วนไอ้อาร์มกับโจดูต้นทางอยู่ข้างนอก ผมมองหน้าไอซ์ที่มีรอยช้ำอยู่ตรงมุมปากพร้อมกับเสื้อนักเรียนที่ยับยู่ยี่เหมือนผ่านสงครามมา ก่อนจะเหลือบสายตาไปที่บอน มันอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจากไอซ์ ความรู้สึกมากมายถาโถมอยู่ในห้วงของความคิด รัก โกรธ กลัว เสียใจ ผิดหวัง และอีกหลากหลายความรู้สึกที่ผมไม่สามารถบรรยายออกมาได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้ชัดเจน

“มิลค์มึงจะเอายังไง ... ใกล้จะ 6 โมงแล้ว” 6 โมงคือเวลาปิดตึก ผมมีเวลาอีกไม่มากก่อนที่พี่ยามจะเริ่มไล่เด็กนักเรียนออกจากตึก

“เหี้ยจี ไอ้มิลค์เป็นเมียกู ไม่เสือกได้ไหมวะ ... มึงอีกคนนะไอ้เหี้ย ...” บอนพูดด้วยความหัวเสีย มันพยายามจะเดินเข้ามาหาแต่ก็ถูกไอซ์พลักให้กลับไปยืนที่เดิม

“... พวกมึงเป็นชู้กับมันหรือไงถึงได้ปกป้องมันนัก”

“มึงอย่าลามปามเพื่อนกู คนอย่างไอ้มิลค์จะเลือกใครก็ได้ทั้งนั้นแต่มันไม่ได้ร่านเหมือนมึงไง” ไอซ์ตอกกลับบอนด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างกัน

“มึงคิดว่ากูกลัวมึงเหรอไอ้สัส” พอไอซ์แรงมาฝั่งตรงข้ามก็แรงกัน

“มึงอยากมีเรื่องก็เข้ามาเลยไอ้เหี้ย #%$&&*#$%#^&^&” แล้วมัน 2 คนก็เริ่มทะเลาะกันอีกครั้ง ผมเริ่มน้ำตารื้อ แม้จะไม่ได้ร้องไห้โฮเหมือนเมื่อครู่ แต่หยดน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้

“ทำที่มึงอยากจะทำ ... ไม่ว่ามึงจะเลือกอะไร กูอยู่ข้างมึงเสมอ” จีกระซิบที่ข้างหู น้ำเสียงราบเรียบราวกับว่าเหตุการณ์วุ่นวายตรงหน้าไม่ได้มีความสำคัญอะไร มือหนาบีบที่หัวไหล่เป็นเชิงให้กำลังใจ

ผมมองสีหน้าที่กำลังเดือดดานของบอน ... แล้วผมก็สัมผัสได้ว่าคนที่ครั้งหนึ่งผมเคยหลงไหลและทำให้หัวใจเต้นแรง ตอนนี้กลับไม่มีผลอะไรกับความรู้สึกของผมอีกแล้ว ... กับพฤติกรรมทุกอย่างที่มันกระทำกับผม กับความรู้สึกทุกอย่างที่ผมต้องเผชิญ ... ผมจะยังรักบอนหรือเปล่า คำถามนี้ไม่ได้มีความสำคัญอีกต่อไปเพราะความจริงคือความรักของเราจบไปนานแล้ว ... ที่เรา 2 คนทำอยู่คือการยื้อเวลา

“บอน เราเลิกกันนะ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เหมือนเราคุยกันเรื่องดินฟ้าอากาศ แม้จะพูดด้วยความดังระดับปกติแต่ก็ทำให้ไอซ์กับบอนหยุดชะงัก ... เสี่ยววินาที ผมเห็นสีหน้าเศร้าๆ ของบอน ก่อนที่มันจะปั้นหน้ายักษ์

“มึงแน่ใจ? ... กูให้โอกาสมึงอีกครั้ง”

“ฮึ” เสียงขำในลำคอของไอซ์ดังขึ้น ดูจากสีหน้าก็รู้ว่ามันตั้งใจกวนประสาทไอ้บอน

“เราเลิกกัน” ผมส่งยิ้มให้มันเพื่อบอกลา ... เป็นครั้งสุดท้าย ... ไม่รู้เหมือนกันว่าจะยิ้มออกมาหน้าตายังไง แต่ผมก็พยายามทำให้ดีที่สุดในฐานะของคนที่รักมันมากคนหนึ่ง

“เอออ!!! เลิกก็เลิก อยากเสือกมาง้อขอคืนดีกับกูทีหลังนะ” พูดจบมันก็เดินกระแทกเท้าออกจากห้อง





‘You will search for me in another person, I promise.

And you will never find me’


----------


มิลค์: สุดท้ายแล้วเราก็ต้องเลือกที่จะรักตัวเอง ... จากน้องมิลค์คนเดิม เพิ่มเติมคือเป็นโสดแล้ว
#ByeByeToxicBF #Friendship #LoveInEveryLifetime #รักนะ #ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Love, In Every Lifetime : ตอนที่ 7 : ปลายทาง
« ตอบ #19 เมื่อ: 18-05-2025 12:16:56 »





 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด